War sovereign Soaring The Heavens 1464-1475

 1464 ถูกขวาง


 


“ปัญญาอ่อน”


 


เมื่อโดนยั่วยุไม่เลิกราจากศิษย์ฝ่ายใน ต้วนหลิงเทียนก็คร้านจะทนสืบไป หันกลับมามองด่ามันด้วยสายตาเย็นชา


 


ปัญญาอ่อน!


 


ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนเปิดปากกล่าวคำนี้ออกมา ศิษย์ฝ่ายในคนนั้นก็ถึงกับยืนอึ้งเป็นตัวโง่งม


 


เจ้าหนุ่มนี่พึ่งด่ามันว่าปัญญาอ่อน?


 


แค่ศิษย์ฝ่ายนอกคนหนึ่ง…กลับกล้าด่ามันว่าปัญญาอ่อน!?


 


ทันใดนั้นใจศิษย์ฝ่ายในก็คล้ายมีเพลิงโทสะลุกโชนขึ้นมาอย่างแรงกล้า!


 


อย่างไรก็ตามก่อนที่มันจะได้ตอบสนองอะไร ต้วนหลิงเทียนก็หยิบป้ายหยก 2-3 ป้ายแล้วเดินไปยังทางออกห้องโถงศาลาอุทิศชั้น 4 ไม่แยแสมันอีกรอบ


 


ด้านศิษย์ฝ่ายในถึงกับชี้มือชี้ไม้ที่สั่นระริกทั้งเหวี่ยงฮึดฮัดพูดไม่ออกอยู่พักหนึ่ง ค่อยสูดลมหายใจเข้าลึกๆระงับเพลิงโทสะในใจ แล้วตามต้วนหลิงเทียนไป


 


ไม่นานมันก็เดินแซงหน้าต้วนหลิงเทียนทั้งหันกลับมาถลึงตามองเขาอย่างอาฆาต ก่อนที่จะหยิบแหวนพื้นที่ของตัวเองแล้วเดินจากไปทันที ดูท่าวันนี้มันคงไม่คิดจะหยิบยืมป้ายวรยุทธ์เซียนเผิงทองถาโถมแล้ว…


 


ชายชราในชุดคลุมสีขาวก็ไม่ได้หยุดมันไว้แต่อย่างไร


 


เหตุผลที่ชายชราไม่หยุดอีกฝ่าย เพราะศิษย์ฝ่ายในคนนี้ไม่ได้แตะต้องหรือหยิบของในโถงศาลาอุทิศชั้น 4 มาเลย ไม่ว่าจะป้ายเซียนหรืออะไรก็แล้วแต่


 


“ผู้อาวุโส”


 


ด้านต้วนหลิงเทียนพอมาถึงโต๊ะรับรองก็หยิบป้ายวรยุทธ์เซียนเผิงทองถาโถมกับป้ายหยกที่เขาเลือก 2-3 ป้ายออกมา ทว่าพริบตานี้เอง เขาสัมผัสได้ถึงสายตาเย็นเยียบเปี่ยมจิตฆ่าฟัน จากศิษย์ฝ่ายในวูบหนึ่ง เป็นอีกฝ่ายหันกลับมามองเขาด้วยอาฆาตอีกรอบก่อนจะเดินลงบันไดไป


 


ทว่าเรื่องนี้เขาไม่ได้แยแสแม้แต่น้อย


 


เขาต้วนหลิงเทียน ไม่ใช่คนขลาดเขลาที่จะหวั่นเกรงอะไรมัน!


 


“วรยุทธ์เซียนเผิงทองถาโถม? นับเป็นวรยุทธ์เซียนระดับมนุษย์โดดเด่นที่ดี!”


 


ชายชราหยิบป้ายเซียนขึ้นมาดูก่อนที่จะพยักหน้า ค่อยตรวจสอบป้ายหยกอื่นๆ “ป้ายหยกพวกนี้ แม้มันมีแค่พวกข้อมูลธรรมดาทั่วๆไป แต่ปริมาณข้อมูลก็นับว่ามากมายไม่น้อย เช่นนั้นจึงมีค่าใช้จ่ายป้ายละ 1,000 คะแนนอุทิศ…”


 


“ส่วนป้ายวรยุทธ์เซียนเผิงทองถาโถมนี่ อ่านครั้งหนึ่งเสียค่าใช้จ่าย 30,000 คะแนนอุทิศ…และเจ้าสามารถอ่านได้ที่นี่เท่านั้น หลังจากเจ้าจ่ายคะแนนอุทิศแล้วก็เริ่มอ่านมันได้เลย”


 


ชายชรากล่าวบอกต้วนหลิงเทียน


 


“ท่านรับคะแนนอุทิศเถอะ”


 


ต้วนหลิงเทียนหยิบบัตรแก้วออกมาก่อนที่จะถ่ายโอนคะแนนอุทิศ 30,000 กว่าแต้มไปยังบัตรแก้วของชายชรา หลังจากนั้นเขาก็เก็บป้ายหยกไม่กี่ป้ายที่ว่า ค่อยเริ่มต้นศึกษาวรยุทธ์เซียนเผิงทองถาโถม


 


เพียงครู่เดียวต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงปริมาณข้อมูลมหาศาลหลั่งไหลเข้ามาในหัว และมันก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของใจเขาทันที


 


ตอนนี้เขาสลักเคล็ดความของวรยุทธ์เซียนเผิงทองถาโถมทั้งหมดไว้ในดวงจิตเรียบร้อย


 


นี่คือความสามารถพิเศษของเขา


 


โดยปกติแล้วผู้ฝึกตนหากคิดฝึกฝนวรยุทธ์เซียนก็ทำได้เพียงแค่อ่านเคล็ดความจากป้ายไปทีละบท ทั้งหมดต้องอ่านถึง 5 บทกว่าจะบรรลุขั้นตอนไร้ตำหนิ


 


หากทว่าต้วนหลิงเทียนนั้นขอเพียงเปิดอ่านครั้งเดียว เขาก็จะดูดข้อมูลทั้งหมดของมันมาเก็บไว้ในดวงจิตเขาทันทีในชั่วพริบตา!


 


เดิมทีต้วนหลิงเทียนก็คิดจะประวิงเวลาในการอ่านป้ายออกไปสัก 1 เค่อ ทว่าพอเขานึกถึงวาจาจากชายชราที่กล่าวก่อนหน้าได้ดี จึงอดไม่ได้ที่จะอมยิ้มบางๆ ‘ในฐานะคนหนุ่มสาว ต้องมีจิตวิญญาณอันฮึกเหิมบ้างอะไรบ้างงั้นเหรอ’


 


เพราะวาจานี้ทำให้ต้วนหลิงเทียน ตัดสินใจอะไรได้


 


ทันใดนั้นภายใต้สายตาที่มองมาของชายชรา ต้วนหลิงเทียนพลันแย้มยิ้ม ก่อนที่จะยื่นส่งป้ายเซียนคืนไป “อาวุโสข้าอ่านเสร็จแล้ว”


 


“หะ…หา เจ้าอ่านเสร็จแล้ว?”


 


ทันทีที่ชายชราชุดขาวได้ยินวาจาประโยคนี้ มันก็อึ้งไปพักหนึ่งใบหน้าเผยความงุนงง “เจ้าเริ่มอ่านมาตั้งแต่ตอนที่อยู่ข้างในแล้วงั้นรึ”


 


หลายคนที่มายืมป้ายวรยุทธ์เซียนเพื่อศึกษานั้น โดยมากแล้วจะอ่านมันทันทีในโถง


 


เพราะตราบใดที่เอื้อมมือไปแตะป้ายเซียนแล้ว ไม่ว่าท่านจะอ่านหรือไม่อ่านท่านก็จำต้องชำระคะแนนอุทิศอยู่ดี นี่เพื่อป้องกันไม่ให้ใครแอบอ่านวรยุทธ์เซียนและคิดจะเบี้ยวการจ่ายคะแนนอุทิศ


 


ในฐานะของผู้ดูแลศาลาอุทิศชั้น 4 ชายชราในชุดขาวไม่เพียงแต่รับหน้าที่เฝ้าโต๊ะรับรองคอยรับคะแนนอุทิศแล้ว มันยังต้องตรวจสอบเรื่องราวภายในโถงชั้น 4 ของศาลาอุทิศอีกด้วย จับตาดูความเคลื่อนไหวของทุกคนที่เข้าไป


 


ก็เหมือนศิษย์ฝ่ายในก่อนหน้า


 


ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้แตะป้ายเซียนหรือป้ายหยกอะไรในนั้น มันจึงปล่อยให้อีกฝ่ายจากไปทันที


 


หากอีกฝ่ายแตะป้ายเซียนแม้แต่ปลายนิ้ว ชายชราจะหยุดมันเอาไว้ทันทีและให้มันจ่ายคะแนนอุทิศออกมาตามราคาป้ายที่มันแตะ


 


เผชิญกับคำถามไถ่ของอาวุโสเบื้องหน้า ต้วนหลิงเทียนเพียงยิ้มแล้วถามกลับ “ท่านคิดว่าอย่างไรเล่า?”


 


“เจ้าหนูตัวแสบ เจ้าคิดทำให้ข้าตกใจตายหรือไร! เมื่อครู่ข้าก็นึกว่าเจ้าจะสามารถอ่านป้ายเซียนได้ในเวลาหนึ่งลมหายใจเสียอีก…ที่แท้เจ้าลอบอ่านมันตั้งแต่ด้านในแล้ว!”


 


ชายชราส่ายหัวกล่าว


 


เห็นได้ชัดว่ามันไม่คิดว่าต้วนหลิงเทียนจะสามารถอ่านเคล็ดความวรยุทธ์เซียนเผิงทองถาโถมได้ในเวลาแค่หนึ่งลมหายใจ


 


หากให้มันรู้ว่าต้วนหลิงเทียนไม่ใช่แค่อ่านได้ในหนึ่งลมหายใจ เขายังไม่ได้อ่านแค่บทเดียวแต่เป็นทั้งหมด 5 ขั้นตอน ไม่รู้มันจะทำสีหน้ายังไง!


 


เรื่องนี้นับว่าต้วนหลิงเทียนแปลกประหลาดต่างจากผู้อื่นจริงๆ


 


เขากลับดูดซับเคล็ดความทั้งหมดของวรยุทธ์เซียนได้ในพริบตาเดียว


 


เรื่องนี้มันทำให้เขาได้เปรียบผู้อื่นมากมาย และคงยากที่จะมีใครทำอย่างเขาได้


 


อย่างเช่นตอนนี้ วรยุทธ์เซียนเผิงทองถาโถม…เขาจ่ายเพียงแค่ 30,000 คะแนนอุทิศเท่านั้น และไม่จำเป็นต้องกลับมาหยิบยืมเพื่ออ่านบทที่เหลืออีกสืบไป!


 


หากเทียบกับผู้อื่นที่คิดหยิบยืมอ่านป้ายวรยุทธ์เซียนจนบรรลุขั้นตอนไร้ตำหนิ เขาประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้ถึง 120,000 คะแนนอุทิศ!


 


เพราะสุดท้ายแล้วคนอื่นๆ ก็จำต้องยืมป้ายเซียนนี้อ่านอย่างน้อย 5 ครั้ง ถึงจะล่วงรู้เคล็ดความไว้ฝึกถึงขั้นตอนไร้ตำหนิ


 


ยืมอ่าน 5 ครั้งๆละ 30,000 คะแนนอุทิศ เช่นนั้นจึงเท่ากับ 150,000 คะแนนอุทิศ!


 


ได้ยินวาจานี้ของชายชราต้วนหลิงเทียนเพียงยิ้มบางๆ แต่ไม่กล่าวอะไรออกไป


 


เขาจะพูดอะไรได้อีก


 


หรือจะให้เขาบอกว่า อาวุโสพอดีข้าจดจำเคล็ดความทั้ง 5 ขั้นตอนของวรยุทธ์เวียนเผิงทองถาโถมได้หมดสิ้นแล้ว วันหน้าข้าคงไม่มายืมอ่านมันอีกแล้วล่ะ!?


 


ถึงแม้จะเป็นเรื่องจริง แต่เกรงว่าชายชราคงไม่มีทางเชื่อ!


 


“อาวุโส เช่นนั้นข้าขอตัวลา”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวคำอำลาชายชรา และเตรียมจะจากไป


 


“เจ้าหนูศิษย์ฝ่ายในผู้นั้น มันอยู่ในขอบเขตสู่เซียนขั้นต้น…ระวังด้วย”


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังจะจากไป ชายชราปริปากออกมาอีกครั้งเพื่อกล่าวเตือน ยากนักที่มันจะกระทำเช่นนี้ใคร


 


และนี่ทำให้เห็นได้ชัดว่า ‘ความบาดหมาง’ ระหว่างศิษย์ฝ่ายในกับต้วนหลิงเทียนนั้น อยู่ในสายตาของอาวุโสผู้นี้ตลอด!


 


“ถึงเรื่องนี้จะไม่ได้สำคัญกับข้าเท่าไร แต่ข้าต้องขอขอบคุณท่านผู้อาวุโสอีกครั้งสำหรับความหวังดี”


 


ได้ยินคำกล่าวเตือนของชายชรา ต้วนหลิงเทียนประสานมือเขย่าเบาๆ พร้อมยิ้มกล่าวแสดงความขอบคุณ


 


“ไม่สำคัญรึ?”


 


ชายชราอึ้งค้างไปทันใด ยังมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาสงสัย


 


“ในสำนักมิใช่มีกฏที่ว่าศิษย์ฝ่ายในไม่ได้รับอนุญาตให้ออกมารังแกศิษย์ฝ่ายนอกโดยเด็ดขาดมิใช่หรือไร…เช่นนั้นแล้วไม่ว่ามันจะเป็นสู่เซียนขั้นต้น ขั้นกลาง หรือกระทั่งขั้นเชี่ยวชาญก็เท่านั้น มันกล้าลงมือเล่นงานข้าหรือ?”


 


ต้วนหลิงเทียนหัวเราะ


 


ชายชราอึ้งไปอีกรอบ “ที่แท้เจ้าคิดเช่นนี้นี่เอง…แต่หากเจ้าคิดเช่นนี้ เช่นนั้นเจ้าพลาดแล้ว!”


 


“หืม?”


 


ต้วนหลิงเทียนที่ได้ยินคำนี้อดไม่ได้ที่จะสงสัย


 


“ที่ตั้งของศาลาอุทิศนั้น ตั้งอยู่ระหว่างรอยต่อระหว่างฝ่ายในกับฝ่ายนอก กล่าวกันตรงๆมันมิได้ถือว่าเป็นเขตของฝ่ายในหรือฝ่ายนอก”


 


ชายชรากล่าวอธิบาย “ศิษย์ฝ่ายในสามารถลงมือสั่งสอนศิษย์ฝ่ายนอกที่นี่ได้เพราะมิถือว่าออกจากฝ่ายในไปรังแกคนที่ฝ่ายนอก…ทำให้ขอเพียงไม่ทำร้ายถึงขั้นพิการตายตก ก็ไม่นับว่าผิดกฏรังแกผู้อ่อนด้อยกว่าแต่อย่างใด…”


 


“อ้อ แบบนี้นี่เอง…ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ นับว่าข้อมูลนี้ของผู้อาวุโสสำคัญกับข้าแล้วจริงๆ”


 


ต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่คิดว่าจะมีเรื่องแบบนี้ด้วย แต่อย่างไรเขาก็ต้องขอบคุณชายชราอีกครั้ง


 


เดิมทีตอนที่เขามีเรื่องราวกับศิษย์ฝ่ายในผู้นั้น เขาก็เตรียมพร้อมรับมือการล้างแค้นจากอีกฝ่ายอยู่แล้ว


 


แต่ก็จริงที่ตอนแรกเขาคิดว่า อีกฝ่ายคงไม่กล้าลงมือทำอะไรเขา เพราะเขาเป็นศิษย์ฝ่ายนอกแต่มันเป็นศิษย์ฝ่ายใน


 


ตราบใดที่เขายังไม่เป็นศิษย์ฝ่ายใน เขาก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องที่อีกฝ่ายจะลงมือ


 


ตอนนี้พอได้ฟังวาจาที่ชายชรากล่าวบอก จึงได้รู้ว่าศาลาอุทิศแห่งนี้กลับมีข้อยกเว้นอะไรเรื่องสถานที่ตั้งแบบนี้ ทำให้ไม่ถือว่าเป็นเขตของฝ่ายในฝ่ายนอก จึงไม่ถูกกฏของสำนักคุ้มครอง นั่นทำให้เขากังวลขึ้นมาอยู่บ้าง


 


“สู่เซียนขั้นต้นงั้นเหรอ?”


 


แต่อย่างไรเสีย พอทราบว่าพลังฝึกปรือของศิษย์ฝ่ายในผู้นั้นเพียงบรรลุสู่เซียนขั้นต้น ความกังวลเล็กน้อยของต้วนหลิงเทียนก็มลายหายไปไม่มีเหลือ…


 


หลังจากออกจากชั้น 4 ของศาลาอุทิศแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เดินลงบันไดไปยังชั้น 3 ของศาลาอุทิศ


 


และในขณะที่เขากำลังจะผ่านลงไปยังชั้น 2 ชายวัยกลางคนที่โต๊ะรับรองชั้น 3 คนหนึ่งก็กล่าวถามหยุดเขาเอาไว้ก่อน “เฮ่! เจ้าหนุ่มเจ้าคือต้วนหลิงเทียนรึ?”


 


ในสายตาของผู้ดูแลคนนี้เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นไม่น้อย


 


สหายข้างกายของมัน ก็อยากรู้เรื่องนี้ไม่น้อยไปกว่ามัน


 


เห็นได้ชัดว่าพวกมันพอจะเดาตัวตนของต้วนหลิงเทียนได้บ้าง แต่ยังไม่กล้าปักใจเชื่อทั้งหมด


 


“ใช่”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าตอบคำ ก่อนที่จะเดินลงบันไดผ่านชั้น 3 ของศาลาอุทิศ ท่ามกลางสายตาเหม่อลอยของผู้ดูแลทั้ง 2


 


“ที่แท้เจ้านั่นคือต้วนหลิงเทียนนี่เอง…มิน่าแปลกใจเลยที่จับจ่ายมือเติบถึงเพียงนี้!”


 


“นั่นน่ะสิ สามารถหยิบจ่าย 700,000 คะแนนอุทิศในคราวเดียว…ข้าได้ยินมาว่าคะแนนอุทิศที่มันได้มาเมื่อวานมีถึง 3,000,000 ทั้งเจ้านั่นยังเลือกที่จะคืนคะแนนอุทิศให้ผู้คนที่มาเดิมพันไปครึ่งหนึ่ง”


 


หลังกล่าววาจาออกมา ผู้ดูแลทั้ง 2 ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งด้วยอารมณ์


 


“อาวุโสฟ่างเฉียน”


 


เมื่อลงมาถึงชั้น 2 ของศาลาอุทิศ เขาก็หยุดทักทายทั้งส่งยิ้มให้ชายชราที่จ้องมายังเขาด้วยความสนใจครู่หนึ่ง พออีกฝ่ายพยักหน้ารับคำ เขาค่อยเดินลงมายังชั้นแรกของศาลาอุทิศ


 


ที่ชั้นแรกของศาลาอุทิศยังคึกคักมีชีวิตชีวาเหมือนก่อนหน้า ทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกเหมือนเดินอยู่ในตลาดนัดอยู่บ้าง


 


ศิษย์มากมายตะโกนหาซื้อหรือแลกของ บ้างก็โฆษณาสิ้นค้าของตัวเอง


 


“หืม? มีบางแผงที่ยังไม่ตั้งตอนข้ามานี่นา…”


 


ต้วนหลิงเทียนว่ายตามองไปทั่วชั้น 1 ไม่นานก็พบว่ามีแผงขายของหลายแผงที่พึ่งมาตั้งใหม่


 


เขาจึงเรียกหาผู้เฒ่าหั่วในเจดีย์อีกครั้ง แล้วเริ่มเดินไปทั่วๆชั้นแรกอีกรอบเพื่อตรวจสอบวัตถุดิบสิ่งของ


 


น่าเสียดายที่คราวนี้ไม่พบเจอวัตถุดิบที่สามารถซ่อมแซมเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติได้เลย


 


“ดูเหมือนว่าโชคข้าจะหมดแล้วสินะ…”


 


ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวพร้อมยิ้มฝืนๆ ก่อนจะก้าวออกจากศาลาอุทิศ


 


ทว่าเพียงเดินมาไม่กี่ก้าวเขาก็จำต้องหยุดลง เพราะสัมผัสได้ถึงสายตาประสงค์ร้ายสายตาหนึ่งที่เพ่งเล็งมายังเขาเขม็ง


 


ไม่ต้องมองต้วนหลิงเทียนก็บอกได้ทันทีว่าสมควรเป็นศิษย์ฝ่ายในที่มีเรื่องกับเขาบนชั้น 4 ของศาลาอุทิศ และพอหันไปมองเขาก็ได้เห็นหน้าตาหยิ่งผยองของมันอีกครั้ง…


 


หลังจากที่อีกฝ่ายออกจากศาลาอุทิศ มิแคล้วคงมาเฝ้ารอเขาอยู่ตรงนี้แน่นอน


 


“ข้าคิดว่าเจ้าคงกลัวจนไม่กล้าออกจากศาลาอุทิศแล้วเสียอีก!”


 


ศิษย์ฝ่ายในผู้นั้น แสยะยิ้มเย้ยหยัน มองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเอาเรื่อง!


 


พอพได้ยินคำนี้ ต้วนหลิงเทียนก็รู้ทันทีว่ามันมาเฝ้ารอเขาอยู่จริงๆ


 


“กลัวจนไม่กล้าออกมา? เจ้าคิดว่าอาศัยเจ้าจะทำให้ข้ากลัวจนไม่กล้าออกมางั้นเหรอ?”


 


เผชิญหน้ากับท่าทางถือดีเอาเรื่องของศิษย์ฝ่ายใน ต้วนหลิงเทียนไม่ได้ยำเกรงแม้แต่น้อย ยังกล่าวเย้ยออกมาพร้อมหัวเราะ!


1465 เขาคือต้วนหลิงเทียน!


 


ศิษย์ฝ่ายในคนนั้นคิดว่าศิษย์ฝ่ายนอกเบื้องหน้าจะต้องแตกตื่นลนลานแล้วเสียอีก เมื่อเจอมันมาดักรออยู่แบบนี้


 


แต่ผู้ใดจะไปรู้ว่าอีกฝ่ายไม่เพียงไม่ตื่นตระหนก ยังกล้ากล่าววาจาออกมาอย่างไม่ขลาดกลัว?


 


ไม่ทราบเพราะอะไร ทว่าตอนนี้ในใจของมันกลับบังเกิดความหวาดกลัวขึ้นมา…


 


หรือมีใครอยู่เบื้องหลังศิษย์ฝ่ายนอกคนนี้กัน?


 


หาไม่แล้วไฉนอีกฝ่ายถึงกล้ากล่าววาจาเช่นนี้กับศิษย์ฝ่ายในอย่างมัน?


 


อีกฝ่ายไม่หวาดกลัวว่าจะถูกมันทุบตีจนนอนหยอดน้ำข้าวต้มเป็นเดือนหรือยังไง?


 


ตอนนี้เองผู้คนไม่น้อยด้านนอกศาลาอุทิศ ก็พบว่าต้วนหลิงเทียนกับศิษย์ฝ่ายในกำลังสบตามองเขม่น คล้ายใกล้มีเรื่องกันเต็มที


 


เรื่องราวนี้มันเกิดขึ้นด้านหน้าศาลาอุทิศ ซึ่งโดยปกติแล้วสถานที่แห่งนี้ก็มีศิษย์ฝ่ายในและฝ่ายนอกแวะเวียนมาไม่ขาด ทำให้พริบตาผู้คนก็เริ่มมาห้อมล้อมจนส่งเสียงเซ็งแซ่


 


ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อมีผู้คนกำลังจะต่อยตีกัน ย่อมเป็นเรื่องราวอันน่าสนุกสนานน่าดูแล้ว กระทั่งคนที่ตั้งแผงขายของยังเลือกจะเก็บแผงแล้วออกมาชมดูเรื่องราว


 


ทุกคนล้วนอยากชมดูเรื่องราวสนุกสนานทั้งสิ้น! ทำให้พริบตาผู้คนมากมายก็มารวมตัวกัน!!


 


“นั่นอี้หนันนี่นา”


 


ศิษย์บางคนจดจำศิษย์ฝ่ายในที่กำลังเขม่นกับต้วนหลิงเทียนได้ จึงกล่าวเย้ยออกมาเสียงดัง “เฮ่ย อี้หนันเจ้าเป็นศิษย์ฝ่ายในแท้ๆ ถึงเจ้าจะอยากลับฝีมือ แต่เจ้าก็ไม่ต้องถึงขั้นลดตัวไปรังแกศิษย์ฝ่ายนอกหรอกมั้ง! เจ้าไม่ละอาจใจบ้างเรอะ?”


 


อี้หนันพอได้ยินวาจาประโยคนี้ หน้าของมันก็ขึ้นสีเขียวปั๊ดทันใด


 


“อ๊ะ เป็นเจ้าหนุ่มยากจนนั่นนี่นา!”


 


ตอนนี้เองเจ้าของแผงขายของแบกับดินมากมายที่เร่งเก็บแผงออกมาชมดูเรื่องราว ก็กล่าวออกมาด้วยความประหลาดใจ เพราะจดจำต้วนหลิงเทียนได้


 


พวกมันล้วนจดจำต้วนหลิงเทียนได้ดี!


 


เพราะต้วนหลิงเทียนกดราคาพวกมันเสียต่ำติดดิน!!


 


ไม่นานผู้คนมากมายที่มาชมดูเรื่องราวก็เริ่มเดินมามุงล้อมเป็นวง


 


อี้หนันเองก็คิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องราวจะกลับกลายเป็นเลยเถิดเช่นนี้ ตอนนี้ทุกอย่างอยู่เหนือการควบคุมของมันแล้ว มันทำได้แค่ปล่อยเลยตามเลยเท่านั้น…


 


“อาจารย์ของเจ้าเป็นผู้ใด?”


 


สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆฟอดหนึ่ง อี้หนันส่งเสียงผ่านปราณแท้กล่าวถามต้วนหลิงเทียนทันที


 


“อาจารย์ข้าเหรอ?”


 


ได้ยินเสียงผ่านปราณแท้ของอี้หนัน ต้วนหลิงเทียนบอกได้ทันทีว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ เขารู้สึกสนุกสนานขึ้นมาไม่น้อย จึงยิ้มถามกลับไป “อะไร? เจ้ากลัวว่าข้าจะมีอาจารย์เป็นอาวุโสระดับสูงในสำนักหนุนหลัง จนเจ้าเผลอล่วงเกินงั้นเหรอ?”


 


อี้หนันกล่าวถามด้วยการส่งเสียงผ่านปราณแท้ แต่ต้วนหลิงเทียนกลับพูดออกมาดังๆ


 


จังหวะนี้หลายคนอดไม่ได้ที่จะหันมามองอี้หนันด้วยสายตาแปลกๆ


 


“เป็นฝ่ายมาดักรอหาเรื่องผู้คนแท้ๆ แต่กลับมาถามถึงภูมิหลังก่อนมีเรื่องเนี่ยนะ…นี่มันจะไม่สายไปหน่อยรึไง?”


 


ศิษย์ฝ่ายในหลายคนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะ


 


“ฮ่าๆๆๆ! อะไรกันอี้หนัน นี่เจ้ากลัวรึไงหา? ถ้าเจ้ากลัวศิษย์น้องผู้นี้ ใยไม่รีบกลับบ้านข้าเล่า มารดาเจ้ายังรอให้เจ้าไปดื่มนมอยู่บนเตียงข้านะ!?”


 


นอกจากนั้น ยังมีศิษย์ฝ่ายในที่เป็นอริของอี้หนันบังเอิญอยู่ด้วยพอดี ได้ทีจึงใส่ใหญ่…


 


“ฮัยยา…ศิษย์ฝ่ายในที่น่าเกรงขาม มีเรื่องกับศิษย์ฝ่ายนอกคนหนึ่งยังกลัวนู่นนี่นั่น นี่มันไม่น่าอายไปหน่อยรึไง?”


 


หลายคนเริ่มกล่าววาจาเย้ยเยาะอย่างสนุกสนาน


 


หน้าอี้หนันที่เดิมเขียวปั๊ดยิ่งมายิ่งมืดคล้ำ ปากมันเบี้ยวๆบิดๆไปมา โทสะในใจเองก็เริ่มลุกโหม มองต้วนหลิงเทียนอีกครั้งสายตายังเย็นเยียบปานจะแช่แข็งผู้คน “มิว่าเบื้องหลังเจ้าจักมีผู้ใดอยู่ แต่เจ้ากลับไม่เคารพศิษย์พี่ วันนี้ข้าในฐานะศิษย์พี่ร่วมสำนักของเจ้า จักสั่งสอนบทเรียนเรื่องมารยาทให้เจ้าเอง!!”


 


วาจาของอี้หนันทั้งดังทั้งฟังดูยิ่งใหญ่ชอบธรรมนัก มันเปลี่ยนเหตุผลเดิมที่มาขวางต้วนหลิงเทียน เสียดื้อๆ


 


“ไม่เคารพศิษย์พี่?”


 


ได้ยินคำกล่าวอี้หนัน ต้วนหลิงเทียนฉีกยิ้มแสยะ “วาจานี้ฟังดูน่ากลัวจริงๆ! แต่เจ้าคิดจริงๆเหรอว่า เจ้าจะรอดตัวไปได้หากข้ามีคนอยู่เบื้องหลัง?”


 


“เจ้า!”


 


อี้หนันไม่คิดเลยว่าวาจาเพียงไม่กี่คำของต้วนหลิงเทียนก็ทำลายความคิดหาทางรอดของมันหมดสิ้น


 


ตอนนี้มันยังสัมผัสได้ถึงสายตาแปลกๆ จากโดยรอบที่กำลังมองมา


 


“อันที่จริงแล้วเจ้าไม่ต้องคิดมากหรอก…ข้าจะบอกเจ้าตรงๆเลยแล้วกัน ข้าไม่มีใครอยู่เบื้องหลังหรอก ดังนั้นเจ้าไม่ต้องคิดอะไรวุ่นวายให้มากความ ถ้าจะเอาก็เข้ามา…ถ้าไม่แล้วก็รีบๆถอยไป ข้าจะได้รีบกลับไปบ่มเพาะ เพราะข้าไม่ได้มีเวลามาเล่นไร้สาระกับเจ้าหรอกนะ!”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกเสียงดังฟังชัด ในน้ำเสียงยังแฝงความรำคาญอยู่บ้าง


 


“ฮ่าๆๆ! อี้หนัน อย่าได้บอกข้าเชียวว่าเจ้าปอดแหกขึ้นมาแล้ว…นี่เจ้ากลัวจริงๆงั้นเรอะ?”


 


“อี้หนัน ศิษย์น้องเขาก็บอกแล้วว่ามิมีผู้ใดหนุนหลัง…เจ้ายังลังเลอันใด หรือเจ้าไม่กล้าลงมือแล้ว?”


 


“น่าเบื่อยิ่ง! ข้าก็คิดว่าจะมีเรื่องสนุกๆให้ดูชมเสียหน่อย ไม่คิดเลยว่าอี้หนันมันกลับขี้ขลาดถึงเพียงนี้!”


 


……


 


ศิษย์ฝ่ายในหลายคนกลัวโลกวุ่นวายไม่พอ เร่งกล่าวน้ำมันราดรดกองไฟกันสนุกปาก


 


ทุกวาจาถ้อยคำดูแคลนล้วนดังเข้าหูอี้หนันทั้งหมด ทำให้หน้าของมันเริ่มแดงคล้ำด้วยโทสะยากระงับ มันถลึงตามองต้วนหลิงเทียนอย่างโกรธแค้น “วันนี้ข้าในฐานะศิษย์พี่ จักสั่งสอนบทเรียนเรื่องสัมมาคารวะพึงปฏิบัติต่อศิษย์พี่ให้เจ้า!!”


 


ต้วนหลิงเทียนแฉความคิดอี้หนันครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้อี้หนันหัวเสียถึงขีดสุด


 


“คิดสั่งสอนบทเรียนให้ข้า ก็ต้องดูพลังสามารถของเจ้าด้วย ว่ามีปัญญาไหม…”


 


เห็นอี้หนันหัวร้อนเป็นฟืนไฟ ต้วนหลิงเทียนก็ยิ่งสนุกสนานนัก ยิ้มกว้างกล่าวออกเสียงเย็น


 


“เจ้ามันรนหาที่เอง!”


 


อี้หนันคำรามเสียงดังสนั่น ปราณแท้หลังไหลทั่วกาย เท้ากระพืบพื้นดีดตัวพุ่งไปปานมหาพายุ ไม่นานก็ตัดระยะเจียนบรรลุถึงต้วนหลิงเทียน!


 


ขวับ!


 


ระหว่างทางในมือยังสะบัดเรียกหอก 7 ฉื่อเล่มหนึ่ง ควงไม่กี่รอบก็ง้างไปด้านหลังค่อยเสือกแทงออกมาเต็มแรง!


 


หอกพุ่งทะลวงแหวกอากาศฉับไว เงาหอกพร่างพราวมองไปคล้ายอสรพิษหมายฉกกัดเข้าใส่ต้วนหลิงเทียน!


 


ต้องบอกเลยว่าในฐานะศิษย์ฝ่ายในขอบเขตสู่เซียนขั้นต้น อี้หนันผู้นี้ก็นับว่ามีพลังฝีมือพอตัว


 


อย่างน้อยๆอานุภาพของกระบวนท่านี้ ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเฝิงฟ่านที่ไม่ได้เปิดใช้อาคมเซียนพันทวีบนดาบใหญ่!!


 


เผชิญหน้ากับหอกที่พุ่งทะลวงเสือกแทงแหวกอากาศมาอย่างเกรี้ยวกราด พร้อมเงาพลังหอกมากมายปานอสรพิษร้าย สีหน้าต้วนหลิงเทียนยังไม่เปลี่ยน ยืนสงบนิ่งกับที่ปานภูผายากสั่นคลอน


 


ทว่าในขณะที่ศิษย์ฝ่ายในทั้งหลายกำลังระทึกใจเพราะหอกเจียนบรรลุถึงตัวเต็มที จนบางคนก็ลอบหลั่งเหงื่อเย็นด้วยกลัวจะเกิดเรื่องเลวร้ายกับต้วนหลิงเทียน ในที่สุดร่างในชุดม่วงก็เริ่มเคลื่อนไหว


 


ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ หากแต่ในมือต้วนหลิงเทียนพลันปรากฏดาบใหญ่เล่มเขื่อง ปราณแท้ควบแน่นหลั่งไหลสู่ตัวดาบจนทอประกายคมกล้าน่ากลัว ยังมีกลิ่นอายพลังลึกลับขุมหนึ่งที่พาลให้ตัวดาบคล้ายจะหนักหน่วงขึ้นนับพันเท่าเผยออก!


