Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1937-1942
ตอนที่ 1937 เทพสวรรค์เปียวหยู่
“เย่หยวนนี้มีอายุแค่พันกว่าปีต่อให้มันจะเริ่มฝึกฝนบ่มเพาะวิชามาตั้งแต่ในท้องแม่มันก็คงไม่มีทางจะเก่งกาจไปกว่าสามผู้อาวุโสขั้นยาฟ้าหรอกใช่ไหม?”
“ตาข้านี่มันมืดบอดเสียจริง! ชีวิตที่ผ่านมาหลายต่อหลายปีของข้าคงเสียเปล่าแล้ว!”
“ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดท่านเปียวหยู่จึงได้ลงมาตอบรับเอง แท้จริงแล้วท่านเห็นถึงพลังฝีมือที่แท้จริงของเย่หยวน!”
…
จากคำด่าว่าดูถูกจนกลายเป็นความตื่นตะลึงสุดใจ ความเข้าใจของผู้คนทั้งหลายที่มีต่อเย่หยวนนั้นมันได้ขึ้นไปถึงระดับที่สูงล้ำกว่าเก่ามาก
แต่สิ่งที่ยังขัดใจทุกผู้คนก็คือเย่หยวนนั้นยังเยาว์เกินไป!
วิชาฝีมือของนักหลอมโอสถนั้นมันเกิดขึ้นจากการบ่มเพาะหล่อหลอมความรู้อันยาวนาน ไม่ว่าจะเป็นผู้มีพรสวรรค์มากล้ำเพียงใดมันก็ย่อมไม่มีทางเก่งกาจได้ในเวลาอันแสนสั้น
แต่เย่หยวนนั้นกลับทำลายสามัญสำนึกของพวกเขาลงสิ้น
สามผู้อาวุโสมองดูเย่หยวนอย่างตื่นตะลึงไม่อาจสรรหาคำพูดใดๆ ได้
พวกเขาไม่นึกไม่ฝันเลยว่าเย่หยวนจะมีฝีมือที่เหนือล้ำได้มากถึงขั้นนี้
พลังฝีมือในระดับนี้ดูท่าเขาคงอยู่ในอาณาจักรเต๋ามานานแสนนานแล้ว
ส่วนเรื่องที่ว่าเขาก้าวไปได้ไกลเพียงใด พวกเขาทั้งหลายนั้นไม่อาจประเมินได้เลย
เมื่อพบเจอกับเย่หยวนพวกเขาทั้งสามคนนั้นรู้สึกราวกับว่าตัวเองได้มายืนอยู่ต่อหน้าไม้ใหญ่
ความรู้สึกเช่นนี้พวกเขาทั้งหลายเคยจะรู้สึกก็แค่ตอนที่พบเจอเทพสวรรค์เปียวหยู่เท่านั้น
“ผู้อาวุโสทั้งสามขอบคุณที่ชี้แนะ!” เย่หยวนยกมือขึ้นคารวะ
คนทั้งสามนี้ย่อมมีพลังฝีมือที่เหนือล้ำอย่างไม่ต้องสงสัย จะกล่าวว่าพวกเขาทั้งสามนั้นเป็นคู่ต่อสู้ที่เก่งกาจที่สุดเท่าที่เย่หยวนเคยพบเจอมาในวิชาการหลอมโอสถเลยก็ว่าได้
เพราะในวิชาหลอมโอสถแล้วเย่หยวนนั้นไร้เทียมทานต่อสู้แข่งขันได้กับทุกผู้คน
แต่การร่วมมือของคนทั้งสามนี้มันทำให้เขาเหนื่อยยากไม่เบา
อย่างน้อยๆ เขาก็ไม่อาจจะกดทำลายอีกฝ่ายลงได้อย่างราบคาบเหมือนที่เขาชนะยู่หยิงมา
ภายใต้แรงกดดันของเขานี้สุดท้ายแล้วคนทั้งสามจึงต้องพ่ายแพ้ลงในที่สุด
เซินชางมองดูเย่หยวนพร้อมถอนหายใจยาว “ชี้แนะ? เย่หยวน เวลานั้นเป็นสิ่งสำคัญกับทุกอาชีพวิชา คนรุ่นใหม่ย่อมที่จะก้าวขึ้นเหนือล้ำคนรุ่นเก่าและเจ้าเองก็มีพลังความรู้ฝีมือที่เหนือกว่าจะจินตนาการได้ จงพยายามต่อไป! นี่คือเหรียญยาฟ้า จากวันนี้ไปเจ้าจะกลายเป็นผู้อาวุโสแห่งศาลาโอสถสวรรค์เรา ยืนอยู่เคียงข้างพวกเรา ถึงแม้ว่าเรื่องนั้นมันอาจจะต่ำต้อยสำหรับเจ้า แต่ตำแหน่งนี้มันต้องนำพาประโยชน์ความสบายมาให้เจ้าได้แน่”
พูดไปเซินชางก็โยนเหรียญตราที่ดูเหมือนดวงดาวออกมา มันให้ความรู้สึกแสนลึกล้ำแก่ผู้พบเห็น
“ขอบพระคุณพี่เซิน!” เย่หยวนรับเหรียญไปและยกมือขึ้นคารวะ
ส่วนอีกสองคนนั้นได้แค่ยืนนิ่งอย่างที่ยังไม่อาจจะรับเรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้ได้
…
ข่าวเรื่องที่เย่หยวนแสดงพลังเหนือสามนักหลอมโอสถสวรรค์ยาฟ้าดังลั่นไปทั่วทั้งยอดเมืองหลวงจักรพรรดิทองวาว
ทุกผู้คนต่างรู้ดีว่าทางศาลาโอสถสวรรค์ได้ให้กำเนิดผู้อาวุโสที่อายุน้อยที่สุดมาแล้ว
และคนทั้งยอดเมืองหลวงจักรพรรดิทองวาวก็พูดถึงเรื่องนี้กันไม่ขาดปาก
เพราะผู้อาวุโสศาลาโอสถสวรรค์ที่มีอายุแค่พันกว่าปีนั้นมันย่อมเป็นเรื่องราวที่น่านำมาพูดต่อพอจะเป็นหัวข้อให้พูดคุยกันไปได้อีกนับปีๆ หรือนับสิบปี
แต่ทว่าสิ่งที่ทำให้เรื่องของเย่หยวนมันน่าสนใจมากกว่าก็คือเรื่องที่เขาท้าทายเทพสวรรค์เปียวหยู่
เพราะเวลาที่เทพสวรรค์เปียวหยู่ขึ้นชื่อว่าเก่งกาจเหนือใครมานี้มันนานจนไม่อาจมีใครนับได้
เรื่องฝีมือของเขานั้นย่อมไม่ต้องพูดถึง
จอมเทพโอสถเจ็ดดาวนั้นเดิมทีก็เป็นตัวตนที่เหมือนกับยอดเขาสำหรับคนทั้งหลายอยู่แล้ว
ยังไม่นับรวมว่าเทพสวรรค์เปียวอยู่ผู้นี้นั้นนับเป็นสุดยอดของจอมเทพโอสถเจ็ดดาวทั้งหลายด้วย
ต่อให้เย่หยวนจะชนะสามผู้อาวุโสขั้นยาฟ้าไปได้แต่การกระทำของเขานี้คนทั้งหลายก็ยังคิดว่ามันคือการประเมินตัวเองสูงจนเกินไป
แต่น่าเสียดายที่การประลองนี้มันจะไม่ถูกเปิดสู่สายตาผู้คน ผู้ที่จะสามารถเข้าไปดูการประลองได้นั้นมันมีเพียงแค่เหล่าผู้อาวุโสของศาลาโอสถสวรรค์เท่านั้น
ยอดเมืองหลวงจักรพรรดิทองวาวนั้นถูกสร้างขึ้นติดกันภูเขานามว่าเขาเมฆาฝันมันเป็นสถานที่ที่ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกแทบทั้งปีมีความสวยงามอย่างมาก
เพียงแค่ว่ามันไม่มีใครผู้ใดกล้าย่างเท้าขึ้นไปบนเขาเมฆาฝันนี้
เพราะพวกเขาทั้งหลายรู้ดีว่าเขาเมฆาฝันนี้คือที่อยู่ของเทพสวรรค์เปียวหยู่
ตั้งแต่โบราณกาลมามีเพียงแค่เหล่าเทพสวรรค์เท่านั้นที่จะกล้าขึ้นไปยังเขาเมฆาฝันและแน่นอนว่าเป้าหมายของพวกเขาย่อมเป็นการขอร้องให้เทพสวรรค์เปียวหยู่หลอมโอสถให้
แต่วันนี้เพราะเย่หยวนเหล่าผู้อาวุโสแห่งศาลาโอสถสวรรค์ทั้งหลายจึงได้มีโอกาสเดินทางขึ้นมาเบื้องบนนี้
ภายในห้องโถงใหญ่ที่ดูโบราณและงดงามนี้มันกลับดูว่างเปล่า
กลิ่นโอสถลอยหอมมาตามสายลมทำให้ผู้คนที่ได้กลิ่นรู้สึกสดชื่นขึ้นทันที
ตอนนี้เด็กฝึกวิชาโอสถสองคนกำลังนั้นวีเตาหม้อหลอมอยู่เมื่อเห็นพวกเย่หยวนเข้ามาสายตาของคนทั้งคู่นั้นก็ได้แสดงความเหยียดหยันออกมาทันที
เด็กฝึกวิชาโอสถในชุดม่วงพูดใส่เย่หยวนด้วยท่าทางไม่พอใจ “เป็นเจ้าเองหรือที่คิดท้าทายท่านอาจารย์? อายุก็ไม่ได้ห่างจากเรามากมายช่างประเมินตัวเองสูงล้ำเสียจริง”
เด็กฝึกวิชาโอสถในชุดเขียวพูดขึ้นตามด้วยท่าทางไม่เป็นมิตรอย่างมาก “หึ! แค่ชนะสามผู้อาวุโสขั้นยาฟ้าได้เจ้าก็หลงตัวเองเสียแล้ว! พวกนั้นทั้งหลายมันไม่ได้มีค่าใดต่อหน้าท่านอาจารย์หรอก!”
คำพูดนี้ทำให้เหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายที่ด้านข้างได้แต่ทำหน้าเหยเกออกมาอย่างไม่อาจจะรักษาท่าทางทรงเกียรติได้แล้ว
แต่มันก็ช่วยไม่ได้หรอกที่พวกเขาทั้งหลายจะไม่อาจรักษาเกียรติไว้ได้ต่อหน้าเด็กทั้งสองคนนี้ เพราะทั้งสองคนนี้คือศิษย์โดยตรงของเทพสวรรค์เปียวหยู่ ทั้งสองนั้นมีตำแหน่งสถานะที่สูงล้ำกว่าพวกเขามาก มากพอที่จะว่ากล่าวพวกเขาได้
และพวกเขาก็รู้ดีด้วยว่าพลังฝีมือของคนทั้งสองนี้มันเหนือล้ำธรรมดาไปมาก
หากมีใครคิดว่าพวกเขายังเป็นแค่เด็กหนุ่มคงต้องเสียใจไปจนวันตายแน่
แต่จู่ๆ พวกเขาทั้งหลายก็ได้นึกถึงสัตว์ประหลาดที่เดินเข้ามากับพวกเขาด้วยคนนี้อีกครั้งด้วยท่าทางสิ้นหวัง
หากเด็กฝึกวิชาโอสถทั้งสองนี้เก่งกาจได้มันก็เก่งกาจได้เพราะคำแนะนำสั่งสอนจากอาจารย์ที่เป็นจอมเทพโอสถเจ็ดดาว แต่เย่หยวนเล่า?
เย่หยวนนั้นมาจากเมืองจักรพรรดิบ้านนอกเมืองหนึ่งแต่กลับก้าวเดินมาได้จนถึงทุกวันนี้ เรื่องนั้นมันมีแต่สัตว์ประหลาดเท่านั้นที่จะทำได้
“ซือหยู่ ชิงหยุน อย่าได้เสียมารยาท!”
