War sovereign Soaring The Heavens 1446-1463
ตอนที่ 1,446 : อาวุโสตงฟาง
“อาวุโสตงฟาง?”
พอได้ยินวาจานี้ของต้วนหลิงเทียน เหล่าศิษย์ฝ่ายนอกอดไม่ได้ที่จะแปลกใจ
ดูเหมือนว่า…ในเขตฝ่ายนอก จะมีอาวุโสนามตงฟางอยู่แค่คนเดียวไม่ใช่เหรอ?
และอาวุโสตงฟางผู้นั้น ยังเป็นถึงอาวุโสหลักของฝ่ายนอก ที่ควบคุมดูแลอาวุโสและผู้ดูแลรวมถึงเรื่องราวทั้งหมดในฝ่ายนอก!
ฐานะของอาวุโสตงฟางนั้น ยังเหนือกว่าอาวุโสฝ่ายในบางคนเสียอีก!
“ฮ่าๆๆ!!!”
เติ้งเหว่ยหัวเราะลั่น “ต้วนหลิงเทียน ข้าสงสัยว่าเจ้ากำลังฝันละเมออยู่หรือไม่? เจ้ามันนับเป็นตัวอะไร ถึงคิดว่าจักทำให้อาวุโสตงฟางมาเป็นสักขีพยานให้เจ้าได้?”
ตอนนี้เองสายตาศิษย์ฝ่ายนอกก็หันมาจับจ้องต้วนหลิงเทียนเขม็ง
ไม่มีใครเชื่อในคำของต้วนหลิงเทียนสักคน
อาวุโสตงฟางนั้น ถึงแม้จะเป็นอาวุโสหลักของฝ่ายนอก แต่โดยปกติแล้วมักไม่ค่อยออกมายุ่งวุ่นวายเรื่องราวของฝ่ายนอกสักเท่าไร…มักเก็บตัวบ่มเพาะพลังในคฤหาสน์ที่พักเสมอ
กระทั่งศิษย์ฝ่ายนอกที่เข้าสำนักมาตั้งแต่ 5 ปีที่แล้วบางคน ยังไม่เคยได้เห็นหน้าอาวุโสตงฟางด้วยซ้ำ…
ทว่าตอนนี้ต้วนหลิงเทียน ศิษย์ใหม่ที่พึ่งเข้าสำนักมาได้เพียงแค่ 2 เดือนกลับบอกว่าจะไปพาอาวุโสตงฟางมาเป็นสักขีพยานในการเดิมพันของเขา?
ใครที่ไหนจะไปเชื่อ!
“ดูเหมือนว่าพวกเจ้าทุกคนยังคงสงสัยแคลงใจสินะ…งั้นเอาแบบนี้เป็นไง พรุ่งนี้พวกเจ้าค่อยมารวมตัวกันที่ลานฝึกซ้อมฝ่ายนอกอีกครั้ง และข้าจะพาตัวอาวุโสตงฟางมายืนยันกับพวกเจ้าเอง หลังจากนั้นใครคิดจะเดิมพันก็เชิญ…”
เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาท่าทีแคลงใจของศิษย์ฝ่ายนอก ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้แปลกใจอะไร “ส่วนคนที่เดิมพันกับข้าไว้แล้ว พรุ่งนี้หากยังคิดจะขอคะแนนอุทิศคืนอยู่อีก ข้าก็จะโอนกลับให้…เพียงนำใบสัญญาเดิมพันมาก็เท่านั้น”
หลังจากกล่าวจบคำต้วนหลิงเทียนก็หันหลังและเดินจากไปทันที ทิ้งเหล่าศิษย์ฝ่ายนอกให้ยืนเหวออยู่อย่างนั้น ต่างมองหน้าสบตากันและกันยกใหญ่ เติ้งเหว่ยก็หัวเราะร่าไม่หยุด
“ให้ท่านผู้อาวุโสตงฟางมาเป็นสักขีพยานในการเดิมพันงั้นเหรอ ต้วนหลิงเทียนผู้นี้อวดโอ่คำโตเกินตัวนัก!”
เติ้งเหว่ยหัวเราะไม่หยุด ใบหน้าเผยความสะใจทั้งดูถูกเหยียดหยาม
ทว่าพอมันคิดว่าเมื่อต้วนหลิงเทียนจากไป มันจะได้ประกอบการค้ารับเดิมพันอะไรต่อ…แต่เติ้งเหว่ยก็พบว่าเหล่าศิษย์ฝ่ายนอกก็เลือกที่จะจากไปเช่นกัน ไม่ได้คิดจะมาเดิมพันอะไรกับมันอีก
“นี่พวกเจ้าคิดจริงๆเหรอว่าต้วนหลิงเทียนมันจักมีปัญญาพาท่านผู้อาวุโสตงฟางมายืนยันอันใด?”
เติ้งเหว่ยถึงกับตะโกนถามออกมาด้วยความอื้ออึง
“ข้าก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นไปได้หรอกผู้ดูแลเติ้ง…”
“ข้าก็คิดว่าเป็นไปไม่ได้เช่นกัน…แต่พอเห็นสีหน้าท่าทางมั่นใจของศิษย์พี่ตต้วนหลิงเทียนก็อดทำให้ข้าแปลกใจไม่ได้ เพราะคล้ายเขามั่นใจยิ่ง”
“นี่ๆ เป็นไปได้หรือไม่…ว่าอาวุโสตงฟางรับต้วนหลิงเทียนเป็นศิษย์แล้ว!?”
“นั่นสินะ! เป็นไปได้! ถึงแม้อาวุโสตงฟางจะเป็นดั่งมังกรเทพยาดาเห็นหัวไม่เห็นหาง แต่ในฐานะอาวุโสหลักฝ่ายนอกท่านก็สมควรรับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในฝ่ายนอกเมื่อไม่นานมานี้อยู่บ้าง…ว่าไปแล้วพรสวรรค์ของศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียน ก็น่าจะมากพอให้ท่านผุ้อาวุโสตงฟางสนใจ!”
“ข้ากลับมิคิดเช่นนั้น”
“ทำไมเล่า?”
“พวกเจ้าไม่ลองคิดดูให้ดีเล่า…หากศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนเป็นศิษย์ของท่านผู้อาวุโสตงฟางจริง ท่านผู้อาวุโสตงฟางจะปล่อยให้เขารับคำท้าประลองเป็นตายกับศิษย์พี่เฝิงฟ่านหรือไร?”
“มีเหตุผล”
……
ในระหว่าถกคำสนทนาเหล่าศิษย์ฝ่ายนอกก็ค่อยๆทยอยกันเดินจากไป ไม่มีใครวางเดิมพันกับเติ้งเหว่ยต่อสักคน
“คิดมากไปไย…เดี๋ยวพรุ่งนี้เรื่องราวก็กระจ่างเอง”
“นั่นสิ พรุ่งนี้ก็จักได้รู้กันแล้ว”
“หากศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนสามารถพาท่านผู้อาวุโสตงฟางมาเป็นสักขีพยานในการเดิมพันได้จริง…ข้าจักไม่ลังเลอันใด! ควักกระเป๋าทุ่มแทงข้างศิษย์พี่เฝิงฟ่านให้หมดตัวไปเลยเอ้า!!”
……
ขณะที่เดินกลับ ศิษย์ฝ่ายนอกก็ยังคงสนทนากันไม่เลิก
เพียงเวลาแค่ไม่นานทั้งฝ่ายนอกก็ได้รับทราบเรื่องราวการเดิมพันที่ต้วนหลิงเทียนคิดเปิดรับ และยังรวมถึงเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนคิดให้อาวุโสตงฟางมาเป็นสักขีพยานในการเดิมพัน
คนส่วนใหญ่คิดว่าต้วนหลิงเทียนเพียงกล่าวอวดโอ่ไปอย่างนั้น
“ข้าหวังว่าเรื่องนี้จักเป็นความจริง…หากท่านผู้อาวุโสตงฟางยินดีเป็นสักขีพยานและรับประกันเรื่องนี้ ข้าจะแทงเดิมพันกับศิษย์พี่ต้วน!”
“ข้าด้วย เพราอย่างไรศิษย์พี่ต้วนก็มิมีหนทางชนะเลย”
“หรือศิษย์พี่ต้วนคิดให้คะแนนอุทิศกับพวกเราก่อนตายกัน?”
……
ในขณะที่ศิษย์ฝ่ายนอกกำลังถกเรื่องราวของต้วนหลิงเทียน ‘เจ้ามือ’ อย่างต้วนหลิงเทียนก็เดินมาถึงสถานที่แห่งหนึ่งของฝ่ายนอกที่วังเวงร้างผู้คน
แน่นอนว่าสถานที่แห่งนี้ที่มันเปลี่ยวร้างและแทบไม่มีผู้คนสัญจรเดินผ่าน เพราะมันนับได้ว่าเป็นเขตหวงห้ามของฝ่ายนอก!
ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนก็เดินมาเจอคฤหาสน์หลักหนึ่งที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยว คฤหาสน์หลังนี้แลดูกว้างขวาง ร่มรื่นและสงบเงียบเป็นที่สุด “น่าจะเป็นที่นี่…”
เมื่อเห็นคฤหาสน์หลังใหญ่ต้วนหลิงเทียนก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ก่อนที่จะเดินเข้าไปทันที
ประตูหน้าคฤหาสน์นั้นเปิดกว้างอยู่และไม่มีร่องรอยผู้คนเฝ้ายาม
อย่างไรก็ตามพอต้วนหลิงเทียนเดินเข้าไปใกล้ประตูหน้า ก็ปรากฏร่าง 2 ร่างมาหยุดยืนขวางเอาไว้ราวหอคอยเหล็กตระหง่านปิดกั้นหนทางไว้หมดสิ้น
“ไอ้หนู เจ้ามิรู้หรือไรว่าสถานที่แห่งนี้ นับเป็นสถานที่ต้องห้ามของฝ่ายนอก?”
“เจ้าเป็นเพียงศิษย์ฝ่ายนอกกลับกล้าเพิกเฉยระเบียบ บุกรุกเข้ามาในเขตหวงห้ามเช่นนี้”
สองร่างผลัดกันยิงคำใส่ต้วนหลิงเทียน
“ข้ามาขอพบอาวุโสตงฟางน่ะ”
เผชิญหน้ากับชายร่างใหญ่ที่ยืนตระหง่านขวาง ต้วนหลิงเทียนยังคงสีหน้าสงบไม่เปลี่ยน กล่าวออกไปเสียงเรียบ
“เฮอะ! อาวุโสตงฟางใช่คนที่เจ้าจะขอพบก็พบได้งั้นเหรอ?”
ชายร่างใหญ่ทั้ง 2 ก้าวออกมา ทั้งกล่าววาจาด้วยน้ำเสียงดุดัน คล้ายจะเปล่งพลังกดดัน ให้ต้วนหลิงเทียนหวาดกลัวจนล่าถอย
อนิจจาพวกมันถูกลิขิตให้ผิดหวัง
เผชิญหน้ากับแรงกดดันของทั้งคู่ต้วนหลิงเทียนยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ ใบหน้ายังคงเฉยเมยไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย ราวไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรเลย
“ข้ารบกวนพี่ชายทั้ง 2 เข้าไปแจ้งอาวุโสตงฟางให้ข้าที ว่าศิษย์ฝ่ายนอก ‘ต้วนหลิงเทียน’ มาขอเข้าพบ และมีบางเรื่องคิดสนทนาด้วย”
ภายใต้สายตาประหลาดใจของชายร่างใหญ่ทั้ง 2 ต้วนหลิงเทียนก็กล่าวออกมาด้วยวาจาไม่นอบน้อมไม่ถือดี
“เจ้าคือต้วนหลิงเทียนหรือ?”
เมื่อชายร่างใหญ่ทั้ง 2 ได้ยินคำของเขา พวกมันก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ ยังมองขึ้นๆลงๆสำรวจต้วนหลิงเทียนตั้งแต่หัวจรดเท้า “นอกจากหล่อเหลาเอาเรื่องแล้ว ดูไปเจ้าก็มิได้มีอันใดพิเศษ…นี่เจ้าเอาชนะศิษย์ฝ่ายนอกที่ติด 100 อันดับแรกทันทีที่เข้าสำนักได้จริงๆหรือ?”
“แถมหนึ่งเดือนหลังจากนั้น ยังสามารถเอาชนะศิษย์อันดับที่ 47 ได้อีกคน…น่าสนใจดีนี่”
ชายร่างใหญ่ทั้ง 2 เห็นชัดว่าเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามต้วนหลิงเทียนมาบ้าง
“ต้วนหลิงเทียน หากเจ้ามานี่เพราะคิดให้อาวุโสตงฟางช่วยเหลือเรื่องยกเลิกสารท้าประลองเป็นตาย ข้าขอบอกไว้ก่อนเลยว่าเจ้ามาเสียเที่ยวแล้ว เจ้าทำแบบนี้มิมีประโยชน์หรอก…”
เมื่อรู้ว่าชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้าคือต้วนหลิงเทียน ทัศนคติของชายร่างใหญ่ทั้งสองที่มีต่อเขาก็ดีขึ้นเล็กน้อย ทว่าชายร่างใหญ่คนหนึ่งพลันกล่าวออกพร้อมส่ายหัว
ด้วยพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียน ตราบใดที่เติบโตขึ้นไป ไม่พ้นต้องได้เป็นระดับสูงๆในสำนักจันทร์จรัสแสงเป็นแน่ กระทั่งหากเวลาผันผ่านไปสักร้อยปี เรื่องที่อีกฝ่ายอาจจะขึ้นเป็นเสาหลักของสำนักจันทร์จรัสแสงก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้!!
ดังนั้นพวกมันจึงไม่กล้าละเลย
“เจ้าสามารถปฏิเสธสารท้าประลองเป็นตายได้ด้วยตัวเอง.. อะไร? หรือเจ้าคิดว่ามันเป็นเรื่องที่น่าอับอายจึงคิดมาขอความช่วยเหลือจากอาวุโสตงฟาง เพื่อให้ท่านไปกดดันเฝิงฟ่านให้ยกเลิกสารท้าประลองเป็นตายงั้นเหรอ?”
ชายร่างใหญ่ผู้หนึ่งกล่าวถามเสียงเรียบ
ยกเลิกสารท้าประลองเป็นตาย?
ได้ยินคำของอีกฝ่าย ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะอึ้งไปตาปริบๆ
หรือว่าทั้ง 2 คนนี่ยังไม่รู้อีกหรือไง ว่าเขาตอบรับสารท้าประลองเป็นตายของเฝิงฟ่านไปแล้ว?
อันที่จริงแล้วต้วนหลิงเทียนก็เดาถูกจริงๆนั่นล่ะ
ถึงแม้เขาจะยอมรับสารท้าประลองเป็นตายของเฝิงฟ่านไปแล้วเมื่อเช้า จนข่าวมันแพร่กระจายไปทั่วฝ่ายนอก อนิจจาสำหรับสถานที่แห่งนี้ข่าวดังกล่าวยังมาไม่ถึง
“ข้าคิดว่า…พี่ชายทั้ง 2 กำลังเข้าใจอะไรผิดแล้วล่ะ”
ต้วนหลิงเทียนยิ้มบางๆกล่าวออก “ทันทีที่ข้าออกจากการปิดด่านบ่มเพาะและเห็นสารท้าประลองเป็นตาย ข้าก็ประทับลายนิ้วมือยอมรับคำท้า กระทั่งไปหาเฝิงฟ่านจนนัดวันประลองเรียบร้อยแล้ว… 3 วันหลังจากนี้หากพี่ชายทั้ง 2 ว่างก็สามารถไปชมดูข้ากับเฝิงฟ่านฆ่ากันที่ลานฝึกซ้อมฝ่ายนอกได้”
ต้องกล่าวเลยว่าวาจาประโยคนี้ของต้วนหลิงเทียนทำให้ชายร่างใหญ่ทั้ง 2 ถึงกับอึ้งไปด้วยประหลาดใจไม่น้อย
“ตอบรับไปแล้ว? นัดวันเรียบร้อย?”
ทั้งคู่ไม่คิดไม่ฝันเลยจริงๆว่าต้วนหลิงเทียนจะกล้ารับสารท้าประลองเป็นตายของเฝิงฟ่าน!
เพราะก่อนหน้านี้ทั้งคู่มั่นใจเต็ม 10 ส่วน ว่าต้วนหลิงเทียนต้องปฏิเสธสารท้าประลองเป็นตายแน่ๆ
พวกมันรู้ความเป็นมาของเฝิงฟ่านดี
อนิจจาคล้ายพวกมันถูกความจริงเล่นตลกเข้าให้แล้ว…
“ข้ารบกวนพี่ชายทั้งคู่ ช่วยนำความข้าไปแจ้งให้อาวุโสตงฟางให้ข้าด้วย”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวอีกรอบ
และตอนนี้ชายร่างใหญ่ทั้ง 2 ไม่กล้าที่จะดูถูกต้วนหลิงเทียนอีกต่อไป
เพราะไม่ว่าต้วนหลิงเทียนจะรับสารท้าประลองเป็นตายกับเฝิงฟ่านด้วยความมั่นใจในตัวเอง หรือไม่ล่วงรู้ว่าเฝิงฟ่านเป็นใครมีพลังสามารถแค่ไหน แต่พวกมันก็อดไม่ได้ที่จะยอมรับนับถือจิตใจที่กล้าหาญของต้วนหลิงเทียน
“เจ้ารอข้าสักครู่”
ชายร่างใหญ่คนหนึ่งกล่าวออก ก่อนที่จะเดินหายเข้าไปในคฤหาสน์
“ต้วนหลิงเทียน นี่เจ้ากล้ารับสารท้าประลองเป็นตายของเฝิงฟ่านจริงๆหรือ…แล้วนี่เจ้ารู้หรือไม่ว่ามันเป็นใคร?”
ชายร่างใหญ่ที่เหลืออยุ่อีกคน อดไม่ได้ที่จะกล่าวถามออกมา
มันยังคิดไปด้วยซ้ำว่า เพราะต้วนหลิงเทียนไม่รู้ว่าเฝิงฟ่านเป็นใครรึเปล่า? ถึงได้บังเกิดอารมณ์ชั่ววูบรับสารท้าประลองเป็นตายอย่างวู่วามแบบนี้!?
“ก็เป็นศิษย์ฝ่ายนอกเหมือนข้าไม่ใช่รึไง?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบอย่างตรงไปตรงมา
“เอ่อ นั่นก็ใช่… แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่ามันต่างจากศิษย์ฝ่ายนอกคนอื่นๆอย่างไร?”
มุมปากของชายร่างใหญ่ที่อยู่อดไม่ได้ที่จะกระตุกไปวูบหนึ่ง ฟังแล้วท่าทางต้วนหลิงเทียนอาจจะไม่รู้จักเฝิงฟ่านจริงๆด้วย!
“ก็เป็นศิษย์ฝ่ายนอกที่ได้อันดับ 5 …”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบ
ในขณะที่ชายร่างใหญ่ชักสีหน้าเป็นเชิง ‘นั่นไง ว่าแล้วเชียว’ และเตรียมจะกล่าวคำใดออกมา ทว่าต้วนหลิงเทียนกลับกล่าวเสริมออกมาอีกประโยค “อ่อจริงสิ ได้ยินมาว่ามันติดอันดับที่ 99 ในรายนามปฐพีอะไรนั่นด้วย…”
“เฮ่ย! เจ้ารู้อยู่แล้วว่ามันติดอันดับที่ 99 ในรายนามปฐพี…แต่เจ้ายังกล้ารับสารท้าประลองเป็นตายจากมันอีกเนี่ยนะ!?”
ชายร่างใหญ่อุทาน ทั้งจ้องต้วนหลิงเทียนด้วยความอึ้ง
ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าท่าทีต้วนหลิงเทียนคล้ายไม่ได้แยแสอะไร มันก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มเจื่อนๆกล่าวถามอีกรอบ “แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าอันดับที่ 99 ในรายนามปฐพีหมายความว่าอย่างไร?”
“ก็ไม่ใช่ว่าเป็นการจัดอันดับ ยอดฝีมือในขอบเขตหลุดพ้นมนุษย์ที่แข็งแกร่งที่สุด 100 คน ในพื้นที่ปกครองของ 9 พันธมิตรหรือไง..”
“แถมฟังว่าอันดับต้นๆของผู้ที่อยู่ในรายนามปฐพี เพียงอาศัยพลังฝึกปรือสูงสุดหลุดพ้นมนุษย์ขั้นยิ่งใหญ่ ยังสามารถเอาชนะผู้ฝึกตนไม่ว่าจะยุทธ์หรือเต๋าในขอบเขตสู่เซียนขั้นต้นทั่วไปได้อีกด้วย…”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบเสียงเรียบราวกับอ่านเรียงความ
“เจ้ารู้ถึงขนาดนี้แล้ว…แต่เจ้ายังกล้ารับคำท้าประลองเป็นตายของคนที่อยู่ในรายนามฐพีอีกเนี่ยนะ!?”
คำตอบของต้วนหลิงเทียนเป็นอะไรที่เหนือความคาดหมายของชายร่างใหญ่อย่างสิ้นเชิง และนั่นยิ่งทำให้มันยิ่งงุนงงไปกันใหญ่ หรืออีกฝ่ายจะไม่กลัวตาย?
‘หรือว่าต้วนหลิงเทียนคนนี้มั่นใจว่าเอาชนะเฝิงฟ่านได้?’
ทันใดนั้นชายร่างใหญ่พลันบังเกิดความคิดประการหนึ่งขึ้นมาในใจ หากแต่ไม่ทันไรมันก็สลัดความคิดดังกล่าวทิ้งไปทันที
‘เรื่องนั้นมันเป็นไปไม่ได้! และไม่มีทางเป็นไปได้เลย ต่อให้ต้วนหลิงเทียนคนนี้จะมีพรสวรรค์และศักยภาพสูงส่งเพียงใด แต่ก็พึ่งเข้าร่วมสำนักจันทร์จรัสแสงมาได้แค่ 2 เดือนเท่านั้น อีกทั้งพลังฝึกปรือยังไม่ได้อยู่ในขอบเขตหลุดพ้นมนุษย์ขั้นยิ่งใหญ่ด้วยซ้ำ’
ชายร่างใหญ่ลอบกล่าว
เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนยังคงยืนเฝ้ารออย่างสงบ ไม่คล้ายเย่อหยิ่งถือดีและร้อนรนอะไร ชายหนุ่มร่างใหญ่จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสะท้านในใจ
ชายหนุ่มเบื้องหน้ามัน คล้ายมีวุฒิภาวะเกินตัวไปมาก…
เรื่องนี้เป็นอะไรที่เหนือความคาดหมายของมันนัก
“ถึงแม้ว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้ามาหาอาวุโสตงฟางเพราะอะไร…แต่ข้าต้องขอบอกเจ้าไว้ก่อน ว่าอาวุโสตงฟางก็ไม่แน่ว่าจะให้เจ้าเข้าพบ…”
ชายร่างใหญ่กล่าว
“ไม่พบข้า ก็นับว่าอาวุโสตงฟางพลาดแล้ว…”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกเสียงเรียบ
ตอนที่ 1,447 : ล้านคะแนนอุทิศ!
“เฮอะ! ข้ามิทราบจริงๆ ว่าไฉนเจ้าถึงได้มั่นใจขนาดนี้…”
หลังได้ยินคำของต้วนหลิงเทียน ชายร่างใหญ่ก็ขมวดคิ้วทำเสียงฮึดฮัดออกมา
ทว่าผ่านไปหนึ่งเค่อ ชายร่างใหญ่ที่ออกไปก่อนหน้าก็กลับมา “ต้วนหลิงเทียนอาวุโสตงฟางกำลังรอเจ้าอยู่…เจ้าตามข้ามาเถอะ”
“เอ๋?”
ชายนร่างใหญ่ที่ไม่ได้ไปไหนแปลกใจไม่น้อย ด้วยไม่คิดว่าอาวุโสตงฟางที่มันรับใช้มานานจะยินดีให้เด็กน้อยอย่างต้วนหลิงเทียนเข้าพบ…
‘บางทีท่านอาวุโสตงฟางคงแลเห็นถึงพรสวรรค์ของมัน…’
ชายหนุ่มตัวใหญ่คิดได้แค่นี้
เป็นเวลาเพียงแค่ 1 กาน้ำเดือดเท่านั้นหลังจากต้วนหลิงเทียนหายเข้าไปในคฤหาสน์กระทั่งกลับออกมา
สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นในคฤหาสน์ ในเวลาเพียงชั่วกาน้ำเดือดนี่ ยากจะมีใครอื่นนอกจากอาวุโสตงฟางกับต้วนหลิงเทียนที่ล่วงรู้
หลังจากออกจากคฤหาสน์ของอาวุโสตงฟางแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็กลับไปยังบ้านเดี่ยวของเขา ก่อนที่จะวูบร่างเข้าไปในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติเพื่อฝึกฝนบ่มเพาะ เวลาในเจดีย์ 3 วันเท่ากับด้านนอก 1 วัน
3 วันก็เพียงพอให้เข้าฝึกวรยุทธ์เซียนจนมีความสำเร็จขึ้นมาบ้าง
อันที่จริงตลอดเดือนที่ผ่านมาที่เขาอยู่ในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ นั่นก็เทียบเท่าระยะเวลา 3 เดือนบนชั้น 2 และตัวเขาก็ทะลวงผ่านหลุดพ้นมนุษย์ขั้นสมบูรณ์แบบตั้งแต่เดือนที่ 2 แล้ว
ส่วนเดือนสุดท้ายนั้นเขาฝึกวรยุทธ์เซียนที่มี
ในบรรดาวรยุทธ์เซียนทั้งหลาย อาภรณ์เงิน มีความก้าวหน้ารวดเร็วที่สุด
วันนี้อาภรณ์เงินของเขาเจียนบรรลุขั้นตอนไร้ตำหนิเต็มที ซึ่งนับเป็นขั้นที่ 5 อันเป็นขั้นสูงสุดของวรยุทธ์เซียน
(ดูผิดไป…ตอนก่อนหน้าที่บอกสำเร็จไร้ตำหนิไปแล้วน่าจะเป็นสมบูรณ์แบบ…ขออภัยด้วย)
อาภรณ์เงินนั้นเป็นวรยุทธ์เซียนสายป้องกัน ที่ผสานปราณแท้เข้าสู่กาย
เมื่อร่างกายแข็งแกร่งมากขึ้นเท่าไหร่ การผสานพลังก็จะยิ่งง่ายดายและราบรื่น ผลลัพธ์ที่ออกยิ่งมีประสิทธิภาพ
ร่างของต้วนหลิงเทียนหลังบังเกิดความเปลี่ยนแปลงพัฒนาครั้งที่ 2 ก็กลายเป็นอะไรที่แข็งแกร่งจนน่ากลัว
ฟังจากคำของผู้เฒ่าหั่ว
ตอนนี้ไม่ต้องกล่าวถึงมังกรเทพยาดา 5 กรงเล็บอีกต่อไป กระทั่งมังกรเทพยาดา 6 กรงเล็บก็ไม่อาจเทียบพละกำลังทั้งความแข็งแกร่งทางกายภาพกับต้วนหลิงเทียนได้หากพลังฝึกปรือเท่ากัน! เพราะตอนนี้กายเนื้อต้วนหลิงเทียนมีพลังความแข็งแกร่งทางกายภาพทัดเทียมกับมังกรเทพยาดา 7 กรงเล็บแล้ว!!
แน่นอนว่าในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าลำพังมังกรเทพยาดา 6 กรงเล็บยังไม่มี ไหนเลยจะมีมังกรเทพยาดา 7 กรงเล็บได้?
เผ่าพันธุ์มังกรในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋านั้น มังกรเทพยาดา 5 กรงเล็บนับเป็นสายพันธุ์ที่มีความบริสุทธิ์ของโลหิตสูงสุด ไม่มีมังกรเทพยาดา 6 กรงเล็บอยู่แม้แต่ตัวเดียว
อย่างน้อยๆ จากเรื่องที่หานเฉวี่ยไน่บอกมา มันก็ไม่มีมังกรเทพยาดา 6 กรงเล็บในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า
“ข้าคิดว่า 3 วันนี้ ข้าน่าจะฝึกอาภรณ์เงินให้บรรลุขั้นตอนไร้ตำหนิได้ทัน…”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวพึมพำขณะเร่งเร้าพลัง จนมีม่านสีเงินคลุมฉาบไปทั่วกาย
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนฝึกฝนอยู่นั้น ข่าวอีกเรื่องก็แพร่ออกมาจนทำให้ฝ่ายนอกถึงกับป่วนปั่นครั้งใหญ่ ประหนึ่งหินใหญ่ร่วงสระบังเกิดคลื่นพันระลอกก็ไม่ปาน
“ท่านอาวุโสตงฟางกล่าวว่าอันใดนะเมื่อครู่…ท่านออกมาแถลงการณ์ว่า หากต้วนหลิงเทียนตกตายด้วยมือเฝิงฟ่างจริง ท่านจักเป็นธุระจัดการแจกจ่ายคะแนนอุทิศที่เดิมพันไว้งั้นหรือ?!”
ข่าวนี้ไม่เพียงทำให้ศิษย์ฝ่ายนอกตื่นตระหนก กระทั่งผู้ดูแลและผู้อาวุโสทุกคนยังตกใจหนักหนา ไม่ใช่พรุ่งนี้อย่างที่บอกด้วยซ้ำ อาวุโสตงฟางกลับออกมาแถลงการณ์วันนี้เลย!!
“ท่านผู้อาวุโสตงฟางสนใจเรื่องเล็กน้อยเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน?”
“มิน่าเชื่อ! ท่านอาวุโสตงฟางกลับออกมายืนยันว่าจักเป็นสักขีพยานและธุระจัดการเรื่องนี้ให้ต้วนหลิงเทียน…หากต้วนหลิงเทียนตกตายด้วยน้ำมือเฝิงฟ่าน”
“ต้วนหลิงเทียนนั่นกลับมิได้โกหก กระทั่งเรื่องเล็กน้อยเพียงนี้ยังสามารถยืมมืออาวุโสตงฟางได้…นี่ต้วนหลิงเทียนไม่ใช่ศิษย์ส่วนตัวของอาวุโสตงฟางแน่นะ?”
“เป็นไปไม่ได้! หากต้วนหลิงเทียนเป็นศิษย์ของอาวุโสตงฟางจริงๆ ไฉนท่านอาวุโสถึงให้ต้วนหลิงเทียนยอมรับสารท้าประลองเป็นตายกับเฝิงฟ่าน? ท่านคงออกมาปกป้องและจัดการเรื่องนี้ไปนานแล้ว”
……
ไม่ต้องถามอันใดให้มากความสืบไป ‘ความเป็นจริง’ ที่บังเกิดขึ้นกะทันหันปานอัสนียามแล้งนี้ นับว่าเป็นการตอบคำถามของต้วนหลิงเทียนต่อ ‘เติ้งเหว่ย’ และศิษย์ฝ่ายนอกทั้งหมดอย่างกระจ่าง
“เป็นไปได้ยังไงกัน?!”
หลังจากทราบข่าวนี้ เติ้งเหว่ยเองก็นั่งไม่ติดเก้าอี้ทันที
มันไม่คิดไม่ฝันเลยจริงๆ ว่าต้วนหลิงเทียนจะมีปัญญายืมมืออาวุโสตงฟาง ให้มาเป็นสักขีพยานและคอยจัดการ ‘โต๊ะพนัน’ ที่ต้วนหลิงเทียนเป็นเจ้ามือได้แบบนี้
อย่างไรก็ตามไม่นานใบหน้าของมันก็เผยยิ้มแสยะหยันหยามออกมาอีกครั้ง “เจ้าเชิญผู้อาวุโสตงฟางมาได้แล้วจะอย่างไร? สุดท้ายเจ้าก็ยังต้องตกตายกลายเป็นผีคามือเฝิงฟ่านอยู่ดี!!”
ภายในบ้านเดี่ยวพร้อมลานว่างหลังหนึ่งของฝ่ายนอก…
“ต้วนหลิงเทียน ข้าหวังว่าเจ้าจักไม่ตกตายภายในน้ำมือของเฝิงฟ่านอะไรนั่นใน 3 วันหลังจากนี้หรอกนะ…เพราะชีวิตของเจ้าเป็นของ ข้า เยี่ยหมานคนนี้คนเดียว!!”
เยี่ยหมานที่นั่งบนโต๊ะหินอ่อน หมุนจอกสุราในมือครึ่งรอบ กล่าวพึมพำเสียงเย็น
ในลูกตายังฉายประกายเย็นเยือกวาวโรจน์ออกมา ปานดารากลางฟ้าค่ำคืน
เช้าวันต่อมาลานฝึกซ้อมก็นับว่าคึกคักเปี่ยมชีวิตชีวานัก
ศิษย์ฝ่ายนอกทั้งหลายตั้งแถวอย่างเป็นระเบียบ เพื่อรอแทงเดิมพันกับต้วนหลิงเทียนทีละคนๆ ต่างยื่นบัตรแก้วมาถ่ายโอนคะแนนอุทิศและประทับรอยนิ้วมือในสัญญาเดิมพันที่จะเกิดในอีก 2 วันหลังจากนี้อย่างลื่นไหล
ถึงตอนนั้นตราบใดที่เฝิงฟ่านเอาชนะต้วนหลิงเทียนได้ พวกมันก็จะได้รับผลตอบแทนกลับมาในอัตรา 30 ต่อ 1
ลงทุนไป 30 คะแนนอุทิศไม่กี่วันก็ได้กลับมา 1 คะแนนอุทิศ!
ในสายตาของพวกมัน รู้สึกเสมือนต้วนหลิงเทียนตั้งใจมาแจกจ่ายคะแนนอุทิศที่มีให้พวกมันก่อนตายอย่างไรอย่างนั้น
แน่นอนว่าไม่ใช่พวกมันไม่คิดถึงผลที่จะตามมาหลังต้วนหลิงเทียนเป็นฝ่ายชนะ
แต่พวกมันคิดว่าเรื่องพรรค์นั้นไม่มีวันเป็นไปได้!
หากนี่เป็นการประลองทั่วไป พวกมันคงไม่มีใครกล้ามาเดิมพันมากมายขนาดนี้ เพราะยากที่ใครจะสืบทราบ ว่าใช่ต้วนหลิงเทียนเตี๊ยมกับเฝิงฟ่านมาเล่นละครฉากใหญ่เพื่อคะแนนอุทิศกันหรือไม่…ทว่าครานี้เป็นการประลองเป็นตาย
การประลองเป็นตายนั้น จะไม่ยุติจนกว่าจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตาย!
และการประลองเป็นตายนี้ไม่ได้รับอนุญาตให้ใครยื่นมือไปแทรกแซงเด็ดขาด หาไม่แล้วผู้ที่สอดมือ ทั้งผู้ที่ถูกช่วยเหลือจะถูกประหารทั้งคู่!
ไม่ว่าจะเป็นผู้ดูแลผู้อาวุโสฝ่ายในหรือนอก ไม่เว้นแม้แต่ชนชั้นรองเจ้าสำนัก!
กฏก็คือกฏ นอกเหนือจากตัวตนระดับเซียนอันเป็นชนชั้นปกครองสูงสุดของสำนักจันทร์จรัสแสงที่มีอยู่เพียงหยิบมือแล้ว ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ละเมิดกฏ!
วันแรกที่รับเดิมพัน คะแนนอุทิศในบัตรแก้วของต้วนหลิงเทียนก็พุ่งกระฉุดไปแตะจำนวน 1,600,000 แต้มอย่างน่าตกใจ…แน่นอนว่าในจำนวนดังกล่าวมีคะแนนอุทิศของเขาอยู่ 100,000 แต้ม
กล่าวอีกอย่าง วันเดียวเขาได้รับคะแนนอุทิศจากการเดิมพันถึง 1,500,000 แต้ม!
หากเขาชนะการประลองเป็นตายที่จะมีขึ้นหลังจากนี้อีก 2 วัน ทั้งหมดจะเป็นของเขาโดยสมบูรณ์!!
“วันนี้ดูเหมือนเหล่าผู้ดูแลและผู้อาวุโสอะไรก็แวะเวียนผ่านมาและท่าจะสนใจการเดิมพันครั้งนี้ไม่น้อย…พรุ่งนี้พวกมันต้องอดใจไม่ไหวมาแทงกับข้าแน่”
หลังจากกลับมาถึงบ้านเดี่ยวแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็พึมพำเบาๆขณะมองตัวเลขคะแนนอุทิศ “บางทีพวกมันคงคิดเหมือนกันหมด ว่าคนที่จะตายในอีก 2 วันหลังจากนี้เป็นข้าแน่ๆ…”
พอคิดถึงเรื่องนี้สายตาที่มองตัวเลขบนบัตรแก้วก็ส่องประกายเจิดจ้าออกมาอย่างยินดี ยิ้มเฉิดฉายยังคลี่กางออก “นับว่าเรื่องนี้ต้องขอบคุณพวกมันแล้วจริงๆ ไม่งั้นข้าจะไปหาคะแนนอุทิศมากมายขนาดนี้ในระยะเวลาอันสั้นได้ที่ไหน…”
“แต่จะว่าไปพวกศิษย์ฝ่ายนอกนี่ก็ร่ำรวยกันไม่น้อย…วันเดียวข้ากลับได้รับคะแนนอุทิศถึง 1,500,000 แต้ม…”
วันต่อมาต้วนหลิงเทียนก็ยังมาปรากฏตัวที่ลานฝึกซ้อมแต่เช้า
รับแทงสืบต่อ!
หากแต่วันนี้จำนวนศิษย์ฝ่ายนอกที่มาแทงกลับน้อยลงกว่าเมื่อวาน
เมื่อวานนี้ที่มาแทงส่วนมากก็เป็นศิษย์ฝ่ายนอกที่ไม่ได้ปิดด่านฝึกตนแล้ว มีเพียงศิษย์ฝ่ายนอกจำนวนน้อยที่รู้สึกลังเลไม่แน่ใจและคิดว่า ‘เสี่ยง’ จึงไม่ได้เฮโลไปแทงสุ่มสี่สุ่มห้าอย่างหน้ามืดตามัวตามศิษย์ฝ่ายนอกคนอื่น…
“ศิษย์พี่ต้วนข้าลงเดิมพันด้วยคะแนนอุทิศหมดสิ้นแล้ว มิทราบท่านรับหินเซียนด้วยหรือไม่?”
ศิษย์ฝ่ายนอกคนหนึ่งที่รู้สึกว่ายังไม่พอ เลือกที่จะกล่าวถามต้วนหลิงเทียนออกมาตรงๆ
“ขอโทษทีนะ แต่พอดีโต๊ะข้ารับเฉพาะคะแนนอุทิศน่ะ”
ต้วนหลิงเทียนยิ้มเป็นเชิงขอโทษ ค่อยหันไปมองยังร่างที่อยู่ไม่ไกล “แต่ว่าเจ้ายังสามารถไปหาผู้ดูแลเติ้งทางด้านนั้นได้ โต๊ะผู้ดูแลเติ้งเหมือนจะรับหินเซียนอยู่”
“อัตราเดิมพันของผู้ดูแลเติ้งต่ำเกินไป…”
ศิษย์ฝ่ายนอกได้แต่ส่ายหัวแล้วเดินจากไป
“หืม?”
ทันใดนั้นเองต้วนหลิงเทียนพบว่าเติ้งเหว่ยที่อยู่ไม่ไกล กำลังก้าวอาดๆมาทางเขา
“ว่าไงผู้ดูแลเติ้ง ท่านยังมีปัญหาอะไรกับข้าอีกรึ?”
ต้วนหลิงเทียนยักคิ้วข้างหนึ่งกล่าวถามเสียงเรียบ
“เฮอะ! ข้ามานี่เพื่อแทงเดิมพัน!”
เติ้งเหว่ยพ่นล่มแค่นคำ
“หืม? เดิมพันงั้นเหรอ!”
ต้วนหลิงเทียนอึ้งไปวูบหนึ่ง
“ในเมื่อจิตใจเจ้าประเสริฐคิดแจกจ่ายคะแนนอุทิศให้ผู้คน เช่นนั้นข้าก็มิคิดเกรงใจอันใดสืบไป…นี่คือ 120,000 คะแนนอุทิศ ข้าแทงว่าเฝิงฟ่านจักชนะการประลองเป็นตายในวันมะรืนนี้!”
เติ้งเหว่ยควักบัตรแก้วออกมาพร้อมกล่าวเสียงแข็ง
“120,000 คะแนนอุทิศ!?”
ต้วนหลิงเทียนประหลาดใจไม่น้อย ด้วยไม่คิดเลยว่าเติ้งเหว่ยจะร่ำรวยไม่ใช่เล่น
อย่างไรก็ตามพอเขาคิดทบทวนอีกครั้ง เขาก็ไม่แปลกใจอะไรอีก
เติ้งเหว่ยคนนี้ไม่ว่าจะกล่าวอย่างไรอย่างน้อยๆมันก็เป็นถึงผู้ดูแลฝ่ายนอกของสำนักจันทร์จรัสแสง ฐานะในนิกายของมันก็พอๆกันกับครูเขา ฟางฮุ่ย ถึงแม้ว่ามันยังจะเทียบครูเขาไม่ได้ แต่อย่างน้อยๆเป็นผู้ดูแลฝ่ายนอกก็มิได้นับว่ายากจนอะไร
การที่มันจะมี 120,000 แต้มในมือไม่นับว่าเป็นเรื่องผิดแปลก
“ผู้ดูแลเติ้ง…ข้าว่าเรื่องนี้ท่านคิดทบทวนให้ดีก่อนไม่ดีเหรอ 120,000 คะแนนอุทิศนี่ ข้าว่ามันไม่ใช่จำนวนน้อยๆสำหรับท่านเลยนา ท่านแน่ใจแล้วเหรอ?”
ต้วนหลิงเทียนหยีตาลงเล็กน้อย ค่อยกล่าวโน้มน้าวออกมาด้วยน้ำเสียงเกลี้ยกล่อมให้เลิกแทง
ด้วยคะแนนอุทิศมากมายขนาดนี้เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่อยากได้
ทว่าถึงแม้นี่จะดูเหมือนเขากำลังเกลี้ยกล่อมให้อีกฝ่ายล้มเลิก ทว่าเป็นจิตวิทยาย้อนกลับอย่างแยบคาย เพราะเขาค่อนข้างมองลักษณะนิสัยคนอย่างเติ้งเหว่ยออกทะลุปรุโปร่ง เขารู้ว่ายิ่งกล่าวโน้มน้าวให้อีกฝ่ายเลิกและกล่าวถึงเรื่องจำนวนเดิมพันว่ามากเท่าไหร่ด้วยทีท่าคล้ายหวาดกลัว เติ้งเหว่ยก็ยิ่งจะกระทำตรงกันข้าม!
และข้อเท็จจริงก็พิสูจน์ว่าต้วนหลิงเทียนคิดถูก
“อะไร เจ้ากลัวรึไร? เอาบัตรแก้วของเจ้าออกมาเสีย ข้าจักแทง 150,000 แต้ม คะแนนอุทิศ!”
พอได้ยินเสียงโน้มน้าวของต้วนหลิงเทียน เติ้งเหว่ยก็คิดว่าต้วนหลิงเทียนรู้สึกกลัว ในใจบังเกิดความห้าวหาญเพิ่มขึ้นหลายส่วน ทุ่มแทงออกไป 150,000 คะแนนทอุทิศทันที!
เมื่อคะแนนอุทิศ 150,000 แต้มจ่ายออกไป ทั้งเนื้อทั้งตัวมันก็เหลือคะแนนอุทิศอยู่แค่ไม่กี่พันเท่านั้น…
อย่างไรก็ตามมันไม่สนใจ
มันเชื่อว่าหลังมะรืนนี้พ้นผ่านไป คะแนนอุทิศ 150,000 แต้มของมันจะหวนกลับมาพร้อมดอกเบี้ยจำนวนมหาศาล!
30 ต่อ 1 นั่นหมายความว่าคะแนนอุทิศของมันรอบนี้จะทำกำไรได้ถึง 5,000 แต้ม!
พอคิดว่ามันสามารถหาคะแนนอุทิศได้ถึง 5,000 แต้มในหนึ่งวัน จิตใจของเติ้งเหว่ยก็แจ่มใสร่าเริงนัก ‘หากข้าสามารถหาคะแนนอุทิศได้รวดเร็วเช่นนี้ไปตลอดคงประเสริฐนัก’
เมื่อเห็นว่าคะแนนอุทิศของมันได้ถูกถ่ายโดนไปยังบัตรแก้วในมือของต้วนหลิงเทียนเรียบร้อย เติ้งเหว่ยก็ประทับลายนิ้วมือเป็นลายลักษณ์อักษร เหลือบมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเย็นเยือก “ต้วนหลิงเทียน มะรืนนี้ทันทีที่เจ้าตายข้าจักเอาข่าวดีนี้ไปบอกหลานชายของข้า!”
“หลานชายของเจ้า?”
ต้วนหลิงเทียนอึ้ง
“เฮอะ! เจ้าคงยังมิลืมหรอกนะว่าเจ้าผ่านการทดสอบเข้าสำนักจันทร์จรัสแสงมาได้อย่างไร!?”
เติ้งเหว่ยกล่าวเย้ย
“เจ้าหมายความว่า…ตัวปากดี ‘เติ้งอวี้’ นั่นเป็นหลานชายของเจ้างั้นหรอ?”
พอได้คิดต้วนหลิงเทียนก็นึกได้ทันที
ไม่น่าแปลกใจเลยที่วันก่อนยามเติ้งเหว่ยเจอเขาครั้งแรก ตอนเขาคิดเข้าไปเดิมพันมันก็คล้ายไม่ถูกชะตากับเขา ที่แท้เป็นแบบนี้นี่เอง
ตอนที่ 1,448 : หวางเฉิงพึงใจ
“ดูเหมือนว่าเจ้ายังคงจดจำได้!”
เติ้งเหว่ยกล่าวเย้ย “หากมิใช่เพราะเจ้าคงเป็นเรื่องง่ายดายนักที่หลานข้าจะผ่านการทดสอบเข้าร่วมสำนักจันทร์จรัสแสงด้วยพรสวรรค์แต่กำเนิดที่มี! แต่ทั้งหมดล้วนต้องขอบคุณเจ้าที่สะบั้นวาสนาตัดชะตากรรมที่จักเข้าร่วมสำนักจันทร์จรัสแสงนั่นไปเสียสิ้น!!”
“ผู้ดูแลเติ้ง…แทนที่จะมาโทษข้า ทำไมไม่ไปถามหลานชายของท่านดู ว่าทำไมมันถึงไม่มีปัญญาเอาชนะข้าได้?”
หลังจากเหลือบมองเติ้งเหว่ยอีกครั้งอย่างผ่านๆ เขาก็คร้านจะสนใจอะไรเติ้งเหว่ยสืบไป
เขาหันมาสนใจบัตรแก้วในมือเขาแทน
ตอนนี้คะแนนอุทิศในบัตรแก้วเขามีเกือบๆ 2,100,000 แต้มแล้ว หัก 100,000 คะแนนอุทิศที่เป็นของเขา ทั้งหมดก็คือที่เขาได้รับมา
“ด้วยทุนรอนที่ข้ามี…ยังสามารถรับแทงได้อีก 1,000,000 คะแนนอุทิศ”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวพึมพำเบาๆ ค่อยว่ายตาเหลือบมองไปยังเหล่าผู้ดูแลและผู้อาวุโสที่ยืนคุมเชิงอยู่รอบๆ พร้อมครุ่นคิดในใจ ‘ยังจะทำเป็นเข้มกันอยู่อีก ไม่ต้องอายไม่ต้องเขิน รีบๆเดินมาแทงกับข้าได้เลย…’
และแทบจะทันทีที่ต้วนหลิงเทียนคิด ในที่สุดผู้ดูแลคนหนึ่งก็ก้าวอาดๆออกมา “ในเมื่อเติ้งเหว่ยร่วมสนุกแล้วข้าจะพลาดไปได้อย่างไร เอาล่ะข้าขอเล่นด้วยขำๆสัก 100,000 คะแนนอุทิศแล้วกัน”
“ยินดีๆ”
ต้วนหลิงเทียนยิ้มร่ายื่นบัตรไปแตะรับโอนคะแนนอุทิศ 100,000 แต้มมาอย่างชำนิชำนาญ ก่อนที่จะหยิบใบสัญญาเดิมพันที่ไปหามาแต่เช้าเพื่อประทับลายนิ้วมือและส่งให้อีกฝ่ายประทับด้วยเช่นกัน และเมื่อเสร็จสิ้นแล้ว เขาก็จงใจกล่าวออกมาเสียงดัง “ตอนนี้ยอดรับเดิมพันของข้าเหลือแค่ 900,000 คะแนนอุทิศแล้ว หากครบยอด…ข้าก็ไม่อาจรับเดิมพันได้แล้ว ช้าอดหมดสิทธิ์!”
สิ้นคำประกาศนี้ของต้วนหลิงเทียน ผู้ดูแลหลายคนถึงกับสูดหายใจดังเฮือก ทั้งหลายไม่อาจทำเป็นเข้มไหวสืบไป ต่างพุ่งร่างฉิวราวลืมแก่มาหยุดหน้าโต๊ะเดิมพันต้วนหลิงเทียนทันที
“ข้าลงเดิมพัน 60,000 คะแนนอุทิศ!”
“ข้าแทง 80,000 คะแนนอุทิศ!”
……
แม้พวกมันจะไม่ได้บ้าคลั่งเหมือนเติ้งเหว่ยที่ทุ่มแทงหมดตัว แต่พวกมันก็ควักคะแนนออกมาทุ่มแทงถึงครึ่งหนึ่งเท่าที่มี!
หลังจากผ่านไปเพียงไม่กี่เค่อ ยอดรวมคะแนนอุทิศของต้วนหลิงเทียนก็มี 2,600,000 แล้ว
และตอนนี้เหล่าอาวุโสฝ่ายนอกก็เริ่มเดินเข้ามาหาเขาแล้วเช่นกัน
กระทั่งต่งชงที่คิดรับต้วนหลิงเทียนเป็นศิษย์แต่ถูกปฏิเสธมา ก็เป็นหนึ่งในกลุ่มอาวุโสที่กำลังเดินเข้ามาดังกล่าว
ในขณะที่ผู้อาวุโสกลุ่มนั้นเดินมา ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณอุกอาจขุมหนึ่ง ที่กวาดผ่านร่างเขาไปอย่างไร้มารยาท!
