Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1943-1948

 ตอนที่ 1943 ผงาดล้ำ

 

“เป็นไปไม่ได้น่า!”


ภายในศาลาโอสถสวรรค์ในตอนนี้ผู้อาวุโสทั้งหลายต่างกำลังรับฟังข่าวที่เซินชางนำมาบอกเล่า และการตอบสนองแรกหลังจากได้ฟังเรื่องราวนั้นคือ เป็นไปไม่ได้


“พี่เซิน เจ้าเข้าใจอะไรผิดหรือไม่? เป็นไปได้อย่างไรที่บนโลกใบนี้จะมีผู้สามารถคิดค้นสูตรโอสถทำให้ผู้ที่หลอมซึมซับผลวิญญาณเต๋าสามารถกลับมาบ่มเพาะต่อได้?” เฉินหยู่ถามขึ้น


“ใช่แล้ว เรื่องนี้มันจะน่าเหลือเชื่อจนเกินไปหน่อย! ผู้ที่หลอมซึมซับผลวิญญาณเต๋านั้นไม่อาจบ่มเพาะพัฒนาตัวต่อได้ นี่เป็นกฎเหล็กของโลก จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะมีคนมาทลายกฎนี้ลง?” ผู้อาวุโสอีกคนกล่าวขึ้นเสริม


เพราะไม่ว่าอย่างไรเสียพวกเขาทั้งหลายก็ไม่คิดที่จะเชื่อมัน เพราะเรื่องราวนี้มันน่าเหลือเชื่อจนเกินกว่าที่จะทำใจรับได้


เซินชางเองก็ได้แต่ยิ้มออกมาอย่างขื่นขม “ข้าจะไม่ปิดบังใดๆ กับพวกเจ้าทั้งหลาย แต่ตอนที่เฒ่าคนนี้ได้ยินได้ฟังเรื่องราวเป็นครั้งแรกข้าเองก็ไม่ได้แตกต่างจากพวกเจ้าเลย! แต่เฒ่าคนนี้ได้วิ่งเต้นตามสืบสาวและยืนยันข้อมูลอย่างเต็มที่ ข้าย่อมไม่มีทางจะเข้าใจผิดโดนหลอกลวงใดๆ ได้แน่ เพราะเช่นนั้นข้าจึงได้มาปรึกษากับพวกเจ้าทั้งหลายนี้ ที่สำคัญศิษย์ของท่านเย่ ไป๋เฉินผู้นั้นเองก็ได้บรรลุขึ้นอาณาจักรเทพถ่องแท้ไปเรียบร้อยแล้วหลังจากกินโอสถครองวิญญาณผสานเต๋าเข้าไป”


ได้ยินเช่นนั้นพวกเขาทั้งหลายก็เบิกตากว้างออกมาอย่างเงียบงัน


เพราะศิษย์ของเย่หยวนที่หลอมซึมซับผลวิญญาณเต๋าเข้าไปนั้นพวกเขาย่อมรู้จักดี


แต่ตอนนี้เขาผู้นั้นกลับบรรลุอาณาจักรเทพถ่องแท้ได้?


ข่าวเรื่องนี้มันเหมือนมีฟ้าผ่าลงมากลางศีรษะ!


เหล่าผู้อาวุโสของศาลาโอสถสวรรค์นั้นต่างได้แต่ร่ำร้องออกมาในจิตใจ


พวกเขาย่อมเข้าใจดีว่าหากโอสถครองวิญญาณผสานเต๋านี้ถูกป่าวประกาศออกไปแล้วมันจะต้องกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตมากมายเพียงใดและทางหอมหาสมบัตินั้นจะได้ผลประโยชน์จากเรื่องนี้มากมายเพียงใด


ในมหาพิภพถงเทียนนี้หากคิดจะหาตัวผู้ที่กินซึมซับผลวิญญาณเต๋าลงไปนั้นมันคงเป็นเรื่องไม่ง่าย


แต่สุดท้ายแล้วมันก็ยังเป็นจำนวนที่ไม่น้อย


ตั้งแต่บรรพกาลมานั้นมียอดฝีมือมากมายเพียงใดที่เติบโตและตายลงไป?


มันเป็นจำนวนที่มากมายจนไม่อาจนับได้!


ผลวิญญาณเต๋ามากมายนั้นได้สาบสูญหายไปตามกาลเวลา


แต่ผลวิญญาณเต๋าบางส่วนก็ได้ถูกเหล่ายอดฝีมือในยุคปัจจุบันนำไปกินหลอมซึมซับ


เหล่าค่ายสำนักใหญ่ๆ อย่างแท้จริงหลายต่อหลายที่นั้นจะมีผลวิญญาณเต๋าอยู่ในครอบครองไม่น้อย พวกเขาทั้งหลายนั้นจะใช้พวกมันเพื่อมอบให้แก่ศิษย์ที่ทำความดีแต่ไม่มีโอกาสหรือพรสวรรค์มากพอจะบรรลุได้ด้วยตัวเอง


สำหรับกองกำลังอย่างวังพำนักจักรพรรดิเทพสวรรค์แล้วผลวิญญาณเต๋านภาสวรรค์นั้นมันมิใช่เรื่องใหญ่โตใดๆ พวกเขานั้นถึงขั้นมีผลวิญญาณเทพถ่องแท้อยู่ในมือเสียด้วยซ้ำ


เหล่าผลวิญญาณเต๋าทั้งหลายนี้เดิมทีแล้วมันไม่ได้มีค่าใดๆ ในวังพำนักจักรพรรดิเทพสวรรค์มากมาย


แต่เมื่อมีโอสถครองวิญญาณผสานเต๋านี้ปรากฏขึ้นมาแล้วเหล่าผลวิญญาณเต๋าทั้งหลายนั้นก็จะเพิ่มมูลค่าขึ้นมาได้หลายเท่าตัว


ศิษย์ทั้งหลายที่ยังขึ้นไม่ถึงอาณาจักรราชันพระเจ้าหากให้พวกเขานั้นได้กินผลวิญญาณเต๋านภาสวรรค์ลงไปแล้วพวกเขาก็จะสามารถพัฒนาตัวเองต่อไปจนเป็นยอดฝีมือนภาสวรรค์ได้ในเวลาแค่ไม่ถึงร้อยปีหรืออาจจะใช้เวลาแค่ไม่กี่ปี!


เท่านี้แล้วมันจะช่วยลดเวลาที่ต้องใช้ในการบ่มเพาะไปได้มากเพียงใด?


“หากเรื่องนี้เป็นความจริงแล้วหอมหาสมบัติก็คงได้กลายเป็นยอดมหาอำนาจในมหาพิภพถงเทียนอย่างแน่นอน! แม้โอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับห้านั้นมันจะไม่ได้ยอดเยี่ยมมากมายแต่เมื่อใดก็ตามที่โอสถครองวิญญาณผสานเต๋าถูกปล่อยสู่ท้องตลาดแล้วมันคงสร้างความสั่นสะเทือนอย่างยิ่งใหญ่ และเมื่อท่านเย่บรรลุขึ้นอาณาจักรเทพถ่องแท้มาได้แล้วและทำให้โอสถครองวิญญาณผสานเต๋ากลายเป็นระดับหกได้มันก็จะยิ่งเป็นการช่วยสร้างยอดฝีมือเทพถ่องแท้ได้ในพริบตา! นี่มัน… แค่คิดข้าก็ขนลุกแล้ว!” เฉินหยู่ร้องบอก


เพราะเหล่านภาสวรรค์นั้นมันไม่ได้เป็นกำลังที่มากมายภายใต้จักรพรรดิเทพสวรรค์ทั้งหลาย


แต่เมื่อกลายเป็นเทพถ่องแท้แล้วมันจะเป็นคนละเรื่องในทันที


ต่อให้เป็นในวังพำนักจักรพรรดิเทพสวรรค์ ยอดฝีมือเทพถ่องแท้นั้นก็มิใช่ผู้คนที่จะดูถูกได้


เพราะเมื่อมีพลังถึงระดับเทพสวรรค์แล้วเหล่ายอดฝีมือทั้งหลายต่างล้วนเป็นยอดคนชื่อดัง ย่อมไม่คิดจะไปยอมรับใช้จักรพรรดิเทพสวรรค์ได้ง่ายๆ


พวกเขานั้นหากไม่ปกครองยอดเมืองหลวงจักรพรรดิด้วยตัวเองก็จะกลายเป็นนักยุทธ์จรเพื่อหาทางในการพัฒนาศึกษายอดเต๋าต่อไป


การที่ผู้คนขึ้นเป็นเทพถ่องแท้ได้ในเวลาแค่ไม่กี่ร้อยหรือพันปีนั้นเป็นเรื่องที่น่ากลัวจนเกินไป!


ที่สำคัญพวกเขาทั้งหลายนั้นยังจะสามารถพัฒนาตัวเองต่อไปได้ในอนาคต


ย่นระยะเวลาบ่มเพาะได้นับพันๆ ปีมันย่อมทำให้พวกเขาทั้งหลายนั้นมีโอกาสก้าวขึ้นถึงอาณาจักรเทพสวรรค์มากขึ้น!


เซินชางพูดขึ้น “เรื่องราวในครั้งนี้มันยิ่งใหญ่เกินไป ท่านเปียวหยูเองตอนนี้ก็กำลังเก็บตัวอยู่เราเองก็คงไม่อาจตัดสินใจใดๆ เองได้ ข้าจึงได้คิดมาว่าจะนำเรื่องนี้ไปรายงานแก่ท่านวันเปาและให้ท่านผู้นั้นเป็นคนตัดสินใจ”


เฉินหยู่พยักหน้ารับ “ก็จริง หากเรื่องราวนี้กระจายออกไปแล้วมันคงเปลี่ยนมหาพิภพถงเทียนไปทั้งหมดแน่! ด้วยลำพังแค่ศาลาโอสถสวรรค์ของเรามันไม่เพียงพอที่จะแบกรับเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่ปานนั้น”



ภายในห้องลับหนึ่งของเมืองจักรพรรดิมีชายแก่ที่ดูท่าทางเหมือนคนรอวันตายเบิกตากว้างขึ้น


“ฮ่าๆ! สวรรค์ช่างมีตาไม่ยอมปล่อยให้ข้าตายลงง่ายๆ เสียจริง! ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าจะมีใครคิดค้นโอสถวิเศษเช่นโอสถครองวิญญาณผสานเต๋าออกมาได้ ในตอนนั้นข้าที่ได้หลอมซับผลวิญญาณเต๋าไปข้าก็คิดไปแล้วว่าชีวิตนี้คงไม่อาจจะทำการบ่มเพาะได้อีก ไม่นึกไม่ฝันว่าวันนี้จะมาถึง! ด้วยความเข้าใจที่ข้าสั่งสมมานานปีนี้หากข้าสามารถกลับมาบ่มเพาะได้อีกครั้งข้าจะต้องสามารถบรรลุขึ้นไปสู่อาณาจักรเทพถ่องแท้ได้ในคราเดียวแน่! ครั้งนี้เฒ่าคนนี้จะต้องไปซื้อโอสถครองวิญญาณผสานเต๋ามาให้ได้!”


เมื่อชายแก่คนนั้นได้ยินข่าวเรื่องโอสถครองวิญญาณผสานเต๋าเขาก็แทบกลายเป็นคนคลั่งในทันที


ไม่นานนักเขาก็ได้สั่งให้คนไปตรวจดูคลังของเมืองจักรพรรดิและมุ่งหน้าไปซื้อโอสถยังหอมหาสมบัติในทันที



ภายในเมืองหลวงจักรพรรดิหนึ่ง สองหนุ่มน้อยนักยุทธ์อาณาจักรนภาสวรรค์กำลังยืนเผชิญหน้ากันอยู่


ฝ่ายหนึ่งกล่าวขึ้น “เหตุใดเจ้าจึงสามารถบ่มเพาะได้รวดเร็วปานนี้? แค่ไม่กี่วันก่อนนั้นเจ้ายังเป็นเพียงแค่นภาสวรรค์หนึ่งดาวอยู่แท้ๆ!”


อีกฝ่ายจึงหัวเราะลั่นตอบมา “ข้ากินผลวิญญาณเต๋านภาสวรรค์เข้าไป ด้วยพรสวรรค์ของข้าอีกไม่นานก็คงสามารถขึ้นไปถึงอาณาจักรนภาสวรรค์เก้าดาวได้! เจ้านั้นชอบอวดดีเรื่องที่ว่าตัวเองบ่มเพาะได้รวดเร็วนักมิใช่หรือ?”


