Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1916-1920
ตอนที่ 1916 ให้ผู้นำตระกูลเจ้ามาหาข้าเอง
“นี่มัน… นายท่านเจียงหัว ท่านช่วยผ่อนปรนหน่อยได้หรือไม่? เรานั้นมีเรื่องสำคัญจะพูดคุยกับผู้อาวุโสเจียงหยวนจริงๆ”
เซียวเฟิงนั้นไม่นึกฝันว่ารอมาตั้งนานกว่าเจ็ดวันเจ็ดคืนแต่กลับต้องมาพบเจอเรื่องราวเช่นนี้
เขานั้นไม่ได้กลัวที่จะเสียหน้าใดๆ แต่เขาแค่เจ็บปวดหัวใจที่ตัวเองไม่อาจช่วยเป็นกำลังใดๆ ให้เย่หยวนได้
มันเป็นเรื่องราวที่ยากจะยอมรับได้!
เดิมทีเขานั้นคิดว่าไม่ว่าอย่างไรเสียอาจารย์ของเขานั้นก็เป็นถึงจอมเทพโอสถห้าดาว อีกฝ่ายย่อมจะพอไว้หน้ากันบ้าง ไม่นึกไม่ฝันว่าอีกฝ่ายจะไม่คิดสนใจเลยแม้แต่น้อยเช่นนี้
เซียวเฟิงนั้นรู้สึกขมขื่นอยู่ในใจ
เพียงแค่เขานั้นยังไม่อยากยอมแพ้และคิดสู้ต่อมัน
แต่ใครจะไปคาดคิดว่าฝั่งเจียงหัวนั้นจะแสดงใบหน้าดำมืดออกมา “เรื่องสำคัญ? ตัวเจ้า แค่ผู้ดูแลระดับต่ำคนหนึ่งไม่ได้เข้าใจตำแหน่งของตัวเลยหรือ? ทุกคนมายังที่แห่งนี้เพื่อขอพบท่านผู้นำตระกูลด้วยเรื่องสำคัญกันทั้งสิ้น หากข้าปล่อยให้ทุกผู้คนเข้าไปแล้วมีหรือที่ข้าจะยังทำงานเป็นผู้ช่วยได้? ที่สำคัญจดหมายแนะนำจากจอมเทพโอสถห้าดาวมันก็จะช่วยให้เจ้าเข้าพบท่านผู้นำตระกูลได้แล้ว? ในยอดเมืองหลวงจักรพรรดินี้แค่จอมเทพโอสถห้าดาวมันจะมีค่าใด? เจ้ารีบไสหัวไป อย่าได้ขวางทางผู้คน!”
วินาทีนั้นความโกรธเคืองของเซียวเฟิงก็ปะทุขึ้นทันที
เขานั้นเป็นแค่คนไม่มีชื่อไร้อำนาจใดๆ แต่คำพูดดูถูกของเจียงหัวต่อตัวอาจารย์เขานั้นมันเป็นสิ่งที่เขาไม่อาจยอมรับได้
“เจ้า! จะดูถูกผู้คนจนเกินไปแล้ว! เจ้าเองก็เป็นแค่นภาสวรรค์ผู้หนึ่ง เจ้าคิดว่าตัวเองเก่งกาจมากมายหรือ?” เซียวเฟิงร้องขึ้นอย่างโกรธแค้น
เจียงหัวหรี่ตาลงทันทีและมือขึ้นตบลงมาอย่างไม่คิดส่งสัญญาณเตือนใดๆ
เซียวเฟิงนั้นเป็นแค่ราชันพระเจ้าคนหนึ่งแน่นอนว่าเมื่อเจอกับฝ่ามือนี้มันย่อมเหมือนมีขุนเขาพุ่งตกลงมาใส่ร่าง มีหรือที่เขาจะป้องกันไว้ได้?
แต่ในเวลานั้นเองที่เจียงหัวกลับรู้สึกถึงความเบลอที่ตรงหน้าก่อนจะพบว่าการโจมตีของเขานี้สูญเสียพลังไปจนสิ้น
“เร็ว!” เจียงหัวเบิกตากว้างทันทีด้วยความตื่นตกใจ
เขานั้นเป็นถึงนภาสวรรค์เก้าดาว แต่เขาคนนี้กลับไม่อาจมองเห็นได้เลยว่าเย่หยวนทำอะไรลงไปกันแน่!