ระหว่างที่ทุกคนกำลังทำสีหน้าไม่ถูกกันอยู่นั้นก็มีเงาร่างหนึ่งปรากฏกายออกมา
เย่หยวนหันไปมองดูยังผู้มาถึงแต่กลับไม่สามารถจะมองให้เห็นเขาได้ชัดเจน
เย่หยวนย่อมรู้ดีว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้าเขานี้คือเทพสวรรค์เปียวอยู่แน่แล้ว แต่เขากลับไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายได้ชัดเจนนักราวกับว่าบนใบหน้าของเขานั้นมีหมอกลงอยู่หนาจัด
ร่างกายของเทพสวรรค์เปียวหยู่นั้นดูดังเป็นร่างอวตารของยอดเต๋า เป็นความรู้สึกที่ลึกลับและเลื่อนลอย
แม้นี่จะมิใช่ครั้งแรกที่เย่หยวนได้เห็นเทพสวรรค์และเขายังถึงขั้นเคยฆ่าสังหารเทพสวรรค์ลงแต่เรื่องนั้นมันเกิดขึ้นในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ พลังของดินแดนศักดิ์สิทธิ์มันได้กดกลังเต๋าสวรรค์ที่รุนแรงของคนทั้งหลายนั้นไว้
แต่ในมหาพิภพถงเทียนนี้เย่หยวนเพิ่งจะได้พบเจอเทพสวรรค์ระดับสูงเป็นครั้งแรก มันช่างเป็นพลังที่เหนือล้ำและลึกลับ
เมื่อซือหยู่และชิงหยุนทั้งสองเห็นเทพสวรรค์เปียวหยู่สีหน้าท่าทางไม่พอใจใดๆ ก็ได้จางหายไปทันที
เพียงแค่ว่าในดวงตานั้นลึกๆ มันยังคงมีร่องรอยของความดูถูกอยู่
“พวกเราขอคารวะท่านเปียวหยู่!” เมื่อเหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายได้เห็นการมาถึงของเทพสวรรค์เปียวหยู่พวกเขาก็รีบก้มหัวลงคารวะทันที
เย่หยวนเองก็ยกมือขึ้นตาม “ขอบคุณท่านเปียวหยู่ที่รับคำขอของข้านี้!”
เปียวหยู่หันมองอีกฝ่ายแล้วถามขึ้น “เจ้าอยู่ที่อาณาจักรเต๋าขั้นสุด?”
นั่นทำให้ทั้งเย่หยวนทั้งเหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายแตกตื่นขึ้นทันทีที่ได้ยิน
เย่หยวนนั้นไม่นึกไม่ฝันว่าเทมพสวรรค์เปียวหยู่คนนี้จะสามารถมองเขาออกได้ภายใต้พริบตา
เพราะอาณาจักรวิชานั้นมันแตกต่างจากอาณาจักรบ่มเพาะการต่อสู้ มันเป็นการยากมากที่จะมองให้ออก
ที่สำคัญอาณาจักรเต๋านั้นมันยังเป็นอะไรที่เหนือล้ำและเลื่อนลอยคนทั่วไปย่อมไม่อาจจะมองมันออกได้เลย
แต่เปียวหยู่คนนี้กลับทำได้ในพริบตา
เหล่าผู้อาวุโสขั้นยาฟ้าทั้งหลายต่างหน้าซีดขาวลงด้วยความหวาดกลัว พวกเขานั้นรู้ดีว่าเย่หยวนนี้อยู่ในอาณาจักรเต๋าเพียงแค่ว่าพวกเขาทั้งหลายไม่มีใครนึกถึงว่าเย่หยวนจะอยู่ที่อาณาจักรเต๋าขั้นสุด
อาณาจักรวิชาหลอมโอสถนี้มันแตกต่างจากอาณาจักรบ่มเพาะการต่อสู้ จากขั้นต้นไปยังขั้นสุดนั้นต่อให้ผู้คนใช้เวลาทุ่มเทให้กับมันทั้งชีวิตก็ใช่ว่าจะสามารถก้าวเดินไปถึงได้
สำหรับนักหลอมโอสถส่วนมากแล้วอาณาจักรเต๋าขั้นสุดนั้นมันคือเป้าหมายสุดท้ายปั้นปลายของชีวิต!
แต่เย่หยวนนั้นกลับสามารถขึ้นถึงอาณาจักรเต๋าขั้นสุดได้ตั้งแต่อายุเท่านี้ มันช่างเป็นอะไรที่เหนือล้ำจนทำให้ผู้คนไม่รู้จะตื่นตะลึงอย่างไร
เมื่อตอนนี้พวกเขาลองหันไปมองดูเย่หยวนอีกครั้งพวกเขากลับมีความรู้สึกว่าร่างกายของเย่หยวนนั้นช่างกำยำใหญ่โต
“หรือว่าแท้จริงแล้วผู้อาวุโสเปียวหยู่ท่านจะอยู่ในอาณาจักรบรรพกาล? หากเป็นเช่นนั้นแล้วผู้เยาว์คงใจร้อนเกินไป!”
ไม่นานนักเย่หยวนก็กลับมาตั้งสติได้และตอบคำถามด้วยคำถามไป
เปียวหยู่ยิ้มออกมา “มีหรือที่อาณาจักรบรรพกาลมันจะขึ้นถึงได้ง่ายดายปานนั้น? แต่ทว่าเทพสวรรค์คนนี้เองก็คงอยู่ไม่ห่างมันมากแล้ว! ส่วนเรื่องที่ข้ามองอาณาจักรของเจ้าออกได้นั้น เมื่อเจ้าก้าวขึ้นมาถึงจุดที่ข้ายืนมันก็ย่อมจะมองออกได้อย่างง่ายดาย”
ตอนที่ 1938 การเผชิญหน้าที่ดุเดือด!
“เป็นเช่นนั้นนี่เอง!”
เย่หยวนนั้นแม้จะมีท่าทางเรียบเฉยแต่ภายในของเขานั้นตื่นตะลึงอย่างมาก
ความหมายในคำพูดของเทพสวรรค์เปียวหยูนี้ก็คือเขาอยู่ห่างจากอาณาจักรบรรพกาลอีกแค่ก้าวเดียว
เทียบกันกับอาณาจักรเต๋าแล้วอาณาจักรบรรพกาลนั้นทั้งยิ่งใหญ่และเหนือล้ำจนไม่อาจจะสามารถทำความเข้าใจได้
แม้ว่าตัวเย่หยวนเองก็จะอยู่ในอาณาจักรเต๋าขั้นสุดแต่ตัวเขาเองก็ยังไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าอาณาจักรบรรพกาลมันจะเป็นเช่นไร
“ขึ้นถึงอาณาจักรเต๋าได้ตั้งแต่อายุยังเท่านี้อนาคตของเจ้าคงไปได้ไม่สิ้นสุดแน่!” เทพสวรรค์เปียวหยูบอกขึ้นด้วยท่าทางพึงพอใจ
“ผู้อาวุโสเปียวหยูกล่าวชมเกินไปแล้ว!” เย่หยวนตอบ
“หึๆ เลิกพูดคุยเล่นกันเท่านี้ก่อน ในเมื่อเจ้าคิดอยากท้าทายข้าแล้วเจ้าก็ย่อมต้องเป็นฝ่ายเลือกโอสถที่เราจะหลอมกัน” เปียวหยูบอก
เย่หยวนพยักหน้ารับอย่างที่ไม่อาจห้ามตัวเองได้อีกต่อไป
เพราะคู่ต่อสู้อย่างเทพสวรรค์เปียวหยูนี้มิใช่คนที่จะสามารถพบเจอได้ง่ายๆ
เทียบกับเหล่าเทพสวรรค์แล้วทั้งหลายแล้วนักหลอมโอสถอาณาจักรเต๋าขั้นสุดนั้นมันหายากกว่ามาก
“ทำไมเราไม่มาหลอมโอสถแก่นโกลาหลพ้นทุกข์เล่า ท่านผู้อาวุโสเปียวหยูคิดว่าอย่างไร?” เย่หยวนถามขึ้น
“หืม? โอสถแก่นโกลาหลพ้นทุกข์นั้นเป็นโอสถขั้นสูงสำหรับเหล่าผู้บ่มเพาะกายระดับห้า การหลอมมันนั้นยากไม่น้อย เจ้าแน่ใจหรือว่าอยากแข่งขันโดยใช้มัน?” เทพสวรรค์เปียวหยูถามย้ำ
เย่หยวนจึงพยักหน้าตอบ “แน่ใจ”
การแบ่งแยกโอสถนั้นมีมากมายหลากหลายแม้จะเป็นโอสถความยากเก้าเช่นกันแต่แน่นอนว่าความยากในการหลอมแท้จริงแล้วมันไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันอย่างสิ้นเชิง
เหมือนกับโอสถย้อนฝันพิรุณชำระที่เย่หยวนเคยได้หลอมนั้นเองมันก็เป็นโอสถความยากเก้าที่แท้จริงแล้วยากเย็นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
และเจ้าโอสถแก่นโกลาหลพ้นทุกข์นี้มันก็นับเป็นหนึ่งในโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับห้าความยากเก้าที่ยากแก่การหลอมอย่างมาก
กับเย่หยวนแล้วการหลอมโอสถฟ้าตะวันจันทรา โอสถฟื้นหทัยหยกประณีตหรือเหล่าโอสถที่พบได้ทั่วๆ ไปทั้งหลายนั้นมันย่อมเหมาะสมกว่าที่จะนำมาเป็นโจทย์
เพราะแม้ว่าเย่หยวนจะมีความสามารถในการหลอมที่เหนือล้ำเพียงใดแต่ในเรื่องของประสบการณ์หลอมหรือความเข้าใจต่อสมุนไพรวิญญาณต่างๆ แล้วมีหรือที่เขาจะเทียบเคียงกับเทพสวรรค์เปียวหยูที่อยู่มานับล้านๆ ปีได้
การเลือกนี้ของเย่หยวนมันดูไม่ฉลาดเลย
เทพสวรรค์เปียวหยูพยักหน้ารับไปก่อนจะสะบัดแขนส่งหม้อหลอมโอสถออกมาด้านหน้า
“ในเมื่อมันเป็นการหลอมโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับห้าเทพสวรรค์ผู้นี้ก็ย่อมจะไม่เอาเปรียบเจ้า นี่คือหม้อหลอมที่เทพสวรรค์ผู้นี้ได้ใช้ตอนอยู่ในอาณาจักรนภาสวรรค์ มีนามว่าหม้อหลอมเจ้าเพลิงประณีต เป็นสิ่งของที่ไม่ได้ใช้มานับล้านๆ ปี หากวันนี้เจ้าชนะเทพสวรรค์ผู้นี้ได้ข้าจะมอบมันให้แก่เจ้า” เทพสวรรค์เปียวหยูบอก
เย่หยวนเบิกตามองดูหม้อหลอมเจ้าเพลิงประณีตตรงหน้า มันปล่อยคลื่นพลังลึกล้ำและยากเกินเข้าใจออกมารอบๆ แค่ดูก็รู้ได้ทันทีว่ามันเป็นสมบัติล้ำค่าในหมู่สมบัตินภาสวรรค์เลิศล้ำ
กับจอมเทพโอสถห้าดาวแล้วมันคงเป็นสมบัติที่พวกเขาเฝ้าฝันถึงแม้ตอนนอน
เว้นเสียแต่ว่าตอนนี้ทั้งซือหยู่และชิงหยุนที่เห็นเช่นนั้นต่างอดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าไม่พอใจอย่างมากออกมา
“ท่านอาจารย์ ศิษย์นั้นร้องขออยากได้มันมานับพันปีแต่ท่านก็ยังไม่ยอมมอบหม้อหลอมเจ้าเพลิงประณีตให้ศิษย์ วันนี้ท่านกลับคิดจะเอามันเป็นของขวัญให้คนนอกอย่างนั้นหรือ” ซือหยู่ร้องบอกอย่างโกรธเคือง
ดูท่าแล้วเด็กทั้งสองคนนี้คงถูกเทพสวรรค์เปียวหยูดูแลสั่งสอนมาอย่างตามใจ ถึงกล้าพูดกับอาจารย์เช่นนี้ได้
แต่แค่มองใบหน้านั้นทุกผู้คนต่างก็จะรู้ได้ทันทีว่าเจ้าหม้อหลอมเจ้าเพลิงประณีตนี้มันเป็นสมบัติล้ำค่าเพียงใด
เทพสวรรค์เปียวหยูยิ้มตอบ “ที่ข้าไม่มอบให้มันย่อมเพราะพวกเจ้าไม่มีค่าพอต่อหม้อหลอมนี้ แม้ว่ามันจะไม่มีประโยชน์ใดกับข้าแล้วแต่นี่มันก็ยังเป็นของที่เทพสวรรค์คนนี้ดูแลมานับล้านๆ ปี พลังวิญญาณที่เก็บอยู่ภายในนั้นมันเหนือล้ำกว่าสมบัตินภาสวรรค์เลิศล้ำใดๆ ไปมากใครก็ตามที่เอามันไปใช้หลอมโอสถย่อมจะหมายถึงเป็นตัวแทนแบกหน้าของเทพสวรรค์คนนี้ไปด้วย และพวกเจ้าทั้งสองมันก็ยังห่างไกลเกินกว่าจะแบกรับมันได้!”
ชิงหยุนร้องตอบกลับมา “ข้าไม่เชื่อหรอกว่ามันจะเทียบเคียงท่านอาจารย์ได้!”