เมื่ออีกฝ่ายได้ยินเขาก็แสดงสีหน้าดูถูกออกมาในทันที “เจ้าโง่ ที่แท้กลับคิดใช้ผลวิญญาณเต๋านภาสวรรค์เพื่อก้าวข้ามข้า ช่างโง่เง่าเสียจริง! ชาตินี้เจ้าคงไม่มีโอกาสขึ้นไปอาณาจักรเทพถ่องแท้ได้อีกแล้ว!”


“หึๆ คนโง่มันคือเจ้าต่างหาก! ตอนนี้พ่อข้าได้ไปซื้อโอสถครองวิญญาณผสานเต๋าจากหอมหาสมบัติมาไว้แล้ว ตราบเท่าที่ข้ามีโอสถวิเศษนี้ข้าก็สามารถบ่มเพาะต่อได้อย่างเป็นปกติแม้จะกินผลวิญญาณเต๋าเข้าไป! แต่เจ้าอย่าได้คิดอะไรให้มากความเลย เพราะตอนนี้โอสถครองวิญญาณผสานเต๋าในเมืองหลวงจักรพรรดินี้มันมีแค่เม็ดเดียวและโอสถเม็ดนั้นมันก็อยู่กับพ่อข้าแล้ว! ฮ่าๆ!”


เมื่ออีกฝ่ายได้ยินเขาก็ได้แต่เบิกตากว้าง



ข่าวที่หอมหาสมบัติปล่อยออกไปนั้นแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว และแน่นอนว่าเมื่อข่าวเรื่องนี้แพร่ออกไปโอสถครองวิญญาณผสานเต๋ามันก็กลายเป็นของร้อนที่ต้องการของผู้คนทั้งมหาพิภพถงเทียน


การปรากฏขึ้นของโอสถครองวิญญาณผสานเต๋านี้มันทำให้ทุกผู้คนได้รู้ถึงความเยี่ยมยอดของมันในแทบจะทันที


เหล่าค่ายสำนักใหญ่ต่างพยายามแย่งชิงโอสถครองวิญญาณผสานเต๋ากันอย่างบ้าคลั่ง


ที่สำคัญโอสถทั้งหลายนี้มันยังถูกหลอมขึ้นโดยเย่หยวน แน่นอนว่าคุณภาพของพวกมันย่อมจะเหนือล้ำกว่าขั้นเทวะทั้งสิ้น


เพราะฉะนั้นราคาของโอสถครองวิญญาณผสานเต๋าจึงยิ่งพุ่งขึ้นสูง


แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นการจะหามันได้ให้สักเม็ดก็ยังเป็นเรื่องยาก


เพราะไม่ว่าอย่างไรเสียเย่หยวนก็เป็นคนผู้เดียว ต่อให้เขาจะพยายามหลอมโอสถทั้งวันทั้งคืนเขาก็ไม่อาจจะสนองความต้องการของผู้คนทั้งมหาพิภพถงเทียนได้


และแน่นอนว่าทางหอมหาสมบัติเองก็ไม่ได้คิดจะเพิ่มจำนวนการผลิตให้พอแก่ความต้องการของผู้คนในมหาพิภพถงเทียนแต่อย่างใด


เรื่องที่ว่าของหายากนั้นมีราคาสูงพวกเขาย่อมรู้ดีแล้วมีหรือที่หอมหาสมบัติผู้เชี่ยวชาญด้านการค้าจะปล่อยความได้เปรียบนี้ไป?


ในหลายสถานที่โอสถครองวิญญาณผสานเต๋านั้นมีราคาที่พุ่งสูงขึ้นอย่างฉุดไม่อยู่


ตอนนี้ราคาของโอสถครองวิญญาณผสานเต๋านั้นมันเหนือล้ำจนเกินกว่าที่โอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับหกคุณภาพขั้นสูงจะเทียบเคียงได้เสียด้วยซ้ำ


เหตุผลแรกนั้นคือโอสถทั้งหมดนั้นเป็นโอสถที่เย่หยวนหลอมขึ้นด้วยตัวเอง แน่นอนว่ามันย่อมมีคุณภาพสูงอย่างที่ผู้อื่นไม่อาจเทียบเคียงได้


สองคือโอสถหนึ่งเม็ดนี้จะช่วยย่นเวลาบ่มเพาะไปได้นับพันๆ ปีหรืออาจจะถึงหมื่นปี มีหรือที่คนทั้งหลายจะไม่อยากได้มัน?


เวลายาวนานขนาดนี้พวกเขาจะหาผลึกปราณเทวะได้มากมายเพียงใดและจะสามารถพัฒนาตัวไปได้ถึงระดับใด?


เรื่องราวนี้ตราบเท่าที่มิใช่คนโง่ไร้สมองพวกเขาย่อมรู้ว่าจะคำนวณมันอย่างไร!


เพราะฉะนั้นชื่อเสียงของหอมหาสมบัติบนมหาพิภพถงเทียนจึงได้พุ่งทะยานผงาดล้ำด้วยโอสถครองวิญญาณผสานเต๋าเพียงแค่ชนิดเดียว

 

 

 


ตอนที่ 1944 ทุกข์จุติ

 

ภายในห้องลับตอนนี้เย่หยวนกำลังค่อยๆ เปิดฝาขวดใบน้อยออก


กลิ่นโอสถที่ออกมาจากขวดนั้นมันแผ่ไปทั่วทั้งห้องลับนี้และทำให้ผู้ได้รับกลิ่นนี้รู้สึกสดชื่นสดใสขึ้นมาในจิตใจ


“โอสถแก่นโกลาหลพันทุกข์ขั้นเทวะวิญญาณมรณา…ข้าคิดว่ามันยังไม่น่าจะช่วยให้ข้าขึ้นถึงกายทองคำระดับหกสัมบูรณ์ได้ แต่หากเพิ่มเลือดแท้มังกรเข้าไปแล้วข้าสงสัยเหลือเกินว่ามันจะดันข้าไปถึงได้หรือไม่”


เย่หยวนนั้นไม่คิดลังเลอีกต่อไปรีบกลืนโอสถแก่นโกลาหลพันทุกข์ลงไปในทันที


เมื่อโอสถนั้นไหลลงท้องไปดวงตาทั้งสองของเย่หยวนก็ต้องเบิกกว้างด้วยความรู้สึกเจ็บปวดที่พลุ่งพล่านไปทั้งร่างตั้งแต่หัวจรดเท้า


เย่หยวนพูดบ่นกับตัวเองด้วยใบหน้าที่บิดเบี้ยว “สมชื่อเป็นโอสถแก่นโกลาหลพันทุกข์ที่สร้างร่างกายขึ้นมาให้ทำให้เกิดการจุติ!”


โอสถแก่นโกลาหลพันทุกข์นั้นขึ้นชื่อจากคำสองคำนั้นคือ ‘พันทุกข์’


การกินโอสถนี้ลงไปมันจะเหมือนได้พบเจอเรื่องราวทุกข์ยากพันอย่างเข้ามาพร้อมๆ กันจนครอบงำผู้คนอาจถึงขั้นทำให้อยากตายขึ้นมาเสียดื้อๆ


ต่อให้เป็นผู้มีกายระดับห้าขั้นสุดก็ยังไม่อาจกล้าจะท้าทายกินโอสถชนิดนี้ลงคอไป


เพราะแค่ผิดพลาดครั้งเดียวนั้นผลลัพธ์มันคือความตาย เต๋าสูญสลาย


ยอดฝีมือที่ฝึกกายถึงระดับห้าขั้นสุดได้นั้นย่อมมีร่างกายที่แข็งแกร่งไม่แพ้สมบัตินภาสวรรค์เลิศล้ำขั้นสุด แค่การเปรียบเทียบนี้มันก็มากพอแล้วที่จะอธิบายถึงความแข็งแกร่งของร่างกายนั้น


แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นพวกเขาก็ยังไม่อาจจะทนทานพลังของโอสถแก่นโกลาหลพันทุกข์ได้ง่ายๆ


เพราะโอสถชนิดนี้มันบ้าคลั่งจนเกินไป


แน่นอนว่าผลที่โอสถชนิดนี้ให้มันก็ย่อมเหนือล้ำเช่นกัน


และเจ้าโอสถแก่นโกลาหลพันทุกข์ขั้นเทวะวิญญาณมรณานี้เย่หยวนยังเป็นคนหลอมมันขึ้นมาเพื่อร่างกายของตัวเขาเองด้วย


เพียงแค่ว่าเขาไม่นึกไม่ฝันว่าเจ้าโอสถแก่นโกลาหลพันทุกข์นี้เขาจะหลอมมันขึ้นไปได้ถึงขั้นเทวะวิญญาณมรณา


วรยุทธ์บ่มเพาะนั้นมีพลังที่แตกต่างกันไปแม้จะเป็นนักยุทธ์ในระดับเดียวกันมันก็มีความแตกต่างด้านปราณเทวะให้ได้เห็น พลังฝีมือเทคนิคการต่อสู้ทั้งหลายเองมันก็ย่อมแตกต่างกัน


และวรยุทธ์กายทองคำเก้าอหัตถ์เองก็เป็นหนึ่งในนั้น


แต่การแปลงของกายทองคำเก้าอหัตถ์นั้นมันเป็นขั้นชั้นตำนาน ระดับสัมบูรณ์!


กายทองคำเก้าอหัตถ์นั้นแต่ละระดับมันก็เทียบได้กับการเกิดใหม่ลงจุติ


ว่ากันว่าตอนที่วรยุทธ์กายทองคำเก้าอหัตถ์นี้ถูกสร้างขึ้นมามันถูกพัฒนาขึ้นมาด้วยความเป็นความตาย


นักยุทธ์ผู้ฝึกฝนมันนั้นต้องทำลายกายของตนเพื่อดูดซับพลังของเต๋าสวรรค์และตีสร้างกายทองคำของตนขึ้นมาใหม่!


วิธีการบ่มเพาะฝึกฝนเช่นนี้มันเป็นสิ่งที่สุดแสนอันตรายแต่มันย่อมตามมาด้วยพลังที่เหนือล้ำเช่นกัน


เว้นเสียแต่ว่าการต้องผ่านการจุติถึงเก้าครั้งนั้นมันเป็นเรื่องที่อันตรายจนเกินไปอัตราการตายของผู้ฝึกนั้นสูงยิ่ง


ที่สำคัญยิ่งอยู่ในระดับสูงมันยิ่งเป็นอันตรายหนักหน่วงมากขึ้นตาม


เมื่อขึ้นมาถึงระดับหกหรือระดับเจ็ดแล้วคนที่จะยังสามารถผ่านมันไปได้นั้นมันก็มีไม่มากมาย


ส่วนเรื่องการแปลงระดับแปดในอาณาจักรจักรพรรดิเทพสวรรค์นั้นมันยิ่งมีผู้ขึ้นไปถึงน้อยกว่า


จากนั้นมาผู้คนก็ได้พบเจอวิชาวรยุทธ์เก้าอหัตถ์ที่ไม่ต้องผ่านการจุติใดๆ


วิธีการนี้มันย่อมดูไม่น่าสนใจเท่าของเดิมแต่สุดท้ายผู้ฝึกฝนก็ยังสามารถได้รับพลังที่แข็งแกร่งมาได้


เพียงแค่ว่าหากเทียบกับกายทองคำแล้วมันเป็นพลังที่ต่ำต้อยกว่ามาก


เย่หยวนนั้นได้รับวรยุทธ์นี้มาจากความทรงจำมังกรที่ตื่นขึ้นหลังจากแปลงขึ้นกายระดับห้ามาได้


การบ่มเพาะวรยุทธ์กายพุทธะมังกรสวรรค์นั้นเป็นสุดยอดวรยุทธ์บ่มเพาะของเผ่ามังกร เพียงแค่ว่าวิธีการฝึกกายทองคำที่สมบูรณ์นั้นมันไม่ได้มีพูดถึงในวรยุทธ์กายพุทธะมังกรสวรรค์


มันเป็นสิ่งที่มีแค่เย่หยวนทราบถึงหลังจากแปลงบรรลุขึ้นกายระดับห้ามา


“เย่หยวน เจ้าลองคิดดีๆ ก่อน ผู้คนรุ่นก่อนนั้นได้ซ่อนวิชานี้ไว้มันย่อมหมายความว่าพวกเขานั้นกลัวว่าคนรุ่นหลังจะต้องมาเสียชีวิตไปอย่างใช่เหตุ ที่สำคัญเจ้าเองก็ไม่เคยฝึกฝนร่างกายก่อนบรรลุขึ้นมาถึงกายทองคำระดับห้าเลย การแปลงระดับหกนี้เจ้าจะต้องรับทุกข์จุติของระดับก่อนๆ หน้าไปพร้อมๆ กัน!” หวู่เฉินบอก


เย่หยวนนั้นมีเหงื่อไหลท่วมกายแต่ก็ยังกัดฟันตอบกลับไป “เส้นทางยอดเต๋านั้นยากเย็น! หากคนไม่มีจิตใจที่จะเดินตามเต๋าแล้วจะยังมีหน้าไปพูดถึงยอดได้อย่างไร?”