เพราะไม่ว่าอย่างไรเสียในสายตาของเขาเย่หยวนก็เป็นแค่นภาสวรรค์เจ็ดดาวผู้หนึ่ง
แต่ทว่าเขานั้นก็ไม่ได้คิดสนใจเพราะที่แห่งนี้คือบ้านรตระกูลเจียง
“อะไร พวกเจ้าคิดจะมาก่อเรื่องในบ้านตระกูลเจียงหรือ?” เจียงหัวถามขึ้น
เย่หยวนมองดูใบหน้านั้นพร้อมพูดด้วยเสียงราบเรียบ “มันเป็นเจ้าแท้ๆ ที่โจมตีเข้ามาก่อน ทำไมจึงกลายเป็นเราเล่าที่มาก่อเรื่อง? ไม่ให้เจอก็ไม่ต้องเจอสิ เหตุใดต้องไปดูถูกว่าอาจารย์ผู้อื่นเขาด้วย ข้าจะไปทักพ่อเจ้าต่อหน้าเดี๋ยวนี้ เจ้าจะรู้สึกอย่างไร? เห็นไหม ข้ายังไม่ทันว่าอะไรใบหน้าของเจ้าก็เปลี่ยนสีไปแล้ว เพราะฉะนั้นเจ้าก็อย่าได้ไปดูถูกคนอื่นให้มากนัก อย่าได้วางดวงตาไว้สูงเหนือหัวนัก”
คำพูดทั้งหลายนี้เจียงหัวได้แต่ฟังมันด้วยใบหน้าที่เปลี่ยนสีไปมา
เย่หยวนนั้นด่าว่าเขาอยู่แน่ๆ แต่เขากลับรู้สึกเหมือนไม่ได้โดนด่า ทำให้เจียงหัวรู้สึกอึดอัดขึ้นในใจ
จากนั้นใบหน้าของเขาก็ดำมืดลงพร้อมตะโกนลั่น “หึ! ดูท่าพวกเจ้าจะไม่ได้คิดสนใจให้เกียรติตระกูลเจียงเลย! ยามทั้งหลาย มาจัดการจับตัวสั่งสอนพวกมันให้เข็ดหลาบ”
เย่หยวนหรี่ตาลงพร้อมด้วยพลังอันรุนแรงที่พุ่งทะยานเข้าครอบร่างของเจียงหัวทันที
นั่นทำให้เจียงหัวหน้าถอดสี เขารู้สึกราวกับว่าตัวเองนั้นกำลังถูกบีบ แค่จะหายใจยังยากเย็นแสนเข็น
เขานั้นตื่นตกใจอย่างมาก ทำไมนภาสวรรค์เจ็ดดาวคนนี้ถึงสามารถทำให้เขารู้สึกกดดันได้ถึงขนาดนี้?
ภายใต้คำสั่งนั้นนักยุทธนภาสวรรค์เก้าดาวสี่ถึงห้าคนก็ได้พุ่งตัวเข้ามาด้านใน แน่นอนว่าพวกเขานั้นย่อมเป็นยามดูแลความเรียบร้อยของบ้านตระกูลเจียงแล้ว
แม้ว่าในยอดเมืองหลวงจักรพรรดินั้นจะมีเทพถ่องแท้อยู่ไม่น้อย แต่มันย่อมไม่มีทางที่คนทั้งหลายนั้นจะมาเป็นแค่ยามทั่วๆ ไปให้แก่บ้านตระกูลเจียง
“ผู้ช่วยเจียง! ท่าน… ท่านปลอดภัยดีหรือไม่?”
เมื่อเหล่ายามทั้งหลายได้เห็นใบหน้าซีดเซียวของเจียงหัวพวกเขาทั้งหลายก็หน้าถอดสีไปตามๆ กัน
เพราะชายหนุ่มนภาสวรรค์เจ็ดดาวผู้นี้กลับทำให้พวกเขาทั้งหลายนั้นรู้สึกว่าตัวเองไม่อาจเทียบเคียงได้
มันเป็นความรู้สึกที่น่าพิลึก!
เย่หยวนมองดูเจียงหัว “เจ้านั้นใช้ชื่อเจ้านายรังแกผู้อื่น ที่เจ้าบอกว่าพวกข้าไม่เห็นตระกูลเจียงอยู่ในสายตานั้นเจ้าจะหมายความว่าตัวเข้า แค่ผู้ช่วยกระจอกๆ นี้เป็นตัวแทนของบ้านตระกูลเจียงได้หรือ? หรือเจ้าคิดว่าตัวเองได้กลายเป็นผู้นำตระกูลเจียงไปแล้ว? ช่างอวดดีเสียเหลือเกิน!”