ต้นตอของพลังวิญญาณขุมดังกล่าว เป็นผู้อาวุโสฝ่ายนอกที่รูปร่างอ้วนท้วมผู้หนึ่ง ใบหน้าของมันแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มแลดูไม่มีพิษมีภภัย
อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนรู้ดีแก่ใจ
อาวุโสอ้วนผู้นี้หาได้จิตใจดีอย่างร้อยยิ้มไม่ ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงว่านั่นคือ ‘ยิ้มพยัคฆ์’
คำ ซ่อนดาบในรอยยิ้ม นับว่าเหมาะอธิบายคนเช่นมันได้เป็นอย่างดี…
“ต้วนหลิงเทียน…ดูเหมือนว่าเจ้าจะทะลวงผ่านมายังหลุดพ้นมนุษย์ขั้นสมบูรณ์แบบหลังจากผ่านการทดสอบเข้าสำนักดั่งที่คาดไว้จริงๆสินะ…แต่อย่างไรเสียด้วยด่านพลังหลุดพ้นมนุษย์ขั้นสมบูรณ์แบบแต่กลับเอาชนะเซิ่งจื่อกับหลินฟู่มาได้ ก็นับว่ายอดเยี่ยมนัก!!”
‘พยัคฆยิ้ม’ นั่น ไม่นานก็เดินมาถึงต้วนหลิงเทียนพร้อมกล่าววาจาออกมาด้วยน้ำเสียงไม่แยแส
“อาวุโสกล่าวชมข้าเกินไปแล้ว”
ต้วนหลิงเทียนก็กล่าวตอบออกไปอย่างไม่แยแส เขาไม่ชอบขี้หน้าอาวุโสฝ่ายนอกผู้นี้ตั้งแต่แรกเห็น เพราะอีกฝ่ายกล้าตรวจสอบพลังฝึกปรือเขาอย่างโจ่งแจ้งแบบนี้
“หลุดพ้นมนุษย์ขั้นสมบูรณ์แบบงั้นเหรอ!?”
ดั่งคำ ‘คนพูดไม่เจตนา แต่ว่าคนฟังใส่ใจ’ หลังจากได้ยินคำของ ‘พยัคฆ์ยิ้ม’ ต่งชงอดไม่ได้ที่จะตกใจลอบส่งเสียงผ่านปราณแท้กล่าวถามทันที “อาวุโสหวงเฉิง เจ้าตรวจสอบพลังฝึกปรือต้วนหลิงเทียนแล้วหรือ!?”
หวงเฉิงพยักหน้ารับเบาๆ ขณะเดียวกันไม่ทันที่ต่งชงกับอาวุโสคนอื่นจะทันได้กล่าวอะไร หวงเฉิงก็กล่าวถามออกมาเสียก่อน “ต้วนหลิงเทียนเจ้ายังเหลือยอดรับแทงได้อีกเท่าใด ข้าจะได้ลงเดิมพันให้หมด?”
ต้วนหลิงเทียนพอได้ยินสองตาก็หรี่ลงเล็กน้อย มุมปากคล้ายมีรอยยิ้มเย้ยหยันยกขึ้นจางๆ
อา! โอ! ซูด!
……
หลังได้ยินคำของหวงเฉิง ต่งชงและอาวุโสฝ่ายนอกคนอื่นๆถึงกับตกใจจนต้องอุทานออกมา บ้างก็สูดลมหายใจเข้าด้วยความกังวล “อาวุโสหวงท่านคงมิคิดอิ่มหนำแต่เพียงผู้เดียวหรอกนะ?”
“ถูกแล้ว! อาวุโสหวงเฉิง คนเราย่อมรู้จักการแบ่งปัน ไหนเลยรับประทานคนเดียวหมดหม้อได้…อย่างน้อยก็ปันน้ำแกงให้พวกเราดื่มสักคนละถ้วยเถอะ!”
“อาวุโสหวง ท่านคงไม่มีจิตใจคับแคบหรอกนะ!”
……
อาวุโสฝ่ายนอกหลายคนเริ่มกล่าวออกมาด้วยความไม่พอใจ
คนเดียวที่ไม่คิดแก่งแย่งกับหวงเฉิงคือต่งชง…มันยังคิดจะกล่าวเตือนหวงเฉิงให้ได้รับทราบ ว่าวันที่ต้วนหลิงเทียนเอาชนะหลินฟู่นั้น อีกฝ่ายยังพึ่งมีพลังฝึกปรือเพียงแค่หลุดพ้นมนุษย์ขั้นเชี่ยวชาญเท่านั้น!
เพราะเดือนที่แล้วมันก็ใช้ทักษะวิญญาณลี้ลับตรวจสอบพลังฝึกปรือต้วนหลิงเทียนมาเช่นกัน!
ทว่าในขณะที่ต่งชงกำลังจะกล่าวเตือน หวงเฉิงพลันกล่าวออกมาสืบต่อ “พวกเจ้าชราจนเชื่องช้าเอง จักให้ทำอย่างไรได้? หรือนี่อายุปูนนี้แล้วแต่พวกเจ้ายังมิรู้จักกฏ ‘ผู้ใดมาก่อนได้ก่อน’ หรือไร?”
ในวาจาของหวงเฉิงนั้นไม่มีความสุภาพแม้แต่น้อย ทำให้สีหน้าอาวุโสชราทั้งหลายมืดดำขึ้นมาทันใด
และทันทีที่หวงเฉิงกล่าวแบบนี้ กระทั่งต่งชงก็บังเกิดความไม่พอใจขึ้นมาเหมือนกัน
ต่อมามันก็เลือกที่จะไม่กล่าวเตือนอะไรหวงเฉิงอีก
“หวงเฉิงการเดิมพันนี้ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะตัดสินใจได้! เพราะเจ้ามิได้เป็นเจ้ามือรับเดิมพัน!!”
“ถูกแล้ว! เจ้ามือรับพนันครั้งนี้คือต้วนหลิงเทียน เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขายินดีให้ยอดรับแทงที่เหลือกับเจ้า?”
“หวงเฉิง เจ้าอย่าพึ่งมั่นใจให้มันมากนัก”
……
อาวุโสฝ่ายนอกหลายคนเริ่มกล่าวคำค่อนแคะออกมา
“ต้วนหลิงเทียน เจ้าได้ยินที่ข้ากล่าวแล้วใช่หรือไม่?”
หลังได้ยินคำค่อนแคะเสียดสีของคนอื่น หวงเฉิงไม่สนใจอะไร เพียงหันไปมองถามต้วนหลิงเทียนเสียงแข็ง
“อืม”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับเบาๆ
“ต้วนหลิงเทียนเจ้าอย่าได้ไปสนใจอะไรมัน! หากมันข่มขู่หรือทำให้เจ้าลำบากใจอะไรก็มิต้องกลัว พวกเราผู้ชราก็หาใช่ตะเกียงไร้น้ำมันไม่!”
“ถูก! พวกเราจักคุ้มครองเจ้าเอง!!”
“เจ้าไม่ต้องกลัวมัน!”
……
อาวุโสฝ่ายนอกหลายคนมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียน ด้วยใบหน้ามั่นใจรับปากเป็นมั่นเหมาะ
“ขออภัยท่านผู้อาวุโสทั้งหลายด้วย…อย่างที่ว่า ‘มาก่อนได้ก่อน’ ในเมื่ออาวุโสหวงกล่าวมาเช่นนี้แล้ว เช่นนั้นข้าก็จะให้ยอดเดิมพันที่เหลือกับเขา เอาไว้หากมีโอกาสเดิมพันอันใดคราวหน้า ข้าจะให้ท่านอาวุโสทั้งหลายมีสิทธิ์ลงเดิมพันก่อนดีหรือไม่..”
เมื่อเผชิญกับวาจารับรองหลายเสียง ต้วนหลิงเทียนเพียงยิ้มรับพร้อมกล่าวขอขมาต่ออาวุโสที่เหลือ
“พวกเจ้าได้ยินชัดเจนแล้วหรือไม่?”
เมื่อได้ยินวาจาเห็นด้วยของต้วนหลิงเทียน หวงเฉิงถึงกับยิ้มแฉ่งหน้าระรื่นขึ้นมาทันใด ยังพยักหน้าให้ต้วนหลิงเทียนอย่างพึงพอใจ “ต้วนหลิงเทียนเจ้านี่ช่างน่ารักยิ่ง…ถ้าหากเจ้าไม่ขึ้นประลองเป็นตายกับเฝิงฟ่านมะรืนนี้ ข้ายังอยากรับเจ้าเป็นลูกศิษย์นัก!”
“ขอบคุณอาวุโสหวงสำหรับความหวังดี”
ใบหน้าต้วนหลิงเทียนฉาบไว้ด้วยรอยยิ้มขณะกล่าวกับหวงเฉิง เขาเลือกที่จะไม่สนใจอาวุโสคนอื่น
อย่างไรก็ตามหางตาเขายังอดไม่ได้ที่จะละออกจากหวงเฉิงไปเหลือบมองต่งชง ‘อาวุโสต่งชงคนนี้ไม่กล่าวอะไรตั้งแต่ต้นจนจบ ดูท่ามันไม่คิดจะวางเดิมพันอะไรงั้นสินะ’
หางตาต้วนหลิงเทียนแฝงความรังเกียจไม่น้อย
หากเมื่อครู่ต่งชงออกปากจะลงเดิมพันล่ะก็ เขายินดีแบ่งยอดรับพนันให้อีกฝ่ายทุ่มแทงแน่นอน!
เดือนที่แล้วอาวุโสต่งชงก็ตรวจสอบพลังฝึกปรือของเขาอย่างโจ๋งครึ่ม ทำให้เขาไม่พอใจนัก!
หลังจากที่อาวุโสฝ่ายนอกคนอื่นถูกต้วนหลิงเทียนปฏิเสธ หน้าของพวกมันก็เปลี่ยนไปทันใด แต่พวกมันก็ทำอะไรไม่ได้เลย
หรือจะให้พวกมันข่มขู่?
แต่พรุ่งนี้ต้วนหลิงเทียนก็ต้องตายแล้ว คำขู่พวกมันจะมีประโยชน์อะไร!
สำหรับเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนบอกว่า ไว้มีโอกาสครั้งหน้าจะรับแทงจากพวกมันก่อน พวกมันล้วนคิดว่าเป็นเรื่องเหลวไหลนัก ในสายตาของพวกมันต้วนหลิงเทียนยากจะรอดชีวิตอะไรได้ ใกล้ตายวันตายพรุ่งอยู่รอมร่อ!
มีเพียงต่งชงที่มองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาลึกซึ้งแต่ไม่กล่าวอะไรออกมา
มันรู้ดีว่าตอนนี้ถึงให้มันกล่าวเตือนหวงเฉิง แต่หวงเฉิงก็ไม่พ้นคิดว่ามันอยากปันน้ำแกงสักถ้วยแน่แท้
“ต้วนหลิงเทียน แล้วยอดรับเดิมพันของเจ้าเหลืออีกเท่าไรรึ?”
หวงเฉิงหยิบบัตรแก้วออกมา ค่อยถามต้วนหลิงเทียนหน้าระรื่น
“เหลืออีก 360,000 คะแนนอุทิศ”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบ
พอได้ยิน หวงเฉิงก็ไม่ลังเลอะไร ถ่ายโอนคะแนนอุทิศไปให้ต้วนหลิงเทียนทันที 360,000 แต้ม แน่นอนว่าท่าทางไร้ลังเลใดๆนั้นก็แค่เปลือกนอกผิวเผินเท่านั้น
อย่างไรก็ตามในใจของมันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกปวดแปลบอยู่บ้าง
เพราะทั้งเนื้อทั้งตัวมันมีคะแนนอุทิศอยู่ไม่ถึง 400,000 แต้มด้วยซ้ำ
ครั้งนี้มันจ่ายออกไปคราวเดียวถึง 360,000 แต้ม ทำให้ใจมันรู้สึกหวิวๆ อยู่บ้าง
อย่างไรก็ตามเมื่อมันปลอบใจตัวเองว่า 360,000 คะแนนอุทิศนี้คือการลงทุนราวกินเปล่า และจะทำให้มันได้กำไรกลับมาถึง 10,000 คะแนนอุทิศในวันมะรืน ก็ทำให้ความเจ็บปวดในใจของมันมลายหายไป
“เอาล่ะ ครบยอด 3,000,000 แล้ว”
ต้วนหลิงเทียนตื่นเต้นนัก แน่นอนว่าแม้ในใจจะลิงโลดเพียงใด แต่สีหน้าท่าทางที่แสดงออกมาของเขายังคงสงบนัก
เขายังเข้าใจวาจาประโยคหนึ่ง เงียบไว้ได้ลาภ!
“เอาล่ะอาวุโสทั้งหลาย ในเมื่อตอนนี้ยอดรับเดิมพันของข้าก็ครบแล้ว ข้าขอตัวกลับไปบ่มเพาะพลังเพื่อเตรียมพร้อมประลองก่อนล่ะ…ขอลา!”
ต้วนหลิงเทียนเก็บบัตรแก้วกลับไปด้วยใจชื่นมื่น มองกล่าวลากับอาวุโสทั้งหมดค่อยเดินตัวปลิวกลับบ้าน
“ต้วนหลิงเทียนผู้นี้น่ารักยิ่ง…”
มองแผ่นหลังต้วนหลิงเทียนที่ค่อยๆเดินห่างออกไป หวงเฉิงแย้มยิ้มออกมาอย่างพึงใจนัก!
แน่นอนว่าเหตุผลที่มันคิดว่าต้วนหลิงเทียนน่ารักนั้น เพราะต้วนหลิงเทียนเลือกที่จะทำตามคำของมันและให้ยอดเดิมพันที่เหลือกับมัน…ในสายตาของมันแล้ว นี่ไม่ต่างอะไรกับต้วนหลิงเทียนเลือกจะมอบคะแนนอุทิศ 12,000 แต้มให้มันเปล่าๆเลย!
สำหรับอาวุโสฝ่ายนอกคนอื่นๆ นอกเหนือจากต่งชงแล้ว หน้าก็เบี้ยวบูดกันหมด
พวกมันไม่คิดเลยว่าต้วนหลิงเทียนไม่เพียงแต่จะไม่รับความหวังดี ยังกล้าปฏิเสธไมตรีของพวกมันซึ่งๆหน้าแบบนี้!
“กลับไปบ่มเพาะพลังงั้นเหรอ? นับประสาอะไรกับเหลือเวลาพรุ่งนี้อีกแค่วันเดียว ให้มีเวลาบ่มเพาะอีกสักปีมันก็มิมีทางสู้เฝิงฟ่านได้…!”
“กล้ารับคำท้าประลองเป็นตายจากเฝิงฟ่าน ต้วนหลิงเทียนผู้นี้ท่าทางจักเบื่อชีวิตเต็มทีแล้ว!”
“ข้าจักคอยดู ว่ามะรืนนี้มันจะถูกทุบตีจนตายอย่างไร!”
……
อาวุโสฝ่ายนอกหลายคนบ่นออกมาเป็นหมีกินผึ้ง สีหน้าบิดเบี้ยวเหยเกด้วยความไม่พอใจที่ต้วนหลิงเทียนไม่เปิดโอกาสให้พวกมันได้ลาภ
“ฮ่าๆๆๆ…เฒ่าชราไม่ยอมตายทั้งหลาย ข้าลาล่ะ! ไม่ต้องส่งนะ!!”
หวงเฉิงหัวเราะอย่างถูกใจ ค่อยเดินจากไปหน้าระรื่น
“ข้าก็ขอตัวก่อน”
ต่งชงกล่าวเสียงดัง จากไปเช่นกัน
เนื่องจากอาวุโสฝ่ายนอกทั้งหลายกำลังจมอยู่กับเรื่องอดแทง จึงไม่ทันได้เห็นความผิดปกติทางสีหน้าของต่งชง พวกมันยังทำเพียงบ่นงึมงำไม่เลิก
ในขณะที่อาวุโสฝ่ายนอกหลายคนบ่นต้วนหลิงเทียนทั้งยังสาปแช่ง ทางด้านต้วนหลิงเทียนแม้จะได้ยิน กลับไม่ได้ถือสาหาความอะไร
เขาเชื่อว่าหลังผ่านพ้นการประลองวันมะรืนนี้ไป ขี้คร้านอาวุโสเหล่านี้ จะยิ้มหน้าระรื่นขอบคุณเขาด้วยซ้ำ
เฝิงฟ่าน ยอดฝีมือติดอันดับรายนามปฐพี
แล้วไง?
ไม่ใช่ว่ามันจะแข็งแกร่งแค่ไหน ก็ยังเป็นแค่หลุดพ้นมนุษย์ขั้นยิ่งใหญ่หรือไง?
“ให้ตายเถอะนี่มันเกือบ 3,100,000 คะแนนอุทิศเชียวนะ…ต่อให้เป็นทั้งสำนักจันทร์จรัสแสง แต่คนที่มีคะแนนอุทิศขนาดนี้ก็ไม่น่าจะมีเยอะหรอกมั้ง!”
หลังจากกลับมาถึงบ้านเดี่ยวแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้เข้าไปบ่มเพาะในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติแต่อย่างไร เพียงนั่งมองบัตรแก้วในมืออย่างพอใจ
เมื่อถ่ายปราณแท้ลงไปยังบัตรแก้วใส ตัวเลขบอกคะแนนอุทิศก็ปรากฏขึ้นมา
ขาดแค่ไม่กี่พันคะแนนอุทิศ บัตรนี้ก็จะมีคะแนนอุทิศครบ 3,100,000 ถ้วน
ตอนที่ 1,449 : ประลองเป็นตาย
วันพรุ่งนี้…การประลองเป็นตายก็จะเริ่มขึ้นแล้ว
วันนี้ต้วนหลิงเทียนไม่ได้เข้าไปฝึกฝนบ่มเพาะในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติแต่อย่างไร กลับเลือกที่จะออกมานั่งเล่นที่โต๊ะหินอ่อนในลานหน้าบ้าน จิบชาหอมกรุ่นอย่างละเลียดละไม
แลแล้วท่าทางเหมือนคนสบายใจ ไม่ทุกข์ไม่ร้อนเหมือนคนที่กำลังจะขึ้นประลองเป็นตายแม้แต่น้อย
ศิษย์ฝ่ายนอกที่ผ่านมาแลเห็น ก็อดที่จะเหวอไปตาปริบๆเสียไม่ได้ สุดท้ายก็จะส่ายหัวไปมาเบาๆ “ดูท่าศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนจะปลงตกแล้ว…”
“ช่างโชคร้ายนัก ศิษย์พี่ต้วนมีพรสวรรค์และศักยภาพสูงล้ำขนาดนี้ แต่พรุ่งนี้กลับถูกฟ้าลิขิตให้ต้องตาย”
“เป็นฟ้าริษยาอัจฉริยะจริงๆ…”
……
ศิษย์ฝ่ายนอกมากมายอดไม่ได้ที่จะเสียใจกับต้วนหลิงเทียน
นอกจากนี้ยังมีศิษย์ฝ่ายนอกหลายคนที่เห็นดีเห็นงามกับความหยิ่งยโสของต้วนหลิงเทียน ที่ทำอะไรเกินตัวอย่างรับคำท้าประลองเป็นตาย ศิษย์เหล่านั้นอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาด้วยความพึงพอใจ “ดูเหมือนคะแนนอุทิศที่ข้าลงเดิมพันกับศิษย์พี่ต้วน จะได้กำไรงอกเงยงามตาแล้ว…”
“เรื่องนี้เจ้ายังต้องกล่าวอีกหรือ การประลองเป็นตายพรุ่งนี้ไม่มีทางผิดพลาดอันใดแน่นอน”
ศิษย์ฝ่ายนอกหลายคนไม่ได้สนใจว่าต้วนหลิงเทียนจะทำอะไรในวันนี้ เพราะสุดท้ายนี่ก็เสมือนสิ่งสุดท้ายที่ต้วนหลิงเทียนจะได้กระทำ ก่อนที่จะขึ้นไปตายในการประลองวันพรุ่ง…
ในสายตาของพวกมัน ต้วนหลิงเทียนก็เหมือนคนที่ตายไปแล้ว…
ไม่ว่าศิษย์ฝ่ายนอกที่เดินผ่านมาก็จะกล่าววาจาอะไรกัน ต้วนหลิงเทียนก็ไม่นำพาทั้งสิ้น เพียงนั่งจิบชาที่โต๊ะหินอ่อนด้วยอารมณ์สุนทรีย์ หากแต่สองตามองฟ้ากว้างอย่างอ้างว้าง ใจเพียงคิดถึงคู่หมั้นทั้ง 2 ที่จากกันไกล…
‘อีก 10 เดือนไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นข้าก็ต้องกลับไป…ไม่ว่าลูกน้อยข้าจะคลอดหรือยังไม่คลอด ข้าก็จะเฝ้ารอดูช่วงเวลาที่ลูกข้าลืมตาดูโลกเป็นครั้งแรก’
ต้วนหลิงเทียนคิดในใจอย่างโหยหา
อีก 10 เดือนก็จะครบ 3 ปีที่เขาเดินทางจากเกาะป้านเยว่มายังดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแล้ว
‘ไม่รู้ป่านนี้เด็กโง่ทั้ง 2 เป็นไรบ้างแล้ว…ยังมีเสี่ยวเฮย เสี่ยวไป๋กับเสี่ยวจินอีก รวมถึงหานเฉวี่ยไน่ด้วย..นางเองก็ต้องกำลังเป็นห่วงข้าไม่น้อยแน่’
ในใจต้วนหลิงเทียนปรากฏร่างผู้คนที่คุ้นเคยวาบผ่านมาทีละคนๆ
ร่างดังกล่าวสดใสร่าเริงเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะยามห้อมล้อมเขา ทำให้ใจเขารู้สึกอบอุ่นไม่น้อย
อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนไม่รู้เลย
ว่าตอนนี้เกาะป้านเยว่แห่งหมู่เกาะเซียนโพ้นทะเล ได้บังเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง…เพราะการมาถึงของชายวัยกลางคนในชุดสีทอง!
หากเขารู้เรื่องนี้ เขาจะต้องเร่งรุดกลับเกาะป้านเยว่ด้วยพลังทั้งหมดแน่แท้
นั่งนึกเรื่องราวอะไรไปเรื่อยเปื่อยเผลอๆตะวันก็ลาลับฟ้า ม่านสีดำของราตรีกาลเริ่มคลี่กาง ต้วนหลิงเทียนก็กลับไปในห้องหับ ไม่คิดบ่มเพาะฝึกฝนอะไรสืบไป เพียงเอนกายหลับตาลงจมจ่อมไปกับความฝันอย่างเงียบงัน
ในสายตาคนอื่นเขาพึ่งมาถึงสำนักจันทร์จรัสแสงได้เพียง 2 เดือน…
หากแต่ในความเป็นจริงนั้นเขาอยู่ในชั้น 2 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ เป็นเวลาครึ่งปีแล้ว…
ตลอดระยะเวลา 6 เดือนที่ผ่านเขาฝึกฝนบ่มเพาะอย่างขยันขันแข็ง จนไม่มีเวลานอนหลับพักผ่อนเหมือนผู้อื่น…
แล้วต้วนหลิงเทียนก็หลับไหลไปอย่างสงบ จวบจนตะวันโด่งก็ยังไม่ตื่น
จนเมื่อต้วนหลิงเทียนลุกขึ้นจากเตียง อาบน้ำเปลี่ยนชุดใหม่ ออกจากบ้านมาเขาก็พบว่าดวงตะวันแทบจะเด่นหราอยู่กลางฟ้ารอมร่อ “เห…สายป่านนี้แล้วหรือเนี่ย? ป่านนี้พวกมันไปรอกันที่ลานฝึกซ้อมแล้วล่ะมั้ง?”
อย่างที่ต้วนหลิงเทียนคิด
ลานฝึกซ้อมฝ่ายนอกของสำนักจันทร์จรัสแสงตอนนี้ เรียกว่าผู้คนตื่นมารวมตัวกันตั้งแต่หัวรุ่ง! และไม่เพียงศิษย์ฝ่ายนอกเท่านั้น ผู้ดูแล ทั้งผู้อาวุโสฝ่ายนอกทั้งหมดได้มารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา เว้นก็แต่อาวุโสหลักอย่างต่งซานที่ยังคงปิดด่านบ่มเพาะ
และวันนี้กระทั่งศิษย์ฝ่ายในบางคนที่ทราบข่าวก็มาชมดูเรื่องราวเช่นกัน
ในบรรดาศิษย์ฝ่ายในที่ว่าก็มีโจวฉีรวมอยู่ในนั้นด้วย
สนามฝึกซ้อมที่กว้างใหญ่วันนี้ดูแน่นไปถนัดตาด้วยผู้คนมากมายรายล้อม เพียงเว้นที่ว่างตรงกลางไว้สำหรับการประลองเท่านั้น
และในที่ว่างดังกล่าว ก็มีร่างชายหนุ่มยืนกอดอกหลับตารอคอยอยู่อย่างเงียบงัน คล้ายมันทำสมาธิหรืออย่างไรไม่ทราบหากแต่สงบนิ่งไม่ไหวติงดั่งภูผาคล้ายคนกลับกลายเป็นรูปปั้นอย่างไรอย่างนั้น
ร่างคนดังกล่าวคือ เฝิงฟ่าน อันดับที่ 5 ของศิษย์ฝ่ายนอก
ขณะเดียวกันมันยังเป็นยอดฝีมือที่มีพลังสามารถสูงพอจะติดอันดับในรายนามปฐพี!
“ไฉนสายป่านนี้แล้วศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนยังไม่มาอีกเล่า?”
“เอ่อ…มิใช่ว่าพี่ท่านหอบคะแนนอุทิศหลบหนีไปแล้วหรอกนะ?”
“คงไม่หรอก ศิษย์พี่ต้วนไม่คล้ายเป็นคนเช่นนั้นท่าทางยังน่าเชื่อถือยิ่ง…อีกทั้งเรื่องวันนี้อาวุโสตงฟางก็มีส่วนร่วมเช่นกัน เขายังจะหลบหนีไปที่ใดได้?”
“มีเหตุผล”
……
ลานฝึกซ้อมที่อื้ออึงอยู่พักหนึ่งไม่นานก็กลับมาสู่ความเงียบสงบ ทุกผู้คนได้แต่เฝ้ารอไปเงียบๆ
‘ต้วนหลิงเทียน ข้าจะดูว่าวันนี้เจ้าจะตายอนาถถึงเพียงใด! ทันทีที่เจ้าตายข้าจะเร่งส่งข่าวกลับไปยังสกุลเติ้ง! หากเสี่ยวอวี้รู้ว่าเจ้าถูกฆ่าตายต้องมีความสุขแน่แท้’
เติ้งเหว่ยที่ยืนรออยู่ข้างๆลานฝึกซ้อมก็แสยะยิ้ม ในใจครุ่นคิดทั้งเย้ยหยันต้วนหลิงเทียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับได้เห็นภาพเฝิงฟ่านบดขยี้ต้วนหลิงเทียนจนตายตก
‘ต้วนหลิงเทียน ข้าหวังว่าวันนี้เจ้าจักมีหนทางเอาชีวิตรอด เพราะชีวิตของเจ้าเป็นของข้า เยี่ยหมานผู้นี้! แต่ถ้าหากเจ้าตกตายแล้วจริงๆ ข้าจักฆ่าเฝิงฟ่านเสีย เพื่อพิสูจน์ให้โลกรู้ ว่าข้าเยี่ยหมานอยู่เหนือเจ้า! สามารถฆ่าคนที่ฆ่าเจ้าได้!!’
เยี่ยหมานที่ยืนปะปนอยู่กับฝูงชนมุมหนึ่งเผยแววตาเย็นเยียบอำมหิต
ถึงแม้ว่าต้วนหลิงเทียนจะยังไม่มา แต่ในใจมันก็บังเกิดความกระหายนัก
มันตกลงสู่หนทางแห่งมารเพราะแรงแค้นที่มีต่อต้วนหลิงเทียน มันคิดเอาชนะอยู่เหนือต้วนหลิงเทียนให้จงได้!
หากต้วนหลิงเทียนตกตายไปนั่นก็จะทำให้มันสูญเสียเป้าหมาย อย่างไรก็ตามมันได้เตรียมแผนสำรองเอาไว้แล้ว หากต้วนหลิงเทียนตายตกไปด้วยน้ำมือผู้อื่น มันก็จะไม่ถูกความแค้นที่มีต่อต้วนหลิงเทียนครอบงำสืบไป และเบนเป้าไปยังเฝิงฟ่านแทน!
ด้านหวงเฉิง ตอนนี้ก็ยืนรวมกับกลุ่มอาวุโสฝ่ายนอกเช่นกัน
ผิดจากอาวุโสคนอื่นนอกเหนือจากต่งชงที่มีใบหน้าหมองซึมด้วยความเสียดาย ตัวมันกลับยิ้มร่าหน้าระรื่นนัก
คะแนนอุทิศ 360,000 แต้มที่ทุ่มแทงข้างเฝิงฟ่าน วันนี้กำลังจะงอกเงยกลับมาเป็นรางวัลให้มันแล้ว!
ถึงแม้ว่าอัตราต่อรองจะต่ำ 30 ต่อ 1
อย่างไรก็ตามพอคิดถึงเรื่องที่วันเดียวกลับทำกำไรได้ 12,000 แต้ม
ใจมันย่อมเบิกบานยินดีเป็นธรรมชาติ!
“เฮ้! ศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนมานู่นแล้ว!!”
ไม่ทราบว่าเป็นใครที่มีสายตาแหลมคม มันร้องบอกออกมาทันที เมื่อเห็นร่างในชุดสีม่วงกำลังเดินมายังลานฝึกซ้อมอย่างไม่รีบไม่ร้อน
ทันใดนั้นผู้คนส่วนใหญ่ที่ยืนรอกันที่ลานฝึกซ้อมก็หันขวับไปมองต้วนหลิงเทียนเป็นสายตาเดียวกัน
“เจ้านั่นน่ะเหรอ ต้วนหลิงเทียนที่ว่า?”
ศิษย์ฝ่ายในบางคนที่ออกมาชมดูเรื่องราวสนุกสนานที่ลานฝึกซ้อมฝ่ายนอก เอ่ยออกมาด้วยความสนใจ
พวกมันไม่คิดเลยว่าศิษย์ฝ่ายนอกที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วฝ่ายนอก กระทั่งรู้กันไปถึงฝ่ายในทั้งๆที่พึ่งเข้าสำนักจันทร์จรัสแสงมาไม่นานจะแลดูอ่อนวัยถึงขนาดนี้
(ไม่ลืมนะว่าหน้าตาต้วนหลิงเทียนยังดูเหมือนคนอายุราวๆ 25)
“ต้วนหลิงเทียน!”
โจวฉีมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเยียบเย็น
มันไม่คิดไม่ฝันเลยว่ามดที่อยู่นอกสายตามันวันนั้นเมื่อครึ่งปีกว่าที่แล้ว ถึงขั้นที่มันคร้านจะลงมือฆ่าให้เสียมือด้วยซ้ำ กลับมีพรสวรรค์ทั้งยังเติบโตขึ้นมาด้วยความเร็วอันน่ากลัวขนาดนี้
หากสามารถย้อนเวลากลับไปเมื่อครึ่งปีกว่าที่แล้วได้ มันจะฆ่ามดกระจ้อยตัวนั้นให้สิ้นเรื่องสิ้นราว ป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า
อย่างไรก็ตามพอคิดถึงเรื่องที่ว่าหลังจากผ่านวันนี้ไป มันจะไม่มีหนามตำใจอย่างต้วนหลิงเทียนอีก โจวฉีก็เต็มไปด้วยความสุข
“โจวฉี?”
ถึงแม้ว่าจะมีผู้คนมากมายบนลานฝึกซ้อม แต่ต้วนหลิงเทียย่อมจับสัมผัสถึงสายตาอาฆาตที่มองมาได้ทันที เขาเห็นโจวฉีได้ในเวลาอันสั้น อดไม่ได้ที่ใจจะคิดไปอย่างเย็นเยียบ ‘คอยดูให้ดี…ว่าข้าจะมอบของขวัญอะไรให้เจ้า!’
กว่าครึ่งปีที่แล้วฉากที่โจวฉีบุกมาฆ่าคนอย่างอุกอาจในจวนเจ้าเมืองชงซัน ทั้งภาพที่อีกฝ่ายทำร้ายฟางฮุ่ยยังคงตราตรึงสดใหม่ในใจ
วันนั้นอีกฝ่ายเหลือบแลเขาไม่ต่างอะไรจากมด ที่กระทั่งจะบี้ยังไม่อยากลงมือให้เสื่อมเสีย ทว่าขอเวลาอีกสักปี เขาเชื่อมั่นว่าจะขยี้มันกลับได้!
เพราะหากให้เวลาเขา 1 ปี ในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติก็เทียบได้กับ 3 ปี!
‘สารเลว! เจ้ากล้าดียังไง!!’
เมื่อได้เห็นสายตาที่เหลือบมองสวนมาราวกับไม่นับว่ามันเป็นตัวอะไรของต้วนหลิงเทียน โจวฉีถึงกับของขึ้นทันที สีหน้ายังบิดเบี้ยวคล้ายพึ่งเคี้ยวถูกแมลงวัน!
ถึงแม้ว่าต้วนหลิงเทียนจะแสดงพรสวรรค์อันร้ายกาจออกมาเพียงใด แต่ในสายตาโจวฉี ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็ยังเหมือนมดเมื่อครึ่งปีกว่าที่แล้วอยู่ดี!
ทว่าวันนี้มดตัวนั้นกลับหาญกล้ามองมันด้วยสายตาโอหังถือดีเช่นนั้นเหรอ!?
จังหวะนี้อดไม่ได้ที่โจวฉีจะมีโมโหนัก!
“ศิษย์น้องฟ่านข้าหวังว่าก่อนที่เจ้าจะฆ่ามันให้ตาย! เจ้าจะทรมานมันให้เจ็บปวดถึงที่สุด..เอาให้มันร้องขอความตายได้ยิ่งดี!!”
สูดลมหายใจเข้าลึกๆรอบหนึ่ง โจวฉีพลันมองไปยังเฝิงฟ่านที่ยืนรออยู่กลางลานฝึกซ้อม ค่อยส่งเสียงผ่านปราณแท้ไปด้วยความอาฆาต
เมื่อได้ยินเสียงผ่านปราณของโจวฉี เฝิงฟ่านก็ลืมตาขึ้นมาทั้งพยักหน้า
ขณะเดียวกันต้วนหลิงเทียนก็ค่อยๆเดินมาตามหนทางที่เหล่าศิษย์แหวกออกให้เดินสะดวกอย่างไม่รีบไม่ร้อน ไม่นานก็มาหยุดยืนเผชิญหน้ากับเฝิงฟ่านด้วยท่าทางเฉยเมย
“ต้วนหลิงเทียน?”
เฝิงฟ่านโค้งคิ้วขึ้นกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงไถ่ถาม ขณะกล่าวหัวมันยังเชิดขึ้น สายตาเหลือบมองลงทำราวกับชนชั้นสูงที่กำลังกล่าววาจากับผู้ที่ต้อยต่ำกว่า
“เฝิงฟ่าน?”
ต้วนหลิงเทียนไม่ตอบคำเฝิงฟ่าน เพียงมองถามสวนกลับสายตาที่ส่งไปก็คล้ายมองขี้ข้าคนหนึ่ง ที่ได้แต่วิ่งเต้นตามคำผู้อื่น
“เฮอะ! กว่าเจ้าจะมาได้ช่างสายยิ่งนัก…ข้านึกว่าเจ้าขลาดกลัวจนหลบหนีไปแล้ว!”
เฝิงฟ่านขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ ค่อยกล่าวค่อนแคะออกมาด้วยความรังเกียจ
“ข้ามาสาย?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเฉยเมย โค้งคิ้วกล่าวถามด้วยสีหน้าราวมองตัวโง่งม “จำได้ว่าเจ้าบอกให้ข้ามาที่ลานฝึกซ้อมวันนี้เฉยๆ แต่ไม่ได้ระบุเวลาอะไรที่แน่ชัดออกมานี่..ถ้างั้นก็ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ข้ามาถึงเกือบเที่ยงวันด้วยซ้ำ ให้ข้ามาถึงมืดค่ำดึกดื่นก่อนเที่ยงคืน ก็ยังไม่นับว่าผิดคำนัดหมายอะไรของเจ้า…”
“ปากดีนักนะ…! ข้าหวังว่าพลังฝีมือของเจ้าจะดีเลิศเหมือนปากเล่ายามประลอง!”
เฝิงฟ่านกล่าวคำเย้ยเยาะ
“อา…ข้าไม่ทำให้เจ้าผิดหวังหรอก”
เสียงต้วนหลิงเทียนยังคงสงบนิ่งเฉยเมยคล้ายไม่ได้นำพาอะไรเฝิงฟ่าน ใบหน้ายังคงสงบราวไม่หวั่นแม้ขุนเขาจะถล่มลงตรงหน้า
“ข้าสงสัยนักว่าเจ้าไปพกพาความมั่นใจมากจากที่ใด! ถึงได้หาญกล้ารับสารท้าประลองเป็นตายของข้าเฟิงฝ่านแบบนี้! อย่างไรเสียข้าก็นับว่าเจ้ามีวาสนาอันดีอยู่บ้างที่ได้ตายด้วยมือข้า”
เฝิงฟ่านกล่าวออกเสียงเรียบ “หลังเจ้าตกตายไปจงจดจำเอาไว้เสียให้ดี…ว่าคนที่ฆ่าเจ้าคือผู้ที่จะกลายเป็นยอดฝีมือขอบเขตเซียนในภายภาคหน้า! หากเจ้าคิดเช่นนี้ในนรก ก็คงพอจะปลอบใจเจ้าได้บ้าง…แพ้ผู้ที่แข็งแกร่งอย่างข้าก็ไม่ต้องละอายใจอะไรไป!”
“ผู้ที่จะกลายเป็นยอดฝีมือขอบเขตเซียนงั้นเหรอ..นั่นต้องดูก่อนว่า นำหน้าอย่างเจ้าจะมีปัญญาอยู่รอดไปบ่มเพาะให้ถึงขอบเขตเซียนรึเปล่า…”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบคำกลับไปอย่างไม่น้อยหน้า วาจายังตัดทางอย่างไร้ปราณี
เนื่องจากยืนยันได้แน่แล้วว่าเฝิงฟ่านสมควรเป็นคนของหลิวฮ่วนแน่ๆ ในเมื่ออีกฝ่ายถูกส่งมาเอาชีวิตเขา เช่นนั้นเขาก็ไม่คิดจะไว้หน้าเกรงใจอะไรมัน…เพราะถึงเขาไว้หน้ากล่าววาจากับมันดีๆ มันยังจะล้มเลิกความคิดฆ่าเขารึไง?
ตาต่อตาฟันต่อฟัน!
วาจาคมดั่งมีดดาบ!
หลังจากปะทะฝีปากกันไปเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าต้วนหลิงเทียนเป็นฝ่ายเหนือกว่า
“เฮอะ! เลิกพล่ามเหลวไหลได้แล้ว…จักอย่างไรเสียเจ้าก็หนีความจริงที่ต้องตกตายวันนี้มิพ้น!”
ดูเหมือนจะรู้ตัวว่ากล่าวไปก็ไร้ความหมาย เฝิงฟ่านก็ไม่อยากตีฝีปากกับต้วนหลิงเทียนอีกต่อไป สิ้นคำทั่วร่างก็ปรากฏม่านพลังสีทองออกมาฉาบคลุมเอาไว้ทั่วกายทันที!
คนทั้งคนคล้ายถูกม่านผ้าอาภรณ์สีทองคลุมกายอย่างไรอย่างนั้น
“นี่มัน…”
เห็นภาพนี้ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจอยู่บ้าง
เพราะสิ่งที่อีกฝ่ายสำแดงออกมานั้น…มันกลับละม้ายคล้าย ‘อาภรณ์เงิน’ ที่เขาฝึกฝน รวมไปถึงอาภรณ์ทองแดงที่เขาเคยฝึกฝนมาก่อน!!
1450 ปะทะเฝิงฟ่าน!
“นั่นคืออาภรณ์ทอง!”
“อาภรณ์ทองที่เป็นวรยุทธ์ต่อยอดของอาภรณ์เงินน่ะหรือ…วรยุทธ์สายป้องกันระดับมนุษย์โดดเด่น หนึ่งในไม่กี่ชนิดที่สำนักจันทร์จรัสแสงของพวกเรามี!”
“สวรรค์! ข้ามิคิดเลยว่าศิษย์พี่เฝิงฟ่านจะฝึกฝนวรยุทธ์ระดับมนุษย์โดดเด่นเช่นนี้ด้วย!”
……
ขณะที่ม่านพลังเริ่มคลุมครอบร่างเฝิงฟ่านเอาไว้จนราวกับสวมใส่อาภรณ์ทองคำ เหล่าศิษย์ฝ่ายนอกก็เริ่มส่งเสียงกู่ร้องกันดังลั่นไปหมด
ถึงแม้ว่าพวกมันจะรับทราบกันมาก่อนแล้วว่าพลังฝีมือเฝิงฟ่านนั้นสูงส่งถึงขั้นติดอันดับในรายนามปฐพี แต่พวกมันหลายคนก็ไม่เคยเห็นยามที่เฝิงฟ่านลงมือจริงๆจังๆมาก่อน
และคนที่เคยเห็นเฝิงฟ่านลงมือ ก็ใช่ว่าจะเคยเห็นมันใช้อาภรณ์ทองแบบนี้
‘อาภรณ์ทอง? วรยุทธ์ต่อยอดจากอาภรณ์เงินงั้นเหรอ?’
ได้ยินเสียงสนทนาอื้ออึงโดยรอบ ต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจได้ทันทีว่ากำลังเจอกับอะไร
แต่แม้จะเข้าใจก็ยังอดไม่ได้ที่จะตกใจอยู่บ้าง ‘อาภรณ์ทองนั่นมันเป็นวรยุทธ์ระดับมนุษย์โดดเด่น…ที่ข้ารู้มา คิดเรียนวรยุทธ์เซียนระดับมนุษย์โดดเด่นในสำนักจันทร์จรัสแสง ค่ายืมป้ายเซียนดูรอบนึงมันก็ปาเข้าไป 300,000 คะแนนอุทิศแล้วนี่นา…!’
‘แถมจากระดับพลังของอาภรณ์ทองที่เฝิงฟ่านนั่นใช้ออก สมควรบรรลุขั้นตอนความสำเร็จอย่างน้อยๆก็ขั้นที่ 2…นั่นหมายความว่าอย่างน้อยๆมันก็ต้องดูป้ายเซียนไปแล้ว 2 ครั้ง…600,000 คะแนนอุทิศงั้นเหรอ?’
พอคิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะเม้มปาก ดูท่าทุนทรัพย์ของเฝินฟ่านจะเหนือล้ำกว่าศิษย์ฝ่ายนอกด้วยกันไปไกลโพ้นจริงๆ!
ยังเทียบได้กระทั่งผู้ดูแลฝ่ายนอกกับเหล่าอาวุโส!
ต้องทราบด้วยว่าต้วนหลิงเทียนพึ่งเป็นเจ้ามือเปิดโต๊ะรับแทงเดิมพันอยู่เมื่อไม่กี่วันก่อน ด้วยจำนวนศิษย์ฝ่ายนอกที่แห่กันมาแทงอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง ทำให้เขาประมาณจำนวนคะแนนอุทิศที่ทั้งหลายมีกันอยู่ได้บ้างคร่าวๆ
แน่นอนว่าศิษย์ฝ่ายนอกที่มาแทงนั้นไม่มีชนชั้นสูง อย่างอันดับ 5 แบบเฝิงฟ่าน กระทั่งติดอันดับในรายนามปฐพีแบบนี้
‘แต่อาภรณ์ทองแล้วจะยังไง อาภรณ์เงินข้าฝึกจนบรรลุขั้นตอนไร้ตำหนิแล้ว นั่นก็เทียบได้กับอาภรณ์ทองในขั้นที่ 3!’
‘ยิ่งไปกว่านั้นรากฐานร่างกายข้าแข็งแกร่งกว่ามาก ยามใช้อาภรณ์เงินพลังที่เพิ่มมาก็ย่อมมากขึ้นเป็นธรรมดา!’
สำหรับความทรหดอดทนและความแข็งแกร่งทางกายภาพของร่างกาย เป็นอะไรที่ต้วนหลิงเทียนค่อนข้างมั่นใจนัก
ร่างกายของเขาแข็งแกร่งไม่ใช่ชั่ว! จากที่ผู้เฒ่าหั่วกล่าว ไม่เพียงจะเหนือกว่ามังกรเทพยาดา 6 กรงเล็บ ยังเทียบได้กับมังกรเทพยาดา 7 กรงเล็บแล้วด้วยซ้ำ!
ในแง่ของการป้องกันทางกายภาพ เฝิงฟ่านไม่มีทางสู้เขาได้เลย!
แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนรู้ดีว่าที่เฝิงฟ่านสำแดงอาภรณ์ทองออกมาแบบนี้ไม่ใช่เพราะหวังพึ่งพลังป้องกันถ่ายเดียว อีกฝ่ายยังคิดใช้อำนาจเพิ่มพูนพลังกายของตัวบทวรยุทธ์อีกด้วย!
เพราะไม่ว่าจะเป็นอาภรณ์ทองแดง อาภรณ์เงินยามสำแดงออก ไม่เพียงแต่จะเสริมสร้างพลังป้องกันอย่างยิ่งยวด ยังเสริมสร้างสมรรถภาพทางกายของผู้ใช้อย่างมากอีกด้วย!
ในฐานะที่เป็นวรยุทธ์ต่อยอดของอาภรณ์เงิน อาภรณ์ทองย่อมเหมือนกันตามธรรมชาติ
แน่นอนว่าระดับที่ต่างกันผลลัพธ์ในการเสริมเพิ่มก็ย่อมต่างกันไป
แต่แน่นอนว่าสิ่งสำคัญที่ส่งผลให้วรยุทธ์ทวีความร้ายกาจที่สุดก็ยังคงเป็นรากฐานของร่างกาย
ณ จุดนี้ เฝิงฟ่านไม่อาจเทียบต้วนหลิงเทียนได้เลย!
ต่อให้เฝิงฟ่านจะฝึกฝนอาภรณ์ทองจนบรรลุขั้นตอนไร้ตำหนิ แต่สิ่งที่อาจจะมีเปรียบต้วนหลิงเทียนก็เป็นแค่ม่านพลังป้องกันรอบนอกของตัวบทวรยุทธ์เท่านั้น
หากแต่สมรรถภาพทางกายที่เพิ่มพูนขึ้น เรียกว่าไม่คู่ควรให้ต้วนหลิงเทียนเหลือบแลด้วยซ้ำ ความแตกต่างมันมากเกินกว่าจะนำมาเทียบกันได้
ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะจะอย่างไรร่างกายของเฝิงฟ่างก็ยังเป็นแค่มนุษย์คนหนึ่งเท่านั้น!
ทว่าความแข็งแกร่งทางกายภาพของร่างกายต้วนหลิงเทียน มองผ่านทั่วทั้งดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าตอนนี้เกรงว่าคงไม่มีสิ่งใดเทียบได้ ในด่านพลังเดียวกันให้เป็นสัตว์เซียนหรือสัตว์ร้ายที่น่ากลัวและแข็งแกร่งที่สุด ก็ยังไม่แข็งแกร่งขนาดนี้
การมาแสดงความแข็งแกร่งทางร่างกายต่อหน้าต้วนหลิงเทียน ก็ไม่ต่างใดจากควงขวานต่อหน้าหลู่ปัน หรือรำดาบต่อหน้ากวนกง!
“ต้วนหลิงเทียนข้าต้องบอกเลยว่าเจ้านับว่ามีโชคนัก…เจ้ารู้หรือไม่ว่าหลังจากข้าติดอันดับในรายนามปฐพีก็ไม่เคยประมือกับศิษย์ฝ่ายนอกคนใดอีกเลย…วันนี้เจ้าจักได้ตายด้วยน้ำมือข้า นับว่าเป็นเกียรติของเจ้านัก”
ทันใดนั้นปรากฏดาบผุดจากความว่างเข้ามือเฝิงฟ่าน เป็นดาบที่แลดูไร้คมและยังเล่มใหญ่เป็นพิเศษ!
มันไม่ใช่ดาบใหญ่ธรรมดาๆ ความหนาของมันแลดูประหนึ่งแผ่นเหล็กทำประตูยาวเสียยิ่งกว่าความสูงของผู้คนทั่วไป…เกรงว่าให้ไม่ใช่ผู้ที่ชำนาญการใช้ดาบใหญ่จริงๆ คงไม่อาจแกว่งไกวศาสตราวุธที่ใช้งานยากเช่นนี้ได้
อย่างไรก็ตามดาบใหญ่นั่นยามอยู่ในมือเฝิงฟ่านกลับถูกแกว่งไกวคล่องแคล่วราวไร้น้ำหนัก
“ตางอย่างมีเกียรติ?”
ต้วนหลิงเทียนแค่นคำเย้ยหยันออกมา “เกียรติพรรค์นั้นให้เจ้าไปคนเดียวเถอะ!”
“ศิษย์น้องฟ่านอย่าได้ไปต่อปากต่อคำอันใดกับมันให้เสียเวลา ฆ่ามันเสีย!!”
พอเสียงผ่านปราณแท้ของโจวฉีดังขึ้นในหู ลูกตาเฝิงฟ่านฉายแววจริงจังขึ้นมาทันใด ยังคล้ายมีประกายสายฟ้าแลบลั่นขณะมองเขม็งไปยังต้วนหลิงเทียน!
ฟุ่บ!
วินาทีต่อมาร่างคนก็เคลื่อนไหว!
ในตาซ้ายของต้วนหลิงเทียน เฝิงฟ่านนั้นถือดาบมหึมาที่ยาวกว่าความสูงของตัวเองนั่นด้วยมือข้างเดียว ทว่ากลับพุ่งร่างทั้งฟาดดาบลงมาปานมหาพายุ!
อีกทั้งยามร่างเฝิงฟ่านโจนทะยานเข้ามายังทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกแปลกประหลาดประการหนึ่ง…
เพราะตอนนี้สภาวะร่างของเฝิงฟ่านมันประหนึ่งวิหกยักษ์อย่างต้าเผิง!
“เผิงทะยานผ่าน 9 สวรรค์!”
ทันใดนั้นเสียงคำรามหนึ่งก็ดังขึ้นเข้าหูต้วนหลิงเทียน เป็นศิษย์ฝ่ายในที่อยู่ไม่ไกลโจวฉีประกาศนามวรยุทธ์ท่าร่างที่เฝิงฟ่านสำแดงออกมา มันเป็นวรยุทธ์เซียนระดับมนุษย์โดดเด่นเช่นเดียวกันกับอาภรณ์ทอง!
‘ไม่น่าแปลกใจที่การเคลื่อนไหวของมันแลละม้ายคล้ายต้าเผิง…ที่แท้มันฝึกวรยุทธ์ท่าร่างที่เรียกว่าเผิงทะยานผ่าน 9 สวรรค์อะไรนั่น นี่เอง..’
ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าว
“ต้วนหลิงเทียน รับดาบข้าเสีย!”
เฝิงฟ่านที่ ทะยานมาทางต้วนหลิงเทียนไม่ทันไรก็บรรลุถึงมันคำรามสนั่น ทั่วดาบปรากฏแสงสีฟ้าเปล่งประกายเรืองรองออกมาน่ากลัว เหวี่ยงฟาดมาทางต้วนหลิงเทียนอย่างเกรี้ยวกราด!