พูดจบเย่หยวนก็ยกขวดหยกที่บรรจุเลือดแท้มังกรฟ้าออกมาเทใส่ปาก


‘ปัง!’


นั่นทำให้คลื่นพลังอันรุนแรงบ้าคลั่งระเบิดทะลุออกมาจากร่างของเย่หยวน


โอสถแก่นโกลาหลพันทุกข์และเลือดแท้มังกรฟ้านั้นผสานพลังกันอย่างบ้าคลั่งจนแทบจะฉีกร่างกายของเย่หยวนออกเป็นชิ้นๆ


เย่หยวนนั้นไม่คิดที่จะลังเลใดๆ และเริ่มทำตามวิชากายทองคำที่ถูกบันทึกไว้ในวรยุทธ์กายพุทธะมังกรสวรรค์


เย่หยวนได้แต่สูดหายใจสู้กับความเจ็บปวดนั้นอย่างไม่ส่งเสียงร้องแม้แต่น้อย


เขานั้นทำตามวิชาที่ถูกบันทึกไว้ด้วยจิตใจที่หนักแน่น


โอสถแก่นโกลาหลพันทุกข์นั้นมันส่งผลได้สมชื่อ


เย่หยวนรู้สึกราวกับว่าเขาได้เผชิญกับความตายอย่างนับครั้งไม่ถ้วน


เขารู้สึกได้ถึงชีวิตและความตายที่เลื่อนลอยผ่านหน้าไปอย่างไม่มีสิ้นสุด


“อ่า! แขนข้า!”


จู่ๆ เย่หยวนก็ร้องออกมาอย่างโหยหวน


จากนั้นกล้ามเนื้อบนแขนของเขาก็ค่อยๆ จางหายไปทีละน้อยเหลือไว้เพียงกระดูกสีขาวสะอาดตา


ไม่นานนักร่างกายของเย่หยวนก็เกลือไว้เพียงกระดูกสีทองคำ เป็นภาพที่ดูน่ากลัวอย่างมาก


ภายใต้ความเจ็บปวดนี้จิตศักดิ์สิทธิ์ของเย่หยวนนั้นแทบจะถูกฉีกทำลายลง


หากไม่ใช่เพราะมีไข่มุกสยบวิญญาณอยู่แล้วจิตของเย่หยวนคงได้แตกสลายลงไปแน่นอน


เย่หยวนเองก็ไม่นึกไม่ฝันว่าทุกข์จุตินั้นมันจะรุนแรงและน่ากลัวได้ปานนี้


ไม่นานนักร่างที่เหลือแต่กระดูกของเย่หยวนก็ค่อยๆ แตกสลายออกเหลือไว้เพียงผงกระดูกจากการผุกร่อน


หากให้พูดตามความเป็นจริงของโลกแล้วสภาพของเย่หยวนในตอนนี้มันไม่เหลือสิ่งใดอยู่และไม่น่าจะสามารถรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดอีก


แต่ความเจ็บปวดที่เขารับรู้นั้นมันกลับไม่ลดน้อยลงแถมยังเพิ่มมากขึ้นเป็นทวีคูณ


เย่หยวนนั้นรับรู้ถึงจิตศักดิ์สิทธิ์ของตนได้อย่างแจ่มชัดและเขาก็รับรู้ด้วยว่าตอนนี้โอสถแก่นโกลาหลพันทุกข์มันเริ่มที่จะแสดงฤทธิ์ออกมาแล้ว


เพราะกระดูกแต่ละข้อของเขากำลังได้รับการสร้างขึ้นมาใหม่!


ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใดแต่ในที่สุดผงกระดูกทั้งหลายนั้นมันก็ได้กลับมารวมกันอีกครั้งก่อให้เกิดเป็นร่างมนุษย์กระดูก


จากนั้นเลือดเนื้อหนังก็ค่อยๆ งอกออกมาจากกระดูกเหล่านั้น


ในที่สุดเย่หยวนที่มีชีวิตก็กลับมาปรากฏขึ้นอีกครั้ง


เย่หยวนได้แต่สูดหายใจเข้าลึก เขานั้นรู้สึกราวกับว่าชีวิตของเขามันได้จบลงไปแล้วครั้งหนึ่ง


“ฮู้ว…นี่หรือคือทุกข์จุติ? น่ากลัวแท้!” เย่หยวนได้แต่ปาดเหงื่อบนหน้าผากพร้อมด้วยความรู้สึกกลัวที่ยังตราตรึงอยู่ในหัวใจ


แต่เย่หยวนนั้นกลับรู้สึกได้ทันทีว่าตอนนี้ร่างกายของเขานั้นแข็งแกร่งมากกว่าเก่า


แต่จู่ๆ ใบหน้าของเย่หยวนก็ต้องถอดสีไปเพราะความรู้สึกเจ็บปวดที่แล่นผ่านร่างเข้ามาราวกับสายน้ำที่หลั่งไหล


ร่างกายของเขากำลังค่อยๆ สูญสลายไปอีกครั้ง!


เย่หยวนรู้ว่าทุกข์จุติครั้งที่สองมันกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว!


เย่หยวนนั้นรู้ดีในใจว่าเขานั้นยังต้องผ่าฟันมันไปอีกถึงห้าครั้งด้วยกัน


ที่สำคัญทุกข์จุติครั้งใหม่นั้นจะเจ็บปวดกว่าครั้งก่อนหน้าเสมอและยังเป็นอันตรายมากกว่าด้วย



ระหว่างที่เย่หยวนกำลังอยู่บนเส้นความเป็นความตายนี้เวลาภายนอกก็ได้ผ่านไปหลายปี


ก่อนจะเข้าสู่การเก็บตัวครั้งนี้เย่หยวนได้หลอมโอสถครองวิญญาณผสานเต๋าทิ้งเอาไว้มากมายก่อนจะวางมือลง


ในวันนี้บนท้องฟ้าของเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ได้เกิดมีคลื่นพลังอันแสนน่าหวาดกลัวปรากฏขึ้น


ภายในเมืองไป๋เฉินถึงขั้นหน้าถอดสีเมื่อรับรู้ถึงมันก่อนจะรีบลอยตัวขึ้นไปเผชิญกับผู้มาเยือน


“ท่านเป็นใครกัน? มาที่เมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ของเราด้วยเหตุใด?”


คนผู้นี้เหมือนมีหมอกสีดำปกคลุมอยู่รอบใบหน้าคลื่นพลังชั่วร้ายที่เขาปล่อยออกมานั้นหนักหน่วงที่สำคัญพลังของเขาผู้นี้ไม่ได้อ่อนแอแม้แต่น้อย ไป๋เฉินจึงไม่กล้าที่จะทำอะไรบุ่มบ่าม


“เจ้าคือเด็กที่กินโอสถครองวิญญาณผสานเต๋าและบรรลุอาณาจักรเทพถ่องแท้? ข้าไม่นึกเลยว่าข่าวลือนั้นจะเป็นจริงได้ คนที่กลืนกินผลวิญญาณเต๋าลงไปกลับมีโอกาสจะบรรลุขึ้นมาได้อีก!” ชายคนนั้นมองดูไป๋เฉินและร้องขึ้นด้วยความตื่นตะลึง


ไป๋เฉินนั้นสะดุ้งขึ้นในใจก่อนจะขมวดคิ้วตอบกลับไป “ข้าไม่เห็นเข้าใจว่าท่านพูดเรื่องใด! เรานั้นเป็นแค่เมืองจักรพรรดิเล็กๆ จะเอาโอสถครองวิญญาณผสานเต๋าที่ไหนมา?”


เย่หยวนนั้นได้ขอความร่วมมือจากหอมหาสมบัติไว้ว่าให้บอกชาวโลกทั้งหลายว่าโอสถเหล่านี้เป็นฝีมือการหลอมขึ้นของทางหอมหาสมบัติเอง


เมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นั้นเป็นแค่เมืองจักรพรรดิน้อยๆ แน่นอนว่าย่อมไม่มีปัญญาพอที่จะปกป้องสูตรของโอสถนี้


หากคนภายนอกรู้เรื่องเข้าและคิดอยากแย่งชิงสูตรมันไปแล้วพวกเขาก็คงไม่อาจทำอะไรตอบโต้ได้


เพียงแค่ว่าแม้จะทำการปกปิดไปมากมายเช่นนั้นแล้วชายคนนี้ก็ยังตามสืบมาถึง!


ชายผู้นั้นหัวเราะขึ้น “เจ้าหนู เจ้าเลิกแสร้งเถอะ ประตูวิญญาณมรณาของเราได้รับรู้มาแล้วว่าโอสถนี้มันถูกหลอมขึ้นโดยเจ้าเด็กนามเย่หยวน และมันก็น่าจะเป็นนายของเจ้าใช่หรือไม่? ไปเรียกมันมา! ไม่เช่นนั้นแล้วอย่าหาว่าข้าเสียมารยาทสังหารล้างบางผู้คน!”

 

 

 


ตอนที่ 1945 ขยี้!

 

“ประตูวิญญาณมรณา?” ไป๋เฉินถามขึ้นมาด้วยความสงสัยเพราะมันเป็นชื่อที่ฟังไม่คุ้นหูเอาเสียเลย


แต่ที่ด้านล่างตอนนี้เล้งชิวหลิงกลับมีใบหน้าที่ขาวซีด


“ไป๋เฉิน ประตูวิญญาณมรณานั้นมันมีชื่อฉาวโฉ่ในมหาพิภพถงเทียนทั้งปล้น ฆ่า วางเพลิงความเลวร้ายของพวกมันนั้นไร้จำกัด นักยุทธ์ทั้งหลายเมื่อได้ยินชื่อนี้ต่างต้องกลัวจนตัวสั่นทั้งยังเรื่องที่ประตูวิญญาณมรณานั้นแสนลึกลับไม่มีใครทราบได้ว่าที่กบดานของพวกมันนั้นอยู่ที่ใด ไปไหนมาไหนราวกับผีร้าย ผู้คนทั้งหลายได้แต่ร่ำร้องหวาดกลัวความทรมานที่จะตามพวกมันไป”


เสียของเล้งชิวหลิงที่กล่าวขึ้นมานี้มันทำให้ใบหน้าของไป๋เฉินต้องถอดสี


“หึๆ ดูท่าเมืองนี้มันจะยังพอมีคนฉลาดอยู่บ้าง เจ้านั้นได้รู้แล้วว่าประตูวิญญาณมรณาของข้านั้นไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะมาต่อต้านได้ จงรีบไปเรียกเย่หยวนออกมาเสียไม่เช่นนั้นแล้วอย่าหาว่าข้านั้นเสียมารยาท” ชายผู้นั้นร้องบอก


“ท่านอาจารย์นั้นเข้าเก็บตัวมานานหลายปีแล้วและคงไม่อาจมาพบเจอเจ้าได้ หากเจ้าคิดอยากได้โอสถจริงๆ ก็ไว้ค่อยมาใหม่” ไป๋เฉินแสดงสีหน้ามืดดำออกมา


ชายคนนั้นจึงหัวเราะขึ้น “คนที่ประตูวิญญาณมรณาข้าอยากพบเจอ ต่อให้มันจะนอนตายอยู่ในโลงศพมันก็ต้องลุกมาพบเจอข้า!”


คำพูดนี้มันสุดแสนที่จะอวดดีไม่คิดสนใจไป๋เฉิน เทพถ่องแท้ผู้นี้อยู่ในสายตาแม้แต่น้อย


ไป๋เฉินขมวดคิ้วแน่นพร้อมพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “รบกวนการเก็บตัวของผู้คนนั้นมันเปรียบเหมือนฆ่าสังหารบิดามารดาของผู้คน! เจ้าคนโอหังจะไร้เหตุผลเกินไปแล้ว!”


แต่ชายคนนั้นกลับตอบออกมาอย่างไม่สนใจ “สังหารบิดามารดาผู้คนนั้นเป็นสิ่งที่โม่ชิงคนนี้ได้กระทำมาอย่างไม่อาจนับครั้งได้! ฆ่าลงอีกสักครั้งจะมีปัญหาใด? ในเมื่อมันไม่ออกมาแล้วข้าก็จะเริ่มการเข่นฆ่าสังหาร เริ่มจากเจ้าก่อนแล้วกัน!”