 


ควบคุมดาบใหญ่อาศัยเคล็ดถ่ายแรงเป็นหลัก! เอวต้วนหลิงเทียนจึงบิดไวปานพายุหมุน ส่งแรงทั้งตัวเหวี่ยงฟาดดาบใหญ่ออกไปอย่างเกรี้ยวกราด!


 


‘ประทับไท่ซาน!’


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวในใจ ใช้ออกด้วยเคล็ดความวรยุทธ์ที่พึ่งรับทราบมาก่อนหน้า นำพาให้ดาบใหญ่ที่ตบฟาดออกไปคล้ายแฝงกลิ่นอายขุนเขามหึมาถล่มทับ!


 


ดาบใหญ่ฟาดมาไวปานพายุด้วยสภาวะคล้ายขุนเขาหนักถล่มโถมเร็วรี่ ทำให้มวลอากาศแตกระเบิดเสียงดังไม่หยุด!


 


เสียงระเบิดดังปานฟ้าผ่าหลายคำรบ ทั้งคลื่นลมรุนแรงกวาดซัดออกไปทั่วทิศทาง!


 


“เฮ่ย! ไม่ผิดแน่! นั่นมันอาคมพันทวี!!”


 


ศิษย์ฝ่ายในที่สายตาแหลมคมผู้หนึ่งกล่าวโพล่งออกมาเสียงดัง เห็นชัดว่ามันจดจำอาคมเซียนที่จารึกอยู่บนดาบใหญ่ของต้วนหลิงเทียนได้


 


พอได้ยินเสียงโพล่งอุทานของศิษย์ฝ่ายในคนนั้น อี้หนันที่เสือกหอกแทงออกไปหน้าเปลี่ยนสีทันที มันพลันตระหนักได้ว่าศิษย์ฝ่ายนอกคนนี้สมควรมีภูมิหลังไม่ธรรมดาแล้วจริงๆ!!


 


ล้อกันเล่นหรือไร!


 


นั่นมันอาคมเซียนระดับ 2 ดาว อาคมพันทวี!!


 


ศาสตราเซียนที่มีอาคมเซียนระดับ 2 ดาวจารึกเอาไว้แบบนี้ อย่างน้อยๆต้องจ่ายให้ศาลาอุทิศถึง 200,000 คะแนนอุทิศ!


 


ผู้ที่ใช้ศาสตราเซียนที่มีอาคมเซียนระดับ 2 ดาวจารึกอยู่ ยังเป็นแค่ศิษย์ฝ่ายนอกธรรมดาๆได้หรือไร!?


 


เห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้!


 


จังหวะนี้อี้หนันอดไม่ได้ที่จะบังเกิดความเสียใจ


 


อย่างไรก็ตามหอกนี้มันลงมือออกมาสุดตัว คิดกลับใจถอยหลังก็สายเกินกาลแล้ว!


 


ทว่าครู่ต่อมาใจมันก็ตระหนักได้ว่าจะอย่างไรก็ต้องห้ามทำอันตรายศิษย์ฝ่ายนอกคนนี้ถึงขั้นบาดเจ็บหนักเด็ดขาด! สภาวะดุร้ายของหอกกลับกลายเป็นลดลงหลายส่วน!!


 


เสียงดาบแหวกอากาศด้วยสภาวะปานขุนเขาถล่ม ไม่นานก็ปะทะกับหอกที่จ้วงแทงมาของอี้หนันอย่างแรง! ความว่าง ณ จุดปะทะคล้ายจะแตกออก!!


 


เปรี๊ยง!!


 


คลื่นกระแทกอันรุนแรงจากพลังสะท้อนกวาดซัดออกไปอย่างน่าเกรงขาม บังเกิดเป็นสายลมอันรุนแรงปานใต้ฝุ่น!


 


ลมแรงดังกล่าวพัดฝุ่นธุลีหน้าศาลาอุทิศให้คละคลุ้ง เสื้อชุดศิษย์ทั้งหลายถึงกับโบกสะบัดวุ่นวาย


 


หากแต่พวกมันไม่นำพาฝุ่นดินชุดเสื้อ สายตาเพียงมองแหวกธุลีคลีจับจ้องไปยังการปะทะกันระหว่างต้วนหลิงเทียนและอี้หนันเขม็ง!


 


หลังอากาศแตกระเบิดเสียงดัง ท่ามกลางสายตาผู้คน ดาบใหญ่ของต้วนหลิงเทียนก็กระเด็นผงะไปคอนไว้ด้านหลัง ร่างคนยังย่ำเท้าก้าวถอยไป 2 ก้าว


 


ตรงกันข้าม ด้านอี้หนันที่จ้วงแทงออกมาด้วยใจที่โลเล จึงแพ้พ่ายและถูกซัดเขาอย่างจัง!


 


หอกในมือของมันกระเด็นหลุดมือไปควงหมุนติ้วกลางอากาศ ยังไม่ทราบว่าจะลอยไปตกที่ใด!!


 


ส่วนตัวอี้หนันที่ถือหอกก่อนหน้า ด้วยถูกพลังสะท้อนจากการปะทะหอกดาบเข้าไปอย่างจัง ไม่เพียงแค่ง่ามมือฉีกแตกโลหิตพุ่งฉูด ตัวมันยังปลิดปลิวละลิ่วเป็นวงโค้งกลางอากาศ พ่นโลหิตเป็นสายลากยาวกลางฟ้า ก่อนที่จะร่วงตกพื้นไถลไปนับ 10 หมี่!


 


‘ประทับไท่ซานกับอาคมพันทวีนับว่าเข้าคู่กันได้ลงตัวนัก ยอดเยี่ยมจริงๆ!’


 


ถึงแม้ว่าตอนนี้เลือดลมในร่างต้วนหลิงเทียนจะปั่นป่วนจากพลังสะท้อนอยู่บ้าง หากแต่ใบหน้ากลับเผยความสดใสยินดีนัก!


 


เขายังไม่ได้เริ่มต้นฝึกฝนวรยุทธ์เซียนเผิงทองถาโถมเคล็ดประทับไท่ซานแต่อย่างไร เขาเพียงใช้ออกตามแนวทางคร่าวๆ จึงยังผลให้มีกลิ่นอายของประทับไท่ซานจางๆเท่านั้น ทว่าแม้จะบางเบาเพียงใดยามผสานเข้ากับอาคมเซียนพันทวี…


 


ตัวดาบก็เปี่ยมไปด้วยสภาวะดุดันเกรี้ยวกราดประหนึ่งขุนเขาใหญ่ถล่มทับลงมาจริงๆ!


 


ความรู้สึกของการได้ซัดศัตรูจนปลิวด้วยพลังดิบเถื่อนแบบนี้ ทำให้เลือดลมในร่างต้วนหลิงเทียนสูบฉีดพุ่งพล่าน ความรู้สึกเดิมๆเริ่มหวนคืนมา!


 


ตอนนี้เขารู้สึกสะใจ แทบอดไม่ไหวที่จะหัวเราะออกมาดังๆ!


 


“ศิษย์พี่ฝ่ายในงั้นเหรอ?”


 


หันหน้าไปไม่รีบไม่ร้อน เหลือบมองร่างอี้หนันที่ถูกซัดปลิดปลิวจนสภาพคล้ายสุนัขป่วยใกล้ตายไกลตา ต้วนหลิงเทียนเพียงแสยะยิ้มกล่าวเยาะออกมาคำหนึ่ง ค่อยสะบัดมือเก็บดาบใหญ่และเดินมุ่งหน้ากลับฝ่ายนอกไปท่ามกลางสายตายำเกรงของศิษย์ฝ่ายในโดยรอบ


 


อี้หนันที่ได้ยินวาจาถ้อยคำหยันหยามของต้วนหลิงเทียน เดิมทีอาการมันก็มิสู้ดีอยู่แล้ว เลือดลมพลันปั่นป่วนกระอักโลหิตออกมาคำใหญ่อีกรอบ สุดท้ายก็ทนพิษบาดแผลกับโทสะไม่ไหวเป็นลมสิ้นสติไป…


 


มองส่งจนแผ่นหลังของต้วนหลิงเทียนหายลับไปกับตา ศิษย์ฝ่ายในที่มาชมดูการต่อสู้ค่อยได้สติกลับคืนเข้าร่าง พวกมันต่างหันมองสบตาแลกเปลี่ยนความเห็นกับคนอื่นๆทันที


 


“ตั้งแต่เมื่อใดกันที่ฝ่ายนอกมีศิษย์ร้ายกาจขนาดนี้?”


 


“ศิษย์ฝ่ายนอกผู้นั้นกลับเอาชนะอี้หนันได้ง่ายดายเพียงนี้…สมควรเป็นยอดฝีมือแนวหน้าของศิษย์ฝ่ายนอก และต้องเป็นผู้ที่ติดอันดับในรายนามปฐพีเป็นแน่! ในฝ่ายนอกสมควรมีเพียง 5 คนที่มีพลังฝีมือระดับนี้”


 


“เจ้าผิดแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงสี่! เฝิงฟ่านนั่นตกตายไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว!”


 


“ข้าไม่ผิด เฝิงฟ่านนั่นถูกฆ่าตายไปแล้วเช่นนั้นตำแหน่งมันก็ต้องถูกแทนที่..เจ้าอย่าได้ลืมไป ว่าหลังจากที่ฆ่าเฝิงฟ่านแล้ว ศิษย์ฝ่ายนอกอันร้ายกาจที่พึ่งมีชื่อเสียงขึ้นมาเมื่อเร็วๆนี้ ก็ต้องขึ้นมาแทนที่อันดับในรายนามปฐพีของเฝิงฟ่าน!!”


 


“ใช่ๆ ดูเหมือนศิษย์ฝ่ายนอกที่ร้ายกาจนั่นจักเรียกว่าต้วนหลิงเทียน!”


 


……


 


ศิษย์ฝ่ายในเริ่มสนทนากันระงม ไม่นานทั้งหมดก็นึกถึงนามที่เป็นที่กล่าวขานอยู่ช่วงนี้


 


“เฮ่ เมื่อกี้พวกเจ้าบอกว่า…ศิษย์ฝ่ายนอกผู้นั้นคือต้วนหลิงเทียนงั้นเหรอ?”


 


ทันใดนั้นมีเสียงไถ่ถามเสียงหนึ่งดังขึ้น


 


“ข้าเองก็ไม่แน่ใจนะ แต่ดูแล้วสมควรเป็นเช่นนั้น…ดาบใหญ่ในมือศิษย์ฝ่ายนอกคนนั้น ดูแล้วเหมือนดาบใหญ่ที่เฝิงฟ่านใช้ไม่มีผิด อีกทั้งยังมีอาคมเซียนพันทวีจารึกอยู่เหมือนกันอีกด้วย”


 


หลังจากที่นึกถึงข้อมูลเรื่องนี้ ความจำทั้งหมดคล้ายถูกกระตุ้นเตือน


 


ในที่สุดทั้งหมดก็สามารถยืนยันได้แน่ชัด


 


ศิษย์ฝ่ายนอกเมื่อครู่ สมควรเป็นสัตว์ประหลาดอันร้ายกาจที่พึ่งมีชื่อเสียงเลื่องลือขึ้นมาในฝ่ายนอกได้ไม่นาน ต้วนหลิงเทียน!


1466 แดนสวรรค์!


 


หลังจากที่ยืนยันได้แล้ว ว่าศิษย์ฝ่ายนอกเมื่อครู่คือต้วนหลิงเทียน ใบหน้าของศิษย์ฝ่ายในทั้งหลายก็เผยความตกใจออกมากันถ้วนหน้า


 


“ข้าได้ยินคำร่ำลือของต้วนหลิงเทียนมาแล้วก็จริง แต่ไม่คิดเลยว่าที่แท้จะร้ายกาจขนาดนี้…ถึงแม้ว่าจะเอาชนะอี้หนันได้เพราะใช้ดาบใหญ่ที่มีอาคมพันทวี แต่ก็มิอาจปฏิเสธพลังฝีมือส่วนตัวของเขาได้”


 


ศิษย์ฝ่ายในหลายคนลอบถอนหายใจ


 


“ชื่อเสียงนับว่ามิเกินเลย…อันที่จริงข้าว่าต้วนหลิงเทียนคนนี้ยังร้ายกาจกว่าในข่าวลือเสียอีก”


 


ศิษย์ฝ่ายในคนอื่นกล่าวเสริม


 


“และที่ข้ายิ่งตกใจก็เพราะว่ามีคนยืนยันแล้วว่าต้วนหลิงเทียนผู้นี้ ยังพึ่งอยู่ในขอบเขตหลุดพ้นมนุษย์ขั้นสมบูรณ์แบบเท่านั้น…ให้ตายเถอะ! ขนาดอยู่ในด่านพลังหลุดพ้นมนุษย์ขั้นสมบูรณ์แบบยังร้ายกาจขนาดนี้ แล้วถ้านี่ทะลวงไปหลุดพ้นมนุษย์ขั้นยิ่งใหญ่จักร้ายกาจถึงขั้นใดกัน?”


 


มีบางคนที่นึกถึงพลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียนได้ จึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาด้วยความตกใจ


 


ทันใดนั้นเองฉากโดยรอบก็กลับกลายเงียบงันไร้กระทั่งเสียงลมหายใจ


 


หลังจากที่ชมดูเรื่องราวกันมาตั้งนาน พวกมันพึ่งตระหนักได้ถึงความจริงเรื่องนี้…


 


ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนยังเป็นแค่จอมยุทธ์หลุดพ้นมนุษย์ขั้นสมบูรณ์แบบเท่านั้น!


 


“เหอๆ…อาศัยพลังฝึกปรือขอบเขตหลุดพ้นมนุษย์ขั้นสมบูรณ์แบบ กลับฆ่าเฝิงฟ่านอันดับที่ 99 ในรายนามปฐพีจนแทนที่ได้…ข้าว่าในประวัติศาสตร์ของสำนักจันทร์จรัสแสงเรา ตัวประหลาดร้ายกาจเช่นนี้ยังมิเคยมีมาก่อนด้วยซ้ำ!”


 


ศิษย์ฝ่ายในคนหนึ่งกล่าวออกด้วยสายตายำเกรง


 


“ต้วนหลิงเทียนผู้นี้ เสมือนถูกฟ้าลิขิตให้มาเขียนประวัติศาสตร์บทใหม่ของสำนักจันทร์จรัสแสงของเรา…”


 


ศิษย์ฝ่ายในบางคนเริ่มกล่าวออกมาด้วยความตื่นเต้น “อย่างไรเสียต้วนหลิงเทียนก็เป็นศิษย์สำนักจันทร์จรัสแสงเรา! นั่บว่าเป็นเกียรติแก่สำนักจันทร์จรัสแสงเรายิ่งนัก!”


 


“จริงสิข้าได้ยินว่าการประลองเป็นตายเมื่อวานกับเฝิงฟ่าน ต้วนหลิงเทียนยังได้คะแนนอุทิศมา 3,000,000 แต้มด้วยนี่!”


 


“ใช่ๆ ข้าเองก็ได้ยินเรื่องนี้มาเช่นกัน…แต่เห็นว่าต้วนหลิงเทียนกลับเลือกที่จะคืนคะแนนอุทิศให้แก่ผู้ที่เสียพนันครึ่งหนึ่ง…จักอย่างไรในมือเขา ต่ำๆก็ต้องมี 1,500,000 คะแนนอุทิศ!”


 


“บิดาช่วย! 1,500,000 คะแนนอุทิศ…นี่มันร่ำรวยทัดเทียมกับอาวุโสฝ่ายในของพวกเราแล้ว!”


 


……


 


เมื่อพูดถึงความมั่งคั่งของต้วนหลิงเทียน ศิษย์ฝ่ายในหลายคนอดไม่ได้ที่จะอิจฉา


 


“เจ้านั่นคือต้วนหลิงเทียน? ศิษย์ฝ่ายนอกที่มีคะแนนอุทิศอย่างต่ำ 1,500,000 แต้ม?”


 


ตอนนี้เองบรรดาศิษย์ฝ่ายในที่ทำการค้ากับต้วนหลิงเทียน พลันหวนนึกถึงฉากการต่อรองราคาของต้วนหลิงเทียน อดไม่ได้ที่พวกมันจะรู้สึกปวดจี๊ดในตับ ยังโมโหจนแทบจะกระอักเลือดออกมาเสียให้ได้!


 


ขณะเดียวกันในแววตาของมันก็แฝงความเศร้าเหงาหงอยขึ้นมา


 


มารดาของมัน เจ้านับเป็น ‘ทรราชท้องถิ่น’ มีคะแนนอุทิศนับล้าน แต่เจ้ากลับมาต่อราคาของที่ราคาไม่กี่พันคะแนนอุทิศกับพวกเราหรือ?


 


กระทั่งของราคาหลายพันเจ้ายังต่อจนเหลือหลักร้อยคะแนนอุทิศ มารดาของเรา!


 


ต้วนหลิงเทียนย่อมไม่ได้รู้เลยว่าตอนนี้มีศิษย์ฝ่านในที่กำลังปวดใจถึงขั้นคิดร่ำไห้ยังไร้น้ำตาเพราะเขา


 


หลังจากที่เอาชนะอี้หนันแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็กลับมายังฝ่ายนอก ไม่นานก็มาถึงบ้านเดี่ยวพร้อมลานของเขา


 


หลังจากที่เข้ามาในห้องและปิดประตูหน้าต่างดีแล้ว เขาก็วูบร่างเข้าเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติไปทันที และเมื่อส่งมอบวัตถุดิบที่ได้มาในวันนี้ให้ผู้เฒ่าหั่วเสร็จ เขาก็มุ่งหน้าไปยังชั้น 2 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ หยิบป้ายหยกที่ซื้อมาจากคะแนนอุทิศเพื่อรับข้อมูล


 


ในป้ายหยกเหล่านี้มีเรื่องราวมากมายที่เขาสนใจ ยังเป็นเรื่องพื้นฐานที่สมควรรู้ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า


 


ในขณะที่ผู้เฒ่าหั่วกำลังง่วนอยู่กับการซ่อมแซมฟื้นฟูชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ จิตใจของต้วนหลิงเทียนก็จมจ่อมไปในข้อมูลอันมหาศาลของป้ายหยก


 


กล่าวให้ชัดเขาใช้สำนึกสติรับรู้ข้อมูลทั้งหลายที่บันทึกไว้ในป้ายหยก


 


ข้อมูลในป้ายหยกนี้นับว่าครอบคลุมเรื่องราวหลายๆอย่าง


 


ยังมีข้อมูลของการหลอมกลั่นศาสตราเซียนและโอสถเซียน กระทั่งเรื่องราวของยันต์เต๋าที่ถูกปรมาจารย์ยันต์เต๋าวาด ไม่เว้นกระทั่งอาคมเซียนที่ปรมาจารย์จารึกเซียนเขียนสลัก


 


ต้วนหลิงเทียนเลือกที่จะดูเรื่องราวของอาคมเซียน และเรื่องราวของปรมาจารย์จารึกเซียนก่อน


 


ถึงแม้ว่าเขาจะมีดาบใหญ่ที่จารึกไว้ด้วยอาคมเซียนพันทวีระดับ 2 ดาว แต่เขาก็เพียงบอกได้ว่ากรรมวิธีในการจารึกอาคมเซียนกับการจารึกอาคมในทวีปเมฆาล่องนั้นมันเหมือนจะคล้ายแต่ก็มีความแตกต่างกัน


 


เขายังไม่อาจหาจุดเชื่อมโยงของทั้ง 2 แนวทางนี้ได้


 


และด้วยข้อมูลมากมายที่บันทึกไว้ในป้ายหยก ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็ได้รับทราบขอมูลพื้นฐานและเรื่องราวต่างๆของการจารึกอาคมเซียนมากยิ่งขึ้น


 


“ที่แท้ส่วนที่คล้ายกันระหว่างการจารึกอาคม กับการจารึกอาคมเซียนก็มีไม่น้อยเลย!”


 


“หากข้าหาจุดเชื่อมโยงกลวิธีระหว่างการจารึกอาคมกับอาคมเซียนเจอ นับว่าการจารึกอาคมเซียนก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร…การจะประยุกต์ใช้ความรู้ด้านการจารึกอาคมมาใช้ในการจารึกอาคมเซียนไม่ใช่เรื่องยาก!”


 


“บางทีความทรงจำในด้านงานฝีมืออื่นๆของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิดอาจจะไม่มีค่าอะไรกับข้าตอนนี้ แต่ความทรงจำในส่วนของการจารึกอาคม น่าจะเป็นสมบัติที่ล้ำค่าในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแห่งนี้! หนทางแห่งความร่ำรวยโบกมือรอข้าแล้ว!!”


 


หลังจากที่ทำความเข้าใจการจารึกอาคมเซียน ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ว่า ตราบใดที่เขาสามารถศึกษากลวิธีการจารึกมันได้ล่ะก็ เขาสามารถหาจุดเชื่อมโยงระหว่างการจารึกอาคมธรรมดากับอาคมเซียนเจอแน่!!


 


พอถึงตอนนั้นความทรงจำล้ำค่าของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิดทั้ง 2 ชาติภพ จะมีประโยชน์กับเขามหาศาล!


 


เขา ต้วนหลิงเทียน มีแนวโน้มว่าจะสามารถกลายเป็น ปรมาจารย์จารึกเซียน ของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแห่งนี้ได้!


 


ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า มูลค่าของอาคมเซียนนั้น บอกเลยว่าสูงกว่ายันต์เต๋าเสียอีก!


 


เหตุผลสำคัญของเรื่องนี้เป็นเพราะ ยันต์เต๋านั้นจะอย่างไรก็อยู่ในรูปแบบสิ่งของใช้แล้วทิ้ง…เมื่อท่านสำแดงอานุภาพของยันต์ ตัวยันต์ก็จะสลายหายไป…แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนยังรู้จักข้อมูลในป้ายหยกอีกว่า มียันต์เต๋าขั้นสูงที่สามารถใช้ได้หลายครั้ง


 


อนิจจายันต์เต๋าระดับสูงเหล่านั้นสำนักจันทร์จรัสแสงคงเข้าไม่ถึง จึงเป็นเสมือนสิ่งของที่ดำรงอยู่ก็แต่ในตำนานของสำนักก็ไม่ปาน


 


เรื่องนี้นับว่าแตกต่างจากอาคมเซียนมากนัก เพราะโดยปกติแล้วอาคมเซียนจะจารึกลงบนสิ่งของ ที่เห็นชัดก็คือศาสตราเซียน และขอเพียงศาสตราเซียนเล่มนั้นไม่ถูกทำลาย อาคมเซียนที่จารึกเอาไว้ก็จะไม่มีวันเสื่อมสภาพ สามารถใช้ได้ไม่รู้จบ!


 


ด้วยเหตุนี้มูลค่าของศาสตราเซียนที่มีอาคมเซียนจารึกไว้จึงถีบตัวสูงขึ้นมาก


 


เช่นเดียวกันกับดาบใหญ่ที่มีอาคมพันทวีจารึกไว้ของเขา ถึงแม้จะเป็นแค่อาคมเซียนระดับ 2 ดาว ทว่ามันก็มีราคาสูงถึง 200,000 คะแนนอุทิศแล้ว…และยันต์เต๋าระดับ 2 ดาวทั่วไปขายกันอยู่ที่หลักหมื่นคะแนนอุทิศเท่านั้น


 


แน่นอนว่ายังมีข้อยกเว้นอยู่บ้าง


 


อาธิเช่นยันต์เต๋าสายจู่โจมระดับ 2 ดาว


 


ยันต์เต๋าสายจู่โจมระดับ 2 ดาวนั้น ยามสำแดงพลังสามารถพิฆาตได้กระทั่งตัวตนในขอบเขตสู่เซียนขั้นเชี่ยวชาญ!


 


หลังจากที่อ่านข้อมูลเรื่องการจารึกอาคมเซียนจนเข้าใจแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มอ้านป้ายหยกที่มีข้อมูลของการหลอมสร้างปรับแต่งศาสตราเซียน รวมถึงการหลอมกลั่นปรุงโอสถเซียน และเพียงเวลาแค่ไม่นานเขาก็พบว่า…เขาสิ้นวาสนากับศาสตร์แห่งการหลอมเสียแล้ว!


 


ทั้งหมดนี้เป็นเพราะผู้ที่จะสามารถกลายเป็นปรมาจารย์เซียนหลอมได้นั้น ร่างกายต้องมีคุณสมบัติธาตุไฟแต่กำเนิด!


 


เพราะมีเพียงร่างกายมีคุณสมบัติธาตุไฟเท่านั้น ถึงจะสามารถสื่อสารเชื่อมต่อกับเปลวเพลิงที่ใช้ในการหลอมโอสถเซียนและศาสตราเซียนได้


 


จุดนี้นับว่าแตกต่างจากทวีปเมฆาล่องอย่างสิ้นเชิง


 


เพราะในทวีปเมฆาล่องนั้น ตราบใดที่พลังฝึกปรือถึงเกณฑ์ พลังงานต้นกำเนิดสามารถรีดเค้นจุดเพลิงหลอมโอสถและศาสตราออกมาได้ ขอเพียงมีความเข้าใจในการใช้พลังสูงมากพอ


 


“ทุกที่ทางมันก็ย่อมมีหนทางความเป็นไปต่างกันล่ะนะ…”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวบ่นพึมพำ


 


อย่างไรก็ตามพอได้รู้แบบนี้แล้ว เขาก็ไม่ได้ผิดหวังอะไรแม้แต่น้อย


 


เพราะในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแห่งนี้กลับไม่ขาดปรมาจารย์เซียนหลอมเลย ไม่ว่าจะเป็นโอสถเซียนหรือศาสตราเซียน


 


สิ่งที่ขาดและหาได้ยากกลับเป็นปรมาจารย์ยันต์เต๋ากับปรมาจารย์จารึกเซียน!


 


ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแห่งนี้ นอกจากจอมยุทธ์และผู้ฝึกเต๋ามากฝีมือจะได้รับความเคารพนับถือแล้ว บรรดาปรมาจารย์ยันต์เต๋ากับปรมาจารย์จารึกเซียนก็ได้รับความเคารพจากทุกคนอย่างสูง!


 


“เดี๋ยวสักพักข้าลองไปหาอาวุโสฟ่างเฉียน และถามว่าหากคิดจะเป็นปรมาจารย์จารึกเซียนต้องทำอย่างไรดูดีกว่า…ตราบใดที่ข้าทราบรากฐานของการจารึกอาคมเซียน ข้าคงประยุกต์ใช้ความรู้จากการจารึกอาคมก่อนหน้ามาใช้กับการจารึกอาคมเซียนได้ไม่ยาก…”


 


พอคิดถึงเรื่องนี้ ใจต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะบังเกิดความคาดหวังทั้งฮึกเหิมขึ้นมา


 


ปรมาจารย์จารึกเซียน!


 


เขา ต้วนหลิงเทียน นับว่ามีคุณสมบัติแรกเริ่มสูงเกินพอที่จะกลายเป็นปรมาจารย์จารึกเซียน!


 


ยิ่งไปกว่านั้นวันใดที่เขาได้กลายเป็นปรมาจารย์จารึกเซียนล่ะก็ เกรงว่าเขาคงไม่ใช่ปรมาจารย์จารึกเซียนที่มีฝีมือดาษๆแน่นอน!


 


ด้วยความทรงจำ 2 ชาติภพของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิด รากฐานการจารึกอาคมของเขาบรรลุถึงขอบเขตยากหยั่งถึง วันใดที่เขากลายเป็นปรมาจารย์จารึกเซียนได้ล่ะก็ วันนั้นจะเป็นวันที่ ‘ปรมาจารย์จารึกเซียนต้นแบบ’ ถือกำเนิด!


 


ถึงแม้ว่าระหว่างปรมาจารย์จารึกเซียนกับปรมาจารย์จารึกเซียนต้นแบบ จะต่างกันแค่คำเดียว ทว่าความแตกต่างระหว่างทั้งสองนั้นประหนึ่งสวรรค์และโลก!


 


ในบรรดาปรมาจารย์จารึกเซียนนับพัน อาจไม่มีแม้กระทั่งปรมาจารย์จารึกเซียนต้นแบบสักคน!


 


หลังจากที่ทำความเข้าใจข้อมูลเรื่องราวต่างๆจากป้ายหยกทั้งหมดเสร็จแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็นั่งสมาธิปรับสภาพจิตใจเพื่อให้เหมาะสมแก่การฝึกฝนวรยุทธ์ เขาคิดเปลี่ยนวรยุทธ์อาภรณ์เงินที่ใช้ให้กลายเป็นอาภรณ์ทอง!


 


ในฐานะที่เป็นดั่งวรยุทธ์ต่อยอดของอาภรณ์เงิน อาภรณ์ทองนั้นก็มีกลวิธีในการบ่มเพาะปลูกฝังละม้ายคล้ายกัน


 


ดังนั้นต้วนหลิงเทียนจึงใช้เวลาไม่นาน ก็สามารถใช้อาภรณ์ทองได้สำเร็จ อีกทั้งยังบรรลุถึงขั้นตอนรอบรู้ได้ไม่ยากเย็น!


 


และตอนนี้ยามต้วนหลิงเทียนใช้ออกด้วยอาภรณ์ทอง ทั่วร่างก็ปรากฏม่านพลังสีทองฉาบคลุม มองไปคล้ายมีผ้าสีทองโปร่งแสงมาคลุมตัวเอาไว้อย่างไรอย่างนั้น


 


หลังจากที่ฝึกฝนจนใช้วรยุทธ์อาภรณ์ทองได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เบนความสนใจไปยังวรยุทธ์เซียนเผิงทองถาโถมทันที และเขาเลือกที่จะฝึกฝนเคล็ดประทับไท่ซานก่อนอื่นใด


 


เคล็ดวรยุทธ์นี้นับว่าผสานกับดาบใหญ่ที่มีอาคมพันทวีได้อย่างลงตัว!


 


วันนี้เขาที่ไม่เคยฝึกประทับไท่ซานมาก่อน เพียงลองใช้พลังตามแนวทางวรยุทธ์ด้วยดาบใหญ่อาคมพันทวี เขาก็สามารถซัดอี้หนันจนปลิวละลิ่วไปไม่เป็นท่า!


 


ยังเป็นการปะทะวัดพลังกันตรงๆดั่งตาต่อตาฟันต่อฟัน!


 


ความรู้สึกที่เลือดเนื้อทั่วร่างคล้ายอุดมไปด้วยพลังมหาศาลจนเลือดลมพุ่งพล่านนั้น ทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกสะใจอย่างบอกไม่ถูก!


 


แน่นอนว่าในขณะที่ทุ่มเทฝึกฝนวรยุทธ์ ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ละเลยการโคจรบ่มเพาะสั่งสมพลัง


 


เพราะตอนนี้เป้าหมายใกล้ตัวที่สุดของเขาก็คือบรรลุถึงขอบเขตหลุดพ้นมนุษย์ขั้นยิ่งใหญ่!


 


ถึงตอนนั้นพลังความแข็งแกร่งของเขาจะก้าวหน้าขึ้นไปอย่างน่ากลัว!


 


ชีพจรเซียนของเขาจะถูกทะลวงเปิดจนถึงขีดจำกัด!


 


ณ ตำหนักเมฆาคราม ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า


 


เกาะขนาดใหญ่มหึมาลอยค้างกลางฟ้า ท่องเย้ยทะเลเมฆโดยไร้สิ่งใดพยุง ตลอดทั้งเกาะมีม่านหมอกบางๆปกคลุมตลบไปทั่ว มองไปจึงคล้ายแดนสวรรค์ วิมานฟ้าก็ว่า


 


และบนเกาะมหึมาแห่งนี้ ก็มีตำหนักโอ่อ่ามหึมาหลังหนึ่ง


 


ตำหนักหลังนี้มีขนาดใหญ่โตมหึมานัก โอ่โถงเสียยิ่งกว่าพระราชวังอันใดในทวีปมนุษย์ รูปทรงยังวิจิตรงดงาม ราวจิตกรมือเอกของแดนสวรรค์มาเนรมิต


 


ด้านหลังของตำหนักมหึมาแห่งนี้กลับเป็นสวนขนาดใหญ่เสมือนทุ่งหญ้ากว้าง ไกลตายังแลเห็นแนวป่า สัตว์ร้ายและสัตว์เซียนมากมายสัญจรไปมาบ้างละเล่นหยอกล้อ บ้างไล่ล่าเติมเต็มวัฏจักรชีวิต และดูมีชีวิตชีวานัก


 


ณ มุมหนึ่งของของสวน ปรากฏศาลา 8 เหลี่ยมหลังหนึ่ง


 


ศาลานี้พิกลนักเพราะมันไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นดิน หากแต่ล่องลอยอยู่กลางอากาศ! ด้านล่างศาลาเป็นทะเลสาบกระจ่างเต็มไปด้วยมัจฉามากมายทั้งใหญ่น้อย บรรยากาศสงบร่มรื่น ผิวทะสาบเองก็มีม่านเมฆหมอกลอยต่ำบางๆ ยามไร้สายลมพัดพา บังเกิดเป็นทิวทัศน์พาลให้ใจสงบนัก


 


ในศาลาหลังนี้ปรากฏร่างหนึ่งชายหนึ่งหญิงนั่งตรงข้ามกันบนเก้าอี้ของชุดโต๊ะหินอ่อน


 


บนโต๊ะหินอ่อนมีสุราอาหารมากมายจัดวางไว้ แลดูสวยงามน่ารับประทานไม่น้อย


 


อนิจจาแต่ยามนี้ใจของหนึ่งบุรุษสตรีไม่คล้ายจะอยู่ที่อาหารเลิศรสเหล่านี้เลย


 


กล่าวให้ชัดตอนนี้ทั้งคู่คล้ายตกอยู่ในภวังค์คิด


 


“หลัวเอ๋อ…เจ้าคิดถึงเทียนเอ๋ออีกแล้วหรือ?”


 


ชายหนุ่มค่อนไปทางชายวัยกลางคนหน้าตาหล่อเหลา อันมีโครงหน้าละม้ายคล้ายต้วนหลิงเทียนหลายส่วน กล่าวถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน


 


“พี่เฟิง…นี่มันก็หลายปีแล้ว ไฉนเทียนเอ๋อยังมามิถึงอีกเล่า? ใช่เกิดเรื่องอันใดกับลูกหรือไม่?”