จังหวะนี้ด้านต้วนหลิงเทียนที่เห็นเฝิงฟ่านฟาดดาบใหญ่มา ดาบใหญ่ที่ว่าก็ไม่คล้ายดาบใหญ่สืบไป! หากแต่เป็นขุนเขาสูงตระหง่านลูกหนึ่ง!!
ดาบใหญ่ไร้คมเล่มเขื่องฟาดมาดั่งมหาพายุถล่มทับต้วนหลิงเทียนไม่ต่างใดจากขุนเขามหึมา!
ปง! ปง! ปง! ปง!
……
ยามดาบใหญ่ฟาดมา เสียงแตกระเบิดของอากาศก็ดังกระหึ่มสนั่นกึกก้อง! ตัวดาบยังวูบลงมาฉับไวประหนึ่งตกหลุมอากาศ!!
และตอนนี้ศีรษะของต้วนหลิงเทียนก็เป็นเป้าหมายของดาบที่วูบตกลงมานั่น!!
“ประทับไท่ซาน!”
ศิษย์ฝ่ายในอีกคนที่ติดตามมาชมดูเรื่องราวก็อุทานออกมาเมื่อเห็นกระบวนท่าจู่โจมนี้ของเฝิงฟ่าน มันเป็นวรยุทธ์เซียนระดับมนุษย์โดดเด่นเช่นเดียวกันกับ อาภรณ์ทองและเผิงทะยานผ่าน 9 สวรรค์!
แก่นแท้ของวรยุทธ์เซียนสายจู่โจมนี้ก็คือ พลังอันแข็งกร้าว!
ยามวรยุทธ์สำแดงพลังอำนาจ ไม่ว่าศาสตราใดที่เหวี่ยงฟาด พลานุภาพประหนึ่งขุนเขาไท่ซานถล่มทับ!
“แล้วมันรับยากนักรึไง?”
เผชิญหน้ากับดาบที่ฟาดมาอย่างน่ากลัวของเฝิงฟ่าน ต้วนหลิงเทียนเพียงกล่าวถามออกไปอย่างไม่ยี่หระ พริบตานั้นเกาทัณฑ์ดับตะวันพร้อมศรพลังมีสภาพจากปราณแท้พลันผุดโผล่ขึ้นจากความว่าง มือขยับยิงศรออกไปฉับไว ศรพลังพุ่งทะยานออกไปคล้ายดาวตกแล่นวาบผ่านฟ้าในยามค่ำคืน!
ดาวตกพิฆาต!
มองไปพิกลนัก ขุนเขามหึมาถล่มโถมลงจากฟ้าปะทะหักหาญกับดาวตกน่ากลัวที่พุ่งทะยานขึ้นมาจากผืนดิน!
เปรี๊ยงงงง!!
เสียงดังสนั่นยามปะทะกันกึกก้องออก คลื่นพลังสะท้อนอันน่ากลัวก่อให้เกิดคลื่นกระแทกอันน่าเกรงขามกำจายออกไปเป็นวง นำพาให้ชุดเสื้อผ้าของเหล่าศิษย์ที่ห้อมล้อมรอบๆลานฝึกซ้อมถึงกับสั่นไหวกระเพื่อม ศิษย์ฝ่ายนอกที่อ่อนด้อยยังถึงกับถอยครูดไปเป็นทาง!
ศรพลังมีสภาพของต้วนหลิงเทียน ทำให้ดาบใหญ่สะท้านสะเทือนไปวูบหนึ่งถึงขั้นผงะถอยร่นไปเล็กน้อย ก่อนที่พลังจะสิ้นสูญ ดอกศรสลายหาย
“ตั๊กแตนคิดหยุดรถม้า!!”.
ถึงแม้ว่าจะประหลาดใจกับพลังอำนาจของดอกศรที่อยู่ๆก็ยิงออกมาอย่างกะทันหันของต้วนหลิงเทียนอยู่บ้าง แต่เฝิงฟ่านย่อมไม่พลาดโอกาศถากถางหลังจากทำลายศรพลังได้อย่างหมดจด ดาบใหญ่ในมือที่ชะงักไปวูบหนึ่งพลันฟาดถล่มลงมายังศีรษะต้วนหลิงเทียนอีกรอบ!
แน่นอนว่าการฟาดทับลงมาหลังจากที่ถูกกระแทกจนถอยร่น สภาวะทั้งพลังทำลายย่อมถดถอยลงไปอยู่บ้าง
อย่างไรก็ตามเฝิงฟ่านมั่นใจนัก
ว่าดาบนี้จะทุบฟาดศีรษะต้วนหลิงเทียนจนแหลกเหลวสมองไหล ก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะทันได้ยิงศรที่สองอะไร
“ตั๊กแตกคิดหยุดรถม้าเป็นใคร มันก็ไม่แน่นักหรอก…”
ต้วนหลิงเทียนแสยะยิ้มอย่างเฉยเมย ทันใดนั้นเกาทัณฑ์ที่ถืออยู่ก็หายไปในอากาศ พริบตาต่อมาเท้าซ้ายสืบออกไปครึ่งก้าว หมัดขวากำแน่นจนกระดูกลั่นเปรี๊ยะ ร่างบิดดั่งพายุใต้ฝุ่น ข้อต่อทุกส่วนเหวี่ยงหมุนส่งแรง ยิงหมัดออกไปดั่งกระสุนปืนใหญ่!
ฉากเรื่องราวนี้ทำให้สมองผู้คนคล้ายเลอะเลือนไปชั่วขณะ
ต้วนหลิงเทียนลงมือเช่นนั้น…ใช่คิดใช้หมัดเปล่าเปลือยรับดาบใหญ่ของเฝิงฟ่านหรือไร?
แม้สภาวะทั้งพลังดาบของเฝิงฟ่านจะถดถอยไปอยู่บ้าง แต่นั่นยังใช่อะไรที่ท่านใช้หมัดลุ่นๆทานรับได้หรือ?
“ตัวโง่งม!!”
โจวฉีหัวร่อเบาๆ คล้ายเห็นภาพมือต้วนหลิงเทียนแหลก ทั้งดาบเฝิงฟ่านฟาดถล่มต้วนหลิงเทียนจนสมองระเบิดตัวแตก!
‘ไอ้เจ้าบ้าต้วนหลิงเทียนนั่น…ศาสตราเซียนมันก็มีแต่ทะลึ่งไม่ใช้! นี่มันรนหาที่ตายรึไง!?’
เยี่ยหมานขมวดคิ้ว
ใบหน้าหวงเฉิง อาวุโสฝ่ายนอกยังเผยรอยยิ้มแฉ่งออกมา คล้ายเห็นคะแนนอุทิศ 12,000 แต้มกำลังกวักมือเรียกหาอยู่ไวๆ
“หาที่ตาย!!”
เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนคิดใช้หมัดลุ่นๆรับดาบมัน เฝิงฟ่านก็แสยะยิ้มเย้ยหยันแค่นคำดูแคลนออกไปอย่างสมเพช ต้องทราบว่ากระทั่งตัวตนระดับสู่เซียนขั้นต้นทั่วไป ยังไม่กล้ารับการโจมตีของมันตรงๆด้วยซ้ำ!
“ในเมื่อเจ้าอยากตายนัก ข้าจะส่งเจ้าไปตามทางของเจ้า!!”
ดาบมหึมาในมือเฝิงฟ่านถล่มทับลง แม้จะไม่ทรงพลังเท่ากับดาบก่อนหน้า แต่ก็ยังน่ากลัวประหนึ่งขุนเขาถล่ม ยิ่งมายิ่งคล้ายจะสยบได้ทุกสิ่งในฟ้าดิน ปิดฟ้าบังตะวัน!
ทว่าเผชิญกับดาบใหญ่ที่ลงมือสืบต่ออย่างน่ากลัว ต้วนหลิงเทียนก็ยังชกสวนออกไปอย่างไร้ลังเล
ทว่ายิ่งหมัดพุ่งทะยานแหวกอากาศออกมาเท่าไหร่ ตัวหมัดยิ่งคล้ายเอ่อล้นไปด้วยมวลพลัง บัดนี้พุ่งออกมากว่าครึ่งทาง ตัวหมัดก็ฉาบทับไปด้วยม่านพลังสีเงินเรืองรองๆคล้ายมีผ้าสีเงินโปร่งแสงคลุมทับไว้ก็ไม่ปาน
เป็นอาภรณ์เงินที่บรรลุขั้นตอนไร้ตำหนิ!
เมื่ออาภรณ์เงินสำแดงออกเต็มกำลัง ศักยภาพในร่างกายของต้วนหลิงเทียนก็คล้ายถูกปลดปล่อยออกมาเต็มพิกัด พลังกายอันดิบเถื่อนระเบิดออกมาเต็มกำลัง!
หากไม่มีม่านพลังโปร่งแสงสีเงินฉาบคลุมอยู่ล่ะก็ ตอนนี้ทุกผู้คนคงแลเห็นชัดเจน ว่าหมัดรวมทั้งแขนของต้วนหลิงเทียนปรากฏเส้นเลือดขอดทั้งกำลังสั่นไหวเบาๆ อัดแน่นไปด้วยพลังมหาศาล!
และหากยามนี้มีมือดีมาถอดเสื้อต้วนหลิงเทียนล่ะก็ คงได้เห็นมัดกล้ามใต้ร่มผ้าที่ปูดพองออกมาจนแทบปริ!
“อยู่!!”
ขณะที่ใบหน้าเฝิงฟ่านทอแววอำมหิต ดาบใหญ่เจียนบรรลุถึงตัวหมัดเต็มที ต้วนหลิงเทียนพลันคำรามออกเสียงดัง ม่านพลังสีเงินที่ฉาบคลุมหมัดคล้ายจะเปล่งแสงเรืองสว่างขึ้นมา ปราณแท้คล้ายทะลักออกมาท่วมหมัด จนมองไปคล้ายมังกรสมุทรทะยานโผล่พ้นลำน้ำ!
มังกรสมุทรนั่นพุ่งทะยานแหวกคุ้งน้ำ ผ่าอากาศปะทะต้านทานกับดาบเล่มเขื่องที่ฟาดลงมาด้วยสภาวะเกรี้ยวกราด เสียงสนั่นปานมรสุมบังเกิด!
ตูมมม!
เปรี๊ยงงง!!
เสียงกระหึ่มดังออก 2 สำเนียง ก่อนมีคลื่นกระแทกกวาดซัดออกมา 4 ทิศ 8 ทาง! ณ จุดศูนย์กลางการปะทะ มวลอากาศยังคล้ายบิดเบือนปานความว่างแตกระเบิด!!
การปะทะดังกล่าวย่อมก่อให้เกิดคลื่นกระแทกอันน่ากลัว แม้ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าจะมีสนามพลังโน้มถ่วงแข็งแกร่ง แต่ครั้งนี้ยังไม่อาจลดผลกระทบได้หมดสิ้น
ผู้ฝึกตนไม่ว่าจะยุทธ์หรือเต๋าขอเพียงมีด่านพลังฝึกปรือบรรลุหลุดพ้นมนุษย์ขั้นยิ่งใหญ่สามารถเห็นได้ชัดถึงคลื่นกระแทก ที่ซัดออกมาเป็นวง แหวกฟ้าผ่าอากาศกวาดสาดมาทั่วสารทิศ!
และเสี้ยวพริบตาวงคลื่นกระแทกดังกล่าวก็ซัดกวาดมาถึงตัวพวกมัน!
1451 อาคมเซียน!
ผู้ชมทั้งหลายเพียงโคจรพลังต้านทานเล็กน้อย และปล่อยให้ชุดเสื้อกระพือสะบัดไปอย่างไม่สนใจอะไร สายตาเพียงจับจ้องมองไปยังจุดศูนย์กลางการปะทะไม่วางตา
คลื่นลมที่กวาดซัดออกมา นำพาให้ฝุ่นดินในลานฝึกซ้อมคลุ้งขึ้นเล็กน้อย ไม่นานก็ค่อยๆสงบลง
ต่อมาภายใต้สายตาของทุกคน ต้วนหลิงเทียนที่ยิงหมัดซัดปะทะกับดาบใหญ่ ร่างผงะถอยไป 2 ก้าวค่อยหยุดลง แก้มขึ้นสีแดงเรื่อเล็กน้อย
กลับกันด้านเฝิงฟ่านมีเพียงดาบใหญ่ที่กระเด็นถอยไป ทว่าไม่ทันที่มันจะได้จรดพื้นด้านหลัง เฝิงฟ่านก็รั้งดาบเอาไว้และกลับมาคอนชี้ออกข้างไว้อย่างเข้มแข็ง สีหน้ามันเริ่มขึ้นสีเขียวซีดบางๆ หากแต่สองเท้ายังปักหลักนิ่งกับที่ไม่ไหวติง
แน่นอนว่ามีผู้คนแค่ไม่กี่คนที่สามารถสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปแค่เล็กน้อยของมันได้…
ทั้งหมดเพียงชมมองท่าร่างกับการเคลื่อนไหวของมัน
“ดูเหมือนว่าศิษย์พี่เฝิงฟ่านจักมีเปรียบเล็กน้อยสินะ!”
“เหอะ! กล้ารับดาบใหญ่ของศิษย์พี่เฝิงฟ่านด้วยหมัดเปล่าเปลือยไร้ศาสตรา! มันรนหาที่ตายชัดๆ!!”
“ปะทะกันตรงๆเช่นนี้ ก็รู้ได้ทันทีว่าผู้ใดแข็งแกร่งกว่ากัน! ศิษย์พี่เฝิงสมแล้วที่เป็นแบบอย่างชั่วชีวิตของข้า!!”
……
ศิษย์ฝ่ายนอกมากมายมองเฝิงฟ่านด้วยใจเคารพบูชา สายตาทั้งหลายรุ่มร้อน ปากเจรจาไม่หยุด
แน่นอนว่าศิษย์ฝ่ายนอกเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ที่ชื่นชมเฝิงฟ่านจนหน้ามืดตามัว…
“เหอะๆ…ข้าตาฝาดไปหรือไม่? ศิษย์พี่ต้วนไม่ได้ใช้ศาสตราเซียนอันใด แต่เพียงเสียเปรียบศิษย์พี่เฝิงแค่เล็กน้อยงั้นเหรอ…งั้นถ้าไม่ใช้ศาสตราเซียน ไม่ใช่ว่าศิษย์พี่เฝิง…”
“นั่นสิ นี่ศิษย์พี่ต้วนแข็งแกร่งเกินไปหรือไม่ รับดาบใหญ่ใช้ออกด้วยวรยุทธ์แข็งกร้าวอย่างประทับไท่ซานตรงๆ แต่ยังมิบาดเจ็บอันใดเนี่ยนะ? นี่มือพี่ท่านหลอมมาจากเหล็กหมื่นปีรึไร?”
“ดูเหมือนว่าประลองเป็นตายวันนี้ ก็ไม่แน่ว่าผู้ที่ต้องตายจะเป็นศิษย์พี่ต้วนเสียแล้ว…”
……
คนที่กล่าวออกอย่างหลังล้วนเป็นศิษย์ฝ่ายนอกที่เป็นกลางไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดเป็นพิเศษ พวกมันอดไม่ได้ที่จะตกใจกับความแข็งแกร่งที่ต้วนหลิงเทียนเผยออกมาให้เห็น
เหล่าผู้ดูแลและอาวุโสฝ่ายนอก ก็ชักสีหน้าเคร่งขึ้นมาไม่น้อย
“นับว่าสมคำร่ำลือยิ่งนัก…ต้วนหลิงเทียนนั่นร้ายกาจยิ่ง!”
ศิษย์ฝ่ายในที่มาชมดูอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าด้วยความตกใจ
เฝิงฟ่านนั้นแม้จะอยู่แค่อันดับ 5 แต่ก็ได้ชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดในศิษย์ฝ่ายนอก ทั้งยังติดอันดับในรายนามปฐพี ทำให้ศิษย์ฝ่ายในบางคนก็ไม่แน่ว่าจะเอาชนะมันได้
“ปะ…เป็นไปได้ยังไงกัน!?”
เห็นฉากนี้โจวฉีกลายเป็นตื่นตระหนกไม่น้อย มันไม่คิดเลยว่าต้วนหลิงเทียนจะสามารถรับการโจมตีของเฝิงฟ่านได้ตรงๆแบบนี้!
ถึงแม้ว่าพลังดาบจะถดถอยลงไปส่วนหนึ่งจากตอนแรก ทว่านั่นก็คือพลังอำนาจที่เพิ่มพูนขึ้นมาเพราะศาสตราเซียนแล้ว!
“จึกๆๆ…ฮัยยา ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมเจ้าถึงติดอันดับในรายนามปฐพีอะไรนั่นได้! เจ้ามันความอดทนสูงจริงๆ ถึงกับยอมอดทนกล้ำกลืนขบเคี้ยวฟันแทบแตก ดีกว่าถอยหลังไปไม่กี่ก้าว…”
กลางลานฝึกซ้อม ต้วนหลิงเทียนที่กลับมามีสีหน้าปกติ พลันกล่าวออกด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ สายตายังชมมองเฝิงฟ่านปริบๆ ทำหน้าทำตาชื่นชมอยู่บ้าง
ด้วยมีเสียงต้วนหลิงเทียนดังขึ้นชี้นำเช่นนี้ ความสนใจของทุกผู้คนพลันกลับไปอยู่ที่เฝิงฟ่านทันที
“หืม? มิใช่ว่าสีหน้าศิษย์พี่เฝิงเริ่มมิค่อยสู้ดีขึ้นมาแล้วหรือไร?”
“เรื่องที่ศิษย์พี่ต้วนกล่าวมันจริงหรือไม่…นั่นศิษย์พี่เฝิงฝืนทนอยู่ แทนที่จะถอยหลังไปงั้นหรือ?”
มีคนที่เอะใจอยู่แค่ไม่กี่คน
“อั๊คคค!!”
เมื่อถูกต้วนหลิงเทียนแฉความต่อหน้าทุกผู้คน และสังเกตเห็นว่ามีคนเริ่มสงสัย กระทั่งสุดท้ายต่างก็มองมาที่มันด้วยสายตาอยากรู้ ในที่สุดเฝิงฟ่านก็รู้สึกเสมือนเลือดลมตีกลับ อดไม่ได้จำต้องกระอักออกมาคำใหญ่!
เมื่อโลหิตสาดกระจายรดพื้น ก็คล้ายความอัดอั้นได้รับการระบาย สีหน้ามันดีขึ้นเล็กน้อย
เห็นฉากดังกล่าวผู้คนก็เงียบไปปานคนตาย
จังหวะนี้หากพวกมันยังคิดว่าเมื่อครู่เฝิงฟ่านมีเปรียบ พวกมันก็ใช้ชีวิตมาได้ไร้ค่ายิ่งกว่าสุนัขแล้ว
“ต้วน! หลิง! เทียน!!”
มองต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง สายตาเฝิงฟ่านก็ปานจะกลืนกิน!
หากกล่าวว่าตอนแรกนั้นมันคิดฆ่าต้วนหลิงเทียนเพราะคำร้องขอของโจวฉีล่ะก็…
ตอนนี้มันบังเกิดความต้องการฆ่าต้วนหลิงเทียนขึ้นมาโดยส่วนตัวแล้ว หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนแฉให้มันอับอายต่อหน้าผู้คน!
ผู้ชมที่ยืนอยู่ก็ไม่ใช่ชนชั้นต่ำทราม ทั้งหลายกลับมารู้สึกตัวในพริบตา คราวนี้สายตาที่มองไปยังต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง ยังต่างจากเดิมไม่น้อย
“จะอย่างไรดาบเมื่อครู่ของเฝิงฟ่านก็มีอำนาจเพิ่มพูนของศาสตราเซียน…เรียกว่าแม้จะออกแรงเต็มที่ แต่หากไร้ศาสตราเซียน ก็ยังแข็งแกร่งมิเท่า…”
ต่งชงมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาซับซ้อน กล่าวพึมพำออกมา
วาจาของมันกล่าวอีกอย่างได้ว่า…หากไม่ใช้ศาสตราเซียน เฝิงฟ่านย่อมไม่ใช่คู่มือต้วนหลิงเทียนเลย!
เรื่องนี้ไม่เพียงแต่ต่งชงเท่านั้นที่เห็น ยังรวมถึงเหล่าผู้ดูแลและอาวุโสฝ่ายนอกอย่างหวงเฉิงอีกด้วย…โดยเฉพาะหวงเฉิง ยามนี้สีหน้ามันกลายเป็นอัปลักษณ์ปั้นยากแล้ว!
ตอนแรกมันคิดว่าเฝิงฟ่านคงต้องฆ่าต้วนหลิงเทียนได้อย่างไร้ข้อผิดพลาดใดๆ…
ทว่าจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในตอนนี้ เกรงว่าคงไม่มีความแน่นอนอะไรทั้งนั้น
คะแนนอุทิศจำนวน 360,000 แต้มของมันกำลังตกอยู่ในความเสี่ยง…มีโอกาสหายไปกับสายลม!
เหล่าอาวุโสฝ่ายนอกคนอื่นๆ อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโล่งอกและลอบพึงพอใจอยู่บ้าง ที่ไม่ได้แทงเดิมพันอะไร
หาไม่แล้วป่านนี้พวกมันคงได้เครียดกังวลเช่นกัน!
มาถึงตอนนี้พอพวกมันต่างหันมองไปยังหวงเฉิงอย่างพร้อมเพรียง พอเห็นใบหน้าเบี้ยวๆของหวงเฉิง ต่างก็อดไม่ได้ที่จะลอบสะใจเบาๆ
“นี่ๆ อาวุโสหวง…หากวันนี้ต้วนหลิงเทียนชนะขึ้นมา มิใช่ว่าคะแนนอุทิศ 360,000 แต้มของท่านจะบินหนีไปแล้วรึ…จึกๆๆ ฮัยยา ตั้ง 360,000 คะแนนอุทิศ…! แม้จะมิใช่ทั้งหมดที่ท่านมี แต่ข้าว่าสมควรเกิน 9 ส่วนใช่หรือไม่?”
อาวุโสฝ่ายนอกบางคนที่มองหวงเฉิงได้พักหนึ่งก็รู้สึกไม่พอ พลันแสยะยิ้มกล่าวออกมา
“360,000 คะแนนอุทิศ…ต่อให้เป็นท่านอาวุโสหวงเฉิงผู้ร้ายกาจ หากไม่ใช้เวลาสัก 10 รึ 20 ปี ก็คงมิอาจสะสมได้กระมัง?”
อาวุโสฝ่ายนอกอีกคนกล่าวเหน็บแนม
“พวกเจ้าอย่าได้เร่งถมหินลงหลุมนัก! สงครามยังมิจบอย่าพึ่งนับศพทหาร! สุดท้ายเรื่อราวจะลงเอยอย่างไร หรือมีผู้ใดกล้าพูดได้เต็มปาก!!”
หวงเฉิงแค่นคำกล่าวออกพร้อมยิ้มแสยะ “แล้วนี่พวกเจ้าคิดจริงๆหรือ…ว่าเฝิงฟ่านที่ติดอันดับในรายนามปฐพีได้ จักมีดีเพียงเท่านี้?”
ผู้อาวุโสฝ่ายนอกแน่นอนว่ารู้เรื่องนี้ แต่ที่มันอดไม่ได้ที่จะเหน็บแนมหวงเฉิงบ้างก็เพราะท่าทางหยิ่งยโสได้ใจของอีกฝ่ายเมื่อวาน
“พอลองมาคิดๆดูแล้ว ดูเหมือนที่ต้วนหลิงเทียนพยายามกันพวกเราจากการเดิมพัน ล้วนเป็นเพราะความเมตตาหรือไม่?”
อาวุโสฝ่ายนอกบางคนที่เงียบอยู่ ไม่นานก็นึกอะไรขึ้นได้
“ที่แท้สหายน้อยต้วนหลิงเทียนก็นับว่าใจดีไม่น้อยเลยสิ….”
อาวุโสฝ่ายนอกหลายคนพอได้ยินก็หันไปมองต้วนหลิงเทียนใหม่อีกรอบ สายตาพวกมันยังเผยความชื่นชอบขึ้นมาหลายส่วน
“พี่หวง…ข้าถามจริงนี่ท่านไปสร้างความขุ่นขึ้งอันใดให้ต้วนหลิงเทียนหรือไม่?”
อาวุโสฝ่ายนอกบางคนคนมองถามหวงเฉิงด้วยความสนใจ
“หากข้าเข้าใจมิผิด พวกเจ้าคงมิได้ใช้ทักษะวิญญาณลี้ลับอันใด ตรวจสอบพลังฝึกปรือต้วนหลิงเทียนกันใช่หรือไม่?”
ต่งชงอดไม่ได้ที่จะกล่าวถามออกมา
“ต้วนหลิงเทียนอายุน้อยกว่า 40 ปี และพลังฝึกปรือพึ่งตัดผ่านมายังหลุดพ้นมนุษย์ขั้นสมบูรณ์แบบมิใช่หรือไร? เรื่องนี้ล้วนรู้กันทั่ว ใยข้ายังต้องตรวจสอบอันใด”
“มิผิด! ข้าก็ทราบเรื่องนี้แต่แรก จะไปตรวจสอบพลังฝึกปรือเขาให้เสียมารยาททำอันใด…แม้ตอนนี้เขาจะอ่อนแอกว่าเรา แต่ด้วยศักยภาพและพรสวรรค์ของเขาจักอย่างไรก็ต้องก้าวข้ามพวกเราในสักวัน หากเป็นไปได้ข้าก็ไม่กล้าทำอันใดให้เขาขุ่นเคืองหรอก…”
“ข้าก็คิดเช่นนั้น เลยไม่กล้าตรวจสอบอะไร”
……
อาวุโสฝ่ายนอกทั้งหมดกล่าวออกมาตรงๆ ไม่มีใครกล้าตรวจสอบพลังฝึกปรือต้วนหลิงเทียนเลยสักคน
‘มิน่าแปลกใจเลยว่าไฉนเมื่อวานยามเขามองข้า สายตาถึงเต็มไปด้วยความระวังทั้งเต็มไปด้วยความเป็นปฏิปักษ์…ที่แท้ล้วนเป็นเพราะข้าตรวจสอบพลังฝึกปรือของเขาเมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง…’
ต่งชงเผยยิ้มขมออกมา
“ต้วนหลิงเทียน!”
ได้ยินวาจานี้ของต่งชง หวงเฉิงก็ขบฟันดังกรอด ตอนนี้หากมันยังไม่รู้ว่าไฉนเมื่อวานต้วนหลิงเทียนถึงจงใจให้สิทธิ์เดิมพันกับมันทั้งหมด ก็เกรงว่ามันจะอยู่มานานหลายปีอย่างเสียเปล่าแล้ว
ที่แท้ไม่ใช่เพราะต้วนหลิงเทียนคิดอยากให้คะแนนอุทิศกับมันแต่อย่างไร…
อีกฝ่ายคิดหลอกมัน!
ถึงแม้จะมีอาวุโสฝ่ายนอกมากมาย แต่อีกฝ่ายคิดเอาคะแนนอุทิศมันคนเดียว!!
“หากคิดเอาคะแนนอุทิศของข้า…อย่างน้อยๆเจ้าก็ต้องเอาชนะเฝิงฟ่านให้ได้เสียก่อน!!”
สีหน้าหวงเฉิงตอนนี้นับว่ามืดคล้ำนัก หากต้วนหลิงเทียนเอาชนะเฝิงฟ่านได้จริง นั่นหมายความว่ามันคิดจับไก่ไม่สำเร็จยังต้องเสียข้าวสารไปอีกกำมือแล้ว!!
นั่นมัน 360,000 คะแนนอุทิศเชียวนะ! หากมันเสียไปคงต้องปวดใจแทบตาย!!
ตอนนี้หวงเฉิงปรารถนาให้เฝิงฟ่านฆ่าต้วนหลิงเทียนให้ตายมากกว่าผู้ใด!
“ดูเหมือนว่าที่แท้ศิษย์พี่ต้วนจักมีพลังฝีมือสูงพอสู้กับศิษย์พี่เฝิงได้…มิน่าเขาถึงได้เปิดโต๊ะรับเดิมพัน! บัดซบเอ๊ย ข้าดันทะลึ่งคิดว่าเพราะศิษย์พี่ต้วนรู้ตัวว่ากำลังจะตายเลยคิดแจกจ่ายคะแนนอุทิศให้…”
“หมากตานี้ของศิษย์พี่ต้วนร้ายกาจยิ่ง! ข้าแทงศิษย์พี่เฝิงฟ่านไปตั้ง 3,000 คะแนนอุทิศ! หากศิษย์พี่เฝิงแพ้ คะแนนข้าปิ๋วหมดแน่!!”
“ไฉนข้าพเจ้าถึงได้โลภมากนักนะ…คิดอยากได้คะแนนอุทิศมิถึงร้อย กลับทุ่มแทงไปกว่า 2,000!”
……
เหล่าศิษย์ฝ่ายนอกที่แทงข้างเฝิงฟ่านตอนนี้สีหน้าก็เริ่มบิดเบี้ยวมิค่อยสู้ดีขึ้นมาแล้วเช่นกัน
อีกด้านนั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้ดูแลอย่างเติ้งเหว่ย หรือผู้ดูแลคนอื่นๆ ก็หน้าเครียดไม่ต่าง
พลังฝีมือที่ต้วนหลิงเทียนเผยออก นับว่าเหนือความคาดหมายของพวกมันทุกคน ทำให้พวกมันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าคะแนนอุทิศของพวกมันถูกคุกคาม และไม่ปลอดภัยอีกต่อไป!
“ระยำเอ๊ย! ไฉนต้วนหลิงเทียนมันถึงได้ร้ายกาจขนาดนี้เล่า!!”
ตอนนี้สีหน้าเติ้งเหว่ยเรียกว่าบิดเบี้ยวถึงขีดสุด! เพราะมันทุ่มแทงเดิมพันข้างเฝิงฟ่านไปด้วยคะแนนอุทิศจนแทบหมดตัว หากวันนี้เฝิงฟ่านตายไปมันก็แทบไม่เหลืออะไรแล้ว!!
เพราะคะแนนอุทิศที่เหลือไม่กี่พันนั้นไม่ได้พอยาไส้มันเลย!
แถมคะแนนอุทิศแสนกว่าแต้มที่มันใช้เดิมพันไปนั่น มันก็เก็บหอมรอมริบมาเกือบ 20 ปี!!
“ต้วนหลิงเทียน…”
เยี่ยหมายมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาซับซ้อนนัก อารมณ์ของมันสับสนปนเปไปหมด ใจหนึ่งมันก็ไม่อยากให้ต้วนหลิงเทียนตาย เพราะมันอยากเป็นคนฆ่าอีกฝ่ายกับมือ…เพื่อปลดเปลื้องความแค้นที่ครอบงำใจมันจนทำให้มันกลายเป็นมาร!
หลังจากที่มันปลดเปลื้องทั้งขจัดความแค้นที่ครอบงำใจมันได้ มันจะทะยานฟ้า!
อย่างไรก็ตามพอเห็นพลังฝีมือที่ต้วนหลิงเทียนเผยออก มันก็อดบังเกิดความคิดอิจฉาเสียไม่ได้ “เพื่อเอาชนะต้วนหลิงเทียน ข้าถึงกับยอมตกลงสู่หนทางแห่งมาร…แต่ข้าจะเอาชนะมันได้แน่หรือ?”
เป็นครั้งแรกเลยจริงๆที่เยี่ยหมานบังเกิดความคิดเช่นนี้ขึ้นมาหลังจากที่มันเลือกเดินหนทางมาร จนกลับกลายเป็นผู้บำเพ็ญมารคนหนึ่ง
“ศิษย์พี่เฝิงฟ่านสู้ๆ! ศิษย์พี่เฝิงฟ่านสู้ตาย!!”
“ศิษย์พี่เฝิงฟ่าน ท่านต้องเอาชนะให้ได้นะ!!”
“ศิษย์พี่เฝิงฟ่าน ท่านแข็งแกร่งที่สุดในฝ่ายนอก ยังติดอันดับรายนามปฐพี! เวทีนี้ท่านไร้เทียมทาน!!”
……
ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้ตัวอีกทีศิษย์ฝ่ายนอกก็กู่ร้องให้กำลังใจ ส่งเสียงกระตุ้นทั้งเอาใจช่วยเฝิงฟ่านกันใหญ่
ศิษย์ฝ่ายนอกบางคนถึงกับสองตาแดงก่ำ ตะเบ็งเสียงแทบขาดใจคล้ายรอไม่ไหวที่จะส่งแรงใจทั้งหมดที่มีไปช่วยเฝิงฟ่าน
เหตุผลที่มันมีอารมร์ร่วมอย่างหนักขนาดนี้ เพราะพวกมันทุ่มแทงข้างเฝิงฟ่านหมดตัว…
“ต้วนหลิงเทียน แม้ข้ามิรู้ว่าเป็นเพราะเจ้าคือลูกหลานของสัตว์เซียนหรือสัตว์ร้ายกันแน่ ร่างกายของเจ้าถึงได้มีพละกำลังและความแข็งแกร่งเหนือผู้คนมากมายขนาดนี้…แต่ต่อให้เจ้าจะแข็งแกร่งอย่างไร วันนี้เจ้าก็ต้องตาย!!”
ได้ยินเสียงรอบตัวที่ให้กำลังใจมัน เฝิงฟ่านก็ฮึกเหิมขึ้นไม่น้อย ทั่วกายคล้ายเต็มไปด้วยพลังเหลือล้น มันคอนดาบใหญ่ขึ้นมาชี้หน้าต้วนหลิงเทียน กล่าวออกเสียงเย็น
ในวาจาของมัน ยังเผยให้ผู้คนรับทราบชัดเจนว่าความแข็งแกร่งของร่างกายต้วนหลิงเทียนเหนือล้ำกว่าคนทั่วไป
“บางครั้งต่อให้เจ้ามั่นใจก็อย่าพึ่งด่วนตัดสินอะไรให้มันมากนัก…เพราะหากทำไม่ได้ ก็รังแต่จะสร้างความอับอายให้ตัวเองเท่านั้น”
ต้วนหลิงเทียนเพยีงยิ้มไม่แยแส กล่าวออกเสียงเรียบ
“เช่นนั้นข้าจะให้เจ้ารับทราบถึงความต่างเดี๋ยวนี้!”
เฝิงฟ่านแสยะยิ้มเย็น สายตามันแปรเปลี่ยนไป ทันใดนั้นเองคลื่นอากาศพลันพวยพุ่งออกจาก 2 เท้าปานจุดระเบิด ส่งร่างมันให้บึ่งทะยานไปทางต้วนหลิงเทียนด้วยความเร็วสูงล้ำ!
เผิงทะยานผ่าน 9 สวรรค์!
ดาบใหญ่ของมันนอกจากจะปกคลุมไปด้วยปราณแท้อันน่าพรั่นพรึงจนตัวดาบเปล่งสีฟ้าเรืองรองแล้ว ยังมีพลังลึกลับอีกขุมหนึ่งที่เริ่มแผ่ซ่านออกมา! จนทำให้กลิ่นอายพลังของดาบใหญ่แปรเปลี่ยนไปเป็นน่ากลัวกว่าก่อนหน้าอย่างเทียบไม่ติด!!
“นั่นมันอาคมเซียน!!”
เสียงอุทานของศิษย์หลายคนที่โพล่งอุทานออกมาอย่างพร้อมเพรียง ดังขึ้นเข้าหูต้วนหลิงเทียน
1452 อาคมเซียนระดับ 2 ดาว!
“อาคมเซียน?”
ต้วนหลิงเทียนพึ่งพบว่าตัวดาบใหญ่ของเฝิงฟ่านคล้ายฉาบไว้ด้วยพลังลึกล้ำแปลกปลอมขุมหนึ่งได้ไม่ทันไร เสียงอุทานของศิษย์รอบๆ ก็เฉลยความสงสัยในใจทันที
เขาเองก็มาอยู่ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าเกินปีแล้ว ย่อมเคยเห็นศาสตราเซียนที่จารึกอาคมเซียนเอาไว้อยู่บ้างในงานประมูลใหญ่ประจำปีที่ศาลาฉีเจินประจำเมืองชงซันเป็นผู้จัด
อย่างไรก็ตามอาคมเซียนดังกล่าวเป็นแค่อาคมเซียนทั่วไปอย่างอาคม ตะวันฉาย…
ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรกับพลังอำนาจของตัวศาสตรามากนัก
อย่างไรก็ตามอาคมเซียน ที่จารึกอยู่บนดาบใหญ่ของเฝิงฟ่าน สมควรมิใช่อาคมต่ำทราม! เพราะทันทีที่มันสำแดงพลังอำนาจ กลิ่นอายพลังของดาบใหญ่ก็แปรเปลี่ยนไปเป็นคนละเรื่องในชั่วพริบตา!!
ดาวตกพิฆาต!
ไร้ความลังเลใดๆ ต้วนหลิงเทียนเรียกเกาทัณฑ์ดับตะวันออกมา เร่งพลังทั่วกายจนปรากฏแสงสีเงินเรืองรอง ผนึกปราณแท้ควบแน่นดอกศร ก่อนจะขึ้นสาย!
ต่างจากก่อนหน้านี้ที่ยิงออกอย่างฉุกละหุก คราวนี้เขาจ่ายพลังสู่ดอกศรและเกาทัณฑ์เต็มเปี่ยม หมายใช้ออกด้วยดาวตกพิฆาตเต็มกำลัง!
ซึ่ม!!
ศรพุ่งทะยานออกไปดั่งเส้นแสง มองไปคล้ายดาวตกลากผ่านฟ้ายามราตรีกาล! ไม่ว่าลากผ่านที่ใดสรรพสิ่งคล้ายจะจืดจางลงทันตา!!
ทั้งโลกคล้ายหลงเหลือแต่ดอศรที่มีสีสัน!
“ประทับไท่ซาน!”
เฝิงฟ่านคำรามเสียงก้อง ดาบใหญ่ในมือคล้ายขุนเขามหึมา ฟาดถล่มใส่ดอกศรที่พุ่งมาปานดาวตกอันเปี่ยมล้นไปด้วยแสงพลังที่คล้ายจะทำให้สรรพสิ่งหม่นแสง!
ดาบที่ตบฟาดมาครานี้ เสียงระเบิดของอากาศรวมทั้งเสียงหวีดหวิวของสายลมก็ดังขึ้นหนักแน่นกว่าก่อนหน้ามากมายนัก!
เรื่องนี้ย่อมไม่ผิดเพี้ยน เพราะดาบก่อนหน้านั้นถูกศรของต้วนหลิงเทียนทำลายทั้งพลังสภาวะไปส่วนหนึ่ง ทว่าดาบนี้มันฟาดมาด้วยพลังทั้งหมด ยังมีอาคมประหลาดนั่นหนุนเสริม!
เปรี๊ยงงงงง!!
ดาบวูบตกลงมาอย่างแข็งกร้าวปานขุนเขาถล่ม ทุกที่ทางที่ดาบลากผ่านบันดาลให้ความว่างสั่นสะเทือน ไอพลังยังคล้ายจะแผ่โถมมาปิดแผ่นฟ้า นำพาให้ฟ้าที่เคยกระจ่างกลายเป็นมืดมนลงถนัดตา
ดอกศรที่ต้วนหลิงเทียนยิงออกมาด้วยพลังทั้งหมด มิคาดครานี้กลับถูกบดขยี้ทำลายจนแหลกลาญในพริบตา!
สภาวะดาบหลังจากทำลายดอกศรไปคราวนี้ เพียงชะลอตัวลงแค่เล็กน้อย…ยังเล็กน้อยเสียจนไร้สำคัญ!
เรียกว่าหลังจากทำลายศรพลังแล้ว ดาบใหญ่ยังโถมมาด้วยพลังแกร่งกร้าวไม่เสื่อมคลาย!
“ไหงเป็นงี้เล่า!?”
หน้าต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนสีทันใด
พลังที่บรรจุอยู่ในดาบของเฝิงฟ่านคราวนี้ มาได้อัศจรรย์แล้ว!
ในสายตาของต้วนหลิงเทียน การจู่โจมนี้ของเฝิงฟ่านมันน่าจะรุนแรงเหนือกว่าการโจมตีเต็มพลังของตัวตนในขอบเขตสู่เซียนขั้นต้นเสียอีก!!
“ดาบบ้านี่มันจารึกอาคมเซียนอะไรไว้กันแน่?! ทำไมมันถึงเสริมพลังได้มากขนาดนี้!”
ต้วนหลิงเทียนถึงกับตะลึงไปชั่วขณะ ดั่งคำ ร้อยถี่มีหนึ่งห่างไม่มีผิด! เขาคิดมาดีแล้วว่าพลังฝีมือของเฝิงฟ่านสมควรมีเท่าใด ทว่ากลับมีสิ่งที่เหนือคิดคาดโผล่มาเสียได้!!
อันที่จริงตอนแรกที่เขาใช้ศรพลังสลายสภาวะดาบไปส่วนหนึ่ง เขาก็สังเกตเห็นแล้วว่าดาบของเฝิงฟ่านมีลวดลายทั้งอักขระขีดเขียนเอาไว้…
ตอนนั้นเขาก็คิดไว้แล้วว่าดาบของอีกฝ่ายสมควรมีอาคมเซียนบางประการ!
ทว่าแม้จะคิดถึงเรื่องนี้ไว้ก่อนแล้ว แต่ก็ไม่คิดเลยว่าอาคมเซียนนั่นจะเสริมพลังให้ดาบของเฝิงฟ่านมหาศาลขนาดนี้
“ตายเสีย!!”
เฝิงฟ่านตะคอกเสียงอย่างดุร้าย ลูกตาฉายอำมหิตแจ่มชัด ดาบใหญ่ฟาดจี้มายังศีรษะของต้วนหลิงเทียนเจียนบรรลุ!อีกแค่ไม่ถึงคืบก็จะระเบิดสมองเขาอยู่รอมร่อ!!
เสียงเพรียกแห่งความตาย!
ในห้วงเวลาสำคัญแม้จะตกใจแต่ต้วนหลิงเทียนก็ไม่แตกตื่น ทั่วร่างโคจรพลังฉับไว จ่ายส่งไปยังสายเกาทัณฑ์ สำแดงเคล็ดวรยุทธ์จู่โจมระยะประชิดหนึ่งเดียวของวรยุทธ์เซียนมหาเกาทัณฑ์ดาวตกออกมาทันท่วงที!
เสียงระคายหูหนึ่งดังขึ้น ก่อนที่ปราณแท้ที่จ่ายส่งจะควบรวมผสานเป็นคลื่นเสียงพลังพิฆาตมีสภาพในชั่วพริบตา!
คมมีดพลังมีสภาพอันน่ากลัวซัดพุ่งออกจากสายเกาทัณฑ์ไม่หยุด จี้ตรงไปยังดาบใหญ่ถล่มซัดเข้าไปปะทะดั่งมรสุมกระหน่ำ!!
อย่างไรก็ตามดาบใหญ่ก็ไม่สิ้นสภาวะอะไร มันยังคงแหวกฝ่ามรสุมคมมีดพลังที่กระหน่ำข้ามาหาต้วนหลิงเทียน!
เปรี๊ยงงง!!
เสียงสนั่นดังขึ้นอีกรอบ ร่างต้วนหลิงเทียนที่พยายามเบี่ยงหลบดาบ ยังคงถูกพลังปะทุของดาบซัดกระแทกเข้าร่าง จนลอยละลิ่วปลิวไปปานลูกเกาทัณฑ์พ้นคันศร 10 กว่าหมี่ค่อยหยุดลง แม้จะหยุดลงแล้วแต่ร่างยังโซเซไม่น้อย
โลหิตคำใหญ่ทะลักออกปากมาคำแล้วคำเล่า สีหน้ายังซีดลงอย่างมาก
‘โชคดีที่ข้าใช้เสียงเพรียกแห่งความตายสลายพลังมันไปหลายส่วน ยังอาศัยแรงดีดสะท้อนถอยออกมาได้ครึ่งก้าว ไม่งั้นแค่พลังปะทุเมื่อครู่ ก็ทำให้ข้าถึงตายได้ง่ายๆ…’
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนรู้สึกหวาดกลัวในใจ เขาก็รู้สึกว่าตัวเองโชคดีไม่น้อยเช่นกันที่ลงมือสำเร็จ
“เป็นอาคมพันทวี!”
ทันใดนั้นต้วนหลิงเทียนก็ได้ยินเสียงคนอุทานออกมาอีกรอบ อดไม่ได้ที่คิ้วจะโค้งขึ้นด้วยความสงสัย ‘อาคมพันทวี? นั่นมันอะไรกัน?’
ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนก็พอตระหนักได้ว่า ไม่ว่ามันจะคืออาคมเซียนอะไรก็ตาม…แต่มันสมควรเป็นอาคมเซียนที่จารึกไว้บนดาบใหญ่ของเฝิงฟ่าน และทำให้ดาบมันมีพลังเกินกว่าที่เขาจะต้านทานได้!
“เห็นว่ายามอาคมพันทวีเปิดใช้งาน มันจักเพิ่มน้ำหนักให้แก่ศาสตราเซียนที่จารึกอาคมเซียนดังกล่าวไว้อีกพันเท่า! อย่างไรก็ตามผู้ใช้ศาสตราเซียนนั่นจักมิรับรู้ถึงน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นกระทั่งรับภาระอะไร…! ดาบใหญ่ศิษย์พี่เฝิงที่แท้กลับมีอาคมเซียนพันทวีจารึกอยู่! ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก!!”
“อาคมเซียนนั่น…มันมิใช่อาคมเซียนระดับ 2 ดาวหรอกรึ!? ศาสตราเซียนระดับปฐพีที่จารึกอาคมเซียน 2 ดาวดังกล่าว อย่างน้อยๆก็ต้องมีราคากว่า 200,000 คะแนนอุทิศเข้าไปแล้ว! นี่ศิษย์พี่เฝิงไปหาคะแนนอุทิศมาจากที่ใดกันมากมายถึงขนาดนี้!?”
“ตอนแรกก็วรยุทธ์เซียนระดับมนุษย์โดดเด่น 3 สายทั้งมีความสำเร็จไม่น้อย มาตอนนี้ยังเป็นศาสตราเซียนปฐพีที่มีอาคมเซียนระดับ 2 ดาวจากรึกไว้อยู่อีก…นี่ศิษย์พี่เฝิงใช้ลูกนอกสมรสของผู้อาวุโสฝ่ายในระดับสูงคนใดหรือไม่?”
……
เหล่าศิษย์ฝ่ายนอกตอนนี้อดไม่ได้ที่จะตื่นตกใจไม่น้อยเมื่อเห็นไพ่ใบนี้ของเฝิงฟ่าน เพราะมันช่างเป็นอะไรที่น่าตะลึงนัก!
“อาคมเซียนระดับ 2 ดาว?”
ต้วนหลิงเทียนถึงกับต้องลอบสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ‘ก็ว่าแล้วเชียวว่าทำไมดาบมันถึงได้ทรงพลังนัก! ที่แท้ก็มีอาคมเซียนระดับ 2 ดาวจารึกอยู่…ว่าแต่ศิษย์ฝ่ายนอกอย่างเฝิงฟ่านมันไปเอาคะแนนอุทิศมาจากไหนเยอะแยะ ถึงขั้นแลกศาสตราเซียนปฐพีที่มีอาคมเซียน 2 ดาวจารึกมาใช้ได้แบบนี้…’
‘บ้าฉิบ สมควรเป็นโจวฉีไม่ก็หลิวฮ่วนนั่นมให้มันหยิบยืมมาเป็นแน่…ไม่ใช่สิ! ตอนเฝิงฟ่านชักดาบใหญ่ออกมา ดูเหมือนจะไม่มีใครแปลกใจอะไร…คล้ายนั่นเป็นดาบที่มันใช้มานาน’
ต้วนหลิงเทียนขบคิดเท่าไรก็คิดไม่ออกจริงๆ
จังหวะนี้เหล่าอาวุโสฝ่ายนอกพลันหันหน้ามามองสบตากัน และต่างเห็นถึงความตกใจที่เผยอยู่ในแววตาอีกฝ่าย
ศาสตราเซียนระดับปฐพีที่มีอาคมเซียนระดับ 2 ดาวจารึกไว้ พวกมันเองก็มีใช้เช่นกัน
อย่างไรก็ตามการที่ศาสตราเซียนระดับนี้พร้อมทั้งอาคมเซียนระดับนั้น มันมาปรากฏอยู่ในมือของศิษย์ฝ่ายนอกคนหนึ่ง ก็ยังอดทำให้พวกมันประหลาดใจไปเสียไม่ได้
“เฝิงฟ่านไปเอาดาบนั่นมาจากที่ใด…”
“นั่นสิ ข้าจำได้ว่าแต่ก่อนเฝิงฟ่านเองก็ใช้ดาบเล่มนี้ แต่มิเคยเห็นเปิดใช้อาคมเซียนสักครั้ง…ยังเป็นถึงอาคมเซียนพันทวีระดับ 2 ดาว!”
“นั่นเพราะคู่ต่อสู้ก่อนหน้าไม่คู่ควรให้ใช้อาคมนี่สินะ!”
“ลองมีอาคมเซียนระดับ 2 ดาวเกื้อหนุนแบบนี้ ต้วนหลิงเทียนแพ้แน่!”
……
อาวุโสฝ่ายนอกหลายคนรวมถึงต่งชงระบายลมหายใจออกมาอย่างทอดถอน
หากปราศจากอาคมเซียนระดับ 2 ดาวช่วยเหลือ ต้วนหลิงเทียนก็นับว่ามีโอกาสไม่น้อยที่จะเอาชนะเฝิงฟ่าน
ทว่ามาตอนนี้เฝิงฟ่านกลับเปิดเผยว่ามีอาคมเซียนพันทวี ระดับ 2 ดาวจารึกไว้ที่ดาบใหญ่ ต้วนหลิงเทียนก็เสมือนถูกบังคับให้ตกไปอยู่ในทางตายเสียแล้ว
ใบหน้าหวงเฉิงแต่เดิมที่เคยอึมครึม ก็เผยยิ้มสดใสออกมาทันที “ลองมีอาคมพันทวีหนุนเสริมเช่นนี้ ผลแพ้ชนะคราวนี้ก็ไม่มีใดพลิกผันอีกแล้ว!”
ในขณะที่หวงเฉิงมีความสุข เหล่าศิษย์ฝ่ายนอกหลายคนก็มีความสุขเช่นกัน
เพราะศิษย์ฝ่ายนอกเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ที่ทุ่มแทงเดิมพันกับต้วนหลิงเทียนว่าเฝิงฟ่านจะชนะทั้งสิ้น หากเฝิงฟ่านชนะ นั่นหมายความว่าพวกมันชนะเดิมพัน รางวัลก็คือคะแนนอุทิศที่พวกมันปรารถนา!