พูดจบโม่ชิงก็ปล่อยคลื่นพลังออกจากร่างทำให้พลังโลกของเทพถ่องแท้ถูกปลดปล่อยพร้อมด้วยหมอกหนาสีดำสนิทเป็นคลื่นพลังที่ทำให้ผู้สัมผัสต้องขนลุกซ่าไปทั้งกาย


“เทพถ่องแท้หนึ่งดาวขั้นสุด!” ไป๋เฉินหน้าถอดสีทันทีที่สัมผัสได้


เขานั้นเพิ่งจะบรรลุขึ้นอาณาจักรเทพถ่องแท้มาได้ยังไม่ถึงสิบปีและตอนนี้ยังทำได้เพียงแค่เริ่มจัดกำลังให้เข้าที่เข้าทางเท่านั้น


ไม่ว่าจะอย่างไรเสียมันก็ไม่มีทางจะรับมือโม่ชิงผู้นี้ได้


ความแตกต่างของระดับขั้นในอาณาจักรเทพถ่องแท้นั้นมันย่อมจะยิ่งใหญ่กว่าของอาณาจักรนภาสวรรค์อย่างมาก


ต่อให้พวกเขานั้นจะอยู่ในอาณาจักรและดาวเดียวกันมันก็ยังมีความแตกต่างที่ราวฟ้าดินเกิดขึ้นได้


“หึๆ แค่คนอย่างเจ้า เด็กน้อยที่เพิ่งขึ้นอาณาจักรเทพถ่องแท้มานี้ก็กล้าจะต่อต้านข้าแล้ว? ห้าผีเบิกทวาร!”


โม่ชิงยกมือสองข้างออกมาพร้อมปล่อยหัวกะโหลกห้าหัวให้พุ่งออกมาจากแขนเสื้อของตนเป็นลำแสงพุ่งตรงใส่ไป๋เฉินทันที


ไป๋เฉินได้แต่กัดฟันแน่นพร้อมชักหอกยาวสีดำทมิฬออกมา


หอกยาวนี้เป็นสมบัติเทพถ่องแท้เลิศล้ำขั้นกลางที่เย่หยวนยอมจ่ายไปมากมายเพื่อซื้อมันมาจากยอดเมืองหลวงจักรพรรดิทองวาว


ด้วยหอกนี้ในมือไป๋เฉินก็ปล่อยคลื่นพลังโต้กลับมาบ้าง


เจ้าหัวกะโหลกทั้งห้านั้นส่งเสียงร้องโหยหวนออกมาดังก้องกังวานอยู่ในหูของไป๋เฉิน


ไป๋เฉินนั้นตื่นตกใจอย่างมากและพยายามตั้งสติให้ได้มากที่สุด ใช้พลังจิตศักดิ์สิทธิ์เพื่อขับไล่เสียงของหัวกะโหลกเหล่านั้น


แต่เสียงร้องโหยหวนของเจ้าหัวกะโหลกทั้งห้านั้นมันราวกับมีเวทมนตร์ทำให้ไป๋เฉินไม่อาจตั้งสติได้เลย


ไป๋เฉินนั้นไม่คิดยอมแพ้รอความตาย ยกหอกยาวขึ้นมาโบกสะบัดปล่อยคลื่นพลังอันมหาศาลออกมาสู่โลกภายนอก


พลังปะทะนี้ทำให้เสียงกัดกินวิญญาณนั้นเงียบหายไปทันที


‘เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!’


วิชาหอกนี้ถูกใช้ออกราวกับฝนพิรุณที่ตำกระหน่ำ ไม่เปิดโอกาสให้หัวกะโหลกทั้งห้านั้นได้มีโอกาสใดๆ


โม่ชิงที่เห็นเช่นนั้นจึงได้แต่เยาะเย้ยขึ้น “เจ้าหนู แค่ลำพังพลังของอาวุธเจ้าไม่อาจเก่งกาจได้หรอก! ในเมื่อเจ้าคิดรนหาที่ตายแล้วข้าก็จะส่งเจ้าไปเอง!”


พูดจบวิชาที่เขาใช้ออกมาก็เปลี่ยนไป ตอนนี้หัวกะโหลกทั้งห้านั้นเริ่มเปิดปากออกมาพ่นควันหมอกสีดำเข้าหาไป๋เฉิน


นั่นทำให้สีหน้าของไป๋เฉินซีดเผือดลงทันที รู้สึกราวกับว่าวิชาหอกของเขานั้นกำลังถูกเจ้าหมอกนี้ดูดกลืนเข้าไป


‘ฟุบ! ฟุบ! ฟุบ!’


กะโหลกทั้งห้านั้นมีจิตรวมเป็นหนึ่ง ภายใต้การควบคุมของโม่ชิงนี้มันจึงไม่มีช่องว่างให้ตอบกลับใดๆ ได้เลย


“ห้าผีทลายยมโลก!”


ความเร็วของกะโหลกทั้งห้านั้นจู่ๆ ก็เพิ่มสูงขึ้นจนทำให้ดวงตาของไป๋เฉินแทบมองตามมันไม่ทัน


‘ปึก!’


เสียงดังก้องสนั่นขึ้นเพราะหัวกะโหลกนั้นได้พุ่งทะลุผ่านพลังโลกของไป๋เฉินเข้ามา ชนเข้ากับม่านป้องกันปราณเทวะของเขาส่งร่างของเขาให้ลอยลิ่วปลิวไป


ไป๋เฉินรู้สึกได้ถึงรสชาติในลำคอก่อนจะกระอักเลือดออกมาคำโต


เว้นเสียแต่ว่ามันยังไม่จบเพียงเท่านี้


กะโหลกทั้งห้านี้ตามติดกันมาอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่เปิดโอกาสให้เขาได้หายใจแม้แต่น้อย พวกมันนั้นคิดจะตามเข้ามาปิดบัญชีชีวิตของเขา!


‘ปัง!’


การโจมตีสำเร็จอีกครั้งทำให้ตอนนี้ไป๋เฉินรู้สึกราวกับหน้าอกของตัวจะฉีกขาดลง


ต่อให้เขาจะมีความได้เปรียบด้านอาวุธแต่เขาก็ยังมิใช่คู่มือของโม่ชิง!


ภายในเมืองตอนนี้ ณ หอยุทธ์ ไป๋ตงที่มองดูเรื่องราวมาตลอดได้แต่ถอนหายใจยาวและคิดจะพุ่งตัวออกไปช่วยเหลือ


เพราะไม่ว่าอย่างไรเสียเขาก็ไม่อาจทนดูไป๋เฉินถูกผู้อื่นฆ่าตายลงไปเช่นนี้


แต่ในเวลานั้นเองที่มีเสียงหนึ่งพูดขึ้นจากด้านหลังเขา


“ไม่ต้อง ข้าไปเอง!”


ไป๋ตงหรี่ตาลงหันกลับไปมองด้วยความตื่นตะลึง


ภายในเมืองตอนนี้ทุกผู้คนต่างเงยหน้ามองดูการต่อสู้บนท้องฟ้าด้วยความกังวลอย่างสุดขีด


เพราะเทพถ่องแท้จากประตูวิญญาณมรณาผู้นี้มันช่างแข็งแกร่ง ไป๋เฉินที่เพิ่งขึ้นอาณาจักรเทพถ่องแท้มาไม่นานย่อมไม่อาจจะเทียบเคียงเขาได้เลย


แต่ในเวลานั้นเองที่จู่ๆ ก็มีเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าไป๋เฉิน


‘ปัง!’


เย่หยวนต่อยหมัดออกไปทำลายเจ้าหัวกะโหลกจนแหลกไม่มีชิ้นดี


เมื่อไป๋เฉินเห็นเย่หยวนเขาก็ร้องขึ้นด้วยความตื่นเต้นดีใจ “อาจารย์ ท่านออกมาจากการเก็บตัวแล้ว!”


เย่หยวนหันหน้ากลับมาตอบรับ “เปลี่ยนตัวกัน เจ้าไปพักเถอะ”


เมื่อไป๋เฉินเห็นใบหน้าของเย่หยวนนั้นดวงตาทั้งสองของเขาก็เบิกกว้างขึ้นด้วยความตื่นตกใจ


“อาจารย์ ท่าน…ท่าน..”


เพราะสภาพของเย่หยวนในตอนนี้เขาดูสูงขึ้น มีใบหน้าที่คมกริบ ผิวขาวราวหิมะเป็นรูปลักษณ์ที่ทั้งดุดันและสวยงามราวกับว่าเขาได้กลับไปมีอายุสิบเจ็ดหรือสิบแปดปีอีกครั้ง


สภาพของเย่หยวนในตอนนี้คงเรียกได้ว่าเป็นสุดยอดเด็กหนุ่มรูปงาม


หากไม่ใช่เพราะบนใบหน้านั้นยังมีร่องรอยเย่หยวนคนเดิมให้เห็น ไป๋เฉินอาจจะจำไม่ได้เสียด้วยซ้ำว่านี่คือใคร


ที่ด้านล่างเมื่อทุกผู้คนเห็นใบหน้าของเย่หยวนในตอนนี้พวกเขาทั้งหลายก็ตื่นตะลึงขึ้นทันที


“เอ๋…นายท่านนั้นใช้วรยุทธ์บ่มเพาะของผู้อาวุโสไป๋ตงหรือจึงกลับมาเป็นเด็กหนุ่มได้เช่นนี้?”


“ชิๆ ใบหน้าของท่านเย่หยวนในตอนนี้มันหล่อเหลาจนทำให้ผู้คนสิ้นหวัง!”


“เจ้าดูนักยุทธ์หญิงเหล่านั้นสิ พวกนางแทบคลั่งตายกันหมดแล้ว!”



พวกเขาทั้งหลายนั้นย่อมไม่อาจรู้ได้เลยว่าเหตุใดการเก็บตัวในครั้งนี้มันถึงได้มีผลเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดเจนเช่นนี้เกิดขึ้น


พวกเขานั้นยิ่งไม่อาจทราบได้เลยว่าภายใต้การเปลี่ยนแปลงนี้เย่หยวนต้องพบเจอกับความยากลำบากทุกข์ทรมานมากเพียงใด


มีเพียงไป๋ตงในหอยุทธ์เท่านั้นที่แสดงใบหน้าชื่นชมออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ


เขานั้นรู้ดีว่าเย่หยวนจำต้องทำได้!


สภาพของเย่หยวนในตอนนี้มันดูเหมือนเด็กน้อยที่ยังไม่ประสีประสาเรื่องโลกหล้า ดูไร้พิษภัยใดๆ อย่างสิ้นเชิง


ไม่ว่าจะมองดูอย่างไรเย่หยวนนั้นก็ดูเหมือนนักเรียนอ่อนแอที่ไม่กล้าฆ่าแม้แต่ไก่สักตัว


แต่ไป๋ตงนั้นรู้ดีว่านี่คือการที่เย่หยวนกลับสู่จุดสมบูรณ์ที่สุด!


ตอนนี้ร่างกายของเขานั้นได้พัฒนาขึ้นไปจนถึงขั้นสัมบูรณ์พลังทั้งหมดของเขานั้นถูกเก็บไว้ในกระดูกและกล้ามเนื้อ


หากไม่ได้ปล่อยใช้มันออกมาผู้คนภายนอกย่อมไม่อาจรู้ได้!


“เจ้าคือเย่หยวน? ดูอ่อนแอเสียจริง! เด็กน้อย เจ้ามากับข้า!” โม่ชิงมองดูเย่หยวนและร้องสั่ง


เพราะพลังที่เย่หยวนแสดงออกมาในตอนนี้มันเป็นเพียงแค่อาณาจักรนภาสวรรค์เก้าดาว


ในสายตาของโม่ชิงแล้วมันย่อมอ่อนแอเสียจนเกินไป


‘ฟุบ!’


ร่างของเย่หยวนหายไปในทันทีทำให้ดวงตาทั้งสองของโม่ชิงต้องเบิกกว้าง ขนลุกชันไปทั้งตัวเพราะรับรู้ถึงอันตรายที่กำลังเข้ามาใกล้


เขานั้นรีบเรียกห้าผีออกมาพร้อมใช้พลังโลกจนถึงขีดสุดที่ทำได้


‘ปัง!’