เทพสวรรค์เปียวหยูยกมือขึ้นมาโบกไล่ “อย่าได้เสียมารยาทอีก รีบไปเตรียมสมุนไพรวิญญาณมา”
ศิษย์ทั้งสองเมื่อได้คำสั่งก็ไม่คิดจะขัดใดๆ เดินเข้าไปด้านในเพื่อเตรียมโอสถสำหรับหลอมโอสถแก่นโกลาหลพ้นทุกข์มาสองที่ทันที
เหล่าสมุนไพรวิญญาณทั้งหลายนี้เมื่อวางอยู่ภายนอกแล้วคงมีค่ามากเสียกองภูเขาทองคำ แต่ในเขาเมฆาฝันนี้มันย่อมไม่มีค่ามากมายใดๆ
เทพสวรรค์เปียวหยูยกฝ่ามือออกมาและราวกับว่ามันมีพลังเวทมนตร์เปลี่ยนเหล่าสมุนไพรทั้งหลายนั้นให้กลายเป็นก้อนแสงพุ่งลงในหม้อหลอมเจ้าเพลิงประณีตทันที
เย่หยวนได้แต่เบิกตากว้างมองภาพตรงหน้าเพราะเทพสวรรค์เปียวหยูนั้นกลับข้ามขั้นการหลอมกลั่นแก่นสมุนไพรไปอย่างง่ายดาย
ทักษะนี้มันเหนือล้ำอย่างมาก
ภาพนี้ทำให้เหล่าผู้อาวุโสขั้นยาฟ้าทั้งหลายได้แต่หรี่ตามองค้างอย่างไม่เชื่อสายตา
พวกเขาเองนั้นก็นับเป็นยอดนักหลอมโอสถคนหนึ่งกันทั้งสิ้น มีตำแหน่งที่สูงส่งในสายตาผู้คน
แต่วิชาตรงหน้านี้พวกเขาทั้งหลายกลับไม่เคยพบเห็นมันมาก่อนเลย
เทพสวรรค์เปียวหยูนั้นเป็นตัวตนที่แสนลึกลับพวกเขาทั้งหลายย่อมไม่เคยเห็นเทพสวรรค์เปียวหยูลงมือหลอมต่อหน้ามาก่อน
การที่ได้มาเห็นมันในวันนี้ล้วนแล้วแต่เป็นเพราะเย่หยวนทั้งสิ้นที่ทำให้พวกเขาได้มีโอกาสเปิดหูเปิดตา
เมื่อซือหยู่และชิงหยุนเห็นเช่นนั้นพวกเขาทั้งสองก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มเย้ยออกมา
“เห็นไหม? นี่น่ะแค่ส่วนน้อยๆ ในพลังฝีมือของท่านอาจารย์ เจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างเจ้ามันก็แค่ประเมินตัวเองสูงไปเท่านั้น!” ซือหยู่บอก
“ต่อให้เขาจะอยู่ในอาณาจักรเต๋าขั้นสุดแล้วแต่มันก็ยังไม่อาจเทียบเคียงกับท่านอาจารย์ได้! การหลอมโอสถนั้นไม่ได้วัดกันแค่ที่อาณาจักรเสียหน่อย!” ชิงหยุนเสริม
ทางฝั่งเทพสวรรค์เปียวหยูที่เห็นความตื่นในสายตาของเย่หยวนเองก็พูดขึ้นมา “เทพสวรรค์ผู้นี้ได้คลุกคลีอยู่กับวิชาหลอมโอสถมานานนับล้านๆ ปีและได้เข้าใจถึงส่วนผสมต่างๆ ของสมุนไพรวิญญาณอย่างดีราวกับมันเป็นแขนขาของตน หากแค่นี้ข้ายังทำไม่ได้ชื่อเสียงทั้งหลายของข้าก็คงไม่อยู่มาถึงวันนี้”
เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “ท่านผู้อาวุโสเปียวหยูเก่งกาจนัก ผู้เยาว์ได้เปิดหูเปิดตาแล้ว!”
พูดจบเย่หยวนก็ขยับมือออกมาอย่างรวดเร็วก้อนไฟสีขาวสว่างผุดขึ้นมาจากฝ่ามือและเปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นมังกรเพลิงเก้าตัว
ภายใต้การควบคุมของเย่หยวนเจ้ามังกรเพลิงทั้งเก้านั้นมันราวกับว่ามีชีวิตของตนพุ่งตัวลงใส่หม้อหลอมตรงหน้าเขาทันที
‘โฮ่ก!’
หม้อหลอมนั้นส่งเสียงออกมาราวกับเสียงคำรามของมังกรจนทั้งโถงต้องสั่นสะท้าน
หม้อหลอมโอสถนี้ของเย่หยวนเป็นของที่เขาได้มาจากโถงบัลลังก์ม่วงนามว่าหม้อหลอมมังกรจร
แม้ว่ามันเองก็จะเป็นสมบัตินภาสวรรค์เลิศล้ำแต่มันก็นับได้ว่ามีระดับต่ำกว่าหม้อหลอมเจ้าเพลิงประณีตมาก
เพราะฝั่งนั้นมันเป็นสมบัตินภาสวรรค์เลิศล้ำที่ได้รับการดูแลจากเทพสวรรค์มานับล้านๆ ปีแน่นอนว่ามันย่อมเหนือล้ำกว่าที่จะเอาสมบัตินภาสวรรค์เลิศล้ำใดๆ ไปเทียบเคียงได้
แต่ทว่าเจ้าหม้อหลอมมังกรจรเองก็สามารถเปล่งประกายได้ภายใต้การลงมือของเย่หยวน
ในเวลานั้นเองที่เย่หยวนขยับยื่นมือออกไปโยนสมุนไพรวิญญาณทั้งหลายลงหม้อหลอมมังกรจรไป
“ฮ่าๆ!”
ซือหยู่และชิงหยุนหันเราะลั่นขึ้นทันที
“นี่มันรู้วิธีหลอมโอสถหรือไม่? โยนสมุนไพรวิญญาณลงไปตรงๆ เช่นนั้นแล้วก็หลอมโอสถได้หรือ? ไอ้เด็กคนนี้มันไม่ได้มาเล่นตลกใช่หรือไม่?” ซือหยู่ร้องบอกพร้อมเสียงหัวเราะที่ไม่ขาดสาย
“ฮ่าๆ มันพยายามเลียนแบบมังกรสุดได้เป็นได้แค่สุนัข! มันนั้นคิดอยากเลียนแบบวิชาของท่านอาจารย์แต่สุดท้ายไม่ได้ประเมินฝีมือตัวเอง คนอย่างมันจะเรียนรู้ได้หรือ?” ชิงหยุนพูดเสริมขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะร่า
เหล่าผู้อาวุโสขั้นยาฟ้าทั้งหลายที่ได้เห็นเช่นนั้นต่างก็ได้แต่ส่ายหัวออกมาอย่างแรง
ดูท่าแล้วเย่หยวนจะคิดอวดดีลอกเลียนแบบวิชาของท่านเทพสวรรค์เปียวหยู
การควบคุมไฟนั้นมันสุดแสนจะยอดเยี่ยมแต่มีหรือที่เขาจะหลอมโอสถได้โดยไม่กลั่นแก่นออกจากสมุนไพรวิญญาณก่อน?
เพียงแค่ว่าคนทั้งหลายนั้นไม่ได้เห็นความตื่นตะลึงในสายตาของเทพสวรรค์เปียวหยูเลย
“ยอดเยี่ยม! ช่างยอดเยี่ยม! สหายหนุ่ม แค่นับกันในเรื่องนี้เจ้าก็นับได้ว่ายืนเคียงเทพสวรรค์คนนี้ได้แล้ว!” เปียวหยูบอกขึ้นมาด้วยท่าทางตื่นเต้น
คำพูดของเขานี้มันทำให้ทุกผู้คนตกตะลึง
ซือหยู่และชิงหยุนที่ยังหัวเราะอยู่ต้องอ้าปากค้างด้วยใบหน้าแข็งทื่อทันที
ดูอย่างไรเย่หยวนก็ทำพลาด เหตุใดมันถึงนับว่าเป็นการกระทำที่ยอดเยี่ยมได้?
การทำเช่นนั้นมัน… ยอดเยี่ยม?
เช่นนั้นทำไมพวกเขาถึงไม่เข้าใจ?
“อาจารย์ การทำเช่นนี้มันยอดเยี่ยมอย่างไร? แค่โยนสมุนไพรลงหม้อหลอมมั่วๆ มันจะกลั่นแก่นสมุนไพรออกมาได้หรือ?” ซือหยู่ถามอย่างมึนงง
เปียวหยูยิ้มตอบกลับมา “พวกเจ้าทำไม่ได้ แต่เขาทำได้! นี่คือวิชาที่เหนือล้ำคำว่ายอดเยี่ยม แต่พวกเจ้าทั้งหลายคงไม่อาจฝึกฝนมันได้!”
ตอนที่ 1939 มังกรคู่ทะยานฟ้า!
คำพูดนี้ของเทพสวรรค์เปียวหยูมันทำให้พวกซือหยู่ใจสั่นระรัว
การลงมือในครั้งนี้ของเย่หยวนดูอย่างไรมันก็เป็นแค่การกระทำมั่วๆ ไร้ทิศทางมีอะไรที่มันจะยอดเยี่ยมได้?
“วิชานี้มันอาจจะดูเหมือนความมั่วไร้แบบแผน แต่แท้จริงแล้วเบื้องหลังมันมีแผนการแยบยลอยู่ เขานั้นได้ทำให้หม้อหลอมทำการด้วยตัวเองจากวิชาการควบคุมไฟที่เหนือล้ำของเขาตราบเท่าที่มีสมุนไพรวิญญาณใดเข้าลงสู่หม้อหลอมแล้วพวกมันก็จะถูกไฟศักดิ์สิทธิ์และหม้อหลอมควบคุมทุบตีจนสุดท้ายเหลือเพียงแก่นของสมุนไพรเท่านั้น! แน่นอนว่าหากอยากทำให้ได้ถึงขั้นนี้คนผู้นั้นย่อมต้องคุ้นชินกับคุณสมบัติสรรพคุณของสมุนไพรวิญญาณอย่างมากพร้อมด้วยวิชาการควบคุมไฟที่เหนือล้ำจึงจะใช้หม้อหลอมได้เช่นนี้ แต่ความต้องการที่ว่ามานั้นมันช่างสูงส่งจนคนธรรมดาทั่วไปทั้งหลายย่อมเลียนแบบไม่ได้”
เทพสวรรค์เปียวหยูพูดออกมาด้วยความลื่นไหลและมั่นใจแต่ทุกผู้คนกลับตื่นตะลึงจนไม่อาจห้ามใจให้สั่นสะท้านได้
“หม้อหลอมกลั่นแก่นสมุนไพรวิญญาณเอง? นี่มันเป็นไปได้หรือ?” เฉินหยู่ร้องขึ้นด้วยท่าทางหวาดกลัว
เขาเองนั้นก็เป็นผู้อยู่ในอาณาจักรเต๋า เขาย่อมรู้ดีว่าการทำเช่นนั้นมันเป็นความยากในระดับไหน
เทพสวรรค์เปียวหยูพูดขึ้นต่อ “ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ทั้งสิ้น ที่เจ้าทำไม่ได้นั้นล้วนเป็นเพราะเจ้าฝีมือไม่ถึงขั้น วิชาการคุมไฟของเย่หยวนนี้มันสูงจนถึงจุดสุดยอด แม้แต่เทพสวรรค์ผู้นี้ก็ไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะเหนือเขาได้”
‘ซี้ด!’
เสียงสูดหายใจเข้าลึกดังก้องทั่วโถง
วิชาควบคุมไฟของเทพสวรรค์เปียวหยูนั้นเหนือล้ำเพียงใดพวกเขายังไม่อาจจะคาดเดาได้
แต่เขากลับกล่าวออกมาว่าวิชาควบคุมไฟของเย่หยวนนี้มันไม่ได้ด้อยไปกว่าตัวเขา
มันเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อแค่ไหนกัน?!
เพราะไม่ว่าอย่างไรเสียเทพสวรรค์เปียวหยูนี้ก็เป็นถึงยอดปรมาจารย์ที่อยู่มานับล้านๆ ปีจึงสามารถเข้าใจและเก่งกาจในวิชาควบคุมไฟได้เช่นนั้น
แต่เย่หยวนเล่า?
เขานั้นอายุแค่พันกว่าปีเพียงเท่านั้น!