 


สตรีนางนี้มิใช่ใครที่ไหน ที่แท้เป็น ‘ลี่หลัว’ มารดาของต้วนหลิงเทียนนั่นเอง…


1467 เฒ่าพยากรณ์


 


“หลัวเอ๋อเรื่องนี้เจ้าวางใจเถิด…ตราบใดที่เทียนเอ๋อมีพลังฝึกปรือถึงขั้นที่สามารถเปิดกล่องหยกที่ข้าทิ้งไว้ให้เขาได้ เขาย่อมมาหาพวกเราที่ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแน่นอน…อีกทั้งข้ายังทิ้งสถานที่นัดหมายเอาไว้อย่างละเอียดนัก เมื่อมาถึงเขาย่อมได้พบกับผู้เฒ่ากู่ที่รออยู่ทันทีเป็นแน่…”


 


บุรุษผู้นี้ที่แท้ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นบิดาไม่เอาไหนในสายตาของต้วนหลิงเทียน ‘ต้วนหรูเฟิง’ นั่นเอง “ตราบใดที่เทียนเอ๋อพบผู้เฒ่ากู่ ผู้เฒ่ากู่ย่อมพาเขามาหาพวกเราทันที”


 


“พวกเราควรพาลูกมาด้วยแต่แรก…”


 


ลี่หลัวกล่าวออกมาด้วยความเสียใจ


 


“หลัวเอ๋อ…ตอนนั้นไม่ใช่เจ้าเห็นด้วยกับพี่แล้วหรือ เจ้าอย่าได้กังวลไปเลย…มียันต์เต๋าที่ข้าทิ้งไว้ให้ 3 แผ่นกอปรด้วยอัจฉริยะภาพของเทียนเอ๋อลูกเรา เขาย่อมเดินทางมาถึงดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแห่งนี้โดยสวัสดิภาพเป็นแน่…ผู้ใดจักไปรู้เล่า บางทีตอนนี้เทียนเอ๋ออาจจะพบกับผู้เฒ่ากู่แล้วก็ได้”


 


ต้วนหรูเฟิงกล่าว


 


ในตอนนั้นที่มันทิ้งบุตรชายคนเดียวเอาไว้ เพียงเพราะมันหวังว่าบุตรชายของมันจะค่อยๆเติบโตขึ้นทีละก้าวในทวีปมนุษย์ กระตุ้นเร้าศักยภาพที่มีให้ออกมาถึงขีดสุด…รวมถึงอีกเรื่องหนึ่ง


 


หากมันเลือกที่จะพาลูกชายมันมาดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าด้วยตั้งแต่ตอนนั้น เกรงว่า ‘การเดินทางแห่งโชคชะตา’ ของบุตรชายอย่างต้วนหลิงเทียน ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าคงได้รับผลกระทบแน่แล้ว


 


ยังมีบุพการีคนไหนไม่หวังให้ลูกตัวเองเป็นดั่งหงส์มังกรผงาด?


 


เช่นนั้นแล้วในวันนั้นที่ต้วนหรูเฟิงกล่าวอธิบายเรื่องราวความจำเป็น ลี่หลัวเองก็ตกลงเห็นดีเห็นงามด้วย


 


“ข้าก็หวังว่าจักเป็นเช่นนั้น”


 


ลี่หลัวยังคงเป็นกังวลอยู่ไม่น้อย


 


“กล่าวบอกต่อเจ้าตามตรง เพราะหลายปีที่แล้วข้าบังเอิญได้เจอกับท่านผู้เฒ่าพยากรณ์ ข้าเลยขอให้ท่านผู้เฒ่าทำนายชะตาของเทียนเอ๋อเรา…”


 


ต้วนหรูเฟิงมองกล่าวกับลี่หลัวด้วยรอยยิ้ม อย่างไรก็ตามไม่ทันที่มันจะกล่าวได้จบคำ ก็ถูกลี่หลัวโพล่งขัดไว้เสียก่อน


 


“เฒ่าพยากรณ์ที่ท่านกล่าว คือผู้เฒ่าที่ท่านบอกว่าหยั่งรู้ชะตาลิขิตของฟ้าดิน กระทั่งล่วงรู้ถึงเจตจำนงสวรรค์ได้คนนั้นน่ะหรือ?”


 


ไม่ใช่แค่วันสองวันที่ลี่หลัวมาอาศัยอยู่ในตำหนักเมฆาครามแห่งนี้ นางย่อมเคยได้ยินเรื่องเล่าขานของผู้เฒ่าพยากรณ์ที่มีพลังสามารถทำนายทายทักอันแม่นยำ ดุจหยั่งรู้ฟ้าดินเห็นซึ้งถึงเจตนารมณ์สวรรค์! อีกทั้งเฒ่าพยากรณ์ผู้นี้นับเป็นคนแปลกประหลาดนัก ไม่เพียงประพฤติตัวดั่งมังกรเทพยาดาเห็นหัวไม่เห็นหาง นิสัยยังพิสดารเหลือเกิน เพียงทำนายชะตาให้แก่ผู้คนที่มันพึงพอใจเท่านั้น!


 


หาไม่แล้วต่อให้อีกฝ่ายจะมีความเป็นมายิ่งใหญ่และทรงพลังเพียงใด มันก็ไม่แยแส


 


“เป็นผู้เฒ่าเอง”


 


ต้วนหรูเฟิงพยักหน้า


 


“ข้าได้ยินมาว่ามิใช่แค่ผู้เฒ่าเป็นคนประหลาดพบพานได้ยาก ยังทำนายทายทักชะตาให้แก่ผู้ที่ท่านพึงพอใจเท่านั้น…และยังไม่คิดจะกล่าวบอกชะตาผู้ใดซ้ำ แล้วไฉนกับเทียนเอ๋อของเราที่ไม่เคยเห็นด้วยซ้ำ ท่านผู้เฒ่าถึงได้สนใจทำนายให้เล่า?”


 


ลี่หลัวกล่าวถามด้วยความสงสัย


 


“ข้าเองก็มิรู้ว่าเป็นเพราะอะไรเช่นกัน…กล่าวไปแล้วยังประหลาดนัก เพราะผู้เฒ่ากลับบอกข้าว่า ท่านเป็นฝ่ายริเริ่มออกตามหาข้าเองด้วยซ้ำ…”


 


ต้วนหรูเฟิงกล่าว ใบหน้ายังเผยความประหลาดใจและไม่เข้าใจ


 


“ท่านผู้เฒ่าเป็นฝ่ายออกตามหาท่านพี่เองหรือ?”


 


ลี่หลัวอึ้งไปเล็กน้อย ถึงแม้สามีของนางจะเป็นถึงเจ้าตำหนักเมฆาครามผู้ยิ่งใหญ่ แต่ผู้เฒ่าพยากรณ์ที่มีนิสัยแปลกประหลาดคนนั้น ก็ไม่น่าจะถูกฐานะและอำนาจของสามีนางดึงดูดความสนใจอะไรได้นี่นา?


 


เพราะแม้แต่ตัวลี่หลัวเองก็เคยได้ยินเรื่องราวหนึ่งมา


 


ผู้ยิ่งใหญ่อีกคนที่มีฐานะทัดเทียมกับต้วนหรูเฟิงผู้เป็นเจ้าตำหนักเมฆาครามนั้น กระทั่งไปอ้อนวอนต่อเฒ่าพยากรณ์ก็แล้ว ยินดีมอบสมบัติล้ำค่าให้ก็แล้ว แต่ยังถูกปฏิเสธมาอย่างไม่ใยดี


 


ดังนั้นนางจึงไม่คิดว่าเป็นเพราะฐานะและอำนาจของสามีนางที่ดึงดูดผู้เฒ่าพญากรณ์…


 


เรื่องนี้อีกฝ่ายต้องมีความลับบางประการปิดบังอยู่เป็นแน่!


 


“พี่เองก็ว่าแปลกยิ่ง วันนั้นพี่ก็ถามแล้วว่าเพราอะไร หากแต่ผู้เฒ่ากล่าวบอกว่าลิขิตสวรรค์มิอาจแพร่งพรายให้ผู้คน…แต่ทว่าพอพี่กล่าวถามเรื่องชะตาของเทียนเอ๋อ ท่านผู้เฒ่ากลับมิปฏิเสธอันใด ยังคล้ายท่านอยากรีบบอกกล่าวข้าโดยเร็วเสียด้วย”


 


ต้วนหรูเฟิงกล่าวสืบต่อ “ข้ายังจำได้ดี วันนั้นท่านผู้เฒ่าบอกข้าว่าเทียนเอ๋อนั้นเป็นคนที่มีโชควาสนานัก อนาคตจักต้องก้าวข้ามข้าไปได้แน่นอน! ท่านผู้เฒ่ายังบอกข้าอีกด้วย…ว่าข้าต้องตัดสินใจปล่อยให้เทียนเอ๋อออกเดินทางมายังดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าด้วยตัวเอง…เพราะหากข้านำพาเทียนเอ๋อมาดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋านี้แต่แรก จักทำให้เทียนเอ๋อพลาดมหาวาสนาอันยิ่งใหญ่…”


 


“มหาวาสนาอันยิ่งใหญ่อันใดหรือ?”


 


ลี่หลัวกล่าวถามด้วยความสงสัย


 


“ข้าเองก็ถามท่านผู้เฒ่าแล้ว ทว่ากระทั่งท่านผู้เฒ่าเองก็บอกข้าว่าไม่ทราบ…”


 


ต้วนหรูเฟิงเผยยิ้มเจื่อนๆออกมา


 


“ฮึ่ม! ลิขิตฟ้ามิอาจเปิดเผยอีกแล้วรึไง?!”


 


ลี่หลัวโค้งคิ้วขึ้นมาอย่างขุ่นขึ้ง “พี่เฟิงท่านแน่ใจนะว่าผู้เฒ่าพยากรณ์ที่ท่านพบเจอมิใช่ตัวปลอม…”


 


“ท่านผู้เฒ่ามิได้กล่าวบอกว่ามหาวาสนาอันยิ่งใหญ่ของเทียนเอ๋อนั้นเป็นลิขิตฟ้าที่มิอาจเปิดเผย…ทว่าท่านกลับบอกข้าตรงๆว่าท่านเองก็ไม่อาจล่วงรู้! แต่ทั้งหมดที่ท่านรู้คือมันคือมหาวาสนาอันยิ่งใหญ่! และวาสนาที่เทียนเอ๋อจะพบเจอนั้น มันมีพลังอำนาจอยู่เหนือกว่าความสามารถในการพยากรณ์ของท่านจนมิอาจหยั่งถึง จึงสุดที่ท่านจะหยั่งรู้มันได้จริงๆ…”


 


ต้วนหรูเฟิงกล่าวเล่าออกมา ขณะกล่าวน้ำเสียงยิ่งมายิ่งเต็มไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ เพราะไม่มีบิดาคนใดที่จะไม่บังเกิดความยินดีเมื่อได้รู้ว่าบุตรของตัวเองจะกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่เหนือล้ำกว่าตัว!


 


หากไม่ใช่เพราะอยากให้ต้วนหลิงเทียนพบพานมหาวาสนาอันยิ่งใหญ่ที่ว่า มันเองก็ไม่คิดจะทิ้งบุตรชายคนเดียวไว้ที่ทวีปเมฆาล่องแบบนี้เนิ่นนาน


 


ทว่าตอนนี้ดูเหมือนการตัดสินใจครั้งนั้นจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้วจริงๆ


 


เพราะหากวันนั้นมันนำพาบุตรชายมายังดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าและตำหนักแห่งนี้พร้อมกัน เกรงว่าบุตรชายของมันคงพลาดมหาวาสนาอันยิ่งใหญ่ที่ว่าแล้วเป็นแน่!


 


“สำหรับตัวตนของท่านผู้เฒ่าพยากรณ์ พี่ยืนยันหลายรอบแล้ว มั่นใจว่ามิใช่แปลกปลอมแน่”


 


มาถึงจุดนี้ต้วนหรูเฟิงก็กล่าวรับรองด้วยความมั่นใจ


 


“หากเป็นท่านผู้เฒ่าพยากรณ์ตัวจริง เช่นนั้นวาจาของท่านก็มิควรแปลกปลอม…มหาวาสนาที่กระทั่งท่านผู้เฒ่าพยากรณ์ยังมิอาจหยั่งถึงเช่นนั้นหรือ? ดูเหมือนว่าเทียนเอ๋อต้องพบพานวาสนาและโชคชะตาที่มิเหมือนผู้ใดในทวีปเมฆาล่องเป็นแน่…”


 


รอยยิ้มหายากพลันคลี่กางบนใบหน้าลี่หลัว


 


“ฮ่าๆๆ…ลูกชายของข้าต้วนหรูเฟิงทั้งคน ย่อมมีโชคชะตาและวาสนาอันประเสริฐ…! กล่าวไปแล้วก็มีคำว่าลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นอยู่มิใช่รึ!?”


 


ต้วนหรูเฟิงกล่าวพร้อมหัวเราะ


 


“ฮึ! ท่านมิอายหรือไรที่กล่าวอวดออกมาเช่นนี้ ยังกล้าพูดถึงวาสนาโชคชะตาอันใดของท่านอีกหรือ? ข้าจำได้ว่าจนถึงทุกวันนี้พอท่านนึกย้อนไปในเรื่องราววันนั้น ท่านยังอดมิได้ที่จะหลั่งเหงื่อเย็นเยียบด้วยซ้ำ หากมิใช่เพราะมีผู้คนทำลายดวงจิตหลักของผู้ฝึกมารอันใดนั่นจนแตกสลาย ป่านนี้ท่านคงยังมิอาจควบคุมร่างกายตัวเองได้สมบูรณ์มิใช่หรือไง…”


 


ลี่หลัวพ่นลม กล่าว


 


ต้วนหรูเฟิงพอได้ยินก็ได้แต่ยิ้มแหยๆ จนด้วยคำพูดไปพักหนึ่ง


 


“ว่าแต่ชิ่งหรู กับว่าที่ลูกสะใภ้ทั้ง 2 ของพวกเราเป็นอย่างไรบ้างเล่า?”


 


พอคิดถึงสตรี 3 คนที่ติดตามมาด้วยลี่หลัวจึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวถามออกมา


 


“ทั้ง 3 คนนั้น นอกจากชิ่งหรูที่มีพรสวรรค์แต่กำเนิดมิค่อยดีแล้ว ไม่ว่าจะเป็นปี้เหยาหรือเซี่ยวหลันนับว่ามีพรสวรรค์มิเลวเลย…อีกไม่เกิน 1 ปีด่านพลังฝึกปรือของปี้เหยากับเซี่ยวหลันต้องทะลวงผ่านได้อีกครั้งเป็นแน่”


 


ต้วนหรูเฟิงยิ้มกล่าว


 


“เช่นนั้นก็ดี”


 


วาที่ลูกสะใภ้ทั้ง 2 ที่ลี่หลัวกล่าวนั้น ย่อมไม่พ้นอดีตองค์หญิงของอาณาจักรนภาล่องอย่างปี้เหยา กับน้องสาวของเซี่ยวหยู เซี่ยวหลัน ที่ติดตามนางพร้อมกับแม่บ้านอย่างชิ่งหรูมายังดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าด้วยกัน พวกนางทั้งคู่นั้นนอกจากจะมีรูปร่างงดงามหมดจด ยังถูกบุตรชายของนางขโมยหัวใจไปเสียแล้ว..


 


อีกทั้งแม้จะผันผ่านมาเนิ่นนานหลายปี แต่ใจของพวกนางไม่เคยแปรเปลี่ยน…


 


สตรีรักมั่นดุจเดียวกันกับนางนั้น นับว่าพบพานได้ยากนัก…


 


“หลัวเอ๋อเท่าที่ข้ารู้…มิใช่ว่าๆที่ลูกสะใภ้ทั้ง 2 ของพวกเรานั้น ดูเหมือนเทียนเอ๋อจะยังไม่ได้เห็นชอบและยอมรับพวกนางเลยนี่นา นอกจากนั้นข้าได้ยินเจ้ากล่าวถึงบ่อยๆว่าข้ายังมีลูกสะใภ้อีก 2 คนที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน…เอาเช่นนี้ปะไร ให้ข้าส่งคนไปพาพวกนางมายังตำหนักเมฆาครามเดี๋ยวนี้เลยดีหรือไม่?”


 


ต้วนหรูเฟิงถาม


 


“เค่อเอ๋อกับเฟยเอ๋อนั้นท่านปล่อยให้พวกนางอยู่กับเทียนเอ๋อที่ทวีปเมฆาล่องเถอะ…หากท่านลักพาตัวลูกสะใภ้ของเทียนเอ๋อมาหมดทั้ง 4 คน เทียนเอ๋อยังไม่เกลียดบิดาอย่างท่านเข้ากระดูกได้หรือ?”


 


รอยยิ้มสดใสพลันคลี่กางขึ้นบนใบหน้าลี่หลัว เมื่อคิดถึงลูกสะใภ้ที่งดงามทั้งคู่


 


นึกภาพออกได้เลย


 


หากต้วนหลิงเทียนมาได้ยินบทสนทนาของบิดามารดาตัวเอง เขาคงต้องประหลาดใจไม่น้อยเป็นแน่!


 


ผู้เฒ่าพยากรณ์


 


อีกฝ่ายได้บอกกล่าวคำทำนายของเขาต่อบิดาเอาไว้ ว่าตัวเขาจะพบพานมหาวาสนาอันยิ่งใหญ่ ที่กระทั่งตัวเองยังสุดที่จะหยั่งถึงและทำนายได้!


 


มหาวาสนาดังกล่าว หากตัวเขาติดตามบิดามายังดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแห่งนี้แต่แรก คงคลาดไปแล้ว?


 


มหาวาสนาที่ว่า…คงมิใช่ เจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ หรอกนะ!!


 


เพราะสุดท้ายแล้วหากตอนนั้นเขาติดตามบิดามายังดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแห่งนี้ เขาคงไม่ได้ไปยังหมู่เกาะเซียนโพ้นทะเล และยิ่งไม่มีโอกาสได้พบเจอเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติเลย!


 


โชคชะตาทุกอย่างของเขากล่าวไปเสมือนฟ้าลิขิตมาแล้วจริงๆ!


 


ทว่าต้วนหรูเฟิงกับลี่หลัวไม่ได้ล่วงรู้เลย ว่าบุตรชายที่ต่างห่วงหากังวลอยู่ทุกคืนวันนั้น ได้เดินทางมาถึงดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าได้ปีกว่าแล้ว!


 


เนื่องจากหยกบันทึกเสียงในกล่องหยก เกิดการแตกหักเสียหายเพราะต้วนหลิงเทียนดื้อรั้นหมายเปิดกล่องด้วยกำลัง จึงทำให้เขาพลาดโอกาสที่จะพบเจอคนที่บิดาส่งไปรอรับตัวเขา…


 


ทั้งคู่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้ตัวเองกำลังจะเป็นปู่ย่าผู้คนแล้ว!


 


เช่นเดียวกันกับที่ต้วนหรูเฟิงกับลี่หลัวไม่รู้เรื่องราวของต้วนหลิงเทียน ทางด้านต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่ได้รู้เลยว่าบิดาของเขาผู้เป็นเจ้าตำหนักเมฆาครามนั้น เป็นผู้นำขุมพลังที่ทรงพลังอำนาจและมากอิทธิพลถึงเพียงใดในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแห่งนี้…ตำหนักเมฆาครามนั้น เหนือกว่าขุมพลังชั้น 5 อย่างคฤหาสน์คลื่นขจีสกุลหาน ที่หานเฉวี่ยไน่อยู่เสียอีก!!


 


ปัจจุบันต้วนหลิงเทียนยังคงก้าวเดินตามเส้นทางด้วยตัวเอง อาศัยอยู่ในฝ่ายนอกของสำนักจันทร์จรัสแสง ฝึกฝนบ่มเพาะอยู่ในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติที่ตั้งแน่นิงอยู่ในห้องของบ้านเดี่ยวพร้อมลานว่างเขาอย่างขยันขันแข็ง…


 


“ด่านพลังฝึกปรือของข้าสมควรมีความก้าวหน้าภายใน 3 เดือน! อีกแค่ไม่กี่ก้าวข้าก็จะบรรลุหลุดพ้นมนุษย์ขั้นยิ่งใหญ่แล้ว!!”


 


ต้วนหลิงเทียนที่บ่มเพาะพลังทั้งฝึกวรยุทธ์อย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อยตลอดระยะเวลา 3 เดือนในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ ในที่สุดก็หยุดพัก ตอนนี้เขารู้สึกพึงพอใจกับผลลัพธ์ที่ได้นัก


 


“นอกจากนั้นอาภรณ์ทองอันเป็นวรยุทธ์เซียนระดับมนุษย์โดดเด่น ข้าก็บรรลุถึงขั้นตอนเจนจัด กระทั่งประทับไท่ซาน เคล็ดโจมตีของวรยุทธ์เซียนระดับมนุษย์โดดเด่นอย่างเผิงทองถาโถม ข้าก็สำเร็จขั้นตอนหยั่งถึงอันเป็นขั้นแรกแล้วเช่นกัน!”


 


ในเวลา 3 เดือนนี้นับว่าต้วนหลิงเทียนมีความก้าวหน้าไม่น้อย


 


แน่นอนว่าถึงแม้จะฝึกปรืออาภรณ์ทอง บ่มเพาะพลัง กระทั่งยังฝึกประทับไท่ซานแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ลืมที่จะฝึกมหาเกาทัณฑ์ดาวตกเลย


 


อย่างไรก็ตามเคล็ดวรยุทธ์ของมหาเกาทัณฑ์ดาวตกนั้น ไม่ว่าจะเคล็ดจู่โจมอย่างดาวตกพิฆาต หรือท่าร่างอย่างคนเกาทัณฑ์ร่วมประสานเขาก็ฝึกฝนมันจนถึงจุดอิ่มตัวแล้ว…หากคิดจะก้าวหน้าอีกขั้นเกรงว่าคงต้องใช้เวลามากกว่านี้หรือมีแรงบันดาลใจอะไรใหม่ๆ


 


โดยรวมแล้วความก้าวหน้าหลังผ่านการบ่มเพาะฝึกปรือตลอดระยะเวลา 3 เดือนในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัตินั้น ก็ไม่ใช่เรื่องที่พูดเกินเลยอะไร!


 


สำหรับอาภรณ์ทองที่มันก้าวหน้าเร็วนัก ล้วนเป็นเพราะร่างกายของต้วนหลิงเทียนมัน ‘ผิดปกติ’ จึงทำให้ความเร็วในการฝึกอาภรณ์ทองมันเร็วขึ้นผิดธรรมดาไปด้วย


 


3 เดือนภายในชั้น 2 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ ก็เทียบได้กับ 1 เดือนของโลกภายนอก


 


หลังจากผ่านมมาหนึ่งเดือน ต้วนหลิงเทียนที่ปิดด่านฝึกตนในบ้าน ในที่สุดก็เปิดประตูบ้านหมายก้าวออกไปสูดอากาศในลานว่างเสียหน่อย


 


อย่างไรตามพึ่งเปิดประตูได้ไม่ทันไร เขาก็สังเกตเห็นสารท้าประลองแผ่นหนึ่งร่วงตกผ่านหน้าลงมา “ยังมีคนที่ส่งสารท้าประลองถึงข้าอีกเหรอ?”


 


ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้ว หากแต่ยังพุ่งมือไปคว้าสารนั่นก่อนที่จะตกพื้นได้ทัน


 


พอเปิดตัวสารดู ก็พบว่ามันเป็นแค่สารท้าประลองธรรมดาๆเท่านั้น


 


คนที่ส่งสารท้าประลองมาถึงเขานั้นเรียกว่าเฮ่อจง


 


“เฮ่อจง? ไม่ใช่คนที่อยู่ในอันดับที่ 3 ของฝ่ายนอกหรือไง หากจำไม่ผิดอันดับในรายนามปฐพีของมันยังอยู่ในอันดับที่ 66 เหนือกว่าเฝิงฟ่านเสียอีก…สมควรบรรลุสูงสุดหลุดพ้นมนุษย์ขั้นยิ่งใหญ่แล้วสินะ”


 


ไม่ใช่แค่วันสองวันที่ต้วนหลิงเทียนมาอาศัยอยู่ที่ฝ่ายนอกของสำนักจันทร์จรัสแสง เขาย่อมรู้จักศิษย์ฝ่ายนอก 4 อันดับแรกที่ติดรายนามปฐพีด้วยเช่นกัน


 


ดังนั้นทันทีที่เขาเห็นนาม ‘เฮ่อจง’ ในสารท้าประลอง เขาก็รู้จักตัวตนของอีกฝ่ายทันที


 


“ไม่ใช่สารท้าประลองเป็นตาย…ถ้างั้นก็ไม่น่าจะเป็นคนของหลิวฮ่วน”


 


ต้วนหลิงเทียนครุ่นคิดในใจเล็กน้อย ลอบคาดเดาเจตนาอีกฝ่าย ‘บางทีเพราะมันได้ยินว่าข้าเอาชนะเฝิงฟ่านได้ จึงอยากสนทนากระทั่งประลองฝีมือกับข้าล่ะมั้ง’


 


พอคิดถึงจุดนี้คิ้วที่ขมวดของต้วนหลิงเทียนก็คลายออก


 


หลังจากประทับลายนิ้วมือลงบนสารท้าประลองแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เดินออกจากบ้านเดี่ยวพร้อมลานว่างของเขาทันที


 


และทันทีที่ๆต้วนหลิงเทียนออกจากบ้าน เขาก็พบว่ามีสายตามากมายหลายคู่จับจ้องมองมาอย่างพร้อมเพรียง แถมสายตาทั้งหลายยังเต็มไปด้วยความคาดหวังคล้ายเฝ้ารอคอยอะไรทำนองนั้น…


 


“ดูเหมือนว่ามีหลายคนที่รู้เรื่องสารท้าประลองที่เฮ่อจงส่งถึงข้าสินะ…”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวพึมพำ


 


หลังจากนั้นเขาก็เดินยิ้มแย้มไปบ้านที่อยู่ไม่ไกล ท่ามกลางสายตาเฝ้ามองด้วยความคาดหวังของเหล่าศิษย์ที่มารอชมดูเรื่องราว ตอบรับคำท้าของเฮ่อจงและให้อีกฝ่ายเลือกวันเวลาประลอง


1468 คำเชิญจากอาวุโสตงฟาง


 


เฮ่อจงเองก็ตอบสนองแทบจะทันที มันกล่าวบอกเวลานัดหมายประลองทั้งสถานที่เรียบร้อย…10 วันให้หลัง ลานฝึกซ้อมฝ่ายนอก!


 


’10 วันเลยงั้นเหรอ? นี่มันต้องเตรียมตัวอะไรของมันนานถึงขนาดนี้?’


 


หลังจากได้ยินคำตอบนัดหมายประลองของเฮ่อจง ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วครุ่นคิดไปด้วยความสงสัย


 


อันที่จริงไม่ใช่แค่ต้วนหลิงเทียนที่งุนงง กระทั่งเหล่าศิษย์ฝ่ายนอกที่เกาะติดสถานการณ์ยังงงไปด้วยเช่นกัน


 


“ศิษย์พี่เฮ่อจงนัดหมายประลองกับศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียน 10 วันหลังจากนี้เหรอ…นี่จะไม่นานเกินไปหน่อยรึไง?”


 


“หรือบางที วรยุทธ์ที่ศิษย์พี่เฮ่อฝึกอยู่ใกล้บรรลุขั้นแล้ว”


 


“นั่นสินะ…อาจเป็นได้”


 


“ดูเหมือนว่าศิษย์พี่เฮ่อเองก็ประเมินศิษย์พี่ต้วนไว้สูงมิน้อย ถึงได้อยากต่อสู้ในสภาพที่ดีที่สุดเช่นนี้…กระทั่งถึงกับประวิงเวลาเสียยืดยาว”


 


“เรื่องนี้กล่าวแล้วก็มิน่าแปลกใจเท่าไหร่ จะอย่างไรเสียศิษย์พี่ต้วนก็สามารถฆ่าศิษย์พี่เฝิงฟ่านได้…เช่นนั้นพลังฝึกปรือของศิษย์พี่ต้วนสมควรไม่ได้ด้อยกว่าศิษย์พี่เฮ่อจง”


 


“ถูกแล้ว เพราะต่อให้เป็นศิษย์พี่เฮ่อจงถึงแม้จะมีภาษีเหนือเฝิงฟ่าน แต่อย่างไรเสียก็คงยากจะฆ่าเฝิงฟ่านในการประลองเป็นตายได้แบบนั้น…”


 


……


 


ตอนนี้เหล่าศิษย์ฝ่ายนอกก็ประทับใจพลังฝีมือต้วนหลิงเทียน จนเจียนเข้าขั้นหน้ามืดตามัวแล้วเช่นกัน


 


ถึงแม้ว่ากาลก่อน เฝิงฟ่านจะเป็นคนที่พวกมันคิดว่าน่าจะแข็งแกร่งที่สุดในฝ่ายนอก ทว่าสุดท้ายแล้วก็เป็นเรื่องที่พวกมันคิดกันไปเองเท่านั้น เพราะอันดับในฝ่ายนอก เฝิงฟ่านก็ยังเป็นแค่อันดับ 5 เท่านั้น


 


ส่วนด้านเฮ่อจงนั้น มันติดอันดับ 3 ในฝ่ายนอก อีกทั้งอันดับในรายนามปฐพีของมันยังเหนือกว่าเฝิงฟ่านเสียอีก เพราะมันครองอันดับที่ 66! นั่นทำให้การประลองระหว่างต้วนหลิงเทียนกับเฮ่อจง สร้างความตื่นเต้นให้ศิษย์ฝ่ายนอกนัก


 


เพราะต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่เพียงแต่จะสังหารเฝิงฟ่านในการประลองเป็นตายเมื่อเดือนที่แล้ว หลังจากนั้นแค่วันเดียว เขาถึงกับเอาชนะศิษย์ฝ่ายในได้อย่างเหนือชั้นที่หน้าศาลาอุทิศ!


 


การต่อสู้ดังกล่าว ทำให้เหล่าศิษย์ฝ่ายนอกมีหน้ามีตาขึ้นมาทันที!


 


ศิษย์ฝ่ายนอกเอาชนะศิษย์ฝ่ายในได้ เรื่องนี้มันช่างงดงามเพียงใดกัน!?


 


‘มั่นใจในตัวข้ากันขนาดนั้นเลย?’


 


เมื่อต้วนหลิงเทียนเห็นว่ามีศิษย์ฝ่ายนอกมากมายหลายคนที่ถือหางเขา ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบาๆ ในใจบังเกิดความคิดอยากเปิดโต๊ะรับแทงอีกสักครา…


 


ทว่าพอคิดอีกทีดูเหมือนต่อให้เขาเปิดโต๊ะรับแทงจริงๆ ก็คงยากที่จะมีใครมาเล่นกับเขา


 


ต้วนหลิงเทียนเองก็รู้ดีแก่ใจ ว่าการท้าประลองธรรมดาแบบนี้ ก็ไม่ต่างใดกับประลองชี้แนะแม้เขาจะเปิดโต๊ะไป เกรงว่าคงไม่มีใครกล้าแทงแน่นอน


 


การประลองที่ไม่ถึงชีวิต ผู้ใดจะไปล่วงรู้ว่าสองคนนี้แอบไปเตี้ยมอะไรกันมาหรือไม่…


 


เกิดทั้งคู่ลอบเตี๊ยมกันมาเพื่อหวังคะแนนอุทิศเล่า…พวกมันไม่กลายเป็นตัวโง่งมหรือ?


 


แน่นอนว่าไม่มีใครอยากกลายเป็นตัวโง่งม จึงไม่มีใครคิดที่จะเล่นพนันในการประลองธรรมดาๆแน่นอน


 


“หลิงอวิ๋นกับฉงหู่ มันออกจากการปิดด่านรึยังนะ?”


 


ต้วนหลิงเทียนไปหาหลิงอวิ๋นกับฉงหู่อีกรอบ และพอเห็นว่าทั้งคู่ยังคงปิดด่านบ่มเพาะพลังอยู่ก็ได้แต่ส่ายหน้า “ไม่เห็นทั้งคู่ตั้งแต่ประลองเป็นตายกับเฝิงฟ่านแล้ว…อย่าบอกนะว่านี่มันปิดด่านบ่มเพาะกันมาตั้งแต่ก่อนข้าประลองกับเฝิงฟ่านจนถึงวันนี้?”


 


ต้วนหลิงเทียนมาหาพวกหลิงอวิ๋นกับฉงหู่นั้น เพราะเขาคิดมอบคะแนนอุทิศที่ครูอย่างฟางฮุ่ยฝากไว้ที่เขาเพื่อเอาไว้แบ่งให้ทั้งคู่


 


แน่นอนว่าเขาวางแผนว่าจะให้ทั้งคู่มากกว่า 50,000 คะแนนอุทิศ


 


ฟางฮุ่ยนั้นมอบคะแนนอุทิศให้เขากับทั้งคู่มาแค่ 100,000 แต้มเท่านั้น


 


จะอย่างไรเสียตอนนี้เขาก็ไม่ได้ขาดคะแนนอุทิศ


 


อนิจจาในเมื่อทั้งคู่ยังคงปิดด่านบ่มเพาะ เช่นนั้นก็คงได้แต่เอาไว้วันหลังแล้ว


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนเดินกลับมาถึงบ้านเดี่ยว และคิดจะเข้าไปฝึกฝนบ่มเพาะในชั้น 2 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติต่อ ก็ดันมีแขกไม่ได้รับเชิญมาหาเขาที่บ้านเสียก่อน


 


“หืม? เป็นพี่ชายเองเหรอ?”


 


แขกไม่ได้รับเชิญนับว่าไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับต้วนหลิงเทียน เขาเคยเจออีกฝ่ายมาก่อนแล้ว


 


เป็นชายร่างใหญ่ที่อยู่คฤหาสน์ของผู้อาวุโสตฟาง 1 ใน 2 คนที่เขาคุยด้วยหน้าประตูคฤหาสน์วันนั้น


 


“ต้วนหลิงเทียน พอท่านผู้อาวุโสตงฟางทราบว่าเจ้าออกจากการปิดด่านแล้ว ท่านก็อยากจะเชิญเจ้าไปสนทนาเป็นการส่วนตัวที่คฤหาสน์”


 


ชายร่างใหญ่เปิดประตูเห็นภูผากล่าว


 


“อาวุโสตงฟางชวนข้าไปสนทนา?”