ร่างของโม่ชิงปลิวลอยไปหลายกิโลเมตร


เจ้าห้าผีกะโหลกนั้นเองก็แตกสลายออกเป็นเสี่ยงๆ จนกลายเป็นแค่ผุยผง


โม่ชิงนั้นแทบไม่อาจลุกขึ้นยืนไหวได้แต่มองดูเย่หยวนราวกับเห็นผีร้ายอยู่ตรงหน้า ก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยความหวาดกลัว “ชางเป็นกายที่แข็งแกร่ง! เจ้า…เจ้ามีกายทองคำระดับหก? ไม่สิ เดี๋ยวก่อน ต่อให้จะเป็นกายทองคำระดับหกมันก็คงไม่อาจทำลายห้าผีเบิกทวารของข้าลงด้วยหมัดเดียวแน่!”


“เจ้าทำร้ายศิษย์ข้า เจ้า…รนหาที่ตายแล้ว!” เย่หยวนย่อมไม่คิดสนใจตอบอีกฝ่ายและร้องประกาศออกมา

 

 

 


ตอนที่ 1946 แฝงตัว

 

ห้าผีเบิกทวารนั้นเป็นสมบัติเทพถ่องแท้เลิศล้ำประจำตัวของโม่ชิง


ต่อให้มันจะเป็นหอกยาวของไป๋เฉิน ห้าผีเบิกทวารก็ยังไม่อาจจะถูกทำลายลงได้ง่ายๆ


นักยุทธ์ผู้มีกายทองคำระดับหกนั้นมันเทียบได้กับมีร่างกายที่ทำจากสมบัติเลิศล้ำ แต่หากคิดจะเอาสมบัติเลิศล้ำมาทำลายสมบัติเลิศล้ำอื่นด้วยการโจมตีเดียวแล้วมันคงเป็นไปได้ยาก


แต่เจ้าหนุ่มตรงหน้าเขานี้มันคืออะไรกันแน่?


เขารู้ได้ทันทีว่าชายหนุ่มคนนี้มิใช่คนที่จะไปยุ่งเกี่ยวด้วยได้ง่ายๆ!


‘ฟุบ!’


แล้วมีหรือที่โม่ชิงจะยังกล้าอยู่ต่อไป? เขารีบหันหน้าทุ่มกำลังหนีสุดตัวพยายามผลักร่างของตนเข้าสู่รอยแยกของมิติ


แต่กลับมีเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นมาดักอยู่ตรงหน้าเขาเสียก่อน


และมันก็คือเย่หยวนนั่นเอง!


โม่ชิงเบิกตากว้างขึ้นด้วยความตื่นตกใจ “เคลื่อนย้ายมิติ! เจ้า… เจ้าเป็นใครกันแน่?”


เย่หยวนมองดูใบหน้าตื่นตกใจนั้นพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก “เจ้ามาตามหาข้า แต่เจ้ากลับมาถามว่าข้าเป็นใคร?”


โม่ชิงนั้นปากสั่นตัวสั่นได้แต่กัดฟันพูดออกมา “ข้านั้นเป็นสมาชิกของประตูวิญญาณมรณา! หากเจ้ากล้าสังหารข้าแล้วเจ้าจะต้องได้กลายเป็นศัตรูกับประตูวิญญาณมรณา!”


“ประตูวิญญาณมรณา? ไม่เห็นเคยได้ยิน! ตายเสีย”


เย่หยวนต่อยหมัดออกไปทำให้มิติทั้งหลายแตกออก


ต่อให้โม่ชิงจะคิดอยากหนีอย่างไรมันก็ไม่อาจจะหนีได้อีกแล้ว


พลังโลกหรือม่านป้องกันปราณเทวะใดๆ มันก็ไม่อาจต้านพลังของหมัดเดียวนี้ได้และถูกต่อยเข้าไปเต็มๆ


‘ตูม!’


ร่างของโม่ชิงนั้นแตกระเบิดออกกลายเป็นฝนเลือดในทันที


เทพถ่องแท้หนึ่งดาวขั้นสุดนั้นกลับตายลงด้วยหมัดเดียวของเย่หยวนเช่นนี้


“แข็งแกร่ง! อีกฝ่ายเป็นเทพถ่องแท้หนึ่งดาวขั้นสุดแต่ท่านเย่หยวนกลับสังหารเขาลงได้ด้วยหมัดเดียว!”


“เขานั้นไม่ได้ใช้ปราณเทวะใดๆ เลยด้วยนี่มันน่าจะเป็นพลังของกายเนื้อ ดูท่าท่านเย่หยวนจะบรรลุถึงกายทองคำระดับหกเสียแล้ว!”


“แต่กายทองคำระดับหกมันจะแข็งแกร่งได้ปานนี้หรือ? เหล่ากะโหลกทั้งหลายนั้นเองก็น่าจะเป็นสมบัติเทพถ่องแท้เลิศล้ำใช่หรือไม่เล่า? แต่นายท่านกลับสามารถทำลายมันลงได้ด้วยหมัดเดียวเช่นนั้น ช่างน่ากลัวเสียจริง!”



ทุกผู้คนต่างมองดูเย่หยวนด้วยสายตาที่ปลาบปลื้มราวกับได้เห็นเทพสงครามตรงหน้า ตื่นตะลึงจนไม่อาจหุบปากที่อ้าค้างได้


ในเวลาการเก็บตัวแค่ไม่กี่ปีนี้ เมื่อเขาออกมาเขากลับฆ่าสังหารเทพถ่องแท้ลงได้


สมชื่อท่านเย่หยวนจริงๆ!


เย่หยวนเองก็ก้มลงมองที่หมัดของตัวเองด้วยความพึงพอใจ


“พลังที่มากขนาดนี้ เวลาที่ทนทรมานมานับปีๆ คงไม่เสียเปล่าแล้ว”


ทุกข์จุติทั้งหกนั้นมันกินเวลาแปดปีกว่าที่เย่หยวนจะผ่านมันมาได้


ในเวลาแปดปีนี้เย่หยวนได้เดินข้ามเส้นความเป็นความตายมานับครั้งไม่ถ้วน


ความรู้สึกในเวลานั้นมันราวกับได้ลงไปเที่ยวขุมนรกขนหมดสิ้นทั้งภูเขาดาบ ทะเลเพลิง กระทะทองแดงต่างๆ นานา


ความทรมานนั้นแม้แต่ตอนนี้เย่หยวนก็ยังจดจำมันได้อย่างชัดเจน


และเขาก็ได้เข้าใจอย่างแจ่มชัดว่าเหตุใดบรรพบุรุษของเผ่ามังกรถึงได้ผนึกความทรงจำของวิชานี้ไว้หลังขึ้นระดับห้ามาได้แล้ว


เพราะทุกขจุตินี้มันมิใช่สิ่งที่ผู้คนมนุษย์ทั่วไปจะทนรับได้เลย


โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับทุกขจุติที่หกนั้นเย่หยวนรู้สึกราวกับว่าตัวเองจะไม่อาจทนรับมันไว้ได้อีกต่อไป


แต่สุดท้ายเขาก็ได้พึ่งพลังความมุ่งมั่นที่เหนือล้ำผ่านมันมาได้


“เย่หยวน ครั้งนี้เจ้าใจร้อนเกินไปแล้ว ประตูวิญญาณมรณานั้นขึ้นชื่อว่าเป็นตัวยุ่งยากที่สุดในมหาพิภพถงเทียนถนัดเรื่องการปล้นฆ่าทั้งยังเป็นค่ายมือสังหารที่ใหญ่ที่สุดในมหาพิภพถงเทียนด้วย เหล่ายอดฝีมือของประตูวิญญาณมรณานั้นมีมากมายและยังตั้งมาอย่างยาวนาน ว่ากันว่าผู้ก่อตั้งประตูวิญญาณมรณานั้นเป็นถึงจักรพรรดิเทพสวรรค์เสียด้วยซ้ำ วันนี้เจ้าสังหารสมาชิกของประตูวิญญาณมรณาไป เจ้าต้องระวังการแก้แค้นของพวกมันให้ดี” หวู่เฉินบอก


เมื่อเย่หยวนได้ยินเช่นนั้นเขาก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที


เพราะเขานั้นไม่เคยจะได้ยินชื่อของประตูวิญญาณมรณานี้มาก่อน แต่เมื่อได้ยินคำอธิบายของหวู่เฉินเขาก็มั่นใจได้ทันทีว่าคงไม่มีทางปล่อยไว้ได้และต้องหาทางป้องกัน


เดิมทีนั้นเขาคิดจะใช้โอสถครองวิญญาณผสานเต๋าในการทำเงินไปต่ออีกสักหน่อย แต่ไม่นึกไม่ฝันว่าจะกลับกลายเป็นเรื่องใหญ่เช่นนี้ไป


แต่ทว่าต่อให้เขาจะรู้ว่าประตูวิญญาณมรณาเป็นยอดค่ายสำนัก เขาก็คงไม่อาจปล่อยโม่ชิงกลับออกไปได้อยู่ดี


“ข้าทราบแล้ว ดูท่าเราคงต้องเตรียมตัวกันหน่อย” เย่หยวนบอก



ภายในห้องลับใต้ดินของเมืองหลวงจักรพรรดิเก้ามั่นตอนนี้มีดอกบัวดำไม่น้อยถูกวางเรียงอยู่


แต่จู่ๆ บัวดอกหนึ่งก็แตกสลายลง


นั่นทำให้เงาดำในห้องลับนี้สะดุ้งตัวขึ้นทันที “โม่ชิงตายแล้ว? ไม่มีทางน่า! เมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นั้นมีเพียงแค่เทพถ่องแท้ที่เพิ่งบรรลุอยู่หนึ่งคน มีหรือที่จะต้านทานโม่ชิงได้? และต่อให้อีกฝ่ายจะเก่งกาจกว่าจริงมันก็ไม่มีทางที่โม่ชิงจะไม่มีโอกาสหนีหรอกใช่ไหม?”


ไม่มีใครคาดคิดว่าโรงเตี้ยมน้อยๆ นี่มันคือสาขาย่อยของประตูวิญญาณมรณา


และเจ้าดอกบัวดำทั้งหลายนี้มันก็คือตัวแทนของเทพถ่องแท้หลายต่อหลายคน


หากเจ้าเมืองหยูเหวินเฟิงได้รู้ว่ามีเทพถ่องแท้มากมายปานนี้อยู่ภายใต้จมูกเขาแล้วตัวเขาคงไม่อาจจะนอนหลับได้เต็มตา


เงาดำนั้นเดินไปมาอย่างไม่สงบจนจู่ๆ ตราภายในมือของเขาก็เปลี่ยนไปกลายเป็นเส้นไหมสีดำสนิทพรางลงกับความว่างเปล่า


‘ฟุบ! ฟุบ! ฟุบ!’


ไม่นานนักก็ปรากฏเงาร่างอีกหลายร่างขึ้นในห้องโถงลับนี้


“หัวหน้า!”


เมื่อคนทั้งหลายมาถึงพวกเขาก็ก้มหัวลงต่อหน้าเงาดำนั้น


เงาดำนั้นค่อยๆ นั่งลงพร้อมตอบรับออกมา “มีภารกิจจากเบื้องบนมาว่าเราต้องจับเป็นผู้ตรวจการแห่งสิบเมืองสันเขาใต้ เย่หยวนมาให้ได้ ข้าได้ส่งโม่ชิงออกไปทำภารกิจแล้วแต่เขากลับ…ตายลง!”


“โม่ชิงเจ้าโง่นี่ มันคิดเสมอว่าตัวเองนั้นเก่งกาจเหนือล้ำผู้คน อย่างไรความตายของมันก็ต้องมาถึงสักวัน” หนึ่งในคนที่มากล่าว


คนอีกผู้หนึ่งกล่าวขึ้น “ที่ท่านเรียกเรามานี้หรือท่านคิดจะให้เราลงมือด้วยกัน?”


เงาดำนั้นพยักหน้ารับ “ใช่ เด็กเย่หยวนคนนี้มันจะประมาณไม่ได้ เขาคนนี้มีวิธีการไม่คาดฝันอยู่เสมอ ครั้งนี้พวกเจ้าทั้งห้าจงไปพร้อมๆ กัน ลู่ซินทำหน้าที่บัญชาการ ส่วนพวกเจ้าทั้งสี่คอยช่วยเหลือ นำขวางมิติไร้รอยไปด้วย เด็กคนนี้มันมีแนวคิดแห่งห้วงมิติที่เหนือล้ำ พวกเจ้าต้องมั่นใจว่าการลงมือครั้งนี้จะไม่มีผิดพลาดเข้าใจหรือไม่?”