ซือหยู่และชิงหยุนในตอนนี้ไม่กล้าจะเปิดปากพูดใดๆ อีกต่อไปด้วยใบหน้าสุดแสนเหยเก
คนทั้งสองนั้นมีอายุมากกว่าเย่หยวนไม่น้อยแต่ในเรื่องการควบคุมไฟแล้วพวกเขายังไม่อาจจะเลียรองเท้าเย่หยวนได้เสียด้วยซ้ำ
ต่อให้อาจารย์ของพวกเขาจะตามใจสักเท่าใดเขาก็ไม่เคยมอบคำชมที่ไม่มีมูลให้แก่พวกเขา
“หึๆ ท่านผู้อาวุโสเปียวหยูมองข้าเสียทะลุปรุโปร่งแล้ว” เย่หยวนบอก
เปียวหยูตอบกลับมา “ข้าและเจ้าย่อมรู้กันดี มีความจำเป็นใดต้องมาอ่านกันด้วย? ต่อไปนี้เทพสวรรค์ผู้นี้จะไม่ออมมืออย่างเด็ดขาด นี่คือวิชาที่เทพสวรรค์ผู้นี้สร้างขึ้นมาด้วยตัวเองนามเคล็ดวิวรณ์วิญญาณสวรรค์ เจ้าจงระวังให้ดี”
เย่หยวนยกมือขึ้นคารวะ “โปรดชี้แนะเคล็ดดาราสวรรค์บัญชาสารทิศด้วย!”
ได้ยินเช่นนั้นเทพสวรรค์เปียวหยูก็แสดงสีหน้าแปลกประหลาดออกมาก่อนจะคิดขึ้นในใจว่าชื่อเคล็ดดาราสวรรค์บัญชาสารทิศนี้มันเป็นความตั้งใจหรือไม่? คำว่าบัญชาสารทิศนี้มันมิใช่คำที่ใครๆ ก็สามารถใช้ได้!
แต่ไม่นานนักความคิดของเขาก็สงบลงและเริ่มเข้าสู่สภาวะสงบนิ่ง
คลื่นเต๋าที่ไม่อาจอธิบายเป็นคำพูดได้เริ่มปะทุขึ้นมาจนเต็มโถงสิ้น
และตอนนี้เส้นไหมเพลิงก็ค่อยๆ ไหลลงไปในหม้อหลอมเจ้าเพลิงประณีตราวสายน้ำ
มันเป็นความงดงามที่เงียบงัน
เย่หยวนหรี่ตาลงทันทีตอนนี้เขาได้รู้แล้วว่าอีกฝ่ายนั้นคือยอดฝีมืออย่างแท้จริง
ตั้งแต่เริ่มการหลอมโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับห้ามานั้นเย่หยวนยังไม่เคยพบเจอใครที่เก่งกาจเท่านี้มาก่อน
เย่หยวนเองก็ไม่คิดรอช้าเริ่มใช้เคล็ดดาราสวรรค์บัญชาสารทิศออกมาปล่อยพลังอันลึกล้ำขึ้นรอบกาย
คลื่นพลังทั้งสองนั้นเริ่มเข้าปะทะกันอย่างรุนแรง
การปะทะนี้มันทำให้สติของเย่หยวนแทบหลุดออกจากร่าง
ช่างเป็นพลังที่รุนแรง!
เย่หยวนรู้สึกราวกับว่าตรงหน้ามีภูเขาทั้งลูกร่วงลงมากดทับ เป็นความรุนแรงอย่างที่ไม่อาจหยุดยั้งได้
สำหรับการประลองก่อนๆ หน้านี้ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเก่งกาจเพียงใดไม่ว่าอีกฝ่ายจะโจมตีหนักหน่วงแค่ไหนมันก็ยังไม่เคยทำให้เย่หยวนสั่นคลอนได้แม้สักครั้ง
แต่ในครั้งนี้เย่หยวนกลับไม่อาจเข้าปะทะอีกฝ่ายได้ตรงๆ
และคลื่นพลังนี้มันก็มิใช่คลื่นพลังที่มาจากพลังของเทพสวรรค์แต่เป็นคลื่นพลังที่เกิดขึ้นจากการหลอมโอสถ
เพราะว่าขีดจำกัดของโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับห้าไม่ว่าจะมีพลังที่แข็งแกร่งแค่ไหนสุดท้ายมันก็จะไม่เกินไปกว่าระดับห้าอย่างแน่นอน
เพียงแค่ว่าพลังในวิชาโอสถนั้นมันจะปล่อยคลื่นพลังที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงออกมา
พลังที่รุนแรงนั้นมันอาจส่งผลกระทบถึงชีวิต เมฆหมอก สั่นสะท้านฟ้าดิน
ส่วนฝ่ายที่อ่อนแอก็จะได้แต่ก้มหน้าก้มตาเอาตัวรอดแทบไม่ไหว
แต่ตอนนี้คลื่นพลังจากการหลอมของเทพสวรรค์เปียวหยูและเย่หยวนกำลังเข้าปะทะกันอย่างรุนแรงจนเกิดเป็นเงาร่างของสองมังกรใหญ่พุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า
คลื่นพลังที่เกิดจากการหลอมนี้จะเรียกว่ามันสั่นสะท้านฟ้าดินก็คงไม่ผิดนัก
ครั้งนี้ทั้งซือหยู่ทั้งชิงหยุนต่างไม่กล้าที่จะพูดจาดูถูกเย่หยวนใดๆ อีก
เพราะแม้ว่าคลื่นพลังหลอมของเย่หยวนมันจะดูอ่อนแอกว่าเทพสวรรค์เปียวหยูแต่มันก็ยังเป็นพลังที่เหนือล้ำจนทำเอาผู้คนไม่กล้าอ้าปากพูด
เพราะความรุนแรงเช่นนี้พวกเขาย่อมไม่มีทางใดเลยที่จะปล่อยมันออกมาได้
ในตอนนี้พวกเขาได้เข้าใจแล้วว่าเหตุใดอาจารย์ของพวกเขาจึงได้คิดจะรับคำท้าของเด็กหนุ่มนภาสวรรค์ผู้นี้
เพราะเย่หยวนนั้นมีค่าพอ
ส่วนที่อีกด้านทางเหล่าผู้อาวุโสขั้นยาฟ้าทั้งหลายต่างก็ตื่นตกใจจนหน้าถอดสี
โดยเฉพาะพวกเฉินหยู่ทั้งสามคนที่เคยประลองกับเย่หยวนมาก่อน ที่ตอนนี้รู้สึกใจสั่นระรัว
“ที่แท้ตอนนั้นเย่หยวนยังไม่ได้เอาจริง! ตอนที่เขาประลองกับพวกเรานั้นเขาไม่ได้ใช้พลังฝีมือทั้งหมดออกมาเลย!” เฉินหยู่ร้องขึ้นด้วยหน้าซีดเผือด
เซินชางเองก็พยักหน้ารับ “อาณาจักรเต๋าขั้นสุด! นี่คือพลังของอาณาจักรเต๋าขั้นสุด! คนอย่างเราๆ ย่อมไม่มีทางจินตนาการได้!”
เซียวเจิ้นกล่าวขึ้นพร้อมถอนหายใจยาว “ไม่แปลกใจเลยที่เขาจะกล้าบ้าบิ่นขนาดนั้นคิดท้าทายท่านเปียวหยู! เพราะพวกเราเหล่าคนธรรมดาไม่อาจทำให้เขาสนใจได้เลย! เด็กคนนี้มันช่างมีพรสวรรค์ที่น่ากลัวขั้นถึงอาณาจักรเต๋าขั้นสุดได้ตั้งแต่อายุยังหนุ่มน้อยเพียงแค่นี้! หลังผ่านไปอีกหลายล้านปีบางทีมหาพิภพถงเทียนอาจจะได้ให้กำเนิดโอสถบรรพกาลคนใหม่ก็ได้”
ทุกผู้คนที่ได้ยินเช่นนั้นก็ตื่นตะลึงขึ้นมาในหัวใจ
ในเวลาหลายหมื่นล้านปีที่ผ่านมานี้มีโอสถบรรพกาลเกิดขึ้นมาเพียงแค่คนเดียว
แม้ว่าทางเผ่าอสูรเองก็จะได้กำเนิดมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลขึ้นมาแต่พลังฝีมือของมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลนั้นก็ยังอ่อนแอหากเทียบเคียงกับโอสถบรรพกาล
แต่เย่หยวนในอายุเท่านี้มันหมายถึงความเป็นไปได้ที่ไร้จำกัด
ใครจะกล้าบอกว่าเขาคนนี้ว่าวันข้างหน้าไม่อาจขึ้นไปถึงขั้นโอสถบรรพกาลได้?
ระหว่างที่พวกเขาทั้งหลายพูดคุยกันไปคลื่นพลังจากเทพสวรรค์เปียวหยูและเย่หยวนก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทำการหลอมกันไปได้จนถึงส่วนสำคัญ
‘โฮ่ก!’
เงามังกรม่วงเงาหนึ่งพุ่งทะยานขึ้นไปบนฟ้าผ่านตัวตึกที่อยู่และพุ่งไปยังเส้นขอบฟ้า
แต่ทางเย่หยวนเองก็ไม่ได้ยอมแพ้และเริ่มหลอมถึงจุดสำคัญบ้าง
‘โฮ่ก!’
เงาร่างมังกรอีกตัวหนึ่งพุ่งทะยานขึ้นฟ้าไปจนตามติดมังกรม่วงนั้นได้อย่างรวดเร็ว
เงามังกรทั้งสองนั้นเข้าปะทะกันที่เส้นขอบฟ้าด้วยพลังที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
นั่นทำให้สภาพของยอดเมืองหลวงจักรพรรดิทองวาวตอนนี้ท้องฟ้าเริ่มปกคลุมไปด้วยความมืดครึ้มขึ้น
ตอนนี้ท้องฟ้าที่แสนกว้างใหญ่ของเมืองนี้มันกำลังเกิดเงาของเมฆฝนเข้ามาบดบัง
เหล่านักยุทธ์ทั้งหลายในเมืองต่างตื่นตะลึงกับภาพของสองมังกรที่ปะทะกันอยู่ที่เส้นขอบฟ้า
“ปรากฏการณ์นี้มันมีที่มาจากเขาเมฆาฝัน ได้ยินว่าวันนี้ผู้อาวุโสคนใหม่ของศาลาโอสถสวรรค์จะขึ้นไปท้าประลองกับท่านเทพสวรรค์เปียวหยูนี่ หรือว่าปรากฏการณ์นี้มันจะเกิดเพราะการประลองหลอมโอสถ?”
“ได้ยินมาว่าไฟศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านเทพสวรรค์เปียวหยูใช้นั้นคือเพลิงเจ้ามังกรปีกม่วง เจ้ามังกรสีม่วงตัวนั้นย่อมจะเป็นเงาพลังของท่านเทพสวรรค์เปียวหยูแล้วใช่หรือไม่? ส่วนเจ้ามังกรอีกตัวนั้นเล่าจะเป็นของเย่หยวนหรือ?”
“บ้าไปแล้วจริงๆ! ผู้อาวุโสเย่หยวนนั้นเป็นแค่จอมเทพโอสถห้าดาวแต่กลับสามารถต่อสู้กับเทพสวรรค์เปียวหยู จอมเทพโอสถเจ็ดดาวผู้นั้นได้อย่างไม่ด้อยกว่าหรือ?”
…
ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นจากการประลองของเย่หยวนและเทพสวรรค์เปียวหยูนั้นมันสุดแสนจะยิ่งใหญ่จนตอนนี้ทำให้ผู้คนในเมืองต้องให้ความสนใจกันสิ้น
เพียงแค่ว่าในตอนนี้พวกเขาทั้งหลายไม่ได้ตื่นตกใจถึงพลังของเทพสวรรค์เปียวหยู แต่พวกเขากำลังตื่นตะลึงที่จอมเทพโอสถห้าดาวคนหนึ่งกลับสามารถปะทะกับจอมเทพโอสถเจ็ดดาวได้อย่างไม่ตกเป็นรอง!
จอมเทพโอสถห้าดาวนั้นกลับสามารถสร้างความโกลาหลได้ถึงขั้นนี้ พลังฝีมือของเย่หยวนคนนี้มันได้ล้ำกว่าที่ผู้คนทั้งหลายคิดไปไกลแล้ว
‘ปัง!’
ในตอนนั้นเองที่สองเงามังกรนั้นเข้าปะทะกันอย่างรุนแรงอีกครั้ง
พลังวิญญาณที่ถูกคลื่นปะทะของสองมังกรเข้าเริ่มเกิดความแปรปรวนอย่างหนัก
ในพริบตาเดียวนั้นสภาพฟ้าดินเปลี่ยนแปลงร่ำร้อง ลมหมุนฟ้าผ่าราวกับว่าวันสิ้นโลกกำลังมาถึงตรงหน้า
‘เปรี้ยะ เปรี้ยะ เปรี้ยะ’
คลื่นสายฟ้าอันรุนแรงผสานเข้ากับพลังกดดันที่แปรปรวนพุ่งลงยังเขาเมฆาฝันจนผ่าลงกลางโถง!