เมื่อเหล่ายามทั้งหลายได้ยินพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะหันมามองเจียงหัวด้วยสายตาแปลกๆ
แต่คำพูดนั้นมันทำให้เจียงหัวหน้าแดงขึ้นมา “จ-เจ้าใส่ร้ายผู้คนแล้ว!”
เย่หยวนหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินเช่นนั้น “เจ้าพูดมันเองแท้ๆ ความอวดดีใดๆ นี้เจ้าก็แสดงมันออกมาเอง แต่เจ้ากลับมาบอกว่าข้านั้นใส่ร้ายผู้คน? คนที่คิดมาติดต่อตระกูลเจียงต้องพบเจอนิสัยเช่นนี้ของเจ้ากันทุกคนเลยหรือ? เรารอมาเจ็ดวันเจ็ดคืน ยื่นจดหมายแนะนำตัว และทำทุกสิ่งอย่างตามมารยาทที่ผู้คนควรมีแต่เจ้ากลับแค่มองมันผ่านๆ และไล่พวกเราให้ไสหัวไป? คนเช่นเจ้านี้คงไล่ผู้คนมากมายอย่างไม่คิดสนใจเลยใช่หรือไม่? ในฐานะคนรับใช้แล้วเจ้าได้แต่สร้างศัตรูให้เจ้านาย เรื่องนี้ข้าได้ใส่ร้ายเจ้าหรือไม่?”
เหล่ายามทั้งหลายต่างหันมองหน้ากันเพราะพวกเขานั้นรู้สึกได้จริงๆ ว่านับวันผู้ช่วยเจียงจะยิ่งอวดดีขึ้น
ตอนนี้เมื่อใดก็ตามที่เขาลงมือทำอะไรมันก็จะมีการวางท่าเสมอ
ทุกคนนั้นมีพลังบ่มเพาะที่ไม่ต่างกันมากมาย แต่เขานั้นกลับไม่คิดสนใจมองพวกเขาทั้งหลายว่าเป็นคนระดับเดียวกัน
เพราะฉะนั้นสิ่งที่เย่หยวนว่ามามันไม่ได้ผิดเลย
เมืองจักรพรรดินั้นยังพอว่าแต่เหล่าคนที่มาติดต่อนี้หลายต่อหลายคนนั้นเป็นยอดฝีมือมาจากเมืองหลวงจักรพรรดิ
อย่างที่เย่หยวนว่า ในหมู่คนทั้งหลายนี้หากมีใครคิดแสดงตัวไม่พอใจขึ้นมามันคงทำให้เกิดปัญหาใหญ่แก่เจ้านายของเขาเป็นแน่
และแน่นอนว่าความวุ่นวายนี้มันย่อมทำให้ผู้คนในเรือนรับรองต้องหันมาให้ความสนใจ
หลายๆ คนตอนนี้กำลังพยักหน้าเห็นด้วยกับเย่หยวนอยู่ในใจ
เพราะพวกเขาทั้งหลายนั้นมาเพื่อขอให้เจียงหยวนช่วยเหลือ พวกเขาทั้งหลายจึงได้แต่นั่งรออยู่ในเรือนรับรองอย่างไม่มีทางเลือก รอให้ถูกเรียกเข้าพบ
เพียงแค่ว่าจะได้เจอเจ้าตัวหรือไม่นั้นมันกลับขึ้นอยู่กับอารมณ์ของเจียงหัวล้วนๆ
หมายปีมานี้เจียงหัวได้ขูดรีดผู้คนไปมากมายแล้วด้วย
คนที่มาจากเมืองจักรพรรดิเหมือนเย่หยวนนี้เจียงหัวไม่คิดจะสนใจสนทนาด้วยและแน่นอนว่าย่อมไม่มีทางจะยื่นมือไปช่วยเหลือใดๆ
แต่เจียงหัวนั้นกลับหัวเราะขึ้นเมื่อได้ยิน “เจ้าจะหมายความว่าวันหน้าเจ้านั้นเก่งกาจ เป็นตัวตนที่ผู้นำตระกูลไม่กล้าไปลบหลู่? ฮ่าๆ! ข้าอยากรู้จริงๆ ว่าคนบ้านนอกเช่นเจ้าที่มาจากแค่เมืองจักรพรรดิมันจะมีเรื่องสำคัญใดเจรจากับผู้นำตระกูล!”