เมื่อคนทั้งห้าได้ยินเช่นนั้นพวกเขาก็สะท้านขึ้มตกตะลึง


ลู่ซินขมวดคิ้วขึ้นทันที “ท่าน เราแค่จะไปจับเด็กนภนด้วยควาาสวรรค์คนหนึ่งมิใช่หรือ? เหตุใดต้องทำการขี่ช้างจับตั๊กแตนเช่นนี้ด้วย? ต่อให้ไม่ใช้ขวางมิติไร้รอยเมื่อเราทั้งห้าร่วมมือกันเจ้าเด็กคนนั้นมันก็จะยังสามารถหนีได้อีกหรือ?”


เงาดำนั้นกล่าวขึ้น “นี่คือคนที่เบื้องบนต้องการ ไม่ว่าเราจะประเมินอีกฝ่ายสูงเท่าใดมันก็ไม่มีคำว่าเกินไป ที่สำคัญโม่ชิงเองก็ตายไปแล้ว การที่จะสามารถฆ่าสังหารเทพถ่องแท้ลงได้เช่นนี้มันย่อมมีความเป็นไปได้ว่าเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นั้นอาจจะยังมีขุมกำลังหลบซ่อนอยู่ เมื่อผิดพลาดขึ้นมาแล้วไม่ว่าจะเจ้าหรือข้าก็คงไม่อาจรับโทษนี้ไว้ได้! ทำตามที่ข้าสั่งไป หากเจ้าพลาดก็จงตัดหัวตัวเองกลับมาส่งข้าเสีย!”


คนทั้งห้านั้นแสดงสีหน้าหวาดกลัวและไม่กล้าที่จะเถียงสิ่งใดอีกต่อไป


“ขอรับท่าน!”



คนทั้งห้าที่รับภารกิจมาเริ่มทำการวางแผนและแฝงตัวเข้ามาในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์


ประตูวิญญาณมรณานั้นมีวิชาการแฝงตัวและปกปิดที่ลึกล้ำ หากแค่มองจากภายนอกแล้วพวกลู่ซินทั้งหลายนั้นไม่ได้ดูแตกต่างจากเหล่าราชันพระเจ้าเลยแม้แต่น้อย


ในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์เวลานี้ราชันพระเจ้านั้นนับได้ว่ามีอยู่ทุกหนแห่งในเมือง มิใช่เรื่องแปลกประหลาดใดๆ


และคนทั้งห้านั้นก็ทำการอย่างรอบคอบการแฝงตัวนี้กินเวลาไปนานถึงครึ่งปี


ในวันนี้คนทั้งห้าได้มารวมตัวพบเจอกันที่บ้านธรรมดาๆ หลังหนึ่ง


หลังเข้าประตูมาถึงหนึ่งในมือสังหาร ซูเหมาก็เปิดปากบ่นขึ้น “เจ้าโง่โม่ชิงนั่นมันไปลงมืออย่างโง่เง่าจนทำให้เป้าหมายรู้ตัวเสียได้ เยี่ยมจริง! ตอนนี้เจ้าเด็กนั่นมันไม่คิดออกจากจวนเจ้าเมืองแม้แต่ก้าวเดียว เราไม่มีโอกาสจะลงมือเลยแม้แต่น้อย!”


ภายในจวนเจ้าเมืองนั้นมันย่อมจะเต็มไปด้วยกับดักป้องกันผู้บุกรุกมากมาย


แม้แต่คนที่เข้าใจในแนวคิดแห่งห้วงมิติก็คงไม่อาจจะแอบลอบเข้าไปได้โดยไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัวเสียก่อน


คนทั้งหลายนี้เป็นมือสังหารมากประสบการณ์ แต่เมื่อเย่หยวนเอาแต่มุดหัวอยู่ในกระดองเช่นนี้พวกเขาทั้งหลายเองก็ไม่อาจจะทำอะไรได้เช่นกัน


“เอาล่ะ ไหนๆ คนมันก็ตายไปแล้ว มาด่ามันให้ได้อะไรอีก? แต่เจ้าเย่หยวนคนนี้มันช่างยอดเยี่ยมเสียจริงๆ สร้างโอสถท้าทายสวรรค์เช่นนี้ขึ้นมาได้ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเบื้องบนถึงได้ต้องการตัวมันเป็นๆ” มือสังหารอีกคนกล่าว


ในเวลานี้เองที่ลู่ซินผู้เงียบฟังมานานได้เสนอความคิดขึ้น “ในเมื่อมันไม่ออกมาแล้ว เราก็คงมีแต่ต้องเข้าไป”

 

 

 


ตอนที่ 1947 ทะลวงเข้าภายใน

 

“นายท่าน ทูตจากเมืองจักรพรรดิเมฆาจันทร์มาถึงและกำลังรอขอเข้าพบอยู่ที่ด้านนอก” หนิงเทียนปิงบอก


เย่หยวนพยักหน้ารับ “ให้พวกเขาเข้ามา เมืองจักรพรรดิเมฆาจันทร์และหอมหาสมบัตินั้นมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง ข้าเองก็คงปฏิเสธความรับผิดชอบมิได้ ที่สำคัญครานี้เจ้าเมืองยังมาด้วยตนเอง แค่นั้นมันก็คือเป็นการไว้หน้าเรามากพอแล้ว”


หนิงเทียนปิงกล่าวขึ้น “นายท่าน เรื่องราวเช่นนี้ปล่อยให้ท่านเจ้าเมืองโซชูเจียจัดการไปมันจะไม่ดีกว่าหรือ? มีเหตุใดให้นายท่านต้องออกมารับหน้าเองด้วย?”


เย่หยวนยิ้มออกมา “การมีไม้ใหญ่ให้พักพิงนั้นมันดีเสมอ! ข้านั้นย่อมไม่ต้องทำการไว้หน้าใครทั้งสิ้นแต่เมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นั้นไม่อาจใช้แค่พลังของข้าผู้เดียวปกป้องดูแลได้ แต่หากเรานั้นมีค่ายกำลังของจักรพรรดิเทพสวรรค์คอยช่วยดูแลมันย่อมปลอดภัยกว่า”


เมื่อหนิงเทียนปิงได้ยินเขาก็รู้สึกได้ถึงความเคารพที่ล้นเปี่ยมออกมาจากใจ


ในสายตาของเขาแล้วเหล่าเจ้าเมืองทั้งหลายนั้นล้วนแล้วแต่เป็นผู้เห็นแก่ตัวดูดเลือดดูดเนื้อของนักยุทธ์ทั้งหลาย


แต่เย่หยวนนั้นแตกต่างออกไป เขานั้นไม่เคยผูกมัดกับสิ่งใด แม้แต่ตำแหน่งผู้ตรวจการนี้เองเขาก็ไม่ได้ยึดติดใดๆ เสียด้วยซ้ำ


แต่เพื่อจะปกป้องคนรอบกายเขาแล้วเย่หยวนกลับเลือกที่จะพัฒนาเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นี้ให้ก้าวหน้า ทั้งยังไปสร้างสายสัมพันธ์ที่ดีกับยอดกองกำลังอย่างหอมหาสมบัติไว้ด้วย


เมื่อกลายเป็นเช่นนี้แล้วผู้คนทั้งหลายย่อมต้องยอมรับทำเพื่อผลประโยชน์ของส่วนรวม


หนิงเทียนปิงนั้นรู้ดีว่าด้วยนิสัยของเย่หยวนเขาย่อมไม่คิดสนใจทำเรื่องราวยุ่งยากเช่นนี้เพื่อตัวเอง


หลังจากหนิงเทียนปิงจากไปไม่นานเขาก็ได้นำพากลุ่มคนกลุ่มหนึ่งเข้ามา


คนที่นำหน้ามานั้นคือชายวัยกลางคนผู้มีพลังบ่มเพาะอาณาจักรนภาสวรรค์แปดดาว เก่งกาจที่สุดในเหล่าผู้คนทั้งหลายที่มา


เมื่อคนผู้นั้นเห็นเย่หยวนเขาก็รีบยกมือขึ้นคารวะทันทีพร้อมหัวเราะยิ้ม “ข้าได้ยินมานานแล้วว่าท่านเย่นั้นประสบความสำเร็จอย่างมากตั้งแต่อายุยังน้อย เมื่อได้มาเจอวันนี้ข้าถึงได้เข้าใจความเหนือล้ำของท่าน!”


เย่หยวนจึงยกมือขึ้นมาคารวะตอบพร้อมยิ้มรับ “ท่านเจ้าเมืองซูกวงเองก็มีตำแหน่งใหญ่โตมิใช่คนธรรมดา การขึ้นถึงอาณาจักรเทพถ่องแท้เองก็คงอยู่ไม่ไกลแล้ว มาเถอะๆ มานั่งคุยกันก่อน”


ทุกผู้คนต่างแยกย้ายกันนั่งตามที่นั่งเจ้าบ้านและแขกก่อนจะเป็นเย่หยวนที่พูดขึ้นมาก่อน “โอสถที่ท่านเจ้าเมืองซูกวงขอมานั้นเย่ผู้นี้ย่อมจะเตรียมการให้อย่างรวดเร็ว แต่คงต้องขอให้ท่านรออีกสักสองวัน”


ซูกวงหัวเราะลั่น “ไม่รีบๆ ข้ารู้ดีว่าท่านเย่นั้นมีวิชาโอสถที่เหนือล้ำไร้ใครต้านใต้ฟ้าดินนี้ ข้าจะรีบมากมายไปเพื่อเหตุใดกัน? ซูผู้นี้ย่อมรู้ดีว่าการขอให้ท่านเย่ลงมือนั้นมิใช่เรื่องง่ายและได้เตรียมของอย่างดีไว้ให้ นี่คือสมบัติที่ข้านำพามาด้วย ท่านเย่โปรดรับไว้เถอะ”


เย่หยวนพยักหน้า “โอ้? ท่านเจ้าเมืองซูกล่าวเช่นนั้นเย่ผู้นี้คงต้องขอดูเสียหน่อยแล้ว เทียนปิง ไปจัดการเตรียมงานเลี้ยงครั้งใหญ่ไว้ให้ท่านเจ้าเมืองซูกวงตามเหมาะสม”


หนิงเทียนปิงแสดงสีหน้ามึนงงออกมาเล็กน้อยแต่ก็พยักหน้ารับและจากไป


ซูกวงยิ้มขึ้นพร้อมนำถาดออกมา ทำให้ดวงตาของเย่หยวนหรี่ลงทันทีเพราะเจ้าถาดใบนี้มันไม่ธรรมดา เป็นถึงสมบัติเทพถ่องแท้เลิศล้ำ!


“ท่านเย่ สมบัติชิ้นนี้มีนามว่า…ขวางมิติไร้รอย!”


ระหว่างที่ซูกวงพูดไปพื้นที่รอบๆ ก็เริ่มจับตัวขึ้นทำให้ทุกสิ่งอย่างเริ่มเบลอลง


เย่หยวนได้แต่หรี่ตาลงมองแต่ไม่ได้แสดงท่าทีตื่นตกใจใดๆ


ซูกวงนั้นยังคงยิ้มต่อไป “เมื่อสิ่งนี้ถูกใช้งานแล้วพื้นที่รอบมันจะถูกปิดตาย! ผู้คนภายในไม่อาจออก ผู้คนภายนอกไม่อาจเข้า! หึๆ ท่านเย่ ท่านจะยอมแพ้ดีๆ หรือต้องให้พวกเราทั้งหลายลงมือกัน?”


เย่หยวนมองดูที่ซูกวงอย่างเฉยเมย “พวกเจ้าทั้งหลายคือคนจากประตูวิญญาณมรณา?”


นั่นทำให้ใบหน้าของซูกวงเปลี่ยนสีไปทันที “เจ้ารู้ได้อย่างไร?”