ตอนที่ 1940 ของขวัญจากผู้อาวุโส
‘ครึ้ม ครึ้ม!’
คลื่นพลังจากการหลอมนั้นผ่าลงมาเป็นสายฟ้าเข้ากลางโถง
นั้นทำให้สีหน้าของทั้งเทพสวรรค์เปียวหยูและเย่หยวนเปลี่ยนไปในทันทีตราในฝ่ามือของพวกเขาเริ่มขยับอย่างรวดเร็ว
สายฟ้าอันทรงพลังเหล่านั้นสุดท้ายแล้วมันกลับถูกเทพสวรรค์เปียวหยูและเย่หยวนชักนำไปหาหม้อหลอมแทน
พริบตาต่อมาสายฟ้าก็ลงปะทะเข้ากับหม้อหลอมเจ้าเพลิงประณีตและหม้อหลอมมังกรจรจนส่งคลื่นพลังน่าขนลุกออกมา
“พวกเขา…พวกเขากำลังแย่งทุกข์โอสถกัน!” เซินชางร้องออกมาอย่างตื่นตะลึง
ในฐานะนักหลอมโอสถด้วยกันแล้วพวกเขาย่อมรู้ดีว่าทุกข์โอสถนี้มันรุนแรงเพียงแค่ไหน
ตามหลักการแล้วเมื่อนักหลอมโอสถพบเจ้าเข้ากับทุกข์โอสถพวกเขาจะต้องค่อยๆ ตอบสนองกลับไปอย่างระวังและรอบคอบ
แต่คนทั้งสองนี้กลับดึงเอาทุกข์โอสถมาช่วยหลอมตัวโอสถเสียอย่างนั้น!
และหากแค่ใช้มันช่วยหลอมยังพอว่าแต่ตอนนี้พวกเขาทั้งสองคนกำลังพยายามแย่งทุกข์โอสถนั้นกันราวกับว่ากลัวว่าจะมีทุกข์โอสถไม่พอเสียอย่างนั้น!
คนทั้งสองนี้มันบ้าคลั่งเกินบรรยาย!
เหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายนั้นได้แต่มองดูภาพตรงหน้านี้อย่างตื่นตะลึงไม่อาจจะหาคำใดมาบรรยาย
เมื่อสายฟ้านั้นผ่าลงเข้าสู่หม้อหลอมไปแล้วทางหม้อหลอมก็ยิ่งปล่อยพลังออกมาอย่างหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ จนดูท่าใกล้จะเสียการควบคุมเต็มที
‘แครก!’
ตอนนี้หม้อหลอมมังกรจรของเย่หยวนเริ่มค่อยๆ แตกสลายออก
เซินชางหน้าถอดสีในทันทีที่เห็น “จบแล้ว! พลังจากทุกข์โอสถมันรุนแรงจนเกินไปหม้อหลอมโอสถของเย่หยวนไม่อาจจะรับมันไว้ได้แล้ว แค่พลาดอีกครั้งเดียวหม้อนี้คงระเบิดออกแน่!”
เมื่อซือหยู่และชิงหยุนเห็นเช่นนั้นพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะแสดงใบหน้าตื่นเต้นดีใจออกมาทันที
“ฮ่าๆ เจ้าเด็กคนนี้มันแพ้แล้ว! ไม่มีปัญญาแม้แต่จะควบคุมหม้อหลอมของตนจะมาหลอมโอสถใดได้?” ชิงหยุนหัวเราะขึ้น
แต่เหล่าผู้อาวุโสขั้นยาฟ้าทั้งหลายนั้นได้แต่มองอย่างเงียบงันเพราะพวกเขารู้ดีว่ารอยแตกบนหม้อหลอมของเย่หยวนนี้มันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความไร้ฝีมือใดๆ
แม้ว่าทางฝั่งเทพสวรรค์เปียวอยู่เองก็จะใช้เพียงแค่สมบัตินภาสวรรค์เลิศล้ำเช่นกันแต่ว่าสมบัตินภาสวรรค์เลิศล้ำนี้มันถูกดูแลอย่างดีมานับล้านๆ ปีแน่นอนว่าพลังของมันย่อมเหนือล้ำอย่างที่หม้อหลอมของเย่หยวนไม่อาจต้านทานได้
คลื่นที่คนทั้งสองปล่อยออกมานี้มันคือสุดยอดที่การหลอมโอสถศักดิ์สิทธิ์ห้าดาวจะปล่อยออกมาได้ แน่นอนว่าพลังของทุกข์โอสถที่เกิดขึ้นนั้นมันย่อมเหนือล้ำกว่าที่หม้อหลอมสมบัตินภาสวรรค์เลิศล้ำใดๆ จะรับได้
แม้ว่าหม้อหลอมมังกรจรนี้เองก็จะเป็นสมบัตินภาสวรรค์เลิศล้ำที่ไม่เลว แต่มันก็ยังไม่แข็งแรงพอที่จะต้านทานพลังนี้
แต่ทว่าเย่หยวนนั้นไม่ได้มีท่าทางคิดยอมแพ้แม้แต่น้อยและยังคงตั้งสมาธิควบคุมหม้อหลอมนั้นอย่างเต็มที่พยายามหลอมโอสถต่อไป
เมื่อมังกรทั้งสองด้านบนยังต่อสู้กันต่อไปทุกข์โอสถที่ร่วงลงมาเองก็ยังพุ่งใส่หม้อหลอมโอสถอย่างไม่หยุดยั้ง
หม้อหลอมมังกรจรนั้นยิ่งแตกออกอย่างไม่อาจห้ามได้จนแทบจะแหลกสลายลง
ชิงหยุนนั้นนั่งเฝ้ารอว่าหม้อหลอมนั้นจะระเบิดออกเมื่อใดแต่ไม่ว่าจะรอนานไปเท่าใดหม้อหลอมมังกรจรนี้มันก็ยังไม่แสดงทีท่าว่าจะระเบิดออกมาเลย
“นี่มัน…เกิดอะไรขึ้น? หม้อหลอมโอสถของมันนั้นน่าจะถึงขีดจำกัดมานานแสนนานแล้ว แต่ทำไมมันยังไม่ระเบิดออกอีก?” ชิงหยุนร้องขึ้น
หม้อหลอมมังกรจรนั้นเต็มไปด้วยลายแตกร้าวจนไม่ว่าจะมองอย่างไรมันก็ต้องแตกออกแน่นอน หากดูตามปกติแล้วมันควรจะระเบิดออกไปนานแสนนานแล้วแต่หม้อหลอมนี้มันกลับไม่ยอมที่จะระเบิดออก!
เซินชางบอก “หม้อหลอมโอสถของเขามันได้ถึงขีดจำกัดไปแสนนานแล้ว แต่เย่หยวนนั้นใช้พลังยอดเต๋าของตนเพื่อรักษาสภาพของหม้อหลอมเอาไว้! พลังในการควบคุมหม้อหลอมของเขานี้มันขึ้นไปถึงขั้นไร้เทียมทานแล้ว!”
ซือหยู่และชิงหยุนนั้นหันมองหน้ากันอย่างที่พูดอะไรไม่ออก
เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้พบเจอผู้ที่สามารถควบคุมหม้อหลอมได้แข็งแกร่งถึงปานนี้
เรื่องเช่นนี้มนุษย์สามารถทำมันได้จริงๆ หรือ?”
‘ปัง!’
‘ปัง!’
‘ปัง!’
บนท้องฟ้าสูงนั้นเจ้ามังกรม่วงและมังกรขาวยังคงปะทะกันอย่างดุเดือดคลื่นพลังใดๆ ที่ปล่อยออกมาก็ยิ่งรุนแรงขึ้น
‘ปัง!’
จู่ๆ หลังจากเข้าปะทะกันอย่างรุนแรงอีกครั้งหนึ่งมังกรทั้งสองนั้นก็ได้ร่วงแตกสลายลง!
สองเงาร่างนั้นได้เปลี่ยนกลายเป็นก้อนแสงพร้อมๆ กัน
และในเวลานั้นเองที่ทั้งเทพสวรรค์เปียวหยูและเย่หยวนก็รู้สึกถึงแรงสะท้านเปิดดวงตาทั้งสองขึ้นพร้อมๆ กัน
ตอนนี้พลังที่เดิมทีกำลังปะทะกันอย่างรุนแรงกลับได้ผสานเข้าด้วยกันอย่างลงตัว!
คลื่นพลังของเย่หยวนค่อยๆ กลายเป็นคลื่นพลังของเทพสวรรค์เปียวหยู ส่วนคลื่นพลังของเปียวหยูก็ได้ค่อยๆ ผสานเข้ากับเย่หยวน
ดูราวกับว่าโอสถทั้งสองเม็ดนี้มันกำลังจะรวมเข้าด้วยกัน!
เมื่อเหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายได้เห็นเช่นนั้นพวกเขาก็ได้แต่หันมามองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจว่ามันกำลังเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“พวกเขาไม่ได้กำลังประลองกันอยู่หรือ? เหตุใดสู้กันมาตั้งนานสองนานสุดท้ายกลับเงียบลงสงบศึกแล้วผสานพลังกันเช่นนี้?” เฉินหยู่พูดขึ้นด้วยใบหน้ามึนงง
“นี่มันเรื่องอะไรกัน?” เซินชางเองก็มีใบหน้าที่มึนงงสงสัยไม่ต่างกันนัก
คลื่นพลังทั้งสองนี้มันหลอมรวมเข้ากันอย่างลงตัวจนสุดท้ายแทบกลายเป็นทะเลผืนเดียวกัน
ไม่นานนักคลื่นพลังของทั้งสองก็ผสานกันจนเข้าที่เป็นหนึ่งเดียว!
จากนั้นก็เกิดลมอันรุนแรงพัดออกมาจนเหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายต้องตัวปลิวไป
ในเวลานั้นหม้อหลอมของคนทั้งสองนี้ได้ส่องแสงประกายออกมาอย่างรุนแรง
‘หลอม!’
ในตอนนั้นเองที่เทพสวรรค์เปียวหยูและเย่หยวนได้ร้องขึ้นมาพร้อมๆ กัน
คลื่นอันรุนแรงนั้นถูกกดรวมในพริบตาเข้าไปสู่ภายในหม้อหลอมโอสถทั้งสอง
การหลอมโอสถสำเร็จลงแล้ว!
“ฮ่าๆ! ยอดเยี่ยมจริง!” เทพสวรรค์เปียวหยูหัวเราะขึ้นมาด้วยท่าทางสุดแสนพึงพอใจ
เพราะนี่เป็นครั้งแรกในรอบไม่รู้กี่ปีต่อกี่ปีที่เทพสวรรค์เปียวหยูได้ประลองอย่างดุเดือดเช่นนี้
แม้จะเป็นเหล่ายอดคนในหมู่จอมเทพโอสถเจ็ดดาวเองก็มีเพียงแค่ไม่กี่คนที่จะประมือกับเทพสวรรค์เปียวหยูได้
เย่หยวนนั้นพยายามหาคู่ต่อสู้ที่ทัดเทียมตัวได้ แล้วเทพสวรรค์เปียวหยูจะไม่รู้สึกเช่นนั้นหรือ?
การต่อสู้นี้เขาได้แสดงพลังอย่างเต็มที่
‘แครก แครก แครก’
เมื่อโอสถถูกหลอมสำเร็จเจ้าหม้อหลอมมังกรจรก็ไม่อาจคงรูปร่างได้อีกต่อไป แหลกสลายลงกลายเป็นฝุ่นผงในทันที
แค่นี้มันก็ชัดเจนแล้วว่าทุกข์โอสถที่ทั้งสองคนใช้นั้นมันเปี่ยมพลังมากแค่ไหน ถึงขั้นสามารถทำลายสมบัตินภาสวรรค์เลิศล้ำให้กลายเป็นผุยผงได้
เย่หยวนนั้นขยับตัวอย่างรวดเร็วและรีบเก็บโอสถลงใส่ขวดที่เตรียมไว้ก่อนหน้า
จากนั้นเย่หยวนก็ยกมือขึ้นคารวะเทพสวรรค์เปียวหยูทันที “ยินดีด้วยผู้อาวุโสเปียวหยู!”
เทพสวรรค์เปียวหยูนั้นยิ้มออกมาด้วยท่าทางสุดแสนสบายใจ “ต้องขอบคุณเจ้าแท้ๆ! หากไม่มีเจ้าแล้วเฒ่าคนนี้ก็คงไม่อาจก้าวขึ้นมาถึงจุดนี้ได้!”
เย่หยวนยิ้มตอบ “ผู้อาวุโสเปียวหยูท่านนั้นอยู่ในจุดนั้นก่อนแล้ว ท่านเพียงแค่ขาดคนที่จะประลองฝีมือด้วย ตอนนี้มันก็แค่ผลไม้ที่สุกร่วงจากต้น ต้องยินดีด้วยจริงๆ!”