“ไม่ต้องแล้ว! ข้าจะให้ผู้นำตระกูลเจ้ามาหาข้าด้วยตัวเอง! พี่เซียว ไปกันเถอะ” เย่หยวนบอก
พูดไปเขาก็ดึงพลังที่กดดันเจียงหัวอยู่กลับมาและเดินนำเซียวเฟิงจากไปทันที
แต่เมื่อความกดดันบนร่างของเจียงหัวผ่อนลงเขาก็รู้สึกได้ถึงความโกรธแค้นที่ปะทุขึ้นเต็มหัวใจ
เมื่อเห็นเย่หยวนยเดินออกไปเช่นนั้นเจียงหัวจึงร้องตะโกนสั่ง “ไปเรียกข้ารับใช้เทพถ่องแท้ในบ้านหลักมาจัดการเจ้าเด็กคนนี้ให้ข้า! ข้าอยากรู้เสียจริงว่ามันจะเป็นคนใหญ่คนโตแค่ไหน!”
ฟุบ!
ดาบแสงลำหนึ่งพุ่งผ่านความว่างเปล่าเข้ามาจากหน้าประตูบ้านจนผ่านหูของเจียงหัวไปอย่างรุนแรง
เจียงหัวแค่รู้สึกถึงลมที่วิ่งผ่านหน้าไปพร้อมร่างกายที่แข็งทื่อไม่อาจขยับ
แกรก!
เสาไม้ที่ด้านหลังเจียงหัวหักลงเป็นสองท่อน
เจียงหัวได้แต่เบิกตากว้างมองดูภาพตรงหน้าราวกับว่าได้พบเจอยมบาลมาก็ไม่ปาน
เหงื่อเย็นเยือกไหลลงมาเต็มหน้าผากของเขา
เขานั้นได้แต่ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างไม่กล้าขยับตัวจนเงาร่างของพวกเย่หยวนเดินหายไปจากเขตบ้านตระกูลเจียง
เหล่ายามทั้งหลายได้แต่มองภาพตรงหน้าอย่างตื่นตะลึง
พวกเขานั้นกำลังรู้สึกโล่งอยู่ลึกๆ ในใจ เพราะหากเมื่อสักครู่นี้พวกเขาคิดลงมือแล้วตอนนี้คงได้ลงไปนอนเป็นร่างไร้วิญญาณ!
ผสานแนวคิด! แนวคิดแห่งห้วงมิติ!
เด็กหนุ่มคนนี้มันไม่ธรรมดา!
จู่ๆ เจียงหัวก็สั่นสะท้านไปทั้งร่างเหมือนจะกลับมาได้สติอีกครั้ง
“มัน…มันไปแล้ว?” เจียงหัวถามยามทั้งหลายขึ้นด้วยท่าทางกังวลและหวาดกลัว
ตอนที่ 1917 กิเลนดิน
“ป-ไปแล้วท่านผู้ช่วยเจียง” ยามคนนั้นพูดขึ้นด้วยความหวาดกลัวที่ยังคงอยู่ในหัวใจ
เป็นตอนนั้นเองที่เจียงหัวได้สติกลับมาและต้องถอนหายใจยาว
แต่หลังจากตั้งสติได้เขาก็ต้องบอกขึ้นมาด้วยท่าทางดูถูก “เจ้าโง่! ท่านผู้นำตระกูลนั้นคือผู้อาวุโสของโถงวาโยขจี มีหรือที่ต้องออกไปตามหาขยะอย่างเจ้าด้วยตัวเอง?”
ก็จริงที่ว่าเย่หยวนนั้นมีฝีมือที่เก่งกาจ แต่คนที่เก่งกาจเช่นนี้ในยอดเมืองหลวงจักรพรรดิทองวาวนั้นมีอยู่มากมายเกินจะนับ มีหรือที่ผู้นำตระกูลเจียงนั้นจะต้องออกไปตามหานักยุทธนภาสวรรค์คนหนึ่ง?