เย่หยวนมองดูที่ ‘ซูกวง’ พร้อมกล่าวขึ้น “เจ้านั้นมีวิชาการปลอมตัวที่เป็นเลิศ แต่น่าเสียดาย…ที่เจ้าไม่อาจหลอกสายตาของข้าได้ การที่จะสามรถมีวิชาปลอมตัวที่เป็นเลิศเช่นนี้ได้นอกจากประตูวิญญาณมรณาแล้วข้าก็ไม่อาจนึกถึงใครได้อีกเลย”


เมื่อบ่มเพาะแปลงร่างกายมาจนถึงระดับหกได้แล้วแน่นอนว่าผลประโยชน์ที่เย่หยวนได้รับมันย่อมมิใช่แค่อย่างสองอย่าง


คราวนี้เย่หยวนนั้นได้สร้างข้อต่อเชื่อมกายเนื้อใหม่จนสิ้น แน่นอนว่าพลังกายใดๆ ของเขาก็ย่อมพัฒนาขึ้นอย่างเหนือล้ำเช่นกัน


ที่สำคัญแล้วเนตรสุริยันจันทราเทวะก็ได้อยู่กับเย่หยวนมาอย่างเนิ่นนานเมื่อได้รับการเสริมพลังจากกายของเย่หยวนมันจึงมีอำนาจพลังเพิ่มสูงขึ้นเป็นเท่าตัว


ในตอนนี้จะเรียกพลังสายตาของเย่หยวนนี้ว่าเป็นเนตรทองคำคลั่งก็คงไม่เกินไป


เมื่อ ‘ซูกวง’ และพวกเข้ามาถึงเย่หยวนก็สามารถมองออกได้ในทันที


พวกเขาทั้งหลายนี้เป็นนักฆ่าที่ทางประตูวิญญาณมรณาไม่ผิดแน่นอน


และ ‘ซูกวง’ ผู้นี้ก็มิใช่ใครที่ไหน แท้จริงแล้วเขาคือเทพถ่องแท้สี่ดาว ลู่ซินนั้นเอง


ลู่ซินมองดูเย่หยวนด้วยสายตาตกตะลึงแต่ไม่นานเขาก็กลับมามีท่าทางผ่อนคลายและกล่าวขึ้นอีกครั้ง “ทุกผู้คนต่างกล่าวว่าท่านเย่นั้นมีจิตใจที่สูงส่งให้ค่าแก่ผู้คนรอบกายอย่างมาก มันช่างเป็นเช่นนั้นจริง! เจ้านั้นมองพวกเราออกแต่แรกจึงได้ไล่ให้เด็กตระกูลหนิงผู้นั้นไป ดูท่าเจ้าจะกลัวว่าเขาจะต้องมาเจ็บตัวด้วยสินะ”


เย่หยวนนั้นนั่งเงียบอย่างไม่คิดตอบปฏิเสธใดๆ ไป


เพราะทางประตูวิญญาณมรณานั้นได้ส่งเทพถ่องแท้หนึ่งดาวมาในคราแรก ครานี้แล้วพวกเขาย่อมจะส่งผู้มีฝีมือเหนือกว่ามาแน่


การที่หนิงเทียนปิงอยู่ด้วยมันมีแต่จะทำให้ตัวเขาไม่ปลอดภัยเสียเท่านั้น


“หึๆ ดูท่าเจ้าจะเข้าใจเรื่องราวและยอมไปกับเราแต่โดยดีสินะ?” ลู่ซินบอกด้วยเสียงหัวเราะ


เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “พวกเจ้าคิดอยากจับข้าไปหลอมโอสถให้?”


ลู่ซินบอก “ข้านั้นแค่ทำตามคำสั่ง ส่วนเรื่องที่ว่าจะจับเจ้าไปเพื่อด้วยเหตุใดนั้นข้าเองก็ไม่ทราบได้ เอาล่ะ ข้าจะให้โอกาสเจ้าปิดผนึกทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของตนเองและตามเรามาเสีย”


เย่หยวนหัวเราะขึ้น “ไป? เจ้าสังหารพวกซูกวงและยังคิดลอบเข้ามาในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์เรา หรือเจ้าคิดว่าจะรอดชีวิตกลับไปได้?”


ลู่ซินและพวกต่างอดไม่ได้ที่จะหัวเราะลั่นเมื่อได้ยิน “พูดจาปากดี แค่คนอย่างเจ้า เด็กน้อยนภาสวรรค์ผู้หนึ่งจะมาขัดขืนเราได้หรือ?”


แต่จู่ๆ ก็ปรากฏอีกเงาร่างหนึ่งขึ้นข้างกายเย่หยวน และเขาก็คือไป๋ตงนั่นเอง


ด้วยคำเตือนของหวู่เฉินมีหรือที่เย่หยวนจะไม่ระมัดระวัง?


เพราะฉะนั้นเวลาครึ่งปีที่ผ่านมานี้ไป๋ตงจึงได้เก็บตัวอยู่ภายในโถงบัลลังก์ม่วงข้างกายเย่หยวนตลอดมา


ลู่ซินเห็นไป๋ตงเช่นนั้นก็ต้องเบิกตากว้างจนหน้าเปลี่ยนสี


เพราะคนผู้นี้กลับมีคลื่นพลังในระดับเดียวกับเขา เป็นเทพถ่องแท้สี่ดาวเช่นเดียวกัน!


เมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ไปมียอดฝีมือในระดับนี้ตั้งแต่เมื่อใด?


หรือว่าแท้จริงแล้วโม่ชิงเองก็จะตายลงด้วยน้ำมือของคนผู้นี้?


“ข้าฝากจัดการเจ้าหมอนี่ด้วย ได้ใช่ไหม?” เย่หยวนถาม


ไป๋ตงหันหน้ากลับมาตอบทันที “เอาคำว่า ‘ได้ใช่ไหม’ ไปทิ้งได้เลย”


เย่หยวนที่ได้ยินเช่นนั้นแทบจะหลุดขำออกมา


เวลาเช่นนี้เจ้าหมอนี่ยังจะมีหน้ามาเล่นตลก


คนทั้งสองนั้นหันหน้าไปคุยกันอย่างที่ไม่คิดสนใจพวกลู่ซินทั้งห้าเลย


ลู่ซินจึงยิ้มออกมา “เจ้าโง่ ต่อให้จะมีเทพถ่องแท้สี่ดาวอีกคนมาแล้วทำไม? เจ้าคิดว่าตัวเจ้าเองที่เป็นแค่นภาสวรรค์นั้นจะสามารถรับมือกับเทพถ่องแท้สองดาวถึงสี่คนได้หรือ?”


เพราะคนทั้งสี่ที่ติดตามเขามานั้นล้วนเป็นเทพถ่องแท้สี่ดาวสิ้น


เย่หยวนจึงบอกออกไป “ไม่ลองแล้วจะรู้หรือ?”


พูดจบเย่หยวนก็ขยับเท้าส่งร่างหายกลายเป็นแค่เงาพุ่งตัวเข้าใส่หนึ่งในนักฆ่าที่มา


อีกฝั่งนั้นได้แต่แสดงสีหน้าดูถูกพร้อมปล่อยพลังโลกออกมาคิดรับเย่หยวนไว้อย่างเต็มที่


ส่วนอีกสามคนนั้นเพียงแค่ยืนมองดูเรื่องราวเพราะหวังจะเห็นสภาพแสนน่าสมเพชของเย่หยวน


การที่เบื้องบนสั่งห้ามฆ่า มันไม่ได้หมายความว่าห้ามทำร้าย


ในเมื่อเขาคิดจะหาเรื่องใส่ตัวเองเช่นนี้ก็คงไม่อาจมาโทษผู้อื่นได้


ในเสี้ยววินาทีต่อมาเย่หยวนก็มาถึงเบื้องหน้านักฆ่าผู้นั้น


เมื่อเงยหน้าขึ้นมองเขาก็เห็นหมัดหนึ่งที่ถูกต่อยออกมาราวด้วยพลังของสามัญชนคนธรรมดา


‘ปัง!’


พลังโลกของนักฆ่าคนนั้นพังทลายลงจนร่างของเขาปลิวลอยออกไปราวกับลูกกระสุนปืนใหญ่


‘อ่อก!’


นักฆ่าผู้นั้นร่วงลงนอนกับพื้นพร้อมกระอักเลือดคำโต


นั่นทำให้ดวงตาของอีกสี่คนที่เหนือเบิกกว้างทันทีด้วยความตื่นตะลึงไม่อยากเชื่อภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้า


“กายทองคำระดับหก! แท้จริงแล้วมันเป็นผู้ฝึกฝนบ่มเพาะกายเนื้อ! ไม่สิ ต่อให้มันจะเป็นกายทองคำระดับหกมันก็ไม่น่าจะแข็งแกร่งได้ปานนี้! หรือว่า…หรือว่ามันจะมี…กายทองคำระดับหกสัมบูรณ์?” ลู่ซินร้องขึ้นอย่างตื่นตะลึง

 

 

 


ตอนที่ 1948 สะดุดเหล็กกล้า

 

แรงระเบิดจากการปะทะเมื่อสักครู่นี้มันทำให้แม้แต่เหล่าเทพถ่องแท้สองดาวก็ยังต้องสั่นสะท้าน


ที่สำคัญการโจมตีนี้เย่หยวนยังมิได้ใช้วิชาการต่อสู้วรยุทธ์ใดๆ ออกมา ใช้เพียงแค่กำลังของกายเนื้อนั้นในการโจมตี


พลังกายที่แข็งแกร่งปานนี้นอกจากกายทองคำระดับหกสัมบูรณ์แล้วลู่ซินก็ไม่อาจจะคิดถึงอย่างอื่นได้เลย


เย่หยวนหันไปมองดูลู่ซิน “อย่างน้อยเจ้าก็ยังพอมีสมองบ้าง”


แต่ต่อให้จะเตรียมใจไว้เพียงใดลู่ซินที่ได้รับคำยืนยันเช่นนั้นก็ต้องตกตะลึงจนตาค้าง


ลู่ซินร้องขึ้นด้วยความตื่นตกใจอย่างถึงที่สุด “เป็นไปได้อย่างไร? นอกจากเรื่องที่ว่าการบรรลุขึ้นระดับหกสัมบูรณ์นั้นมันจะใช้ทรัพยากรมากมายแล้วคนผู้นั้นยังต้องผ่านทุกขจุติถึงหกครั้ง คนนับร้อยนับพันยังไม่อาจจะผ่านมันไปได้ เจ้าทำมันได้อย่างไรกัน?”


กายทองคำสัมบูรณ์นั้นในแต่ละขั้นระดับจะต้องพบเจอกับทุกขจุติที่หนักหนาสาหัสมากกว่าเก่า


ในหมู่ผู้บ่มเพาะกายทองคำระดับห้านับร้อยๆ มันก็อาจจะไม่มีใครที่สามารถทนผ่านไปได้แม้สักระดับ มันเป็นเรื่องที่ยากเย็นถึงขนาดนั้น


เพราะฉะนั้นแล้วการที่คนผู้หนึ่งจะทนรับทุกขจุติตั้งแต่ระดับหนึ่งขึ้นไปจนถึงระดับหกได้นั้นแม้แต่ในหมู่ผู้บ่มเพาะกายนับล้านๆ คน มันก็อาจจะไม่มีใครทำสำเร็จได้ มันเป็นเรื่องที่พบเจอได้ยากขนาดนั้น


นั่นทำให้พลังของกายทองคำระดับหกสัมบูรณ์มิใช่สิ่งที่ผู้คนทั่วไปจะคาดเดาได้เลย


เหล่าผู้คนที่สามารถบ่มเพาะกายไปได้ถึงกายทองคำระดับหกสัมบูรณ์นั้นมันมีเพียงแค่หยิบมือในมหาพิภพถงเทียน เพราะฉะนั้นความแตกตื่นในหัวใจของลู่ซินในตอนนี้มันจึงไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้เลย


ต่อให้เป็นฝันร้ายเพียงใดเขาก็ไม่เคยคาดคิดว่าเย่หยวนผู้นี้จะเป็นผู้บ่มเพาะร่างกายในระดับนี้


เย่หยวนย่อมรู้ดีว่าทุกขจุตินั้นมันเป็นอะไรที่ลำบากยากเย็นเพียงใด แต่เขานั้นก็ผ่านมันมาได้ในที่สุด


“น่าเสียดายที่ข้าเป็นหนึ่งในนั้น” เย่หยวนบอก


นั่นทำให้ใบหน้าของลู่ซินแสดงท่าทางเคร่งเครียดออกมาทันทีก่อนจะหันไปบอกคนที่เหลือทั้งสี่ “พวกเจ้าทั้งสี่ร่วมมือเข้าโจมตีพร้อมๆ กัน อย่าได้ประมาทเขา! หากไม่ไหวเต็มทีแล้วก็ถอยกลับกันก่อน”


เมื่อพวกซุเหมาได้ยินเช่นนั้นพวกเขาทั้งหลายเองก็แสดงสีหน้าตึงเครียดออกมาเช่นกัน


เดิมทีพวกเขานั้นคิดว่าจะเข้ามาจับปลาในบ่อน้ำแห้ง แต่กลับกลายเป็นว่าปลานี้ดันเป็นตัวปัญหา


หมัดเบาๆ ของเย่หยวนนั้นมันได้แสดงอย่างชัดแจ้งแล้วว่าพลังของกายทองคำระดับหกสัมบูรณ์มันแข็งแกร่งเพียงใด


‘ฟุบ! ฟุบ! ฟุบ! ฟุบ!’