เทพสวรรค์เปียวหยูยื่นมือออกมาเก็บโอสถลงไปจากนั้นก็ดันหม้อหลอมเจ้าเพลิงประณีตให้แก่เย่หยวนไป
“นี่คือหม้อหลอมเจ้าเพลิงประณีตที่ติดตามข้ามานับล้านปี ได้มาเจอเจ้าวันนี้ข้ามั่นใจเลยว่าเจ้าจะไม่ทำให้มันเสียค่าแน่! ข้ามอบมันให้เจ้า” เทพสวรรค์เปียวหยูยิ้มกว้าง
เย่หยวนเองก็ไม่คิดเกรงใจใดๆ เก็บหม้อหลอมเจ้าเพลิงประณีตลงไปพร้อมยกมือคารวะ “ขอบคุณท่านผู้อาวุโสเปียวหยู”
ด้วยการประลองนี้เย่หยวนย่อมได้รู้ถึงคุณสมบัติของหม้อหลอมเจ้าเพลิงประณีตอย่างชัดแจ้ง
ภายใต้พลังทุกข์โอสถนั้นหม้อหลอมเจ้าเพลิงประณีตนี้กลับไม่เกิดแม้แต่รอยขีดข่วน แค่นั้นมันก็มากพอจะตัดสินแล้ว
ไกลออกไปทุกผู้คนที่ได้ยินการสนทนานั้นต่างไม่อาจจะหุบปากที่อ้าค้างของตนลงได้
เพราะสิ่งที่เย่หยวนแสดงความยินดีนั้นพวกเขาทั้งหลายย่อมเข้าใจ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งซือหยู่และชิงหยุนที่ตอนนี้กำลังทำหน้าตาตื่นอย่างดีใจแทบจะลุกขึ้นกระโดดเต้น
“อาจารย์ ท่าน…ท่านบรรลุแล้ว?” ซือหยู่ถาม
เทพสวรรค์เปียวหยูยกมือขึ้นลูบหนวดยาวนั้นด้วยรอยยิ้ม “ใช่! จากวันนี้ไปอาจารย์เจ้าคงต้องเข้าเก็บตัว พวกเจ้าทั้งหลายอย่าได้มารบกวนข้า ตั้งแต่วันนี้ไปเย่หยวนนั้นจะเป็นผู้อาวุโสใหญ่แห่งศาลาโอสถสวรรค์ พวกเจ้าทั้งหลายจงเคารพผู้ใหญ่ เข้าใจหรือไม่?”
ทุกคนต่างกล่าวรับขึ้นมาพร้อมก้มหัวรับ “พวกเราขอน้อมรับคำสั่งท่านเปียวหยู!”
พูดจบเทพสวรรค์เปียวหยูก็เดินหายไปจากโถงทันที
เหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายได้แต่หันมามองหน้ากันอย่างไม่อาจเข้าใจ ราวกับว่าตัวเองยังคงไม่ได้รับคำตอบที่สำคัญที่สุด
สรุปแล้วศึกนี้ใครชนะกัน?
ตอนที่ 1941 โอสถศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะว...
เคารพผู้ใหญ่!
คำพูดเหล่านี้ไม่ได้กล่าวขึ้นเพื่อบอกแค่ซือหยู่และชิงหยุน แต่มันยังเป็นคำที่พูดให้เหล่าผู้อาวุโสศาลาโอสถสวรรค์ทั้งหลายฟังด้วย
พวกเขาทั้งหลายเหล่านี้คือยอดจอมเทพโอสถหกดาวขั้นสุดที่มีชื่อเสียงสนั่นแผ่นดิน แต่กลับถูกบอกให้มาเคารพจอมเทพโอสถห้าดาวอย่างนั้นหรือ?
หากเป็นก่อนหน้าพวกเขาทั้งหลายย่อมไม่คิดจะยอมรับแม้ต้องตายตกลง
แต่ตอนนี้เมื่อได้เห็นพลังฝีมือของเย่หยวนอย่างชัดแจ้งแล้วพวกเขาย่อมไม่มีทางกล้าที่จะบ่นใดๆ ออกมาได้
เพราะเย่หยวนคนนี้สามารถประลองกับเทพสวรรค์เปียวหยูได้อย่างสูสีทั้งในด้านฝีมือและกำลัง
ที่สำคัญหลังจากเทพสวรรค์เปียวหยูประลองกับเย่หยวนแล้วเขายังได้บรรลุในเต๋าอีกด้วย!
อาณาจักรบรรพกาล!
สำหรับนักหลอมโอสถทั้งหลายแล้วอาณาจักรบรรพกาลนั้นคือเป้าหมายสุดท้ายของชีวิต
ตราบเท่าที่คนผู้นั้นเดินทางมาในเส้นทางนักหลอมโอสถพวกเขาย่อมก็ต้องเฝ้าฝันถึงอาณาจักรบรรพกาลบ้างไม่มากก็น้อย!
แล้วอาณาจักรบรรพกาลนี้มันเป็นสิ่งที่ยากเย็นเกินเอื้อมเพียงใด?
หากให้เทียบแล้วมันคงยากกว่าการบ่มเพาะให้ขึ้นถึงอาณาจักรจักรพรรดิเทพสวรรค์เสียด้วยซ้ำ!
ในมหาพิภพถงเทียนนี้มันมีจักรพรรดิเทพสวรรค์อยู่ไม่น้อย แต่มันจะมียอดฝีมืออาณาจักรบรรพกาลอยู่สักกี่คน?
เทพสวรรค์เปียวหยูที่ก้าวเดินมาจนถึงจุดนี้มันราวกับว่าตัวเขานั้นได้ก้าวย่างเท้าขึ้นไปเหยียบสวรรค์!
เช่นนั้นแล้วเย่หยวนคนที่ช่วยผลักดันให้เทพสวรรค์เปียวหยูขึ้นถึงจุดนี้ได้ ตัวเขาเองจะต้องเก่งกาจเหนือล้ำเพียงใด?
การบ่มเพาะของเย่หยวนในตอนนี้ยังนับได้ว่าต่ำต้อย แต่มันย่อมไม่มีใครจะสงสัยในอนาคตวันข้างหน้าของเขาอย่างแน่นอน!
“ท่านเย่หยวน!” เหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายต่างก้มหัวลงต่อเย่หยวนในทันที
เย่หยวนพยักหน้ารับและกล่าวขึ้น “พวกท่านทั้งหลายล้วนเป็นผู้อาวุโส ไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นก็ได้”
เย่หยวนนั้นยังแสดงท่าทีอ่อนน้อมออกมาแต่มีหรือที่พวกเขาจะกล้าทำตามที่เย่หยวนว่า?
ในวันหน้าเทพสวรรค์เปียวหยูจะไม่มาถกถอนผมพวกเขาจนหมดหัวหรือ?
แต่เซินชางนั้นไม่อาจจะทนความสงสัยที่มีในใจได้อีกต่อไปจึงถามขึ้น “นายท่าน ข้าเพียงแค่สงสัยว่าการประลองนี้ใครกันแน่ที่ชนะใครกันแน่ที่แพ้?”
เย่หยวนย่อมรู้ดีว่าผู้คนทั้งหลายนั้นสงสัยจึงยิ้มตอบกลับไป “ข้าแพ้!”
ได้ยินเช่นนั้นทุกผู้คนก็รู้สึกโล่งขึ้นอย่างบอกไม่ถูก
เทพสวรรค์เปียวหยูนั้นมอบหม้อหลอมเจ้าเพลิงประณีตออกมาทำให้พวกเขาทั้งหลายนั้นคิดไปว่าการประลองครั้งนี้เทพสวรรค์เปียวหยูจะแพ้
แต่แม้ว่าเย่หยวนจะเป็นฝ่ายแพ้มันก็ไม่มีใครกล้าพูดจาดูถูกเขาอีกต่อไปแล้ว
เมื่อได้เห็นเซินชางที่ยังมีใบหน้าติดใจสงสัยไม่หายเย่หยวนจึงได้โยนขวดโอสถนั้นออกไปให้ด้วยรอยยิ้ม “วันนี้ผู้อาวุโสเปียวหยูและข้าประลองหลอมโอสถกัน มีแค่พวกท่านทั้งหลายที่รู้ถึงผลของมัน หากมีเรื่องใดแพร่งพรายออกไปข้านั้นย่อมจะไม่ถือโทษพวกท่าน แต่ในวันหน้าผู้อาวุโสเปียวหยูท่านออกมาจากการเก็บตัวเมื่อใดท่านคงต้องมาจัดการลงโทษพวกท่านทั้งหลายแล้ว”
เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนั้นพวกเขาทั้งหลายก็แทบลืมหายใจ
เพราะแม้ว่านี่จะเป็นชัยชนะของเทพสวรรค์เปียวหยูแต่เย่หยวนเองก็เก่งกาจประลองได้อย่างสูสีมาก
หากเรื่องราวเช่นนั้นถูกเผยออกไปในโลกภายนอกแล้วมันคงสร้างความเสียหายให้แก่ชื่อของเทพสวรรค์เปียวหยู
เซินชางรับขวดใบน้อยนั้นมาและปล่อยจิตของตนลงไปด้านในก่อนจะตัวแข็งทื่อไปทันที
คนทั้งหลายที่ได้เห็นก็รู้สึกสงสัยจนแทบห้ามใจไม่ได้ “พี่เซิน เป็นอย่างไรบ้าง พูดอะไรออกมาหน่อยสิ!”
เซินชางนั้นสะดุ้งตัวขึ้นทันทีก่อนจะมอบขวดใบน้อยไปต่อให้เฉินหยู่ “เจ้าดูเองเถอะ”
เฉินหยู่เองก็มึนงงไม่แพ้คนอื่นๆ แต่ก็ยังรับขวดนั้นมาและส่งจิตลงไปดูก่อนจะแข็งทื่อไปไม่ต่างกัน
ทุกคนมึนงงกับสภาพของคนทั้งสองนี้มากแต่พวกเขาก็รู้ดีว่าโอสถแก่นโกลาหลพันทุกข์นี้มันต้องไม่ใช่โอสถธรรมดาแน่ๆ
เมื่อยื่นมอบมันไป ทุกผู้คนต่างตัวแข็งทื่อเมื่อได้รับมัน
พร้อมด้วยสีหน้าที่แสดงถึงความตื่นตะลึงอย่างที่สุด
เมื่อซือหยู่และชิงหยุนเห็นเช่นนั้นพวกเขาก็แทบจะอยากกระโดดเข้าไปแย่งคว้าขวดใบน้อยนั้นมาดูกับตา
เจ้าโอสถนี่มันมีพลังเวทมนตร์ใดหรือจึงสามารถทำให้เหล่าผู้อาวุโสแห่งศาลาโอสถสวรรค์ทั้งหลายแสดงสีหน้าราวกับเห็นผีออกมาเห็นนั้นได้?
หลังจากโอสถเลื่อนมาถึงพวกเขาทั้งสองบ้างสีหน้าของพวกเขาเองก็ไม่ได้แตกต่างไปจากคนทั้งหลายเลย
“โอสถศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะวิญญาณมรณา! ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าเฒ่าคนนี้จะได้เห็นโอสถศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะวิญญาณมรณาในชีวิตนี้! คุ้มค่าที่เกิดมาจริงๆ!” จู่ๆ ทางเซินชางก็ถอนหายใจยาว
เหล่าผู้อาวุโสคนอื่นๆ เองก็พยักหน้าออกมาด้วยความรู้สึกเช่นเดียวกับเซินชาง
เขานั้นพูดถูก เพราะโอสถแก่นโกลาหลพันทุกข์ที่เย่หยวนหลอมขึ้นมานี้มันคือโอสถแก่นโกลาหลพันทุกข์ขั้นเทวะวิญญาณมรณาที่หาได้ยากยิ่ง!
ในแต่ละขึ้นของเทวะขึ้นไปนั้นทั้งเทวะม่วง เทวะโมฆะ เทวะวิญญาณไพศาล เทวะวิญญาณมรณาและเทวะตำนานนั้นแต่ละขั้นต่างยากเย็นกว่าขั้นก่อนอย่างมหาศาล
โอสถศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะวิญญาณไพศาลนั้นหากคิดอยากหาจริงๆ ก็ยังพอที่จะมีโอสถพบเห็นได้บ้าง
แต่โอสถศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะวิญญาณมรณานั้นจะเรียกมันว่าเป็นของที่แทบสูญสิ้นไปจากมหาพิภพถงเทียนแล้วก็ว่าได้!