โจวฉีเองก็ยิ้มร่าออกมาได้เสียที
ในสายตาของมัน การต่อสู้คราวนี้ยากจะบังเกิดเหตุเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีกแล้ว
คนอื่นๆ ก็มีความคิดละม้ายคล้ายกัน
“ไม่คิดเลยว่าศาสตราเซียนของศิษย์พี่เฝิงจะมีอาคมเซียนระดับ 2 ดาวจารึกเอาไว้…ยามเผยไพ่ใบนี้ออกมา ผลการประลองก็ยากเปลี่ยนแปลงแล้ว!”
ผู้ดูแลฝ่ายนอกหลายต่อหลายคนเริ่มคลี่ยิ้มออกมาบนใบหน้า พวกมันเองก็แทงข้างเฝิงฟ่านไม่น้อย ล้วนหวังให้เฝิงฟ่านมีชัยด้วยกันทั้งสิ้น
“ต้วนหลิงเทียน วันนี้เจ้ามิอาจหนีความตายได้พ้นแล้ว!!”
เติ้งเหว่ยมองต้วนหลิงเทียนด้วยประกายตาดุร้าย มุมปากยกยิ้มแสยะเหี้ยมเกรียมแฝงไว้ด้วยความหยันหยาม
“ต้วนหลิงเทียนมิว่าอย่างไรวันนี้เจ้าก็มิอาจหลีกหนีชะตากรรมตายตกพ้น…ต่อหน้าข้าเฝิงฟ่าน เจ้าก็ทำได้แค่น้อมรับความตายโดยสดุดี!!”
หลังจากที่ปะทุพลังดาบซัดร่างต้วนหลิงเทียนจนกระเด้นปลิวไป 10 กว่าหมี่เฝิงฟ่านก็ไม่ได้รีบร้อนติดตามไปสังหาร กลับกล่าววาจาหยอกล้อด้วยน้ำเสียงถือดี ทำคล้ายพญาอินทรีย์เย้าหยอกลูกไก่!
หลังจากที่เอ่ยวาจาหยอกเย้าจนพอใจ ร่างมันก็คล้ายกลับกลายเป็นต้าเผิง บึ่งทะยานไปหาต้วนหลิงเทียนอีกรอบ!!
ปงงง!!
ด้วยพลังอำนาจของอาคมเซียนระดับ 2 ดาว พันทวี ดาบใหญ่ที่ฟาดใส่ต้วนหลิงเทียนก็เปี่ยมล้นไปด้วยพลังสภาวะแกร่งกร้าวยิ่งใหญ่ คล้ายไม่คิดหยุดยั้งจนกว่าจะบดขยี้ต้วนหลิงเทียนหแหลกเป็นกองเนื้อเลอะเลือน!
คนเกาทัณฑ์ร่วมประสาน!
เผชิญหน้ากับดาบเฝิงฟ่านที่มาด้วยพลังอำมหิตเต็มเปี่ยม ต้วนหลิงเทียนไม่กล้าปะทะรับมือซึ่งหน้าสืบไป ยิงดอกศรออกไปฉับไว ได้แต่ท่องเกาทัณฑ์ฉากหลบดาบของมัน เพราะรู้ดีว่ายากจะปะทะหักหาญกับเฝิงฟ่านได้ซึ่งหน้าสืบไป!
หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนก็ทำได้แต่ท่องเกาทัณฑ์หลบดาบที่กระหน่ำฟาดมาไม่หยุดของเฝิงฟ่าน สองตามองหาโอกาสและจังหวะอย่างเคร่งเครียด
“หนี? เจ้าคิดว่าจะหนีข้าไปได้ตลอดงั้นเรอะ!”
เฝิงฟ่านหัวเราะเยาะออกมาอย่างสะใจ ทันใดนั้นมันก็สะบัดมือเรียกศาสตราเซียนออกมาอีกชิ้น เป็นค้อนมหึมาที่มีสีแดงฉานดั่งโลหิต!
แม้ค้อนดังกล่าวจะมีขนาดใหญ่โตมหึมา หากแต่ยามอยู่ในมือของเฝิงฟ่านก็แลคล้ายจะเบาราวขนนก!
“นั่นมันค้อนสลาตัน!!”
เมื่อเฝิงฟ่านเรียกค้อนอันเขื่องออกมา ศิษย์ฝ่ายในที่มาร่วมชมการประลองเป็นตายก็อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาด้วยความตกใจ
“ค้อนสลาตัน!?”
ได้ยินเสียงอุทานของเหล่าศิษย์ฝ่ายใน ศิษย์ฝ่ายนอกก็ตกใจไม่น้อย “ไม่ใช่ว่าค้อนสลาตันนั่นเป็นศาสตราคู่กายของศิษย์พี่โจวฉีที่อยู่ฝ่ายในหรือไร?!”
“ข้าเองก็เคยได้ยินมาเช่นกัน ว่าค้อนสลาตันของศิษย์พี่โจวฉีที่อยู่ฝ่ายในมีอาคมเซียนระดับ 2 ดาวจารึกไว้เช่นกัน และยังเป็นอาคมเซียนพายุสลาตัน! ยามเปิดใช้ความเร็วของผู้ถือค้อนสลาตันจักถูกเร่งเร้าจนน่ากลัว!”
“กล่าวกันว่าที่ความเร็วของศิษย์พี่โจวฉีอยู่ในอันดับต้นๆของศิษย์ฝ่ายใน ล้วนเป็นเพราะอาคมเซียนพายุสลาตันที่จารึกอยู่ในค้อนสลาตันนั่น!”
……
ศิษย์ฝ่ายนอกอุทานกันออกมาด้วยความตื่นตระหนก ต่างเปิดเผยความเป็นมาของศาสตราเซียนอย่างค้อนสลาตันนั่นหมดสิ้น
‘บัดซบ! ศาสตราเซียนของโจวฉีมันมีอาคมเซียนระดับ 2 ดาวพรรค์นั้นจารึกไว้งั้นเหรอ!?’
หน้าต้วนหลิงเทียนมืดลงทันใด
หากเขายังไม่รู้ว่าโจวฉีมอบค้อนนี้มาให้เฝิงฟ่านยืมเพื่อฆ่าเขา เกรงว่าชีวิตที่อยู่มาถึง 2 ชาติของเขาคงสูญเปล่าแล้วจริงๆ
เมื่อเห็นเฝิงฟ่านหยิบค้อนสลาตันออกมา สีหน้าของโจวฉีก็เผยรอยยิ้มสดใสขึ้นมาทันที
มันมอบศาสตราคู่กายของตัวให้เฝิงฟ่านยืม เพื่อป้องกันเหตุการณ์ทำนองนี้เอาไว้แต่แรก!
“มีค้อนสลาตันที่มีอาคมเซียนพายุสลาตันของข้า กอปรกับดาบใหญ่ของศิษย์น้องเฝิงที่มีอาคมพันทวี…คงเป็นปาฏิหาริย์แล้วจริงๆที่ต้วนหลิงเทียนจะรอดชีวิตไปได้!”
ในสายตาของโจวฉี ปาฏิหาริย์พรรค์นั้นคงไม่มีวันเกิดขึ้นได้!
“ต้วนหลิงเทียน เจ้าอยากหนีก็หนีต่อไปเถอะ…ให้ข้าดูว่าเป็นเจ้าหรือข้าที่จะเร็วกว่ากัน!!”
เฝิงฟ่านที่ข้างหนึ่งถือค้อนอันเขื่อง อีกข้างหนึ่งถือดาบใหญ่ มองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาหยิ่งผยอง
ในสายตาของมันตอนนี้ต้วนหลิงเทียนไม่ต่างใดจากปลาบนเขียงที่จะให้มันแล่สับได้ตามใจแล้ว!
และทันทีที่กล่าวจบคำ เฝิงฟ่านก็ลงมือทันที!
ปราณแท้ถ่ายทอดลงตัวค้อนสลาตันฉับไว พริบตาอาคมเซียนพายุสลาตันระดับ 2 ดาวก็ถูกเปิดใช้ ร่างเหินทะยานจี้เข้าหาต้วนหลิงเทียนด้วยความเร็วอันน่าสะพรึง!
เร็วเสียจนคล้ายคนจะกลับกลายเป็นอุกกาบาตพุ่งวาบผ่านฟ้าก็ไม่ปาน!
1453 ตาย!
ในขณะที่เปิดใช้อาคมเซียนพายุสลาตัน ร่างเฝิงฟ่านก็จี้เข้าหาต้วนหลิงเทียนด้วยความเร็วสูงล้ำจนน่ากลัว มือหนึ่งถือค้อนมือหนึ่งถือดาบ มองไปคล้ายเคียวยมทูต 2 เล่มที่กำลังแกว่งไกวเข้ามาหมายเกี่ยวดวงวิญญาณสู่ปรภพ!
รวดเร็ว! น่าพรั่นพรึง!
ตอนนี้เฝิงฟ่านไม่ได้ใช้วรยุทธ์เคลื่อนไหวกระทั่งวิชาท่าร่างอะไร เพียงอาศัยความเร็วที่ได้จากอาคมพายุสลาตันบนค้อนสลาตันกระโจนเข้ามาเท่านั้น!
และตอนนี้ ต่อให้เป็นศิษย์ฝ่ายนอกที่มีพลังฝึกปรืออยู่ในขอบเขตหลุดพ้นมนุษย์ขั้นยิ่งใหญ่ ก็มองไม่เห็นร่างของเฝิงฟ่าน! เพราะความเร็วที่ได้จากอาคมพายุสลาตันหนุนเสริม มันเร็วเกินกว่าตาจะมองตามทัน!!
“รวดเร็วยิ่งนัก! นี่น่ะหรืออำนาจของอาคมเซียน พายุสลาตัน!!”
ศิษย์ฝ่ายนอกทั้งหลายอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง!
‘มีความเร็วเช่นนี้จากอาคมพายุสลาตันของค้อนสลายตัน กับพลังทำลายของอาคมพันทวีในดาบใหญ่…ต้วนหลิงเทียนนั่นชะตาขาดแล้ว’
เหล่าอาวุโสฝ่ายนอกลอบกล่าวในใจ
จังหวะนี้ผู้ดูแลฝ่ายนอก และศิษย์ฝ่ายนอกมากมายที่ลงเดิมพันข้างเฝิงฟ่านก็อดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่อเห็นความเร็วของเฝิงฟ่านยามใช้อาคมพายุสลาตัน
ในสายตาของพวกมัน การต่อสู้ครั้งนี้ไม่มีใดให้สงสัยอีกแล้ว
ในแง่ของพลังทำลาย ด้วยอาคมพันทวีบนดาบใหญ่ เฝิงฟ่านเหนือกว่าต้วนหลิงเทียนมาก
ในแง่ของความเร็ว เมื่อเปิดใช้อาคมพายุสลาตัน ความเร็วของเฝิงฟ่านก็เหนือต้วนหลิงเทียนไปเป็นขั้น
ไม่ว่าจะเป็นความเร็วหรือพลัง เฝิงฟ่านล้วนสะกดข่มต้วนหลิงเทียนเอาไว้ทุกทาง! หมดสิ้นโอกาสพลิกชะตาอันใดแล้ว!!
ไม่เพียงแต่ผู้ดูแลฝ่ายนอกและศิษย์ฝ่ายนอกที่ทุ่มแทงข้างเฝิงฟ่าน ตอนนี้ศิษย์ฝ่ายนอกที่ไม่ได้เดิมพันเกือบทั้งหมดรวมถึงศิษย์ฝ่ายใน ไม่เว้นอาวุโสทั้งหลายก็คิดไปดุจเดียวกัน…ว่าสถานการณ์คงไม่มีใดเปลี่ยนแปลงอีก
แน่นอนว่าโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน ใดๆในหล้าล้วนมีข้อยกเว้นอยู่เสมอ
และคราวนี้ข้อยกเว้นที่ว่าก็คือศิษย์ฝ่ายนอกคนหนึ่ง ที่ติดอยู่ใน 100 อันดับแรกของฝ่ายนอกสำนักจันทร์จรัสแสง…
มันคือ เซิ่งจื่อ!
สองเดือนที่แล้วมันพกความห้าวไปเต็มกระเป๋าหมายรีดไถหินเซียนจากต้วนหลิงเทียนที่พึ่งเข้ามายังสำนักจันทร์จรัสแสง ทว่าสุดท้ายกลายเป็นเตะเอาเข้าตอเหล็ก!
และในฐานะผู้ที่ประมือกับต้วนหลิงเทียนมาก่อน กระทั่งได้พบพานกับเรื่องพิสดารมากับตัว…มันจึงมั่นใจถึงที่สุดว่าต้วนหลิงเทียนต้องมีอวิชาหรือวิถีมารบางประการ! หาไม่แล้วคงไม่สามารถทำให้การโจมตีของมันพลาดเป้าไปอย่างพิศวงได้ถึง 2 ครั้ง 2 ครา!
หลังจากจบการประมือครั้งนั้น มันก็พยายามอธิบายเหตุผลที่มันแพ้ให้ผู้คนรอบกายฟัง อนิจจาไร้แม้แต่คนเดียวที่เชื่อมัน…
ทุกคนต่างคิดว่ามันไม่อาจยอมรับความพ่ายแพ้ต่อเด็กใหม่ได้ จึงกล่าวอ้างว่าต้วนหลิงเทียนรู้วิชามารอะไรทำนองนั้น
มีเพียงตัวมันเท่านั้นที่รู้…ว่ามันกล่าวตามความสัตย์จริง!
เดือนที่แล้วตอนที่ต้วนหลิงเทียนประมือกับหลินฟู่ มันก็คิดจะอาศัยโอกาสนั้นเปิดเผยว่าต้วนหลิงเทียนใช้วิชามารอย่างไร…อนิจจามันไม่คิดเลยว่าต่อให้ไม่ต้องใช้วิชามารอะไรนั่น ต้วนหลิงเทียนก็สามารถสยบหลินฟู่ได้อย่างราบคาบ!
มาตอนนี้เฝิงฟ่านปะทุพลังเหนือชั้น ใกล้สังหารต้วนหลิงเทียนได้เต็มที จนทำให้ทุกคนล้วนคิดไปว่าต้วนหลิงเทียนต้องตายแน่ๆ!
ทว่าเซิ่งจื่อเป็นคนเดียวที่คิดว่า ต้องมีเหตุเปลี่ยนแปลงถึงขั้นพลิกฟ้าคว่ำดินบังเกิดขึ้นเป็นแน่!!
และในขณะที่เซิ่งจื่อกำลังคิดอยู่นั้น ด้านเฝิงฟ่านที่โจนทะยานปรี่เข้าหาต้วนหลิงเทียนด้วยจิตสังหารล้นปรี่ ก็เหลือบไปแลเห็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับม่านตาดำข้างซ้ายของต้วนหลิงเทียน…คล้ายมันกำลังหมุนจนคล้ายวังวน!
มันอดไม่ได้ที่จะตกใจ ด้วยไม่ทราบว่านั่นมันอะไรกันแน่
มันยังพบอีกว่าวังวนที่ก่อตัวขึ้นในม่านตาข้างซ้ายของต้วนหลิงเทียน ยิ่งมายิ่งหมุนเร็วขึ้นทุกขณะ ยังอดไม่ได้ที่มันจะรู้สึกเสมือนวิญญาณถูกสูบกลืนเข้าไปในนั้น!
‘ไม่คิดเลยจริงๆ…ว่าข้าต้องใช้ม่านตาพิสดารนี่ฆ่าเฝิงฟ่าน…’
ต้วนหลิงเทียนลอบทอดถอนในใจ
เขาคิดว่าด้วยพลังตอนนี้สมควรฆ่าเฝิงฟ่านได้ไม่ยากเย็น แต่ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะมีอาคมเซียนระดับ 2 ดาวที่น่ากลัวอยู่ถึง 2 อาคม และนั่นทำลายความตั้งใจดั้งเดิมของเขาจนหมดสิ้น…
และตอนนี้ถึงขั้นที่หากเขาไม่ใช้ม่านตาพิสดาร เขาอาจจะต้องตาย!
วิสัยทัศน์ในตาซ้ายของต้วนหลิงเทียน ร่างเฝิงฟ่านที่พุ่งทะยานเข้ามาฉับไวด้วยอาคมพายุสลาตัน ค่อยๆชะลอตัวช้าลงเรื่อยๆ
แน่นอนว่าพลังวิญญาณของเขาเองก็ถูกสูบกลืนไปด้วยอัตราเร็วอันน่ากลัวเช่นกัน
ต้องกล่าวเลยว่าเฝิงฟ่านนั้นรวดเร็วจริงๆ…
กล่าวให้ชัด เป็นอาคมพายุสลาตันที่ทำให้มันรวดเร็วจริงๆ
แม้ต้วนหลิงเทียนจะเปิดใช้ม่านตาพิสดารเต็มกำลัง จนแลเห็นสรรพสิ่งช้าลงแล้ว แต่ร่างเฝิงซ่านในลูกตาซ้ายเขาก็สามารถเคลื่อนมาถึงตัวเขาในเวลาอันสั้นนัก
อีกทั้งค้อนสลาตันกับดาบในมือนั่นยังฟาดทุบมายังศีรษะเขาด้วยความเร็วอันน่ากลัว!
“ตายเสีย!!”
เฝิงฟ่านที่วูบร่างมาถึงต้วนหลิงเทียน ไม่คิดลดความเร็วของตัวแต่อย่างไร ยังอาศัยสภาวะเคลื่อนไหวถ่ายแรงฟาดทุบค้อนสลาตันทั้งดาบใหญ่ในมือมาสุดแรงอาคมพันทวีเองก็เปิดใช้พร้อมสรรพ! ราวกับมันจะใช้ทั้งค้อนทั้งดาบขยี้ร่างต้วนหลิงเทียนให้กลายเป็นซากเนื้อเลอะเลือน!!
ปง! ปง! ปง! ปง!
……
ด้วยพลานุภาพของค้อนที่หวดมาฉับไว ทั้งดาบใหญ่ที่เปี่ยมล้นไปด้วยพลังของอาคมพันทวี เสียงแตกระเบิดของอากาศนับว่าดังขู่ขวัญผู้คนให้หวาดกลัวนัก!
หากถูกทุบเข้าล่ะก็ เกรงว่าคงแหลกเหลวเป็นกองเลือด ยากจะมีสภาพศพสมบูรณ์!
มีศิษย์ฝ่ายนอกไม่มากนักที่มองตามความเคลื่อนไหวของเฝิงฟ่านได้ทัน อย่างไรก็ตามด้านศิษย์ฝ่ายในอดไม่ได้ที่จะสยดสยอง ยากทานทนดูชมเรื่องที่จะบังเกิดขึ้นต่อไป
เหล่าอาวุโสฝ่ายนอก ยกเว้นหวงเฉิงที่ยิ้มแฉ่งหน้าระรื่น ที่เหลืออดไม่ได้ที่จะส่ายหน้า
“ฟ้าริษยาอัจฉริยะนัก…”
หลายคนอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเฮือกหนึ่ง
“ทุบมัน! ทุบมันให้ตาย!!”
เติ้งเหว่ยตื่นเต้นเสียจนสองตาแทบถลนออกเบ้า คล้ายมันจะเพ่งตาจับจ้องมองเรื่องราว เก็บภาพวินาทีที่ร่างต้วนหลิงเทียนแหลกเหลวโดยไม่ให้พลาดแม้แต่รายละเอียดยิบย่อยอะไรไว้ชั่วชีวิต…
“ให้เจ้ามีพรสวรรค์และศักยภาพฟ้าประทานจากทวีปมนุษย์แล้วจะอย่างไร…สุดท้ายเจ้าก็ต้องกลายเป็นธุลีดินบนดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแห่งนี้อยู่ดี!”
โจวฉีหัวเราะเยาะออกมาเบาๆ สองตาเหลือบแลห้วงสุดท้ายของต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเฉยเมย
“เคลื่อนมิติ!”
ในขณะที่ทุกผู้คนคิดว่าต้วนหลิงเทียนถึงคราวชะตาดับสูญ ต้วนหลิงเทียนก็เปิดใช้ม่านตาพิสดารเต็มกำลัง ตาซ้ายจับจ้องมองไปยังค้อนสลาตันอันเขื่องกับดาบมหึมาเขม็ง!
และตอนนี้ต้วนหลิงเทียนยังพยายามเปิดใช้งานความสามารถอันทรงพลังปานพลิกฟ้าอย่าง เคลื่อนมิติ ของม่านตาพิสดารสุดชีวิต! จนพลังวิญญาณทั่วร่างของเขาถูกเผาผลาญไปด้วยความเร็วอันน่าตื่นตระหนก!!
ในขณะที่พลังวิญญาณเจียนแห้งเหือด ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกเสมือนในศีรษะกลายเป็นว่างเปล่า
ห้วงเวลานั้นเอง ดาบใหญ่ทั้งค้อนอันเขื่องของเฝิงฟ่านพลันเคลื่อนที่อย่างแปลกประหลาด มันเบี่ยงไปข้างกายต้วนหลิงเทียนอย่างอัศจรรย์ สองศาสตรามหึมาที่ฟาดลงมาดังขุนเขาถล่ม ปะทุพลังอันน่าพรั่นพรึงเต็มกำลังพลาดเป้า!!
เปรี๊ยงงงง!!
เสียงสนั่นสะท้านแก้วหูดังไปทั่วลานฝึกซ้อม ดินหินข้างกายต้วนหลิงเทียนถึงกับแหลกพินาศเป็นหลุมบ่อ
‘ขาดไปนิดเดียว!’
ก่อนหน้านั้น ต้วนหลิงเทียนแม้เห็นค้อนกับดาบถูกเบี่ยงออกไป ทว่าตัวค้อนกลับไม่ถูกเบี่ยงออกไปอย่างหมดจด! ส่วนหนึ่งของมันยังอยู่ในระยะที่จะทุบทำลายแขนซ้ายของเขา! ทำให้ต้วนหลิงเทียนพยายามฝืนเคลื่อนกายฉากหลบออกไปทางขวาสุดชีวิต!!
อนิจจาแม้จะพยายามเคลื่อนกายออกไปสุดชีวิต แต่ค้อนก็ฟาดถากไหล่ซ้ายของเขาอย่างแรง!
ยังโชคดีที่มันทุบโดนแค่เนื้อ ไม่ป่นกระดูกจนแหลกหรือทำลายเส้นเอ็นแต่อย่างไร!
อย่างไรก็ตาม เมื่อเนื้อครึ่งแขนถูกพลังในค้อนป่นจนแหลก ก็ยังทำให้ต้วนหลิงเทียนน่าซีดเหงื่อตกด้วยความเจ็บปวดอยู่บ้าง กอปกับสภาวะพลังวิญญาณแห้งเหือดในพริบตา ทำให้กลไกป้องกันตัวเองเริ่มทำงาน สติสัมปชัญญะของเขากำลังจะดับลงเพื่อหลีกหนีความเจ็บปวด!
‘ไม่! ข้าสลบไม่ได้! ข้าสลบตอนนี้ไม่ได้เด็ดขาด!!’
ในห้วงเวลาวิกฤต ต้วนหลิงเทียนขบกัดปลายลิ้นอย่างแรง อาศัยความเจ็บปวดดังกล่าวดึงสติให้กลับมาตื่นตัวอีกครั้ง!
เขากระจ่างแจ้งแก่ใจดี
หากตอนนี้เขาเป็นลมสลบไป ทุกสิ่งที่กระทำมาล้วนต้องกลับกลายเป็นอากาศธาตุ…
เฝิงฟ่านที่เพียงโจมตีพลาดไปครั้งหนึ่ง แน่นอนว่ายังลงมือจู่โจมซ้ำสองได้!
หากเขาสิ้นสติสลบไป ยังจะต่างใดจากปลาตายบนเขียงให้เฝิงฟ่านแล่สับตามใจ? อีกฝ่ายจะฆ่าเขาให้ตายอย่างไรก็ได้!
เมื่อดิ้นรนจนสามารถประคองสติให้ตื่นตัวอยู่ได้สำเร็จ ต้วนหลิงเทียนก็มองเฝิงฟ่านที่ลงมือพลาดด้วยสายตาเยียบเย็น…เขายังเห็นชัดเจนถึงแววตาอื้ออึงของเฝิงฟ่านที่คล้ายไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
และบางทีเฝิงฟ่านคงไม่มีวันเข้าใจได้
ว่าไฉนค้อนสลาตันและดาบใหญ่ของมันถึงได้พลาดเป้าไปมโหราฬเช่นนี้ แทนที่จะทุบลงกลางศีรษะต้วนหลิงเทียน?
ด้วยโจมตีพลาดเป้า ทำให้สภาวะค้อนกับดาบที่ฟาดมาเต็มแรงฉุดร่างเฝิงฟ่านให้เซถลาไปข้างหน้าเล็กน้อย สูญเสียการควบคุมร่างกายไปชั่วขณะ!
และในห้วงพริบตานี้ช่องว่างทั้งจุดตายของมันก็เปิดเผยต่อหน้าต้วนหลิงเทียนให้เห็นกระจ่างชัด!
เสียงเพรียกแห่งความตาย!
โอกาสประเสริฐดั่งฟ้าประทานเช่นนี้ ไหนเลยต้วนหลิงเทียนจะปล่อยพลาดได้! มือขวาตบไปยังสายเกาทัณฑ์ฉับไว ดึงรั้งสสายรอบหนึ่ง ปรากฏเสียงเสียดหูดังขึ้น!!
พริบตาต่อมา คมมีดพลังมีสภาพพลันพุ่งซัดออกไปดั่งอาวุธลับ!
วู้มมมม!! ฉัวะ!!
คมมีดพลังมีสภาพดั่งเคียวยมทูตก็ไม่ปาน มันปาดผ่านลำคอเฝิงฟ่านไปฉับไว! สมคำเสียงเพรียกแห่งความตาย เพียงได้ยินก็พานพบความตาย!!
พริบตาต่อมาลำคอของเฝิงฟ่านก็ค่อยปริฉีก เผยให้เห็นหลอดลมที่บัดนี้พ่นฟองอากาศปุดๆคลุกเคล้าไปกับโลหิตที่ทะลักออกมาดั่งน้ำพุ! ห้วงสุดท้ายของชีวิตสีหน้าเฝิงฟ่านเต็มไปด้วยความหวาดกลัว หากแต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้สืบไป
หลังจากนั้นภายใต้สายตาของทุกผู้คน ร่างเฝิงฟ่านที่เซถลาเพราะฟาดทุบค้อนกับดาบพลาด ก็ล้มหน้าคะมำกลิ้งไถลไปบนพื้น โดยมีโลหิตฉีดพุ่งราดรดไปเป็นทาง! สุดท้ายมันก็หยุดลง จมกองโลหิตที่ค่อยๆเจิ่งนอง…
เงียบงัน!
ฉากกลับกลายเป็นเงียบงันไร้สำเนียงเสียงใด!
“มาร! เป็นวิชามารจริง!!”
เซิ่งจื่อที่จับจ้องมองเรื่องราวอย่างตั้งใจ บัดนี้สองตาแทบถลนออกเบ้า มันถึงกับโพล่งคำออกมาราวคนบ้า ยังมองต้วนหลิงเทียนด้วยความหวาดกลัวถึงที่สุด
ซูด! อา! โอ!
……
ครู่ต่อมาอารามเสียงตื่นตระหนกของเซิ่งจื่อ ผู้คนในลานฝึกซ้อมก็คล้ายได้สติสตังกลับคืนเข้าร่าง พอรู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้ง ต่างสูดลมหายใจเข้าอย่างตื่นตระหนกเสียขวัญ…
“ศะ…ศิษย์พี่เฝิงฟ่านตายแล้ว?”
ศิษย์ฝ่ายนอกมากมายจ้องมองร่างไร้ชีวิตของเฝิงฟ่านด้วยสายตาเลื่อนลอย
“ปะ…เป็นไปได้ยังไง!?”
สีหน้าของผู้ดูแลฝ่ายนอกอย่างเติ้งเหว่ย บัดนี้ซีดเซียวจนไร้สีเลือด มันมองต้วนหลิงเทียนด้วยความไม่อยากจะเชื่อ “เป็นไปไม่ได้! สารเลวต้วนหลิงเทียนนั่นมันจะฆ่าเฝิงฟ่านได้ยังไง! เป็นไปไม่ได้!!”
เติ้งเหว่ยไม่อาจยอมรับความจริงเรื่องนี้ได้
ผู้ดูแลฝ่ายนอกคนอื่นก็รู้สึกขมปร่าในลำคอยากจะกล่าว
วินาทีที่ร่างเฝิงฟ่านล้มลงเป็นคนตาย คะแนนอุทิศมากมายกว่าครึ่งของพวกมันก็คล้ายถูกสายลมพัดพาลอยหายไปสู่ความเวิ้งว้างอันไกลโพ้น…
“1,000 คะแนนอุทิศของข้า…จำต้องจากไปเช่นนี้แล้วหรือ?”
ศิษย์ฝ่ายนอกบางคนร่างเซถลาคล้ายจะล้ม มือหนึ่งยกขึ้นมากอบกุมไว้ที่อก สีหน้าปวดปร่าเกินทานทน
“บัดซบ! แค่ 1,000 อุทิศเจ้าต้องออกอาการจะเป็นจะตายถึงเพียงนี้เชียว ข้าเสียไป 3,000! เสียไป 3,000 คะแนนอุทิศ!!”
ศิษย์ฝ่ายนอกอีกคนใกล้ๆ ถึงกับทนท่าทางสหายไม่ไหว ถึงกับหวดเตะออกไปเต็มเหนี่ยวด้วยความหมั่นไส้
หลังจากนั้นเชื้อร้ายที่เรียกว่าความเศร้าใจก็คล้ายจะแพร่ระบาดเป็นวงกว้างในฉับพลัน ศิษย์ฝ่ายนอกหลายคนชักสีหน้าแววตาสลด แหงนมองฟ้าอย่างปลงอนิจจัง คิดร่ำไห้ยังไร้น้ำตา…
การตกตายของเฝิงฟ่าน หมายความว่าคะแนนอุทิศที่ทุ่มแทงไปนั้น มันไปแล้วไปลับไม่นำพาดอกผลที่งอกเงยกลับมายังบัตรแก้วของพวกมันแต่อย่างใด
ตอนนี้อดไม่ได้ที่พวกมันจะปวดปร่าใจจนรู้สึกเหมือนคนกำลังจะตาย
“บัดซบ! เฝิงฟ่านนั่นช่างไร้ประโยชน์ยิ่ง! มิใช่มันเป็นถึงยอดฝีมือติดอันดับในรายนามปฐพีหรือไร…ยังไม่อาจเอาชนะได้กระทั่งศิษย์ฝ่ายนอกคนใหม่ที่พึ่งเข้ามายังสำนักได้ไม่ถึง 2 เดือนดีงั้นเหรอ!?”
“ถูกแล้ว! มันไร้ค่ายิ่งกว่าอุจาระข้าพเจ้าเสียอีก!!”
“ยอดฝีมือติดอันดับรายนามปฐพี ทั้งยังมีอาคมเซียนระดับ 2 ดาวช่วยเหลือถึง 2 อาคม กลับต้องตายคามือศิษย์ใหม่…น่าอับอายยิ่งนัก!”
……
ศิษย์ฝ่ายนอกหลายต่อหลายคนเริ่มนำโทสะแค้นไปลงกับเฝิงฟ่านที่ตกตาย ปากยังพ่นวาจาด่าทอออกมาอย่างหัวเสีย
1454 โจวฉีหวาดผวา เสียขวัญ
“ปะ…เป็นไปได้อย่างไร ระ…เรื่องแบบนี้?”
รอยยิ้มบนใบหน้าหวงเฉิงนั้นมลายหายไปเนิ่นนานแล้ว
ตอนนี้สีหน้าของมันหม่นหมองเลื่อนลอย คล้ายยังไม่เข้าใจเรื่องราวว่าไฉนกลับกลายเป็นแบบนี้ไปได้
ด้วยพลังฝีมือของมัน ทุกความเคลื่อนไหวที่บังเกิดขึ้นเมื่อครู่ ย่อมไม่คลาดสายตามันแม้แต่น้อย มันเห็นการลงมือของเฝิงฟ่านชัดเจนดี…
การโจมตีของเฝิงฟ่านเจียนบรรลุถึงจุดสังหารต้วนหลิงเทียนอยู่รอมร่อแล้ว
ทว่าในห้วงเวลาเป็นตายอันสำคัญ ก่อนที่ศาสตราคู่จะสังหารปลิดปลงดับชีวิต พวกมันกลับวูบเบี่ยงออกจากร่างต้วนหลิงเทียนไปอย่างพิศวง และนั่นยังทำให้เฝิงฟ่านถึงกับเสียหลักเซถลาไปเบื้องหน้า
คล้ายกับเฝิงฟ่านคิดเปิดเผยช่องว่างให้ต้วนหลิงเทียนอย่างจงใจ หมายยื่นหัวมอบให้…ยอมรับความตายโดยสดุดี
กระทั่งตัวมันพอเห็นจังหวะนั้นยังบังเกิดความคิดบ้าๆประการหนึ่งขึ้นมาในใจ
ใช่เฝิงฟ่านเบื่อชีวิตจึงคิดหาที่ตายหรือไม่?
ทว่าพอมันได้คิด ก็พบว่าเรื่องเหลวไหลพรรค์นั้นมันจะเป็นไปได้ด้วยหรือ?
เฝิงฟ่านเป็นผู้ใด? ผู้ที่แข็งแกร่งถึงขั้นติดอันดับในรายนามปฐพี อนาคตเป็นอะไรที่สดใสนัก ไฉนจึงอยากตาย?
ยิ่งไปกว่านั้นแม้จะไม่ได้ยืนยันให้แน่ชัด แต่ก็มีข่าวลือออกมาหนาหู ว่าเฝิงฟ่านอันดับ 5 ฝ่ายนอก และติดอันดับในรายนามปฐพีนั้น ได้ถูกอาวุโสระดับสูงของฝ่ายในรับไปเป็นศิษย์ส่วนตัวมาเนิ่นนานแล้ว…
ถึงแม้ว่ามันจะเป็นผู้อาวุโสฝ่ายนอก หากแต่เรื่องราวของระดับสูงๆในสำนักมันก็ไม่มีสิทธิ์มีเสียงอะไร
หากจะมองกันในฝ่ายนอกแล้ว ผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจและมีสิทธิ์มีเสียงในสำนักได้ ก็เห็นที่จะมีแต่ผู้อาวุโสหลักฝ่ายนอกอย่าง ตงฟาง แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น
และทันทีที่มันได้เห็นศาสตราเซียนระดับปฐพีที่มีอาคมเซียนระดับ 2 ดาวในมือเฝิงฟ่าน รวมถึงวรยุทธ์เซียนระดับมนุษย์โดดเด่นมากมาย มันก็มั่นใจว่าข่าวลือนั้นเป็นความจริง…เฝิงฟ่านสมควรเป็นศิษย์ส่วนตัวของอาวุโสฝ่ายในระดับสูงเรียบร้อยแล้ว!
ด้วยเหตุนี้ไม่ว่ามันจะขบคิดอย่างไร ก็ไม่มีวันที่เฝิงฟ่านจะเบื่อชีวิตคิดหาที่ตายได้เลย
เช่นนั้นเรื่องราวแปลกประหลาดดังกล่าวทั้งหมด สมควรเกิดจากผู้ที่ลงมือสังหารเฝิงฟ่านแน่นอน!
“ต้วนหลิงเทียน!!”
หวงเฉิงหันกลับไปมองต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง คราวนี้ลูกตามันทำราวกับจะพ่นไฟออกมาอย่างไรอย่างนั้น
พอคิดถึงเรื่องคะแนนอุทิศ 360,000 แต้มของมันที่ได้กลายเป็นของต้วนหลิงเทียนไปแล้ว มันก็รู้สึกเสมือนมีเพลิงมารลุกลามขึ้นมาจากปลายเท้าถึงศีรษะ “เมื่อวานนี้ผู้อาวุโสฝ่ายนอกมากมายคิดทุ่มแทงเดิมพัน แต่ต้วนหลิงเทียนมันเลือกจะให้ข้าแทงคนเดียว…เห็นได้ชัดว่าเป็นเจ้าคิดล้างผลาญข้า!!”
“แต่ต้วนหลิงเทียน…เจ้าคิดจริงๆหรือว่าคะแนนอุทิศของข้าหวงเฉิงผู้นี้ เจ้าจักรับไปได้ง่ายๆ!”
พอนึกถึงเรื่องนี้ ลูกตาหวงเฉิงก็ฉายประกายอำมหิตขึ้นมาทันใด
หลังจากที่อื้ออึงกันไปอยู่พักหนึ่ง ไม่นานสายตาของเหล่าอาวุโสฝ่ายนอกก็หันกลับมาจับจ้องมองหวงเฉิงอย่างพร้อมเพรียง ในสายตาของพวกมันยังเผยความเวทนาไม่น้อย
“นับว่าอันตรายยิ่ง หวุดหวิดไปแล้วจริงๆ…ดีนักที่ต้วนหลิงเทียนไม่รับแทงจากข้า”
อาวุโสฝ่ายนอกคนหนึ่งกล่าวออกมาด้วยความหวาดเสียว
“นั่นสิ เมื่อวานนี้ข้ากะจะทุ่มแทงข้างเฝิงฟ่านสัก 100,000 คะแนนอุทิศด้วยซ้ำ…ตอนนี้คิดไปแล้วช่างโชคดียิ่ง หาไม่แล้ว 100,000 คะแนนอุทิศของข้า ป่านนี้คงเป็นของขวัญให้ต้วนหลิงเทียนไปเสียฉิบ”
อาวุโสฝ่ายนอกอีกคนกล่าวออกมาอย่างเห็นด้วย
“ข้าคิดว่าต้วนหลิงเทียนคงประเมินสถานการณ์มาดีแล้ว คิดว่าเฝิงฟ่านมิใช่คู่มือเป็นแน่ ถึงได้กล้ารับคำท้าประลองเป็นตาย อีกทั้งยังตั้งตัวเป็นเจ้ามือรับเดิมพัน…นับว่ามากไหวพริบยิ่ง อายุเพียงเท่านี้กลับประสบความสำเร็จได้ถึงขนาดนี้แล้ว”
อาวุโสฝ่ายนอกอีกคนกล่าวคร่ำครวญออกมา
“ไม่ผิด”
วาจาของมัน เหล่าอาวุโสฝ่ายนอกทั้งหลายไม่เว้นต่งชงล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้น
เมื่อหวงเฉิงเห็นฉากประหลาดตานั่นได้ คนอื่นๆก็ย่อมเห็นด้วยเช่นกัน
ในช่วงเวลาสำคัญ การโจมตีของเฝิงฟ่านกลับเบี่ยงออกไปอย่างพิศวง เปิดช่องว่างให้ต้วนหลิงเทียนจังเบ้อเร่อ!
อีกทั้งจังหวะนั้นร่างเฝิงฟ่านนยังเซถลาไปเบื้องหน้า เพราะเหวี่ยงฟาดศาสตรา 2 เล่มไปเต็มแรง ทำให้คิดจะป้องกันตัวหรืออะไรก็ยากกระทำได้ คิดใช้วรยุทธ์หรือเคล็ดวิชาป้องกันอันใดก็สายไปแล้ว…
เรียกว่าเสมือนมันเปลือยเปล่าต่อหน้าต้วนหลิงเทียน และยื่นคอไปรอรับดาบแต่โดยดี
เช่นนั้นเฝิงฟ่านจึงต้องตาย ยังตายอย่างรวบรัดหมดจดต่อหน้าทุกคน
“ข้ามิรู้ว่าที่ต้วนหลิงเทียนใช้ออกนั่นมันอะไรกันแน่…ทักษะวิญญาณ วิทยายุทธ์ หรือพลังพิเศษแต่กำเนิดอันใด”
เหล่าอาวุโสฝ่ายนอกล้วนเต็มไปด้วยความสงสัย
“ระ…เรื่องแบบนี้…มันเป็นไปได้ยังไง..”
ในที่สุดโจวฉี ศิษย์ส่วนตัวของอาวุโสฝ่ายในหลิวฮ่วนก็คืนสติ มันมองร่างไร้ชีวิตของเฝิงฟ่านด้วยความหวาดกลัว ใบหน้าของมันเริ่มเผยความหวาดผวาเสียขวัญออกมา กล่าวพึมพำกับตัวอย่างเลื่อนลอย
ฉากเบื้องหน้านั้นกระทั่งหลับมันยังไม่เคยฝันถึง
เฝิงฟ่านตายแล้ว!
แน่นอนว่าชีวิตของเฝิงฟ่านจะอยู่หรือตายไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับมัน
ทว่าการที่เฝิงฟ่านมาตายแบบนี้ เห็นทีเรื่องราวคงกลายเป็นสลับซับซ้อนและยากลำบากสำหรับมันแล้ว…
หากเฝิงฟ่านเป็นเพียงศิษย์ฝ่ายนอกธรรมดาก็คงไม่นับว่าเป็นอะไร แต่ทว่าพื้นหลังของเฝิงฟ่านนั้นน่ากลัวเหลือเกิน อีกฝ่ายคือตัวตนทรงพลังที่ติด 1 ใน 3 ของสำนักจันทร์จรัสแสง!
ตัวตนเช่นนั้น ต่อให้เป็นหลิวฮ่วนอาจารย์ของมัน ก็ยังต้องก้มหัวด้วยความเคารพเมื่ออยู่ต่อหน้า
ทว่าบัดนี้เฝิงฟ่านตายแล้ว!
ตายเพราะคำขอของมัน!
โจวฉีย่อมจินตนาการได้ออก ว่าถ้าหากอาจารย์ของเฝิงฟ่านออกจากการปิดด่านฝึกตนมาและพบเรื่องราวดังกล่าวจะเกิดอะไรขึ้น
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่อาจารย์ของมันได้ทุ่มความสนใจทั้งหมดไปให้ซูฉีและไม่ได้สนใจมันมากเหมือนกาลก่อน…กระทั่งต่อให้เป็นดั่งในกาลก่อน อาจารย์ของมันก็ไม่มีทางออกหน้าให้มันเพราะเรื่องเฝิงฟ่านแน่!
จังหวะนี้โจวฉีรู้สึกเสมือนแผ่นฟ้าถล่มลงมาอย่างไรอย่างนั้น
“ไม่สิ!”
ในขณะที่กำลังจมจ่อมอยู่กับความสิ้นหวัง ในหัวโจวฉีคล้ายฉุกคิดอะไรได้ออก สีหน้าเหมือนคนหมดอาลัยของมันพลันพลิกฟื้นกลับมามีชีวิตอีกครา “เหตุผลที่เฝิงฟ่านส่งสารท้าประลองเป็นตายไปให้ต้วนหลิงเทียน มีแต่ข้ากับเฝิงฟ่านเท่านั้นที่รู้..คนอื่นๆไม่มีผู้ใดล่วงรู้นี่นา!”
“ตอนนี้ในเมื่อเฝิงฟ่านตายไปแล้ว ข้าย่อมเป็นคนเดียวที่รู้สาเหตุ…เช่นนั้นไม่ใช่ว่าข้าจะพูดอะไรก็ได้รึไง?!”
พอนึกถึงจุดนี้ได้ ก็คล้ายเมฆหมอกมืดมัวที่ปกคลุมเบื้องหน้าสลายหาย ใจมันคล้ายเห็นแสงตะวันส่องสว่าง นำพาให้อารมณ์ดีขึ้นมาทันใด
อย่างไรก็ตามเมื่อสายตาของมันเบนกลับมาตกยังร่างในชุดสีม่วง ที่กำลังกินโอสถรักษาจนอาการค่อยๆทุเลาลงไกลตา สายตาอารมณ์ดีของมันก็ฉายแววดุร้ายออกมาอีกครั้ง “ต้วนหลิงเทียนนั่นที่แท้มีความเป็นมาอย่างไรกันแน่…มันใช้กลวิธีอันใดในการสังหารเฝิงฟ่านกัน…”
“หรือว่ามันจะมีวิชามารอะไรที่ว่าจริงๆ?”
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้โจวฉีก็ส่ายหัวไปมา “ไม่สมควรเป็นวิชาของฝ่ายมาร…สมควรเป็นทักษะวิญญาณลี้ลับ หรือวิทยายุทธ์พิสดารทำนองนั้น…ไม่แคล้วเป็นการสร้างภาพลวงตา หรือกระทั่งบิดเบือนความรู้สึกของผู้อื่นทำให้โจมตีพลาดเป้า…”
ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นผู้อาวุโสฝ่ายนอก ผู้ดูแล หรือโจวฉี ก็ล้วนคิดไปในทำนองเดียวกัน
ทุกคนรู้สึกว่าสิ่งที่ต้วนหลิงเทียนใช้ออกนั้น สมควรเป็นพวกทักษะวิญญาณลี้ลับอะไรมากกว่า
พวกมันไม่ต้องคิดก็บอกได้ ว่าสถานการณ์ก่อนหน้าเฝิงฟ่านนั้นตั้งใจสังหารคนเต็มที่ ยังลงมือด้วยพลังทั้งหมด ไหนเลยยังเป็นความตั้งใจหาที่ตายของตัวเอง?
แต่ไม่ว่าตอนนี้ผู้คนจะตะลึงงัน หรือครุ่นคิดอะไรกันไป ความจริงที่เฝิงฟ่านตกตายก็ไม่เปลี่ยน
ท้ายสุดแล้วต้วนหลิงเทียนก็คือผู้ชนะ! รอดชีวิตจากการประลองเป็นตายได้สำเร็จ!!
แน่นอนว่าถึงแม้จะรอดชีวิตมาได้แต่สีหน้าของต้วนหลิงเทียนก็ยังไม่ค่อยสู้ดีสักเท่าไหร่ เหงื่อเย็นเม็ดเขื่องยังผุดซึมออกจากหน้าผากไม่หยุด “ให้ตายเถอะ…ขนาดข้าใช้โอสถเซียนที่ครูให้มาเพื่อรักษาตัว แต่กว่าเนื้อที่แหลกเหลวของข้าจะฟื้นฟูก็คงต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 10 วัน…เผลอๆยังกินเวลาถึงครึ่งเดือนด้วยซ้ำ กว่าข้าจะใช้แขนซ้ายได้…”
แต่ถึงกระนั้นแล้ว พอคิดถึงเรื่องที่ในกระเป๋าเขาตอนนี้มีคะแนนอุทิศตุงอยู่ถึง 3,000,000 แต้ม เขาก็รู้สึกว่าความพยายามครั้งนี้นับว่าคุ้มค่าแล้วจริงๆ
‘เหอะๆ…3,000,000 คะแนนอุทิศเลยนะนั่น ตอนนี้ไม่ว่าข้าอยากได้อะไรในสำนักจันทร์จรัสแสง ก็คงแลกได้หมดแล้วล่ะ! ‘
แม้เหงื่อเย็นจะยังคงหลั่งออกมาเพราะความเจ็บปวด แต่ในใจต้วนหลิงเทียนก็ยินดีไม่น้อย
“อา…จริงสิ ศาสตราเซียนของเฝิงฟ่าน!”
ตามกฏของสำนักจันทร์จรัสแสง สิ่งของทุกอย่าง ยกเว้นสิ่งของพิเศษบางประการของผู้ที่ถูกฆ่าในการประลองเป็นตาย จะตกเป็นของผู้ชนะทั้งหมด
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ต้วนหลิงเทียนก็อดทนกับความเจ็บปวดและเดินไปยังศพของเฝิงฟ่าน ก่อนที่จะยกดาบใหญ่อันมีอาคมเซียนพันทวีจารึกไว้ขึ้นมา ตาจับจ้องมองไปยังลวดลายการจารึกอาคม และอักขระบนตัวดาบ
‘นี่สมควรเป็นอาคมเซียนระดับ 2 ดาว ‘พันทวี’ ที่จารึกเอาไว้สินะ…’
ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ
‘เห็นว่าดาบนี่ต้องใช้คะแนนอุทิศถึง 200,000 แต้มแลกมา…ในเมื่อตอนนี้มันเป็นของข้าก็หมายความว่าข้าได้รับคะแนนอุทิศมาอีก 200,000 แต้มสิ’
ต้วนหลิงเทียนลองแกว่งดาบใหญ่รอบหนึ่งอย่างชำนิชำนาญ ก่อนที่จะสะบัดมือเก็บมันไป และหันไปมองค้อนสลาตันที่ตกอยู่ข้างๆ
ถึงแม้เขาจะรู้อยู่แล้วว่าค้อนสลาตันนี้เป็นของโจวฉี
แต่ตอนนี้เขาเลือกที่จะตีเนียนทำเป็นไม่รู้
“เหอะ! ศาสตราเซียนของข้าโจวฉีผู้นี้ เจ้ากล้าเอาไปงั้นเหรอ!!”
ในขณะที่มือของต้วนหลิงเทียนกำลังจะเอื้อมไปหยิบถึงค้อนสลาตัน เสียงเย้ยหยันพลันดังก้องขึ้นมาในอากาศ ร่างหนึ่งวูบมาปรากฏเบื้องหน้าเขา!
“โจวฉี…”
หน้าต้วนหลิงเทียนจมลงทันใด เขารู้ดีว่าวันนี้ยากจะได้รับค้อนสลาตันนี่แล้ว
หลังจากผ่านไปครึ่งปี ในที่สุดโจวฉีก็มายืนอยู่ต่อหน้าเขาอีกครั้ง ท่าทางของโจวฉียังคงเป็นดั่งกาลก่อนไม่เปลี่ยน หยิ่งยโสไม่เห็นหัวผู้ใดเหมือนเก่า
อย่างไรก็ตามในสำนักจันทร์จรัสแสง โจวฉีก็ไม่กล้าถือดี ลงมือตามใจอะไรมากมายนัก
ต้วนหลิงเทียนไหนเลยจะไม่รู้ ว่าหากตอนนี้เขาดื้อดึงจะเอาค้อนสลาตันนั่นไป โจวฉีก็สามารถลงมือทำร้ายเขาจนพิการได้ ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่กล้าฆ่าเขาก็ตาม
เพราะสุดท้ายแล้ว ทุกคนรู้ดีว่าศาสตราเซียนนั่นเป็นของมัน มันย่อมมีสิทธิ์ช่วงชิงคืน
แต่ต้วนหลิงเทียนไม่ทราบ ว่าเหตุผลอีกข้อที่โจวฉีไม่ลงมือทำร้ายเขาตอนนี้ เพราะมันไม่อยากให้เรื่องแดง…เกิดมันลงมือไป มีหวังเรื่องที่มันคิดยืมมือฆ่าเฝิงฟ่านต้องมีผู้คนสงสัยแน่นอน!
มันไม่อยากให้คนอื่นเข้าใจว่า มันโจวฉีคิดฆ่าต้วนหลิงเทียน หาไม่แล้วผู้คนต้องเดาได้แน่ว่ามันเป็นคนบงการ!
หากเรื่องไปถึงขั้นนั้น ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่อาจารย์ของเฝิงฟ่านจะไม่มาเอาเรื่องมัน!