เรื่องเช่นนั้นมันย่อมไม่มีทางจะเกิดขึ้นได้
คิดมาได้ถึงตรงนี้เขาก็รีบเดินออกจากห้องไปในทันทีเพื่อมุ่งหน้าเข้าสู่ส่วนเรือนหลักของบ้านตระกูลเจียง ในสถานที่ที่เหล่าคนรับใช้ของตระกูลอยู่อาศัย
“โอ้ นี่มันน้องเจียงหัวมิใช่หรือ? ลมอะไรพัดมาเล่า? หืม เหตุใดสีหน้าเจ้าจึงดูไม่ค่อยดีเช่นนี้? หรือว่ามันมีใครในบ้านตระกูลเจียงนี้ไปทำให้น้องเจียงหัวไม่พอใจกัน?”
เมื่อชายวัยกลางคนผู้นี้ได้เห็นเสื้อผ้าท่าทางของเจียงหัวแล้วเขาก็รีบยิ้มขึ้นมารับทันที
คนใช้ผู้นี้มีนามว่าฉินกวน ยอดฝีมือเทพถ่องแท้หนึ่งดาว
แต่แม้ว่าเขานั้นจะเป็นถึงเทพถ่องแท้หนึ่งดาว เขาเองก็ยังต้องเคารพและเอาใจเจียงหัวอยู่ไม่น้อย
เพราะพวกเขาทั้งหลายนั้นเป็นคนนอกสกุล แน่นอนว่าทรัพยากรทั้งหลายที่พวกเขาจะได้รับมันต้องผ่านมือเจียงหัว ทำให้อำนาจของเจียงหัวในตระกูลเจียงจึงสูงส่งอย่างมาก
การสร้างสัมพันธ์ดีๆ กับเขาไว้มันย่อมไม่มีทางเสียหายไปได้
เจียงหัวแสดงใบหน้าซีดๆ ออกมา “พี่ฉินกวน น้องถูกคนข่มขู่ วันนี้หวังว่าท่านพี่จะช่วยทำลายความเจ็บแค้นนี้ของน้องได้!”
ฉินกวนกล่าวขึ้นอย่างตื่นตะลึง “มันกลับกล้ามีคนมาข่มขู่น้องจริง? มันไม่รักชีวิตแล้วหรือ? ไหนน้องลองเล่ามาหน่อย!”
ฉินกวนเองก็ไม่ใช่คนโง่นัก เขาย่อมต้องเข้าใจเรื่องราวให้สิ้นก่อน
หากอีกฝ่ายนั้นเป็นเทพถ่องแท้หรือตัวตนที่ไม่อาจลบหลู่ได้เขาย่อมไม่คิดจะเข้าไปช่วยแก้ปัญหาใดๆ
ต่อให้จะเป็นการเอาใจแค่ไหน เขาก็ยังต้องเลือกเป้าหมายที่มันจัดการได้
ได้ยินคำของเจียงหัวใบหน้าของเขาก็ดำมืดลงพร้อมบอกขึ้นด้วยเสียงเย็นเยือก “ช่างเป็นเด็กที่อวดดี! มันคงหลงลืมตัววางอำนาจในเมืองจักรพรรดิมาสินะ? ที่แห่งนี้มันคือยอดเมืองหลวงจักรพรรดิ ต่อให้เป็นเทพถ่องแท้ก็ไม่กล้าทำตัวอาจหาญเช่นนี้ เด็กคนนี้มันคงเบื่อชีวิตแล้วจริงๆ! น้องข้า เจ้าอยากจัดการอย่างไรกับมัน?”
ได้ยินว่าอีกฝ่ายเป็นแค่นภาสวรรค์ไม่กี่คนฉินกวนก็รีบตกลงทันที
งานเอาใจในครั้งนี้เขาพร้อมที่จะรับมัน
นั่นทำให้เจียงหัวแสดงใบหน้าชั่วร้ายออกมาในทันที “หึ! เด็กคนนี้มันอวดดีไม่กลัวฟ้าดิน ถ้ามันแค่ว่าข้ายังพอทนแต่นี่มันไม่คิดไว้หน้าตระกูลเจียงเลย! มันนั้นสมควรตาย! พี่ฉินกวน ข้าจะรีบตามหาที่พักของมันให้ได้ในเร็ววัน เมื่อถึงเวลานั้นคงต้องขอพึ่งท่านแล้ว!”