 


ต้วนหลิงเทียนแปลกใจไม่น้อย ด้วยไม่รู้อาวุโสตงฟางจะตามหาเขาทำไม ครั้งสุดท้ายนั้นการแลกเปลี่ยนก็นับว่าเป็นไปด้วยดีแล้ว


 


หลังจากนั้นเขากับอาวุโสตงฟางก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลย


 


“โปรดตามข้ามาเถอะ”


 


ชายร่างใหญ่มองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้มร่า “หากเจ้าไม่อยากเดินเอง ข้าอุ้มเจ้าไปก็ได้นะ…”


 


“พี่ชายล้อเล่นแล้ว ข้าเดินเองได้”


 


ถึงแม้ว่าเขาเองก็ไม่รู้ว่าอาวุโสตงฟางเรียกเขาไปพบทำอะไร แต่เขาก็ไม่คิดปฏิเสธคำเชิญ


 


จะอย่างไรตอนนี้เขาก็ยังอยู่ที่ฝ่ายนอกของสำนักจันทร์จรัสแสง และอาวุโสตงฟางก็เป็นถึงอาวุโสหลักผู้ควบคุมดูแลฝ่ายนอกทั้งหมด ผิดใจกับคนเช่นนี้คงไม่ใช่เรื่องดี


 


และอันที่จริงต้วนหลิงเทียนเองก็อยากรู้ไม่น้อย ว่าอาวุโสตงฟางคิดสนทนาเรื่องราวอะไรกับเขา


 


ภายใต้การนำทางของชายร่างใหญ่ ไม่ทันไรต้วนหลิงเทียนก็ได้มาเยือนคฤหาสน์ส่วนตัวของอาวุโสตงฟางอีกครั้ง และไม่นานก็ได้พบเจอกับอาวุโสตงฟาง


 


อาวุโสตงฟางกำลังนั่งจิบชาหอมจรุงอยู่ในศาลาชมบุปผาในสวนอย่างผ่อนคลาย


 


“นั่งสิ”


 


หลังจากที่เห็นว่าต้วนหลิงเทียนมาถึงแล้ว อาวุโสตงฟางก็ผายมือเชิญให้ต้วนหลิงเทียนนั่ง ก่อนที่จะหันไปพยักหน้ากับชายร่างใหญ่ที่นำต้วนหลิงเทียนมาส่ง ให้มันกลับไปได้…


 


“เจ้าคงอยากรู้ใช่หรือไม่ว่าข้าเรียกเจ้ามาสนทนาเช่นนี้ ที่แท้มีเรื่องราวอันใดกันแน่?”


 


อาวุโสตงฟางกล่าวถาม


 


“ใช่”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า เขาเองก็อยากรู้จริงๆ


 


“ข้าได้ยินมาว่าเจ้าตอบรับสารท้าประลองของเฮ่อจงแล้วหรือ?”


 


อาวุโสตงฟางกล่าวถามออกมา


 


“ตอบรับไปแล้ว”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า “หรือว่า…เรื่องนี้มีปัญหาอะไร?”


 


“เจ้ารู้จักความเป็นมาของเฮ่อจงหรือไม่เล่า?”


 


อาวุโสตางฟางไม่ตอบ แต่กล่าวถามออกมาอีกรอบ


 


“หากข้าเดาไม่ผิด อีกฝ่ายสมควรมีผู้อาวุโสฝ่ายในเป็นอาจารย์ใช่หรือไม่?”


 


ต้วนหลิงเทียนเดา


 


ถึงแม้ว่าในฝ่ายนอกจะไม่มีข่าวลืออะไรเรื่องผู้ที่หนุนหลังเฮ่อจง แต่ต้วนหลิงเทียนสัมผัสได้ว่าปูมหลังของเฮ่อจงเองก็ไม่น่าจะธรรมดาเช่นกัน


 


ดุจเดียวกันกับเฝิงฟ่าน ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีใครรู้ชัดว่ามันเป็นศิษย์ของอาวุโสฝ่ายใน


 


“ไม่เชิง เพราะอาจารย์ของเฮ่อจงนั้น…เป็นถึงรองเจ้าสำนัก!”


 


อาวุโสตงฟางสบตาต้วนหลิงเทียนค่อยกล่าวออกจริงจัง


 


“รองเจ้าสำนัก?”


 


ต้วนหลิงเทียนได้ยินคำตอบนี้ก็อดตกใจไม่ได้!


 


ไม่ใช่วันสองวันที่เขามาอาศัยอยู่ในสำนักจันทร์จรัสแสง ดังนั้นเขารู้ดีว่าคำรองเจ้าสำนักหมายความว่าอะไร…หากมิใช่ขอบเขตเซียนเต็มตัว อย่างน้อยก็คงต้องเป็นตัวตนครึ่งก้าวบรรลุเซียน! เกรงว่าพลังฝีมือคงเป็นรองก็แต่เจ้าสำนักและผู้พิทักษ์ขอบเขตเซียนไม่กี่คน!!


 


ทว่าเฮ่อจงนั่นกลับเป็นศิษย์ของรองเจ้าสำนัก?


 


“ถูกแล้ว”


 


อาวุโสตงฟางพยักหน้ายืนยัน


 


“ถึงแม้ว่าข่าวนี้จะน่าแปลกใจไม่น้อย แต่ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรกับข้าไม่ใช่เหรอ เพราะอย่างไรเสีย…สารท้าประลองที่เฮ่อจงส่งให้ข้ามันก็เป็นแค่สารท้าประลองธรรมดาๆ ไม่ใช่สารท้าประลองเป็นตายสักหน่อย”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมาเสียงเรียบ


 


“หากเจ้าคิดเช่นนั้นจริงๆ ข้าเกรงว่าอาจเป็นความผิดพลาดอันใหญ่หลวงแล้ว…ถึงแม้ข้าจักมิรู้ว่าไฉนเฮ่อจงมันถึงไม่ส่งสารท้าประลองเป็นตายถึงเจ้า แต่ข้ารู้ว่าการท้าประลองกับเจ้าครั้งนี้ มิใช่เรื่องราวอันง่ายดายแน่นอน…”


 


อาวุโสตงฟางกล่าว


 


“ไม่ง่ายดาย? ข้าเองก็ไม่เคยรู้จักมันมาก่อน มันจะตั้งตัวเป็นศัตรูกับข้าทำไม?”


 


ต้วนหลิงเทียนยิ่มส่ายหน้า


 


“มันกับเจ้าไร้บาดหมาง…ทว่าลุงของมันเล่า?”


 


ตงฟางกล่าวถามออกมาอีกครั้ง


 


“ลุงของมัน? ใครกัน?”


 


ต้วนหลิงเทียนงุนงง


 


“หลิวฮ่วน!”


 


ภายใต้สายตาสงสัยของต้วนหลิงเทียน ตงฟางเปิดปากกล่าววาจาออกมาสองพยางค์ ทว่ากลับทำให้ต้วนหลิงเทียนถึงกับประหลาดใจไม่น้อย “หลิวฮ่วน…อาวุโสท่านแน่ใจหรือ?”


 


“เรื่องนี้กล่าวไปมิใช่ความลับอันใดภายในระดับสูงของสำนักจันทร์จรัสแสง”


 


ตงฟางกล่าว “เจ้ามาจากจวนเจ้าเมืองชงซัน อีกทั้งยังเป็นศิษย์ของฟางฮุ่ยเจ้าเมืองชงซัน…หลิวฮ่วนมันย่อมไม่มีวันละเว้นเจ้าแน่ เช่นนั้นข้าจึงเรียกหาเจ้ามาเพื่อกล่าวเตือนเรื่องนี้ เพราะความสัมพันธ์ของพวกมันน่ากลัวว่าไม่มีศิษย์ฝ่ายนอกคนไหนล่วงรู้…”


 


“เฮ่อจงนั่น ที่แท้มันเป็นหลานของหลิวฮ่วนงั้นหรือเนี่ย…”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า ค่อยยืนขึ้นประสานมือกล่าวขอบคุณ “ขอบคุณสำหรับคำเตือนนี้ของท่านมาก อาวุโสตงฟาง”


 


“ฮ่าๆๆ…หากเจ้าซาบซึ้งใจ ก็เพียงให้หินเซียนระดับ 4 ข้าอีกสักก้อนเถอะ”


 


ตงฟางหัวเราะออกมา ในแววตาคล้ายแฝงความอายเล็กน้อย


 


“ไม่มีปัญหา”


 


ต้วนหลิงเทียนย่อมไม่ตระหนี่ถี่เหนียวอะไร สะบัดมือคราหนึ่งเรียกหินเซียนระดับ 4 ออกมา 2 ก้อน พร้อมด้วยหินเซียนระดับ 5 จำนวน 10 ก้อนวางไว้เบื้องหน้าอาวุโสตงฟาง


 


“จึกๆๆ…เจ้าหนุ่ม หรือที่แท้เจ้าเป็นศิษย์ของขุมพลังชั้น 5 ที่นึกสนุกมาเข้าร่วมสำนักจันทร์จรัสแสงเราเพื่อเคี่ยวกรำตัวเองกัน…?”


 


ตงฟางยิ้มร่าขณะเก็บหินเซียน 10 กว่าก้อนเข้าประเป๋า ยังกล่าวถามชิมลางออกมา


 


เผชิญหน้ากับการเลียบถามแบบนี้ ต้วนหลิงเทียนเพียงยิ้มบางๆแต่ไม่ตอบคำอะไร


 


ต่อหน้าของตัวตนทรงพลังระดับอาวุโสตงฟาง เขายังต้องคงความลึกลับเรื่องนี้เอาไว้ เพื่อให้มันเป็นตัวเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างเขากับอีกฝ่าย รวมถึงยังทำให้ยอดฝีมืออย่างอาวุโสตงฟางไม่กล้าคิดอะไรไม่ซื่อกับเขา


 


“อาวุโสตงฟาง หากท่านไม่มีอะไรแล้ว ข้าต้องขอลาก่อน”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวอำลาอาวุโสตงฟาง ก่อนที่จะกลับ


 


ในขณะเดินกลับสีหน้าของต้วนหลิงเทียนกลายเป็นเคร่งขรึมขึ้นมา ‘ข้าก็คิดว่าอาวุโสตงฟางเรียกมาคุยเรื่องอะไร…ไม่คิดเลยว่าที่แท้เฮ่อจงนั่นมันจะเป็นหลานหลิวฮ่วนไปได้…หลานหลิวฮ่วนส่งสารท้าประลองธณรมดาหาข้า ยังง่ายดายหรือไง’


 


คราวนี้หลังจากที่รู้ตัวตนของ ‘เฮ่อจง’ แล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ตัดสินใจได้ว่าจะรับมืออย่างไร


 


“เรื่องนี้เจ้าโจวฉีนั่นกลับไม่บอกข้า…”


 


จังหวะนี้อดไม่ได้ที่ต้วนหลิงเทียนจะนึกถึงโจวฉี แต่พอคิดไปคิดมาเขาก็ตระหนักได้ว่า กระทั่งโจวฉีเองก็ไม่แน่ว่าจะรู้เรื่องนี้


 


‘หลิวฮ่วนกลับมีหลานแบบนี้อยู่ด้วย…แถมหลานมันกลับเป็นศิษย์รองเจ้าสำนัก ว่าแต่ถ้ามันมีสัมพันธ์กับรองเจ้าสำนักแบบนี้ แล้วทำไมหลิวฮ่วนนั่นมันต้องกลัวอาวุโสจ้าวเฟิงด้วย…ถึงฐานะอาวุโสจ้าวเฟิงนั่นจะสูง แต่ก็ไม่น่าจะสูงไปกว่ารองเจ้าสำนักไม่ใช่รึไง?’


 


เรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะสงสัยนัก


 


ทว่าหากต้วนหลิงเทียนได้รับทราบว่าเบื้องหลังของจ้าวเฟิง ยังมีตัวตนระดับเซียนที่มีอยู่น้อยคนในสำนักจันทร์จรัสแสงหนุนหลังอยู่ล่ะก็…เขาจะไม่คิดเช่นนี้เลย!


 


ด้วยภูมิหลังนี้ของจ้าวเฟิง กระทั่งชนชั้นรองเจ้าสำนักหลายคนยังไม่กล้าสร้างปัญหาอะไรให้มัน


 


แน่นอนว่าเรื่องระดับนี้ก็มีแค่อาวุโสฝ่ายในระดับสูงๆ แค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ กล่าวได้ว่าผู้ที่รู้เรื่อง ล้วนเป็นชนชั้นที่มีสิทธิ์ตัดสินใจเรื่องราวในสำนักทั้งสิ้น


 


และถ้าขนาดอาวุโสฝ่ายในหลายคนยังไม่รู้เรื่อง เช่นนั้นก็คงยากที่คนในฝ่ายนอกจะทราบความลับดังกล่าวแล้ว


 


10 วันนั้น เทียบได้กับระยะเวลา 1 เดือนบนชั้น 2 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ


 


ตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือน ต้วนหลิงเทียนก็ทุ่มเทใจกายฝึกวรยุทธ์ทั้งหลายและบ่มเพาะพลังอย่างแข็งขัน…เมื่อถึงกำหนดเวลาต้วนหลิงเทียนก็ออกจากเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ ทั้งออกจากบ้านเดี่ยวพร้อมลานเล็กๆของเขา มุ่งหน้าไปยังลานฝึกซ้อมฝ่ายนอก


 


ตอนนี้ที่ลานฝึกซ้อมฝ่ายนอกล้วนคึกคักเต็มไปด้วยผู้คนมากมายนัก


 


ไม่เพียงแต่ศิษย์ฝ่ายนอกที่ไม่ได้ปิดด่านฝึกตนมารวมตัวกันแทบทั้งหมด กระทั่งศิษย์ฝ่ายในหลายต่อหลายคนก็มาชมดูเรื่องราวการประลองด้วยเช่นกัน และคราวนี้นับว่ามีศิษย์ฝ่ายในมากกว่าครั้งประลองเป็นตายกับเฝิงฟ่านมากนัก


 


ตอนนั้นมีศิษย์ฝ่ายในแค่ราวๆ 10 กว่าคนเท่านั้น


 


ทว่าคราวนี้มากันหลายร้อย!


 


ศิษย์ฝ่ายในที่มาครั้งนี้บ้างก็เป็นสหายของศิษย์ฝ่ายในที่มาดูชมการประลองเป็นตายครั้งก่อน และหลายคนก็เป็นผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์หน้าศาลาอุทิศตอนต้วนหลิงเทียนเอาชนะอี้หนัน


 


ส่วนที่เหลืออีกบางส่วนก็เป็นผู้ที่ได้ยินชื่อเสียงคำร่ำลือของต้วนหลิงเทียน และอยากเห็นพลังฝีมือของเขา


1469 ไม่รู้กาลเทศะ


 


“อ๊ะ! ศิษย์พี่เฮ่อจงมาแล้ว!!”


 


ไม่ทราบเป็นศิษย์ฝ่ายนอกคนใดที่ตาดี ร้องตะโกนออกมาเสียงดัง


 


เสียงของมันนับว่าดึงดูดความสนใจของผู้คนที่มารอในลานฝึกซ้อมไม่น้อย


 


เมื่อสายตาของทุกผู้คนหันไปจับจ้องยังทิศทางหนึ่งตามผู้ตะโกน ก็พบชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง หน้าตาแลดูหล่อเหลาไม่น้อย กำลังย่างเท้าก้าวมาอย่างสง่างาม ยามเดินชุดคลุมสีเขียวของมันโบกสะบัดเบาๆ มาดมันนับว่าเท่ห์ไม่ใช่น้อย!


 


“อ๊า! ศิษย์พี่เฮ่อจง!!”


 


ศิษย์สตรีฝ่ายนอกหลายต่อหลายคนเริ่มส่งเสียงวี๊ดว้ายออกมาด้วยความชื่นชม


 


เพราะบรรดาศิษย์สตรีฝ่ายนอกนั้น ก็มีหลายคนนักที่มองเฮ่อจงเป็นชายในฝันของพวกนาง


 


ทว่านอกจากศิษย์สตรีที่ชมชอบเฮ่อจงแล้ว ก็มีศิษย์สตรีอีกกลุ่มที่แค่นเสียงพ่นลมออกมา “ฮึ หากเทียบกับศิษย์พี่ต้วนกับศิษย์พี่เฮ่อแล้ว…ข้าว่าศิษย์พี่ต้วนน่าดูกว่ายิ่ง!”


 


“อื้ม! ข้าเองก็เห็นด้วย ศิษย์พี่ต้วนน่าดูกว่ายิ่ง…เมื่อคืนข้ายังฝันถึงท่านอยู่เลย!”


 


“หลายวันก่อนข้าก็ฝันว่าศิษย์พี่ต้วนนั่งเกี้ยวแห่ขบวนมาสู่ขอข้าไปตบแต่ง!”


 


“สู่ขอไปตบแต่ง? กับเจ้าเนี่ยนะ สมควรแล้วที่เป็นแค่ฝัน…อัจฉริยะที่ร้ายกาจทั้งหน้าตาดีอย่างศิษย์พี่ต้วนจะไปหลงรักคนธรรมดาเช่นเจ้าได้อย่างไร?”


 


“เพ่ยๆๆ! เจ้าดีนักรึไง? หนังหน้าเช่นเจ้าคิดว่าศิษย์พี่ต้วนจะเหลือบแลหรือ?”


 


……


 


ไม่ต้องสงสัยเลยว่าตอนนี้เหล่าบรรดาศิษย์สตรีฝ่ายนอกปลื้มผู้ใดมากกว่ากันระหว่างเฮ่อจงกับต้วนหลิงเทียน


 


ถึงแม้ว่าต้วนหลิงเทียนจะพึ่งมาอยู่ในสำนักจันทร์จรัสแสงได้แค่ราวๆ 3 เดือน ทว่าทุกความเคลื่อนไหวของเขากลับสะท้านสะเทือนไปทั้งฝ่ายนอก!


 


ในประวัติศาสตร์ของสำนักจันทร์จรัสแสง ไม่เคยมีศิษย์ฝ่ายนอกที่โดดเด่นและมีอัจฉริยภาพระดับนี้ปรากฏตัวขึ้นมาก่อนเลย…


 


“ฮึ! หัวไชเท้าผักชิงไช่ มีทั้งชอบและมิชอบ! ข้าว่าศิษย์พี่เฮ่อจงดีกว่า!”


 


ศิษยสตรีฝ่ายนอกบางคนแค่นเสียงพ่นลม


 


ไม่นานเหล่าศิษย์สตรีก็เริ่มส่งเสียงเจื้อยแจ้วเถียงกันไปมาว่าบุรุษที่ตัวเองชื่นชมดีกว่าอย่างไร


 


สุดท้ายเหล่าศิษย์สตรีที่ชมชอบต้วนหลิงเทียน…ด้วยความที่มีจำนวนคนมากกว่า ก็ถล่มอีกฝ่ายด้วยวาจาจนศิษย์สตรีที่ชมชอบเฮ่อจงเถียงกลับไม่ทัน จำต้องยอมแพ้พ่ายไปโดยสดุดี


 


“เฮอะ!”


 


ถึงแม้ว่าเฮ่อจงจะไม่ค่อยสนใจ ‘การต่อสู้’ กันของเหล่าศิษย์สตรีฝ่ายนอกสักเท่าไหร่ แต่มันล้วนได้ยินเรื่องราวชัดถนัดหู


 


ครู่หนึ่งมันอดไม่ได้ที่จะลอบกล่าวอาฆาตในใจเบาๆ ลูกตาทอประกายเรื่องวูบด้วยอำมหิต ‘ต้วนหลิงเทียนหลังจากวันนี้ไป เจ้ามันจบสิ้นแล้ว…’


 


‘ถึงตอนนั้นข้าอยากจะรู้นักว่ายังจะมีอีนังโง่ตัวใดไปหลงรักชมชอบเจ้า…’


 


เรื่องนี้ทัศนคติของเฮ่อจงค่อนข้างบิดเบี้ยวอยู่บ้าง…


 


เพราะในอดีตนั้นมันไม่เคยเหลียวแลแยแสเหล่าศิษย์สตรีฝ่ายนอกพวกนี้เลย ถึงแม้พวกนางจะชื่นชมมันมากเพียงใดมันก็แค่ทำเฉยใส่พวกนางเท่านั้น


 


ทว่าตอนนี้พอมันเห็นว่าบรรดาศิษย์สตรีฝ่ายนอกส่วนใหญ่เริ่มหันไปชื่นชมต้วนหลิงเทียนแทนมัน มันก็รู้สึกยากยอมรับและขุ่นขึ้งขัดใจไม่น้อย ประหนึ่งสุนัขหวงก้างก็ไม่ปาน!


 


ราวกับมันไม่พอใจจะให้สิ่งเหล่านี้ถูกต้วนหลิงเทียนพรากไปจากมัน!


 


“เฮ่ทางนั้น! ศิษย์พี่ต้วนมาแล้ว!!”


 


ทันใดนั้นเสียงเต็มไปด้วยความตื่นเต้นดังขึ้น ดึงสายตาเฮ่อจงให้หันมองตามไปทันที และไม่นานมันก็แลเห็นร่างในชุดสีม่วงร่างหนึ่งกำลังก้าวอาดๆมาทางลานฝึกซ้อม


 


ร่างในชุดสีม่วงนั้นเป็นชายหนุ่มหลอเหล่าคมคาย คิ้วดั่งดาบ รอยยิ้มบางๆยามตอบรับการทักทายของเหล่าศิษย์นั้น ช่างให้บรรยากาศอบอุ่นเสมือนแสงอาทิตย์ยามฤดูใบไม้ผลินัก มองแล้วต่างกับรอยยิ้มเสแสร้งมากเล่ห์ของเฮ่อจงไม่น้อย


 


ยามผู้ใดมองเฮ่อจงตอนยิ้มเสแสร้ง ล้วนอดไม่ได้ที่จะขนลุกและหดหู่


 


หากทว่าเห็นยิ้มบนหน้าต้วนหลิงเทียน กลับรู้สึกสดชื่นสบายๆอย่างไรไม่ทราบ


 


“นั่นเหรอต้วนหลิงเทียน…ให้ตายเถอะ อายุ 35 เองเหรอ! ไฉนยังเด็กนักเล่า!?”


 


ในบรรดาศิษย์ฝ่ายในมากมายที่มาชมดูการประลองครั้งนี้ อดที่จะสงสัยในตัวต้วนหลิงเทียนเสียไม่ได้ เร่งใช้ทักษะวิญญาณลี้ลับตรวจสอบอายุทั้งพลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียนด้วยความอยากรู้อยากเห็นทันที


 


สัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณกวาดผ่านมาสำรวจร่าง ต้วนหลิงเทียนเพียงย่นคิ้ววูบหนึ่งค่อยคลายออก ราวกับไม่ถือสาหาความอะไร


 


เพราะตอนนี้ถึงเขาจะถือสาหาความ แต่ก็จนปัญญาจะตามสั่งสอนผู้คนอยู่บ้าง


 


เพราะพลังวิญญาณที่แผ่พุ่งมาสำรวจตรวจสอบร่างเขานั้น มันประดังมาทั่วทุกสารทิศ! ไม่ถึงครึ่งลมหายใจก็มีนับพลังวิญญาณนับสิบๆขุมกวาดผ่าน จนปัญญาที่จะว่ายตามองจดจำว่าเป็นผู้ใดในฝูงชน และไปสั่งสอนพวกมันวันหลังแล้วจริงๆ!


 


เขาไม่ได้มีสามารถขนาดนั้น!


 


ส่วนสำหรับศิษย์ฝ่ายนอกนั้นไม่มีใครคิดสำรวจตรวจสอบต้วนหลิงเทียนเลย เพราะตั้งแต่เมื่อ 3 เดือนที่แล้วเรื่องราวรายละเอียดของเขามันกระจ่างชัดนัก


 


3 เดือนที่แล้วตอนทดสอบเข้าสำนักจันทร์จรัสแสง ก็มีการวัดอายุและด่านพลังฝึกปรือ ทำให้อายุ 35 ปีของต้วนหลิงเทียนไม่ถือเป็นความลับ ส่วนพลังฝึกปรือก็มีผู้คนกล้าหาญตรวจสอบและกล่าวออกมาให้รู้เช่นกัน


 


“ต้วนหลิงเทียน!”


 


เมื่อเห็นว่าความสนใจของผู้คนที่มีมายังมันตอนแรกที่มันมาถึง บัดนี้ถูกเปลี่ยนไปให้ความสนใจต้วนหลิงเทียนผู้มาใหม่แทน อดไม่ได้ที่เฮ่อจงจะหน้าดำคล้ำลงทันใด


 


ถึงแม้จะมีน้อยคนนักในฝ่ายนอกที่รู้ว่ามันเป็นศิษย์ของชนชั้นรองเจ้าสำนักจันทร์จรัสแสง…


 


แต่จะอย่างไรมัน เฮ่อจงก็อยู่ในอันดับที่ 3 ของฝ่ายนอกสำนักจันทร์จรัสแสง อีกทั้งมันยังเป็นยอดฝีมือติดอันดับที่ 66 ในรายนามปฐพี…


 


ทว่าตอนนี้ศิษย์ฝ่ายนอกคนใหม่ที่เข้ามายังสำนักได้ไม่ถึง 3 เดือนดี กลับแย่งความโดดเด่นไปจากมัน!


 


เรื่องพรรค์นี้จะให้มันยอมรับได้อย่างไร


 


ศิษย์ฝ่ายนอกที่เข้าร่วมสำนักจันทร์จรัสแสงมาได้ไม่ถึง 3 เดือนดี กลับโดดเด่น เฉิดฉายและมีผู้ชื่นชมเหนือกว่ามันที่อยู่ในสำนักมานานกว่า 5 ปี…นี่ทำให้มันรู้สึกเสมือนถูกย่ำเหยียบศักดิ์ศรีอยู่บ้าง!


 


“เจ้าน่ะหรือ คือศิษย์น้องต้วนหลิงเทียน?”


 


ทว่ายามเมื่อเฮ่อจงเผชิญหน้ากับต้วนหลิงเทียน มันเลือกที่จะชักสีหน้าแย้มยิ้ม กล่าวทักต้วนหลิงเทียนอย่างอารมณ์ดีแลดูเป็นมิตร ไม่เหลือสีหน้ามืดคล้ำดำลงแม้แต่น้อย


 


แน่นอนว่ารอยยิ้มเสแสร้งบนใบหน้าเฮ่อจงนั้น ไม่น่าดูแม้แต่น้อย ชวนให้อึดอัดอย่างไรไม่ทราบ


 


“เจ้าน่ะเหรอ เฮ่อจง?”


 


ต้วนหลิงเทียนมองเฮ่อจงด้วยสายตาไม่แยแส กล่าวออกเสียงเรียบ “คำ ‘ศิษย์น้อง’ ที่เจ้าเรียกข้า ดูเหมือนว่าจะปากไวไปบ้าง? ในโลกแห่งยุทธ์ผู้ที่มีพลังฝีมือกล้าแข็งถือเป็นอาวุโสไม่ใช่รึไง? หากเจ้าไม่มีสามารถเท่าข้า แต่มาเรียกข้าว่าศิษย์น้องแบบนี้ ไม่ใช่ว่าเจ้าจะกลายเป็นคนไม่รู้กาลเทศะหรอกหรือ?”


 


หลังจากที่ได้รับทราบ ‘อัตลักษณ์’ ของเฮ่อจงแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็รู้ดีว่าใบหน้าระรื่นของเฮ่อจงล้วนเป็นการ ‘ซ่อนดาบในรอยยิ้ม’ ทั้งสิ้น…


 


เช่นนั้นถึงแม้จะเจอกับเฮ่อจงครั้งแรก เขาก็ไม่คิดจะพูดดีหรือเป็นสุภาพชนกับมัน


 


อย่างไรเสียความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างเขากับหลิวฮ่วนก็เป็นอะไรที่ยากจะลงรอยกันได้


 


ในเมื่อเฮ่อจงมันเป็นหลานของหลิวฮ่วน ทั้งคู่เสมือนลงเรือลำเดียวกัน แน่นอนว่าเฮ่อจงเองก็ไม่พ้นอยากให้เขาตายด้วยเช่นกัน!


 


เช่นนั้นแล้วยิ่งเจอเฮ่อจงปั้นหน้ายิ้มเสแสร้งทักทายแบบนี้ เขายิ่งนึกรังเกียจมันเข้าไปใหญ่


 


โอ! อา!!


 


ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนกล่าววาจาประโยคนี้ออกมา ศิษย์ฝ่ายนอกและฝ่ายในที่ชมดูอยู่รอบๆถึงกับฮือฮากันขึ้นมาทันที


 


พวกมันไหนเลยคิดคาดจินตนาการถึง ว่าเพียงแรกพบหน้ากันระหว่างต้วนหลิงเทียนกับเฮ่อจง บรรยากาศก็กลายเป็นคลุ้งกลิ่นดินปืนขนาดนี้! ทำให้หลายคนอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าใช่ 2 คนนี้ไปมีเรื่องบาดหมางอะไรกันมาก่อนรึเปล่า!!


 


เฮ่อจงเองก็ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าต้วนหลิงเทียนจะ ‘ดุร้าย’ ขนาดนี้


 


ประกายเย็นเยียบคล้ายผุดโผล่ขึ้นมาในแววตาวาบหนึ่ง ก่อนที่จะหายไปอย่างไร้ร่องรอย


 


อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนย่อมสังเกตเห็นได้ชัด!


 


“อ่านั่นสินะ…เป็นข้าวู่วามไปแล้วจริงๆ ขออภัยเจ้าด้วย”


 


อย่างไรก็ตามผิดกับที่ทุกคนคิดนัก เฮ่อจงไม่ระเบิดอารมณ์อะไร เพียงขออภัยต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้ม ครู่ต่อมาคล้ายมันเป็นคนผิดและยอมถอยให้ก้าวหนึ่ง


 


“สมแล้วที่เป็นศิษย์พี่เฮ่อจงที่ข้าชื่นชม! พวกเจ้าดูเองเถอะว่าจิตใจศิษย์พี่เฮ่อจงกว้างขวางเพียงใด มิเหมือนศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนที่พวกเจ้านับถือสักนิด! แรกพบศิษย์พี่เฮ่อจงก็ประพฤติตัวก้าวร้าว จิตใจคับแคบมิรู้สัมมาคารวะ ยังกล้าเถียงคำข้างๆคูๆน่าตายนัก!!”


 


ไม่ทราบศิษย์สตรีที่ชื่นชมเฮ่อจงคนไหนตะโกนเปิดประเด็นออกมา


 


“ก้าวร้าว? จิตใจคับแคบ? เพ่ยๆๆ! นี่ล่ะความองอาจของศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียน! พวกเจ้ามันโง่เขลาเกินกว่าจะเข้าใจ ในเมื่อศิษย์พี่ต้วนกล่าวออกมาเช่นนี้ หมายความว่าท่านต้องมั่นใจว่าจักชนะศิษย์พี่เฮ่อจงของพวกเจ้า และกลายเป็นศิษย์พี่!!”


 


ศิษย์สตรีฝ่ายนอกที่อยู่ข้างต้วนหลิงเทียนก็ตะโกนตอบคำกลับไป


 


ลูกตาต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะหรี่ลง มุมปากยังแสยะยิ้มออกมา


 


หากเขาไม่รู้จัก ‘ตัวตน’ ของเฮ่อจง ไม่แน่ว่าเขาอาจถูกรอยยิ้มเสแสร้งและความเป็นมิตรของมันหลอกเอาได้!


 


อย่างไรก็ตามตอนนี้ในใจเขาอดไม่ได้ที่จะเพิ่มความระแวดระวังขึ้นหลายส่วน


 


เฮ่อจงสามารถแบกรับการเสียหน้ากล้ำกลืนความอัปยศ ทั้งยอมถอยคล้ายเผยธาตุอ่อนแอแบบนี้ เห็นได้ชัดว่ามันมากเล่ห์นัก คนพรรค์นี้พอได้ทีเห็นศัตรูผ่อนปรนคลายการระวังเมื่อไหร่ล่ะก็ เกรงว่ามันคงชิงลงมือดั่งสายฟ้าฟาด!!


 


‘ทัพมาจัดทัพสู้ น้ำมาก่อทำนบกั้น…ข้าหวังว่ามันจะรู้ความ ว่าข้าต้วนหลิงเทียนไม่ใช่พลับสุกให้มันบีบเล่นได้ง่ายๆ!’


 


ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าว


 


ขณะเดียวกันต้วนหลิงเทียนก็เหลือบมองไปยังเฮ่อจง ก่อนที่จะเร่งเดินไปยังกลางลานฝึกซ้อมค่อยกล่าว “เริ่มกันเลยเถอะ เวลาข้ามีจำกัด หลังเอาชนะเจ้าแล้วข้ายังต้องรีบกลับไปบ่มเพาะอีก”


 


“เอาชนะข้าหรือ?”


 


เฮ่อจงได้ยินพลันยิ้มกล่าวออกมาทันที “ต้วนหลิงเทียน ดูเหมือนว่าเจ้าจักมั่นใจในพลังฝีมือของตัวเองนักนะ”


 


“แล้วเจ้าไม่มั่นใจรึไง? ถ้าเจ้าไม่มั่นใจงั้นก็ไม่ต้องเสียเวลาสู้แล้ว รีบๆกล่าวยอมแพ้ออกมาเถอะ”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบเสียงเรียบ


 


พอได้ยินวาจาสวนกลับมาของต้วนหลิงเทียน หน้าเฮ่อจงสะท้านไปวูบหนึ่ง หากแต่มันยังไม่ได้ระเบิดอารมณ์อะไร เลือกจะกล้ำกลืนโทสะลงไป ทว่ามันก็ไม่อาจปั้นหน้ายิ้มกล่าวกับต้วนหลิงเทียนได้อีก สีหน้ายังเริ่มเคร่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด “ต้วนหลิงเทียน ข้าได้ยินมานานแล้วว่าวาจาเจ้าคมคายนัก…วันนี้ได้เจอกับตัว ข้าทราบแล้วจริงๆ”


 


“วาจาคมคาย?”


 


ต้วนหลิงเทียนหัวเราะเยาะออกมาทันใด “ถ้าเจ้าคิดว่าวาจาข้าคมคาย งั้นเจ้าก็ไม่ต้องมาตีฝีปากกับข้าแต่แรกไม่ดีกว่าเหรอ?”


 


“เฮอะ! เจ้าคิดว่าการที่เจ้าฆ่าเฝิงฟ่านได้และเอาชนะศิษย์ฝ่ายในขอบเขตสู่เซียนขั้นต้นได้คนหนึ่ง จะทำให้ไม่มีผู้ใดในฝ่ายนอกสยบเจ้าได้ยังงั้นเหรอ!?”


 


เมื่อถูกวาจาของต้วนหลิงเทียนจี้มามากเข้า ใบหน้าเฮ่อจงก็อดไม่ได้ที่จะเต็มไปด้วยโทสะ มันไม่อาจระงับอารมณ์ใดสืบไป ระเบิดโพล่งออกมาทันที “ถึงตอนนี้เจ้าจักมีอันดับที่ 99 ในรายนามปฐพี แต่ในสายตาข้าเจ้ายังอ่อนแอไม่แม้แต่จะทนรับข้าได้สักท่าด้วยซ้ำ!’


 


“ในเมื่อเจ้าอยากให้ข้าลงมือนัก เช่นนั้นข้าก็จะลงมือ!”


 


เฮ่อจงกล่าวถึงท้ายประโยคมันก็เริ่มหัวเราะเยาะออกมาเสียงเย็น


 


มือพุ่งออกคว้าจับกระบี่อ่อน 3 ฉื่อเล่มหนึ่งที่ผุดออกมาจากความว่าง


 


ยามถ่ายทอดปราณแท้ลงไป ตัวกระบี่ก็แผ่กลิ่นอายคมกล้าน่าเกรงขามออกมาสะกดข่มในบรรยากาศ


 


กลิ่นอายพลังของมันนั้น นับว่าเป็นอะไรที่ไม่ใช่กระบี่ 3 ฉื่อธรรมดาๆจะมีได้!