“ข้าไม่คิดเลยจริงๆ ว่ามดตัวกระจ้อยเมื่อครึ่งปีที่แล้ว จะก้าวมาถึงขั้นนี้ได้”
โจวฉีมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาดูถูก “อย่างไรเสียพวกเจ้าคนเมืองชงซัน ก็ถูกลิขิตให้มีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานนักหรอก…ชะตากรรมของรุ่นก่อนเป็นอย่างไร รุ่นหลังอย่างพวกเจ้าก็ต้องเป็นเช่นนั้น”
“มีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน? เรื่องนั้นดูเหมือนไม่ใช่อะไรที่เจ้าจะตัดสินได้นะ โจวฉี”
ต้วนหลิงเทียนเลือกที่จะกล่าวออกมาดังๆ ไม่ได้ส่งเสียงผ่านปราณแท้มาเสียดสีอย่างโจวฉี
และวาจานี้ของต้วนหลิงเทียนก็ดึงดูดความสนใจของผู้คนจำนวนมากทันที
หน้าโจวฉีถึงเปลี่ยนไปไม่น้อย
ตอนนี้มันรู้ดีว่าหากมันยังอยู่ที่นี่ต่อปากต่อคำกับอีกฝ่าย มิแค้ลวเดี๋ยวเรื่องได้แดงขึ้นมาเป็นแน่! มันรีบเก็บค้อนสลาตันกลับแล้วจากไปทันที ไม่กล้าอยู่ต่ออีกแม้ลมหายใจเดียว
สำหรับโจวฉีแล้ว
เรื่องสำคัญที่สุดตอนนี้คือ พาตัวไปให้ห่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้โดยเร็วที่สุด!
การรีบร้อนจากไปของโจวฉี เป็นอะไรที่เหนือคาดอยู่บ้าง ยังถึงกับทำให้ต้วนหลิงเทียนแปลกใจไม่น้อย ‘ทำไมโจวฉีมันรีบร้อนจากไปทำเหมือนกลัวอะไรแบบนั้นล่ะ…นี่มันกลัวอะไรกันแน่?’
1455 ข่มขู่!
“ในฐานะที่เป็นหมากตัวนึงในการล้างแค้นของหลิวฮ่วน…ไม่คิดเลยว่ากระทั่งเจ้าตายไปแล้ว โจวฉียังไม่แม้แต่จะดูดำดูดีศพเจ้าด้วยซ้ำ ช่างน่าเศร้าอะไรเช่นนี้…”
หลังจากที่ปลดแหวนพื้นที่ของเฝิงฟ่าน และริบของมีค่าจากร่างอีกฝ่ายมาหมดแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็มองร่างไร้วิญญาณของเฝิงฟ่านด้วยสายตาซับซ้อนครู่หนึ่ง ก่อนที่จะหันหลังเตรียมเดินผ่านฝูงชนเพื่อกลับบ้าน
ฝูงชนก็เปิดทางให้เขาได้เดินสะดวก
ถึงแม้ว่าจะมีศิษย์ฝ่ายนอกมากมายที่แทงข้างเฝิงฟ่านกับต้วนหลิงเทียน จนต้องเสียคะแนนอุทิศไปแทบหมดตัว แต่พวกมันก็ไม่มีใครโทษต้วนหลิงเทียนแม้แต่น้อย
ในสายตาของพวกมันนั้น ที่พวกมันแพ้ล้วนเป็นเพราะเฝิงฟ่านไม่เอาไหนใช้การไม่ได้เอง!
ที่พวกมันกล้าทุ่มแทงเดิมพันข้างเฝิงฟ่านนั้น เพราะอีกฝ่ายได้ชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดในศิษย์ฝ่ายนอก ทั้งยังติดอันดับในรายนามปฐพี พวกมันจึงคิดว่าเฝิงฟ่านสมควรเอาชนะต้วนหลิงเทียนผู้เป็นศิษย์ใหม่เข้าสำนักมาแค่ 2 เดือนได้แน่นอน!
ทว่าผลลัพธ์ที่ออกมา เป็นอะไรที่พวกมันคาดไม่ถึงจริงๆ
ต้วนหลิงเทียนศิษย์ใหม่ฝ่ายนอกที่พึ่งเข้าร่วมสำนักได้ 2 เดือน กลับสังหารยอดฝีมืออย่างเฝิงฟ่านที่ติดอันดับรายนามปฐพี จนมีชื่อเสียงโด่งดังมานานในฝ่ายนอกของสำนักจันทร์จรัสแสงได้เสียอย่างนั้น!
“ต้วนหลิงเทียน หากเจ้าว่างเมื่อไหร่ก็จงรีบไปหาข้าที่คฤหาสน์ แล้วคืนเดิมพันที่ข้าแทงข้างเฝิงฟ่านกลับมาเสียให้หมด หาไม่แล้ว…เหอะ!”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังเดินกลับ น้ำเสียงไม่เป็นมิตรผ่านปราณแท้หนึ่งก็ส่งตรงถึงหูเขา
และเสียงข่มขู่นี้ก็ไม่ได้แปลกหูต้วนหลิงเทียนแต่อย่างไร
ครู่ต่อมาร่างต้วนหลิงเทียนก็หยุดลง หันกลับมาว่ายตาไปยังกลุ่มอาวุโสฝ่ายนอก ไม่นานก็หยุดที่ร่างหวงเฉิง อาวุโสฝ่ายนอกที่แทงเดิมพันข้างเฝิงฟ่านกับเขาอย่างหนักเมื่อวานด้วยสายตาไม่แยแส
“เจ้ากลับกล้ามองข้าด้วยสายตาเช่นนั้นต่อหน้าผู้คนมากมายงั้นเหรอ…หากเจ้าไม่ส่งคะแนนอุทิศให้ข้าล้านแต้ม ข้าจักไม่ปล่อยเจ้าไปแน่!”
เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนกล้าหันมามองมันด้วยสายตาราวกับไม่เห็นหัวต่อหน้าผู้คน หวงเฉิงถึงกับของขึ้นทันใด
และมันก็ไม่รอช้า กล่าววาจาข่มขู่หมายรีดไถคะแนนอุทิศจากต้วนหลิงเทียนถึง 1,000,000 แต้มทันที!
เห็นได้ชัดว่ามันมองต้วนหลิงเทียนเป็นแค่แพะอ้วนตัวหนึ่งเท่านั้น
อย่างไรก็ตามพอได้ยินเสียงขู่ข่มรอบนี้ของหวงเฉิง ต้วนหลิงเทียนกลับแย้มยิ้มออกมาหน้าระรื่นทันที
“เมื่อวานนี้เป็นท่านมาหาข้าด้วยตัวเอง และเลือกจะแทงเดิมพันกับข้า 360,000 คะแนนอุทิศ…แต่ตอนนี้ไม่เพียงแต่ท่านไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ท่านกลับขู่ให้ข้าคืนคะแนนอุทิศ 360,000 แต้มที่ท่านลงเดิมพัน! ขอถามท่านสักคำ นี่ท่านยังมีศักดิ์ศรีของอาวุโสฝ่ายนอกหลงเหลืออยู่หรือไม่? ถึงได้คิดบีบคั้นข้าด้วยอำนาจมิชอบแบบนี้! หรือที่แท้สำนักจันทร์จรัสแสงมันไร้กฏเกณฑ์ถึงขนาดนั้นเชียวหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนหรี่ตามองหวงเฉิงทั้งกล่าวโพล่งคำออกมาเสียงดังฟังชัดท่ามกลางผู้คนมากมายในลานฝึกซ้อม
ด้วยความที่กล่าววาจาออกมาระรัวรวดเดียวจบคำ จึงทำให้หวงเฉิงไม่ทันได้ตอบสนองเรื่องราว ยังคล้ายอื้ออึงไปอยู่บ้าง!
และพอมันรู้สึกตัว ก็พบว่าตอนนี้สายตานับร้อยๆคู่กำลังหันมามองที่มันเขม็ง ทำให้สีหน้าแววตามันเปลี่ยนไปทันใด
“อาวุโสหวง ที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวมานั่นใช่เรื่องจริงหรือไม่?”
อาวุโสฝ่ายนอกคนหนึ่งที่ยืนข้างหวงเฉิง ขมวดคิ้วเป็นปมกล่าวถามออกมาเสียงแข็ง “หากจริง ท่านก็ล้ำเส้นไปหน่อยแล้ว!”
“นั่นสิอาวุโสหวง อย่างไรท่านก็เป็นถึงอาวุโส! ถือเป็นหน้าตาของฝ่ายนอกสำนักจันทร์จรัสแสง…ลำพังตัวท่านเสื่อมเสียมิว่า แต่อย่าได้พาลให้พวกเราอาวุโสฝ่ายนอกเสื่อมเสียไปกับท่านด้วย!”
อาวุโสอีกคนก็กล่าวเสริมออกมา
“ถ้าเป็นข้า เมื่อแพ้ก็ต้องยอมรับว่าแพ้ถึงแม้จักไม่เต็มใจเพียงใดก็ตาม…อาวุโสหวง หากท่านข่มขู่ต้วนหลิงเทียนเช่นนี้จริงๆ ข้าว่าท่านต้องไปอบรมบ่มนิสัยที่โถงคุมกฏสักหน่อยแล้ว”
อาวุโสฝ่ายนอกอีกคนได้ทีก็กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
หลังจากได้ยินวาจาเสียดสีทั้งตำหนิจากเหล่าอาวุโส หวงเฉิงถึงกับหัวร้อน โพล่งคำออกมาอย่างฉุนเฉียว “คนยืนพูดมิปวดเอว!” หลังจากนั้นมันก็หันไปจ้องต้วนหลิงเทียปานจะกินเลือดเนื้อ “ต้วนหลิงเทียน! เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงได้กล่าววาจาใส่ร้ายข้าเช่นนี้ ถึงแม้ 360,000 คะแนนอุทิศจักมิใช่น้อย แต่ข้าก็มิได้ติดใจอันใดขนาดนั้น”
เมื่อถูกฝูงชนเพ่งเล็งทั้งคล้ายกำลังจะรุมประณามมันเต็มที หวงเฉิงแน่นอนว่าย่อมไม่กล้ารับ
หาไม่แล้วตำแหน่งอาวุโสฝ่ายนอกของมันคงได้หลุดลอยแน่แท้!
“ใส่ร้าย?”
ต้วนหลิงเทียนแสยะยิ้มเย็น “อาวุโสหวงเฉิง ข้าท่านไม่เคยรู้จักมักคุ้นอะไรกันมาก่อนจนถึงเมื่อวาน…ทำไมข้าต้องไปใส่ร้ายท่าน? ที่ท่านฉุนเฉียวอยู่นี่…อย่าได้บอกข้าเชียวว่าทั้งหมดเป็นเพราะคะแนนอุทิศที่ท่านทุ่มแทงเดิมพันกับข้ามา 360,000 แต้มเมื่อวาน…”
“อันที่จริงข้าคิดว่ากับอีแค่ 360,000 คะแนนอุทิศที่ท่านเสียไปคงไม่ถือว่ามากมายอะไร… เพราะหากเทียบกับผู้ดูแลเติ้งเหว่ย ที่ต้องทุกข์ระทมเพราะเสียไป 150,000 คะแนนอุทิศ และจำนวนดังกล่าวนั้นแทบจะเป็นทั้งหมดที่มีด้วยซ้ำ แต่กระทั่งผู้ดูแลเติ้งที่แทบหมดตัวยังไม่ขู่ข้าเลย…”
“หากเทียบกันแล้ว…ดูเหมือนวุฒิภาวะทางอารมณ์ท่านจะอ่อนด้อยกว่าเสียอีก”
หลังกล่าวจบคำ ต้วนหลิงเทียนก็ส่ายหัวไปมาเบาๆ
ได้ยินวาจาที่คล้ายจะ ‘ยกย่อง’ นี้ของต้วนหลิงเทียน เติ้งเหว่ยไม่เพียงไม่ยินดี แต่ยังแทบกระอักเลือดตาย!
คะแนนอุทิศ 150,000 แต้มนั้น เรียกว่าเป็นทุกสิ่งสำหรับมันแล้วจริงๆ
เพราะในบัตรแก้วของมันตอนนี้เหลือคะแนนอุทิศแค่หลักพันเท่านั้น
แต่ไหนเลยจะกล่าวว่ามันไม่สนใจและเจ็บแค้นได้
เหตุผลที่มันไม่ได้ข่มขู่ต้วนหลิงเทียนนั้น เพราะมันรู้ดีว่าทั้งหมดมันไร้ประโยชน์! มันทำได้แค่คอยมองหาโอกาสอันดีที่จะฆ่าต้วนหลิงเทียนให้ตาย และช่วงชิงบัตรแก้วของต้วนหลิงเทียนมาภายหลัง!!
เพราะหลังจากนั้นไม่เพียงแต่มันจะได้คะแนนอุทิศ 150,000 แต้มคืน แต่ยังได้คะแนนอุทิศ 3,000,000 ที่อยู่ในบัตรของต้วนหลิงเทียนอีกด้วย
“เจ้า…!”
สีหน้าหวงเฉิงมืดมนลงทันใด มันฮึดอัดคล้ายคิดกล่าวคำใดบางอย่าง ทว่าต้วนหลิงเทียนพลันกล่าวขัดขึ้นมาเสียก่อน “ผู้อาวุโสหวงเฉิง ต่อให้ท่านจะเป็นอาวุโสฝ่ายนอก แต่ก็อย่าได้คิดว่าจะใช้อำนาจมิชอบของท่านมาบีบคั้นข้าได้! ข้าไม่คิดคืนให้ท่าน และไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ท่านคิดรีดไถข้า 1,000,000 คะแนนอุทิศอะไรนั่นด้วยซ้ำ!!”
1,000,000 คะแนนอุทิศ!
ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนกล่าววาจานี้ ทุกผู้คนก็มองหวงเฉิงด้วยสายตาที่ต่างออกไปทันที
ตราบใดที่ไม่ใช่คนโง่ ย่อมรู้ดีว่าไม่พ้นเป็นหวงเฉิงขู่จะเอาคะแนนอุทิศ 1,000,000 แต้มจากต้วนหลิงเทียนอีกเป็นแน่!
“เฮอะ! นี่น่ะเหรออาวุโสฝ่ายนอก! กล้าปล้นผู้คนกลางวันแสกๆเช่นนี้เลย?”
“นั่นสิ! แม้ข้าจะเป็นแค่ศิษย์ฝ่ายนอกธรรมดาๆ แต่ยามข้าแพ้ข้ายังยอมรับว่าแพ้! นี่ต้องเติบโตมาในสังคมเช่นไรกัน…กลับกล้าใช้ฐานะอาวุโสฝ่ายนอกมาบีบคั้นหมายรีดไถคะแนนอุทิศของศิษย์คนหนึ่ง! แถมยังกล้ารีดไถต้วนหลิงเทียนถึง 1,000,000 คะแนนอุทิศ!!”
“นี่ยังมิใช่คิดจับเสือมือเปล่าหรือไร? ใต้หล้ามีเรื่องดีๆพรรค์นี้อยู่ด้วย?”
……
เหล่าศิษย์ฝ่ายนอกที่เสียเดิมพันกล่าววาจาด่าทอออกมาไม่หยุด จังหวะนี้พวกมันไม่สนอีกต่อไปว่าหวงเฉิงนั่นมีตำแหน่งอาวุโสอะไรหรือไม่ พวกมันขอเพียงได้ด่าระบายอารมณ์ออกมาก็พอ
หวงเฉิงถึงกับตะลึงลานไปใหญ่แล้ว!
ตอนนี้สถานการณ์ได้บานปลายเกินที่มันจะควบคุมได้อีกต่อไป
“ต้วนหลิงเทียน! เจ้ารู้หรือไม่ว่าในสำนักจันทร์จรัสแสงแห่งนี้ การใส่ร้ายผู้อาวุโสมีโทษร้ายแรงเพียงใด!!”
สุดท้ายหวงเฉิงก็ทำได้แค่ตะโกนออกมาเสียงกร้าว!
ในน้ำเสียงแข็งกร้าวดังกล่าวยังแฝงปราณแท้ ทำให้ดังสนั่นนัก สามารถสยบทุกเสียงในลานฝึกซ้อมได้ชะงัด
“ใส่ร้าย?”
ต้วนหลิงเทียนแค่นคำเย้ยหยัน “หึ! อาวุโสหวง…คำก็ใส่ร้ายสองคำก็ใส่ร้าย ข้าล่ะสงสัยนักว่าท่านกล้ากล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าหรือไม่ ว่าท่านไม่ได้ขู่ข้า?”
“เหอะ! ข้ายังกล่าวไม่ชัดหรือไรว่ามิเคยขู่เจ้า?! แล้วนี่เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร คู่ควรให้ข้ากล่าววาจาสาบานเพราะเจ้างั้นรึ?”
หวงเฉิงแค่นเสียงเย็น สีหน้าท่าทีเผยความดูแคลนออกมาโต้งๆ
“อ่านั่นสินะ ท่านเป็นถึงผู้อาวุโสฝ่ายนอกที่น่าเกรงขาม…ข้าคงไม่คู่ควรที่จะให้ท่านกล่าวคำสาบานเพื่อข้า ถ้างั้นข้าจะกล่าวคำสาบานเอง…! หากข้าต้วนหลิงเทียนกล่าววาจาโป้ปดเรื่องที่ท่านข่มขู่หมายเอาคะแนนอุทิศกลับ รวมทั้งเรื่องที่ท่านคิดรีดไถคะแนนอุทิศ 1,000,000 แต้มจากข้าแม้ครึ่งคำ! ข้ายินดีให้อัสนีทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าพิฆาตร่างตายตก!!”
ต้วนหลิงเทียนหันไปกล่าวกับหวงเฉิงด้วยสีหน้าเฉยเมย ก่อนที่จะลงมือกรีดนิ้วพร้อมกล่าวคำสาบานโดยที่ไม่ทันให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัวอะไร และทางด้านหวงเฉิงเมื่อเห็นดังนั้นก็หน้าเปลี่ยนสีทันที!!
เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง!
……
อัสนีทัณฑ์สวรรค์ลั่นกังวานไปทั่วฟ้า 9 คำรบ ตอบรับคำสัตย์สาบาน!
เมื่อมีเสียงอัสนีลั่นดังจากฟากฟ้า 9 ครั้ง อันหมายความว่าสวรรค์ตอบรับคำสาบานแล้ว หากแต่ต้วนหลิงเทียนยังอยู่ดีไม่ถูกอัสนีสวรรค์พิฆาตตายตก! นั่นก็บ่งบอกให้ผู้คนกระจ่างชัดว่าวาจาของเขาไม่มีผิดแม้ครึ่งคำจริงๆ!!
มาตอนนี้วาจาต้วนหลิงเทียนหรือหวงเฉิงที่น่าเชื่อกว่ากัน ผู้คนก็ตัดสินได้โดยง่าย!
หลังจากนั้นก็มีเสียงโห่ระคนก่นด่าดังขึ้น ไม่นานทุกผู้คนในลานฝึกซ้อมก็เริ่มโห่ไล่หวงเฉิงกันหมด!
ทั้งสายตาที่ทุกคนใช้มองหวงเฉิงนั้น ยิ่งมายิ่งสมเพชถึงที่สุด!
หากใครกล่าวว่าตอนแรกพวกมันยังไม่มั่นใจเต็มสิบส่วนว่าที่ต้วนหลิงเทียนพูดเป็นความจริง ทว่าหลังจากต้วนหลิงเทียนกล่าวสาบานแล้วพวกมันก็เชื่อต้วนหลิงเทียนหมดใจ!
คำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์ไม่มีวันโกหกได้!
เพราะนั่นคือศักดิ์ศรีของสวรรค์!
มีคำกล่าวที่ว่า ฟ้ามีตา…เทพยาดาแลเห็น! นั่นหมายความว่า สวรรค์ได้ทอดมองสรรพสิ่งตลอดเวลา และไม่เคยปราณีผู้ใด!
ตอนนี้เหล่าอาวุโสฝ่ายนอกไม่เว้นต่งชง เริ่มเว้นระยะห่างจากหวงเฉิงกันถ้วนหน้า มีทั้งไม่ตั้งใจและถอยมาโดยไม่ทันได้คิด คล้ายบังเกิดความอับอายที่จะถูกเหมารวมว่าเป็นพวกเดียวกันกับหวงเฉิง เพราะอย่างไรเสียหวงเฉิงก็เป็นอาวุโสฝ่ายนอกคนหนึ่ง
หวงเฉิงหน้าดำคล้ำไปด้วยโทสะ หากแต่มันก็ไร้คำใดจะกล่าวออก
ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวคำสาบานออกมาแบบนี้ มันก็รู้ตัวดี ว่าตอนนี้ให้มันพูดอะไร…ก็ไม่มีใครคิดเชื่อมันอีกแล้ว!
“ต้วนหลิงเทียน อย่าได้พลาดพลั้งอันใดมาเชียว หากข้าสบโอกาสเมื่อใดข้าจะฆ่าเจ้าให้ตาย!!”
ด้วยโทสะหวงเฉิงพลันถลึงตามองต้วนหลิงเทียนอย่างอาฆาต กล่าววาจาผ่านปราณแท้ไปข่มขู่ต้วนหลิงเทียนอีกรอบ และก็ไม่รั้งรออะไร พุ่งร่างหายลับไปจากสายตาของทุกผู้คนทันที
ได้ยินคำขู่ทิ้งทายของหวงเฉิง ต้วนหลิงเทียนก็ยังคงมีสีหน้าสงบ ไม่ได้ใส่ใจอะไร
ถึงแม้อีกฝ่ายจะไม่ได้ข่มขู่ แต่ด้วยนิสัยของหวงเฉิงแล้ว ต้วนหลิงเทียนรู้ดีว่ามันไม่มีวันปล่อยเขาไปง่ายๆถึงแม้จะส่งมอบ 360,000 คะแนนอุทิศคืนไปแล้วเป็นแน่…
เช่นนั้นแล้วเขายังจะต้องกลัวอะไรมัน?
เมื่อเห็นว่าหวงเฉิงจากไปโดยไม่คิดจะกล่าววาจากล่าวอ้างหรือแก้ตัวอะไร ผู้คนก็โห่ออกมาอีกรอบอย่างรังเกียจ
“หน้าไม่อาย! ช่างไร้ยางอายยิ่งนัก!!”
“ไฉนข้ามิเคยรู้มาก่อนเลยว่าอาวุโสหวงเฉิงกลับเป็นชนชั้นต่ำทรามไร้ยางอายได้ขนาดนี้!”
“ข้าขอบอกไว้เลย ว่าคนพรรค์นี้ไม่คู่ควรกับการเป็นอาวุโสฝ่ายนอกสักนิด! มันแค่ตัวอัปยศ! รังแต่จะสร้างความเสื่อมเสียให้สำนักเท่านั้น!!”
……
เหล่าศิษย์ฝ่ายนอกทั้งหลายเริ่มก่นด่าหวงเฉิงออกมาด้วยความรังเกียจ ทั้งหลายยังอดไม่ได้ที่จะเห็นใจต้วนหลิงเทียนขึ้นมาอยู่บ้าง
“ขอบคุณพี่น้องทุกท่านที่สนับสนุนข้า!”
ต้วนหลิงเทียนเห็นว่าสถานการณ์เริ่มเข้าที่แล้ว ก็ควบเสียงผสานปราณแท้กล่าววาจาออกมาเสียงดังทันที “ข้าเองหลังจากผ่านเรื่องเมื่อครู่มา..ก็พอได้คิดอะไรบางอย่าง การเสียคะแนนอุทิศไปเช่นนี้ สำหรับพวกท่านแล้วก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน…เช่นนั้นนอกจากอาวุโสหวงเฉิงกับผู้ดูแลเติ้งเหว่ยแล้ว ข้าจะคืนคะแนนอุทิศให้ทุกคนเป็นจำนวนครึ่งหนึ่งของที่พวกท่านเดิมพันมา!
“พรุ่งนี้ตอนเที่ยงข้าจะกลับมาที่ลานฝึกซ้อมแห่งนี้ ขอให้พี่น้องทั้งหลายนำใบสัญญาเดิมพัน ที่มีลายนิ้วมือข้าประทับมาหาข้า แล้วข้าจะคืนคะแนนอุทิศให้พี่น้องทั้งหลายครึ่งหนึ่ง!!”
เสียงของต้วนหลิงเทียนดังก้องไปทั่วลานฝึกซ้อม
“จริงหรือ!?”
“ศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนจงเจริญ!”
“ขอบคุณท่านยิ่งนักศิษย์พี่ต้วน!!”
“ศิษย์พี่ต้วนช่างประเสริฐแท้! กลับมีน้ำใจคืนคะแนนอุทิศครึ่งนึงที่พวกเราแทงไป!!”
……
หลังได้ยินคำประกาศของต้วนหลิงเทียน ศิษย์ฝ่ายนอกก็กู่ร้องออกมาด้วยความยินดี รีบขอบคุณทั้งสรรเสริญต้วนหลิงเทียนกันยกใหญ่
เหล่าผู้ดูแลฝ่ายนอกเองที่ฟังอยู่ สองตาก็ถึงกับเปล่งประกายวิบวับออกมา!
“ต้วนหลิงเทียน! ในเมื่อเจ้าคืนให้ผู้อื่น…แล้วไฉนไม่คืนให้ข้าด้วยเล่า!?”
ทันใดนั้นเอง เติ้งเหว่ยพลันตะโกนถามออกมาด้วยน้ำเสียงขุ่นขึ้งหมองใจ
1456 พลิกลิ้น!
“ก็ไม่มีอะไรมากมายหรอก เพราะข้ามีความสุข…ทำไม? ท่านมีปัญหาอะไรรึ?”
ได้ยินเสียงตะโกนของเติ้งเหว่ยต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองกล่าวด้วยสีหน้านำเสียงเฉยเมย ทำให้เติ้งเหว่ยแทบกระอักเลือดออกมาอยู่รอมร่อ!
“เจ้า…”
เติ้งเหว่ยเต็มไปด้วยโทสะล้นใจ และทำท่าคล้ายจะกล่าววาจาใดออกมา ทว่าสุดท้ายมันก็ถูกต้วนหลิงเทียนขัดคำเอาไว้อีกคน ด้านต้วนหลิงเทียนที่หยุดเติ้งเหว่ยแล้ว ก็หันไปมองฝูงชนรอบๆ “ท่านทั้งหลาย! เติ้งเหว่ยผู้นี้มันเองก็อยากให้ข้าตาย เพราะข้าดันเอาชนะหลานชายมันในวันทดสอบเข้าร่วมสำนัก!”
“และวันนั้นที่ข้าเปิดรับแทงเดิมพัน มันยังส่งเสียงผ่านปราณแท้มาซ้ำเติมข้า ยังบอกอีกว่าหากข้าตายมันจะรีบเอาข่าวดีนี้ไปบอกหลานชายมัน…! ข้าขอถามพี่น้องทุกคนในที่นี้ ว่าหากพวกท่านเป็นข้า ยังจะคืนคะแนนอุทิศให้มันหรือไม่?”
เสียงต้วนหลิงเทียนนั้นควบไปด้วยปราณแท้ ทำให้ดังชัดถนัดหูของทุกผู้คนในลานฝึกซ้อม
“ย่อมไม่แน่นอน!”
“มิน่าแปลกใจเลยว่าไฉนศิษย์พี่ต้วนถึงดูจงใจสร้างความลำบากให้ผู้ดูแลเติ้งเหว่ยนัก ที่แท้เรื่องราวกลับมีเบื้องหลังความเป็นมาเช่นนี้นี่เอง…”
“เหอะ! ผู้ดูแลเติ้งเหว่ยก็เป็นชนชั้นไร้ยางอายอีกคนแล้วหรือ? นี่ยังกล้าถามต้วนหลิงเทียนว่าไฉนไม่คืนคะแนนอุทิศ ใยมันไม่คิดถึงตอนที่มันอยากให้ต้วนหลิงเทียนตายบ้าง!!”
……
เหล่าศิษย์ฝ่ายนอกหันมองเติ้งเหว่ยด้วยสายตาดูถูก ปากยังกล่าววาจาด้วยความรังเกียจ พวกมันคล้ายจะเอาโทสะที่เสียเดิมพันเพราะเฝิงฟ่านมาลงกับเติ้งเหว่ยอีกคน
ทำราวกับพวกมันลืมไปแล้ว ว่าก่อนหน้านี้พวกมันเองก็อยากให้ต้วนหลิงเทียนตาย…เพราะต่างก็แทงข้างเฝิงฟ่านเช่นกัน!
“ไม่น่าแปลกใจเลยที่ข้าเห็นผู้ดูแลเติ้งกล้าเดิมพันกับต้วนหลิงเทียนถึง 150,000 คะแนนอุทิศ ที่แท้กลับมีเรื่องบาดหมางดังกล่าวกับต้วนหลิงเทียนมาก่อนนี่เอง”
ผู้ดูแลฝ่ายนอกคนหนึ่งกล่าวออก
“เพ้ย! เหลวไหลยิ่งนัก! เติ้งเหว่ย หลานเจ้าแพ้พ่ายต้วนหลิงเทียนในการทดสอบ ก็ล้วนเป็นเพราะมันฝีมือไม่ถึงเองมิใช่หรือไร จึงได้ไร้วาสนาเข้าร่วมสำนักเรา…! เรื่องนี้เจ้าจะไปโทษต้วนหลิงเทียนได้อย่างไร!?”
“ถูกแล้ว! เติ้งเหว่ย..ไม่ว่าเจ้าคิดจะโอ๋หลานชายของเจ้าเพียงใด เจ้าก็ต้องหัดใช้เหตุผลด้วย!”
……
ผู้ดูแลคนอื่นๆก็เร่งกล่าวเข้าข้างต้วนหลิงเทียนออกมาทันที ทำให้สีหน้าเติ้งเหว่ยยิ่งมายิ่งหมองคล้ำ
สุดท้ายเติ้งเหว่ยก็ตระหนักได้ว่า อยู่ที่นี่ต่อไปก็รังแต่จะอับอายขายขี้หน้า มันแค่นคำเย็นชาทั้งถลีงตามองต้วนหลิงเทียนอย่างคับแค้นอีกรอบ ก่อนที่จะรีบวิ่งจากไปไม่ต่างใดกับโจวฉีและหวงเฉิงก่อนหน้า…
“ศิษย์พี่น้องทั้งหลาย พรุ่งนี้ค่อยพบกันใหม่”
หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนมองกล่าวกับคนรอบๆพร้อมยกมือขึ้นมาประสานเขย่าไม่กี่ที เขาก็เดินกลับบ้านทันที
ตอนนี้เหล่าผู้คนที่อยู่ในลานฝึกซ้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งศิษย์ฝ่ายนอกและผู้ดูแลที่แทงเดิมพันกับต้วนหลิงเทียน ล้วนมองแผ่นหลังต้วนหลิงเทียนที่กำลังเดินจากไปด้วยสายตาชื่นชม
“ต้วนหลิงเทียน!”
เมื่อเห็นซึ้งถึงความแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียน สีหน้าเยี่ยหมานก็บิดเบี้ยวอัปลักษณ์นัก!
ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนมีสามารถสูงถึงขั้นสังหารเฝิงฟ่านที่มีศาสตราพร้อมอาคมเซียน 2 ชนิดนั่นลงได้ เยี่ยหมานก็รู้สึกคล้ายต้วนหลิงเทียนกลับกลายเป็นขุนเขาสูงชันที่มันไม่มีวันข้ามไปได้…
“ดูเหมือนว่าที่ข้าแพ้มันเมื่อ 2 เดือนก่อน จะไม่น่าอับอายแล้ว…”
‘เซี่ยวชุย’ ที่มาจากจวนเจ้าเมืองหลัวเจี้ยนเผยยิ้มขื่นขมออกมา ตอนนี้มันยอมรับนับถือต้วนหลิงเทียนนัก ไม่กล้าคิดแค้นอะไรสืบไป…
หลังจากที่กลับมาถึงบ้านเดี่ยวพร้อมลานว่าง ต้วนหลิงเทียนก็กล่าวออกมาพร้อมยิ้มแหยๆ “นี่ข้าใจกว้างไปรึเปล่านะ?”
เดิมทีจำนวนคะแนนอุทิศจากการเดิมพันคราวนี้เขาต้องได้รับถึง 3,000,000 แต้ม
ในบรรดาคะแนนอุทิศเหล่านั้น มีของหวงเฉิง 360,000 แต้ม กับของเติ้งเหว่ย 150,000 แต้ม ที่ไม่นับรวมอยู่ในยอดที่เขาจะคืนพรุ่งนี้
เมื่อหักลบกับยอดที่ไม่ต้องคืนส่วนนี้แล้ว เท่ากับเขาจะมีคะแนนอุทิศเหลืออยู่ 2,490,000 แต้ม
คะแนนอุทิศที่เหลือนั้นต้วนหลิงเทียนออกปากไว้แล้วว่าจะคืนไปครึ่งหนึ่ง…นั่นหมายความว่าสุดท้ายเขาจะเหลือคะแนนอุทิศอยู่ 1,250,000 แต้ม และเมื่อเอาไปรวมกับยอดของหวงเฉิงและเติ้งเหว่ย พอตีเป็นเลขกลมๆก็จะเป็น 1,750,000แต้ม
“ถึงแม้ว่าจะไม่รวมที่ต้องส่งคืนให้หวงเฉิงกับเติ้งเหว่ยนั่น ข้าก็ยังต้องคืนอีก 1,250,000 คะแนนอุทิศกลับไป…”
หลังจากคำนวณอย่างละเอียดแล้ว คิดอีกทีต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกว่าตัวเองหน้าใหญ่ใจกว้างเกินไปอยู่บ้าง
“ช่างเถอะ ยังไงก็มีอยู่อีกตั้ง 1,750,000 คะแนนอุทิศ จำนวนนี้ก็น่าจะพอให้ข้าใช้จ่ายได้ตามใจแล้ว…ยังไงเสียคะแนนอุทิศอะไรนี่มันก็ใช้ได้แค่ในสำนักจันทร์จรัสแสงกับอีก 18 เมืองใต้อาณัติเท่านั้น พอไปที่อื่นก็ไร้ประโยชน์…”
และด้วยเหตุผลข้อนี้ ต้วนหลิงเทียนถึงได้ตัดสินใจที่จะคืนคะแนนอุทิศไปครึ่งหนึ่ง
ถึงแม้ว่าจะเป็นคะแนนอุทิศแค่ครึ่งเดียว แต่มันก็มากพอจะซื้อใจผู้คน! และเรื่องนี้ทำให้ผู้ประสงค์ร้ายลงมือกับเขายากขึ้นมาอีกส่วน..
หลังจากปิดประตูหน้าต่างห้องหับดีแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็วูบร่างเข้าเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติทันที
เขายังไม่ได้เริ่มฝึกฝนบ่มเพาะอะไร เพียงหยิบดาบใหญ่ไร้คมของเฝิงฟ่านขึ้นมาสำรวจดูอย่างละเอียด
กล่าวให้ชัดคือเขากำลังพยายามตรวจสอบ อาคมเซียน ที่จารึกอยู่บนตัวดาบ…
ลวดลายและอักขระจากการจารึกอาคมเซียนบนดาบใหญ่นั้น เป็นถึงอาคมเซียนระดับ 2 ดาวที่เรียกว่า พันทวี เมื่อถูกเปิดใช้งานจะทำให้น้ำหนักของตัวดาบเพิ่มขึ้นพันเท่า นี่ส่งผลให้บังเกิดเป็นอานุภาพจู่โจมมหาศาล…!
ต้วนหลิงเทียนที่โดนมากับตัวย่อมตระหนักถึงพลังอำนาจที่น่ากลัวนั่นชัดดี!
“โชคดีนักที่ข้ามีม่านตาพิสดาร ไม่งั้นวันนี้ข้าได้ตายแน่…”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวรำพัน
หลังจากพยายามศึกษาอยู่พักหนึ่งต้วนหลิงเทียนก็เริ่มเวียนหัวตาลาย ง่วงนอนไม่น้อย
เพราะในขณะศึกษาอาคมเซียนที่จารึกนั้น พลังวิญญาณที่พึ่งฟื้นฟูมาได้ไม่เท่าไร ก็หมดลงอีกครั้ง
“ดูเหมือนว่าต้องรอให้พลังวิญญาณฟื้นฟูกลับมาเต็มที่ซะก่อน…”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวเสียงอ่อน
หลังจากที่ตัดสินใจแล้ว เขาก็ฝืนร่างเดินขึ้นไปยังชั้น 2 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติแล้วทิ้งตัวลงนอนทันที…
สำนักจันทร์จรัสแสง ฝ่ายใน…
“ท่านอาจารย์!”
เข้าคฤหาสน์มาไม่ทันไร โจวฉีก็รีบแจ้นไปหาอาวุโสหลิวฮ่วนอาจารย์ของมันทันที
“มีอันใด ไฉนสีหน้าเจ้าถึงได้เป็นกังวลนัก?”
หลิวฮ่วนเป็นชายวัยกลางคนรูปร่างหน้าตาแลดูธรรมดาทั่วไป หากแต่แววตาของมันกลับให้ความรู้สึกพร่ามัวคล้ายมีหมอกควันปกคลุม และใต้ดวงตาก็มีรอยดำคล้ำคล้ายคนอดนอน เพียงยืนอยู่เฉยๆ ก็ให้ความรู้สึกเสมือนมีไอแห่งความชั่วร้ายแผ่ออกมาทั่วกาย
เมื่อเห็นโจวฉีเร่งรีบเข้ามาด้วยสีหน้าเป็นกังวล หลิวฮ่วนก็ขมวดคิ้ว “เจ้าต้องหัดเอาอย่างศิษย์น้องของเจ้าบ้าง อายุก็มิใช่น้อยๆแล้วยังไม่รู้จักสำรวมเสียบ้าง!”
“ท่านอาจารย์มิใช่ว่าข้ารีบร้อนมาโดยไม่มีเหตุ แต่ข้ามีเรื่องด่วนต้องแจ้งต่อท่านจริงๆ!”
โจวฉีกล่าวออกมาพร้อมคลี่ยิ้มขื่นขม
“ว่ามา”
หลิวฮ่วนกล่าวเสียงเรียบ
“ท่านอาจารย์…ศิษย์น้องเฝิงฟ่านตายแล้ว…”
โจวฉีกล่าว
“ว่าอะไร!?”
พอได้ยินคำกล่าวนี้ของโจวฉี หลิวฮ่วนก็ขมวดคิ้วยู่ย่น สีหน้าเผยความประหลาดใจไม่น้อย “เกิดอะไรขึ้น?’
“ท่านอาจารย์ เฝิงฟ่านส่งสารท้าประลองเป็นตายให้กับศิษย์ใหม่ฝ่ายนอกที่พึ่งเข้าสำนักเรามาได้ 2 เดือน และอีกฝ่ายก็ตอบรับจนเกิดการประลอง…สุดท้ายเฝิงฟ่านกลับไม่ใช่คู่มือของศิษย์ใหม่คนนั้น”
หลังจากที่โจวฉีกล่าวจบ มันก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง “ฟ้าริษยาอัจฉริยะนัก…”
“ศิษย์ฝ่ายนอกคนใหม่ที่พึ่งเข้าสำนักมาได้ 2 เดือน?”
ลูกตาหลิวฮ่วนหดเล็กลงทันใด “มันเป็นใครกัน ไฉนถึงได้มีสามารถถึงขั้นฆ่าเฝิงฟ่านได้!?”
เฝิงฟ่านนั้นนับเป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดในฝ่ายนอก ซ้ำยังติดอันดับในรายนามปฐพี แม้อันดับในรายนามปฐพีของมันจะนับเป็นอันดับล่างท้ายตาราง แต่อย่างไรก็นับเป็นชนชั้นกล้าแข็งในบรรดา 9 พันธมิตรแล้ว
ทว่าตัวตนเช่นนั้นยังถูกฆ่าตาย!
แถมผู้สังหารยังเป็นเพียงศิษย์ฝ่ายนอกที่พึ่งเข้าร่วมสำนักจันทร์จรัสแสงได้แค่ 2 เดือน!
“มันเป็นยอดฝีมือในรายนามปฐพีด้วยหรือไร?”
หลิวฮ่วนกล่าวถามเสียงเข้ม
“หาไม่”
โจวฉีส่ายหัว “มันมิใช่ยอดฝีมือในรายนามปฐพีแต่อย่างไร และก่อนที่มันจะเข้าสำนักจันทร์จรัสแสงก็เป็นแค่มดตัวกระจ้อยไร้ชื่อเสียงเรียงนาม”
“ไม่ว่ามันจะเป็นตัวอะไร แต่อายุมันก็นับว่าอายุสั้นแล้วที่หาญกล้าฆ่าเฝิงฟ่าน!”
หลิวฮ่วนกล่าวออกมาเสียงเย็นท่าทางครุ่นคิด ไม่นานมันก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆค่อยกล่าวพึมพำ “อาวุโสจ้าวยังปิดด่านฝึกตนอยู่ เช่นนั้นเป็นไปได้สูงที่จักยังมิออกมาเร็วๆนี้ หากพวกเรากำจัดคนที่ฆ่าเฝิงฟ่านได้…นับว่าทำให้อาวุโสจ้าวติดค้างเราเรื่องหนึ่ง”
“ข้าก็คิดเช่นนั้นท่านอาจารย์”
โจวฉีพยักหน้า
“เฮอะ! นอกจากชักช้าไม่ทันกาลได้แต่เออออแล้วเจ้ายังทำอันใดได้อีก?”
หลิวฮ่วนหัวเราะเยาะ ด้วยไม่คิดว่าโจวฉีจะมีปัญญาทำอะไรได้
“ท่านอาจารย์คราวนี้ข้ามิได้ชักช้านะ…จริงๆแล้วคราวนี้ถึงแม้ศิษย์น้องเฝิงฟ่านจะไม่ถูกมันฆ่าตาย ข้าก็จะทำทุกอย่างเพื่อฆ่ามันอยู่ดี! แต่ไม่คิดเลยว่าก่อนที่ข้าจะฆ่ามันได้สำเร็จ ศิษย์น้องกลับถูกมันฆ่าตายเสียก่อน…”
โจวฉีเผยยิ้มขื่นขมออกมา ทว่าครู่ต่อมาในลูกตามันก็เผยประกายเย็นเยียบขุมหนึ่ง
“อะไร? หรือเจ้ามีความแค้นกับคนผู้นั้นมาก่อนแล้ว?”
หลิวฮ่วนขมวดคิ้ว ทันใดนั้นคล้ายมันนึกอะไรได้ออก สีหน้ามันเปลี่ยนไปทันใด “โจวฉี…เฝิงฟ่านส่งสารท้าประลองเป็นตายให้คนผู้นั้นคราวนี้…มิใช่เจ้ามีเอี่ยวด้วยหรอกนะ?”
“ไม่ๆ!”
โจวฉีรีบส่ายหัวปฏิเสธทันที
มันรู้ดีแก่ใจว่าหากยอมรับเรื่องนี้ คงฉิบหายมากกว่าดี…
แน่นอนว่าในใจของมันลอบกล่าวเย้ยเยาะอยู่ ‘ข้ามิได้แค่มีเอี่ยวธรรมดา แต่ข้านี่ล่ะที่ส่งมันไปฆ่าต้วนหลิงเทียน! เสียดายก็แต่เฝิงฟ่านนั่นมันไร้ประโยชน์ยิ่งนัก กลับตกตายคามือต้วนหลิงเทียนเสียได้!’
คำเหล่านี้มันกล้าแค่พูดในใจเท่านั้น ไม่มีทางปริปากพ่นคำออกมาเด็ดขาด
“ไม่มีใดแน่นะ?”
หลิวฮ่วนกล่าวจี้ถามออกมาเสียงเข้ม
“ท่านอาจารย์ข้ามิมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยจริงๆ! หากท่านมิเชื่อข้ากล่าวคำสาบานก็ได้!”
โจวฉียืนกรานปฏิเสธ ยังเสนอเรื่องสาบาน ด้วยรู้ดีว่าหลิวฮ่วนต้องไม่ให้มันกล่าวสาบานแน่!
ต้องบอกว่าโจวฉีคนนี้รู้จัก ‘ถอยคือการเดินหน้า’ เป็นอย่างดี และนั่นทำให้หลิวฮ่วนไม่สงสัยอะไรมันสืบไป “แล้วเจ้ารู้หรือไม่ ว่าอยู่ดีๆ ไฉนเฝิงฟ่านถึงได้ไปเป็นศัตรูกับคนผู้นั้นได้?”
“เรื่องนี้ข้าเคยได้ยินศิษย์น้องเฝิงฟ่านกล่าวอยู่บ้าง”
โจวฉีกล่าวเล่า “ดูเหมือนว่าหลังจากที่เจ้านั่นมันสามารถเอาชนะศิษย์ฝ่ายนอก 100 อันดับแรกมาได้ติดๆกันถึง 2 คน มันก็หยิ่งผยองถือดี ไม่เห็นหัวผู้ใด…กระทั่งพอได้ยินชื่อเสียงศิษย์น้องเฝิงฟ่าน มันก็กล่าวดูถูกศิษย์น้องเฝิงฟ่านออกมาว่าก็ไม่ได้นับเป็นตัวอะไร ด้วยปากร้ายวาจาเชือดเฉือนเช่นนี้จึงทำให้ศิษย์น้องเฝิงฟ่านมีโมโหนักที่ถูกลูบคม”
“สุดท้ายศิษย์น้องเฝิงฟ่านก็เลือกส่งสารท้าประลองเป็นตายให้มันด้วยโทสะ”
โจวฉีตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จออกไปอย่างฉะฉาน
แน่นอนว่าเรื่องนี้มันคิดไว้ตั้งแต่ก่อนมาแล้ว
ในเมื่อเฝิงฟ่านก็ตายไปแล้ว มันจะปั้นน้ำเป็นตัวอันใดก็ย่อมได้…
“แล้วเจ้าเล่า ไฉนไปมีเรื่องบาดหมางกับมันได้?”
หลิวฮ่วนขมวดคิ้วกล่าวถาม
“ท่านอาจารย์ ท่านเข้าใจผิดแล้ว…ข้ามิได้มีเรื่องบาดหมางกับมัน”
โจวฉีเผยยิ้มขื่นขมออกมา
“หืม? แล้วเจ้าหมายความว่าอะไรกันแน่?”
หลิวฮ่วนกล่าวถามด้วยความหงุดหงิด
“ท่านอาจารย์เหตุผลที่ข้าบอกว่าแม้ศิษย์น้องเฝิงฟ่านจะไม่ลงมือกับมัน ข้าก็จะหาทางฆ่ามันให้ได้นั้น…ล้วนเป็นเพราะความเป็นมาของมัน! และความเป็นมาของมัน…นับได้ว่าเป็นศัตรูกับพวกเรา ถึงขั้นยากที่จะอยู่ร่วมโลกเดียวกันกับพวกเราได้!!”
โจวฉีกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“ความเป็นมาของมันเป็นศัตรูกับพวกเรา? หรือมันยังมีอันใดเกี่ยวของกับข้าด้วย?”
หลิวฮ่วนยังไม่เข้าใจเรื่องราว
“ท่านอาจารย์ คนผู้นั้นมันเรียกว่าต้วนหลิงเทียน…เช่นเดียวกับศิษย์น้องซูฉี มันมาจากจวนเจ้าเมืองชงซัน…ทั้งดูเหมือนว่าจะเป็นศิษย์ของฟางฮุ่ยเช่นกัน!”
ถึงช่วงเวลาสำคัญ โจวฉีก็ปล่อยเหยื่อล่อตัวใหญ่ออกไปทันที
“จวนเจ้าเมืองชงซัน? ฟางฮุ่ย!?”
ไม่ผิดเพี้ยน สีหน้าหลิวฮ่วนมืดคล้ำดำลงทันใด!
1457 แลกชีวิต!
“เจ้าแน่ใจเหรอว่ามันเป็นคนของจวนเจ้าเมืองชงซัน ซ้ำยังเป็นลูกศิษย์ของฟางฮุ่ยนั่น!?”
ลูกตาหลิวฮ่วนเผยประกายสว่างวาบขึ้นมา เร่งถามเสียงเข้ม
มันไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ
ฟางฮุ่ยนั้นตอนแรกก็สามารถรับตัวอัจฉริยะจากทวีปมนุษย์อย่างซูฉีมาเป็นศิษย์ได้แล้ว…ทว่าหลังจากนั้นอีกฝ่ายยังสามารถรับตัวอัจฉริยะระดับนี้มาเป็นศิษย์ได้อีก?
นี่มันโชควาสนาอะไร!?
ไฉนมันหลิวฮ่วนถึงไม่มีโชควาสนาเช่นนี้บ้าง!?
ในเมื่ออีกฝ่ายพึ่งเข้าสำนักมาได้ 2 เดือน นั่นหมายความว่าต้วนหลิงเทียนผู้นั้นยังมีอายุไม่ถึง 40 ปี!
ทว่าการที่สามารถฆ่าเฝิงฟ่านได้ นั่นก็บ่งบอกให้รับทราบว่าศักยภาพและพรสวรรค์นั้นก้าวล้ำเหนือซูฉี ศิษย์ส่วนตัวที่มันภาคภูมิใจ!
หากมันรับทราบถึงการคงอยู่ของต้วนหลิงเทียนผู้นี้ก่อนเกิดเรื่อง มันจะรีบไปรับอีกฝ่ายเป็นศิษย์และปฏิบัติต่ออีกฝ่ายด้วยดีเหมือนที่กระทำกับซูฉี
อนิจจาตอนนี้เรื่องราวเหล่านั้นไม่อาจเป็นได้อีกแล้ว
เพราะอีกฝ่ายพึ่งฆ่าเฝิงฟ่าน ศิษย์ส่วนตัวของอาวุโสจ้าว!
อาวุโสจ้าวนั้นเป็น 1 ใน 3 ตัวตนอันทรงพลังของสำนักจันทร์จรัสแสง เป็นตัวตนที่แม้กระทั่งมันหลิวฮ่วน ยังต้องประจบเอาใจ!
คนที่ลงมือสังหารเฝิงฟ่าน ศิษย์ส่วนตัวของตัวตนระดับนั้น…ต่อให้มันหลิวฮ่วนมีความกล้ามากกว่านี้อีก 100 เท่ามันก็ไม่กล้ารับมาเป็นศิษย์!!
“ท่านอาจารย์ ตอนที่ข้าไปรับตัวศิษย์น้องซูฉีเมื่อกว่าครึ่งปีที่แล้ว ข้าเองก็เห็นมันเช่นกัน…ทว่าวันนั้นข้าไม่รู้ถึงศักยภาพพรสวรรค์ของมัน หาไม่แล้วข้าคงพามันกลับมาให้ท่านอาจารย์แต่แรก…”
โจวฉีติดตามหลิวฮ่วนมานานหลายปี วาจาใดควรกล่าวและวาจาใดพึงใจอีกฝ่ายมันย่อมรู้ดี
ทว่าความในใจของมันนั้น…ครึ่งปีที่แล้วหากมันรู้แต่แรกว่าต้วนหลิงเทียนมีพรสวรรค์ขนาดนี้ มันจะฆ่าอีกฝ่ายเสียให้ตายตั้งแต่ที่จวนเจ้าเมืองชงซัน!