บางทีแล้วโอสถบรรพกาลผู้นั้นอาจจะยังพอหลอมโอสถศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะวิญญาณมรณาได้บ้าง
ส่วนโอสถศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะตำนานนั้นสำหรับพวกเซินชางแล้วมันมิใช่สิ่งที่จะกล้าคิดถึงได้เลย
เฉินหยู่มองดูเย่หยวนด้วยความมึนงง “นายท่าน ท่านนั้นหลอมโอสถศักดิ์สิทธิ์ได้ถึงขั้นเทวะวิญญาณมรณาแล้วเหตุใด…เหตุใดยังแพ้อีกเล่า?”
การหลอมโอสถศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะวิญญาณมรณานั้นมันยากเย็นเพียงใด?
สำหรับนักหลอมโอสถแล้วมันเป็นเรื่องที่ยากเสียยิ่งกว่าการบรรลุขึ้นอาณาจักรจักรพรรดิเทพสวรรค์!
เย่หยวนนั้นหลอมโอสถได้ถึงขึ้นเทวะวิญญาณมรณา แค่นี้มันก็มากพอจะเหนือล้ำกว่าผู้คนทั้งโลกแล้วเหตุใดยังแพ้ได้อีก?
เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “เพราะว่าท่านผู้อาวุโสเปียวหยูเองก็สามารถหลอมโอสถศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะวิญญาณมรณาออกมาได้เช่นกัน น่าเสียดายที่ท่านนั้นมีความเข้าใจที่ลึกซึ้งในด้านโอสถมากกว่าข้า ทำให้… คุณภาพโอสถของท่านเหนือกว่าข้าไปนิดหน่อย”
พูดมาถึงตรงนี้เย่หยวนก็แสดงสีหน้าท่าทางเสียดายออกมา
เพราะในการประลองนี้เย่หยวนเองได้ก็รับความรู้ประโยชน์ไปมหาศาลเช่นกัน
อาณาจักรบรรพกาลที่ดูเลื่อนลอยนั้นมันเริ่มดูแจ่มชัดขึ้นมาในสายตาของเย่หยวนแล้ว
แต่น่าเสียดายที่เขานั้นเพิ่งขึ้นมาถึงอาณาจักรเต๋าขั้นสุดนี้ได้ไม่นานนักทำให้ความเข้าใจที่เขาได้นั้นไม่อาจเทียบเคียงกับเทพสวรรค์เปียวหยูที่อยู่หน้าประตูอาณาจักรบรรพกาลได้
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นเขาก็ยังหลอมโอสถออกมาได้แย่กว่าเพียงน้อยนิด พ่ายแพ้เทพสวรรค์เปียวหยูไปแค่เส้นผม
เหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายต่างหันมองหน้ากันด้วยความตื่นตกใจ
พวกเขานั้นย่อมรู้ดีว่าแม้การประลองครั้งนี้มันจะดูเท่าเทียมแต่สุดท้ายแล้วมันก็ยังมีฝ่ายที่ได้เปรียบและฝ่ายที่เสียเปรียบ
หม้อหลอมเจ้าเพลิงประณีตนั้นไม่ว่าจะดูอย่างไรมันก็มีคุณภาพดีกว่าหม้อหลอมมังกรจร
ในตอนท้ายนั้นทางหม้อหลอมมังกรจรได้แตกทลายออกและเป็นเย่หยวนที่ต้องใช้พลังในการควบคุมทั้งหมดเพื่อคงสภาพของหม้อนั้นไว้
การทำเช่นนั้นมันย่อมเหนือยากไม่น้อย
เมื่อทำการหลอมโอสถแม้ความแตกต่างเพียงนิดมันก็สร้างผลลัพธ์ที่สุดขั้วออกมาได้ แน่นอนว่าเรื่องเช่นนี้เองมันก็ย่อมจะส่งผลถึงคุณภาพของโอสถในที่สุด
นอกจากนั้นแล้วเทพสวรรค์เปียวหยูนั้นยังเป็นเทพสวรรค์ ไม่ว่าจะเป็นด้านปราณเทวะ พลังจิตศักดิ์สิทธิ์หรือแม้แต่ประสบการณ์ในการหลอมโอสถมามันย่อมเหนือล้ำกว่าเย่หยวนอย่างมาก
ภายใต้ความเสียเปรียบนี้เย่หยวนก็ยังสามารถตีตื้นขึ้นมาและแพ้ไปเพียงแค่เส้นผม
หากจะบอกว่าแท้จริงเย่หยวนเป็นฝ่ายชนะก็คงไม่ผิด!
แน่นอนว่าเย่หยวนย่อมจะไม่คิดหาข้าอ้างใดๆ ให้ตัวเอง แพ้ก็คือแพ้ เขาย่อมยอมรับความผิดพลาดได้เสมอ
เพราะผลประโยชน์ความเข้าใจที่เขาได้รับจากการประลองครั้งนี้มันเหนือล้ำกว่าจะมาสนใจผลแพ้ชนะหาข้ออ้างใดๆ
“นายท่าน หมายความว่า… วันหน้าท่านจะสามารถหลอมโอสถได้ถึงขั้นเทวะวิญญาณมรณาหรือ?” เซินชางอดถามขึ้นไม่ได้
เย่หยวนส่ายหัวออกมาเมื่อได้ยิน “จะเป็นไปได้อย่างไร? ตอนที่การประลองนี้เริ่มถึงจุดสิ้นสุดวิชาการหลอมโอสถของผู้อาวุโสเปียวหยูและข้านั้นได้รวมเป็นหนึ่ง จนกลายเป็นแค่ร่างเดียว ทางท่านผู้อาวุโสท่านได้เพิ่มผสานพลังให้โอสถของข้าด้วยวิชาของท่าน ส่วนข้าเองก็ได้ช่วยเพิ่มผสานพลังให้โอสถของท่าน มันจึงได้ผลลัพธ์เช่นนี้ออกมา หากให้ข้าไปหลอมเองอีกครั้งมันก็คงไม่มีทางขึ้นมาถึงขั้นเทวะวิญญาณมรณาได้แน่”
เป็นเวลานั้นเองที่ทุกผู้คนได้เข้าใจ
แท้จริงแล้วในวินาทีสุดท้ายนั้นคนทั้งสองได้เปลี่ยนจากศัตรูเป็นสหายเข้าช่วยซึ่งกันและกันจนทำให้เกิดปาฏิหาริย์หลอมโอสถศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะวิญญาณมรณาเช่นนี้ขึ้นมาได้
…
เวลาหนึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็วจนในที่สุดเย่หยวนก็ได้ออกมาจากการเก็บตัว
ในเวลาหนึ่งเดือนนี้เย่หยวนได้ย้อนกลับไปนึกถึงการประลองนั้นครั้งแล้วครั้งเล่าจนได้ความรู้ความเข้าใจเพิ่มขึ้นอย่างมากมายมหาศาล
และเรื่องของการประลองนั้นเองมันก็ได้กลายเป็นหัวข้อที่ผู้คนในเมืองต่างหยิบขึ้นมาคุยกันอยู่ตลอดเวลา
แต่แน่นอนว่าผู้คนส่วนใหญ่นั้นย่อมเชื่อว่าท้ายสุดแล้วเขาก็เป็นฝ่ายแพ้แพ้เทพสวรรค์เปียวหยู
แม้ว่าพลังฝีมือที่เย่หยวนแสดงออกมามันจะเหนือล้ำแต่ต่อหน้าเทพสวรรค์เปียวหยู จอมเทพโอสถเจ็ดดาวคนนั้นแล้วมันย่อมยังไม่ถึงขั้น
ในเรื่องนี้เย่หยวนย่อมไม่ได้คิดจะไปสนใจใดๆ
เพราะตอนนี้เป้าหมายที่เขาเดินทางมายังยอดเมืองหลวงจักรพรรดิทองวาวมันก็ได้สิ้นสุดลงแล้วและแน่นอนว่าเย่หยวนย่อมคิดจะเดินทางกลับเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ทันที
“นายท่าน ด้วยพรสวรรค์ของท่านแล้วการไปอยู่เมืองจักรพรรดิมันจะเสียเวลาเปล่าเกินไป! ทำไมท่านไม่อยู่ที่ศาลาโอสถสวรรค์ต่อไปเล่า?” เซินชางถามขึ้น
ตอนที่ 1942 ไป๋เฉินบรรลุ!
“หึๆ พี่เซินรู้หรือไม่ว่าทำไมผู้อาวุโสเปียวหยูท่านถึงไม่ได้ว่ากล่าวให้ข้าอยู่ต่อเลย?” เย่หยวนถามเซินชางด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย
นั่นทำให้เซินชางแสดงใบหน้ามึนงงออกมาในทันที “นั่นสิ ผู้มากพรสวรรค์ดั่งหยกงามเช่นเจ้า ท่านเปียวหยูไม่น่าจะปล่อยให้หลุดมือง่ายๆ เหตุใด…”
“เพราะเขารู้ดีว่าข้าจะไม่อยู่ เขาจึงไม่คิดจะเปิดปากพูดให้เสียแรง” เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป
เซินชางสะดุ้งตัวขึ้นทันทีที่ได้ยิน ตอนนี้เขารู้แล้วว่าตัวเขานั้นกำลังยุ่งไม่เข้าเรื่องอยู่
คนอย่างเทพสวรรค์เปียวหยูนั้นฉลาดหลักแหลมเพียงใด? แน่นอนว่าเขาย่อมรู้ดีว่าการให้เย่หยวนอยู่ต่อนั้นมันเป็นผลประโยชน์ที่มากมายกับที่แห่งนี้มากเพียงใด
แต่เขานั้นไม่ได้เปิดปากยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดจนสุดท้ายก็เข้าเก็บตัวไป
ดูแล้วเทพสวรรค์เปียวหยูคงมองออกถึงความตั้งใจที่แน่วแน่ของเย่หยวนจึงไม่ได้คิดจะเสียแรงไปกับการพูดจาใดๆ ที่เปล่าประโยชน์
การเปิดปากพูดเรื่องนี้สุดท้ายมันจะมีแต่ถูกปฏิเสธ แล้วจะยังเสียแรงพูดไปเพื่ออะไร?
“พี่เซิน วางใจเถอะ ต่อให้ตัวข้าไม่อยู่ข้าก็ยังเป็นผู้อาวุโสของศาลาโอสถสวรรค์ ความสัมพันธ์ของข้ากับหอมหาสมบัติเองมันก็ไม่มีทางตัดขาดได้ง่ายๆ” เย่หยวนบอกด้วยรอยยิ้ม
…
เมื่อกลับมาถึงเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์เย่หยวนก็เข้าสู่การเก็บตัวในทันที
เขานั้นนำพาสมุนไพรวิญญาณมากมายกลับมาจากยอดเมืองหลวงจักรพรรดิทองวาวและได้เริ่มเข้าสู่การค้นคว้าหาทางสร้างสูตรโอสถครองวิญญาณผสานเต๋าให้แล้วเสร็จ
ประสบการณ์ที่เขาได้มาจากการประลองกับเทพสวรรค์เปียวหยูนั้นมันทำให้เย่หยวนได้เข้าใจสิ่งที่มหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลทิ้งไว้ให้ได้มากขึ้นกว่าเก่าและยังเข้าใจถึงวิธีการหลอมโอสถได้ดีขึ้นด้วย
แม้ว่าตอนนี้เขาจะยังไม่อาจขึ้นอาณาจักรบรรพกาลได้แต่วิชาการหลอมโอสถของเขามันก็แข็งแกร่งมากขึ้นกว่าก่อนหน้าอย่างมาก
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นการคิดอยากสร้างสูตรของโอสถครองวิญญาณผสานเต๋าให้สำเร็จมันก็ยังมิใช่เรื่องง่ายดาย
เย่หยวนนั้นใช้เวลาอย่างมากไปกับการอยู่ในศิลาจารึกบัลลังก์พิภพเพื่ออนุมานทดลองทำสูตรอย่างไม่หยุดยั้ง
ในวันนี้จู่ๆ ก็เกิดคลื่นลมแรงมหาศาลพัดขึ้นมาจากทางหอยุทธ์พร้อมด้วยพลังวิญญาณอันมหาศาลที่ถูกดึงและไหลไปในทิศทางนั้น
นั้นทำให้ทั้งเมืองต้องสั่นสะท้าน!
“คลื่นพลังที่รุนแรงเช่นนี้เหมือนว่ามันจะมีใครกำลังบรรลุอยู่!”
“ไม่มีทางมั้ง? คนผู้นี้ต้องบรรลุในระดับใดจึงจะสามารถสร้างความโกลาหลได้รุนแรงปานนี้? ต่อให้เป็นการบรรลุขึ้นอาณาจักรนภาสวรรค์เก้าดาวมันก็คงไม่มีทางสร้างคลื่นพลังที่รุนแรงเช่นนี้ได้ใช่หรือไม่?”