 


“อาคมเซียนงั้นเหรอ?”


 


เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายคมกล้าน่าเกรงขาม ต้วนหลิงเทียนก็รู้ได้ทันทีว่ากระบี่ในมือเฮ่อจง สมควรเป็นกระบี่ที่มีอาคมเซียนจารึกเอาไว้!


 


“ต้วนหลิงเทียน ข้าจักให้เจ้าได้รับรู้เอาไว้…ว่าการที่เจ้าฆ่าเฝิงฟ่านได้ ก็ยังมิอาจนับว่าเป็นตัวอะไรในสายตาข้า!”


 


กระบี่ 3 ฉื่อในมือเฮ่อจงเริ่มสั่นไหว ใบดาบกระเพื่อมปานอสรพิษมีชีวิต แลดูอ่อนนุ่มยืดหยุ่นนัก!


 


“เจ้าว่าวาจาข้าคมคาย แต่เจ้าเองก็ปากดีไม่น้อยนี่นา?”


 


ต้วนหลิงเทียนยังคงกล่าวเสียดสีออกไปอย่างไม่รีบไม่ร้อน


 


“หาที่ตาย!!”


 


สองตาเฮ่อจงทอประกายเย็นวูบ กระบี่ 3 ฉื่อในมือตวัดจี้ขึ้นมาทันใด ยังเสือกแทงพุ่งมาทางต้วนหลิงเทียน!


 


พริบตาต่อมาร่างเฮ่อจงก็คล้ายกลับกลายเป็นสายลมสีเขียวพัดกรรโชกมาหอบหนึ่ง กระบี่ 3 ฉื่อจี้แหวกอากาศออกไปหมายทะลวงร่างต้วนหลิงเทียน เสียงกระบี่หวีดหวิวแสบหู!


1470 อาคมเซียน 3 ดาว!


 


อัสนีสะบั้นขอบฟ้า!


 


เป็นเคล็ดจู่โจมหนึ่งเดียวในวรยุทธ์เซียนระดับมนุษย์โดดเด่นที่เฮ่อจงฝึกปรือ อีกทั้งมันยังฝึกฝนจนบรรลุขั้นตอนที่ 4 เจนจัดอีกด้วย!


 


พร้อมด้วยท่าร่างอันปราดเปรียวเคลื่อนขอบฟ้า พริบตาร่างเฮ่อจงก็บรรลุถึงเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียน!


 


ซัววว!


 


กระบี่ 3 ฉื่อที่เสือกแทงออกมา สภาวะคล้ายดั่งมีหนามแหลมพุ่งทะลวงออกมาเสียบลูกนัยน์ตา!


 


อัสนีสะบั้นขอบฟ้า!


 


ด้วยเคล็ดพลังทำให้ตัวกระบี่นับว่าบรรลุความไวสูงล้ำ เสียงกรีดแหวกอากาศเสียดหูนัก!


 


ราวกับมันสามารถทะลวงได้ทุกสรรพสิ่ง! นำพาให้ทุกผู้คนที่ดูชมอดไม่ได้ที่จะหวาดเสียวในใจ!!


 


แน่นอนว่าสำหรับศิษย์ฝ่ายนอกที่พลังฝึกปรืออ่อนด้อย กระทั่งเสียงแหวกอากาศพวกมันยังไม่อาจได้ยิน!


 


ประทับไท่ซาน!


 


เผชิญกับกระบี่ที่จ้วงแทงมาอย่างน่าพรั่นพรึง ต้วนหลิงเทียนรีบเรียกดาบใหญ่ที่จารึกอาคมเซียนพันทวีเอาไว้ออกมา ยังเปิดใช้อาคมพันทวี เท้าซ้ายสืบออกเบื้องหน้าจิกพื้น บิดเอวส่งแรงเหวี่ยงดาบจู่โจมออกไปทันที!!


 


ดาบที่เหวี่ยงฟาดไปนั้น ให้ความรู้สึกเสมือนขุนเขาใหญ่ เปี่ยมล้นไปด้วยพลังอันดุร้ายดิบเถื่อน ถาโถมใส่กระบี่ที่จ้วงแทงมาของเฮ่อจงอย่างเกรี้ยวกราด!


 


“เจ้าประเมินตัวเองสูงไป!!”


 


เผชิญหน้ากับฉากนี้ เฮ่อจงแสยะยิ้มเย้ยหยัน ทันใดนั้นปราณแท้จากมือพลันถ่ายทอดสู่ตัวกระบี่ฉับไว ปรากฏเกลียวพลังดั่งอสรพิษรัดพันไปทั่วใบกระบี่!


 


ทันใดนั้นเองกลิ่นอายพลังแหลมคมเสียดแทงขุมหนึ่งพลันแผ่ออกมาในบรรยากาศ! พาลให้ต้วนหลิงเทียนบังเกิดสังหรณ์อัปมงคลประการหนึ่ง!!


 


กลิ่นอายพลังแหลมคมดังกล่าวทำให้เขารู้สึกกดดันไม่น้อย


 


เพราะมันราวกับว่า กระบี่ของเฮ่อจงได้แปรเปลี่ยนไปเป็นบางสิ่ง…เป็นบางสิ่งที่ไร้เทียมทาน ถึงขั้นที่เขาไม่อาจต้านทานรับมันเอาไว้ได้!


 


ครืนนน!!


 


ดาบใหญ่ที่เปิดใช้อาคมพันทวีพร้อมประทับไท่ซานฟาดผ่านอากาศจนบังเกิดเสียงดังครืนๆ รี่เข้าหากระบี่ที่จี้แทงออกมาตามเคล็ดอัสนีสะบั้นฟ้าของเฮ่อจง มุมองศานั้นคำนวณมาอย่างแยบคายหมายปัดกระบี่ทั้งตบฟาดกลางอกเฮ่อจง!!


 


ด้านกระบี่ของเฮ่อจงนั้น แต่ต้นจนจบเพียงเสือกแทงออกมาตรงๆ ไม่บิดไม่เลี้ยวไปที่ใด ไม่มีความคิดจะหลบดาบใหญ่ในมือต้วนหลิงเทียนแม้แต่น้อย!


 


กระบี่อ่อนที่จี้แทงมา กลับหาญกล้าคิดปะทะดาบใหญ่ที่เหวี่ยงฟาดมาอย่างเกรี้ยวกราด!


 


ในที่สุด ดาบใหญ่ในมือต้วนหลิงเทียนก็ปาดถูกกระบี่ที่เสือกแทงมาของเฮ่อจง!


 


ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนแสยะยิ้มมุมปากด้วยคิดว่าดาบใหญ่ที่มาด้วยสภาวะเหี้ยมหาญขนาดนี้ สมควรปัดกระบี่จนปลิดปลิวแน่แท้ ทว่าพริบตานั้นเอง…


 


พลันบังเกิดความเปลี่ยนแปลงพลิกฟ้าคว่ำดิน!


 


ฉากเรื่องราวในสายตาเขาเป็นอะไรที่น่ากลัวนัก!


 


ฉากน่ากลัวดังกล่าวยังทำให้รอยยิ้มมุมปากของเขาจางหายไปทันที!!


 


กระทั่งมองเห็นอยู่ตรงหน้า ยังน่าตกใจจนเกินจะเชื่อ!


 


กระบี่อ่อนในมือเฮ่อจงไม่ทราบไฉนกลับกลายเป็นเสมือนอยู่ยงคงกระพันไร้ผู้ต้าน ดาบใหญ่ที่เขาฟาดไปหมายปัด มิคาดไม่อาจปัดกระบี่ที่เสือกแทงมาของเฮ่อจงได้! รวมทั้งรังสีพลังกระบี่ขุมหนึ่งยังพุ่งทะลวงปราณแท้ที่ฉาบคลุมดาบ กระทั่งใบใหญ่ของเขามาอีก!!


 


หลังจากที่มันทะลวงดาบใหญ่ของเขามาแล้ว กระบี่อ่อนที่เสือกแทงทะลวงคล้ายกลับกลายเป็นอสรพิษร้ายกาจก็ไม่ปาน!


 


มันเปลี่ยนทิศทางเร็วรี่จี้เข้าหาไหล่ขวาเขาฉับไว ปานอสรพิษฉกกัด!


 


ม่านตาพิสดาร!


 


เร็วเท่าอัสนีฟาดผ่า พลังวิญญาณต้วนหลิงเทียนปะทุเร็วรี่ถ่ายทอดลงสู่ตาซ้าย! ใช้ออกด้วยม่านตาพิสดารของเขาทันที!!


 


ทันใดนั้นวิสัยทัศน์ดวงตาข้างซ้ายของต้วนหลิงเทียนก็แลเห็นสรรพสิ่งเชื่องช้าลง กระบี่ฉับไวยากหลบเลี่ยงเสมือนชะลอตัวลงไปหลายส่วน


 


เขาเอาศัยการคาดเดาทิศทางกระบี่ในห้วงเวลาเสี้ยวพริบตา เลือกที่จะสืบเท้าเฉียงซ้ายไปด้านหลังฉากร่างหลบเร้นกระบี่ออกไปในแง่มุมที่ดีที่สุด! เป็นการหลบเลี่ยงทั้งฉีกระยะมิให้กระบี่เฮ่อจงลงมือต่อเนื่อง!!


 


อนิจจากลับช้าไปอยู่บ้าง!


 


ฉัวะ!


 


กระบี่ของเฮ่อจงทะลวงถากต้นแขนขวา ฉีกกระชากทั้งเนื้อรวมถึงเสื้อของต้วนหลิงเทียนจนกระจุย โลหิตสดๆพุ่งกระฉูดออกมาทันใด!!


 


ทะลวงปราณดาบมาก็แล้ว ทะลุใบดาบอันเป็นศาสตราเซียนมาก็แล้ว ทว่ากระบี่นั่นกลับทะลวงผ่านร่างเขาที่มีปราณแท้คุ้มกันได้ง่ายดายนัก!!


 


ความเจ็บปวดของการถูกกระบี่เสือกแทงถากแขนจนเนื้อหลุดไปหย่อมนึง ทำให้สติต้วนหลิงเทียนสะท้านไปทันใด คิ้วขมวดเป็นปม ฟันกรามขบแน่นในปากดังกรอด! ทว่าสติยังไม่เลอะเลือนร่างยังคงฉากเยื้องถอยไปไม่หยุด!!


 


ครู่ต่อมาร่างต้วนหลิงเทียนก็ฉากหลบออกมาพ้นรัศมีกระบี่!


 


เฮ่อจงไม่ได้ไล่ล่าตามมาลงมือสืบต่อ เพียงถือกระบี่ค้างไว้ ค่อยเหลือบมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาของผู้เหนือกว่าอย่างดูแคลน “ต้วนหลิงเทียน สุดท้ายเจ้าก็มิได้ร้ายกาจอันใดนี่นา…”


 


‘นั่นมันอาคมเซียนบ้าอะไรกัน ถึงขั้นทะลวงดาบใหญ่ที่เปิดใช้อาคมเซียนพันทวีได้ง่ายๆ…แถมไม่ว่าจะยังไงดาบใหญ่นี่มันก็ศาสตราเซียนระดับปฐพีดั้งเดิมไม่ใช่รึไง? ไฉนมันทิ่มทะลุเหมือนเต้าหู้เล่า!?’


 


นึกถึงฉากเรื่องราวก่อนหน้าต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะบังเกิดความกังวลขึ้นมา ขณะมองไปยังกระบี่ในมือของเฮ่อจงลูกตาเขายังเผยความหวาดกลัวออกมาไม่น้อย..


 


เพราะกระบี่นั่นไม่เพียงแต่จะทะลวงพลังของดาบใหญ่ กระทั่งทะลวงดาบใหญ่จนทะลุ! แถมเสือกแทงทะลวงถากเนื้อต้นแขน ที่อัดแน่นไปด้วยปราณแท้ที่ใช้ออกด้วยอาภรณ์ทองของเขามาได้ง่ายดาย!


 


ก้มมองลงไป…ดาบใหญ่ของเขาก็ยังมีรูโบ๋ให้เห็นเด่นชัดนัก!


 


“สวรรค์ช่วย กระบี่นั่นทะลวงได้กระทั่งดาบใหญ่แฝงอาคมพันทวี…อย่าบอกข้าเชียวว่านั่นคือ อาคมเซียน เจาะทะลวง!?”


 


ศิษย์ฝ่ายในคนหนึ่งอดไม่ได้ที่จะโพล่งคำออกมาด้วยความตื่นตระหนก


 


อาคมเซียน เจาะทะลวง!


 


ยามที่มันกล่าวเรื่องนี้ออกมาทุกผู้คนที่มาชมดูอดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนก


 


“กระบี่ในมือศิษย์พี่เฮ่อจง กลับจารึกอาคมเซียนระดับ 3 ดาว ‘เจาะทะลวง’ เอาไว้งั้นเหรอ!?”


 


“สวรรค์ เท่าที่ข้ารู้มากระทั่งในศาลาอุทิศของพวกเรานานๆครั้งถึงจะมีศาสตราเซียนที่จารึกอาคมเซียนระดับ 3 ดาวมาขายสักเล่ม…อีกทั้งยามมีขายก็มีขายเพียงแค่เล่มเดียวเท่านั้น”


 


“ในสำนักจันทร์จรัสแสงเรา ผู้ที่จะมีทุนทรัพย์พอซื้อศาสตราเซียนที่จารึกอาคมเซียนระดับ 3 ดาวได้ สมควรมีแต่ชนชั้นอาวุโสฝ่ายในเท่านั้น…”


 


“ถูกแล้ว ศาสตราเซียนที่มีอาคมเซียนระดับ 3 ดาวจารึกไว้เช่นนี้ ต่ำๆก็มีราคาเหยียบล้านคะแนนอุทิศแล้ว! ศิษย์ที่ไหนจะไปซื้อไหว!!”


 


……


 


เหล่าผู้คนที่มาชมดูเริ่มสนทนากันดังอื้ออึง ทั้งหลายอดไม่ได้ที่จะมองชมกระบี่ของเฮ่อจงด้วยความยำเกรง


 


“เอ๋…กระบี่เล่มนี้ กล่าวไปแล้วช่างคุ้นตาข้ายิ่ง….”


 


ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ศิษย์ฝ่ายในที่มองกระบี่ในมือเฮ่อจงคนหนึ่งพลันขมวดคิ้ว กล่าวออกมาคล้ายกับนึกย้อนถึงบางสิ่ง


 


ครู่ต่อมาลูกตามันก็ทอประกายสว่างโรจน์ เร่งกล่าวตะโกนออกมาเสียงดัง “ข้าจำได้แล้ว! นี่มันกระบี่ของอาวุโสหลิวฮ่วนที่เป็นผู้อาวุโสฝ่ายในนี่นา! ข้าเคยมีโชคได้เห็นอาวุโสหลิวฮ่วนใช้กระบี่สู้คราหนึ่ง…แถมในสำนักจันทร์จรัสแสงเรา ศาสตราเซียนที่มีอาคมเซียน 3 ดาวจารึกไว้ ก็มิมีทางจะมีเล่มที่ 2..กระบี่เล่มนี้สมควรเป็นกระบี่ของผู้อาวุโสหลิวฮ่วน!”


 


“อะไรนะ!? กระบี่ของอาวุโสหลิวฮ่วน?! ได้อย่างไรกัน…ข้ามิเคยได้ยินมาก่อนเลยว่าอาวุโสหลิวฮ่วนมีสัมพันธ์อันใดกับเฮ่อจง…แล้วไฉนมันถึงมีกระบี่ของอาวุโสหลิวฮ่วนได้เล่า?”


 


ศิษย์ฝ่ายในหลายต่อหลายคนมองเฮ่อจงด้วยสายตาประหลาดใจ


 


“บางทีเฮ่อจงผู้นี้ ได้ถูกอาวุโสหลิวฮ่วนลอบรับตัวไปเป็นศิษย์อย่างลับๆหรือไม่? ข้าพอรู้มาบ้างว่าเหล่าอาวุโสฝ่ายใน ชมชอบมารับศิษย์ในฝ่ายนอกที่มีพรสวรรค์สูงส่งเอาไว้ก่อน จนเมื่อศิษย์ฝ่ายนอกเหล่านั้นเข้าสู่ฝ่ายใน จึงค่อยเปิดเผยฐานะ…”


 


ศิษย์ฝ่ายในหลายคนเริ่มกล่าวออก


 


“จักว่าไปแล้วเรื่องเหล่านี้ข้าก็เคยได้ยินมาเช่นกัน เช่นนั้นเฮ่อจงผู้นี้สมควรเป็นศิษย์ส่วนตัวของอาวุโสหลิวฮ่วนไม่ผิดแน่!”


 


ศิษย์ฝ่ายในคนอื่นเริ่มเห็นด้วย


 


“อาวุโสหลิวฮ่วน?”


 


หลังจากได้ยินคำของศิษย์ฝ่ายใน เหล่าศิษย์ฝ่ายนอกถึงกับต้องชมดูด้วยตาลุกวาวทันที!


 


“อาวุโสหลิวฮ่วนลงมือแล้วงั้นหรือ…น่าเสียดายยิ่งนักที่นี่มิใช่การประลองเป็นตาย!”


 


ไม่นานหลังจากเรื่องนี้เริ่มลือกันสนั่น ‘อาวุโสหวงเฉิง’ ที่มาแอบดูเรื่องราวอยู่ไกลๆ ก็เผยยิ้มแสยะสองตาลุกวาวขึ้นมาทันใด มุมปากยังเผยยิ้มเย็นชา “แต่ถึงแม้นี่จักมิใช่การประลองเป็นตาย ทว่าความเกลียดชังที่อาวุโสหลิวฮ่วนมีต่อฟางฮุ่ยนับว่าลึกล้ำนัก…หึๆๆ วันนี้ตัวบัดซบต้วนหลิงเทียนมันยากจะรอดพ้นไปได้ง่ายๆแล้ว!!”


 


ความแค้นและเรื่องราวความบาดหมางระหว่างหลิวฮ่วนกับฟางฮุ่ยนั้นไม่ใช่ความลับในสำนักจันทร์จรัสแสง


 


ดังนั้นพอรู้ว่าต้วนหลิงเทียนมาจากจวนเจ้าเมืองชงซันของฟางฮุ่ย หวงเฉิงเองก็เฝ้ารอเวลาที่จะเห็นอาวุโสหลิวฮ่วนลงมือมาโดยตลอด!


 


หวงเฉิงผู้นี้ ได้เสียคะแนนอุทิศให้ต้วนหลิงเทียนไปถึง 360,000 แต้ม เมื่อเดือนกว่าก่อนหน้านี้


 


และตลอดระยะเวลาเดือนกว่าที่ผ่านมา มันก็ลอบติดตามความเคลื่อนไหวต้วนหลิงเทียนอยู่ตลอดเวลา ด้วยหวังว่าต้วนหลิงเทียนจะเดินทางออกจากสำนัก! เพราะมันจะได้มีโอกาสฆ่าต้วนหลิงเทียนทันที!!


 


น่าเสียดาย หลังจากที่มันลอบติดตามความเคลื่อนไหวของต้วนหลิงเทียนมาเดือนกว่า มันพบว่าต้วนหลิงเทียนไม่ได้ออกไปไหนเลย ไม่แม้แต่จะมาฝึกซ้อมนอกบ้านด้วยซ้ำ…


 


“อาวุโสหลิวฮ่วน?”


 


ผู้ดูแลฝ่ายนอก ‘เติ้งเหว่ย’ ที่มาชมดูเรื่องราวอยู่เช่นกันพลันหัวเราะสะใจออกมา “วันนี้ต้วนหลิงเทียนแม้ไม่ตายแต่ก็ต้องพิการแน่แท้! เพราะอย่างไรเสียหากลงมือทำต้วนหลิงเทียนพิการ อาศัยสถานะศิษย์อาวุโสฝ่ายใน…บทลงโทษก็มิแน่ว่าจะหนักหนาเท่าไร”


 


ถึงแม้ว่าต้วนหลิงเทียนจะเป็นอัจฉริยะมากพรสวรรค์ ทว่าหากพิการไป หลังจากนี้คิดมีตำแหน่งฐานะระดับสูงอะไรในสำนักก็ยากแล้ว…


 


เช่นนั้นหมายความว่าเฮ่อจงย่อมมีคุณค่าต่อสำนักมากกว่า!


 


สำนักจันทร์จรัสแสงแน่นอนว่าแม้จะลงโทษเฮ่อจง แต่ก็คงไม่ถึงขั้นเอาชีวิตหรือถึงขั้นทำให้พิการ


 


แต่แน่นอนว่าถ้าเฮ่อจงฆ่าต้วนหลิงเทียน ก็ยากจะหนีโทษตายไปได้…!


 


เพราะนั่นคือกฏเหล็กของสำนักจันทร์จรัสแสง! ไม่ว่าเป็นผู้ใดใหญ่มาจากไหนก็มิอาจรอดพ้นกฎชีวิตต้องชดใช้ด้วยชีวิต! หาไม่แล้วกฏย่อมไร้ความหมายและไร้ความศักดิ์สิทธิ์อีกสืบไป!!


 


“ต้วนหลิงเทียน…”


 


เยี่ยหมานเองก็อยู่ด้วยเช่นกัน ในแววตายังเผยความคาดหวังออกมา


 


เรื่องที่ต้วนหลิงเทียนมาจากเมืองชงซันมันย่อมรู้ดี อีกทั้งหลังจากที่เข้ามาอยู่ในสำนักจันทร์จรัสแสงได้ระยะหนึ่ง มันก็ได้รับรู้เรื่องราวความบาดหมางระหว่างอาวุโสหลิวฮ่วนกับฟางฮุ่ยเช่นกัน…


 


ดังนั้นมันเองก็คิดว่าวันนี้เฮ่อจงไม่น่าจะปล่อยต้วนหลิงเทียนไปง่ายๆ


 


ตอนนี้เยี่ยหมานแทบรอเห็นต้วนหลิงเทียนถูกเฮ่อจงทำร้ายจนพิการไม่ไหวแล้ว! เพราะหากต้วนหลิงเทียนพิการไป มันคิดฆ่าต้วนหลิงเทียนวันหลังย่อมง่ายขึ้นแน่นอน!!


 


“อาคมเซียนระดับ 3 ดาว? อาคมเซียนเจาะทะลวง? กระบี่ของหลิวฮ่วน?”


 


สีหน้าต้วนหลิงเทียนเคร่งขรึมขึ้นมาทันใด เขาเองก็มีคิดไว้แล้วว่าหลิวฮ่วนสมควรมอบศาสตราดีๆให้เฮ่อจงใช้เล่นงานเขา…


 


อย่างไรก็ตาม อานุภาพของอาคมเซียนเจาะทะลวง นับว่าอยู่เหนือความคาดหมายของเขาไปมาก! เรื่องนี้ทำให้เขาประหลาดใจไม่น้อย!!


 


ครั้งสุดท้ายที่เขาไปศาลาอุทิศ เขาก็ไม่เห็นว่าจะมีศาสตราเซียนเล่มใดที่มีอาคมเซียนระดับ 3 ดาวจารึกไว้ขายเลย! หาไม่แล้วเขาคงซื้อมันมาไว้ใช้เองสักเล่มแล้ว!!


 


เคลื่อนขอบฟ้า!


 


อัสนีสะบั้นขอบฟ้า!


 


ท่ามกลางสายตาของผู้คน เฮ่อจงพลันเริ่มลงมือเคลื่อนไหวออกมาอีกครั้ง และเป้าหมายกระบี่คราวนี้มิใช่ทะลวงแทง !


 


คราวนี้เป้าหมายกระบี่ของเฮ่อจง เพียงดูก็รู้ว่ามันคิดตัดแขนขวาของต้วนหลิงเทียนให้ขาดในกระบี่เดียว!


 


เผชิญกับการลงมืออำมหิตของเฮ่อจง สีหน้าต้วนหลิงเทียนก็มืดครึ้มทันใด


 


พริบตาต่อมาเขาเปิดใช้ม่านตาพิสดารทันที!


 


พลังวิญญาณทั่วกายหลั่งไหลลงสู่นัยน์ตาซ้าย บังเกิดเป็นวังวนทมิฬน่าพรั่นพรึงหมุนวนเร็วจี๋


 


ยิ่งมาวังวนดังกล่าวยังยิ่งทวีความเร็วในการหมุนวนขึ้น คล้ายกำลังจะบรรลุถึงขีดจำกัด!


 


จังหวะนี้เขาคิดใช้อำนาจของ ‘ม่านตาพิสดาร’ เต็มกำลัง!


 


ในฐานะศิษย์ฝ่ายนอกอันดับ 3 พลังฝีมือเฮ่อจงย่อมกล้าแข็งมิใช่ชั่ว กอปรกับอาคมเซียนทะลวงระดับ 3 ดาวนั่น ทำให้ต้วนหลิงเทียนไม่มีวิธีรับมือมันตรงๆอยู่เลย!


 


ม่านตาพิสดาร! เคลื่อนมิติ!!


 


ทันใดนั้นกระบี่ที่วาดมาฉับไวหมายสะบั้นแขนของต้วนหลิงเทียน ก็เบี่ยงออกข้างไปสะบั้นหั่นลมอย่างอัศจรรย์!


 


ต้วนหลิงเทียนเพียงโล่งใจได้เปราะหนึ่ง…ก็กลับต้องชักสีหน้าตึงเครียด! เพราะเฮ่อจงที่ลงมือพลาดเป้ากลับมิได้แตกตื่นลนลานแม้แต่น้อย แววตาอีกฝ่ายยังจับจ้องเขาไม่วาง ไม่เผยช่องว่างแม้แต่น้อย!!


 


ราวกับมันรู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดเหตุการณ์ทำนองนี้!!


 


‘มันรู้งั้นเหรอ!?’


 


ใจต้วนหลิงเทียนสะท้านไปทันใด สังหรณ์อัปมงคลหนึ่งบังเกิดขึ้นในใจ!


 


“ต้วนหลิงเทียน…เฝิงฟ่านสมควรพลาดท่าเสียทีจนตกตาย เพราะทักษะวิญญาณประหลาดๆนี้ของเจ้าใช่หรือไม่? แต่จะว่าไปแล้วนับว่าทักษะวิญญาณของเจ้าน่าทึ่งยิ่งนัก ถึงขั้นเคลื่อนกระบี่ที่ข้าใช้ออกด้วยอัสนีสะบั้นขอบฟ้าได้เช่นนี้…ทว่ามันจบแล้ว!!”


 


น้ำเสียงดุร้ายแฝงอำมหิตดังสนั่นผ่านปราณแท้ของเฮ่อจงส่งตรงถึงหูต้วนหลิงเทียน ให้ความรู้สึกหลอกหลอนแก่ต้วนหลิงเทียนไม่น้อย เขาเร่งสืบเท้าพุ่งร่างถอยออกไปตามสัญชาตญาณ พลังทั่วร่างเร่งเร้าถึงขีดสุด จับจ้องความเคลื่อนไหวเฮ่อจงเขม็ง!!


 


พริบตาต่อมาต้วนหลิงเทียนพบว่า ในมือเฮ่อจงมิทราบว่าตั้งแต่เมื่อใด แต่ยามนี้ปรากฏแผ่นยันต์สีเหลือขึ้นมาหนึ่งแผ่น อักขระตัวยันต์ซับซ้อนชวนให้ขนลุกนัก


 


‘ยันต์เต๋าสายจู่โจม!!’


 


มองอักขระที่วาดเขียนบนแผ่นยันต์ ต้วนหลิงเทียนสามารถจำแนกประเภทของยันต์ได้ทันที!


 


ทันใดนั้นเฮ่อจงพลันซัดยันต์มาทางต้วนหลิงเทียน สองตายังมองต้วนหลิงเทียนเขม็ง!


 


“สำแดง!!”


 


ยันต์ที่ถูกซัดมาทางต้วนหลิงเทียนไม่ทันไร เสียงเฮ่อจงที่มองต้วนหลิงเทียนเขม็งพลันตะโกนออกมาดังก้องปานฟ้าลั่น!!


1471 ยันต์เทพเคลื่อน 3 ดาว แผลงฤทธิ์!!


 


“สำแดง!”


 


แทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่เสียงสำแดงของเฮ่อจงดังขึ้น เสียงกล่าวสำแดงอีกเสียงก็ลั่นดังตามมาฉับไว!


 


เสียงกล่าว ‘สำแดง’ ครั้งหลังนั้น เป็นเสียงของต้วนหลิงเทียน!


 


ทันทีที่เฮ่อจงหยิบยันต์เต๋าขึ้นมา ใจต้วนหลิงเทียนก็เต้นรัวแฝงเร้นไปด้วยสังหรณ์อัปมงคล! สภาวะร่างที่เตรียมพร้อมพลันตื่นตัวเต็มที่!


 


และวินาทีที่เห็นเฮ่อจงหยิบยันต์เต๋าทั้งซัดออกมา เขาก็รู้ได้ทันทีว่ากระบวนท่าพิฆาตที่แท้จริงวันนี้ของเฮ่อจง มิใช่พลังฝีมือ…มิใช่กระบี่แฝงอาคมเซียนเจาะทะลวง แต่เป็นยันต์เต๋าสายจู่โจม!


 


แน่นอนว่าเขายังเชื่อมั่นว่าเฮ่อจงคงไม่กล้าฆ่าเขา!


 


อย่างไรก็ตามการตัดแขนขาให้เขาพิกลพิการมันทำแน่!


 


บางที่นี่คงเป็นจุดประสงค์ที่แท้จริงของเฮ่อจง!!


 


เช่นนั้นแล้วพริบตาที่เฮ่อจงหยิบยันต์ซัดออก ต้วนหลิงเทียนที่สติตื่นตัวเต็มที่ พลันแผ่สำนึกลงแหวนพื้นที่ สะบัดมือเรียกยันต์เต๋าออกมากำถือไว้แผ่นหนึ่งทันที!


 


วูบต่อมาเมื่อเฮ่อจงกล่าวประกาศคำ ‘สำแดง’ หลังซัดยันต์เข้ามา


 


ต้วนหลิงเทียนจึงประกาศคำ ‘สำแดง’ เพื่อให้ยันต์เต๋าในมือสำแดงอานุภาพเช่นกัน!!


 


ยันต์เต๋าสายป้องกันกับเสริมการเคลื่อนไหว สามารถเปิดใช้โดยไม่ต้องซัดออกไปแต่อย่างไร!


 


ตอนนี้เองยันต์เต๋าที่เฮ่อจงซัดมาพลันระเบิดสลายหายไปในความว่าง และความว่างบริเวณดังกล่าวคล้ายจะบิดเบือนไปด้วยพลังอำนาจลี้ลับประการหนึ่ง พริบตาปรากฏเป็นรังสีพลังสังหาร 4 สายพุ่งมาอย่างอำมหิต เล็งจี้ไปยังแขนขาทั้ง 4 ของต้วนหลิงเทียน!!


 


เป็นไปได้สูงนักที่หากยันต์เต๋าใบนี้จู่โจมสำเร็จ ต้วนหลิงเทียนคงได้กลับกลายเป็นมนุษย์ตอไม้ ไร้แขนขาทั้ง 4!


 


ความเร็วของรังสีพลังสังหารจากอำนาจยันต์เต๋าเป็นอะไรที่สูงล้ำ น้อยคนนักที่จะมองตามเรื่องราวได้ทัน!


 


“ยันต์เต๋าสายจู่โจมระดับ 2 ดาว!!”


 


ผู้อาวุโส ‘หวงเฉิน’ เป็นหนึ่งในน้อยคนที่สามารถมองเห็นอานุภาพยันต์ได้ชัดเจน มันเห็นวิถีสังหารของรังสีพลังทั้ง 4 สายชัดถนัดตา นำพาให้ลูกตาของมันทอแสงสว่างโรจน์!!


 


เพราะรังสีพลังสังหารของยันต์แผ่นนั้น มันทัดเทียมกับการจู่โจมของตัวตนระดับสู่เซียนขั้นเชี่ยวชาญ!


 


อาวุโสและผู้ดูแลฝ่ายนอกอีกหลายคน ก็เผยความตื่นตะลึงในแววตาเช่นเดียวกัน ด้วยไม่คิดเลยว่าเฮ่อจงจะอำมหิตไร้ปราณีถึงเพียงนี้ กลับคิดใช้ยันต์เต๋าทำลายต้วนหลิงเทียนให้พิกลพิการ!


 


“ต้วนหลิงเทียน! นับจากวันนี้เป็นต้นไป ฟ้าลิขิตให้เจ้ากลายเป็นตัวพิกลพิการ!!”


 


รอยยิ้มสดใสเริงร่าเต็มไปด้วยความยินดีคลี่กางขึ้นมาบนใบหน้าของผู้ดูแลฝ่ายนอก เติ้งเหว่ย


 


คล้ายมันได้เห็นภาพแขนขาทั้ง 4 ของต้วนหลิงเทียนถูกรังสีพลังสังหารนั่นสะบั้นจนหลุดขาดก็ไม่ปาน!


 


สำหรับหลานชายของมันแล้ว เรื่องนี้สมควรเป็นข่าวดีถึงขั้นฉลองใหญ่ทั้งตระกูล!


 


อนิจจาพริบตาต่อมาผู้ที่สามารถแลเห็นวิถีพลังสังหารทั้ง 4 สาย แววตาก็จำต้องแปรเปลี่ยนไปทันใด ยังนิ่งค้างไปตามๆกัน!


 


นั่นเพราะพวกมันแลเห็นเพียงว่า ร่างต้วนหลิงเทียนที่เจียนถูกรังสีพลัง 4 สายทำร้าย กลับอันตรธานหายไปในอากาศราวไม่เคยดำรงอยู่มาก่อน!


 


ตั้งแต่ต้นจนจบพวกมันไม่อาจทราบได้เลยว่าต้วนหลิงเทียนหายตัวไปได้อย่างไรกันแน่!


 


“เป็นยันต์เต๋าเทพเคลื่อนระดับ 3 ดาว!!”


 


ไม่นานผู้อาวุโสฝ่ายนอกที่ชรามากแล้วคนหนึ่ง พลันหยีตากล่าวออกมาด้วยความตื่นตระหนก


 


เพราะตอนที่ต้วนหลิงเทียนประกาศคำ ‘สำแดง’ มันก็รู้ได้ทันทีว่าต้วนหลิงเทียนสมควรเปิดใช้พลังอำนาจของยันต์เต๋าบางอย่าง!


 


และยันต์เต๋าที่มีพลังอำนาจถึงขั้นทำให้ร่างต้วนหลิงเทียนเคลื่อนไหวฉับไว จนประหนึ่งอันตรธานหายไปในอากาศได้เช่นนี้ มีเพียงยันต์เต๋าเทพเคลื่อนระดับ 3 ดาวเท่านั้น!