มันรู้สึกเสียใจทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้ อนิจจาโลกหล้าไร้โอสถรักษาอาการเสียใจ
ดั่งคาด พอได้ยินวาจาประจบสอพลอของโจวฉี สีหน้าของหลิวฮ่วนก็แลดูผ่อนคลายลงไม่น้อย อย่างไรก็ตามประกายตาของมันกลับทวีความคมกล้าขึ้น “ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆว่าฟางฮุ่ยนั่นจักมีวาสนาเลิศล้ำถึงเพียงนี้..! กลับสรรหาศิษย์มากพรสวรรค์ทั้งมีศักยภาพเด่นล้ำเช่นนี้ได้ถึง 2 คน นี่มันทำบุญด้วยอะไรกันแน่?”
กล่าวถึงท้ายประโยค แววตาหลิวฮ่วนก็ทอประกายอำมหิตขึ้นมา “ตอนแรกที่ข้าไว้ชีวิตมันเพราะคิดว่าชั่วชีวิตนี้มันคงมิมีหนทางพลิกฟื้นคืนกลับ…แต่ดูเหมือนจะเป็นข้าที่ผิดพลาดไปแล้ว ต้วนหลิงเทียนนั่นมิต่างใดกับหอกข้างแคร่แม้เพียงนิด หากปล่อยให้มันเติบโตขึ้นไปกว่านี้ มิแคล้วสักวันต้องกลายเป็นภัยต่อข้าแน่!”
“ท่านอาจารย์ เช่นนั้นท่านให้ข้ามุ่งหน้าไปเมืองชงซันแล้วฆ่าฟางฮุ่ยนั่นเลยดีหรือไม่?”
โจวฉีกล่าวถาม
“ไม่”
หลิวฮ่วนส่ายหัวไปมา “ฟางฮุ่ยนั่น…เก็บชีวิตสวะมันไว้ให้อาวุโสจ้าวระบายอารมณ์เถอะ…! หาไม่แล้วยามอาวุโสจ้าวออกจากการกักตัวฝึกตนและพบว่าศิษย์ถูกฆ่า จะให้ท่านเอาความแค้นไประบายที่ใด?”
“ส่วนต้วนหลิงเทียนอะไรนั่น…พวกเราต้องชิงฆ่ามันก่อนที่อาวุโสจ้าวจะออกจากการปิดด่าน! เพียงกระทำเช่นนี้อาวุโสจ้าวถึงจะติดหนี้บุญคุณข้า”
กล่าวถึงท้ายประโยคลูกตาของหลิวฮ่วนก็ทอประกายเรืองวูบขึ้นมา
แน่นอนว่ายังมีความนัยบางประการที่มันไม่เอ่ยออก
เหตุที่มันต้องเร่งฆ่าต้วนหลิงเทียนให้ตายก่อนอาวุโสจ้าวจะออกจากการปิดด่านนั้น เพราะมันกังวลว่าอาวุโสจ้าวจะถูกใจพรสวรรค์และอัจฉริยภาพของต้วนหลิงเทียน! กระทั่งอาจจะทำทุกวิถีทางเพื่อรับต้วนหลิงเทียนเป็นศิษย์โดยไม่สนใจใยดีการตายของเฝิงฟ่าน!!
นั่นคือสิ่งที่มันไม่อยากเห็น!
ต้วนหลิงเทียนนั้นจะอย่างไรพื้นเพก็มาจากเมืองชงซัน หากอีกฝ่ายตกไปอยู่ในความดูแลของอาวุโสจ้าวขึ้นมาล่ะก็…นั่นสมควรเป็นหายนะของมัน หลิวฮ่วน แน่!
“ท่านอาจารย์ขอท่านโปรดวางใจ ข้าจะพยายามทำทุกทางให้ดีที่สุดเพื่อฆ่าต้วนหลิงเทียนนั่นโดยเร็ว ก่อนที่ท่านอาวุโสจ้าวจะออกจากการปิดด่านฝึกตน!”
โจวฉีกล่าว
“ไม่ใช่แค่พยายามทุกทางอย่างดีที่สุด แต่เจ้าต้องทำ และทำให้ได้! ต้วนหลิงเทียนนั่น มันต้องตายก่อนอาวุโสจ้าวออกจากการปิดด่าน! เจ้าต้องฆ่ามัน..ต่อให้เรื่องนี้จะต้องแลกด้วยชีวิตของเจ้าด้วยก็ตาม และหากเจ้าตายไปข้าก็จะจดจำความกล้าหาญของเจ้าไปชั่วชีวิต…”
หลิวฮ่วนมองโจวฉี ค่อยๆกล่าว
แม้ท้ายประโยควาจาสีหน้าของหลิวฮ่วนจะคล้ายเต็มไปด้วยความเมตตา หากทว่าโจวฉีรู้สึกเหน็บหนาวจับขั้วหัวใจ!
หลิวฮ่วน ผู้เป็นอาจารย์ของมัน กลับสั่งให้มันฆ่าต้วนหลิงเทียนให้ได้ ถึงแม้จะต้องแลกด้วยชีวิตของมันก็ตาม!
จังหวะนี้ในใจของโจวฉีนั้น ไม่หลงเหลือความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์อาจารย์กับหลิวฮ่วนสืบไป…มันสะบั้นไมตรีสุดท้ายทิ้งไปทันที!
ก่อนหน้านี้มันยังกังวลและพยายามจะหาทางฆ่าต้วนหลิงเทียนให้เร็วที่สุด…ทว่าเพียงห้วงคิดเดียว ตอนนี้มันปรารถนาเหลือเกิน…ว่าขอให้ต้วนหลิงเทียนอายุยืน! ถึงขั้นสักวันย้อนกลับมาฆ่าหลิวฮ่วนให้ตาย!!
และตอนนี้ ในใจมันก็คล้ายตัดสินใจเรื่องราวบางอย่างขั้นเด็ดขาดไปแล้ว
ยังเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญในชีวิต เพื่ออนาคตของมัน
“ขอท่านอาจารย์อย่าได้กังวล ข้าจะไม่ทำให้ทานผิดหวัง”
ต่อหน้าใบหน้าอ่อนโยนของหลิวฮ่วน โจวฉีได้แต่กล่าวตอบไปอย่างสุภาพ แม้จะขยะแขยงชิงชังรังเกียจเพียงใดก็ตาม
“ประเสริฐ!!”
เมื่อเห็นว่าโจวฉีเชื่อฟัง หลิวฮ่วนก็หัวเราะออกมาเบาๆ “โจวฉีอย่างไรเจ้าก็เป็นศิษย์คนแรกของข้า ในใจข้ามีเจ้าอยู่เสมอ อีกทั้งข้ายังหวังกับเจ้าไว้มิน้อย…ขอเจ้าอย่าได้เป็นกังวลอันใด ใจข้าไม่มีวันลืมเจ้า…! และแม้เจ้าจะต้องถูกสำนักตัดสินโทษตายหลังเจ้าฆ่าต้วนหลิงเทียน…”
“แต่ข้าก็จักนำป้ายวิญญาณของเจ้ามาไว้ที่ลานด้านหลังที่ข้ามักใช้ฝึกซ้อม…เช่นนี้ก็เสมือนเจ้าได้อยู่กับข้าอาจารย์ตลอดไปแล้ว…”
หลิวฮ่วนกล่าวด้วยน้ำเสียงแววตาเอ็นดู แต่วาจาสละละทิ้งออกมาอย่างหน้าด้านๆ…
“ขอบพระคุณท่านอาจารย์”
ใจโจวฉีเย็นเยียบปานจมหล่มน้ำแข็ง แต่แน่นอนว่าเปลือกนอกก็ไม่อาจแสดงอันใด ได้แต่ประสานมือคารวะด้วยความซาบซึ้ง
“ภายใน 3 วัน ข้าต้องได้ยินข่าวการตายของมัน…เจ้าคงมิทำให้อาจารย์ผิดหวังใช่หรือไม่?”
หลิวฮ่วนมองโจวฉีอีกครั้ง ทั้งยังขีดเส้นตายให้อีกฝ่าย
3 วัน!
ได้ยินวาจานี้ ใจโจวฉีจะท้านไปไม่น้อย มันพยักหน้ารับคำเบาๆ
“ดี! เจ้าไปได้แล้ว…รีบไปเตรียมตัวเสียให้พร้อม”
หลิวฮ่วนกล่าว
“ศิษย์ ขอลา!”
โจวฉีก้าวถอยหลังไปไม่กี่ก้าวก็หันหลังจากไป และทันทีที่มันหันหลังแววตาของมันก็เต็มไปด้วยความเย็นชาถึงที่สุด ‘หลิวฮ่วนเจ้ากลับเลือกที่จะทิ้งข้าอย่างไร้เยื่อไยถึงเพียงนี้…ในเมื่อเจ้าทำเหมือนชีวิตข้ามันไม่นับเป็นอะไรนัก ข้าก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ข้างเจ้าสืบไป…ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปความสัมพันธ์ฉันท์ศิษย์อาจารย์ของพวกเรา ขาดกัน!’
หลังจากที่โจวฉีหันหลังเดินจากไป สีหน้าหลิวฮ่วนที่เต็มไปด้วยความเมตตาอาลัยก่อนหน้า ก็กลายเป็นเฉยเมยไร้แยแส มองแผ่นหลังที่หายลับไปของโจวฉีอย่างไร้อารมณ์
หลังจากนั้นมันก็ไปหาซูฉี
ทันทีที่มันได้พบซูฉี สีหน้าเย็นชืดเมื่อครู่ ก็แปรเปลี่ยนเป็นแย้มยิ้มเต็มไปด้วยความพึงใจ
“ท่านอาจารย์ ดึกดื่นป่านนี้ไฉนถึงมาหาข้าได้?”
ใบหน้าซูฉีเผยความงุนงงไม่น้อย
“ซูฉี ก่อนที่เจ้าจะออกจากจวนเจ้าเมืองชงซัน เจ้ารู้เรื่องศิษย์ของฟางฮุ่ยที่ชื่อว่าต้วนหลิงเทียนบ้างหรือไม่?”
หลิวฮ่วนเปิดประตูเห็นภูผากล่าวถาม
“ข้าพอรู้อยู่บ้าง”
ซูฉีพยักหน้า “อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนผู้นั้นหยิ่งยโสนัก! เพียงเรียกหาฟางฮุ่ยว่าครู แต่ไม่นับถือเป็นอาจารย์…ทว่าอย่างไรเสียมันก็เป็นอัจฉริยะจากทวีปมนุษย์เหมือนกันกับข้า แน่นอนว่าศักยภาพและพรสวรรค์ของมันไม่ได้ด้อยไปกว่าข้าเลย”
“หืม? มันมาจากทวีปมนุษย์ด้วยอย่างงั้นรึ?”
หลิวฮ่วนหยีตากล่าวถามออกมาทันที “ซูฉี แล้วมันมาจากทวีปเดียวกับเจ้าหรือไม่?”
“ไม่”
ซูฉีส่ายหัวไปมา “พวกเรามาจากทวีปมนุษย์คนละทวีป”
“ดูเหมือนว่าข่าวลือจักเป็นจริง…ยอดฝีมือจากทวีปมนุษย์ล้วนมีอัจฉริยภาพเหนือผู้คนธรรมดาในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า อีกทั้งพรสวรรค์ที่มียังน่ากลัวดั่งฟ้าประทาน…”
หลิวฮ่วนกล่าวพึมพำ
“ท่านอาจารย์มีเรื่องอะไรหรือ ไฉนอยู่ดีๆถึงได้ถามถึงมันเล่า?”
ซูฉีกล่าวถามด้วยสงสัย
“เจ้านั่น มันพึ่งฆ่าเฝิงฟ่านมาน่ะสิ…”
หลิวฮ่วนไม่ได้ปิดบังอะไร กล่าวบอกเรื่องราวที่ได้รับทราบมาจากโจวฉีออกไปตรงๆ
“อะไรนะ?!”
ทันทีที่ได้ยินเรื่องนี้หน้าซูฉีก็เปลี่ยนไปทันใด “เป็นไปได้อย่างไร…เฝิงฟ่าน ไม่ใช่ว่าเป็นถึงยอดฝีมือที่ติดอันดับในรายนามปฐพีหรือไร ต้วนหลิงเทียนไปฆ่าคนระดับนั้นได้ยังไง?”
พอเห็นหน้าซูฉีเปลี่ยนสีไปไม่น้อย หลิวฮ่วนก็ตระหนักได้ทันทีว่ากระทั่งซูฉียังไม่ล่วงรู้ถึงพรสวรรค์และพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียน
“เรื่องนี้เป็นความจริง และพึ่งเกิดขึ้นสดๆร้อนๆวันนี้ ตอนนี้ฝ่ายนอกคงล่วงรู้กันทั่ว ฝ่ายในเองอีกไม่นานก็คงได้ทราบความนี้กันทั่วเช่นกัน”
หลิวฮ่วนกล่าว
พอได้ยินคำยืนยันจากหลิวฮ่วน สีหน้าซูฉีเผยความซับซ้อนออกมาไม่น้อย ตอนนี้มันรู้สึกเหมือนต้วนหลิงเทียนจะก้าวเดินนำมันห่างออกไปอีกไกล…
ณ พื้นที่อันเงียบสงบแห่งหนึ่งของฝ่ายนอก ภายในคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ไร้ผู้ใดเฉียดกราย
“ท่านผู้อาวุโส…เฝิงฟ่านตายแล้ว”
ชายร่างใหญ่กลบ่าวรายงานออกมาด้วยความตกใจเต็มใบหน้า แววตายังคงเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
“เจ้าหนุ่มนั่นนับว่าน่าสนใจยิ่งนัก…”
ชายชราคนหนึ่งที่นั่งอยู่ในศาลาชมบุปผายิ้มกล่าวออกมาบางๆ ค่อยละเลียดละไมจิบชาหอมจรุงควันฉุยอย่างไม่ยี่หระ คล้ายข่าวเรื่องนี้ไม่ได้สร้างความประหลาดใจอันใดให้มันแม้แต่น้อย
“ท่านอาวุโส…เรื่องนี้ท่านไม่แปลกใจบ้างหรือ?”
ชายร่างใหญ่แลดูแข็งแกร่งอดไม่ได้ที่จะกล่าวถาม
“ยังต้องแปลกใจอันใด แต่แรกเจ้าหนุ่มคนนั้นก็มิคล้ายคนสิ้นคิดหาที่ตายอะไร…”
ชายชรานั้นอยู่ในชุดสีขาวกระจ่าง ขนคิ้วเส้นผมของมันก็ขาวโพลนตัดกับผิวสีทองแดงของมันอยู่บ้าง ท่วงท่าของมันแลดูสงบราวนักปราชญ์ สภาวะร่างคล้ายจะหลอมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติและศาลาชมบุปผา ไม่มีความรู้สึกผิดแผกแตกต่างระหว่างมันกับสรรพสิ่งโดยรอบ
“ผู้อาวุโส…เฝิงฟ่านจะอย่างไรก็เป็นศิษย์ของอาวุโสจ้าว…หากอาวุโสจ้าวออกจากการปิดด่านฝึกตนมา ข้าเกรงว่าเจ้าหนุ่มนั่นคงยากจะรอดพ้นหายนะไปได้”
ชายร่างใหญ่กล่าวอีกรอบ
“อ่านั่นนับว่ามีปัญหาอยู่บ้าง”
ชายชุดขาวพยักหน้ารับคำ กล่าวรำพันเบาๆอยู่พักหนึ่ง ก็คลี่ยิ้มออกมาอีกครั้ง “มิรู้ทำไม แต่ข้ารู้สึกเชื่อมั่นในตัวของเจ้าหนุ่มนั่นนัก…ข้ายังอยากจะรอดูว่าเจ้าหนุ่มนั่นจะจัดการเรื่องราวกับจ้าวเฟิงอย่างไร”
จ้าวเฟิงนั้น คือผู้อาวุโสฝ่ายในที่ทรงพลังคนหนึ่งของสำนักจันทร์จรัสแสง และยังเป็นอาจารย์ของเฝิงฟ่าน
ฝ่ายในของสำนักจันทร์จรัสแสงมีอาวุโสอยู่เกือบๆ 20 คน
ทว่าพลังฝีมือของจ้าวเฟิงผู้นี้กลับติด 1 ใน 3 ของผู้ที่เข้มแข็งที่สุด ย่อมจินตนาการออกได้ว่าพลังฝีมือของมันร้ายกาจปานใด
“ท่านอาวุโส…ท่านไม่กลัวเจ้าหนุ่มนั่นถูกฆ่าหรือ?”
ชายร่างใหญ่กล่าวถาม
“ข้ากล่าวไปแล้วมิใช่หรือว่าข้าเชื่อในตัวเขา…เจ้ากลับไปได้แล้ว”
ชายชราชุดขาวกล่าว
“ทราบ”
แม้ชายร่างใหญ่จะไม่ทราบว่าไฉนชายชราในชุดขาวถึงได้มั่นใจในตัวต้วนหลิงเทียน ศิษย์ฝ่ายนอกที่พึ่งเคยพบกันครั้งเดียวนั่นนัก แต่มันก็ได้แต่ล่าถอยจากไป ด้วยไม่กล้าขัดคำของชายชรา
หลังจากชายร่างใหญ่กลับไป ชายชราชุดขาวที่นั่งในศาลาชมบุปผา ก็สะบัดมือคราหนึ่งปรากฏหินเซียนขึ้นในมือ ด้วยแสงพลังที่เรืองรองจากหินเซียนดังกล่าว ไม่คล้ายว่าจะเป็นหินเซียนระดับต่ำแม้แต่น้อย
“ผู้ที่สามารถนำหินเซียนระดับ 4 ออกมาได้เช่นนี้ จักเป็นคนธรรมดาสามัญไปได้อย่างไร? ข้าล่ะอยากรู้ยิ่ง..ว่าสหายน้อยผู้นั้น ที่แท้มีความเป็นมาอย่างไรกันแน่ ถึงกับหยิบควักหินเซียนระดับ 4 ออกมาได้อย่างง่ายดายแบบนี้! อย่างไรก็ดี…ด้วยความช่วยเหลือของหินเซียนระดับ 4 ข้าสามารถปิดด่านฝึกฝนได้อย่างสบายใจ มิต้องคอยกังวลเรื่องเสียสมาธิจากการเปลี่ยนหินเซียนบ่อยๆ…”
ชายชร่ากล่าวพึมพำขณะคลึงหินเซียนระดับ 4 ในมือเล่น
ตูมมมม!!
ตกดึก ในขณะต้วนหลิงเทียนที่นอนหลับอยู่ดีๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับความปวดร้าวไปทั่วทั้งร่างกาย! และพริบตาต่อมาพอเขาตื่นขึ้น เขาก็พบว่าตัวเขาถูกขับออกจากชั้น 2 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติเสียแล้ว!!
“นั่นใคร!?”
หลังจากได้นอนหลับพักผ่อนไปครึ่งวัน พลังวิญญาณต้วนหลิงเทียนก็พอได้ฟื้นฟูขึ้นมาบ้าง จึงเร่งแผ่พลังวิญญาณออกไปสำรวจ สองตามองเขม็งไปยังประตูหน้า ตะโกนถามเสียงดัง!!
1458 คำเตือนของโจวฉี
“ข้าเอง”
ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้นจากด้านนอกประตู และเสียงนี้ก็ไม่ใช่เสียงที่ไม่คุ้นเคยกับต้วนหลิงเทียนแต่อย่างไร…
“โจวฉี?”
ต้วนหลิงเทียนที่จดจำได้ว่าเจ้าของเสียงเป็นใคร สีหน้าก็แปรเปลี่ยนเป็นจริงจัง แฝงไปด้วยความขุ่นขึ้งเป็นที่สุด
สองเท้าก้าวย่ำออกไปเปิดประตูหน้าบ้านทันที และพอเห็นว่าโจวฉียืนรออยู่ ลูกตาต้วนหลิงเทียนก็เผยประกายชืดชากล่าวถามออกไปเสียงเย็น “เข้าเขตบ้านผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาติ…หรืออาจารย์เจ้าหลิวฮ่วนไม่เคยสอนสั่งมารยาทให้เจ้า?”
ต้วนหลิงเทียนไม่ได้กังวลเรื่องที่โจวฉีจะกล้าลงมือกับเขาที่นี่แม้แต่น้อย
สำนักจันทร์จรัสแสงนั้นมีกฏเกณฑ์เข้มงวดนัก ยิ่งห้ามมิให้ศิษย์ฝ่ายในมารังแกศิษย์ฝ่ายนอกโดยเด็ดขาดเว้นแต่จะมีเหตุอันควร! หาไม่แล้วเพียงแค่การรบกวนเช่นนี้ก็มีบทลงโทษอันรุนแรงนัก!!
หากเป็นก่อนหน้านี้ โจวฉีย่อมมีโทสะกับวาจาเสียดสีของต้วนหลิงเทียนไปแล้วแน่
แต่ตอนนี้มันสงบนัก คล้ายวาจาของต้วนหลิงเทียนไม่ได้มีผลอะไรกับมันเลย
ความสงบเฉยเมยของโจวฉี ถึงกับทำให้ต้วนหลิงเทียนประหลาดใจไม่น้อย
เขารู้ดีว่าสันดารโจวฉีเป็นอย่างไร อีกฝ่ายไม่ใจกว้างถึงขั้นปล่อยวางวาจาเสียดสีได้แน่นอน!
ยิ่งไปกว่านั้นไม่ใช่ว่าอีกฝ่ายสมควรกระเหี้ยนกระหือรือหมายฆ่าเขาให้ตาย เพราะคำสั่งของหลิวฮ่วนหรือไร?
อันที่จริงที่ลานฝึกซ้อมวันนี้ เขายังเห็นชัดถึงเจตนาฆ่าฟันของโจวฉีด้วยซ้ำ อีกฝ่ายคงแทบอดรอฆ่าเขาให้ตายไม่ไหวแล้ว!!
ทว่าไฉนอยู่ดีๆ ทีท่าของมันถึงได้เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ?
เรื่องราวไม่เข้าทีย่อมมีสิ่งใดผิดแปลก!
สายตาต้วนหลิงเทียนเพิ่มความระมัดระวังขึ้นหลายส่วน
“เข้าไปในบ้านแล้วค่อยกล่าว”
โจวฉีพลันกล่าวออกมา และไม่รอให้ต้วนหลิงเทียนตอบสนองอะไร มันก็เดินอาดๆเข้ามาในห้องทันที
ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้ว ทว่าสีหน้าเขาก็ผ่อนคลายลงแทบจะในทันที มองถามโจวฉีด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “เจ้ามาหาข้ามีเรื่องอะไร?”
“ต้วนหลิงเทียน…อาจารย์ของข้า หลิวฮ่วน ต้องการให้ข้าฆ่าเจ้าให้ตายภายใน 3 วัน!”
โจวฉีมองสบตาต้วนหลิงเทียน กล่าวตอบออกไปตามตรง
พอได้ยินความประโยคนี้ของโจวฉี ลูกตาต้วนหลิงเทียนหรี่เล็ก ยิงคำถามออกไปด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “หากเจ้าลงมือฆ่าข้า กฏสำนักก็ทำให้เจ้ายากจะมีชีวิตรอดไปได้”
“อาจารย์ของข้า…ให้ข้าสละชีวิตของข้า เพื่อเอาชีวิตเจ้า!”
โจวฉีกล่าวเสียงแข็ง
“หืม? ให้เจ้าแลกชีวิตกับข้างั้นเหรอ?”
จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะผงะ
ถึงแม้ว่าเขาจะรู้มานานแล้วว่าอาวุโสฝ่ายในหลิวฮ่วนนี่มิใช่ตัวดีอันใด แต่ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะต่ำช้าถึงขั้นสั่งให้ลูกศิษย์สละชีวิตเพื่อฆ่าเขาแบบนี้!
คำว่าลูกศิษย์ในสายตาของมันคืออะไรกันแน่?
เครื่องมือ?
“เจ้ามีอะไรก็พูดมาตรงๆ…ในเมื่อเจ้าถ่อมาบอกข้าเรื่องนี้ถึงที่นี่ ข้ามั่นใจว่าเจ้าคงไม่คิดทำตามคำสั่งอาจารย์ของเจ้าสินะ?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวเสียงเรียบ
“เจตนาข้าง่ายดายนัก ข้ามาเตือนเจ้า! หลิวฮ่วนนั่นมันบ้า! ข้าติดตามรับใช้มันมากว่า 10 ปี แต่ตอนมันทอดทิ้งข้าตายังไม่แม้แต่จะกระพริบด้วยซ้ำ!!”
โจวฉีเปิดปากกล่าวออกอย่างช้าๆ หลังจากกล่าวจบคำ ในแววตาก็เผยให้เห็นถึงความคับข้องใจ
“มันบ้า แล้วเจ้าไม่บ้ารึไง?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวเย้ยไปคำหนึ่ง
8 เดือนที่แล้ว ตอนโจวฉีบุกมาจวนเจ้าเมืองชงซัน ไม่พูดไม่จาก็ลงมือฆ่าคนบริสุทธิ์ไปแล้ว 2 คน คนสติดีๆที่ไหนเขากระทำกันเช่นนี้?
“ต้วนหลิงเทียน ที่ข้ามาหาเจ้าไม่ได้คิดจะมาตีฝีปากอะไรกับเจ้า…ข้าแค่จะมากล่าวเตือนให้เจ้ารู้ไว้ ว่าหลิวฮ่วนนั่นเป็นคนดื้อรั้น หากเป้าหมายไม่บรรลุมันย่อมไม่คิดเลิกรา…และที่ข้ากล่าวเตือนเจ้า เพราะข้าไม่อยากให้หลิวฮ่วนมันอยู่ดีมีสุข!”
กล่าวถึงจุดนี้ในแววตาโจวฉีก็เผยประกายคับแค้นมากโทสะ น้ำเสียงยังเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
“แต่หากครบกำหนด 3 วันเจ้ายังไม่ฆ่าข้า แล้วคราวนี้เจ้าจะไปสู้หน้ามันอย่างไร?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวถาม
“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องห่วง…ที่หากข้าทำเรื่องที่คิดทำเสร็จแล้ว ก็ถึงเวลาที่ข้าต้องจากไปเสียที! ตอนนี้บุญคุณความแค้นระหว่างข้ากับเจ้า ข้าล้วนไม่สนใจ..! ก็ใช่ที่หากหลิวฮ่วนไม่ให้ข้าสละชีวิตเพื่อฆ่าเจ้า ป่านนี้ข้าก็ยังคงอยากจะฆ่าเจ้าให้ตาย!”
โจวฉีกล่าวเสียงเรียบ “ทว่าตอนนี้เรื่องราวเปลี่ยนไปแล้ว…ข้าไม่สนใจอะไรเจ้าสืบไป ทั้งไม่มีเรื่องใดที่ทำให้ข้าต้องเคียดแค้นเจ้าอีก ตอนนี้ข้าได้แต่หวังเพียงว่าเจ้าจะมีชีวิตที่ดี เพื่อคอยสร้างปัญหาให้หลิวฮ่วนนั่น!”
ต้วนหลิงเทียนหยีตาเล็กน้อย ตอนนี้เขาก็ตระหนักได้แล้ว ว่าในใจโจวฉี ไม่ยึดถือหลิวฮ่วนเป็นอาจารย์อีกต่อไป
แต่เรื่องนี้คิดไปก็สมควรแล้ว
อาจารย์ที่สละได้กระทั่งชีวิตลูกศิษย์เพื่อบรรลุเป้าหมาย ยังคู่ควรเป็นอาจารย์หรือไร?
“อ่อจริงสิ อีกเรื่องหนึ่งที่ข้าต้องกล่าวเตือนเจ้าเอาไว้ก่อน…เฝิงฟ่านนั้นเป็นศิษย์ส่วนตัวของผู้อาวุโสฝ่ายในที่เรียกว่าจ้าวเฟิง…อาวุโสจ้าวเฟิงนั้นเป็นอาวุโสฝ่ายในระดับสูงคนหนึ่งของสำนักจันทร์จรัสแสง พลังฝีมือติด 1 ใน 3 อันดับแรกของบรรดาผู้อาวุโสฝ่ายใน”
โจวฉียังคงกล่าวเตือนเรื่องราวสืบต่อ
อาจารย์ของเฝิงฟ่านเรียกว่า จ้าวเฟิง เป็นอาวุโสฝ่ายในระดับสูง?
ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้ว
ถึงแม้ว่าต้วนหลิงเทียนจะพอเดาได้ว่าปูมหลังของเฝิงฟ่านสมควรไม่ใช่ชั่ว จากวรยุทธ์และสมบัติที่มันมี แต่เขาก็ไม่คิดเลยว่ามันจะเป็นศิษย์ของอาวุโสฝ่ายใน
ยิ่งไปกว่านั้นอาวุโสฝ่ายในคนดังกล่าวยังเป็นชนชั้นยอดฝีมือ ติด 1 ใน 3 ผู้เข้มแข็งท่ามกลางผู้อาวุโสฝ่ายในของสำนักจันทร์จรัสแสง
“เฝิงฟ่านนั่น มันไม่ใช่คนของพวกเจ้าที่ส่งมาฆ่าข้ารึไง?”
ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้วกล่าวถาม ตอนแรกเขาคิดว่าเฝิงฟ่านเป็นคนของหลิวฮ่วน…ทว่าดูเหมือนจะไม่ใช่เสียแล้ว!
ล้อกันเล่นหรือไร?!
ในเมื่ออาจารย์ของมันคือจ้าวเฟิง ผู้ที่แข็งแกร่งขนาดนั้น ฐานะของมันในสำนักจันทร์จรัสแสงย่อมสูงล้ำมิใช่ชั่วเป็นแน่
ตัวตนเช่นนั้นจะยังเป็นพวกเดียวกับหลิวฮ่วนอีกหรือ?
ยิ่งไปกว่านั้นแม้จะเป็นพวกเดียวกับหลิวฮ่วนจริง แต่ต้องไม่ใช้ผู้รับคำสั่งหรือฟังคำของหลิวฮ่วนแน่! แล้วไฉนจะยอมให้ศิษย์ของตัวมาเป็นลูกไล่ ฆ่าคนตามใบสั่งของหลิวฮ่วนได้?
“ย่อมไม่ใช่”
โจวฉีส่ายหัว “หลิวฮ่วนยามพบเจอจ้าวเฟิง ยังต้องก้มหัวคารวะด้วยเคารพ…มาตอนนี้ข้าก็ไม่กลัวที่จะบอกเจ้า ที่เฝิงฟ่านส่งสารท้าประลองเป็นตายให้เจ้านั้น ล้วนเป็นเพราะข้าจัดการทั้งสิ้น…”
“อย่างไรก็ตามตอนนี้เรื่องนั้นหาได้สำคัญไม่…ที่สำคัญคือเจ้าเป็นคนฆ่าเฝิงฟ่าน! และอาวุโสจ้าวเฟิงต้องบังเกิดความเคียดแค้นหมายจัดการเจ้าแน่!!”
โจวฉีกล่าว
ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็ได้เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด เขายังอดไม่ได้ที่จะอึ้งกับความหน้าด้านของโจวฉี “แล้วนี่เจ้าไม่กลัวข้าเอาเรื่องนี้ไปบอกอาวุโสจ้าวเฟิงอะไรนั่นหรือไง?”
“เจ้าบอกไปก็ไร้ประโยชน์ เพราะอย่างไรเสียเจ้าก็เป็นคนฆ่าเฝิงฟ่านกับมือ”
โจวฉีกล่าวเสียงเรียบ
ต้วนหลิงเทียนรู้สึกลมหายใจติดขัด และพูดไม่ออกอยู่บ้าง เพราะวาจานี้ของโจวฉีมันยากปฏิเสธนัก
เพราะถึงแม้จ้าวเฟิงอาจจะโกรธแค้นโจวฉี แต่อย่างไรเสียเขาที่เป็นคนลงมือก็ยากจะรอดพ้นคราวเคราะห์
“แต่จะว่าไปหากอาวุโสจ้าวเฟิงออกจากการกักตัวฝึกฝน ก็ไม่แน่ว่าจะฆ่าเจ้า..”
โจวฉีกล่าวออกมาอีกครั้ง
“อาจจะไม่ฆ่าข้างั้นเหรอ?”
ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้ว “เรื่องนี้เจ้าหมายความว่ายังไง ในเมื่อข้าฆ่าศิษย์ส่วนตัวของมัน ไหนเลยมันยังจะละเว้นข้า?”
“จริงอยู่ว่าที่เจ้าฆ่าเฝิงฟ่านศิษย์ส่วนตัวที่อาวุโสจ้าวเฟิงประคบประหงมเป็นที่สุด…แต่สาเหตุที่อาวุโสจ้าวเฟิงรับเฝิงฟ่านเป็นศิษย์นั้น ล้วนเป็นเพราะศักยภาพและพรสวรรค์ที่สูงล้ำของมัน หากเฝิงฟ่านเป็นคนธรรมดาไหนเลยอาวุโสจ้าวเฟิงจะสนใจใยดี?”
โจวฉีกล่าวสืบต่อ “ในเมื่อเจ้าฆ่าเฝิงฟ่านได้ นั่นหมายความว่าศักยภาพพรสวรรค์ของเจ้าสูงกว่า เพราะเรื่องนี้อาวุโสจ้าวเฟิงอาจไม่ฆ่าเจ้า…กลับกัน ท่านยังอาจคิดรับเจ้าเป็นศิษย์ส่วนตัวแทน”
“รับข้าเป็นศิษย์ส่วนตัว?”
สีหน้าแววตาต้วนหลิงเทียนแปลกไปทันที แต่หลังจากขบคิดแล้วหากจ้าวเฟิงเป็นคนที่ไม่สนใจความสัมพันธ์ฉันท์ศิษย์อาจารย์ บางทีมันก็อาจกระทำเช่นนั้นจริงๆ
และถ้าจ้าวเฟิงกระทำอย่างนั้น เขาก็ได้แต่ดูถูกมันแล้ว
และคนที่เขาดูถูกแน่นอนว่าย่อมไม่มีทางที่จะยินยอมไปเป็นศิษย์มันเด็ดขาด!
“เรื่องที่ข้าคิดบอกเจ้าก็คือ..หากอาวุโสจ้าวเฟิงคิดฆ่าเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็ไร้หนทางเดิน…แต่ถ้าอาวุโสจ้าวคิดรับเจ้าเป็นศิษย์เจ้าก็ต้องรีบตอบรับเสีย เพราะหากเจ้าเป็นศิษย์ของอาวุโสจ้าวเฟิงแล้ว หลิวฮ่วนมันก็ไม่มีวันกล้าแตะต้องเจ้าอีกเด็ดขาด”
โจวฉีกล่าวออกด้วยสีหน้าจริงจัง “ที่หลิวฮ่วนเร่งให้ข้าสละชีวิตฆ่าเจ้าภายใน 3 วัน เพราะมันหวาดกลัวอาวุโสจ้าวออกจากการปิดด่านฝึกฝน…”
“หากเจ้าตายก่อนที่อาวุโสจ้าวจะออกจากการกักตัวฝึกตน…เช่นนั้นอาวุโสจ้าวก็เหมือนติดค้างหลิวฮ่วนเรื่องหนึ่ง กล่าวได้ว่าหากเจ้าตายผู้ที่ได้รับประโยชน์ที่สุดก็คือหลิวฮ่วน”
โจวฉีกล่าวกำชับ
“อ้อ? เช่นนั้นข้าเลยต้องรับจ้าวเฟิงเป็นอาจาย์?”
ต้วนหลิงเทียนเย้ยหยัน “โจวฉี ไม่ทราบเจ้ามีสิทธิ์ตัดสินใจแทนข้าตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“เจ้าจักตัดสินใจอย่างไรแน่นอนว่าล้วนขึ้นอยู่กับเจ้า…ข้าเพียงแค่กล่าวแนะนำต่อเจ้าเท่านั้น และหลังจากวันนี้ไปก็นับได้ว่าพวกเรามีศัตรูร่วมกันอย่างหลิวฮ่วน! ข้าหวังเพียงว่าเจ้าจะสามารถรอดชีวิตและเติบโตได้อย่างดี เพราะหากเจ้าเติบโตเก่งกล้ามากขึ้นเท่าไหร่ เจ้าก็จะยิ่งกลายเป็นฝันร้ายของหลิวฮ่วนมากขึ้นเท่านั้น!”
กล่าวถึงท้ายประโยค แววตาของโจวฉีพลันลุกโชนขึ้นมาด้วยไฟแค้น “ถึงตอนนั้นแม้ตัวข้าจะไม่ได้อยู่ที่สำนักจันทร์จรัสแสง แต่หากข้าได้ยินเรื่องนี้ข้าคงมีความสุขนัก!”
“ไม่ได้อยู่ในสำนักจันทร์จรัสแสง? เจ้าหมายความว่า?”
ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้ว
“เจ้าคิดว่าหากข้าไม่ฆ่าเจ้าภายใน 3 วัน ข้ายังคงเหลือที่ยืนอยู่ในสำนักจันทร์จรัสแสงแห่งนี้อีกหรือไง? ต่อให้หลิวฮ่วนนั่นไม่กล้าฆ่าข้าตรงๆ แต่มันก็ต้องสร้างความลำบากให้ข้าแน่นอน…หากผู้ได้ชื่อว่าเป็นอาจารย์ข้าทำร้ายข้าจนพิการ ยังจะมีใครว่าอะไรได้..”
โจวฉีกล่าวถึงจุดนี้ร่างมันก็สั่นเทิ้มขึ้นมา ในแววตายังเผยความหวั่นหวาดคล้ายคิดถึงอะไรบางอย่างที่น่ากลัว
“ที่ข้าต้องพูดข้าก็พูดไปหมดแล้ว เรื่องที่ข้าคิดเตือนเจ้าก็มีเท่านี้…ข้ารู้ดีว่าระหว่างเจ้ากับข้าก็คงยากที่จะลบเลือนเรื่องราวบาดหมางในอดีตได้ แต่เจ้าสามารถล้างแค้นข้าได้หากพวกเราเจอกันวันหน้า…และหากถึงวันนั้นจริง ก็มาสู้กันเพื่อหาผู้รอดเถอะ หากเป็นข้าที่ต้องตกตายด้วยน้ำมือของเจ้า ข้าก็ได้แต่น้อมรับชะตากรรมของข้า…”
ก่อนที่จะจากไป โจวฉีก็กล่าวบอกทุกสิ่งกับต้วนหลิงเทียน จากวาจาของมันผู้ใดได้ฟังก็รู้ว่ามันเห็นแก่ตัวเพียงใด
“ข้าจะไม่ทำให้เจ้าผิดหวัง”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบเสียงเรียบ ในแววตาเผยประกายเย็นเยือก
สุดท้ายโจวฉีก็จากไป นับว่ามันมาเร็วไปเร็วนัก
ไม่นานร่างโจวฉีก็หายไปจากสายตาต้วนหลิงเทียน จมหายไปในความมืดราวภูตผี
“โอย ดูเหมือนพลังวิญญาณของข้ายังฟื้นคืนมาไม่เต็มที่ดีสินะ ไม่ทันไรก็รู้สึกง่วงอีกแล้ว….ท่าทางไม่กี่วันหลังจากนี้ข้าคงยังทำอะไรมากไม่ได้”
ปิดประตูบ้านแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ระบายลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง เพียงห้วงคิดร่างก็วูบหายเข้าไปในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติอีกครั้ง
ทางด้านโจวฉี หลังออกจากบ้านต้วนหลิงเทียนแล้ว มันก็ย่ำเท้าเดินไปตามทางเดินฝ่ายนอกอันมืดมิด มีเพียงแสงดาวสลัวๆส่องสาดพอให้เห็นเส้นทาง
ไม่เพียงแต่มันจะไม่กลับไปฝ่ายในเท่านั้น มันยังมุ่งหน้าออกจากสำนักจันทร์จรัสแสง
จุดประสงค์ของมันง่ายดายนัก มันคิดจากสำนักจันทร์จรัสแสงไปเสียคืนนี้เลย หมายเป็นดั่งวิหกโผบินสู่ฟ้ากว้าง มัจฉาคืนสมุทรสุดไพศาล…
“ด้วยด่านพลังฝึกปรือของข้า ข้าโจวฉีไม่เชื่อว่าข้าจะไม่มีที่ยืนใน 9 พันธมิตร! จากนี้ไปตัวข้าเป็นอิสระเสรีไร้พันธะผูกพันใดๆ ไม่ยึดติดสำนักไม่ฝักใฝ่พรรคนิกาย ไม่ต้องก้มหัวให้ผู้ใด!!”
โจวฉีทอดตามองดาราจรัสฟ้าระยับยามราตรีกาล เริ่มโหยหา ‘อนาคต’ ที่สวยงาม
1459 ศิลาหนี่วา!
ไม่นานร่างโจวฉีก็เดินทางออกมาพ้นเขตของสำนักจันทร์จรัสแสง
“ลาก่อน สำนักจันทร์จรัสแสง…บางทีข้าโจวฉีอาจหวนกลับมาอีกครั้งหลังบรรลุถึงขอบเขตเซียน! ถึงตอนนั้นข้าจักกลับไปไถ่ถามหลิวฮ่วนเป็นการส่วนตัว ว่ามันใช่เสียใจกับการตัดสินใจในวันนี้หรือไม่!!”
หลังจากที่ออกมานอกเขตสำนักจันทร์จรัสแสงแล้ว แน่นอนว่าย่อมอยู่นอกเขตอาคมเหินบินเช่นกัน ร่างโจวฉีค่อยๆลอยสูงขึ้นมาบนฟ้า ไม่นานมันก็หยุดค้างกลางหาวก่อนจะหันกลับไปมองประตูหน้าของสำนักจันทร์จรัสแสงไกลตาอีกรอบ ปากยังกล่าวรำพันออกมาเบาๆ
“ข้าสามารถบอกเจ้าได้เลย…ว่าข้ามิเสียใจ และข้าไม่มีวันเสียใจ!”
แทบจะทันทีที่สิ้นคำรำพันของโจวฉี ไม่ทันที่ร่างมันจะเหินจากไป เสียงเย็นเยือกหนึ่งปานภูตผีก็ดังขึ้นก้องหูมัน บันดาลให้สีหน้าของมันกลับกลายเป็นซีดเซียวลงทันที!
หันกลับมา มันค่อยพบว่าในความมืดพลันปรากฏร่างหนึ่งวูบมาหยุดลอยค้างกลางฟ้าอยู่เบื้องหน้า
“ทะ…ท่านอาจารย์!”
เมื่อเห็นร่างที่วูบมาปรากฏดั่งภูตผี สีสันก็คล้ายจะจางหายไปจากใบหน้าโจวฉี “ฉะ..ไฉนท่านมาอยู่นี่ได้?”
“หากข้ามิมา มิใช่ว่าจักปล่อยให้หนูสกปรกเนรคุณคนเช่นเจ้าเล็ดรอดไปแล้วหรอกหรือ?”
ผู้ที่มาไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก หลิวฮ่วน! มันกล่าวเย้ยเยาะออกมาเสียงเย็น!!
“ท่านตามข้ามา?”
โจวฉีสูดลมหายใจลึกๆเฮือกหนึ่งสะกดข่มความกลัวในใจค่อยกล่าวถามออกไป
ตอนนี้โจวฉีรู้ดีแก่ใจว่าวาจาที่มันรำพันกล่าวไปก่อนหน้า มิพ้นเข้าหูของหลิวฮ่วนแล้วแน่แท้ ดังนั้นมันจึงคร้านจะกล่าววาจาใดให้มากความอีก เพราะมันรู้ดีว่าด้วยนิสัยของหลิวฮ่วน คงยากที่วันนี้มันจะรอดไปได้
ทว่าพอคิดถึงเรื่องที่หลิวฮ่วนลอบสะกดรอยตามมันมา ใจโจวฉีก็อดไม่ได้ที่จะเดือดดาลขึ้นมาด้วยโทสะ!
ที่แท้หลิวฮ่วนไม่เคยไว้ใจมันเลย!
“ข้าไม่ได้อยากตามเจ้ามานักหรอก…แต่ข้าอยากรู้นักว่าเจ้าจะให้ความสำคัญกับเรื่องที่ข้าให้เจ้ากระทำหรือไม่…ตอนนี้ดูเหมือนว่าเจ้ากำลังทำให้ข้าผิดหวังนัก”
หลิวฮ่วนกล่าวออกเสียงเรียบ
“เจ้าผิดหวัง?”
โจวฉีไหนเลยไม่รู้ว่าวันนี้มันต้องตายแน่แล้ว เช่นนั้นมันจึงปล่อยวาง และเลือกที่จะกล่าวถากถางออกไปเสียงดัง “เพียงเพราะข้าไม่อยากสละชีวิตของข้าเพื่อคนที่เจ้าอยากฆ่า มันทำให้เจ้าผิดหวังมากนักรึไง!?”
“มิใช่เรื่องที่น่าอับอายอันใด ยังเป็นเกียรติด้วยซ้ำ ที่ชีวิตของเจ้าจะทำให้หนึ่งอัจฉริยะมากพรสวรรค์อย่างต้วนหลิงเทียนถูกกลบฝังไปพร้อมกับเจ้า…”
น้ำเสียงของหลิวฮ่วนชืดชานัก “น่าเสียดายที่เจ้ามิหวงแหนเกียรติยศสุดท้ายที่ข้ามอบให้…เช่นนั้นผลลัพธ์ของการที่เจ้าไม่ไขว่คว้าโอกาสนี้ไว้ ก็คือต้องตายด้วยน้ำมือข้า…หากเจ้าไปเกิดใหม่ชาติหน้าก็อย่าได้ลืมเสีย ว่าทุกวาจาของอาจารย์มีไว้ให้ปฏิบัติ มิใช่ไถ่ถาม!!”
สิ้นคำกล่าว หลิวฮ่วนก็ไม่รอให้โจวฉีตอบสนองอะไร มันสะบัดมือตบฟาดออกไปฉับไวปานฟ้าผ่า!
ต่อหน้าหลิวฮ่วน โจวฉีย่อมไร้พลังอำนาจที่จะต้านทานอะไรได้ พริบตามันก็ถูกฆ่าทันที!
ร่างของมันยังระเบิดบึ้มเป็นหมอกโลหิต…ไม่เหลือแม้แต่ศพให้กลบฝัง!
ต้วนหลิงเทียนเองก็คงคิดไม่ถึงเช่นกัน ว่าโจวฉีพึ่งออกจากเขตสำนักจันทร์จรัสแสงได้ไม่ทันไร มันก็ถูกหลิวฮ่วนฆ่าตายเสียแล้ว…
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนยังคงหลับไหลอยู่บนชั้น 2 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ ฟื้นฟูพลังวิญญาณที่พร่องไป อาการเหนื่อยล้าทางจิตเพราะสูญเสียพลังวิญญาณไปจำนวนมากนั้น ทำให้เขาง่วงนอนอย่างรุนแรง ถึงขั้นหลับเป็นตาย กว่าจะตื่นก็อีก 2 วันให้หลัง…พอตื่นขึ้นมาเขาก็มีสีหน้าสดใสขึ้นไม่น้อย พลังวิญญาณที่พร่องไป ฟื้นฟูกลับมา 7-8 ส่วน
แน่นอนว่า 2 วันที่ว่า หมายถึงเวลาในชั้นที่ 2 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ
เวลาในโลกภายนอกนั้นพึ่งผ่านไปเพียงแค่หนึ่งคืนกับช่วงเช้าเท่านั้น
หลังออกจากเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เดินออกจากบ้านเดี่ยว มุ่งหน้าไปยังลานฝึกซ้อมรวมของฝ่ายนอกทันที
และตอนนี้ก็มีคนกลุ่มหนึ่งมายืนรอเขาอยู่ที่ลานฝึกซ้อม
คนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ที่ลงเดิมพันกับเขาทั้งสิ้น มีทั้งศิษย์ฝ่ายนอกรวมไปถึงผู้ดูแลฝ่ายนอก เมื่อทั้งหมดเห็นเขาเดินมาสีหน้าแววตาก็กลายเป็นตื่นเต้นยินดี ราวผู้ล่าที่หิวโหยแลเห็นเหยื่ออันโอชะ
“ทุกคนโปรดเข้าแถว แล้วทยอยนำใบสัญญาเดิมพันมาให้ข้าเพื่อรับคะแนนอุทิศคืนทีละคน”
หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนมาถึงลานฝึกซ้อมเขาก็กล่าวประกาศออกมาทันที
ใช้เวลาไปกว่าครึ่งชั่วยาม ต้วนหลิงเทียนถึงจะจัดการคืนคะแนนอุทิศให้ทุกคนกลับไปครึ่งหนึ่งเสร็จสิ้น
หลังจากที่โอนคะแนนอุทิศคืนให้ทุกคนเสร็จแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ถามทางศิษย์ฝ่ายนอกแถวนั้นเพื่อหาทางไปยัง ศาลาอุทิศของสำนักจันทร์จรัสแสง
ศาลาอุทิศของสำนักจันทร์จรัสแสงก็มีรูปแบบเดียวกันกับศาลาอุทิศของจวนเจ้าเมืองชงซัน ไม่ว่าจะวรยุทธ์เซียน ศาสตราเซียน และโอสถเซียน ล้วนแลกได้ด้วยคะแนนอุทิศ
กระทั่งอาคมเซียน ยันต์เต๋า รวมไปถึงศาสตราเซียนที่มีอาคมเซียนจารึกก็มีให้แลก!
เรียกว่าในศาลาอุทิศของสำนักจันทร์จรัสแสงนั้น ตราบใดที่ท่านมีคะแนนอุทิศมากพอ ก็สามารถแลกเปลี่ยนทุกสิ่งที่ท่านต้องการได้ นอกจากนั้นท่านยังสามารถซื้อขาดป้ายวรยุทธ์เซียนระดับมนุษย์ดั้งเดิมกับสามัญไปเลยก็ได้ หากท่านต้องการ…
มีเพียงป้ายเซียนที่บรรจุวรยุทธ์เซียนระดับมนุษย์โดดเด่นเท่านั้นที่ไม่อาจซื้อขาดได้ จำต้องหยิบยืมอ่านอยู่แต่ที่นี่เท่านั้น
และการยืมอ่าน 1 ครั้งก็ต้องจ่ายออกด้วยคะแนนอุทิศ 30,000 แต้ม
(ขออภัยด้วย ตอนก่อนนู้นแปลไป 300,000…ไม่รู้ว่าผมผิดหรือผู้แต่งเขียนมาผิด ขี้เกียจย้อนไปดูแล้ว 55+)
“ด้วยคะแนนอุทิศ 1,750,000 แต้ม…น่าจะพอให้ข้าแลกสิ่งที่ข้าต้องการได้”
ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็เดินมาถึงศาลาอุทิศ
ทำเลที่ตั้งศาลาอุทิศของสำนักจันทร์จรัสแสงนั้นค่อนข้างตั้งอยู่ตรงกลางของสำนัก มันอยู่ในพื้นที่รอยต่อที่เชื่อมระหว่างฝ่ายในกับฝ่ายนอก และศิษย์ทั้งฝ่ายในหรือฝ่ายนอกก็ล้วนต้องมาแลกเปลี่ยนกันที่นี่
“ดูเหมือนว่าศาลาอุทิศของเมืองชงซันจะสร้างเลียนแบบศาลาอุทิศของสำนักจันทร์จรัสแสงมาอีกทีสินะ…”
ต้วนหลิงเทียนที่หยุดยืนหน้าศาลาอุทิศกล่าวพึมพำกับตัวเบาๆ ขณะว่ายตามองสำรวจ
เพราะรูปลักษณ์ศาลาอุทิศของจวนเจ้าเมืองชงซันนั้น แทบจะถอดออกมาจากพิมพ์เดียวกันกับศาลาอุทิศของสำนักจันทร์จรัสแสงเลยทีเดียว ที่ต่างก็แค่ขนาดสัดส่วนและรายละเอียดยิบย่อยบางอย่างเท่านั้น
ทว่าหลังจากเข้ามายังศาลาอุทิศของสำนักจันทร์จรัสแสงแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็พบว่าที่แท้ด้านในกลับมีความแตกต่างกันอยู่ไม่น้อย
ไม่ว่าจะพื้นที่ส่วนรับเรื่องต่างๆ จำนวนชั้นหรือรูปแบบการตกแต่ง มันก็ต่างจากศาลาอุทิศของจวนเจ้าเมืองชงซันไปคนละเรื่อง!