“ต่อให้เป็นอาณาจักรนภาสวรรค์เก้าดาวก็ไม่มีทางทำได้ขนาดนี้ หรือว่า…จะเป็นอาณาจักรเทพถ่องแท้?”
…
ที่ด้านล่างหอยุทธ์ในตอนนี้ต่างมีผู้คนมามุงดูและคาดเดากันไปต่างๆ นานา
ทุกผู้คนต่างทราบกันดีว่าตอนนี้ในเมืองนั้นมันมีนภาสวรรค์เก้าดาวขั้นสุดอยู่เพียงแค่ผู้เดียว
เพราะต่อให้เย่หยวนก็ยังเป็นแค่นภาสวรรค์แปดดาวในตอนนี้ ในเวลาการเก็บตัวแค่ไม่กี่วันเขาคงไม่มีทางบรรลุขึ้นอาณาจักรเทพถ่องแท้ได้
แต่พอคิดไปคิดมาแล้วพวกเขาทั้งหลายก็ไม่ได้คิดว่ามันจะเป็นไปไม่ได้เสียทีเดียว
เพราะไม่ว่าอย่างไรเสียนี่ก็คือเย่หยวน อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้เมื่อเป็นเขา
ยิ่งคลื่นพลังนั้นรุนแรงมากขึ้นเท่าใดเหล่าคนทั้งหลายก็ยิ่งเชื่อว่านี่คือการบรรลุของเทพถ่องแท้อย่างไม่ผิดแน่
เพราะไม่ว่าอย่างไรเสียเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นั้นก็ไม่เคยมีเทพถ่องแท้เกิดขึ้นมาก่อน
ไป๋ตงนั้นไม่ค่อยแสดงตัวออกมาต่อหน้าผู้คนมากมายนักทำให้คนทั้งหลายในเมืองนั้นยังไม่รับรู้ว่าแท้จริงแล้วเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นั้นมีเทพถ่องแท้สี่ดาวคอยดูแลอยู่
ตอนนี้เมื่อจะมีเทพถ่องแท้คนแรกปรากฏตัวขึ้นแน่นอนว่ามันย่อมกลายเป็นเรื่องใหญ่แสนโกลาหล
จากวันนี้ไปเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นั้นก็จะได้มีเทพถ่องแท้คอยอยู่ปกป้องดูแลแล้ว
จนในที่สุดคลื่นลมอันรุนแรงทั้งหลายก็ได้พัดผ่านก่อนจะเผยให้เห็นเงาร่างหนึ่งเดินออกมาจากหอยุทธ์
“เป็นเขา! เป็นเขาผู้นั้นจริงๆ นี่มัน… เป็นไปได้อย่างไร?”
“นั่นมันศิษย์ของท่านเย่หยวน ไป๋เฉินมิใช่หรือ? ได้ยินว่าเขานั้นหลอมซับผลวิญญาณเต๋านภาสวรรค์ไปมิใช่หรือ เหตุใดจึงยังสามารถบรรลุขึ้นอาณาจักรเทพถ่องแท้ได้กัน?”
“หรือว่าเรื่องทั้งหลายจะเป็นแค่ข่าวลือ? มีหรือที่ผู้หลอมซับผลวิญญาณเต๋านภาสวรรค์จะสามารถบรรลุใดๆ ได้อีก?”
…
หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง เรื่องราวที่ว่าไป๋เฉินนั้นหลอมซับผลวิญญาณเต๋านภาสวรรค์ไปนั้นมันย่อมมิใช่ความลับใดๆ ในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นี้
เพราะไม่ว่าอย่างไรเสียเหล่าผู้คนที่ติดตามเย่หยวนทั้งหลายนั้น รวมไปถึงแม้แต่เจ้าเมืองอย่างโซชูเจียก็ยังพัฒนาพลังฝีมือกันอย่างก้าวกระโดดมีเพียงแค่ไป๋เฉินผู้เดียวเท่านั้นที่เอาแต่ย้ำอยู่กับที่
แน่นอนว่าเมื่อเวลาผ่านไปข่าวลือทั้งหลายนั้นมันก็แทบจะถูกยืนยันด้วยเรื่องนี้
เพราะไม่ว่าเย่หยวนเสียเย่หยวนก็กล้าที่จะทำลายโอสถฟ้าตะวันจันทราขั้นเทวะวิญญาณไพศาลต่อหน้าหลินฉางชิง
หากไป๋เฉินนั้นสามารถบรรลุขึ้นอาณาจักรเทพถ่องแท้ได้เย่หยวนย่อมจะไม่ทำลายของให้เปล่าประโยชน์เช่นนั้น
แต่ตอนนี้คนผู้นี้ที่หลอมซับผลวิญญาณเต๋าเข้าไปและมีชะตาไม่อาจพัฒนาตนกลับสามารถบรรลุขึ้นมาได้อีกหนึ่งครั้ง!
เหล่าผู้คนทั้งหลายระหว่างที่ยังไม่ทราบว่ามันเป็นใครกันแน่ต่างคาดเดาไปต่างๆ นานาว่าอาจจะเป็นเล้งชิวหลิง หนิงเทียนปิงและพวก แต่มันไม่มีใครเลยที่เชื่อว่าจะเป็นไป๋เฉิน
ไม่มีใครคาดคิดว่าเทพถ่องแท้คนแรกของเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นี้จะเป็นไป๋เฉินผู้นั้น!
ไป๋เฉินที่เพิ่งบรรลุมาได้หมาดๆ จึงยังไม่อาจจะกลบคลื่นพลังที่ปล่อยออกมาจากกายได้ทำให้ผู้คนทั้งหลายที่เห็นร่างของเขาก็ต้องรู้สึกขนลุกซ่าไปทั้งกาย
จากสายตาของเมืองจักรพรรดินั้นยอดฝีมือเทพถ่องแท้นั้นมันคือตัวตนที่ยิ่งใหญ่จนเกินกว่าจะเผชิญได้
ทุกผู้คนในตอนนี้ต่างเงยหน้ามองดูไป๋เฉินที่ลอยตัวอยู่บนอากาศด้วยความเลื่อมใสอย่างมาก
เพราะไม่ว่าอย่างไรยอดฝีมือก็จะได้รับความเคารพเสมอ
ไป๋เฉินมองดูที่ยอดหอยุทธ์เขานั้นรับรู้ได้ถึงความเลื่อมใสที่ผู้คนด้านล่างมีมายังตัวเขาอย่างมาก
ในเวลานั้นเองที่จิตใจของเขาพองโตด้วยความปลาบปลื้มและกล้าหาญ!
“อ้า!”
ไป๋เฉินร้องร่ำออกมาระบายความรู้สึกสุดอัดอั้นที่มีตลอดมานี้
ที่ผ่านๆ มานี้เขารู้สึกถึงความเครียดสิ้นหวังและกดดันที่เกิดขึ้นจนล้นเปี่ยมใจอย่างที่ไม่อาจทนได้ และความรู้สึกด้านลบทั้งหลายนั้นมันได้ถูกปล่อยออกมาในวินาทีนี้จนสิ้นแล้ว
คำพูดดูถูกในทุกหนแห่ง สายตาอันเหยียดหยาม ในที่สุดมันก็จางหายไปในวินาทีนี้แล้ว!
ไป๋เฉินนั้นไม่เคยนึกเคยฝันว่าวันที่เขาสามารถบรรลุอาณาจักรเทพถ่องแท้มันจะมาถึงได้!
เขาได้แต่มองย้อนกลับไปถึงตอนที่ตัวยังเป็นนักยุทธ์อาณาจักรปฐมพระเจ้าแสนอ่อนแอ
ใครจะไปคาดคิดว่าเวลาผ่านมาพันปีเขาคนนี้กลับสามารถบรรลุขึ้นมาถึงอาณาจักรเทพถ่องแท้ได้! เพราะนี่คืออาณาจักรที่เหล่าผู้คนทั้งหลายในมหาพิภพถงเทียนต่างเฝ้าฝัน
และทั้งหมดนี้ก็เกิดขึ้นมาได้เพราะอาจารย์ของเขา!
อาจารย์ของเขานั้นได้เปลี่ยนของเน่าเสียให้กลายเป็นเพชรเม็ดงาม แม้จะเป็นเรื่องที่ไม่มีทางเป็นไปได้สุดท้ายเขาก็ยังทำให้เกิดขึ้นได้
จากนั้นมีก็หลายเงาร่างพุ่งตัวขึ้นมาหาไป๋เฉิน
“ฮ่าๆ ยินดีกับน้องไป๋ด้วยที่บรรลุขึ้นอาณาจักรเทพถ่องแท้ได้ในคราเดียว ช่างน่าอิจฉาเสียจริงๆ! ไม่นึกเลยว่านายท่านจะทำมันได้สำเร็จจริงๆ!” หนิงเทียนปิงยกมือขึ้นคารวะและแสดงความยินดี
เพราะแม้หนิงเทียนปิงจะเชื่อเย่หยวนจนไม่ลืมหูลืมตาเพียงใด ในเรื่องนี้เขาก็ยังขาดความมั่นใจไปมาก
ไม่นึกไม่ฝันว่าสุดท้ายแล้วเย่หยวนก็จะยังทำให้เกิดปาฏิหาริย์ได้
โอสถครองวิญญาณผสานเต๋านั้นจะเรียกว่าเป็นโอสถเปลี่ยนโลกเลยก็ว่าได้!
จากวันนี้ไปการหลอมซับผลวิญญาณเต๋ามันอาจจะกลายเป็นทางลัดในการบ่มเพาะแทน
สำหรับเหล่านักยุทธ์ที่สิ้นหวังในการพัฒนาไปแล้วก็อาจจะกลับมายืนหยัดได้อีกครั้ง
ผลกระทบของโอสถชนิดนี้มันจะส่งผลเป็นวงกว้างจนแม้แต่หนิงเทียนปิงก็ยังไม่อาจรู้ได้ว่ามันจะยิ่งใหญ่เพียงใด
อิ้งหมัวหู่ โซชูเจีย เล่งหยูและแม้แต่เล้งชิวหลิงพร้อมด้วยเหล่านักยุทธ์นภาสวรรค์ทั้งหลายต่างเข้ามาแสดงความยินดีกันยกใหญ่
ไป๋เฉินนั้นตอบกลับทุกผู้คนไปด้วยใจที่ปลาบปลื้มอย่างถึงที่สุด
…
ภายในห้องลับนั้นไป๋ตงจ้องมองหน้าเย่หยวนด้วยสีหน้าแปลกๆ
“เจ้ามันเป็นสัตว์ประหลาดประเภทใดกัน? ถึงขั้นสามารถคิดค้นสูตรโอสถอย่างโอสถครองวิญญาณผสานเต๋าขึ้นมาได้! แต่ต่อไปนี้เจ้าคิดจะทำอย่างไรต่อไปกับสูตรโอสถนี้เล่า?” ไป๋ตงถาม
เย่หยวนยิ้มตอบกลับมา “เพื่อการสร้างสูตรโอสถครองวิญญาณผสานเต๋านี้ข้าได้ทุ่มกำลังไปมาก แน่นอนว่าข้าจะต้องใช้มันเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ก่อน ข้าคิดจะให้ทางหอมหาสมบัติเป็นตัวแทนข้าในการออกจำหน่ายโอสถครองวิญญาณผสานเต๋าและแบ่งผลประโยชน์กัน เพราะไม่ว่าอย่างไรเสียการทำการค้านั้นมันก็มิใช่สิ่งที่ข้าถนัดนัก”
ไป๋ตงพยักหน้ารับ “นั่นแหละดีแล้ว! แต่เมื่อใดก็ตามที่ชื่อของโอสถครองวิญญาณผสานเต๋าแพร่ออกไปเหล่าค่ายสำนักยักษ์ใหญ่ของมหาพิภพถงเทียนต้องไม่ยอมอยู่นิ่งแน่ๆ ครั้งนี้เจ้าและหอมหาสมบัติคงได้ผลประโยชน์อย่างมากมายมหาศาล”
เย่หยวนนั้นภูมิใจอย่างมากเพราะโอสถครองวิญญาณผสานเต๋าที่เขาพัฒนาขึ้นมานี้มันเป็นสิ่งที่เขายึดถือเป็นความสำเร็จครั้งใหญ่
เพราะไม่ว่าอย่างไรนี่มันก็เป็นโอสถที่ไม่มีอะไรมาทดแทน!
“หึๆ ข้าได้บอกเรื่องนี้ไปแก่หอมหาสมบัติแล้ว แต่ก่อนจะถึงเวลานั้นข้าคงต้องรีบบรรลุก่อน!”
พูดแล้วเย่หยวนก็ได้หยิบขวดโอสถใบน้อยออกมา
และภายในขวดนั้นมันก็มิใช่โอสถใดนอกไปเสียจากโอสถแก่นโกลาหลพันทุกข์ขั้นเทวะวิญญาณมรณา!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น