 


ยันต์เต๋า 3 ดาว เป็นยันต์เต๋าที่มีระดับสูงที่สุดของสำนักจันทร์จรัสแสงแล้ว


 


เช่นนั้นมันจึงรู้ได้ทันทีว่าที่ต้วนหลิงเทียนใช้สมควรเป็นยันต์เต๋าเทพเคลื่อนระดับ 3 ดาว…


 


ถึงแม้ว่ายันต์เต๋าเทพเคลื่อนระดับ 3 ดาวจะมีราคาสูงลิบลิ่วถึง 300,000 คะแนนอุทิศ และมันแพงเกินกว่าที่ศิษย์ฝ่ายนอกทั่วไปจะซื้อมาใช้ได้…


 


ทว่าไหนเลยต้วนหลิงเทียนยังเป็นศิษย์ฝ่ายนอกธรรมดาๆ? อีกฝ่ายพึ่งได้รับคะแนนอุทิศมาเป็นล้านเมื่อเดือนก่อน! เช่นนั้นจึงมิใช่เรื่องยากอันใดที่จะซื้อยันต์เต๋าเทพเคลื่อนระดับ 3 ดาวมาใช้!!


 


ยันต์เต๋าเทพเคลื่อนระดับ 3 ดาว!!


 


ได้ยินเสียงตะโกนของอาวุโสฝ่ายนอกที่ชรา สีหน้าหวงเฉิง เติ้งเหว่ย มืดคล้ำดำลงปานเห็นบิดาถูกโจรป่าใจทรามขืนใจ!


 


“เป็นไปมิได้!!”


 


กลางลานฝึกซ้อม เฮ่อจงที่เห็นว่าอยู่ๆร่างต้วนหลิงเทียนกลับเคลื่อนไหวด้วยความเร็วอัศจรรย์จนหายตัวไป และรังสีพลังสังหาร 4 สายพลาดเป้าทิ่มทะลวงพื้นดิน พลันโพล่งอุทานออกมาด้วยดวงตาตื่นตระหนก


 


“ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้”


 


ในขณะที่ร่างเฮ่อจงที่พุ่งมาตามแรงเฉื่อยในตอนแรกหยุดลง มันก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นเข้าหู


 


หลังจากเปิดใช้พลังอำนาจของยันต์เต๋าเทพเคลื่อนระดับ 3 ดาว ความเร็วของต้วนหลิงเทียนจึงบรรลุถึงขอบเขตสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่! ร่างวูบมาปรากฏด้านหลังของเฮ่อจงปานภูตผี!!


 


ปงงงงง!!


 


ก่อนที่ทุกผู้คนไม่เว้นอาวุโสฝ่ายนอกที่พลังฝึกปรือกล้าแข็งที่สุดจะทันได้รับทราบเรื่องราว เสียงสนั่นจากการอัดกระแทกหนั่นเนื้ออย่างจังพลันดังขึ้น พริบตาต่างก็แลเห็นร่างเฮ่อจงปลิดปลิวกระเด็นไปไม่เป็นท่า! มันลอยละลิ่วปานลูกธนูพ้นคันศร พอตกพื้นยังกลิ้งไถลไปเป็นทาง!!


 


ผัวะ!!


 


ในขณะที่เฮ่อจงดิ้นรนหมายลุกขึ้นยืน อีกหนึ่งเสียงถนัดถนี่ก็ดังขึ้น! หน้ามันแดงฉานไปด้วยรอยฝ่ามือ!!


 


“บัดซบเอ๊ย! ต้วนหลิงเทียนถ้าเจ้ามีศักดิ์ศรีก็โผล่หัวออกมาสู้กันดีๆสิวะ! หรือเจ้าดีแต่ลอบโจมตีข้าเยี่ยงตัวขี้ขลาด ไม่กล้าสู้กับข้าตรงๆ!?”


 


เฮ่อจงกระอักโลหิตออกมาคำใหญ่คายฟันหน้าออกมาทั้งแถบ เร่งตะโกนกล่าวประกาศออกมาด้วยความหัวร้อน


 


หลังจากได้ยินเสียงตะโกนด้วยความหัวร้อนของเฮ่อจง ทุกผู้คนที่มาชมดูการประลองในลานฝึกซ้อมถึงกับชักสีหน้าแปลกประหลาด


 


มันพึ่งขอให้ต้วนหลิงเทียนสู้กับมันอย่างมีศักดิ์ศรี?


 


มันกล่าวว่าต้วนหลิงเทียนดีแต่ลอบทำร้าย?


 


ไม่ใช่ว่ามันเป็นคนใช้ยันต์เต๋าทำร้ายผู้อื่นก่อนหรือไร?


 


“เฮ่อจงนั่นหนังหน้ามันทำด้วยอันใดกัน…หรือมิมียางอายหลงเหลือแล้วจริงๆ ถึงได้กล้ากล่าวเหลวไหลเช่นนั้น? ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนไม่ใช่แค่ให้มันลองดื่มยาหม้อเดียวกันบ้างรึไง..”


 


ศิษย์ฝ่ายในมองไปยังเฮ่อจงที่หน้าแดงเป็นรอยมือทั้งฟันหลอด้วยสายตาดูแคลน


 


วาจาของศิษย์ฝ่ายในคนนี้ยังเป็นที่เห็นชอบของผู้คน


 


กระทั่งเหล่าศิษย์ฝ่ายนอกเองก็เห็นด้วย ต่างรู้สึกว่าเฮ่อจงสมควรโดนดีบ้างแบบนี้


 


“มีศักดิ์ศรี? เจ้าคิดว่าเจ้าคู่ควรงั้นเหรอ?”


 


เสียงหัวเราะเย็นเยียบของต้วนหลิงเทียนดังขึ้นก้องลานฝึกซ้อม ทว่าไม่มีผู้ใดแลเห็นร่องรอยของเขาเลย


 


หลังจากที่ยันต์เต๋าเทพเคลื่อนระดับ 3 ดาวถูกเปิดใช้ ความเร็วของต้วนหลิงเทียนจึงบรรลุถึงขอบเขตสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่ อีกทั้งยังอยู่ได้ถึง 1 เค่อ…!


 


ตราบใดที่เขาใช้ท่าร่างเคลื่อนไหวตลอดเวลา เกรงว่าหากไม่ใช่ผู้อาวุโสฝ่ายระดับสูงของสำนักจันทร์จรัสแสง กระทั่งตัวตนที่เหนือกว่านั้น คงยากจะมองตามได้ทัน!


 


อันที่จริงกระทั่งในบรรดาผู้อาวุโสระดับสูงของสำนักจันทร์จรัสแสง ก็มีแค่หยิบมือเท่านั้นที่จะมองเห็นต้วนหลิงเทียนในตอนนี้ยามเคลื่อนไหว


 


นอกจากนั้นเกรงว่ากระทั่งเงายังมิอาจเห็นแล้ว!


 


ผัวะ!!


 


เสียงตบอีกเสียงดังชัดถนัดถนี่ ซีกหน้าอีกข้างของเฮ่อจงถูกตบด้วยพลังดิบเถื่อน ไถกรามไปทั้งแถบ ตอนนี้ใบหน้าของมันปูดบวมจนคล้ายหัวหมูฟันหลอ ความหล่ออันใดไม่มีหลงเหลือ!


 


“สารเลวเอ๊ย! ต้วนหลิงเทียนเจ้ากล้าหยามข้าให้อัปยศงั้นหรือ เจ้ารู้หรือไม่ว่าอาจารย์ของข้าเป็นใคร?!”


 


เฮ่อจงคำรามออกมาเสียงแข็ง


 


“ใครเป็นอาจารย์ของเจ้าข้าไม่รู้…แต่ข้ารู้ว่าในเมื่อเจ้าคิดทำร้ายข้าจนพิการ เจ้าก็ต้องพิการ!!”


 


เสียงเย็นชาที่ดังขึ้นโดยไม่เห็นตัวของต้วนหลิงเทียนรอบนี้ ทำให้หน้าเฮ่อจงถอดสี ลูกตาเต็มไปด้วยความผวาหวาดกลัว “ข้ายอม…”


 


มันคิดประกาศยอมรับความพ่ายแพ้!


 


อย่างไรก็ตามก่อนที่คำ ‘แพ้’ จะดังออกจากปากของมัน มันกลับถูกต้วนหลิงเทียนพุ่งมาฉับไวเตะเสยเข้าปลายคางจนหน้าสั่น ร่างกระเด็นปลิวหงายหลังไปไม่เป็นท่า


 


และในขณะที่มันจะกล่าวคำยอมแพ้อีกครั้ง มันก็ถูกต้วนหลิงเทียนที่วูบมาฉับไวย่ำเหยียบหน้ากระแทกพื้นจนจมดิน! และไม่ว่ามันจะทำอย่างไร ไม่ทันได้พูดก็ถูกต้วนหลิงเทียนอัดหน้าจนฟันในปากไม่มีเหลือไว้เคี้ยวข้าวแม้แต่ซี่เดียว!!


 


สุดท้ายมันก็ได้แต่แน่นิ่งยอมรับสภาพคุดคู้ร่างสั่นอยู่กับพื้นไม่กล้ากล่าววาจา ไม่กล้าเคลื่อนไหว


 


“ต้วนหลิงเทียนอย่าทำข้า ได้โปรดอย่าทำข้า ขอเพียงเจ้าไม่ทำร้ายข้าจนพิการ ต่อไปข้าไม่กล้ายุ่งกับเจ้าแล้ว และเจ้าจะให้ข้าทำอะไรข้าล้วนยอมเจ้าทั้งสิ้น!!”


 


สุดท้ายเฮ่อจงที่นอนคุดคู้ร่างสั่นเทิ้มก็ได้แต่ส่งเสียงผ่านปราณแท้ไปขอร้องต้วนหลิงเทียนที่กระทืบหน้ามันอยู่


 


มันหวาดกลัวจับใจ


 


หากวันนี้มันถูกต้วนหลิงเทียนทำร้ายจนพิการจริง อนาคตมันก็จบสิ้นกันแล้ว!


 


เมื่อเผชิญกับวิกฤตถึงขั้นสูญสิ้นอนาคต เฮ่อจงไม่มีทางเลือกอื่นจึงได้แต่ก้มหัวลงต่ำกราบกรานอ้อนวอน


 


“ไม่กล้ายุ่งกับข้าแล้ว?”


 


ต้วนหลิงเทียนแสยะยิ้มกล่าวออกด้วยเสียงเย็น เท้าขวาหวดเตะหน้าเฮ่อจงไปอีกรอบค่อยกล่าว “เจ้าคิดว่าข้าจะโง่เชื่อวาจาสามานย์ของเจ้า?”


 


ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนควบคุมสถานการณ์ไว้ได้อย่างหมดจด ด้วยความเร็วระดับสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่ ขอเพียงเสียงเฮ่อจงดังออกด้วยเสียงปกติเขาจะอัดมันให้ไม่อาจกล่าว! เพียงปล่อยให้มันกล่าวผ่านปราณแท้ และไม่ว่ามันคิดจะทำอะไร มันก็ทำได้แค่หมอบอยู่ใต้เท้า!!


 


วรยุทธ์ใต้หล้า ความเร็วนับเป็นที่สุด!


 


โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อความเร็วอันน่าพรั่นพรึงมาอยู่ในมือต้วนหลิงเทียน!


 


“ข้าจะกล่าวคำสาบาน! ข้าจะกล่าวคำสาบาน!!”


 


เฮ่อจงที่หวาดกลัวจนตัวสั่นพอสัมผัสได้ถึงจิตสังหารอันดำมืดยิ่งกว่าผู้ใดที่มันเคยเจอมาจากต้วนหลิงเทียน จึงเร่งส่งเสียงผ่านปราณแท้กล่าวออกมาอย่างหวาดผวาทันที ยังเร่งกรีดนิ้วหลั่งโลหิตสาบานว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปมันจะไม่มาทำร้ายต้วนหลิงเทียนอีก!


 


เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง!


 


……


 


เสียงอัสนีสวรรค์ดังลั่น 9 คำรบ ตอบรับคำสาบานกังวานให้ทุกคนในลานฝึกซ้อมได้ยินกันทั่ว


 


“นับว่าเจ้าตัดสินใจได้ดี!”


 


ต้วนหลิงเทียนพลันกล่าววาจาหยันหยาออกมา “แต่วันนี้อย่างไรเสียเจ้าก็เกือบทำลายแขนขาทั้ง 4 ของข้า! อีกทั้งยังทำให้ข้าเสียยันต์เต๋าเทพเคลื่อนระดับ 3 ดาวไป…เจ้าคิดจริงๆหรือว่าข้าจะปล่อยให้เรื่องมันจบเพียงเพราะเจ้าสาบานเรื่องเดียว?”


 


“ขะ…ข้าชดใช้ยันต์เต๋าเทพเคลื่อนให้เจ้าได้ ข้าชดใช้ให้เจ้าได้!”


 


เฮ่อจงสูดลมหายใจเข้าลึกๆกล่าวออก แน่นอนว่าตอนนี้มันก็ไม่กล้าแม้แต่จะกล่าวยอมแพ้ เพราะรู้ดีว่าต้วนหลิงเทียนไม่เปิดโอกาสให้มันแน่! ซ้ำหากกระตุ้นโทสะต้วนหลิงเทียนขึ้นมา มันได้จบเห่แล้ว!!


 


“เจ้าทำให้ข้าสูญเสียยันต์เจ้าชดใช้ก็สมควรแล้ว…แต่เรื่องที่เจ้าคิดทำลายแขนขาทั้ง 4 ของข้าเล่า? เจ้าจะชดใช้อย่างไร หากคำตอบของเจ้าไม่เข้าหูข้า แขนขาทั้ง 4 ของเจ้า…อย่าหวังว่าพรุ่งนี้จะมีใช้!!”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกเสียงเย็นแฝงอำมหิต


 


ถึงแม้เขาขู่จะทำลายแขนขาของเฮ่อจง แต่ใจเขาก็รู้ดีว่าเขาไม่สามารถทำได้ ตอนนี้เพียงใช้สภาวะกับจิตสังหารสะกดมันไว้ให้หวาดกลัวเท่านั้น


 


อีกทั้งตัวการที่แท้จริงก็คือหลิวฮ่วน ถึงเขาทำลายเฮ่อจงไป หลิวฮ่วนก็ยังอยู่ดี กระทั่งอาจใช้เรื่องนี้มาเล่นงานเขาตามกฏสำนักด้วยซ้ำ ทำให้เขาไม่สิ้นคิดถึงขั้นที่จะทำลายเฮ่อจงจริงๆ…เช่นนั้นเขาก็เหลือเพียงหนทางเดียว


 


ขู่กรรโชกมันเสีย!


 


“จะ…เจ้าต้องการอันใด?”


 


เฮ่อจงค่อยมองลอดแขนออกมาดูต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาหวาดกลัว


 


“1,000,000 คะแนนอุทิศเพื่อซื้อแขนขาของเจ้า!”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกพร้อมแสยะยิ้ม ลูกตายังเต็มไปด้วยจิตสังหาร “ข้าคิดว่าแขนขาเจ้าราคา 1,000,000 คะแนนอุทิศ ก็ไม่นับว่าแพงไปใช่หรือไม่?”


 


1,000,000 คะแนนอุทิศ!


 


ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวคำนี้ออกมา ผู้ชมทั้งลานฝึกซ้อมถึงกับทำหน้าเหวอ บ้างก็สูดลมหายเข้าดังเฮือก


 


“สวรรค์ช่วย…ต้วนหลิงเทียนนับว่ามีความกระหายอันยิ่งใหญ่นัก! ไม่ทันไรก็กรรโชกทรัพย์ผู้คน 1,000,000 คะแนนอุทิศแล้ว!!”


 


ศิษย์ฝ่ายในถึงกับต้องกลืนน้ำลายลงคอดังอึก เมื่อได้ยินวาจากรรโชก 1,000,000 คะแนนอุทิศของต้วนหลิงเทียน


 


“ศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนรีดไถคะแนนอุทิศจากศิษย์พี่เฮ่อจงมากมายขนาดนี้…แล้วนี่ศิษย์พี่เฮ่อจงมันจะมีปัญญาจ่ายหรือ?”


 


ศิษย์ฝ่ายนอกเริ่มกล่าวเสียงดังเซ็งแซ่


 


“ศิษย์พี่ต้วน เถื่อนถูกใจมากเจ้าค่ะ!!”


 


ศิษย์สตรีฝ่ายนอกบางคนอดไม่ไหว ถึงกับโพล่งออกมาด้วยความชื่นชม


 


“1,000,000 คะแนนอุทิศ…นับถือๆ”


 


กระทั่งผู้ดูแลและผู้อาวุโสฝ่ายนอก ยังถึงกับอ้าปากค้างกับต้วนหลิงเทียนที่แปลงร่างเป็นสิงโตปากกว้าง…


 


1,000,000 คะแนนอุทิศ! พวกมันที่ยืนหัวโด่กันอยู่ตรงนี้สะสมมาทั้งชีวิตยังไม่มีใครมีถึง!!


 


ถึงแม้เฮ่อจงจะรู้ดีว่าตอนนี้ต้วนหลิงเทียนเสมือนสิงโตปากกว้าง แต่ก็ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะรีดไถคะแนนอุทิศมหาศาลขนาดนี้กับมัน…


 


ทันใดนั้นหน้าเฮ่อจงก็ทรุดลงทันที “ขะ…ข้าไม่มีคะแนนอุทิศมากมายขนาดนั้นให้เจ้าหรอก…”


 


“ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าไม่มีคะแนนอุทิศมากขนาดนี้…เจ้าก็ไสหัวไปหาคนที่ส่งเจ้ามาทำร้ายข้าสิ…ข้าเชื่อว่าเพื่อซื้อแขนขาทั้ง 4 ข้างของเจ้า กับอีแค่ 1,000,000 คะแนนอุทิศมันต้องมีจ่าย!”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวเย้ยออกมา


 


“ถึงแม้ว่าต่อให้เจ้านั่นมันจะไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์ลุงหลาน แต่อย่างน้อยมันก็ต้องไว้หน้าอาจารย์ของเจ้า ข้าไม่เชื่อว่ามันจะกล้าไม่จ่าย ทั้งๆที่มันเป็นคนสั่งให้เจ้ามา!!”


 


วาจาประโยคนี้ต้วนหลิงเทียนเพียงกล่าวส่งเสียงผ่านปราณแท้ให้เฮ่อจงได้ยินคนเดียว


 


“จะ…เจ้ารู้?”


 


เฮ่อจงหน้าเสียไปทันใด มันไม่คิดเลยว่าต้วนหลิงเทียนจะรู้ ‘ก้นบึ้ง’ ของมัน


 


ตอนนี้ความรู้สึกไม่ยินยอมถึงที่สุดพลันเอ่อล้นออกมาท่วมใจ


 


‘ท่านลุง…ดูเหมือนครั้งนี้ใจท่านไม่หลั่งเลือดคงไม่ได้แล้ว’


 


ตอนนี้ในใจเฮ่อจงเต็มไปด้วยความขื่นขมและอับจนหนทาง


 


“เจ้าจงกล่าวคำสาบานอีกครั้ง ว่าหากเจ้าไม่มอบ 1,000,000 คะแนนอุทิศรวมถึงยันต์เต๋าเทพเคลื่อนระดับ 3 ดาวให้ข้าพรุ่งนี้ เจ้าจะถูกอัสนีทัณฑ์สวรรค์พิฆาตตายตก!!”


 


ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองเฮ่อจงด้วยสายตาเย็นชา


1472 ฝ่ายในสำนัก


 


ต้วนหลิงเทียนไม่คิดปล่อยเฮ่อจงไปง่ายๆ จนกระทั่งมันกล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าอีกครั้งตามที่เขาสั่ง


 


“ความเร็วนี่มันเจ๋งจริงๆ…”


 


ต้วนหลิงเทียนที่ยังได้รับผลเสริมความเคลื่อนไหวจากยันต์เทพเคลื่อนระดับ 3 ดาว จนมีความเร็วทัดเทียมกับผู้ฝึกตนขอบเขตสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่ หลังจากที่แยกกับเฮ่อจงแล้วเขาก็ใช้ท่าร่างเคลื่อนไหวเล่นไปทั่วฝ่ายนอก ความเร็วของเขานั้นสูงนัก สูงถึงขั้นที่อาวุโสฝ่ายนอกทั้งหลายก็ไม่อาจจับตามองความเคลื่อนไหวเขาได้ทัน


 


อย่างไรก็ตามอำนาจของยันต์เต๋าเทพเคลื่อนระดับ 3 ดาวย่อมมีระยะเวลาอันจำกัด เมื่อครบ 1 เค่อ ต้วนหลิงเทียนที่วิ่งเล่นไปทั่วฝ่ายนอกก็หยุดลง ความเร็วหวนกลับสู่ปกติ


 


ขณะเดียวกันนั้น


 


ข่าวเรื่องเฮ่อจงแพ้พ้ายต้วนหลิงเทียนอย่างอนาถ กระทั่งถูกขู่กรรโชกทรัพย์ครั้งมโหราฬก็แพร่กระจายไปในสำนักดั่งไฟลามทุ่ง ยังผลให้ชื่อเสียงของต้วนหลิงเทียนพุ่งสูงขึ้นมาอีกครั้ง


 


ถึงแม้ว่าเฮ่อจงจะยังเป็นแค่ศิษย์ฝ่ายนอก แต่อย่างไรเสียมันก็มีฐานะเป็นอันดับที่ 66 ในรายนามปฐพีของ 9 พันธมิตร ชื่อเสียงของมัน นับว่าเหนือกว่าอาวุโสฝ่ายในทั่วๆในสำนักจันทร์จรัสแสงเสียอีก


 


อนิจจาตัวตนเช่นนี้กลับปราชัยภายใต้น้ำมือของต้วนหลิงเทียน ซึ่งเป็นเพียงศิษย์ฝ่ายนอกที่เข้าร่วมสำนักจันทร์จรัสแสงได้ไม่ถึง 3 เดือนดี!


 


ต้วนหลิงเทียนประสบผลสำเร็จในการชิงอันดับ เลื่อนมาอยู่ในอันดับที่ 66 ของรายนามปฐพีแทนเฮ่อจง


 


ส่วนเฮ่อจงนั้น อันดับของมันกลับตกไปอยู่ที่ 99 ซึ่งเป็นอันดับเดิมของต้วนหลิงเทียน


 


ตำแหน่งนี้เดิมทีเป็นของเฝิงฟ่าน


 


ในฝ่ายในของสำนัก เป็นธรรมชาติที่ชื่อเสียงต้วนหลิงเทียนจะแพร่มาถึงแล้วเช่นกัน ทำให้เหล่าศิษย์ฝ่ายในทั้งหลายสนทนาถึงเรื่องนี้กันหนาหู


 


“ปกติคนที่มาจากเมืองชงซัน พอเผชิญหน้ากับมือดีของหลิวฮ่วน ล้วนมิมีผลลัพธ์อันดีสักราย…ทว่าต้วนหลิงเทียนคนนี้ กลับทำให้มือดีของหลิวฮ่วนถึงกับต้องจนปัญญา ยังทุกข์ทรมานเช่นนั้น ไม่ง่ายเลยจริงๆ…”


 


ศิษย์ฝ่ายในหลายคนรู้ถึงความบาดหมางยากอยู่ร่วมฟ้าเดียวกันได้ของหลิวฮ่วนอาวุโสฝ่ายในกับฟางฮุ่ยเจ้าเมืองชงซันดี หลายคนยังอดไม่ได้ที่จะเดาะลิ้นจุ๊ปากยามพูดถึงเรื่องนี้


 


ข่าวความแพ้พ่ายของเฮ่อจงเอง ไม่นานก็ล่วงรู้ถึงหูหลิวฮ่วน


 


การที่ทุกคนกล่าวขานกันหนาหู ยิ่งทำให้หลิวฮ่วนอับอายไม่น้อย


 


ณ ฝ่ายใน คฤหาสน์ของหลิวฮ่วน


 


ตูม!


 


หลิวฮ่วนที่บังเกิดโทสะคับแค้น ทุบฟาดโต๊ะหินอ่อนเบื้องหน้าจนพินาศ “ยันต์เต๋าเทพเคลื่อน 3 ดาว? 1,000,000 คะแนนอุทิศ?”


 


“ความกระหายของมันนับว่ายิ่งใหญ่นัก กล่าวไปมันก็พึ่งได้รับคะแนนอุทิศไปเกือบ 2,000,000 เมื่อเดือนที่แล้วด้วยซ้ำ…”


 


เฮ่อจงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่


 


“ข้ารู้ว่าท่านมิเต็มใจที่จะจ่าย…แต่ว่าข้าได้สาบานไปแล้วนะท่านลุง”


 


เฮ่อจงมองหลิวฮ่วน ค่อยกล่าวเตือนด้วยท่าทางวิตก


 


“เสี่ยวจง เจ้าอย่าได้กังวลใจไป…มิใช่แค่ยันต์เต๋าเทพเคลื่อน 3 ดาวใบนึงกับอีก 1,000,000 คะแนนอุทิศหรือไร? เล็กน้อยเพียงเท่านี้ ลุงเจ้าย่อมมีจ่าย”


 


หลิวฮ่วนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ สีหน้าของมันกลายเป็นปั้นยิ้มเมื่อมองกล่าวกับเฮ่อจง อย่างไรก็ตามลึกลงไปในแววตา ไอโทสะยังไม่จางหายไปแม้แต่น้อย


 


“อย่างไรเสียต้วนหลิงเทียนนั่นมันช่างกล้านัก! มันกล้าทุบตีทำร้ายเจ้าถึงขั้นนี้ได้อย่างไร?”


 


หลิวฮ่วนมองไปยังเฮ่อจงที่หน้ายังบวมเป่งล้ำเลือดช้ำหนองพลันสบถออกมาด้วยความขุ่นขึ้ง


 


“ท่านลุงข้ารู้ว่าท่านคิดอะไรอยู่…แต่ข้าสาบานไปแล้วว่าจักมิยุ่งกับมันอีก วันหน้าขอท่านอย่าได้ทำให้ข้าตกที่นั่งลำบากแล้ว ข้ายังมิอยากถูกอัสนีทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าฟาดผ่าจนตาย”


 


เฮ่อจงไหนเลยจะไม่รู้ความนัยวาจาของหลิวฮ่วน อีกฝ่ายหมายให้มันนำเรื่องนี้ไปใส่สีตีไข่กับอาจารย์ เพื่อสร้างความลำบากให้ต้วนหลิงเทียนอย่างไม่ต้องสงสัยเลย


 


ตอนนี้มันเต็มไปด้วยความรู้สึกเสียใจนัก ที่เห็นด้วยกับคำขอของหลิวฮ่วนลุงมันก่อนหน้านี้


 


หาไม่แล้วมันยังต้องเป็นที่อับอายผู้คนแบบนี้หรือ…


 


ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้พิการมือเท้า แต่ฟันจะเคี้ยวอาหารก็มิมีเหลือ แถมต้องถูกกระทืบให้อับอายต่อหน้าทุกผู้คน…ตอนนี้เกรงว่าในสายตาผู้คน ความยิ่งใหญ่ในฝ่ายนอกของมันไม่มีเหลืออีกแล้ว


 


“ข้ารู้ว่าเจ้ากล่าวคำสาบานไปแล้ว…แต่อาจารย์เจ้า…”


 


ลูกตาหลิวฮ่วนทอประกายวูบวาบ หากทว่าก่อนที่มันจะทันได้กล่าวจบ เฮ่อจงพลันกล่าวแทรกออกมาก่อน “ท่านลุงตอนนี้อาจารย์ข้าคิดทำอะไรข้ามิอาจยุยงได้ ข้ากล่าวคำสาบานกับต้วนหลิงเทียนไว้แล้วข้าจะไม่ยุ่ง…เช่นนั้นรวมไปถึงการเติมน้ำมันราดรดกองไฟต่อหน้าท่านอาจารย์เช่นกัน หาไม่แล้วข้าอาจถือว่าข้าผิดคำสาบาน อัสนีสวรรค์ได้ฟาดข้าตายแน่…”


 


“เสี่ยวจงเจ้ามิต้องกล่าวอันใดทั้งสิ้น ข้าจักไปบอกรองเจ้าสำนักจางด้วยตัวเอง…ข้ามิคิดว่ารองเจ้าสำนักจางจะปล่อยให้ลูกศิษย์ถูกศิษย์ฝ่ายนอกหยามเช่นนี้ง่ายๆ!”


 


หลิวฮ่วนแสยะยิ้ม


 


เฮ่อจงมองหลิวฮ่วนด้วยสายตาซับซ้อนครู่หนึ่ง แต่มันก็ไม่ได้กล่าวอะไรสืบต่อออกมาอีก เพราะแบบนี้ก็ไม่ถือว่ามันผิดคำสาบาน


 


“ท่านลุง…ยันต์เต๋าเทพเคลื่อน 3 ดาว กับ 1,000,000 คะแนนอุทิศ”


 


เฮ่อจงมองหลิวฮ่วน ค่อยกล่าวเตือนออกมาอีกครั้งเสียงอ่อน


 


“เอาล่ะๆ ลุงจักให้คะแนนอุทิศเจ้าไป 1,400,000 แต้ม…ยันต์เต๋าเทพเคลื่อน 3 ดาวนั้น เจ้าไปซื้อหาที่ศาลาอุทิศแล้วเอาไปให้มันเถอะ ส่วนอีก 100,000 แต้มที่เหลือ ลุงชดเชยให้เจ้าที่ต้องมาลำบากเช่นนี้”


 


หลิวฮ่วนหยิบบัตรแก้วออกมา ก่อนที่จะโอนจ่าย 1,400,000 คะแนนอุทิศให้เฮ่อจง


 


“อื้อ”


 


เฮ่อจงพยักหน้า ยังพึงพอใจกับคะแนนปลอบใจที่หลิวฮ่วนมอบให้


 


ทว่าหลังจากเฮ่อจงจากไป สีหน้าปั้นยิ้มของหลิวฮ่วนก็สลายหาย กลายเป็นบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ราวมีมีดบาดกลางใจ


 


คะแนนอุทิศ 1,400,000 แต้ม นั่นเล็กน้อยที่ไหนกัน!


 


หากมันไม่รู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวก็ไม่ใช่แล้ว!


 


เพราะทั้งเนื้อทั้งตัวมัน…มีคะแนนอุทิศแค่ 1,600,000 กว่าแต้มเท่านั้น!


 


กล่าวไปแล้วที่ต้องจ่ายไปนั่นมันก็เกือบ 9 ส่วน!


 


“ต้วนหลิงเทียน…หากเจ้ามิตายโหง ข้าหลิวฮ่วนมิมีวันได้กินอิ่มนอนหลับ!”


 


ประกายเย็นเยือบแล่นวาบในแววตาหลิวฮ่วนอย่างดุร้าย


 


แล้วหลิวฮ่วนก็เริ่มใช้สมองครุ่นคิด หาวิธีทำให้ต้วนหลิงเทียนฉิบหายอยู่ในสวนลำพัง…


 


เช้าวันรุ่งขึ้น เฮ่อจงก็มาหาต้วนหลิงเทียนตามคำสาบาน


 


“ไม่เลวๆ นับว่าเจ้ายังเป็นคนรักษาคำพูดอยู่บ้าง”


 


ต้วนหลิงเทียนยิ้มกริ่มพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ขณะรับยันต์เต๋าเทพเคลื่อน 3 ดาวกับ 1,000,000 คะแนนอุทิศมาจากเฮ่อจง


 


ด้านเฮ่อจงได้ยินวาจานี้ของต้วนหลิงเทียน มันก็ยิ้มขื่นขมทันที


 


มันยังไม่รักษาคำพูดได้รึไง!


 


มันกล่าวสาบานกับทัรฑ์สวรรค์เก้าเก้า ลองไม่รักษาคำพูดดูเถอะ มันได้ถูกฟ้าผ่าหัวตายกันพอดี!


 


หลังจากที่มอบยันต์เต๋ากับคะแนนอุทิศให้ต้วนหลิงเทียนแล้ว เฮ่อจงก็รีบจากกลับไปทันที มันไม่อยากเห็นหน้าต้วนหลิงเทียนต่ออีกแม้วินาทีเดียว


 


ถึงแม้ว่ามันจะสาบานว่าจะไม่ยุ่งมุ่งร้ายอะไรกับต้วนหลิงเทียนอีกแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะทำใจให้สบายได้ยามอยู่ต่อหน้าต้วนหลิงเทียน มันไม่อยากจะข้องแวะอะไรกับต้วนหลิงเทียนอีกสืบไป


 


สำหรับมันแล้ว ต้วนหลิงเทียนนั้นไม่ต่างอะไรจาก ‘ฝันร้าย’


 


‘โชคดีจริงๆ ที่ก่อนหน้านี้ตอนไปศาลาอุทิศ ข้าซื้อยันต์เทพเคลื่อนนี่กลับมาด้วย…ไม่งั้นข้าคงยากจะรอดพ้นหายนะเมื่อวานแล้ว’


 


พอคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ใจต้วนหลิงเทียนยังอดไม่ได้ที่จะหวาดเสียวอยู่บ้าง


 


เขาคงยากจะรอดพ้นรังสีพลังพิฆาตจากยันต๋เต๋าเฮ่อจง หากไม่ใช้ยันต์เต๋าเทพเคลื่อน


 


รังสีพลังพิฆาตนั้น มันมาจากยันต์เต๋าสายจู่โจมที่มีระดับ 2 ดาว ยามปะทุพลังสังหารออกมา เทียบได้กับการลงมือของยอดฝีมือสู่เซียนขั้นเชี่ยวชาญ!


 


‘ดูเหมือนว่าข้าไม่อาจตระหนี่คะแนนอุทิศ ไม่ซื้อยันต์เต๋าพวกนี้ติดตัวได้แล้วจริงๆ…’


 


ต้วนหลิงเทียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่จะเดินทางออกจากฝ่ายนอกมุ่งหน้าไปยังศาลาอุทิศ


 


ต่างจากครั้งก่อนที่มาศาลาอุทิศครั้งแรก ตอนนี้ศิษย์ฝ่ายในมากมายจดจำเขาได้แล้ว


 


และคราวนี้หลังจากมาถึงศาลาอุทิศ เขาไม่ได้เดินดูของที่ชั้นแรกสืบไป เพียงมุ่งหน้าไปยังบันไดทางขึ้นชั้น 2 ทันที และจุดหมายปลายทางของเขาครั้งนี้ก็คือชั้น 3 ของศาลาอุทิศ


 


ชั้น 3 ของศาลาอุทิศนั้น เป็นสถานที่ขายยันต์เต๋า


 


ในตอนที่เดินผ่านชั้น 2 ของศาลาอุทิศ ต้วนหลิงเทียนมองไปที่โต๊ะรับรองก็พบว่าไม่ใช่อาวุโสฟ่างเฉียนที่ทำหน้าที่เฝ้าดูแล เขาจึงเดินขึ้นไปยังชั้น 3 ทันที


 


“ต้วนหลิงเทียน!”