ที่สำคัญศาลาอุทิศของสำนักจันทร์จรัสแสงนั้นมีถึง 5 ชั้น! ชั้นแรกก็มีไว้ให้เหล่าศิษย์สำนักทำการค้าด้วยตัวเอง เรียกว่าเปิดโอกาสให้เหล่าศิษย์แลกเปลี่ยนสิ่งของกระทั่งหินเซียนรวมถึงคะแนนอุทิศกับศิษย์ด้วยกันตามความพึงพอใจของทั้งสองฝ่าย
กล่าวได้ว่าชั้นแรกของศาลาอุทิศสำนักจันทร์จรัสแสงประหนึ่งตลาดนัดย่อมๆก็ว่าได้
อย่างไรก็ตามแม้จะกล่าวว่าตลาดนัดของเหล่าศิษย์ แต่หลังจากเข้ามาชั้นแรกแล้วต้วนหลิงเทียนก็พบว่าเป็นศิษย์ฝ่ายในทั้งหมดที่มาตั้งแผงขายของกันอยู่!
เรื่องนี้เขาตัดสินจากป้ายประจำตัวที่ห้อยแขวนอยู่บริเวณช่วงเอว
ด้วยเหตุนี้ทำให้ตอนต้วนหลิงเทียนเข้ามา ไม่มีใครที่จดจำเขาได้เลย
เพราะในวันที่เขาทำการประลองกับเฝิงฟ่านนั้น มีศิษย์สายในมาดูแค่ไม่กี่คน…ทำให้แม้ชื่อเสียงเขาจะกระจายมาถึงฝ่ายในแล้ว แต่ทั้งหมดก็รับรู้เพียงแค่นามของเขาเท่านั้น โดยมากก็ไม่มีใครรู้จักรูปร่างหน้าตาของเขาเลย
“เดินดูของชั้นแรกให้ทั่วก่อนแล้วกัน เผื่อจะมีของอะไรดีๆอะไรที่ข้าใช้ได้”
ต้วนหลิงเทียนพึมพำเบาๆ
แน่นอนว่าที่คิดแบบนี้ส่วนใหญ่แล้ว เพราะรู้สึกแปลกใหม่ที่มีศิษย์มาแลกเปลี่ยนอะไรกันแบบนี้ นับเป็นประสบการณ์ใหม่ของเขาก็ว่าได้
“คุณค่าของคะแนนอุทิศมากกว่าหินเซียนจมหูเลย…ในสำนักจันทร์จรัสแสงแห่งนี้นอกจากวรยุทธ์เซียนระดับมนุษย์โดดเด่นแล้ว ไม่ว่าอะไรก็สามารถใช้คะแนนอุทิศซื้อกลับไปได้…”
ต้วนหลิงเทียนตระหนักเรื่องนี้ดี
ต้วนหลิงเทียนเดินดูของตามแผงของเหล่าศิษย์ในชั้นที่ 1 ไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้ดึงดูดความสนใจจากใคร
ว่ายตามองไปทางไหน ต้วนหลิงเทียนก็แลเห็นแผงแบกะดินมากมายในศาลาอุทิศชั้น 1 ของบนแผงลอยทั้งหลาย มีมากมายที่แลดูแปลกตาและเขาไม่เคยเห็นมาก่อน
กระทั่งมีไม่น้อยที่กระทั่งผู้ขายเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร…
ที่พวกมันเอาออกมาตั้งขายนั้น บางครั้งก็หวังจะได้รับทราบคุณค่าที่แท้จริงของมันจากเหล่าศิษย์ที่รู้จักสิ่งของดังกล่าว
“ผู้เฒ่าหั่ว”
หลังเดินดูของไปพักหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนติดต่อไปหาผู้เฒ่าหั่วที่อยู่ในชั้นแรกของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติทันที “ท่านลองชมดูว่า สิ่งของพวกนี้มีสิ่งใดที่สามารถใช้ในการซ่อมแซมฟื้นฟูชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติได้บ้าง”
แม้ว่าผู้เฒ่าหั่วจะเคยบอกต้วนหลิงเทียนไปแล้วคร่าวๆว่าของสิ่งใดที่สามารถนำมาใช้ฟื้นฟูซ่อมแซมเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติได้
อย่างไรก็ตามวัตถุดิบต่างๆที่ผู้เฒ่าหั่วบอกมาก็แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น และยังเป็นจำพวกวัตถุดิบที่สามารถหาได้ง่ายในสายตาของผู้เฒ่าหั่วแล้ว
ยังมีอีกหลายอย่างที่ผู้เฒ่าหั่วไม่ได้บอกรายละเอียดเอาไว้
ในนั้นก็รวมไปถึง มุกมังกร ของมังกรเทพยาดา 5 กรงเล็บ รวมถึงวัตถุดิบบางชนิดที่พบเจอในศาลาอุทิศของเมืองชงซัน ที่สามารถซ่อมแซ่มฟื้นฟูชั้นที่ 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติได้ถึง 10%
หลังจากที่ได้ยินคำตอบรับของผู้เฒ่าหั่ว ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มเดินไล่ดูสิ่งของไปทั่วชั้นแรกของศาลาอุทิศอีกครั้ง
ต้องบอกว่าวันนี้เขาค่อนข้างมีโชคไม่น้อย
หลังจากที่เดินไปรอบๆ ไม่นานผู้เฒ่าหั่วก็พบว่ามีวัตถุดิบบางชนิดที่สามารถนำไปฟื้นฟูซ่อมแซมชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลงได้อย่างมีประสิทธิธาพ มีแม้กระทั่งชิ้นที่ผู้เฒ่าหั่วบอกว่ามันมีค่ายิ่งกว่ามุกมังกรของมังกรเทพยาดา 5 กรงเล็บเสียอีก
“ถึงแม้ว่าข้าเองก็มิอาจทราบได้ ว่าไฉนของสิ่งนี้ถึงมาอยู่ที่นี่ได้…แต่ข้าค่อนข้างมั่นใจว่านี่เป็นชิ้นส่วนของศิลาหนี่วา!”
ผู้เฒ่าหั่วกล่าวบอกต้วนหลิงเทียน
ศิลาหนี่วา!!
ตอนแรกพอต้วนหลิงเทียนได้ยินผู้เฒ่าหั่วกล่าวบอกว่ามีสิ่งที่ล้ำค่ายิ่งกว่ามุกมังกรของมังกรเทพยาดา 5 กรงเล็บ ต้วนหลิงเทียนถึงกับอึ้ง เพราะไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ ว่าจะมาพบเจอในที่แบบนี้ได้…
แน่นอนว่าของสิ่งนั้นก็เป็นหนึ่งในวัตถุดิบที่เขาไม่รู้จัก
ทว่าพอมาได้ยินชื่อของวัตถุดิบที่ผู้เฒ่าหั่วบอก เขาถึงกับต้องตะลึงไปอีกครั้ง
ศิลาหนี่วาคืออะไร?
นั่นเป็นเหมือนสิ่งของในเทวะตำนานจากชีวิตที่แล้วของเขาบนโลกมนุษย์!
ศิลาหนี่วานั้น เล่าขานกันว่ามันคือศิลาที่เจ้าแม่หนี่วาเคยใช้เพื่อซ่อมแซมสวรรค์!
ไม่เพียงเท่านั้น ในเทวะตำนานยังกล่าวกันว่า…ผู้ยิ่งใหญ่เสมอฟ้าดินวานรเทพซุนหงอคงเอง ก็ถือกำเนิดเกิดออกมาจากศิลาหนี่วาที่ดูดซับพลังฟ้าดินมานานปี!!
ถึงแม้ผู้เฒ่าหั่วจะบอกว่ามันเป็นแค่ชิ้นส่วนของศิลาหนี่วา แต่ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงอยู่ดี!
ทันทีที่ผู้เฒ่าหั่วบอกเรื่องนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ก้าวอาดๆเดินเร็วรี่ไปยังแผงขายของดังกล่าวทันที แผงนี้มีเจ้าของเป็นศิษย์ฝ่ายในรูปร่างผอมแห้งคนหนึ่ง หากแต่สีหน้าท่าทางของอีกฝ่ายแลคล้ายเป็นคนมากไหวพริบ ดวงตาที่สุกใสกระจ่างบอกให้รู้ว่ามันไม่น่าใช่ชนชั้นเจ้าเล่ห์มากเหลี่ยมอะไร
“มาๆๆ! ศิษย์น้องคนนี้นับว่าเจ้าตาถึงทีเดียวเชียว! เจ้าคงรู้สินะว่าทั้งหมดที่ข้าขายล้วนเป็นสมบัติชั้นดี! ถึงได้เดินตรงมาหาข้าแบบนั้น ชมดูๆ”
เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนเข้ามาเดินดูของบนแผง แววตาของศิษย์ฝ่ายในผู้นั้นก็คล้ายจะส่องแสงขึ้นมาทันใด รีบกล่าวต้อนรับขับสู้ต้วนหลิงเทียนอย่างดี
“ของพวกนี้นี่สมบัติชั้นดีจริงหรือพี่ชาย?”
ต้วนหลิงเทียนก้มลงว่ายตามองสิ่งของที่ตั้งขายอยู่บนแผงทั่วๆ แต่แน่นอนว่าหางตายังไม่ละไปจากชิ้นส่วนศิลาหนี่วาแม้แต่น้อย
ชิ้นส่วนศิลาหนี่วาที่ว่า แลไปก็คล้ายๆเศษหินธรรมดาๆชิ้นหนึ่งเท่านั้น อีกทั้งยังตั้งวางอยู่ที่มุมของแผง แลดูไม่เด่นอะไรแม้แต่น้อย
หากไม่ใช้เพราะการกล่าวบอกของผู้เฒ่าหั่ว ต้วนหลิงเทียนคงมองข้ามมันไปแล้ว เพราะมันแลดูไร้ค่าและจืดจางเสียเหลือเกิน…
“พี่ชาย ของพวกนี้เป็นสมบัติชั้นดีแน่นา…ท่านอย่าคิดหลอกข้าเพราะเห็นข้าเป็นศิษย์ใหม่ที่พึ่งเข้าสำนักมาเชียว…”
ต้วนหลิงเทียนทำท่าระแวดระวัง หยิบของขึ้นมาชิ้นหนึ่ง พลิกดูไปมาค่อยมองถามศิษย์ฝ่ายในเจ้าของแผงด้วยท่าทางจริงจัง
“อ่อ เจ้าเป็นศิษย์ใหม่ที่พึ่งเข้าสำนักมาเหรอ…”
หลังจากได้ยินวาจาของต้วนหลิงเทียน ศิษย์ฝ่ายในก็มองไปยังป้ายประจำตัวที่ห้อยแขวนที่เอวต้วนหลิงเทียนทันที และเมื่อเห็นว่าเป็นป้ายของศิษย์ฝ่ายนอกจริงๆ ความผิดหวังก็คล้ายจะประดังโถมใส่มันทันที…
1460 เลือกเอาจากมุมนี้!
โดยทั่วไปแล้วศิษย์ฝ่ายนอกที่พึ่งเข้าสำนักมาใหม่นั้น แน่นอนว่าคะแนนอุทิศย่อมไม่ได้มีมากมายอะไร
อย่างไรก็ตามพอคิดว่าถึงยุงจะตัวเล็กแต่มันก็ยังมีเนื้อ ศิษย์ฝ่ายในก็ปรับทัศนคติกลับมาเป็นยิ้มแย้มกล่าวต้อนรับ และแนะนำสินค้าให้ต้วนหลิงเทียนอย่างกระตือรือร้น
“กิ่งไม้แห้งกิ่งนี้ดูแล้วไม่น่าจะธรรมดาเลย…เหมาะเอาไปทำฟืนจุดไฟติดเตา”
ต้วนหลิงเทียนหยิบกิ่งไม้แห้งๆกิ่งหนึ่งขึ้นมาจากแผง
กิ่งไม้แห้งนี้เป็นวุตถุดิบที่ผู้เฒ่าหั่วแนะนำมาเช่นกัน
แต่นอนนอนว่าคุณค่าของมันย่อมด้อยกว่าเศษหินหนี่วา
อย่างไรก็ตามที ต้วนหลิงเทียนยังอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ เพราะไม่คิดเลยว่าแผงขายของศิษย์ฝ่ายในคนนี้กลับมีวัตถุดิบที่ใช้ซ่อมแซมชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติอยู่ถึง 2 ชิ้น!
“เอ่อ…ซื้อกลับไปทำฟืนจุดไฟติดเตาหรือ?”
หลังจากได้ยินวาจาของต้วนหลิงเทียน ศิษย์ฝ่ายในถึงกับหน้าเหวอทำตาปริบๆ ไม่นานมันก็ก้มหน้าลงขบเคี้ยวฟัน ลอบกล่าวในใจ ‘ติดเตาบ้านเจ้าสิวะ!’ สุดท้ายก็เงยหน้าขึ้นมากล่าวบอกต้วนหลิงเทียนเสียงเข้ม “ศิษย์น้องเอย เจ้าอย่าได้เห็นว่ามันเป็นกิ่งไม้ธรรมดาๆไป นี่หาใช่อันใดที่ธรรมดาไม่!”
“เห ไม่ธรรมดาหรอ…แต่ข้าไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรพิเศษเลยนี่นา”
ต้วนหลิงเทียนหยีตาจือปาก ค่อยกล่าวออกมาคล้ายระแวง “เอาล่ะ ขอฟังราคามันก่อนแล้วกัน หากมันแพงเกินไปข้าก็ไม่ซื้อหรอก เก็บคะแนนไว้ดูของแผงอื่นดีกว่า”
หลังจากกล่าวจบต้วนหลิงเทียนก็วางกิ่งไม้แห้งลงอย่างไม่แยแส ยังทำท่าคล้ายจะเตรียมตัวหันหลังจากไป
“เฮ่ๆ ศิษย์น้องใจเย็นก่อน ข้าไม่ได้หลอกเจ้านา…”
เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนทำท่าจะเดินจากไป สีหน้าศิษย์ฝ่ายในเผยความกังวลทันที วันนี้ทั้งวันมันยังขายอะไรไม่ได้สักชิ้น! ในที่สุดก็มีลูกแกะน้อยหลงมา มันจะปล่อยไปง่ายๆได้อย่างไร…!!
“งั้นรบกวนพี่ชายบอกข้าทีได้ไหม ว่ามันไม่ธรรมดายังไง?”
ต้วนหลิงเทียนเลิกคิ้วกล่าวถาม
“ศิษย์น้องสิ่งนี้แม้ดูคล้ายกิ่งไม้แห้งๆเหมาะทำฟืน แต่มันหาใช่อะไรที่สามารถติดไฟง่ายๆไม่! มีปรมาจารย์เซียนหลอมระดับดาวเดียวมากมายในฝ่ายในที่ไม่แม้แต่จะเผามันให้ติดไฟได้ด้วยซ้ำ! และที่สำคัญสิ่งนี้นับเป็นกระสัยยาชั้นดีเลยนา!!”
ศิษย์ฝ่ายในกล่าวออกด้วยท่าทางจริงจัง
“ขนาดนั้นเลยเหรอ?”
ต้วนหลิงเทียนแสร้งชักสีหน้าประหลาดใจกล่าวถามด้วยสายตาเหลือเชื่อ
“แน่นอนๆ ของดีๆ”
ศิษย์ฝ่ายในรีบกล่าวสืบต่อ “หากศิษย์น้องยังไม่เชื่อใจศิษย์พี่ เจ้าลองไปเชิญปรมาจารย์เซียนหลอมระดับ 1 ดาวมาทดสอบสักคนเถอะ! เจ้าไม่ต้องไปหาไกลหรอก แถวๆนี้ข้าก็เห็นเดินกันอยู่หลายคนทั้งยังเป็นปรมาจารย์เซียนหลอมของศาลาอุทิศอีกด้วย…เอ่อแต่เจ้าต้องจ่ายค่าคะแนนอุทิศในการว่าจ้างปรมาจารย์เซียนหลอมให้ตรวจสอบเองนะ ทว่าเจ้าไม่ต้องห่วงข้ามั่นใจว่าต้องไม่มีใครปฏิเสธ”
ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้ว และทำท่าสงสัยไม่เลิก
หลังจากที่หยิบกิ่งไม้แห้งมาพลิกๆดูอีกไม่กี่รอบด้วยสีหน้าครุ่นคิด โดยมีศิษย์ฝ่ายในจับจ้อง ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็คลายคิ้วที่ขมวด เงยหน้าขึ้นมากล่าวคำ “เอาล่ะงั้นข้าเชื่อพี่ชายสักครั้งแล้วกัน! ข้ามีคะแนนอุทิศไม่มากพอจะไปเชิญปรมาจารย์เซียนหลอมระดับ 1 ดาวอะไรหรอก…”
“แต่พี่ชาย ข้าต้องบอกท่านก่อนเลยนะ…พอดีคะแนนอุทิศที่ข้ามีมันก็ไม่ได้มากมายอะไร ถ้ามันแพงไปข้าก็จ่ายไม่ไหว”
ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้วกล่าวออกอีกครั้ง
ถึงแม้ว่าเขาจะมีคะแนนอุทิศนับล้านในมือ แต่เขาก็ไม่คิดจะใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย เพราะบางทีอาจมีสิ่งของอย่างอื่นในศาลาอุทิศที่เขาต้องการ ดังนั้นเขาจึงไม่อยากเสียคะแนนอุทิศไปในชั้นแรกให้มันมากนัก
“ไม่แพง ไม่แพงเลย!”
ศิษย์ฝ่ายในส่ายหัวพร้อมกล่าว
“ไม่แพงรึ? แล้วมันราคากี่คะแนนอุทิศกัน?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวถาม
“แค่ 5,000 คะแนนอุทิศเองศิษย์น้อง”
ทันทีที่ศิษย์ฝ่ายในกล่าวจบคำมันก็มองต้วนหลิงเทียนอย่างตั้งใจ คล้ายไม่อยากพลาดรายละเอียดใดๆบนสีหน้าต้วนหลิงเทียนแม้แต่น้อย ราวกับคิดสำรวจดูว่าจะมีพอจ่ายหรือไม่
ต้องรู้ด้วยว่าเบื้องหน้าของมันคือศิษย์ฝ่ายในที่พึ่งเข้าสำนักมาใหม่รอบนี้ คะแนนอุทิศสมควรไม่ได้มีมากมายอะไร แต่อย่างไรก็ตามมันยังรู้เรื่องราวอีกประการหนึ่งดี
ศิษย์ฝ่ายนอกนั้นส่วนมากแล้วจะเป็นคนของจวนเจ้าเมืองต่างๆของ 18 เมือง
นอกจากนั้นอย่างต่ำๆ ศิษย์เหล่านี้ย่อมได้รับคะแนนอุทิศจากเจ้าเมืองไว้จับจ่ายใช้สอยราวๆ 10,000 ถึง 20,000 คะแนนอุทิศ
“5,000 คะแนนอุทิศ?”
พอได้ยินคำตอบของศิษย์ฝ่ายในต้วนหลิงเทียนก็ชักสีหน้าตกใจ ก่อนที่จะวางกิ่งไม้แห้ง แล้วหันหลังเดินจากไปโดยไม่กล่าววาจาใดแม้ครึ่งคำ
ก่อนจากไปนั้นแน่นอนว่าสีหน้าแววตาของต้วนหลิงเทียนส่อเจตนาชัด
ราวกับไม่คิดไม่ฝันว่ากิ่งไม้แห้งนี่จะแพงขนาดนั้น!
“ฮัยยา ศิษย์น้องช้าก่อน! ข้าล้อเจ้าเล่นหน่อยเดียวเอง…มันราคาแค่ 1,000 คะแนนอุทิศ! แค่ 1,000 คะแนนอุทิศเท่านั้นล่ะ!!”
แน่นอนว่าสีหน้าแววตาก่อนหน้านี้ของต้วนหลิงเทียน ศิษย์ฝ่ายในคนนี้ย่อมเห็นชัดเจน
ทันทีที่เห็นหน้าต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนสี และหันหลังเดินจาก มันก็รู้ได้ทันทีว่าชายหนุ่มชุดม่วงคนนี้มีคะแนนอุทิศไม่มาก
เกรงว่าหากมันรู้ว่าศิษย์น้องชุดม่วงที่แลดูยากจนในสายตาของมันคือ ‘ต้วนหลิงเทียน’ ศิษย์ฝ่ายนอกที่สร้างเรื่องราวใหญ่โตในฝ่ายนอกจนเป็นที่ร่ำลือไปทั่วล่ะก็…เกรงว่ามันคงได้กระอักเลือดด้วยโทสะแล้ว!!
ศิษย์น้องผู้นี้ประหนึ่ง ‘ทรราชท้องถิ่น’ ที่มีคะแนนอุทิศนับล้านในมือ แต่กลับทำหน้าเสียเพียงเพราะได้ยินราคา 5,000 คะแนนอุทิศ ทั้งยังเดินจากไปอย่างไม่ใยดี…
นี่เจ้าสมควรได้รับคะแนนอุทิศนับล้านแล้วจริงๆหรือ?
พอได้ยินเสียงเรียกจากศิษย์ฝ่ายในต้วนหลิงเทียนที่หันหลังเดินจากพลันยกยิ้มมุมปาก ทว่าเขาก็ไม่ได้หันกลับไปแต่อย่างไร เพียงค่อยๆก้าวเดินต่ออย่างไม่รีบร้อนทำราวกับจะไปแผงอื่น
“500! 500 คะแนนอุทิศพอศิษย์น้อง พอดีศิษย์พี่ลืมไปว่าวันนี้เป็นวันเกิดมารดา เช่นนั้นศิษย์พี่จะลดราคาให้เจ้าเป็นพิเศษ! ทว่าราคานี้ต่ำสุดเท่าที่ศิษย์พี่จะให้เจ้าได้แล้วนะ!! “
เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนจะเดินจากไปจริงๆ ศิษย์ฝ่ายในคนนั้นแม้จะขุ่นขึ้ง แต่ก็รีบประกาศราคาสุดท้ายที่มันรับไหวออกมาทันที
“หาก 500 คะแนนอุทิศก็พอได้อยู่…แต่ศิษย์พี่ต้องให้ของแถมข้าสักชิ้นนะ”
ต้วนหลิงเทียนเองก็รับทราบดีว่า 500 คะแนนอุทิศนั้นเป็นขีดจำกัดล่างของอีกฝ่ายแล้ว ดังนั้นเขาก็ไม่คิดจะกดราคาอะไรอีก หยุดเดินและหันกลับมาถามทันที
“ของแถมเหรอ?”
หลังได้ยินวาจาของต้วนหลิงเทียน ศิษย์ฝ่ายในอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วมองมาด้วยความลังเล
แต่สุดท้ายพอมันเห็นว่าต้วนหลิงเทียน ยังมีทีท่าลังเลขณะหยิบกิ่งไม้แห้งๆขึ้นมาอย่างเก้ๆกังๆคล้ายไม่รู้จะวางลงหรือซื้อดี มันก็กัดฟันย่นคิ้วด้วยความเจ็บปวด ‘เวรกรรมแท้ๆ ไฉนข้าต้องเจอลูกค้ายากจนกันนะ!’
หากเสียงบ่นในใจของศิษย์ฝ่ายในผู้นี้ ไปดังให้ศิษย์ฝ่ายนอกได้ยินล่ะก็ เกรงว่ามันคงได้จมน้ำลายของศิษย์ฝ่ายนอกจนตาย!
เจ้ากล้าเรียก ‘ต้วนหลิงเทียน’ ผู้ล่ำซำว่าลูกค้ายากจนเรอะ!
แม้แต่อาวุโสฝ่ายในเกรงว่าก็คงไม่กล้ากล่าววาจาประโยคนี้!
“ศิษย์น้อง…500 คะแนนอุทิศนี่ก็ราคาต่ำสุดเท่าที่ข้าจะให้เจ้าได้แล้ว…ของแถมอะไร ข้าให้เจ้าอีกไม่ไหวหรอก”
ศิษย์ฝ่ายในกล่าวออกเสียงอ่อนด้วยท่าทางคล้ายจะวางเดิมพันกับความต้องการของต้วนหลิงเทียน
“งั้นก็ไม่เป็นไร ข้าไม่เอาแล้วกัน…”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวอย่างขอไปที และทำท่าจะเดินจากไปอีกรอบ
“ช้าก่อน! ช้าก่อน!!”
ศิษย์ฝ่ายในไม่คิดเลยว่าสุดท้ายต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้อยากได้ของมันจริงๆ มันจึงอดไม่ได้ที่จะเป็นกังวล “เอาล่ะศิษย์น้อง เห็นแก่วันเกิดมารดาข้า ข้าให้ของแถมเจ้าอีกชิ้นก็ได้…แต่ของแถมนั่นข้าอนุญาตให้เจ้าเลือกจาก ของที่ข้าจัดให้เท่านั้นนะ”
“ตราบใดที่มีของแถม ข้าก็ไม่มีปัญหา”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกอย่างเฉยเมยคล้ายไม่ได้สนใจสักเท่าไร ว่าของแถมจะเป็นอะไร
ศิษย์ฝ่ายในลอบสบถสาปแช่งต้วนหลิงเทียนในใจอีกรอบ ก่อนที่จะมองไปยังมุมหนึ่งของแผง แล้วชี้ให้ต้วนหลิงเทียนเลือก “ศิษย์น้อง ของแถมเจ้าเลือกจากของ 4-5 ชิ้นตรงมุมนี้แล้วกัน”
ต้วนหลิงเทียนหันมองไปทันที แน่นว่าของในมุมแผงที่อีกฝ่ายชี้ มีเศษหินหนี่วารวมอยู่ด้วย
“อะไรนะศิษย์พี่ ขยะพวกนี้เนี่ยนะ!?”
ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้ว “พี่ชาย…นี่ท่านให้ข้าเลือกของแถมจากกองขยะพวกนี้หรือ? จะ…จรรยาบรรณพ่อค้าท่านอยู่ที่ใด?”
“ฮัยยาศิษย์น้อง…หากเจ้าไม่รู้จักพวกมัน เจ้าอย่าได้เรียกมันว่าขยะสิ! นี่ของดีๆทั้งนั้นเลยนา ขยะอะไรที่ไหนเล่า!?”
ศิษย์ฝ่ายในกล่าวออกด้วยสีหน้าจริงจัง “นอกจากนี้เจ้าบอกเองนี่ว่าของแถมจะอะไรก็ได้ อย่าได้บอกข้าเชียวว่าเจ้าเสียใจ”
“ถูก ข้าเสียใจขึ้นมาจริงๆแล้วเนี่ย ข้าก็รู้อยู่แล้วว่าพ่อค้าเช่นท่านเขี้ยวลากดิน…แต่ไม่คิดเลยว่าท่านจะตระหนี่กับศิษย์น้องอย่างข้าได้ลงคอ”
ต้วนหลิงเทียนเผยยิ้มขื่นขม
“วิญญูชนตกลงซื้อขายเสร็จสิ้นไม่พลิกลิ้นกลับคำ ศิษย์น้องเจ้าตกลงซื้อแล้วนา เจ้าไม่อาจเปลี่ยนใจได้แล้ว…”
ศิษย์ฝ่ายในกล่าวกระตุ้นเตือนออกมาอย่างระวัง
ต้วนหลิงเทียนถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ก่อนที่จะหยิบๆจับๆของที่ตั้งอยู่ตรงมุมแผง
ทันทีที่เขาหยิบเศษหินหนี่วาขึ้นมา ใจเขาก็เต้นผิดจังหวะไปทันใด หากแต่เขายังสงบจิตใจและทำเป็นวางมันลงกลับไป และไปหยิบชิ้นอื่นพลิกๆแล้ววางลง ทำเช่นนี้จนครบทุกชิ้น
“ดูเหมือนจะไม่มีอะไรดีๆเลย…”
ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้วกล่าว
หลังจากได้ยินคำบ่นของตค้วนหลิงเทียน ศิษย์ฝ่ายในเจ้าของแผงก็ลอบหัวเราะเยาะในใจ หากพวกมันเป็นของดีพี่จะให้เจ้าเลือกหยิบรึ!?
“ช่างเถอะ สุ่มๆเอามาสักอันแล้วกัน”
หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนก็ยื่นมือไปหยิบหินหนี่วามาด้วยท่าทางราวสุ่มหยิบอย่างขอไปที ค่อยกล่าวกับศิษย์ฝ่ายใน “พี่ชาย งั้นข้าเอาหินแปลกๆนี่แล้วกัน ท่านไม่มีปัญหาอะไรแล้วนะ”
เมื่อเห็นว่าที่ต้วนหลิงเทียนเลือกหยิบกลับเป็นหินประหลาดที่มันบังเอิญพบเจอ และมีคุณสมบัติตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้เท่านั้น มันก็แย้มยิ้มออกมาอย่างยินดี ค่อยพยักหน้ากล่าว “ไม่มีปัญหา แต่ศิษย์น้องข้าบอกก่อน หากเจ้าเลือกแล้ว ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าเปลี่ยนแล้วนะ…”
“ไม่แล้วล่ะ”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวเบาๆก่อนที่จะหยิบบัตรแก้วออกมายื่นไปทางศิษย์ฝ่ายใน แตะบัตรโอนคะแนนอุทิศไปให้อีกฝ่าย 500 เป็นอันปิดการซื้อขาย!
จำนวนคะแนนอุทิศนั้นจะไม่แสดงให้เห็นหากไม่จ่ายปราณแท้ลงไปยังตัวบัตรแก้ว ดังนั้นศิษย์ฝ่ายในก็ไม่มีทางล่วงรู้เลย ว่าบัตรแก้วของศิษย์น้องยากจนที่มันว่า มีคะแนนอุทิศอยู่กว่าหนึ่งล้านเจ็ดแสนแต้ม…!!
หาไม่แล้วมันคงได้มีโทสะจนไฟลุกหัวแน่ๆ
‘วัตถุดิบ 2 ชิ้นนี้เสร็จข้าล่ะ!’
ขณะที่เก็บวัตถุดิบทั้ง 2 ชิ้นลงแหวนมิติ ใจต้วนหลิงเทียนก็คึกคักอักโขนัก
“ศิษย์น้อง แล้วเจ้าต้องการอะไรอีกหรือไม่…ดูก่อนได้นะ ของดีๆทั้งนั้น”
หลังจากที่มาตั้งแผงขายของที่ศาลาอุทิศแต่หัววัน ย่างบ่ายพอขายของชิ้นแรกได้เช่นนี้ อารมณ์ของศิษย์ฝ่ายในจึงมีความสุขความยินดีไม่น้อย กล่าวถามต้วนหลิงเทียนออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ไม่เอาแล้วล่ะพี่ชาย ของท่านอาจจะดีแต่ข้าสู้ราคาไม่ไหวหรอก คะแนนอุทิศของข้ามีไม่เยอะ ข้าขอตัวไปหาของที่ข้าจ่ายไหวแผงอื่นก่อนล่ะ”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกด้วยรอยยิ้มขื่นขม ก่อนที่จะเดินออกไปดูวัตถุดิบแปลกๆตามแผงอื่นๆทั่วชั้น 1 ของศาลาอุทิศสำนักจันทร์จรัสแสง
เมื่อเจอวัตถุดิบที่สามารถใช้ได้ ต้วนหลิงเทียนก็ใช้ลูกไม้เดิมในการต่อราคา จนสามารถซื้อทุกสิ่งได้ในราคาไม่แพงแต่อย่างใด และวัตถุดิบทั้งหมดที่ซื้อมาก็ไม่มีชิ้นใดมีราคาเกินกว่า 1,000 คะแนนอุทิศเลย นับว่าเขาสามารถกดราคาทั้งต่อรองให้ได้ราคาต่ำที่สุดเท่าที่จะต่ำได้เสมอ
“ผู้เฒ่าหั่ว วัตถุดิบที่ได้มารอบนี้ มันสามารถซ่อมแซมฟื้นฟูชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติได้มากเท่าไหร่หรือ?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวถาม
“หากไม่ได้เศษหินหนี่วานั่นก็คงไม่มากมายอะไร…แต่ตอนนี้ในเมื่อพวกเราได้หินหนี่วามาด้วย ชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติสมควรฟื้นฟูได้ราวๆ 7 ส่วน”
ผู้เฒ่าหั่วกล่าวตอบ
ราวๆ 7 ส่วน?
เมื่ได้ยินคำของผู้เฒ่าหั่ว ลูกตาต้วนหลิงเทียนพลันทอแสงสว่างวาบขึ้นมาทันใด ใบหน้ายังเผยความประหลาดใจไม่น้อย
เขาไม่คิดเลยว่าวัตถุดิบที่แลดูไร้ค่าที่ไปตระเวณซื้อหามาจากแผงแบกับดินของชั้น 1 ศาลาอุทิศ จะสามารถซ่อมแซมฟื้นฟูชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติได้มากมายขนาดนี้..ยังฟื้นฟูไปได้ถึง 7 ส่วน!!
ต้องทราบด้วยว่าก่อนหน้านี้ ชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ พึ่งได้รับการฟื้นฟูซ่อมแซมไปแค่ 1 ส่วนเท่านั้น!
กล่าวอีกอย่างได้ว่า แค่ของที่เขาซื้อมาวันนี้ มันสามารถฟื้นฟูชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติไปได้ถึง 6 ส่วน!!
“ผู้เฒ่าหั่ว หากอัตราการซ่อมแซมมันเร็วขนาดนี้ ไม่ใช่ว่าอีกไม่นานชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติจะฟื้นฟูได้เต็มที่หรอกเหรอ”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวกับผู้เฒ่าหั่ว
สำหรับชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัตินั้น แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนย่อมเฝ้ารอมันอย่างใจจดจ่อ เพราะไม่เพียงแต่สภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะจะดีขึ้นเท่านั้น…
เวลาบนชั้น 3 ของเจดีย์ 5 วัน ยังเท่ากับเวลาในโลกภายนอกแค่วันเดียว!
1461 ชั้น 2 ของศาลาอุทิศ
“อีกไม่นาน?”
ได้ยินคำดีใจของต้วนหลิงเทียน ผู้เฒ่าหั่วพลันกล่าว “ที่ของรอบนี้สามารถฟื้นฟูชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติได้มากมายถึง 6 ส่วน โดยมากแล้วล้วนเป็นเพราะเศษหินหนี่วานั่น เพราะลำพังแค่เศษหินหนี่วาชิ้นเดียวก็ฟื้นฟูได้ถึง 4 ส่วนแล้ว”
วาจาของผู้เฒ่าหั่วไม่ต่างใดจากน้ำเย็นราดรดศีรษะต้วนหลิงเทียน ทำให้เขาให้ตื่นจากฝันหวาน ระงับอาการตื่นเต้นยินดีไปทันที
ที่แท้เหตุผลที่สามารถฟื้นฟูชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติได้มากมายขนาดนี้ เป็นเพราะเศษหินหนี่วา
จังหวะนี้คุณค่าของเศษหินหนี่วาในใจต้วนหลิงเทียนจึงอดไม่ได้ที่จะเพิ่มสูงขึ้น
“ผู้เฒ่าหั่วข้าเคยได้ยินมาจากตำนานว่า ผู้ยิ่งใหญ่เสมอฟ้าดินซุนหงอคงเองก็ถือกำเนิดขึ้นมาจากหิน 5 สี ของเจ้าแม่หนี่วาที่ร่วงหล่นลงมาตอนซ่อมสวรรค์…และก่อนหน้าท่านก็บอกข้าว่าซุนหงอคงไม่ใช่คนของพิภพเหยียนหวง แต่กำเนิดจากศิลา 5 สีของเจ้าแม่หนี่วาจริงๆ…ทว่าเจ้าหิน 5 สีนี่มันทรงอานุภาพขนาดนั้นเลยเหรอ ถึงสามารถให้กำเนิดตัวตนที่ท้าทายสวรรค์อย่างซุนหงอคงได้?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามออกมาด้วยความสงสัย
“หากเป็นศิลา 5 สีธรรมดาๆ ก็คงยากที่จะให้กำเนิดตัวตนท้าทายสวรรค์อย่างเจ้าลิงเลี้ยงม้านั่นได้…ทว่าศิลา 5 สีที่ให้กำเนิดมันขึ้นมานั้น เป็นส่วนที่ดีที่สุดของศิลา 5 สีอันเรียกว่า แก่นศิลานิล 5 สีอันถือกำเนิดขึ้นมาพร้อมสวรรค์และโลก ทั้งเมื่อมันได้ดูดซับ 5 ธาตุของสวรรค์และโลก กอปรกับบำเพ็ญด้วยพลังวิญญาณฟ้าดินแรกกำเนิด…จึงทำให้เจ้าตัวประหลาดท้าทายสวรรค์อย่างเจ้าลิงเลี้ยงม้านั่นถือกำเนิดขึ้นมาได้”
ผู้เฒ่าหั่วกล่าว
“อย่างนี้นี่เอง”
ทันใดนั้นต้วนหลิงเทียนที่ตระหนักได้ก็ถามออกมาอีกครั้ง “งั้นเศษหินหนี่วาที่ข้าได้มาวันนี้ ก็เป็นแค่เศษหิน 5 สีธรรมดาๆงั้นเหรอ?”
“อืม”
ผู้เฒ่าหั่วตอบ
“ผู้เฒ่าหั่ว หิน 5 สีนี่อัศจรรย์ขนาดนี้…ว่าแต่มันสามารถใช้ส่งเสริมข้าได้หรือไม่?”
ต้วนหลิงเทียนอดถามออกมาไม่ได้
พอคิดถึงพลังอำนาจของศิลาหนี่วา หรือหิน 5 สีนี่แล้ว เขาก็หวังว่ามันจะสร้างประโยชน์ให้ตัวเขาได้ และนั่นอาจจะดีกว่าเอาไปซ่อมแซมเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ!
“หากมันเป็นศิลา 5 สีที่สมบูรณ์แน่นอนว่าย่อมช่วยส่งเสริมเจ้าได้แน่นอน…ทว่าแค่เศษหิน 5 สีเช่นนี้มันก็ไม่อาจช่วยอะไรเจ้าได้”
ผู้เฒ่าหั่วตอบ
ต้วนหลิงเทียนพอได้ยินก็ผิดหวังเล็กน้อย
ในเมื่อตอนนี้ได้ตระเวนซื้อหาวัตถุดิบทั่วทั้งชั้น 1 แล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ออกจากชั้น 1 ของศาลาอุทิศ มุ่งหน้าไปยังชั้น 2 ของศาลาอุทิศทันที “ชั้น 2 ของศาลาอุทิศเมืองชงซันเป็นสถานที่แลกเปลี่ยนวรยุทธ์เซียน…ไม่รู้ว่าชั้น 2 ของศาลาอุทิศสำนักจันทร์จรัสแสงจะเหมือนกันรึเปล่า…”
พอต้วนหลิงเทียนเดินขึ้นมาถึงชั้น 2 ของศาลาอุทิศสำนักจันทร์จรัสแสง เขาก็พบว่ามันไม่ใช่สถานที่แลกเปลี่ยนวรยุทธ์เซียนแต่อย่างไร
ชั้น 2 ของศาลาอุทิศสำนักจันทร์จรัสแสง มีไว้ให้ศิษย์ใช้คะแนนอุทิศแลกเปลี่ยนกับวุตถุดิบมากมายหลายหลาก
วัตถุดิบต่างๆเหล่านี้ล้วนมีไว้สำหรับหลอมโอสถศาสตรา บ้างก็ใช้สำหรับวาดยันต์เต๋า จารึกอาคมเซียน
แน่นอนว่าวัตถุดิบบนชั้น 2 ของศาลาอุทิศย่อมมีค่ามีราคาไม่น้อย ไม่มีใครในสำนักจันทร์จรัสแสงคิดใช้คะแนนอุทิศแลกเปลี่ยนวัตถุดิบธรรมดาทั่วไป
เพราะสุดท้ายแล้วในสำนักจันทร์จรัสแสงแห่งนี้ คะแนนอุทิศมันมีค่ามากกว่าหินเซียน
‘ไม่รู้ว่าวัตถุดิบในชั้นที่ 2 ของศาลาอุทิศ จะมีของที่สามารถซ่อมแซมเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติได้อยู่ไหม…’
คิดได้เช่นนี้ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะบังเกิดความคาดหวังในใจ
เพราะตอนนี้ชั้นที่ 3 ของเจดีย์หลิงหลงก็เสมือนได้รับการฟื้นฟูซ่อมแซมไปแล้ว 7 ส่วน ขาดอีกแค่ 3 ส่วนเท่านั้นมันก็จะเสร็จสมบูรณ์
บนชั้นที่ 2 ของศาลาอุทิศ พอขึ้นบันไดมา ก็เจอโต๊ะรับรองตั้งอยู่ด้านข้างหน้าทางเข้าหองโถง และมีชายชราคนหนึ่งที่แลคล้ายจะกำลังงีบหลับนั่งประจำการอยู่ ทว่ากลับแผ่กลิ่นอายไม่ธรรมดาออกมาไม่คล้ายชายชรากำลังงีบหลับแต่อย่างไร
ขณะที่เดินผ่านโต๊ะรับรองดังกล่าว ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกเสมือนถูกจับตามอง
ทันใดนั้นต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองชายชราด้วยความระวัง ถึงแม้อีกฝ่ายจะคล้ายงีบหลับ ทว่าสำหรับต้วนหลิงเทียนแล้ว ชายชราเสมือนตื่นตัวยิ่งกว่าผู้ใด!
“ฝากอุปกรณ์พื้นที่ไว้ตรงนี้ แล้วเจ้าเข้าไปได้”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนมองชายชราด้วยสายตาระวัง ชายชราพลันลืมตาขึ้นมากล่าวบอกเสียงเรียบ
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าตอบรับครั้งหนึ่ง ค่อยถอดแหวนพื้นที่วางไว้บนโต๊ะรับรอง
ทันใดนั้นเขาสัมผัสได้ว่าตัวเองถูกตรวจสอบจนคล้ายเปลือยเปล่า ไม่พ้นเป็นชายชราใช้พลังวิญญาณตรวจสอบร่างกายเขาเป็นแน่…ว่ามีอุปกรณ์พื้นที่อะไรซุกซ่อนอยู่ในตัวอีกหรือไม่ นับว่าโชคดีที่เจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติไม่ใช่อะไรที่ชายชราจะสามารถใช้พลังวิญญาณของมันตรวจสอบได้
การฝากแหวนพื้นที่ไว้ที่โต๊ะรับรอง ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้วนหลิงเทียนต้องกังวลแม้แต่น้อย
เพราะเขาได้ผูกพันธะโลหิตครองแหวนเอาไว้แล้ว เว้นเสียแต่เขาจะตายตกไปเสียก่อน มิฉะนั้นก็ไม่มีใครสามารถนำแหวนพื้นที่ของเขาไปใช้ได้
แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนไม่แปลกใจกับกฏที่ต้องฝากแหวนพื้นที่ไว้ที่โต๊ะรับรองของชั้น 2 ศาลาอุทิศ
เพราะเห็นได้ชัดว่าด้านในชั้น 2 ของศาลาอุทิศนั้น มันไม่มีผู้ใดคอยเฝ้าระวังอยู่ และตอนนี้ก็มีคนแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่กำลังเลือกหาวัตถุดิบ
หากไม่มีกฏฝากแหวนพื้นที่ก่อนเข้าไป เช่นนั้นก็ยากจะป้องกันไม่ให้ผู้คนแอบขโมยวัตถุดิบมาเก็บไว้แหวนอย่างลับๆ เพื่อประหยัดคะแนนอุทิศ…
หลังจากที่เดินเข้ามาด้านในห้องโถงของชั้น 2 ศาลาอุทิศแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ส่งเสียงติดต่อผู้เฒ่าหั่วที่อยู่ในชั้น 1 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติอีกครั้ง “ผู้เฒ่าหั่ว ท่านลองดูว่าชั้น 2 ของศาลาอุทิศนี่ มันมีวัตถุดิบอะไรบ้างที่สามารถใช้ซ่อมแซมชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติได้”
โดยปกติทั่วไปแล้ว หากเขาไม่เป็นฝ่ายทักไปหาผู้เฒ่าหั่วก่อนอย่างตั้งใจ ผู้เฒ่าหั่วจะไม่มองออกมาชมดูเรื่องราวภายนอกเจดีย์
เรียกว่าเรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนก็พึงพอใจไม่น้อย
เพราะอย่างน้อยๆผู้เฒ่าหั่วก็ไม่แอบดูความเป็นส่วนตัวของเขา
ในเรื่องนี้นับว่าผู้เฒ่าหั่วรู้จักกาลเทศะมาก!
และด้วยความที่ต้วนหลิงเทียนเป็นเจ้าของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติแล้ว ทันทีที่ผู้เฒ่าหั่วริเริ่มสอดส่องออกมามองเรื่องราวภายนอก เขาจะสามารถรับรู้ได้ทันที
เขาจึงรู้ว่าตอนนี้ผู้เฒ่าหั่วไม่ได้ชมดูเรื่องราวภายนอกอยู่ จึงต้องเป็นฝ่ายเรียกหาก่อน
หลังจากเดินสำรวจชั้น 2 ของศาลาอุทิศจนทั่ว ต้วนหลิงเทียนก็พบวัตุดิบนับโหลที่สามารถใช้ซ่อมแซมฟื้นฟูชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติได้ อย่างไรก็ตามวัตถุดิบมากมายทั้งหมดทั้งมวลที่พบเจอ ล้วนซ่อมแซมฟื้นฟูชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติเพิ่มได้แค่ 1 ส่วนเท่านั้น
‘ดูเหมือนว่าที่ชั้น 1 ของศาลาอุทิศข้าจะมีโชคมากแล้วจริงๆ’
ต้วนหลิงเทียนลอบถอนหายใจ
วัตถุดิบบนชั้น 2 ของศาลาอุทิศนั้น แน่นอนว่ามีราคาที่ต้องจ่ายระบุเอาไว้ชัดเจน ยากที่จะต่อรองราคาอะไรได้
และวัตถุดิบนับโหลที่ต้วนหลิงเทียนพบเจอนั้น ก็มีค่าใช้จ่ายทั้งหมด 15,000 คะแนนอุทิศ เรียกว่ามากกว่ารายจ่ายวัตุถดิบบนชั้นแรกของศาลาอุทิศเกือบ 10 เท่า…
จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะเต็มไปด้วยอารมณ์หม่นหมอง
แต่แน่นอนเขารู้ดีว่าการนำมาเปรียบเทียบกันแบบนี้มันเป็นเรื่องไร้ความหมายเพียงใด
ดูอย่างวัตถุดิบที่มีค่าที่สุดอย่างเศษหินหนี่วาที่ชั้น 1 นั่น…เขาได้รับมันมาเป็นของแถมด้วยซ้ำ ไม่ต้องจ่ายคะแนนอุทิศสักแต้มเดียว!
เมื่อย้อนกลับมาที่โต๊ะรับรอง ต้วนหลิงเทียนก็ยื่นบัตรแก้วไปแตะโอนคะแนนอุทิศให้ชายชราจำนวน 15,000 แต้ม หลังจากนั้นก็รับแหวนพื้นที่กลับมาจากชายชราสวมไว้ที่นิ้วอีกครั้ง ก่อนที่จะเก็บวัตถุดิบทั้งหมดที่ซื้อมาลงตัวแหวน
“ขอบคุณอาวุโส”
ก่อนที่จะเดินขึ้นไปยังชั้น 3 ของศาลาอุทิศ ต้วนหลิงเทียนก็หันไปพยักหน้าขอบคุณชายชราที่นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะรับรอง
ชายชราผู้นี้มีความกล้าแข็งของพลังวิญญาณสูงที่สุดที่ต้วนหลิงเทียนเคยพบเจอ แน่นอนว่าในที่นี้หมายถึงผู้ที่เคยใช้พลังวิญญาณต่อหน้าต้วนหลิงเทียนเท่านั้น
ผู้ที่ไม่ได้ใช้พลังวิญญาณออกมาเพื่อตรวจสอบหรือสำรวจตัวเขา ต้วนหลิงเทียนก็ไม่อาจล่วงรู้ความสูงต่ำของพลังวิญญาณอีกฝ่าย
ด้วยเหตุนี้ต้วนหลิงเทียนจึงพอเดาได้ว่าชายชราเบื้องหน้าสมควรเป็นผู้อาวุโสฝ่ายใน
‘ไม่รู้ว่าอาวุโสตงฟางแข็งแกร่งเท่าชายชราผู้นี้หรือไม่…’
ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามตัวเองในใจ
ผู้อาวุโสตงฟางนั้น เป็นผู้อาวุโสหลักของฝ่ายนอกสำนักจันทร์จรัสแสงที่ต้วนหลิงเทียนเคยไปพบและมีปฏิสัมพันธ์ด้วยครั้งหนึ่ง
เนื่องจากอีกฝ่ายไม่ได้ใช้พลังวิญญาณสำรวจพลังฝึกปรือเขา จึงทำให้ต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่ทราบความสูงต่ำของพลังวิญญาณอาวุโสตงฟาง
ในตอนนั้นด้วยการจ่ายหินเซียนระดับ 4 และหินเซียนระดับ 5 ไปส่วนหนึ่ง จึงทำให้อาวุโสตงฟางช่วยเหลือเขาเรื่องรับแทงเดิมพัน…เรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนวันที่เขาขึ้นประลองเป็นตายกับเฝิงฟ่าน
วันนั้นผู้คนทั้งหลายต่างประหลาดใจกันทั้งสิ้น
เพราะไม่มีใครคิดคาดว่าผู้อาวุโสตงฟาง อันเป็นผู้อาวุโสหลักฝ่ายนอกจะออกมาแถลงการณ์ เป็นสักขีพยานในการเปิดโต๊ะเดิมพันของต้วนหลิงเทียน และเต็มใจเป็นธุระจัดการเรื่องราวแจกจ่ายคะแนนอุทิศหากเขาเป็นฝ่ายตกตาย
ทำให้หลายคนถึงกับคาดเดากันไปต่างๆนาๆ ว่าต้วนหลิงเทียนที่แท้มีความสัมพันธ์กับอาวุโสตงฟางอย่างไรกันแน่?