พวกซูเหมาทั้งสี่เริ่มลงมือย่างรวดเร็วต่างเข้ายืนประจำตำแหน่งทำให้เกิดคลื่นพลังที่แสนน่ากลัวขึ้น


เย่หยวนที่เห็นเช่นนั้นได้แต่หรี่ตามองภาพตรงหน้าอย่างระมัดระวัง


เพราะคนทั้งสี่นี้ได้เข้าสู่ตำแหน่งที่ทำให้พวกเขากลายเป็นเหมือนคนผู้ตัว หากพวกเขาในตอนนี้ปล่อยการโจมตีออกมามันก็คงมีพลังที่เหนือล้ำอย่างคาดไม่ถึงแน่


ก็จริงที่ว่ากายทองคำระดับหกสัมบูรณ์นั้นมันแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่ได้ไร้เทียมทาน


เทพถ่องแท้สองดาวนั้นเก่งกาจกว่าเทพถ่องแท้หนึ่งดาวอย่างมาก


หากไม่ใช่เพราะเรื่องนี้แล้วหมัดเมื่อสักครู่ของเย่หยวนเองก็คงสังหารนักฆ่าผู้นั้นลงได้


แต่อีกฝ่ายนั้นเพียงแค่บาดเจ็บเล็กน้อย ไม่นับว่าเป็นผลกระทบที่รุนแรงในการต่อสู้ภาพรวมเสียด้วยซ้ำ


แค่นี้มันก็มากพอจะแสดงความแตกต่างของเทพถ่องแท้หนึ่งดาวและเทพถ่องแท้สองดาวแล้ว


เทพถ่องแท้ทั้งหลายนั้นมิใช่หมูหมากาไก่ที่ไหน พวกเขาทั้งหลายล้วนแล้วแต่เป็นยอดอัจฉริยะในหมู่ยอดอัจฉริยะจึงจะก้าวขึ้นมาถึงอาณาจักรนี้ได้


หมัดของเย่หยวนก่อนหน้านี้มันเป็นได้แค่เพียงการทักทาย


‘ฟุบ!’


จู่ๆ ทางซูเหมาก็ขยับตัวออกมา!


ดาบนี้เขาฟาดออกมานี้มันรวดเร็วปานสายฟ้า


เย่หยวนที่เห็นเช่นนั้นจึงได้ชี้นิ้วกลับออกไปและใช้พลังของกายทองคำระดับหกสัมบูรณ์เข้าปะทะกับสมบัติเทพถ่องแท้เลิศล้ำอย่างซึ่งหน้า!


‘เคร้ง!’


เสียงปะทะกันของโลหะดังสนั่นขึ้นส่วนซูเหมานั้นราวกับถูกแรงปะทะมหาศาลชนเข้าจนร่างเซกลับไปด้านหลัง


ขณะที่เย่หยวนกำลังจะไล่ไปก็มีอีกดาบหนึ่งพุ่งแทงเข้ามาหา


ดาบนี้มันสุดแสนคมพุ่งตรงเล็งเข้ามายังลำตัวช่วงล่างของเย่หยวน


แม้ว่าเย่หยวนนั้นจะมีกายทองคำที่แข็งแกร่งแต่มันก็ไม่ได้แกร่งพอจะทนทานหอกดาบได้ตรงๆ


พลังของเทพถ่องแท้สองดาวที่ร่วมกับอาวุธอันแข็งแกร่งนี้มันย่อมมากพอที่จะทำอันตรายให้แก่เขาได้


เมื่อถูกกดดันเช่นนั้นเย่หยวนจึงต้องเลือกที่จะหลบเลี่ยงการโจมตีและไม่อาจไล่ซูเหมาไปต่อได้


คนทั้งสี่นั้นเข้าโจมตีกันอย่างเป็นระบบทำให้เย่หยวนไม่อาจจะหาช่องว่างฝ่าวงล้อมออกไปและต้องยืนรับการโจมตีอยู่กลางคมดาบของคนทั้งสี่


จากนั้นคนทั้งห้าก็เริ่มศึกอันยืดเยื้อขึ้น


ในตอนนี้ด้วยขวางมิติไร้รอยที่ถูกเปิดใช้งานไว้มันจึงทำให้ทุกผู้คนกลับไปสู่การต่อสู้ตามวิถีได้เพียงแค่ใช้วิชาฝีมือวรยุทธ์ที่มีออกมาอย่างไม่อาจใช้พลังของมิติได้


แต่เย่หยวนที่ใช้เพียงแค่กำลังของร่างกายนี้กลับไม่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบคนทั้งสี่แม้แต่น้อย


ที่ด้านข้างเมื่อลู่ซินเห็นเช่นนั้นเขาก็ตื่นตะลึงจนไม่อาจพูดคำใดๆ ออกมาได้


“ทั้งที่พวกเขาทั้งสี่ได้ใช้ฝันร้ายหนึ่งใจออกมาแล้ว วิชาที่แม้แต่เทพถ่องแท้สามดาวยังต้องใช้เวลากว่าหนึ่งถ้วนน้ำชาในการทำลายลงแต่ตอนนี้พวกเขาทั้งหลายกลับไม่อาจทำอะไรเย่หยวนคนนี้ได้?”


เพราะตามหลักการของโลกแล้วเทพถ่องแท้สองดาวนั้นจะไม่อาจต่อสู้ขัดขืนใดๆ เทพถ่องแท้สามดาวได้อย่างแน่นอน


แต่ซูเหมาและพวกกลับสามารถใช้การรวมใจเป็นหนึ่งนี้เพื่อยื้อเวลาการต่อสู้กับเทพถ่องแท้สามดาวไปได้ถึงเวลาหนึ่งถ้วยน้ำชา แค่นั้นมันก็มากเกินกว่าคำว่าเหนือล้ำไปแล้ว


ทางเย่หยวนที่เพิ่งขึ้นระดับหกมาได้ไม่นานหากให้เทียบแล้วมันก็คงไม่ได้เหนือล้ำไปกว่าเทพถ่องแท้หนึ่งดาวมากมาย แต่เขากลับต่อสู้กับคนทั้งสี่นี้ได้อย่างไม่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ


กายทองคำสัมบูรณ์นี้มันเป็นตัวตนในตำนานที่แม้แต่ลู่ซินก็ยังไม่เคยพบเจอ


แต่เขาก็ไม่ได้คาดฝันเลยว่ากายทองคำสัมบูรณ์ระดับหกมันจะเก่งกาจได้ปานนี้


ในตอนนั้นเองที่ไป๋ตงก็พูดขึ้นมาด้วยท่าทางเบื่อหน่าย “ไม่ต้องมองดูแล้ว ถึงเวลาของเราเสียที”


ลู่ซินหันหน้ากลับมาทันทีพร้อมร้องบอก “เจ้าคนโง่เง่า! หากเจ้าอยากรนหาที่ตายมากนักข้าก็จะส่งเจ้าไปเอง!”


“ดาบทลายไร้เงา!”


เงาร่างของลู่ซินหายวับไปทันทีราวกับว่าเขานั้นได้หลบเข้าไปในช่องว่างมิติ


เพียงแค่ว่าที่แห่งนี้มันกำลังถูกปิดกั้นมิติอยู่


ไป๋ตงยังคงใบหน้าเรียบเฉยนั้นไว้ได้พร้อมยกพัดหนึ่งออกมาชี้ไปด้วยหลังมือ


‘เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!’


ในเวลาแค่เสี้ยววินาทีคนทั้งสองได้แลกกระบวนท่ากันไปหลายต่อหลายกระบวนท่า


‘ฟุบ!’


จากนั่นร่างของลู่ซินก็ปรากฏขึ้นมาอีกครั้งพร้อมจ้องมองดาบในมือของตนด้วยสีหน้าเหยเก


เพราะตอนนี้ดาบของเขาที่เป็นถึงสมบัติเทพถ่องแท้เลิศล้ำขั้นกลางบนตัวดาบมันกลับเกิดรอยบิ่นขึ้นมากมายหลายต่อหลายรอย


“สมบัติเทพสวรรค์เลิศล้ำ! เจ้ากลับมีสมบัติเทพสวรรค์เลิศล้ำติดตัว!” ลู่ซินกัดฟันกรอดด้วยความโกรธแค้นอย่างถึงที่สุด


แม้ว่าไป๋ตงนั้นจะไม่อาจใช้พลังที่แท้จริงของพัดนี้ออกมาได้แต่ทางลู่ซินก็มั่นใจได้ในทันทีว่าอาวุธของอีกฝ่ายนั้นจะต้องเป็นสมบัติเทพสวรรค์เลิศล้ำแน่!


เทพถ่องแท้สี่ดาวผู้หนึ่งกลับมีสมบัติเทพสวรรค์เลิศล้ำในครอบครอง?


ที่สำคัญการปะทะเมื่อสักครู่นี้ลู่ซินก็ได้เข้าใจในทันทีว่าอีกฝ่ายนั้นมีความเข้าใจในแนวคิดที่เหนือล้ำ เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้เลยแม้แต่น้อย!


ลู่ซินนั้นเป็นหนึ่งในผู้เก่งกาจยอดฝีมือของประตูวิญญาณมรณา เทพถ่องแท้สี่ดาวมากมายนั้นได้ตายลงไปด้วยน้ำมือของเขา


แต่ตอนนี้เขากลับไม่อาจทำอะไรกับเทพถ่องแท้สี่ดาวตรงหน้านี้ได้แม้แต่น้อย


ผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขานี้มันช่างแข็งแกร่งจนลู่ซินไม่อาจจะหาจุดอ่อนใดๆ ได้เลย


ลู่ซินนั้นได้รับรู้แล้วว่าเบื้องหลังของเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นี้มันลึกล้ำจนเกินไป!


ก่อนที่เขาจะมานั้นเขาคิดว่าท่านหยิงเฟิงนั้นทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่


แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกว่าท่านหยิงเฟิงนั้นดูถูกเย่หยวนจนเกินไป!


เด็กคนนี้มันเป็นตัวตนที่แสนลึกลับ


สร้างโอสถที่เปลี่ยนมหาพิภพถงเทียนจนแม้แต่ประตูวิญญาณมรณายังต้องหันมาสนใจ มีวิชาบ่มเพาะกายทองคำสัมบูรณ์จนถึงระดับหก ทั้งยังมีเทพถ่องแท้สี่ดาวที่พกสมบัติเทพสวรรค์เลิศล้ำติดตัวเป็นผู้ติดตาม!


นี่มันจะยังนับเป็นเมืองจักรพรรดิได้หรือ?


รากฐานระดับนี้มันแข็งแกร่งไม่แพ้เมืองหลวงจักรพรรดิเลย!


ใครจะเป็นคิดว่าเมืองจักรพรรดิบ้านนอกอย่างเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นั้นจะมียอดคนมากพรสวรรค์เช่นนี้หลบซ่อนตัวอยู่?


‘โฮ่ก!’


ในเวลานั้นเองที่เกิดเสียงคำรามก้องหนึ่งดังสะท้านฟ้าขึ้น


คลื่นพลังอันน่าขนลุกพุ่งทะยานออกมาจากร่างของเย่หยวน


ลู่ซินอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองด้วยดวงตาเบิกกว้าง


เป็นเวลานั้นเองที่เขาได้เห็นว่าร่างกายของเย่หยวนนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังราวกับว่าเขานั้นเป็นเทพมังกรที่กำลังร้องด้วยความบ้าคลั่ง


คนทั้งสี่ที่ปะทะกับเย่หยวนอยู่ในตอนนี้กำลังเริ่มพ่ายแพ้ลงเรื่อยๆ


ในที่สุดเย่หยวนก็ได้ใช้กรงเล็บมังกรเอกภพออกมา!


ด้วยพลังของกายทองคำสัมบูรณ์ระดับหกแล้วพลังของวิชานี้มันจึงเพิ่มพูนมากขึ้นอย่างไม่อาจวัดเทียบได้


แต่ล่ากรงเล็บที่เย่หยวปล่อยออกมามันมีพลังโจมตีรุนแรงมากพอๆ กับเทพถ่องแท้สองดาวขั้นสุด


มันเป็นพลังที่แทบฉีกกระชากมิติออกเป็นชิ้นๆ


ลู่ซินรู้สึกเหมือนหัวใจร่วงลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม เขาได้รู้แล้วว่าวันนี้พวกเขาทั้งหลายได้เดินมาสะดุดเหล็กกล้าเข้าแล้ว!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)