 


ชั้น 3 ของศาลาอุทิศนั้น ผู้ที่ทำหน้าที่เฝ้าดูแลโต๊ะรับรองก็เป็นผู้ดูแลฝ่ายใน 2 คนเดิมที่เขามาครั้งก่อน พอพวกมันเห็นต้วนหลิงเทียน สายตาก็เปลี่ยนไปไม่น้อย


 


พวกมันย่อมได้ยินเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้แล้ว


 


เอาชนะ ‘เฮ่อจง’ ผู้เข้มแข็งใน ‘รายนามปฐพี’ ที่สงสัยกันว่าเป็นมือดีของหลิวฮ่วน ยังกรรโชกรีดไถคะแนนอุทิศมาอีก 1,000,000 แต้ม รวมถึงยันต์เต๋าเทพเคลื่อนระดับ 3 ดาว!


 


ตอนที่ได้ยินเรื่องราวนี้ของต้วนหลิงเทียนครั้งแรก พวกมันถึงกับอึ้งไปไร้คำจะพูด…


 


ในประวัติศาสตร์ของสำนักจันทร์จรัสแสง ดูเหมือนว่าจักมิมีผู้ใดดุดันร้ายกาจถึงขั้นประพฤติตัวเป็นอันธพาลโหด รีดไถทรัพย์ผู้อื่นมหาศาลขนาดนี้เลยใช่หรือไม่?


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าทักทายทั้งคู่ ก่อนที่จะว่างแหวนพื้นที่ไว้บนโต๊ะรับรองอย่างรู้งาน ค่อยเดินเข้าไปในโถงชั้น 3 ของศาลาอุทิศ


 


คราวนี้นอกจากซื้อยันต์เต๋าเทพเคลื่อน 3 ดาวอีกใบ เขายังซื้อยันต์เต๋าม่านพลังทองระดับ 3 อีก 2 ใบ…เขาเองก็อยากจะซื้อยันต์เต๋าสายจู่โจมด้วย แต่เขาไม่เห็นยันต์เต๋าสายจู่โจมระดับ 3 ขายแม้แต่ใบเดียว จึงเลือกที่จะซื้อยันต์เต๋าสายจู่โจมระดับ 2 ดาวแทน


 


ตอนนี้เขามี ยันต์เต๋าเทพเคลื่อนระดับ 3 ดาว 2 แผ่น ยันต์เต๋าม่านพลังทองระดับ 3 ดาวอีก 2 แผ่น แล้วก็มียันต์เต๋าจู่โจมระดับ 2 ดาวอีก 2 แผ่น


 


เมื่อมาถึงโต๊ะรับรองหน้าโถงชั้น 3 ของศาลาอุทิศ ต้วนหลิงเทียนก็นำสิ่งของทั้งหมดชำระคะแนนอุทิศไป 900,000 แต้ม และยังอดไม่ได้ที่จะถามผู้ดูแลทั้ง 2 “ขอโทษนะ แต่ว่าทำไมไม่มียันต์เต๋าสายจู่โจมระดับ 3 ดาวขายในศาลาอุทิศเลยเล่า?”


 


ยันต์เต๋าสายจู่โจมระดับ 3 ดาวนั้น ยามใช้งาน พลังอำนาจสังหารของมันย่อมเทียบได้กับการโจมตีเต็มกำลังของตัวตนระดับสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่


 


แน่นอนว่าพลังอำนาจของมันกล่าวไปก็เทียบได้กับการลงมือของตัวตนสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่ทั่วไปเท่านั้น


 


“สำนักจันทร์จรัสแสงเรา มิมียันต์เต๋าจู่โจมระดับ 3 ดาวขายหรอกหรอก…”


 


หนึ่งในผู้ดูแลส่ายหัวกล่าวตอบ “ในยันต์เต๋าทั้งหมด ที่หาได้ยากที่สุดก็คือยันต์เต๋าสายจู่โจม…ถึงแม้ว่ายันต์เต๋าสายจู่โจมจะใช้งานหมดไปในชั่วพริบตาเดียวเช่นกัน แต่อย่างไรเสียคุณค่าของมันก็ไม่ใช่อันใดที่ยันต์เต๋าระดับ 3 ดาวสายอื่นจะเทียบได้…”


 


“หากเจ้าอยากซื้อหายันต์เต๋าสายจู่โจมระดับ 3 ดาว มีแต่ต้องไปซื้อหายังสำนักงานใหญ่ของ 9 พันธมิตร เท่านั้น…”


 


ผู้ดูแลอีกคนกล่าวเสริม


 


“สำนักงานใหญ่ของ 9 พันธมิตรงั้นเหรอ?”


 


ต้วนหลิงเทียนสงสัย


 


“สำนักงานใหญ่ของ 9 พันธมิตร นั้นตั้งอยู่ในเมืองฮ่านหยาง อันเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในการปกครองของ 9 พันธมิตร…หากเจ้าคิดจะซื้อยันต์เต๋าสายจู่โจมให้ได้จริงๆ มีแต่ต้องไปเมืองฮ่านหยางเท่านั้น”


 


ผู้ดูแลคนแรกกล่าวออกมาอีกรอบ


 


“ข้าเข้าใจแล้ว”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับทราบ ค่อยถามสืบต่อ “ว่าแต่พวกท่านรู้หรือไม่ว่าอาวุโสฟ่านเฉียนอาศัยอยู่ที่ไหน?”


 


หลังจากที่ได้รับทราบสถานที่ตั้งเรือนพักของอาวุโสฟ่านเฉียนจากผู้ดูแลทั้ง 2 คนแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ออกจากศาลาอุทิศ และเดินมุ่งหน้าไปยังฝ่ายใน


 


นี่นับเป็นครั้งแรกเลยจริงๆ ที่เขาก้าวเข้ามาเหยียบฝ่ายในของสำนักจันทร์จรัสแสง ตั้งแต่เขาเข้าสำนักมา


 


ความแตกต่างระหว่างฝ่ายในกับฝ่ายนอกของสำนักจันทร์จรัสแสงนั้น ที่เห็นได้ชัดเลยก็คือสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะ


 


ความบริบูรณ์ของพลังวิญญาณในฟ้าดินของฝ่ายในนั้น นับว่าเหนือกว่าฝ่ายนอกมากทีเดียว


 


และยิ่งเข้าไปลึกเท่าไรก็จะยิ่งสัมผัสได้ถึงความหนาแน่นของพลังวิญญาณฟ้าดินมากเท่านั้น ‘ดูเหมือนว่าจุดชีพจรวิญญาณ ทั้งสายแร่หินเซียนของสำนักจันทร์จรัสแสง จะอยู่ที่บริเวณใจกลางของสำนักงั้นสินะ…’


 


จุดนี้ต้วนหลิงเทียนย่อมเดาได้ไม่ยาก


 


เพราะยิ่งใกล้กับจุดชีพจรวิญญาณและสายแร่หินเซียนมากเท่าไหร่ พลังวิญญาณฟ้าดินก็จะยิ่งหนาแน่นมากขึ้นเท่านั้น


 


นอกจากนี้พื้นที่ของฝ่ายในนั้นมันช่างกว้างใหญ่ไพศาลนัก กว้างใหญ่อย่างที่ฝ่ายนอกไม่อาจเทียบได้เลย ถึงขั้นไม่อาจมองเห็นขอบเขตอีกฝั่ง


 


ตามคำแนะนำของผู้ดูแลทั้ง 2 ต้วนหลิงเทียนก็มาถึงพื้นที่ส่วนตะวันออกของฝ่ายใน


 


นี่เป็นสถานที่พักอาศัยของเหล่าผู้อาวุโสฝ่ายใน มีคฤหาสน์อันกว้างใหญ่ตั้งเรียงรายราวกับสัตว์ร้ายตัวเขื่องหมอบซุ่ม


1473 ปรมาจารย์จารึกเซียน 3 ดาว ป๋ายลี่หง!


 


“โทษทีพี่ชาย…ท่านพอรู้หรือไม่ว่าคฤหาสน์ของผู้อาวุโสฟ่านเฉียนคือหลังไหน?”


 


ต้วนหลิงเทียนเดินไปหยุดศิษย์ฝ่ายในคนหนึ่ง ค่อยกล่าวถามด้วยรอยยิ้มอย่างสุภาพ


 


“คฤหาสน์หลังนั้นน่ะ”


 


ศิษย์ฝ่ายในชี้ไปยังคฤหาสน์หลังหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล


 


“ขอบคุณพี่ชาย”


 


ต้วนหลิงเทียนรีบขอบคุณอีกฝ่าย ก่อนที่จะก้าวอาดๆไปยังคฤหาสน์หลังที่ว่า


 


“ศิษย์ฝ่ายนอกนี่นา…ไฉนมาหาอาวุโสฟ่านเฉียนได้ล่ะ?”


 


เห็นป้ายแสดงฐานะศิษย์ฝ่ายนอกที่ห้อยแขวนไว้ที่เอวของต้วนหลิงเทียน ศิษย์ฝ่ายในที่ชี้บอกทางอดไม่ได้ที่จะแปลกใจ


 


ในสำนักจันทร์จรัสแสงนั้น ช่องว่างระหว่างศิษย์ฝ่ายนอกกับอาวุโสฝ่ายในเป็นเหมือนหุบเหวกว้างที่ยากจะข้าม กล่าวกันตามหลักเหตุผลแล้ว ศิษย์ฝ่ายนอกไม่น่าจะมีปฏิสัมพันธ์อะไรกับอาวุโสฝ่ายในได้


 


ก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะเดินเข้าไปในคฤหาสน์ เขาก็ถูกชายชราผู้หนึ่งหยุดเอาไว้ด้านหน้า


 


“ท่านลุง คฤหาสน์หลังนี้ใช่คฤหาสน์ของอาวุโสฟ่านเฉียนหรือไม่?”


 


ต้วนหลิงเทียนมองถามชายชราร่างผอมที่หยุดเขาไว้อย่างสุภาพ


 


“พ่อหนุ่มเจ้ามีธุระอันใดหรือ ถึงได้มาหานายน้อยของข้า?”


 


ชายชรากล่าวถาม


 


นายน้อย?


 


ได้ยินคำกล่าวถามของชายชรา ต้วนหลิงเทียนถึงกับอึ้งไปพักหนึ่ง และเขาก็ฉุกคิดได้ว่า ‘นายน้อย’ ที่อีกฝ่ายกล่าวถึงสมควรเป็นอาวุโสฟ่างเฉียน


 


“ท่านลุง ข้ารบกวนท่านลุงไปแจ้งอาวุโสฟ่านเฉียนให้ข้าได้หรือไม่ ว่าศิษย์ฝ่ายนอกต้วนหลิงเทียนมาคารวะอาวุโสฟ่างเฉียน”


 


ต้วนหลิงเทียนยิ้มกล่าว


 


“ที่แท้เจ้าคือต้วนหลิงเทียนรึ?”


 


พอได้ยินคำที่ต้วนหลิงเทียนกล่าว ลูกตาของผู้ชราสว่างขึ้นมาทันใด เห็นได้ชัดว่ามันเคยได้ยินเรื่องราวของต้วนหลิงเทียนมาบ้าง


 


ต่อมามันก็หันมองไปยังป้ายที่ห้อยแขวนบริเวณเอวของต้วนหลิงเทียน และพบว่าเป็นป้ายของศิษย์ฝ่ายนอกจริงๆ


 


“นายน้อยกล่าวแจ้งข้าไว้แล้ว ว่าหากเจ้ามาก็ให้ข้าพาไปพบนายน้อยได้ทันที”


 


ชายชรากล่าวขณะผายมือเชื้อเชิญต้วนหลิงเทียนให้เข้ามา


 


ต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่คิดเลยว่าอาวุโสฟ่างเฉียนจะให้ความสำคัญกับเขาแบบนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะแปลกใจอยู่บ้าง


 


ภายใต้การนำทางของผู้ชรา ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็มาถึงสวนหลังบ้าน และแลเห็นอาวุโสฟ่านเฉียนยืนอยู่หน้าแปลงดอกไม้


 


ตอนนี้อาวุโสฟ่านเฉียนกำรังรดน้ำต้นไม้อยู่ มองไปยังคล้ายมีแปลงผักอยู่ด้วย อีกฝ่ายจดจ่ออยู่กับการรดน้ำต้นไม้จนไม่ทันสังเกตการมาถึงของพวกเขา


 


“นายน้อย ต้วนหลิงเทียนมาหาท่านแล้ว”


 


ชายชรามองฟ่างเฉียนค่อยกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพมากเคารพ


 


“ต้วนหลิงเทียน?”


 


อาวุโสฟ่านเฉียนพอได้ยิน ก็วางมือจากสิ่งที่ทำอยู่ทันที ค่อยหันกลับมามองจนพบต้วนหลิงเทียน “เป็นสหายน้อยต้วน เจ้ามาแล้ว…ว่าแต่เจ้ามาหาข้าเช่นนี้ มีอันใดให้ข้าช่วยเหลือเล่า?”


 


ฟ่างเฉียนกล่าวถามด้วยรอยยิ้ม


 


“อาวุโสฟ่านเฉียนเฉียบแหลมนัก ข้ามีเรื่องคิดรบกวนให้ท่านช่วยเหลือจริงๆ”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ายิ้มกล่าว ดั่งคำว่า ‘ไม่มีเรื่องไม่เข้าวัด’ เขาคงไม่มาหาฟ่านเฉียนหากไม่มีเรื่องราวอะไร


 


เมื่อฟ่านเฉียนเริ่มคุยกับต้วนหลิงเทียน ชายชราก็ค่อยๆปลีกตัวจากไปเงียบๆ


 


“ฮ่าๆๆ ข้าเคยบอกเจ้าไว้แล้วมิใช่รึ หากมีปัญหาอันใดให้มาหาข้าได้ทุกเมื่อ ตราบใดที่อยู่ในขอบเขตความสามารถของข้าๆยินดีจัดแจงให้เจ้า…นั่งสิ”


 


ฟ่านเฉียนผายมือให้ต้วนหลิงเทียนนั่งลงที่โต๊ะไม้หอมแกะสลักข้างแปลงดอกไม้ ค่อยรินชาร้อนๆให้ต้วนหลิงเทียนจอกหนึ่ง ควันชาโชยฟุ้งขโมงโฉงเฉง โชยกลิ่นหอมจรุงไม่ต่างใดจากบุปผาในแปลง


 


“ขอบคุณอาวุโสฟ่านเฉียน”


 


ต้วนหลิงเทียนประสานมือขอบคุณ ยกชาขึ้นมาจิบบางๆ หลับตาพริ้มดื่มด่ำรสชาครู่หนึ่งค่อยกล่าวบอกถึงเจตนาการมาครั้งนี้ “อาวุโสฟ่านวันนี้ที่ข้ามาหาท่านเพราะคิดไถ่ถามท่านเสียเป็นส่วนใหญ่…ในสำนักจันทร์จรัสแสงเรา มีปรมาจารย์จารึกเซียนอยู่บ้างหรือไม่?”


 


“มี”


 


ฟ่านเฉียนพยักหน้า “ในสำนักจันทร์จรัสแสงของเรา ตราบใดที่เป็นอาวุโสฝ่ายในหรือสูงกว่านั้น เกือบทุกคนมีศาสตราที่จารึกอาคมเซียนระดับ 3 ดาวเอาไว้ทั้งสิ้น…และทั้งหมดนั้นล้วนเป็นฝีมือของปรมาจารย์จารึกเซียน 3 ดาว อาวุโสป๋ายลี่!”


 


“อาวุโสป๋ายลี่?”


 


ลูกตาต้วนหลิงเทียนทอแสงสว่างวาบขึ้นมาทันที


 


“อาวุโสป๋ายลี่นั้น เป็นปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 3 ดาวเพียงคนเดียวในสำนักจันทร์จรัสแสงของเรา นอกจากนี้ท่านยังเป็นผู้อาวุโสที่ทุกผู้คนในสำนักจันทร์จรัสแสงเราให้ความเคารพนับถืออย่างยิ่ง”


 


“แน่นอนว่าด้วยสถานะไม่ธรรมดาอย่างปรมาจารย์จารึกเซียน 3 ดาวของท่าน กระทั่งยอดฝีมือขอบเขตเซียนของสำนักจันทร์จรัสแสงเรายังให้ความเคารพและปฏิบัติด้วยสุภาพนักเมื่อพบท่าน…กล่าวไปในสำนักจันทร์จรัสแสงเรา กระทั่งเหล่ารองเจ้าสำนักยังมิมีอำนาจเท่าท่าน…”


 


ฟ่านเฉียนกล่าว


 


เรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้แปลกใจอะไร


 


ถึงแม้ว่าจะอยู่ในขุมพลังชั้น 6 ทว่าปรมาจารย์จารึกเซียนก็นับว่าเป็นบุคคลที่สำคัญไม่น้อย


 


ไม่ต้องกล่าวถึงความจริงที่ว่าอีกฝ่ายมาอยู่ในสำนักจันทร์จรัสแสงอันเป็นขุมพลังชั้น 7 เลย…


 


“หากข้าอยากรบกวนให้ท่านผู้อาวุโสป๋ายลี่จารึกอาคมเซียนลงอาวุธเซียนของข้า…มิทราบว่าเรื่องนี้พอจะเป็นไปได้หรือไม่?”


 


ต้วนหลิงเทียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ มองถามอาวุโสฟ่านเฉียนด้วยความคาดหวัง


 


นี่คือสาเหตุที่เขามาพบอาวุโสฟ่านเฉียน


 


ตั้งแต่ที่เขาได้เห็นอานุภาพของอาคมเซียน ‘เจาะทะลวง’ ที่จารึกไว้บนกระบี่ที่เฮ่อจงใช้เมื่อวาน เขาก็อยากได้จารึกอาคมเซียน ‘เจาะทะลวง’ ไว้บนเกาทัณฑ์ดับตะวันของเขาบ้าง


 


ด้วยวิธีนี้ยามที่เขายิงศรออกไปมันย่อมได้รับพลังอำนาจของอาคมเซียน ‘เจาะทะลวง’ ที่แข็งแกร่งนั่น!


 


เพียงหนึ่งศรก็สามารถทะลวงได้ทุกสิ่ง!


 


อย่างไรก็ตามแม้ว่าอาจจะมีปรมาจารย์จารึกเซียนที่สามารถจารึกอาคมลงบนเกาทัณฑ์ดับตะวันได้อยู่ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแห่งนี้ แต่ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดว่าจะมีปรมาจารย์จารึกเซียนในสำนักจันทร์จรัสแสงที่สามารถจารึกอาคมเซียนลงบนเกาทัณฑ์ดับตะวันของเขาได้


 


สิ่งที่ต้วนหลิงเทียนคิดไว้นั้น เพียงอยากให้มีผู้ที่สามารถจารึกอาคมเซียนเจาะทะลวงลงบนสายเกาทัณฑ์ดับตะวันของเขาได้ก็พอ


 


สายเกาทัณฑ์ที่เขาติดตั้งไว้บนเกาทัณฑ์ดับตะวัน ถึงแม้มันจะเป็นเส้นเอ็นของมังกรเทพยาดา 5 กรงเล็บอันแข็งแกร่ง แต่อย่างไรเสีย มันก็ย่อมง่ายดายกว่าการจารึกอาคมเซียนลงบนตัวเกาทัณฑ์ดับตะวันแน่ๆ


 


“จารึกอาคมเซียนงั้นหรือ? เจ้าอยากให้อาวุโสป๋ายลี่จารึกอาคมเซียนอันใดให้เล่า?”


 


ฟ่านเฉียนกล่าวถามด้วยความอยากรู้


 


“อาคมเซียนเจาะทะลวง”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบออกไปตามตรง


 


“อาคมเซียนเจาะทะลวงงั้นหรือ? เป็นอาคมเซียนเจาะทะลวงระดับ 3 ดาวแบบเดียวกับกระบี่ของหลิวฮ่วนน่ะรึ?”


 


ฟ่านเฉียนเองก็รู้ด้วยเช่นกันว่ากระบี่ของหลิวฮ่วนจารึกอาคมเซียนเจาะทะลวงระดับ 3 ดาวเอาไว้


 


“ใช่”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า “ตอนนี้วรยุทธ์เซียนที่ข้าฝึกปรือจนใช้ออกได้ชำนาญที่สุดเป็นวรยุทธ์เกาทัณฑ์…หากข้าสามารถจารึกอาคมเซียนเจาะทะลวงลงบนเกาทัณฑ์ข้าได้…พลังทำลายของลูกเกาทัณฑ์ข้า ย่อมเพิ่มพูนขึ้นหลายส่วน…”


 


“อืม…จารึกอาคมเซียนเจาะทะลวงลงบนเกาทัณฑ์ ดอกศรย่อมมีพลังทะลุทะลวงเพิ่มขึ้นจนน่ากลัวจริงๆ…”


 


ฟ่านเฉียนกล่าวสืบต่อ “อย่างไรก็ตามมิใช่เรื่องราวอันง่ายดายที่จะให้อาวุโสป๋ายลี่จารึกอาคมเซียนระดับ 3 ดาว…อาวุโสป๋ายลี่นั้น มักจารึกอาคมเซียนระดับ 3 ดาวตามอารมณ์ของท่าน เช่นนั้นแล้วมิใช่อาวุโสฝ่ายในทุกคนจักมีศาสตราเซียนที่จารึกอาคมเซียนระดับ 3 ดาวของท่านไว้ใช้งาน”


 


ในเรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนเองก็เตรียมใจมานานแล้ว


 


ผู้มากฝีมือย่อมมีอิสระที่จะเลือกกระทำตามใจ


 


“ในเมื่อไหนๆเจ้าก็เข้ามาถึงฝ่ายในแล้วแบบนี้ เช่นนั้นข้าจะพาเจ้าไปพบอาวุโสป๋ายลี่สักครา…และข้าจักพยายามโน้วน้าวอาวุโสให้มากที่สุด แต่ข้าเองก็มิกล้ารับประกันกับเจ้าหรอกนะ ว่าท่านจะเห็นด้วย”


 


ฟ่านเฉียนกล่าวเตือนต้วนหลิงเทียนล่วงหน้า


 


“ข้าเข้าใจ”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า


 


“เช่นนั้นเราไปบ้านอาวุโสป๋ายลี่กันเลยเถอะ”


 


ฟ่านเฉียนยืนขึ้นค่อยกล่าว


 


เมื่อเห็นว่าฟ่านเฉียนกระตือรือร้นที่จะช่วยเหลือเขามาก ต้วนหลิงเทียนก็ยินดีเพราะเขาเองก็ต้องการเช่นกัน


 


หลังออกจากคฤหาสน์ของฟ่านเฉียนแล้ว อีกฝ่ายก็เดินพาต้วนหลิงเทียนไป ขณะที่เดินฟ่านเฉียนก็กล่าวบอกเรื่องราวบางอย่างของอาวุโสป๋ายลี่ให้ต้วนหลิงเทียนฟัง จึงได้รับทราบว่าอาวุโสป๋ายลี่นั้นชื่อเต็มจริงๆ เรียกว่าป๋ายลี่หง อีกฝ่ายมาอยู่ในสำนักจันทร์จรัสแสงได้ 30 ปีแล้ว


 


ในตอนที่อีกฝ่ายเข้าร่วมกับสำนักจันทร์จรัสแสง พลังฝึกปรือก็อยู่ในขอบเขตสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่ ซึ่งหากจากขอบเขตเซียนไม่กี่ก้าว


 


ทว่าหลายปีต่อมา สุดท้ายป๋ายลี่หงก็ยังคงค้างอยู่ที่ขอบเขตสู่เซียนไม่อาจตัดผ่านเข้าขอบเขตเซียนได้เสียที


 


“ยากนักที่จะทะลวงไปยังขอบเขตเซียน…ข้าเองก็ทะลวงผ่านมายังขอบเขตสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่ได้ตั้งแต่ 20 ปีที่แล้ว ทว่าตอนนี้ข้ายังมิอาจก้าวผ่านไปยังขอบเขตเซียนได้”


 


เมื่อกล่าวถึงเรื่องของป๋ายลี่หง ฟ่านเฉียนก็อดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างทอดถอน


 


เช่นเดียวกันกับป๋ายลี่หง ด่านพลังฝึกปรือของมันก็ค้างเติ่งอยู่ที่ขอบเขตสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่มา 20 ปี ไม่อาจทะลวงผ่านไปยังขอบเขตเซียนได้


 


ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่ขั้นเดียวที่แบ่งระหว่างขอบเขตสู่เซียนกับเซียน ทว่าความแตกต่างของพลังนั้นช่างใหญ่หลวงนัก


 


หนึ่งตัวตนในขอบเขตเซียนที่อ่อนแอที่สุด สามารถสังหารตัวตนขอบเขตสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่ทั่วไปหลายคนที่ผนึกกำลังกันง่ายดาย


 


ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋ายังมีวาจากล่าวไว้ว่า…


 


หากไม่บรรลุถึงขอบเขตเซียนผู้คนก็เสมือนไก่สุนัข จนเมื่อทะลวงถึงขอบเขตเซียนได้ สุนัขไก่นั่นก็เสมือนได้ทะยานสู่สวรรค์แล้ว!


 


เรื่องนี้บ่งบอกถึงความห่างระหว่างขอบเขตสู่เซียนกับขอบเขตเซียนได้ชัดเจนนัก


 


แน่นอนว่ายังมีความแตกต่างทางพลังฝีมือไม่น้อย ถึงแม้จะอยู่ในขอบเขตสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่เหมือนกัน


 


จากคำที่ฟ่านเฉียนบอก มันเองก็ไม่ใช่คู่มือของป๋ายลี่หง


 


ศาสตราเซียนที่ป๋ายลี่หงมีนั้นมันเป็นศาสตราเซียนระดับปฐพีดั้งเดิม ที่จารึกอาคมเซียนระดับ 3 ดาวเอาไว้ถึง 3 อาคม…นับว่ามันเป็นศาสตราเซียนที่ร้ายกาจและทรงอานุภาพที่สุดในสำนักจันทร์จรัสแสงแล้ว


 


ด้วยมีศาสตราเซียนเล่มนั้นเล่มเดียว พลังฝีมือของป๋ายลี่หงถึงกับเทียบได้กับชนชั้นรองเจ้าสำนักที่มีไม่กี่คนในสำนักจันทร์จรัสแสง


 


ต้องทราบด้วยว่าชนชั้นรองเจ้าสำนักในสำนักจันทร์จรัสแสงนั้น โดยมากแล้วล้วนอยู่ในขอบเขตครึ่งก้าวบรรลุเซียนทั้งสิ้น อีกทั้งทุกคนยังมีศักยภาพมากพอที่จะทะลวงไปถึงขอบเขตเซียน พวกมันขาดเพียงวาสนาและโอกาสบางประการเท่านั้นก็จะสามารถทะลวงได้


 


ครึ่งก้าวเซียนก็คือขอบเขตที่อยู่ระหว่างสูงสุดสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่ กับขอบเขตเซียน


 


แข็งแกร่งยิ่งกว่าตัวตนที่บรรลุสูงสุดสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่ ทว่าอ่อนด้อยกว่าตัวตนในขอบเขตเซียน


 


“จารึกอาคมเซียนระดับ 3 ดาวไว้ถึง 3 อาคม?!”


 


หลังจากได้ยินเรื่องศาสตราเซียนที่อาวุโสป๋ายลี่หงใช้ ต้วนหลิงเทียนถึงกับอดอุทานในใจไม่ได้ ‘รวยจริงอะไรจริง!’


 


“ต้วนหลิงเทียน ถึงแม้อาวุโสป๋ายลี่ยินดีจารึกอาคมเซียนระดับ 3 ดาวให้เจ้า…แต่ค่าใช้จ่ายมันก็ยังมากกว่า 1,000,000 คะแนนอุทิศเสียอีก…”


 


ก่อนที่จะถึงคฤหาสน์ของอาวุโสป๋ายลี่หง ฟ่านเฉียนพลันกล่าวเตือนอีกเรื่อง


 


“ข้าทราบแล้ว”


 


ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ เขาเองก็เตรียมใจเอาไว้แล้ว


 


“อาวุโสฟ่านเฉียน คะแนนอุทิศข้าเหลืออยู่ราวๆ 1,100,000 แต้ม…หากว่ามันไม่พอข้าขอยืมท่านก่อนได้หรือไม่?”


 


ต้วนหลิงเทียนมองถามฟ่านเฉียน “ข้าสัญญาว่าจะคืนท่านให้เร็วที่สุด”


 


“เรื่องเล็กน้อย”


 


ฟ่านเฉียนกล่าวออกด้วยรอยยิ้ม


 


หลังจากที่แจ้งผู้ดูแลหน้าคฤหาสน์ป๋ายลี่หงแล้ว ผู้ดูแลคนนั้นก็พาฟ่านเฉียนกับต้วนหลิงเทียนเดินเข้ามายังคฤหาสน์ของป๋ายลี่หง ไม่นานก็เดินนำมาถึงห้องโถงอันกว้างใหญ่


 


ในห้องโถงมีชายวัยกลางคนที่คล้ายคิดไม่ตกเดินวนไปมาทั้งขมวดคิ้วอยู่ ท่าทางกำลังครุ่นคิดถึงอะไรบางอย่างอย่างเคร่งเครียด


 


“ท่านอาวุโสป๋าย อาวุโสฟ่านเฉียนมาเยือนขอรับ”


 


ผู้ที่นำต้วนหลิงเทียนกับฟ่านเฉียนมากล่าวแจ้ง


 


‘คนนี้เหรอ ป๋ายลี่หง’


 


ทันใดนั้นลูกตาต้วนหลิงเทียนก็ทอประกายเรืองวูบมองสำรวจป๋ายลี่หงด้วยความสนใจ


 


“อืม เจ้าไปเถอะ”


 


คิ้วชายวัยกลางคนที่ขมวดอยู่คลายออก ค่อยหันไปโบกมือให้ผู้ดูแลออกไป


 


หลังจากนั้นมันก็หันมามองฟ่านเฉียน “อาวุโสฟ่านเฉียน ลมอะไรหอบท่านมาหาข้าได้เล่า?”


 


“อาวุโสป๋ายลี่ ท่านสบาย”


 


ต่อหน้าอาวุโสป๋ายลี่หง ฟ่านเฉียนเองก็ไม่กล้าละเลยมารยาท มันประสานมือโค้งคารวะเล็กน้อย ก่อนที่จะผายมือไปยังต้วนหลิงเทียน พร้อมกล่าวแนะนำ “นี่คือศิษย์ฝ่ายนอกต้วนหลิงเทียน ที่ข้ามาเยือนท่านโดยมิบอกกล่าวล่วงหน้าเพราะคิดพาเขามาพบท่าน”


1474 ศาสตราเซียนระดับนภา!


 


“ต้วนหลิงเทียน?”


 


ได้ยินคำแนะนำของฟ่านเฉียน สายตาป๋ายลี่หงพลันเบนไปตกที่ร่างต้วนหลิงเทียนทั้งมองพินิจทันที “เจ้าน่ะหรือศิษย์ฝ่ายนอกที่สร้างวีรกรรมมากมายทั้งที่เข้าสำนักมายังไม่ทัน 3 เดือนดี?”


 


“ต้วนหลิงเทียน คารวะอาวุโสป๋ายลี่หง”


 


ตอนนี้เองต้วนหลิงเทียนก็ประสานมือคารวะป๋ายลี่หงเช่นกัน


 


“อาวุโสฟ่านเฉียนกลับพาเจ้ามาได้ ดูเหมือนว่าเจ้าจักสำคัญมิน้อยในสายตาอาวุโสฟ่านเฉียน…ว่าแต่เจ้าดั้นด้นมาหาข้าเพราะมีเรื่องอันใดเล่า?”


 


ป๋ายลี่หงเปิดประตูเห็นภูผาถาม


 


“อาวุโสป่ายลี่หง ข้ามาหาท่านที่นี่ เพราะคิดขอให้ท่านช่วยจารึกอาคมเซียน ‘เจาะทะลวง’ ลงบนอาวุธเซียนของข้า”


 


ต้วนหลิงเทียนเองก็กล่าวตอบออกไปตามตรง


 


“อาคมเซียนเจาะทะลวงงั้นรึ?”


 


ป๋ายลี่หงพอได้ยินพลันส่ายหน้าไปมา “หากเจ้ามาเพราะคิดให้ข้าช่วยจารึกอาคมเซียนเจาะทะลวงเกรงว่าเจ้าคงมาเสียเที่ยวแล้ว…อาคมเซียนระดับ 3 ดาวนั้น กระทั่งข้าเองก็ต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่ง ถึงจักจารึกออกมาได้สักอาคม อีกทั้งข้ายังต้องมีอารมณ์นึกครึ้มเสียค่อนถึงจะจารึกมันได้…”


 


อารมณ์นึกครึ้ม?


 


พอต้วนหลิงเทียนได้ยินคำนี้ มุมปากอดไม่ได้ที่จะกระตุกขึ้นมาตงิดๆ


 


พวกช่างฝีมือนี่…นับว่าขยันทำตามใจตัวเองกันเหลือเกิน!


 


“อาวุโสป๋ายลี่ถึงแม้ท่านจะกังวลว่ามิอาจจารึกอาคมเซียนลงบนเกาทัณฑ์ของข้าได้…แต่ข้าเองก็พอคาดไว้แล้ว เช่นนั้นข้าจึงคิดให้ท่านเพียงจารึกอาคมเซียนลงบนสายเกาทัณฑ์ของข้าเท่านั้น เพราะถึงแม้จะเป็นสายเกาทัณฑ์แต่มันก็ใช้งานได้เช่นกัน…”


 


ต้วนหลิงเทียนมองป๋ายลี่หงค่อยกล่าวออกมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน


 


“เพ่ย! เจ้าเด็กน้อยเจ้าคิดรึว่าใช้วาจายั่วยุกระตุ้นข้าอย่างโง่งมเช่นนี้แล้วจักมีประโยชน์?”


 


ป๋ายลี่หงแค่นเสียงสบถ สายตาที่ใช้มองต้วนหลิงเทียนพลันเพิ่มความดูแคลนออกมา


 


ฟ่านเฉียนที่ยืนอยู่ข้างๆถึงกับเหวอไปพักหนึ่ง ค่อยเผยยิ้มเฝื่อนๆออกมา มันเองก็คิดว่าครั้งนี้ต้วนหลิงเทียนก้าวร้าวไปแล้ว!


 


มากล่าววาจายั่วยุหมายกระตุ้นกันแบบนี้ อย่าว่าแต่อาวุโสป๋ายลี่หงเลย ให้เป็นมันก็ของขึ้น!


 


“อาวุโสป๋ายลี่หง เช่นนั้นข้าขอบังอาจให้ท่านมาเดิมพันกับข้าสักคราเป็นไรเล่า?”