อย่างไรก็ตามพวกมันคงไม่อาจจินตนาการได้เลย ว่าต้วนหลิงเทียนอาศัยหินเซียนเพียง 11 ก้อนสร้างสัมพันธ์กับอาวุโสตงฟาง
แน่นอนว่าหินเซียน 11 ก้อนที่เขามอบให้ไป มันมีความนัยอันลึกล้ำนัก..
เพราะโดยทั่วไปแล้วหินเซียนที่แพร่กระจายอยู่ใน 9 พันธมิตรนั้น เต็มที่ก็เป็นแค่หินเซียนระดับ 6 เท่านั้น และขุมพลังชั้น 7 ที่ครอบครองสายแร่หินเซียนระดับ 7 ทั่วไป ก็ไม่ได้มีกำลังผลิตหินเซียนระดับ 6 สูงแต่อย่างใด
สำหรับหินเซียนระดับ 5 นั้น แม้จะมีหมุนเวียนอยู่ภายใน 9 พันธมิตรบ้าง แต่ก็มีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย และมีคนแค่หยิบมือเท่านั้นที่เอามันมาจับจ่ายใช้สอย
ผู้คนส่วนใหญ่ล้วนเก็บหินเซียนระดับสูงเช่นนี้เอาไว้บ่มเพาะพลัง
อย่างที่รู้กันว่า แม้ระดับของหินเซียนจะสูงแต่ก็ไม่ได้ช่วยเหลือในเรื่องความเร็วของการบ่มเพาะพลังแต่อย่างไร…
ทว่าหินเซียนยิ่งมีระดับสูงมากเท่าไหร่ พลังวิญญาณฟ้าดินย่อมมีปริมาณมหาศาลนัก ทำให้ผู้ที่ใช้บ่มเพาะมารถปิดด่านฝึกตนได้อย่างต่อเนื่อง ไม่จำเป็นต้องเสียสมาธิและตื่นขึ้นจากภวังค์บ่มเพาะ เพื่อคอยเปลี่ยนหินเซียน
ดังนั้นหินเซียนระดับสูงๆ เหล่าผู้ฝึกตนไม่ว่าจะยุทธ์หรือเต๋า ล้วนเก็บไว้บ่มเพาะพลังกันเองทั้งสิ้น
ยิ่งระดับพลังฝึกปรือสูงส่งเพียงใด การปิดด่านฝึกฝนย่อมใช้เวลานานขึ้นเท่านั้น บ้างก็เป็นเวลาหลายปี ยังไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ด้วยซ้ำที่จะมีคนปิดด่านบ่มเพาะพลังติดต่อกันยาวนานหลาย 10 ปี กระทั่งเป็น 100 ปี!
และในบรรดาหินเซียนทั้ง 11 ก้อนที่ต้วนหลิงเทียนมอบให้อาวุโสตงฟางนั้น ก็มีหินเซียนระดับ 4 หนึ่งก้อน ส่วนอีก 10 ก้อนนั้นเป็นหินเซียนระดับ 5!
หินเซียนระดับ 5 นั้น ปกติแล้วจำเป็นต้องเป็นขุมพลังชั้น 6 ที่ถือครองสายแร่หินเซียนระดับ 6 ถึงจะสามารถขุดออกมาได้ เท่านี้ก็นับว่าหายากมากแล้วในเขตพื้นที่ของ 9 พันธมิตร ทว่าโอกาสพบเจอก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเลย
แต่หินเซียนระดับ 4 นั้น แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมาพบเจออยู่ในเขต 9 พันธมิตร
เพราะหินเซียนระดับ 4 นั้น อย่างน้อยๆต้องเป็นถึงขุมพลังชั้น 5 ที่ครอบครองสายแร่หินเซียนระดับ 5 ถึงจะสามารถผลิตมันออกมาได้!
นั่นหมายความว่าผู้คนในเขต 9 พันธมิตรแทบไม่มีหนทางได้รับหินเซียนระดับ 4 เลย นอกจากจะรอนแรมออกจากเขตพื้นที่ของ 9 พันธมิตรไปยังพื้นที่ส่วนกลาง….
แน่นอนว่ายังมีความเป็นไปได้อยู่อีกทาง
นั้นคือผู้คนจากพื้นที่ส่วนกลางได้เดินทางผ่านเขตพื้นที่ 9 พันธมิตรและจับจ่ายหินเซียนระดับ 4 ออกมาเพื่ออำนวยความสะดวกในการจัดการธุระปะปัง
และด้วยความที่ต้วนหลิงเทียนสามารถนำหินเซียนระดับ 4 ออกมาได้แบบนี้ มันเพียงพอที่จะทำให้อาวุโสตงฟางคาดเดาได้ถึงฐานะความเป็นมาของเขาคร่าวๆ
และนี่คือจุดประสงค์ของต้วนหลิงเทียน
ด้วยเหตุนี้อาวุโสตงฟางจึงเลือกที่จะให้ความร่วมมือกับเขาแต่โดยดี
หาไม่แล้วอาศัยฐานะศิษย์ฝ่ายนอกของเขา ไหนเลยจะทำให้ผู้อาวุโสตงฟางยื่นมือมาจัดการธุระให้เช่นนี้
“ทุกวันนี้มีน้อยคนนักที่จักมีสัมมาคารวะเช่นเจ้า”
รอยยิ้มพลันคลี่กางขึ้นบนใบหน้าชายชรา มันไม่คิดเลยว่าต้วนหลิงเทียนจะเป็นฝ่ายกล่าวขอบคุณมันออกมาแบบนี้
ต้องทราบด้วยว่าผู้คนส่วนใหญ่นั้น เพียงมาหยิบสิ่งของแล้วก็แลกเปลี่ยนวัตถุดิบด้วยคะแนนอุทิศก่อนที่จะจากไปอย่างไม่ใยดี จะมีสักกี่คนมาสนใจชายชราที่ทำงานรับแลกคะแนนอุทิศ?
“เจ้าหนุ่ม…เจ้าเรียกว่าอะไรรึ?”
ชายชรากล่าวถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
1462 ราคายันต์เต๋าสูงเทียมฟ้า!
“ข้าชื่อต้วนหลิงเทียน”
ต้วนหลิงเทียนยิ้มตอบ
“เจ้า…เจ้าคือต้วนหลิงเทียนงั้นเหรอ!?”
พอได้ยินคำตอบของต้วนหลิงเทียน ชายชราอดไม่ได้ที่จะตกใจ มันรีบมองไปยังเอวของต้วนหลิงเทียนทันที พอเห็นป้ายศิษย์ฝ่ายนอกที่แขวนห้อยอยู่ ลูกตาของมันก็ส่องสว่างขึ้นมาทันใด “เจ้าเป็นศิษย์ฝ่ายนอกที่ฆ่ายอดฝีมือติดอันดับในรายนามปฐพีเมื่อวานนี้ในการประลองเป็นตายที่ลานฝึกซ้อมของฝ่ายนอกงั้นเหรอ!?”
“อาวุโสก็ได้ยินเรื่องนี้มาเหมือนกันเหรอ?”
ต้วนหลิงเทียนหัวเราะเบาๆ เป็นการยอมรับทางอ้อม
“ประเสริฐ ประเสริฐนัก…ความสามารถในเชิงยุทธ์ของเจ้าสูงถึงเพียงนี้ มิคาดเจ้ายังอ่อนน้อมถ่อมตนนัก!”
ใบหน้าชายชราเผยความถูกใจไม่น้อย
“อาวุโสกล่าวชมข้าเกินไปแล้ว”
ต้วนหลิงเทียนยิ้มรับอย่างอ่อนน้อม
“ข้าเรียกว่าฟ่างเฉียน หากวันหน้าเจ้ามีปัญหาอันใดสามารถมาหาข้าที่ศาลาอุทิศแห่งนี้ได้…หากมาที่นี่แล้วไม่เจอข้า เจ้าก็สามารถไปตามหาข้าได้ที่ฝ่ายใน”
ชายชราหัวเราะ
“ขอบคุณสำหรับความเมตตาของท่าน อาวุโสฟางเฉียน”
ต้วนหลิงเทียนไม่คิดเลยว่าชายชราจะกล่าวกับเขาเป็นมั่นเหมาะแบบนี้ เขาเร่งกล่าวขอบคุณอีกฝ่ายออกไปทันที ในใจเต็มไปด้วยอารมณ์แช่มชื่นนัก
ท้ายที่สุดแล้วเขาก็แค่กล่าวขอบคุณอีกฝ่ายเท่านั้นเอง
หลังจากกล่าวคำร่ำลากับชายชราแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ออกจากชั้น 2 ศาลาอุทิศเพื่อขึ้นไปยังชั้น 3 ของศาลาอุทิศ
เมื่อขึ้นมาถึงชั้น 3 ของศาลาอุทิศ ต้วนหลิงเทียนก็แลเห็นโต๊ะรับรองที่ไม่ต่างอะไรจากชั้น 2
ด้านหลังโต๊ะรับรองเป็นชายวัยกลางคน 2 คน เห็นชัดว่าทั้งคู่เป็นผู้รับผิดชอบดูแลชั้น 3 ของศาลาอุทิศ
พอสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณที่ทั้ง 2 แผ่กวาดออกมาตรวจสอบ ต้วนหลิงเทียนก็รู้ได้ทันทีว่าพลังฝีมืออ่อนด้อยกว่าชายชราชั้น 2
‘สองคนนี้พลังฝีมือสมควรทัดเทียมกับเหล่าอาวุโสฝ่ายนอก งั้นถ้าไม่ใช่อาวุโสฝ่ายนอกก็น่าจะเป็นผู้ดูแลฝ่ายใน’
ต้วนหลิงเทียนพอจะคาดเดาฐานะของทั้งคู่ได้คร่าวๆ
“วางอุปกรณ์พื้นที่ไว้ แล้วเจ้าเข้าไปได้”
ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งมองต้วนหลิงเทียนกล่าวออกด้วยเสียงไม่แยแส
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ วางแหวนพื้นที่ ก่อนที่จะเดินเข้าไปด้านใน
เมื่อเข้ามาในโถงชั้น 3 ของศาลาอุทิศพร้อมว่ายตามองดูรอบหนึ่งก็อดไม่ได้ที่จะโค้งคิ้วขึ้นเล็กน้อย…นั่นเพราะชั้น 3 ของศาลาอุทิศแห่งนี้ถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วน แต่ละส่วนก็มีสิ่งของวางขายต่างกันไป
3 ส่วนที่ว่ามี ส่วนของโอสถเซียน ส่วนศาสตราเซียน และส่วนยันต์เต๋า
ต้วนหลิงเทียนเลือกเดินไปยังส่วนของโอสถก่อน และเลือกหยิบโอสถเซียนรักษาระดับ 3 ดาว และโอสถเพิ่มจิตสัมผัสระดับ 3 ดาวจำนวนมาก ยิ่งไปกว่านั้นเขายังหยิบโอสถเซียนระดับ 4 ดาวมาบางส่วน
พอคิดถึงคะแนนอุทิศที่ต้องสูญเสียไป ใจก็อดเจ็บปวดขึ้นมาเสียไม่ได้
โอสถเซียนระดับ 4 ดาวนั้น ราคาของมันต่ำสุดก็ล่อไป 10,000 คะแนนอุทิศแล้ว!
เรื่องนี้แม้ต้วนหลิงเทียนจะปวดใจ แต่ก็ไม่ได้แปลกใจกับราคาของมัน
เพราะเท่าที่เขารู้นั้น ในสำนักจันทร์จรัสแสงแห่งนี้ ปรมาจารย์เซียนหลอมโอสถมีระดับแค่ 3 ดาวเท่านั้น ซึ่งเต็มที่ก็สามารถหลอมสร้างได้แค่โอสถเซียน 3 ดาว
สำนักจันทร์จรัสแสงได้รวบรวมโอสถเซียนระดับ 4 มาด้วยการแลกเปลี่ยนผ่านช่องทางอื่นๆในราคาที่ค่อนข้างสูง ทำให้ยามนำมาขาย ราคาจึงต้องแพงเป็นธรรมดา
โอสถที่ต้วนหลิงเทียนซื้อหามาครั้งนี้ มีราคาทั้งสิ้น 200,000 คะแนนอุทิศ
เมื่อออกจากส่วนของโอสถเซียน ต้วนหลิงเทียนก็เลือกจะเดินมายังส่วนของศาสตราเซียนก่อน เขาพบว่าส่วนใหญ่ศาสตราเซียนที่วางขายเป็นศาสตราเซียนระดับปฐพี นอกจากนั้นโดยมากแล้วพวกมันยังมีอาคมเซียนจารึกไว้อีก
แน่นอนว่าศาสตราเซียนที่ถูกจารึกด้วยอาคมเซียนประเภทต่างๆ ก็ยังมีราคาที่แตกต่างกัน
ศาสตราเซียนที่ไร้อาคมเซียนจารึก ย่อมราคาถูกที่สุดอย่างที่ไม่ต้องสงสัย
ศาสตราเซียนที่จารึกอาคมเซียนพื้นฐานระดับ 1 ดาวนั้นแพงกว่าศาสตราเซียนธรรมดาเล็กน้อย
ศาสตราเซียนที่จารึกอาคมเซียนที่ดีขึ้นมาหน่อย ราคาก็ถีบตัวสูงขึ้นตามไปด้วย
และศาสตราเซียนที่มีอาคมเซียน 1 ดาวดีๆจารึกไว้หลายอาคมก็ยิ่งแพงเข้าไปใหญ่
แต่แน่นอนว่าศาสตราเซียนที่จารึกอาคมเซียนระดับ 1 ดาวก็ยังไม่แพงเท่าศาสตราเซียนที่จารึกอาคมเซียนระดับ 2 ดาวเอาไว้
อาคมเซียนระดับ 2 ดาวเองก็มีแบ่งแยกสูงต่ำไว้ด้วยเช่นกัน
ที่นี่ต้วนหลิงเทียนพบเห็นศาสตราเซียนที่มีอาคมเซียน 2 ดาวจารึกเอาไว้ และคุณภาพยังทัดเทียมกับ ดาบใหญ่ ของเฝิงฟ่าน รวมถึงค้อนสลาตันของโจวฉี ยิ่งไปกว่านั้นยังมีศาสตราเซียนที่ดียิ่งกว่าสองอย่างนี้เสียอีก เพราะมันจารึกไว้ด้วยอาคมเซียนระดับ 2 ดาวมากกว่า 1 อาคม!
แน่นอนว่าราคาของมันก็ยิ่งถีบตัวสูงขึ้นไปจนน่ากลัว
ชิ้นที่แพงๆหน่อยราคาของมันก็เหยียบๆล้านคะแนนอุทิศ!
‘ศาสตราเซียนพวกนี้นับว่าเป็นตัวผลาญเงินไม่น้อยจริงๆ…! อย่างไรเสียนอกจากเกาทัณฑ์ดับตะวันข้าก็ยังมีดาบใหญ่จากเฝิงฟ่านที่จารึกอาคมพันทวีไว้ใช้ ถ้างั้นตอนนี้ศาสตราเซียนพวกนี้ก็ยังไม่นับว่าจำเป็นสักเท่าไร ไม่ต้องซื้อก็ได้’
ต้วนหลิงเทียนเดาะลิ้นเบาๆ ก่อนที่จะตัดใจไม่ซื้ออาวุธอะไรเพิ่ม หลังจากนั้นก็เดินไปยังส่วนที่ 3 อันเป็นส่วนยันต์เต๋า
ส่วนของยันต์เต๋านั้น เรียกว่ามียันต์เต๋าขายแทบทุกประเภทการใช้งาน
และข้างๆปึกยันต์เต๋าชนิดต่างๆก็จะมีป้ายอธิบายรายละเอียดของตัวยันต์เอาไว้ชัดเจน
“ยันต์เต๋าม่านพลังทอง 2 ดาว…เมื่อใช้งานจะสร้างม่านพลังสีทองกำบังคุมครองร่างผู้ใช้ยันต์ ม่านพลังอยู่ได้นาน 15 นาที สามารถป้องกันการโจมตีจากผู้ฝึกยุทธ์หรือผู้ฝึกเต๋าที่มีด่านพลังสู่เซียนขั้นเชี่ยวชาญหรือต่ำกว่านั้น ทว่าหากถูกโจมตีด้วยพลังของสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่ม่านพลังจะสลายไปในทันที…”
เมื่อเห็นรายละเอียดของยันต์แล้ว ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะอึ้ง
เพราะหากมียันต์เต๋าใบนี้ ถึงแม้จะเป็นแค่คนธรรมดา แต่ก็สามารถต้านทานการโจมตีจากผู้ฝึกตนที่อยู่ในขอบเขตสู่เซียนขั้นเชี่ยวชาญลงมาได้เป็นเวลา 1 เค่อ ทั้งยังสามารถป้องกันได้อย่างหมดจดไร้ความเสียหาย…
“ของดีนี่นา!”
ลูกตาต้วนหลิงเทียนสว่างวาบขึ้นมาทันใด มองยันต์เต๋าม่านพลังทอง 2 ดาวตาเป็นมัน!
“20,000 คะแนนอุทิศ?”
ทว่าพอเห็นราคามุมปากต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะกระตุกขึ้นมาทันใด “บ้าไปแล้ว! ยันต์เต๋าที่ใช้ครั้งเดียวทิ้งแบบนี้กลับมีราคาถึง 20,000 คะแนนอุทิศ! นี่มันขายหรือปล้นกันกลางวันแสกๆเนี่ย!?”
มาตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้แล้ว ว่าไฉนเขาถึงเคยได้ยินมาว่าอาชีพปรมาจารย์ยันต์เต๋านั้น เป็น 1 ใน 2 อาชีพที่สามารถทำให้ท่านร่ำรวยมั่งมีเหนือผู้ใดได้ง่ายๆในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแห่งนี้…
ส่วนอีกอาชีพที่เหลือแน่นอนว่าย่อมเป็นปรมาจารย์จารึกเซียน
ต้วนหลิงเทียนไล่เดินดูไปเรื่อยๆ ยันต์เต๋ามากมายหลายหลากผ่านเข้ามาในสายตาของต้วนหลิงเทียน
คำอธิบายของพวกมันก็ผ่านตาเขาไปทีละชนิดๆ ทำให้รู้สึกอื้ออึงอยู่บ้าง
“ยันต์เต๋าเทพเคลื่อนระดับ 2 ดาว…เมื่อใช้จะทำให้ความเร็วของผู้ใช้ทัดเทียมกับผู้ฝึกตนขอบเขตสู่เซียนขั้นเชี่ยวชาญเป็นเวลา 1 เค่อ”
ยันต์เต๋าเทพเคลื่อนนี้ นับเป็นอีกยันต์ช่วยชีวิตที่นับว่าดีงามไม่น้อย
นอกจากยันต์เต๋าเทพเคลื่อนระดับ 2 ดาวแล้ว ชั้น 3 ของศาลาอุทิศแห่งนี้ก็มียันต์เต๋าเทพเคลื่อนระดับ 1 ดาวอยู่ด้วยเช่นกัน ส่วนยันต์เต๋าเทพเคลื่อนระดับ 3 ดาวนั้นมีขายเพียงไม่กี่แผ่นเท่านั้น
ยันต์เต๋าเทพเคลื่อนระดับ 1 ดาว สามารถเพิ่มความเร็วของผู้ใช้ให้ทัดเทียมกับผู้ฝึกตนขอบเขตสู่เซียนขั้นต้น และเวลาใช้งานก็เท่าเทียมกับยันต์เต๋าระดับ 2 ดาว
ส่วนยันต์เต๋าเทพเคลื่อนระดับ 3 ดาวนั้น เมื่อใช้จะสามารถเพิ่มความเร็วของผู้ใช้ให้ทัดเทียมกับตัวตนขอบเขตสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่ ในเวลาที่เท่ากันกับระดับ 1-2 ดาว…
“ความเร็วทัดเทียมกับผู้ฝึกตนขอบเขตสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่!”
ลูกตาต้วนหลิงเทียนส่องสว่างจ้าขึ้นมาทันใด ยังรู้สึกตื่นเต้นไม่น้อย “ข้าต้องซื้อยันต์แผ่นนี้เอาไปตุนไว้ป้องกันตัวเอง!”
อย่างไรก็ตามพอเห็นราคาของมัน ต้วนหลิงเทียนก็เสมือนถูกน้ำเย็นราดรดศีรษะให้ตื่นขึ้นมาทันที “สะ…300,000 คะแนนอุทิศ!? นี่มันปล้นกันชัดๆ!!”
ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะโพล่งออกมาด้วยความตกใจ
อย่างไรก็ตามแม้จะอุทานออกมาด้วยความตกใจ แต่ต้วนหลิงเทียนก็กัดฟันหยิบยันต์เต๋าเทพเคลื่อนระดับ 3 ดาวมาแผ่นหนึ่ง ในใจรู้สึกเจ็บปวดนัก!
หากทว่าในช่วงจังหวะเวลาวิกฤต สิ่งนี้สามารถช่วยชีวิตเขาได้!
“คะแนนอุทิศ 300,000 แต้มหายไปในพริบตา! รวมกับโอสถเซียนก่อนหน้า ก็เป็น 500,000 คะแนนอุทิศแล้ว!”
ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ถึงความรู้สึกของ ‘ใช้เงินเหมือนเทน้ำ’ จังหวะนี้ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียดาย เรื่องที่เขาคืนคะแนนอุทิศไปครึ่งหนึ่งเสียไม่ได้
แน่นอนว่าเพียงเสียดายได้ไม่ทันไร เขาก็ไม่คิดอะไรมากอีก
ไม่ว่าจะอย่างไรการจ่ายคะแนนอุทิศคืนไปก็เป็นหนึ่งในตาหมากของเขา
ถึงแม้ว่าอาจจะไม่ได้ผลเลิศล้ำอะไรมากมาย แต่อย่างน้อยๆเขาก็สามารถผูกมิตรกับผู้คนในฝ่ายนอกได้เป็นส่วนใหญ่ ใครจะลงมือกับเขาก็ต้องมีกริ่งเกรงกันบ้าง
“ยังมียันต์ม่านพลังทองคำระดับ 3 ดาวนี่อีก…สามารถป้องกันการโจมตีจากผู้ฝึกตนขอบเขตสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่ได้เป็นเวลา 1 เค่อ…200,000 คะแนนอุทิศ…ถึงมันจะถูกกว่ายันต์เทพเคลื่อน 3 ดาวแต่ก็ยังแพงเกิน!”
ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าไปมา
ยันต์เต๋า 3 ดาวนับว่าราคาขูดเลือดขูดเนื้อผู้คนนัก!
อย่างไรก็ตามในฐานะที่เป็นยันต์เต๋าสายป้องกัน มันย่อมถูกกว่ายันต์เต๋าสายเคลื่อนที่อยู่แล้ว
ไม่เพียงแต่ยันต์เต๋าม่านพลังทองกับยันต์เต๋าเทพเคลื่อน 3 ดาวเท่านั้นที่ราคาต่างกัน กระทั่งยันต์เต๋าประเภทเดียวกันแต่เป็น 2 ดาวก็มีราคาแตกต่างกันตามสัดส่วนนี้ด้วย
ยันต์เต๋าม่านพลังทองระดับ 2 ดาวนั้น ราคา 20,000 คะแนนอุทิศ
ส่วนยันต์เต๋าเทพเคลื่อนระดับ 2 ดาวนั้นมีราคา 30,000 คะแนนอุทิศ
“ถึงจะเป็นยันต์เต๋า 2 ชนิดนี้แต่มีระดับ 1 ดาว ราคาก็ยังต่างกันตามสัดส่วนนี้…2,000 กับ 3,000 คะแนนอุทิศ แต่ผลของยันต์ระดับ 1 ดาวนั้นไม่ได้ดีเด่อะไร ยันต์เทพเคลื่อน 1 ดาวทำให้มีความเร็วทัดเทียนกับสู่เซียนขั้นต้น…ส่วนยันต์ม่านพลังทอง 1 ก็แค่ป้องกันการโจมตีธรรมดาของผู้ฝึกตนขอบเขตสู่เซียนขั้นต้นได้เท่านั้น”
สำหรับต้วนหลิงเทียนแล้ว ยันต์เต๋า 1 ดาวนี้ไม่ได้มีความสำคัญสักเท่าไร
ในเมื่อมียันต์เต๋าป้องกันกับการเคลื่อนที่แล้ว แน่นอนว่าต้องมียันต์เต๋าสำหรับโจมตีด้วยเช่นกัน
ยังมียันต์เต๋าโจมตีมากมายหลายประเภทอีกด้วย ทำให้ต้วนหลิงเทียนถึงกับชมดูจนละลานตาอยู่บ้าง
อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนยืนยันได้เรื่องหนึ่ง
นั้นคือยันต์เต๋าสายโจมตีนั้น ราคาแพงกว่ายันต์เต๋าประเภทป้องกันกับเสริมความเร็วมาก! ยิ่งไปกว่านั้นที่นี่ยังมียันต์เต๋าประเภทโจมตีแค่ 1 กับ 2 ดาวขายเท่านั้น มันไม่มียันต์เต๋าประเภทโจมตีระดับ 3 ดาวขายเลยแม้แต่ใบเดียว!!
ยันต์เต๋าสายจู่โจมระดับ 2 ดาว สามารถสร้างการโจมตีที่รุนแรงเทียบได้กับผู้ฝึกตนขอบเขตสู่เซียนขั้นเชี่ยวชาญ
หากปะทะกับผู้ฝึกตนที่อยู่ในขอบเขตสู่เซียนขั้นเชี่ยวชาญหรือต่ำกว่านั้น ยันต์เต๋าสายจู่โจมระดับ 2 ดาวนี้สามารถสังหารพวกมันได้ และต่อให้ไม่ตายก็ต้องพิการ!
“ราคายันต์เต๋าสายจู่โจมระดับ 2 ดาวกลับแพงเท่าๆราคายันต์เต๋า 3 ดาวเลยเหรอ…นี่มันบ้าไปแล้ว!”
ต้วนหลิงเทียนถึงกับเดาะลิ้นอย่างขัดใจ
อย่างไรก็ตามเขายังหยิบยันต์เต๋าจู่โจมระดับ 2 ดาวไปใบหนึ่งเพื่อเก็บไว้ใช้งานยามคับขัน
หลังจากที่เดินดูสิ่งของทั่วชั้น 3 ของศาลาอุทิศแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็จับจ่ายใช้สอยไปถึง 700,000 คะแนนอุทิศ!
โชคดีที่ตอนนี้ไม่มีศิษย์คนไหนอยู่ที่ชั้น 3 ของศาลาอุทิศ หาไม่แล้วหากพวกมันเห็นต้วนหลิงเทียนหอบของพะรุงพะรังแบบนี้มันต้องตกใจจนตาเหลือก
อย่างไรก็ตาม พอต้วนหลิงเทียนนำสิ่งของทั้งหมดไปชำระคะแนนอุทิศที่โต๊ะรับรอง เขาก็ทำให้ชายวัยกลางคนทั้ง 2 ที่ประจำโต๊ะรับรองถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตะลึง
“จะ…เจ้าแน่ใจนะว่าจะซื้อหมดนี่เลย?”
หนึ่งในผู้ดูแลกลืนน้ำลายลงคอ ค่อยกล่าวถามออกมาด้วยความเหลือเชื่อ
มันจำต้องถามออกมา!
เพราะแม้แต่ศิษย์ฝ่ายในก็ไม่มีใครจับจ่ายมือเติบถึงเพียงนี้!
ยิ่งไปกว่านั้น จากป้ายประจำตัวที่ชายหนุ่มเบื้องหน้าห้อยแขวนที่เอว ก็บอกฐานะชัดว่าเป็นแค่ศิษย์ฝ่ายนอกเท่านั้น
“ส่งบัตรแก้วมาเถอะ”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกเสียงเรียบ และทันทีที่คะแนนอุทิศไหลออกจากบัตรแก้วเขาไป 700,000 แต้ม เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเจ็บปวดอยู่บ้าง
เมื่อเห็นว่าคะแนนอุทิศจำนวน 700,000 แต้มถูกถ่ายโอนมาจริงๆ ชายวัยกลางคนที่ประจำโต๊ะรับรองถึงกับอื้ออึง หันหน้ามามองสบตากันทันใด และเห็นถึงความประหลาดใจในสายตาของอีกฝ่าย
ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ศิษย์ฝ่ายนอกมี ‘ทรราชท้องถิ่น’ แบบนี้…
1463 วรยุทธ์เซียน เผิงทองถาโถม
ผู้ดูแลชั้นทั้ง 2 คนมองแผ่นหลังต้วนหลิงเทียน ที่ค่อยๆก้าวเดินออกจากชั้น 3 ของศาลาอุทิศ และเดินขึ้นไปยังชั้น 4 ของศาลาอุทิศไม่วาง และไม่นานแผ่นหลังของต้วนหลิงเทียนก็หายลับไปจากสายตาของพวกมัน
“เจ้าหนูนั่น…มันคงมิใช่ศิษย์ปิดด่านของผู้อาวุโสฝ่ายในคนใดคนหนึ่งหรอกนะ?”
ผู้ดูแลคนหนึ่งกล่าวพึมพำออกมา
อาศัยฐานะศิษย์ฝ่ายนอกไหนเลยจะมีคะแนนอุทิศมากมายขนาดนี้ หากอีกฝ่ายเป็นศิษย์ปิดด่านของผู้อาวุโสฝ่ายในก็ว่าไปอย่าง!
ศิษย์ปิดด่านในที่นี้หมายถึงศิษย์คนสุดท้าย
โดยปกติแล้วศิษย์คนสุดท้ายจะได้รับการดูแลอย่างดี เป็นศิษย์ที่อาจารย์ชื่นชมมากที่สุด และหวังให้เป็นผู้สืบทอดทุกสิ่งทุกอย่างของตัวเอง เช่นนั้นแล้วทรัพยากรบ่มเพาะใดๆ ล้วนถูกประเคนมอบให้ไม่มีขาด
“เหอะๆ ข้ากลัวว่ากระทั่งศิษย์ปิดด่านของอาวุโสฝ่ายในก็มิมีทางร่ำรวยจับจ่ายมือเติบถึงเพียงนี้…นั่นมัน 700,000 คะแนนอุทิศเชียวนะ มิใช่ 70,000 คะแนนอุทิศ! แต่เจ้านั่นมันยังจ่ายมาตาไม่กระพริบด้วยซ้ำ!!”
ผู้ดูแลอีกคนเผยยิ้มขื่นขมออกมา
มันเป็นถึงผู้ดูแลฝ่ายใน ฐานะนี้ของมันก็ทัดเทียมกับผู้อาวุโสฝ่ายนอกทั่วไป อนิจจาทั้งเนื้อทั้งตัวมันยังมีคะแนนอุทิศไม่ถึง 500,000 แต้มด้วยซ้ำ!
ไม่เปรียบเทียบก็แล้วไป เปรียบเทียบไซร้จำต้องร่ำไห้!!
ศิษย์ฝ่ายนอกผู้หนึ่งควักคะแนนอุทิศ 700,000 แต้มออกมาจับจ่ายดื้อๆ อย่าว่าแต่ไม่เคยเห็นมาก่อน กระทั่งได้ยินก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนด้วยซ้ำ!
ในขณะที่ผู้ดูแลทั้ง 2 กำลังรู้สึกสะทกสะท้อนกับความร่ำรวยของต้วนหลิงเทียน ด้านต้วนหลิงเทียนก็เดินขึ้นบันไดมาถึงชั้น 4 ของศาลาอุทิศ
บนชั้น 4 ของศาลาอุทิศก็มีโต๊ะรับรองอยู่ด้านหน้าเช่นกัน และหลังโต๊ะรับรองก็เป็นชายชราหนวดเครายาวเฟื้อยขาวโพลน ทั้งยังมาในชุดคลุมสีขาวโพลนอีก
หากแต่ชายชราผู้นี้เนื้อตัวบึกบึนไม่คล้ายคนมีอายุ เพียงนั่งอยู่เฉยๆกลับให้ความรู้สึกประหนึ่งสัตว์ร้ายตัวเขื่องหมอบซุ่ม มองปราดเดียวก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันไร้สภาพประการหนึ่ง!
ยามพลังวิญญาณของชายชรากวาดมาตรวจสอบร่าง ต้วนหลิงเทียนถึงกับเหม่อไปวูบหนึ่ง
‘พลังวิญญาณกล้าแข็งนัก! ไม่ได้ด้อยไปกว่าอาวุโสฟ่างเฉียนแม้แต่น้อย!’
ต้วนหลิงเทียนตกใจ
ชายชราในชุดคลุมสีขาวที่เฝ้าชั้น 4 ของศาลาอุทิศผู้นี้ มีพลังวิญญาณสูงส่งนัก ไม่ได้ด้อยไปกว่าอาวุโสฟ่างเฉียนที่ประจำอยู่ชั้น 2 ของศาลาอุทิศแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายสมควรเป็นอาวุโสฝ่ายในเช่นกัน
“เจ้าคือต้วนหลิงเทียนงั้นรึ?”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนเดินมาถึงโต๊ะรับรองและถอดแหวนพื้นที่โดยที่ไม่ต้องให้ชายชราชุดขาวกล่าวเตือน ด้านชายชราชุดขาวก็เปิดปากกล่าวถามออกมา ทั้งยังมองชมร่างเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาสนใจ
“ผู้อาวุโสรู้จักข้าด้วยเหรอ?”
ต้วนหลิงเทียนชะงักไปเล็กน้อย ด้วยไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะรู้จักเขาได้ หรือชายชราผู้นี้ไปชมดูการประลองเป็นตายระหว่างเขากับเฝิงฟ่านวันนั้นกัน?
“เจ้าเฒ่าฟ่างเฉียนมันพึ่งใช้ยันต์สื่อสารส่งข้อความมากล่าวบอกข้าไว้ก่อนน่ะ ว่าเจ้ามาเยือนศาลาอุทิศ ทั้งยังกล่าวชมเจ้ามิขาดปาก…มาตอนนี้ข้าเห็นเจ้ากับตา ก็นับว่าเจ้าเป็นเด็กดีอย่างที่มันว่าจริงๆ…ทว่าสำหรับเรื่องอื่น…”
ก่อนที่ชายชราชุดขาวจะทันได้กล่าวจบคำ แรงกดดันมหาศาลขุมหนึ่งก็ปะทุออกจากร่างของมัน ทั้งยังโถมถันมาปานสัตว์ร้ายตัวเขื่องที่กำลังอ้าปากกระหายเลือดออกกว้าง เผยคมเขี้ยวแหลมคมหมายขย้ำกลืนร่างเขา!
ต้วนหลิงเทียนไม่คิดไม่ฝันเลยว่าอยู่ๆชายชราผู้นี้จะเร่งพลังกดดันใส่ผู้อื่น โดยที่ไม่ทันให้ผู้อื่นได้ทันตั้งตัวแบบนี้
แรงกดดันมหาศาลพริบตาก็พุ่งมากดทับคลุมร่างเขาอย่างดุดัน
อย่างไรก็ตามร่างกายของเขาแข็งแกร่งและทรงพลังเพียงไหนกลัวว่ามีแต่เขาเท่านั้นที่รู้ แรงกดดันนี้ของชายชราไม่ได้สร้างผลกระทบอะไรให้เขาแม้แต่น้อย!
เพียงให้มรสุมพัดผ่านไป ภูผาไซร้ไม่สั่นคลอน!
เมื่อเห็นว่าแรงกดดันของมันมิอาจสั่นคลอนใดๆชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้าได้เลย อีกฝ่ายยังไม่แม้แต่จะกระพริบตาด้วยซ้ำ! แววตาชายชราชุดขาวก็แปรเปลี่ยนไปในฉับพลันถอนรั้งพลังกดดันคืนกลับ สีหน้าคล้ายตื่นตระหนกตกใจไม่น้อย
“ดูท่าที่เจ้าเฒ่าฟ่างเฉียนมันกล่าวมา จักมิได้เกินเลยแล้วจริงๆ…”
ต้องบอกเลยว่าตอนนี้มันรับทราบถึงความแข็งแกร่งต้วนหลิงเทียนได้ชัดเจน!
“อาวุโสฟ่างเฉียนเพียงกล่าวชมข้าเกินไป ข้าเป็นแค่ศิษย์ฝ่ายนอกธรรมดาๆคนหนึ่งเท่านั้น”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“ศิษย์ฝ่ายนอกธรรมดาๆรึ?”
ชายชราในชุดคลุมขาวอดไม่ได้ที่จะจือปาก “ข้ามิเคยเห็นศิษย์ฝ่ายนอกธรรมดาๆคนใดที่สามารถเอาชนะเฝิงฟ่านที่ติดอันดับในรายนามปฐพีได้มาก่อน ไม่ต้องนับถึงเรื่องที่ฆ่ามันตายด้วยซ้ำ! เจ้าหนู..มีความสามารถสูงส่งนับเป็นเรื่องดี แต่อย่าได้อ่อนน้อมสุภาพเกินไป หาไม่แล้วเจ้าจักสูญเสียความฮึกเหิมของคนหนุ่มไปหมดสิ้น…”
“ขอบคุณอาวุโสที่ชี้แนะ”
มุมปากต้วนหลิงเทียนกระตุกเล็กน้อย นี่เขาแลดูอ่อนแอไม่ฮึกเหิมขนาดนั้นเลย?
“เอาล่ะ เจ้าวางแหวนแล้วเข้าไปเถอะ”
ชายชราในชุดคลุมขาวกล่าวบอกพร้อมโบกมือป้อยๆ
“อ่า”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ ก่อนที่จะเดินเข้าโถงชั้น 4 ของศาลาอุทิศไปทันที
ก่อนที่เขาจะเข้าไป เขาก็พอเดาได้ว่าชั้นที่ 4 นี้สมควรเป็นชั้นที่เก็บป้ายเซียนอันบรรจุวรยุทธ์เซียนเอาไว้ เพราะเขายังไม่เคยเห็นชั้นใดที่มีวรยุทธ์เซียนมาก่อน…
หนึ่งในวัตถุประสงค์หลักของการมาศาลาอุทิศครั้งนี้ของเขาก็คือวรยุทธ์เซียน!
กล่าวให้ชัดคือมาเพื่อวรยุทธ์เซียนระดับมนุษย์โดดเด่น!
ในเมื่อก่อนมาเขามีเป้าหมายอยู่แล้ว เขาจึงไม่ได้ใช้เวลาไปมากมายอะไรนัก
วรยุทธ์เซียนระดับมนุษย์โดดเด่นนั้น กระทั่งเป็นสำนักจันทร์จรัสแสงก็มิได้มีมากมายอะไร สายตาต้วนหลิงเทียนว่ายมองไปทางวรยุทธ์เซียนระดับมนุษย์โดดเด่นไม่นานก็ค้นพบสิ่งที่ตามหา
เพราะถัดจากป้ายเซียนที่บรรจุวรยุทธ์เซียนไว้ มันก็มีคำอธิบายเขียนแปะบอกเอาไว้ชัดเจน ว่าวรยุทธ์เซียนนี้มีเคล็ดความอันใดบรรจุไว้บ้าง และมันสามารถทำอะไรได้
“เผิงทะยานผ่าน 9 สวรรค์ ประทับไท่ซาน อาภรณ์ทอง…ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง ทั้งหมด 3 เคล็ดวรยุทธ์ ล้วนเป็นชุดวรยุทธ์เซียนที่เรียกว่าเผิงทองถาโถม”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวพึมพำออกมาหลังจากอ่านรายละเอียดของวรยุทธ์ที่บรรจุไว้ในป้ายเซียนป้ายหนึ่ง
เผิงทองถาโถมเป็นวรยุทธ์เซียนของเฝิงฟ่านที่ถูกเขาฆ่าตายไปเมื่อวานฝึกฝน
เคล็ดป้องกันของวรยุทธ์เซียนชุดนี้ก็คือ อาภรณ์ทอง มันเป็นวรยุทธ์ที่ต่อยอดมาจากอาภรณ์เงินที่ต้วนหลิงเทียนฝึกฝน และตอนนี้เขาก็ฝึกฝนอาภรณ์เงินจนบรรลุขั้นตอนไร้ตำหนิแล้ว
เว้นเสียแต่จะฝึกฝนวรยุทธ์อาภรณ์ทอง หาไม่แล้วก็ยากจะมีความก้าวหน้าใดๆได้อีก
และยามที่เขาฝึกฝนวรยุทธ์อาภรณ์ทอง มันก็ไม่จำเป็นต้องเริ่มฝึกใหม่ตั้งแต่ต้น สามารถบรรลุถึงขั้นที่ 3 อันเป็นขั้นตอนรอบรู้ได้ทันที!
เพราะขั้นตอนรอบรู้ของอาภรณ์ทอง ก็เทียบได้กับอาภรณ์เงินในขั้นตอนไร้ตำหนิ!
ก่อนที่จะมายังศาลาอุทิศ ต้วนหลิงเทียนก็หมายมั่นตั้งใจไว้แล้วว่าเขาจะหาวรยุทธ์อาภรณ์ทองมาฝึก
นอกจากอาภรณ์ทองแล้ว เขายังรู้สึกชื่นชอบประทับไท่ซานไม่น้อย!
ประทับไท่ซานนั้น เป็นเคล็ดวรยุทธ์จู่โจมระยะประชิดที่มีอานุภาพดุดันมาก เขายังได้ประสบกับพลังทำลายมหาศาลนั่นมากับตัว!
ตั้งแต่มาถึงดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า การต่อสู้ระยะประชิดของเขากลับกลายเป็นจุดอ่อนที่สุดของเขามาโดยตลอด เขาทำได้แค่พึ่งพาเสียงเพรียกแห่งความตาย อันเป็นเคล็ดจู่โจมระยะประชิดที่อยู่ในวรยุทธ์เซียนมหาเกาทัณฑ์ดาวตกที่เขาฝึกฝนเท่านั้น
แต่อย่างไรเสีย เดิมทีวรยุทธ์เซียนมหาเกาทัณฑ์ดาวตก ก็เป็นวรยุทธ์ที่เน้นการต่อสู้ระยะไกลอยู่แล้ว
ดังนั้นหากเทียบกับประทับไท่ซานแล้ว อานุภาพของมเสียงเพรียกแห่งความตายย่อมด้อยกว่าทั้งขาดพลังแข็งกร้าวอย่างเห็นได้ชัด
ทว่าวรยุทธ์เซียนเผิงทองถาโถมนี่ กลับเน้นหนักไปที่การโจมตีระยะประชิด!
“ดาบใหญ่ที่มีอาคมเซียนพันทวีของเฝิงฟ่านก็ตกมาอยู่ในมือข้าแล้ว…หากข้าฝึกประทับไท่ซานนี่ได้ ผนวกกับดาบใหญ่ยามเปิดใช้อาคมพันทวี พลังสังหารของมันนับว่าเหนือกว่าเสียงเพรียกแห่งความตายหลายขุม!”
ต้วนหลิงเทียนย่อมรู้เรื่องนี้ดี
ดาบใหญ่ของเฝิงฟ่านมันจารึกอาคมเซียนพันทวีเอาไว้ จึงสามารถเพิ่มน้ำหนักของตัวดาบให้ทบไปอีกพันเท่า! ที่สำคัญน้ำหนักที่เพิ่มนี้กลับไม่สร้างภาระอะไรให้ผู้ใช้แม้แต่น้อย!!
“เอานี่แหล่ะ!”
ไม่ต้องตัดสินใจได้ให้มากความ ต้วนหลิงเทียนเอื้อมมือออกไป หมายหยิบป้ายเซียนเบื้องหน้าอันบรรจุวรยุทธ์เซียนเผิงทองถาโถมไว้ทันที
ในขณะที่เขากำลังจะหยิบป้ายเซียนนั้นเอง อยู่ดีๆสีหน้าของเขาพลันแปรเปลี่ยนไปทันใด รีบพุ่งมือออกไปคว้าทั้งกระชากป้ายเซียนกลับมาด้วยความเร็ว ร่างเองก็โจนถอยไป 2 ก้าว
ขณะเดียวกันกับที่ร่างต้วนหลิงเทียนปราดถอยมา ก็มีมือหนึ่งพุ่งมาดั่งสายฟ้าฟาด คว้าจับไปยังตำแหน่งของป้ายเซียนที่เขาหยิบกลับมาก่อนหน้าพอดี
แต่มือนี้มาได้ช้าไป! จึงได้แต่จั่วลมดังขวับ!!
เป็นต้วนหลิงเทียนชิงป้ายเซียนมาได้สำเร็จ!
“เจ้า! แค่ศิษย์นอกคนหนึ่งกลับกล้าแย่งชิงป้ายวรยุทธ์เซียนเผิงทองถาโถมกับข้างั้นเหรอ!? วันนี้เจ้าอย่าได้หวังอ่านป้ายนั่น รีบๆส่งมาให้ข้าเสีย!!”
เสียงไม่พอใจห้วนถ่อยดังขึ้น เป็นร่างชายหนุ่มผู้หนึ่งที่พุ่งมาปรากฏตัวข้างๆต้วนหลิงเทียน สีหน้าของมันเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
ขณะเดียวกันสายตาที่มองมายังต้วนหลิงเทียนก็บอกชัดว่ามันไม่สบอารมณ์เพียงใด ทีท่ายังเผยความหยิ่งผยองถือดีไม่น้อย!
ด้านต้วนหลิงเทียนก็มองสำรวจผู้ที่คิดแย่งชิงป้ายเซียนกับเขา ด้วยป้ายที่ห้อยแขวนไว้ที่เอวเขาก็รู้ได้ทันทีว่ามันเป็นศิษย์ฝ่ายใน
หากมันผู้นี้เดินเข้ามาหาเขาแล้วบอกดีๆว่าขอยืมป้ายเซียนอ่านก่อนได้หรือไม่ ต้วนหลิงเทียนก็คงไม่ว่าอะไรและยินดีให้มันหยิบยืมอ่านก่อน
ทว่าตอนนี้ศิษย์ผู้นี้กลับคิดแย่งชิงป้ายเซียนจากเขาทั้งๆที่เขาเป็นฝ่ายมาถึงป้ายเซียนก่อน ไม่เพียงคิดแย่งชิง หลังจากcแย่งชิงไม่สำเร็จยังจะกล่าววาจาออกมาอย่างโอหัง ยังจะสั่งเขาให้มอบป้ายเซียนให้มันอีก!
จังหวะนี้สีหน้าต้วนหลิงเทียนเคร่งขรึมขึ้นมาทันใด
ด้วยความที่ผ่านอะไรมาเยอะ เขาจึงกลายเป็นคนง่ายๆไม่ถือตัว และมักจะผ่อนปรนและไม่ค่อยนำพาเรื่องไม่เป็นเรื่องอยู่เสมอ หากทว่าใครร้ายมาเขาก็ไม่เคยกลัวที่จะร้ายตอบ!
ดังนั้นเมื่อต้องเผชิญกับศิษย์ที่ถือดีทั้งหยาบคายเช่นนี้ต้วนหลิงเทียนไม่เพียงแต่จะไม่มอบป้ายให้ ยังเลือกที่จะไม่แยแสคำขอของมัน หยิบป้ายเซียนขึ้นมาโยนเล่นในมือต่อหน้า ก่อนที่จะเหลือบมองมันด้วยสายตาเมินเฉยดั่งสุนัขตัวหนึ่ง แล้วเดินจากมันมาไปชมดูสิ่งอื่นๆในชั้น 4 ศาลาอุทิศทันที…ปล่อยให้มันยืนโง่หัวร้อนอยู่คนเดียว!
และสิ่งที่เขากำลังเลือกดูนั้นไม่ใช่ป้ายเซียนแต่อย่างไร แต่เป็นป้ายหยกที่บันทึกเรื่องราวต่างๆเอาไว้
ป้ายหยกพวกนี้นับว่าเป็นอะไรที่ต้วนหลิงเทียนเองก็กำลังต้องการอยู่ไม่น้อย
ถึงแม้เขาจะนับได้ว่าอยู่ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋ามาเป็นปีแล้ว แต่มีหลายเรื่องที่เขายังไม่ทราบโดยเฉพาะสถานที่ต่างๆ
ด้วยป้ายหยกเหล่านี้ เขาย่อมมีความเข้าใจที่ทางในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าอันกว้างใหญ่สุดไพศาลแห่งนี้เพิ่มขึ้นไม่น้อย
“บัดซบ! นี่เจ้ากล้าเมินข้าอย่างงั้นเรอะ!!”
ศิษย์ฝ่ายในที่เห็นการกระทำทั้งสายตาต้วนหลิงเทียนที่มองมาราวกับมันไม่ใช่คน มันถึงกับหัวร้อนขึ้นมาทันใด กล่าวตะคอกเสียงดังด้วยโทสะทันที!
มันไม่คิดเลยว่าหลังจากที่มันออกจากการปิดด่านฝึกฝน และมุ่งหน้ามาศาลาอุทิศเพื่ออ่านเคล็ดความบทต่อไปของวรยุทธ์เซียนเผิงทองถาโถม กลับต้องมาเจอเข้ากับศิษย์ฝ่ายนอกคนหนึ่งแบบนี้
ในบรรดาศิษย์ฝ่ายนอกของสำนักจันทร์จรัสแสงนั้น คนเดียวที่มันยำเกรงก็คือศิษย์ฝ่ายนอกที่ติดอันดับในรายนามปฐพี รวมถึงศิษย์ฝ่ายนอกที่แข็งแกร่ง 5 อันดับแรก!
สำหรับศิษย์ฝ่ายนอกคนอื่นนั้น ไม่นับเป็นตัวอะไรในสายตาของมัน
และมันเองก็ได้เห็นหน้าค่าตาศิษย์ฝ่ายนอก 5 อันดับแรกรวมถึงผู้ที่ติดอันดับในรายนามปฐพีมาก่อน มันจึงรู้ได้ทันทีว่าศิษย์ฝ่ายนอกเบื้องหน้า หาใช่ 1 ใน 5 คนที่ว่าไม่…
หากไม่ใช่เพราะภายในศาลาอุทิศห้ามต่อสู้ประมือกันโดยเด็ดขาด มันจะทุบตีศิษย์ฝ่ายนอกผู้นี้ให้ลงไปหมอบกระแตบัดเดี๋ยวนี้!
“ไอ้หนู ทางเลือกโง่เขลานี้ของเจ้า มันจักทำให้เจ้าต้องชดใช้ไม่น้อย…ข้าจะให้โอกาสสุดท้ายแก่เจ้า รีบส่งป้ายเซียนนั่นมาและก้มหัวขอขมาข้าเสียแต่โดยดี! หาไม่แล้วทันทีที่เจ้าย่างเท้าออกจากศาลาอุทิศไป…ชะตาชีวิตของเจ้ามันจะไม่อยู่ในมือเจ้าอีกต่อไป!!”
ศิษย์ฝ่ายในคนนั้นมองต้วนหลิงเทียนตาขวาง ยังกล่าววาจาข่มขู่ออกมาอย่างเกรี้ยวกราด!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น