 


ต้วนหลิงเทียนกระพริบตาคราหนึ่ง ขณะกล่าวมุมปากยังเผยรอยยิ้มลี้ลับออกมา


 


“เดิมพันรึ อย่างไร?”


 


ป๋ายลี่หงกล่าวถามเสียงเฉย


 


“หากท่านมีสามารถจารึกอาคมเซียนลงบนเกาทัณฑ์ของข้าได้ แม้จะเป็นแค่อาคมเซียนระดับ 1 ดาวก็ตาม ข้าจะยอมรับความพ่ายแพ้ทันที! และข้าจะจ่ายคะแนนอุทิศให้ท่านเปล่าๆ 1,000,000 แต้ม!!”


 


ต้วนหลิงเทียนมองป๋ายลี่หงค่อยกล่าวบอกวิธีเดิมพันและสิ่งเดิมพันออกมา


 


1,000,000 คะแนนอุทิศ!


 


ต้องกล่าวเลยว่าวาจานี้ของต้วนหลิงเทียนไม่เพียง ทำให้ฟ่านเฉียนตกใจ กระทั่งป๋ายลี่หงเองยังประหลาดใจกับเงื่อนไขของต้วนหลิงเทียนไม่น้อย


 


“เจ้าแน่ใจรึ?”


 


ถึงแม้ว่าป๋ายลี่หงจะเป็นปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 3 ดาวเพียงคนเดียวในสำนักจันทร์จรัสแสง จึงทำให้มันไม่ขาดคะแนนอุทิศไว้ใช้สอยแม้แต่น้อย ทว่าอย่างไรก็ตาม 1,000,000 คะแนนอุทิศของต้วนหลิงเทียนที่ยกมาเป็นรางวัลเดิมพัน มันก็ไม่รังเกียจที่จะรับ!


 


เพราะต่อให้เป็นศาสตราเซียนระดับนภา มันก็มั่นใจว่ามันสามารถจารึกได้!

(ศาสตราเซียนมีระดับ มนุษย์ ปฐพี นภา ขั้นก็เป็น ดั้งเดิม สามัญ โดดเด่น)


 


เช่นนั้นมันจึงไม่คิดแม้แต่น้อย ว่าจะไม่อาจจารึกอาคมเซียนลงบนศาสตราเซียนของต้วนหลิงเทียนได้!


 


“อาวุโสป๋ายลี่ ท่านยอมรับเดิมพันแล้วหรือ?”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามด้วยรอยยิ้ม


 


“อืม”


 


ป๋ายลี่หงพยักหน้า


 


“อาวุโสป๋ายลี่ แต่ว่าท่านยังไม่ทันฟังเงื่อนไขยามท่านแพ้เลย ท่านกลับด่วนยอมรับแล้วแบบนี้…ไม่ใจเร็วไปหน่อยหรือ…”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามด้วยท่าทางประหลาดใจ


 


“เหอะ! ข้ามิแพ้หรอก!!”


 


ป๋ายลี่หงนั้น เรื่องอื่นมันไม่กล้าพูด แต่ถ้าเป็นการจารึกอาคมเซียนลงบนศาสตราเซียนล่ะก็ มันกล้าพูด!


 


“ถึงแม้ว่าท่านจะมีความมั่นใจมาก แต่ข้ายังคงต้องกล่าวบอกราคาที่ท่านต้องจ่ายหลังพ่ายแพ้การเดิมพันเสียก่อนอาวุโสป๋ายลี่…หากอาวุโสป๋ายลี่ไม่อาจจารึกอาคมเซียนลงบนศาสตราเซียนของข้าได้ ข้าอยากขอให้อาวุโสป๋ายลี่จารึกอาคมเซียนทะลวงเกราะลงบนสายเกาทัณฑ์ของข้า…”


 


ต้วนหลิงเทียนมองกล่าวกับป๋ายลี่หง


 


“เรื่องนี้มิมีปัญหา”


 


ป๋ายลี่หงรีบกล่าวตอบตกลงออกมาทันที


 


“อาวุโสป๋ายลี่ ข้ายังกล่าวไม่ทันจบ…”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมาอีกครั้ง


 


“ต้วนหลิงเทียน เจ้าอย่าได้คืบจะเอาศอก!”


 


ป๋ายลี่หงขมวดคิ้ว


 


การเดิมพันด้วย 1,000,000 คะแนนอุทิศนั้น กล่าวไปก็เป็นราคาที่ต้องจ่ายสำหรับอาคมเซียนทะลวงเกราะระดับ 3 ดาวแล้ว


 


ตอนนี้พอเห็นต้วนหลิงเทียนคิดต่อรองเพิ่มราคาเดิมพัน แม้มันจะไม่คิดว่าตัวเองจะแพ้พ่าย แต่ก็บังเกิดความไม่พอใจอยู่บ้าง


 


“หากอาวุโสป๋ายลี่แพ้เดิมพัน นอกจากจารึกอาคมเซียนทะลวงเกราะให้ข้าเปล่าๆแล้ว ท่านยังต้องชี้แนะเต๋าแห่งการจารึกอาคมเซียนให้ข้าเป็นระยะเวลา 1 เดือนโดยไม่หวงหรือปกปิดความความรู้”


 


ต้วนหลิงเทียนไม่สนใจคำทัดทานของป๋ายลี่หง เพียงกล่าวต่อให้จบเรื่อง


 


พอได้ยินวาจาประโยคนี้ของต้วนหลิงเทียน ไม่เพียงแต่ป๋ายลี่หงจะอึ้ง กระทั่งฟ่านเฉียนยังตะลึง


 


ที่แท้ต้วนหลิงเทียนคนนี้สนใจ เต๋าแห่งการจารึกอาคมเซียนอย่างงั้นเหรอ?


 


“ทั้งหมดมีเท่านี้…ไม่ทราบท่านอาวุโสป๋ายลี่ยังเต็มใจรับเดิมพันของข้าหรือไม่?”


 


ต้วนหลิงเทียนมองถามป๋ายลี่หงด้วยรอยยิ้ม


 


“ฮึ่ม! ในเมื่อเจ้าหวังดีอุตส่าห์เอาคะแนนอุทิศมาให้ข้าถึงเรือน ข้ายังจะปฏิเสธทำอะไร?”


 


ป๋ายลี่หงกล่าวสืบต่อ “หยิบศาสตราเซียนของเจ้าออกมาเสีย! ข้าอยากรู้นักว่าศาสตราเซียนของเจ้ามันดีอย่างไรเจ้าถึงได้มั่นใจนักหนา…อ่อ ข้ามิได้กล่าวโอ้อวดหรอกนะ แต่ต่อให้เป็นศาสตราเซียนระดับนภา ข้าก็สามารถจารึกอาคมเซียนลงไปได้!”


 


ศาสตราเซียนระดับนภา?


 


ได้ยินวาจาประโยคนี้ของอาวุโสป๋ายลี่หง ต้วนหลิงเทียนลอบหัวเราะในใจ


 


ศาสตราเซียนระดับนภา ต่อหน้าเกาทัณฑ์ดับตะวันที่ในอดีตเป็นถึงยอดสมบัติสวรรค์ยังนับเป็นอะไรได้?


 


ภายใต้สายตาที่จับจ้องมองอย่างสนใจของป๋ายลี่หงและฟ่านเฉียน ต้วนหลิงเทียนสะบัดมือเรียกเกาทัณฑ์ดับตะวันออกมา ก่อนที่จะถือให้ทั้งคู่เห็นชัดๆ


 


พอเห็นเกาทัณฑ์ดับตะวัน ฟ่านเฉียนถึงกับเหวอไปทันที มุมปากยังอดไม่ได้ที่จะกระตุก…เพราะมันช่างมีสภาพอนาถเหลือร้าย…


 


ศาสตราเซียนนี้ไม่มีทีท่าว่าจะเป็นศาสตราเซียนที่มีคุณภาพพอจะท้าทายความสามารถของอาวุโสป๋ายลี่หงได้สักกะผีกเดียว!


 


อย่างไรก็ตามทัศนคติของป๋ายลี่หงที่มีต่อเกาทัณฑ์ดับตะวันนั้น ต่างจากฟ่านเฉียนอย่างสิ้นเชิง


 


มีคำกล่าวที่ว่า ‘คนในวงการแลเห็นช่องทาง คนนอกวงการชมดูเอาสนุกสนาน’


 


เพียงมองปราดเดียวอาวุโสป๋ายลี่หงก็เห็นถึงความไม่ธรรมดาของเกาทัณฑ์ดับตะวันในมือต้วนหลิงเทียน ไม่ต้องกล่าวถึงตัวเกาทัณฑ์ที่มันยากหยั่งถึง ลำพังแค่สายเกาทัณฑ์มันก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นวัตถุดิบที่เหนือกว่าศาสตราเซียนระดับมนุษย์และปฐพีจะมีได้


 


“นิ…นี่มัน เส้นเอ็นมังกรงั้นเหรอ!?”


 


พออาวุโสป๋ายลี่หงรับเกาทัณฑ์ดับตะวันจากมือไปตรวจดู เมื่อมองสายเกาทัณฑ์ให้ละเอียด ลูกตามันก็เบิกกว้างกล่าวออกมาด้วยความตะลึง


 


เอ็นมังกร!


 


ฟ่านเฉียนเองก็ตกใจกับวาจานี้ของป๋ายลี่หง!


 


ถึงแม้ในประวัติศาสตร์ของดินแดนเทพยุทธ์เซียนจะมีการเล่าขานถึง ‘มังกร’ อยู่ไม่น้อย


 


อย่างไรก็ตามเท่าที่พวกมันรับทราบ ‘มังกร’ นั้นดำรงอยู่แต่เพียงในตำนานเท่านั้น


 


ทว่ามาตอนนี้อาวุโสป๋ายลี่หงกลับบอกว่าสายเกาทัณฑ์ของต้วนหลิงเทียน ทำจากเอ็นมังกร!?


 


“อาวุโสป๋ายลี่ ท่านมองออกด้วยงั้นเหรอ?”


 


ต้วนหลิงเทียนเองก็ประหลาดใจไม่น้อย ไม่คิดเลยว่าป๋ายลี่หงจะมองวัตถุดิบทำสายเกาทัณฑ์เขาออก!


 


ต้องทราบด้วยว่าตั้งแต่ที่เขามาอยู่ในสำนักจันทร์จรัสแสง ป๋ายลี่หงนับเป็นคนแรกที่มองออก…ว่าสายเกาทัณฑ์ดับตะวันของเขาคือเอ็นมังกร!


 


“ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าเรา มีศาสตราไม่น้อยที่ใช้เอ็นมังกรทำสายเกาทัณฑ์…และศาสตราประเภทเกาทัณฑ์ที่ใช้เส้นเอ็นมังกร ต่อให้ระดับต่ำที่สุดก็ล้วนเป็นศาสตราเซียนระดับนภาดั้งเดิมทั้งสิ้น…ดูเหมือนว่าที่แท้เกาทัณฑ์ของเจ้าจักเป็นศาสตราเซียนระดับนภา!”


 


ป๋ายลี่หงกล่าวพึมพำออกมาเสียงเข้ม


 


ศาสตราเซียนระดับนภา!


 


ฟ่านเฉียนถึงกับอื้ออึงไม่น้อย ด้วยไม่คิดเลยว่าต้วนหลิงเทียนจะหยิบควักศาสตราเซียนระดับนภาออกมาดื้อๆแบบนี้


 


ต้องทราบด้วยว่ากระทั่งเจ้าสำนักจันทร์จรัสแสง ยังไม่มีปัญญาหาศาสตราเซียนระดับนภามาใช้ด้วยซ้ำ!


 


กระทั่งมองผ่านไปทั่ว 9 พันธมิตร ยังไม่มีขุมพลังไหนมีศาสตราเซียนระดับนภา!


 


ศาสตราเซียนระดับนภา?


 


ฟังที่ป๋ายลี่หงกล่าว ต้วนหลิงเทียนไม่ได้พูดอะไรออกมา


 


“จะอย่างไรก็ตามถึงจะเป็นศาสตราเซียนระดับนภา แม้ว่ามันจะยากเย็นนักที่ข้าจะจารึกอาคมเซียนลงไปได้ แต่ก็มิใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้…การเดิมพันครั้งนี้เจ้าแพ้แล้ว!”


 


ป๋ายลี่หงเงยหน้าขึ้นมามองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยความมั่นใจ ประกาศชัยชนะออกมา!


1475 ปากกาจารึก!


 


“อาวุโสป๋ายลี่ เรื่องนี้ท่านจะไม่ด่วนสรุปไปหน่อยหรือ?”


 


ต้วนหลิงเทียนหยีตาทั้งยิ้มบางๆออกมา


 


“ฮึ่ม!”


 


ป๋ายลี่หงแค่นเสียงพ่นลมเบาๆ ไม่สนใจคำทัดทานอะไรของต้วนหลิงเทียน สะบัดมือเรียกปากกาจารึกด้ามเล็กๆ ที่แลคล้ายสร้างจากเหล็กเนื้อดีออกมาด้ามหนึ่ง นี่คือปากกาจารึก ที่เหล่าปรมาจารย์จารึกเซียนหรือปรมาจารย์ยันต์เต๋าใช้กันทั่วไป


 


บริเวณหัวปากกาทั้ง 2 ด้านนั้นแตกต่างกัน


 


ปลายด้านหนึ่งเป็นพู่ขนไม่ต่างอะไรจากขนพู่กันแม้แต่น้อย


 


ส่วนอีกด้านหนึ่งนั้นเป็นรูปกรวยแหลมและคล้ายจะงอย


 


จะงอยแหลมนั้นแลดูคมกริบทั้งแข็งแกร่ง ปานจะสลักแทงได้ทุกเนื้อวัตถุดิบ ตัวปากกาจารึกเองก็แผ่กลิ่นอายลี้ลับออกมาบางๆ เห็นได้ชัดว่าไม่ธรรมดา!


 


ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าเอง ก็แบ่งรับของปากกาจารึกเอาไว้ด้วยเช่นกัน


 


ปากกาจารึกที่อยู่ในมือของป๋ายลี่หงนั้น นับว่าเป็นอันดับต้นๆแม้จะกวาดตามองทั่วดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า


 


เพราะปากกาจารึกนี้ของมัน สามารถขูดขีดสร้างรอยบนวัตถุดิบที่ใช้ทำศาสตราเซียนระดับนภาได้!


 


หากกล่าวกันตามตรรกะทั่วไปในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแล้ว ปากกาจารึกด้ามนี้ไม่สมควรมาอยู่ในมือของปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 3 ดาว…เพราะกระทั่งปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 6 ดาวก็ไม่แน่ว่าจะเป็นเจ้าของมันได้ด้วยซ้ำ ไมต้องกล่าวถึงปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 3 ดาวอย่างป๋ายลี่หงเลย!


 


เหตุผลที่ป๋ายลี่หงมีปากกาจารึกด้ามนี้…เพราะโชควาสนาของมัน ที่ได้พบมรดกตกทอดของยอดคน!


 


ยอดคนผู้นั้นยังเป็นปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 7 ดาว!


 


ปากกาจารึกด้ามนี้ก็เป็นมรดกล้ำค่าที่ปรมาจารย์จารึกเซียน 7 ดาวผู้นั้นหลงเหลือไว้ให้ผู้สืบทอด!


 


เพราะวาสนาที่พบพานครานั้น ทำให้มันฝึกปรือจนได้กลายเป็นปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 3 ดาว


 


“ข้าไม่จำเป็นต้องจารึกอาคมเซียนระดับ 1 ดาวลงบนเกาทัณฑ์เจ้าให้เสียเวลา เพราะขอเพียงข้าสามารถสร้างรอยบนเกาทัณฑ์เจ้าได้ นั่นหมายความว่าข้าย่อมสามารถจารึกอาคมเซียนระดับ 1 ดาวลงบนศาสตราเจ้าได้…เรื่องนี้เจ้ามีใดขัดข้องหรือไม่?”


 


ป๋ายลี่หงมองถามต้วนหลิงเทียน ขณะที่มือข้างหนึ่งถือเกาทัณฑ์ดับตะวันเอาไว้ ส่วนอีกข้างถือปากกาจารึก


 


“แน่นอนว่าไม่ขัดข้อง”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวสืบต่อ “ตราบใดที่อาวุโสป๋ายลี่สามารถทิ้งรอยขีดข่วนใดๆลงบนเกาทัณฑ์ของข้าได้ การเดิมพันระหว่างข้ากับท่านถือว่าข้าเป็นฝ่ายพ่าย แน่นอนว่าข้าต้องยอมรับความพ่ายแพ้”


 


“ประเสริฐ!”


 


ป๋ายลี่หงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ภายใต้สายตาที่จับจ้องมองมาอย่างสนใจของต้วนหลิงเทียนและฟ่านเฉียน มันถ่ายปราณแท้ลงไปยังปากกาจารึก ก่อนที่จะตวัดลงไปยังเกาทัณฑ์ดับตะวันด้วยความเร็ว!


 


ปลายทั้ง 2 ด้านของปากกาจารึกนั้นก็มีหน้าที่แตกต่างกัน


 


ปลายที่เป็นทรงกรวยแหลมคล้ายจะงอยนั้น มีไว้สำหรับปรมาจารย์จารึกเซียน เอาไว้สลักจารึกอาคมเซียน


 


ส่วนอีกด้านที่เป็นขนแปรงเสมือนปลายพู่กันนั้น มีไว้ให้ปรมาจารย์ยันต์เต๋า วาดอักขระเขียนยันต์เต๋า!


 


นี่เป็นรูปแบบปากกาจารึกระดับสากล ไม่ว่าจะเป็นปรมาจารย์สายใดล้วนใช้กันแบบนี้


 


แน่นอนว่าปกติแล้วปรมาจารย์เซียนจารึก ก็ไม่ค่อยได้ใช้ด้านที่เป็นขนแปรงสักเท่าไหร่


 


ฟ่านเฉียนจับจ้องไปยังเรื่องราวเบื้องหน้าไม่วางตา มันอยากรู้นักว่าวันนี้ผู้ที่จะหัวเราะเป็นคนสุดท้ายที่แท้จะเป็นใครกันแน่!


 


ไม่ใช่ว่ามันไม่เชื่อในตัวป๋ายลี่หง


 


ทว่าเพราะความมั่นใจล้นปรี่ที่ต้วนหลิงเทียนเผยออกมาทำให้ใจมันสั่นคลอน…เพราะสุดท้ายแล้วตั้งแต่เข้ามายังสำนักจันทร์จรัสแสง ต้วนหลิงเทียนก็ไม่เคยแพ้มาก่อน!


 


ไม่ว่าตอนนี้ใช่จะเป็นข้อยกเว้นแล้วหรือไม่ มันก็ไม่แน่ใจเลย!


 


ด้านต้วนหลิงเทียนนั้น ชมดูเรื่องราวอย่างสงบ


 


ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าปากกาจารึกของป๋ายลี่หงนั้นที่แท้ทำมาจากวัตถุดิบล้ำค่าอะไรกันแน่ แต่เขาเองก็มั่นใจในเกาทัณฑ์ดับตะวันถึงที่สุด


 


ล้อกันเล่นหรือไง!?


 


คันเกาทัณฑ์ดับตะวันนั้น แต่เดิมมันคือยอดสมบัติสวรรค์!


 


แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่ายดายที่จะสร้างความเสียหายให้มัน!


 


อย่างน้อยๆต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดว่าป๋ายลี่หงจะสร้างรอยขีดข่วนให้มันได้!


 


ซู่ว!


 


ปากกาจารึกจี้ลงมาฉับไวดั่งสายฟ้าฟาด ปราณแท้แล่นพล่าน แลไปคล้ายอสรพิษตัวเล็กๆสีเขียวกำลังม้วนพัน มองอีกทีก็คล้ายเส้นสายอัสนีแล่นแปลบปลาบไปทั่วด้าม!!


 


เคร๊ง!


 


สุดท้ายปากกาจารึกก็พุ่งลงมาจรดคันเกาทัณฑ์บังเกิดเป็นเสียงโลหะกระทบกันดังกังวาน!


 


ขณะเดียวกันสายตาที่ป๋ายลี่หงมองไปยังจุดกระทบที่ปากกามันจรดลงไป ก็เต็มไปด้วยความมั่นใจนัก


 


คล้ายมันเชื่อมั่นแน่ๆว่าคันเกาทัณฑ์ดับตะวันนี้ต้องเป็นรอยขูดขีดแน่นอน! ทว่าไม่นานมันก็ต้องนิ่งค้างไป..


 


จะไม่ให้มันตกตะลึงได้อย่างไรไหว! เพราะคันเกาทัณฑ์ดับตะวันกลับไม่มีแม้แต่รอยขนแมว!!


 


“อะไรกัน…เป็นไปได้ยังไง…ด้วยปากกาจารึกด้ามนี้ของข้า ให้เป็นศาสตราเซียนระดับนภาดั้งเดิม ก็สมควรที่จะสร้างรอยขูดได้ไม่ยาก…”


 


สูดลมหายใจเข้าลึกๆพักหนึ่ง ป๋ายลี่หงก็เริ่มจรดปากกาลงเกาทัณฑ์อีกครั้ง คล้ายยังไม่เชื่อผลลัพธ์ที่ปรากฏ


 


โชคร้ายที่สุดท้ายแล้วผลก็ออกมาเป็นเช่นเดิม ปากกาจารึกของมันไม่อาจทิ้งได้แม้แต่รอยขนแมวลงบนคันเกาทัณฑ์ดับตะวัน


 


“ไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน…”


 


ฟางเฉียนเองก็อึ้งไปไม่น้อย พอคืนสติมันก็หันไปมองต้วนหลิงเทียนอีกครั้งด้วยสายตาซับซ้อน


 


“อาวุโสป๋ายลี่…ท่านคงไม่คิดกลับคำหรอกนะ?”


 


ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามออกมาด้วยรอยยิ้มจ้า


 


“นี่มันศาสตราเซียนระดับใดกันแน่? หรือมันเป็น 1 ใน 10 ยอดศาสตราเซียน ที่ติดอันดับศาสตราเซียนผู้ยิ่งใหญ่ที่ร่ำลือกันในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า?”


 


ป๋ายลี่หงไม่ได้ตอบคำถามต้วนหลิงเทียน เพียงกล่าวถามกลับมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง


 


“ไม่ใช่”


 


ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวเบาๆ “นี่เป็นศาสตราเซียนที่ท่านอาจารย์ของข้าไหว้วานสหายของท่านให้หลอมสร้างมันเพื่อข้า เมื่อ 20 ปีที่แล้ว มันไม่ใช่ 1 ใน 10 ยอดศาสตราเซียนที่ติดอันดับในรายนามศาสตราเซียนผู้ยิ่งใหญ่อะไรนั่นหรอก”


 


ในวาจาของต้วนหลิงเทียนได้กล่าวอ้างถึง ‘อาจารย์’ ที่เขาอุปโลกน์ขึ้นมา


 


“อาจารย์เจ้านับว่ามิใช่ธรรมดาจริงๆ กลับมีสหายที่ร้ายกาจถึงขั้นหลอมสร้างศาสตราเซียนชั้นยอดแบบนี้ออกมาได้…แล้วอาจารย์เจ้าเป็นยอดคนมาจากที่ใดหรือ?”


 


พอได้ยินวาจาของต้วนหลิงเทียน สีหน้าป๋ายลี่หงพลันเคร่งขรึมจริงจังขึ้นมาทันที


 


ด้านฟ่านเฉียนอดไม่ได้ที่จะลอบระบายลมหายใจอย่างโล่งอกในใจ


 


โชคดีนัก ที่ก่อนหน้านี้มันไม่ได้กล่าววาจาทำนองคิดรับต้วนหลิงเทียนเป็นศิษย์ ไม่งั้นตอนนี้มันคงได้ขายหน้าครั้งใหญ่แล้ว


 


‘มิน่าแปลกใจเลยที่จากรายงานเขาเพียงรับฟางฮุ่ยเป็น ‘ครู’ เท่านั้นมิใช่อาจารย์…ที่แท้กลับมีอาจารย์ที่ทรงพลังระดับนี้อยู่ก่อนแล้ว!’


 


ฟ่านเฉียนลอบกล่าวคิดคาด


 


ไม่ยากที่ฟ่านเฉียนจะคาดเดาออกมาในแนวทางนี้


 


เพราะมันรู้ความสามารถของป๋ายลี่หงดี!


 


จากคำอธิบายที่ป๋ายลี่หงกล่าวต่อให้เป็นศาสตราเซียนระดับนภาดั้งเดิม ก็ยังสามารถจารึกอาคมลงไปได้


 


และหากอาศัยจากความจริงที่ว่าป๋ายลี่หงสงสัยว่าศาสตราเซียนของต้วนหลิงเทียนอาจจะเป็น 1 ใน 10 ยอดศาสตราเซียนที่ติดอันดับในรายนามศาสตราเซียนผู้ยิ่งใหญ่…


 


เกาทัณฑ์ของต้วนหลิงเทียนคันนี้ น่ากลัวว่าอาจจะเทียบได้กับ 1 ใน 10 ยอดศาสตราเซียนแล้วจริงๆ!


 


สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างต้วนหลิงเทียนกับเจ้าเมืองชงซันนั้น มันก็ทราบว่าทั้งคู่เพียงพบกันได้ไม่นาน


 


“เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่รู้ชัด”


 


เผชิญกับสีหน้าเคร่งขรึมจริงจังของป๋ายลี่หงกับฟ่านเฉียน ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมาพร้อมกล่าวพึมพำด้วยท่าทางอมทุกข์ “ตาแก่นั่นมาจากไหนมีความสามารถมากเพียงใดข้าไม่รู้ แต่ที่ข้ารู้แน่ๆก็คือ…ตาแก่นั่นชอบเอาข้าไปปล่อยทิ้งไว้ตามที่ต่างๆ ปล่อยให้ข้าให้ดิ้นรนเอาตัวรอดเพียงลำพัง! ปากมักกล่าวปาวๆว่าเป็นการฝึกฝนเคี่ยวกรำข้า…อันที่จริงข้ายังคิดเรื่องนี้อยู่หลายครั้ง…ว่านี่ใช่ข้ากำลังขึ้นเรือโจร ถูกหลอกลวงอะไรรึเปล่า…”


 


วาจาของต้วนหลิงเทียนนั้น แน่นอนว่าปั้นน้ำเป็นตัวขึ้นมาดื้อๆ


 


อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้พอถึงหูป๋ายลี่หงกับฟ่านเฉียน กลับต่างออกไปแล้ว…


 


หากไม่มีเกาทัณฑ์ดับตะวัน พวกมันอาจไม่เชื่อวาจานี้ของต้วนหลิงเทียน…ทว่าด้วยความที่มีเกาทัณฑ์ดับตะวัน ที่คล้ายจะมีอานุภาพสูงล้ำถึงขั้นทัดเทียมกับ 1 ใน 10 ยอดศาสตราเซียน พวกมันก็อดไม่ได้ที่จะเชื่อเรื่องเหลวไหลนี้หมดใจ


 


“ต้วนหลิงเทียนนี่เจ้ายังมิรู้ตัวอีกหรือ..ว่าเจ้ามีโชควาสนาสูงล้ำพาลให้ผู้คนอิจฉาถึงเพียงใด ที่สามารถกราบยอดคนดั่งมังกรเทพยาดาเช่นนั้นเป็นอาจารย์ได้! ยังจะกล้าสงสัยว่าขึ้นเรือโจรอีกรึ!?”


 


ฟ่านเฉียนส่ายหน้าไปมากล่าว “ข้าก็สงสัยอยู่แล้วเชียวว่าตัวตนเช่นใดถึงได้อบรมสั่งสอนเจ้าให้กลายเป็นสัตว์ประหลาดเช่นนี้ได้…มิคิดเลยว่าที่แท้อาจารย์เจ้าจะลึกลับและทรงพลังขนาดนี้”


 


กล่าวจบฟ่านเฉียนยังถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่


 


หลังจากฟ่านเฉียนกล่าวจบ ป๋ายลี่หงพยักหน้าเห็นด้วยค่อยกล่าวออกมาต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ต้วนหลิงเทียน ข้ายอมรับความพ่ายแพ้…อีก 3 วันต่อมาเจ้าสามารถมารับศาสตราเซียนของเจ้าได้ ส่วนเรื่องร่ำเรียนเต๋าแห่งการจารึก ก็ไว้เริ่มกันวันนั้นเลยแล้วกัน”


 


ถึงแม้ว่าป๋ายลี่หงจะไม่อาจจารึกอาคมลงบนตัวเกาทัณฑ์ได้ แต่หากจารึกลงสายเกาทัณฑ์มันย่อมมั่นใจ


 


มันไม่อาจหยั่งถึงวัตถุดิบที่สร้างคันเกาทัณฑ์ได้ว่าที่แท้คืออะไรกันแน่ แต่สายเกาทัณฑ์นั้นมันมองออกว่าเป็นเส้นเอ็นมังกร


 


“เอ็นมังกรนี่…ด้วยปากกาจารึกในมือข้า ต่อให้เป็นเส้นเอ็นของมังกรเทพยาดา 5 กรงเล็บ ข้าก็ยังสามารถจารึกอาคมเซียนลงไปได้!”


 


ป๋ายลี่หงเต็มไปด้วยความมั่นใจ


 


เพราะมรดกตกทอดที่มันได้รับมาจากยอดคนอันเป็นปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 7 ดาวนั้น ไม่เพียงแต่เคล็ดจารึกอาคมเซียนเท่านั้น ยังมีข้อมูลเรื่องราวอีกมากมาย ไม่เว้นเผ่าพันธุ์มังกร


 


รวมไปถึงเรื่องของมังกรเทพยาดา 5 กรงเล็บในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า!


 


จากบันทึกลายลักษณ์อักษรที่ปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 7 ดาวทิ้งไว้ให้มัน ปากกาจารึกที่ตกทอดมาด้ามนี้ กระทั่งส่วนที่แข็งที่สุดอย่างเกล็ดของมังกรเทพยาดา 5 กรงเล็บยังสามารถจารึกได้


 


แน่นอนว่าป๋ายลี่หงเองก็ไม่ได้รู้เลยว่าเอ็นมังกรที่เป็นสายเกาทัณฑ์นั้น มันคือเอ็นมังกรเทพยาดา 5 กรงเล็บ!


 


“ขอบคุณอาวุโสป๋ายลี่”


 


หลังจากได้รับคำมั่นจากป๋ายลี่หงแล้ว รอยยิ้มพลันคลี่กางบนใบหน้าต้วนหลิงเทียนทันที รีบประสานมือตอบรับทั้งกล่าวขอบคุณ


 


หลังจากกล่าวขอบคุณป๋ายลี่หงแล้ว ต้วนหลิงเทียนยังมองป๋ายลี่หงกับฟ่านเฉียนด้วยสายตาจริงจัง “ข้าอยากข้อร้องอาวุโสป๋ายลี่หงกับอาวุโสฟ่านเฉียนอีกเรื่อง…ได้โปรดอย่าบอกผู้ใดเกี่ยวกับเกาทัณฑ์ของข้าได้หรือไม่..ข้าไม่อยากตกเป็นเป้าจากทุกคน…”


 


สามารถจินตนาการได้เลยว่า หากเรื่องเกาทัณฑ์ดับตะวันนี้ที่อาจมีอานุภาพทัดเทียมกับ 1 ใน 10 ยอดศาสตราหลุดรอดออกไป ผู้คนจะบังเกิดความโลภกันถึงขนาดไหน


 


“ข้ามิใช่คนโง่เขลา”


 


ป๋ายลี่หงกล่าวตอบเสียงอ่อน


 


แน่นอนว่ามันยังกล่าวไม่จบประโยคดี


 


ต่อให้มันเป็นคนโง่เขลา มันก็ไม่กล้าที่จะล่วงเกินอาจารย์ลึกลับที่อยู่เบื้องหลังต้วนหลิงเทียน!


 


ถึงแม้ว่าป๋ายลี่หงไม่อาจยืนยันได้ว่าอาจารย์ลึกลับของต้วนหลิงเทียนใช่คอยเฝ้าดูการเติบโตของต้วนหลิงเทียนอยู่หรือไม่ แต่มันก็ไม่กล้าเสี่ยงทำอะไรโง่ๆ!


 


“เจ้าอย่าได้กังวล”


 


คำตอบของฟ่านเฉียนนั้นตรงไปตรงมานัก


 


เนื่องจากป๋ายลี่หงจะเริ่มลงมือจารึกอาคมเซียนลงบนสายเกาทัณฑ์ดับตะวันของต้วนหลิงเทียนทันที ทำให้ต้วนหลิงเทียนกับฟ่านเฉียนไม่คิดจะอยู่เกะกะรบกวนอะไรอีกฝ่าย


 


หลังจากที่กล่าวคำอำลาแล้ว ทั้งคู่ก็กลับออกมาจากคฤหาสน์ของป๋ายลี่หง


 


ในขณะที่เดินกลับ ระหว่างทางฟ่านเฉียนยังคอยเลียบๆเคียงๆกล่าวถามถึงอาจารย์ที่แสนลึกลับของต้วนหลิงเทียน


 


ต้วนหลิงเทียนก็ค่อยกล่าวตอบอย่างระมัดระวัง


 


เหตุผลที่เขาอุปโลกน์อาจารย์ปลอมๆขึ้นมาแบบนี้ ถือเป็นมาตรการในการป้องกันตัวเอง!


 


ทันทีที่เขาตัดสินใจจะเผยเกาทัณฑ์ดับตะวันออกมา เขาก็ได้วางแผนสร้างอาจารย์ปลอมๆขึ้นในหัว เพื่อทำให้ป๋ายลี่หงกับฟ่านเฉียนบังเกิดความยำเกรง ป้องกันไม่ให้ทั้งสองคนบังเกิดจิตคิดไม่ซื่อกับเกาทัณฑ์ดับตะวันของเขา!


 


ถึงแม้เขาจะพอประเมินได้คร่าวๆว่าฟ่านเฉียนกับป๋ายลี่หงนั้นไม่ใช่พวกวิญญูชมจอมปลอม แต่เขาก็เลือกระวังตัวเอาไว้ก่อน


 


เขารู้ดีว่าคำ ‘รู้หน้าไม่รู้ใจ’ นั้นอันตรายเพียงใด ในฐานะที่ใช้ชีวิตมาแล้วถึง 2 ช่วงชีวิต เขาย่อมระวังตัวเรื่องนี้เป็นพิเศษ


 


“อาวุโสฟ่านเฉียน ตอนที่ข้าไปหาท่านที่คฤหาสน์ ผู้เฒ่าคนนั้นกลับเรียกหาท่านว่านายน้อย หรือผู้เฒ่าอยู่กับท่านมานานแล้ว?”


 


ระหว่างทางเดินกลับ เมื่อเห็นว่าฟ่านเฉียนยังเลียบๆเคียงๆถามเรื่องอาจารย์เก๊เขาไม่หยุด ต้วนหลิงเทียนจึงกล่าวถามเพื่อเปลี่ยนเรื่องออกมา

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)