ฉินกวนยกมือขึ้นมาตบหน้าอกของตน “ไว้ใจข้าได้เลย”
เมื่อเจียงหัวได้เห็นว่าอีกฝ่ายรับคำแล้วเขาก็ยิ้มขึ้น “พี่ฉินกวนวางใจได้ หลังจากเรื่องนี้จบลงแล้วข้าต้องขอบคุณท่านอย่างงามแน่”
…
เมื่อต้องกลับมาพร้อมเรื่องราวเช่นนี้เซียวเฟิงจึงมีใบหน้าท่าทางรู้สึกผิดอย่างสุดขีด
“เย่หยวน ขอโทษด้วย ท่านอาจารย์นั้นมีบุญคุณกับเซียวผู้นี้เท่าขุนเขา ข้ายอมทนเห็นผู้อื่นมาว่าท่านไม่ได้จริงๆ”
เย่หยวนยิ้มตอบ “ข้ายังไม่ทันได้ขอบคุณท่านเลยแล้วท่านมาขอโทษเรื่องใด? ผู้ช่วยคนนั้นมันวางหัวไว้สูงเหนือฟ้าต่อให้เป็นเทพถ่องแท้ที่มามันก็คงไม่พ้นถูกไล่กลับไปแน่ มีเหตุผลใดที่เราต้องไปเสียเวลากับคนเช่นนั้นด้วย?”
“แต่หากไม่มีเส้นสายของผู้อาวุโสเจียงหยวนแล้วการเดินทางครั้งนี้ของเรามันจะไม่เสียเปล่าหรือ?” เซียวเฟิงกล่าวขึ้นด้วยท่าทางตะกุกตะกัก
“ตราบที่หนทางยังไม่มืดมิดเราย่อมหาทางออกได้เสมอ” เย่หยวนบอก
“นายท่าน เราจะทำอย่างไรกันต่อไปดี?” หนิงเทียนปิงบอก
เย่หยวนจึงบอกขึ้น “ในเมื่อเส้นทางข้างหน้ามันถูกปิด ตอนนี้เราก็ไปหาซื้อสมุนไพรวิญญาณกันก่อนเถอะ เมื่อใดที่ตงน้อยได้พลังฝีมือคืนมาถึงอาณาจักรเทพถ่องแท้ความปลอดภัยของพวกเราทั้งหลายมันก็คงมั่นคงขึ้น”
นี่คือยอดเมืองหลวงจักรพรรดิที่มีเทพถ่องแท้เดินอยู่ทุกหนแห่ง แน่นอนว่าพลังฝีมือของพวกเย่หยวนในตอนนี้มันจะอ่อนแอเกินไปหน่อย
หากได้มีเทพถ่องแท้อยู่ข้างกายด้วยมันย่อมทำให้เขาสบายใจกว่ามาก
เรื่องนี้เองก็เป็นการเตรียมพร้อมรับมือเจียงหัวด้วยเช่นกัน แต่เย่หยวนเองก็ไม่นึกไม่ฝันว่าอีกฝ่ายจะเริ่มลงมือเตรียมแผนการไปแล้ว
เมื่อคนทั้งหลายเดินออกจากบ้านตระกูลเจียงมาพวกเขาก็มุ่งหน้าไปยังแหล่งรวมร้อยสมุนไพรทันที
แหล่งรวมร้อยสมุนไพรนั้นคือตลาดสมุนไพรวิญญาณขนาดใหญ่ กินพื้นที่กว้างขวางและได้รับการจัดการดูแลโดยหอมหาสมบัติ
แต่สมุนไพรทั้งหลายที่นำมาขายในตลาดนี้มันไม่ได้มีแค่สมุนไพรจากทางหอมหาสมบัติ
ที่แห่งนี้มันเป็นแหล่งรวมหลากหลายขั้วอำนาจ ธุรกิจภายในใหญ่โตมีร้านค้าปลีกมากมายคอยช่วยเหลือเสริมส่วนที่ขาดของร้านอื่นๆ ทำให้มันกลายเป็นพื้นที่ตลาดสมุนไพรวิญญาณที่สุดแสนยิ่งใหญ่อลังการมีสินค้าและเงินตราไหลเวียนอย่างมากเกินจะนับ
และแน่นอนว่าทางหอมหาสมบัติก็ต้องได้เงินจากที่แห่งนี้ไปอย่างมหาศาลด้วยเช่นกัน
สมุนไพรวิญญาณที่จะใช้ในการหลอมโอสถย้อนฝันพิรุณชำระให้แก่ตงน้อยนั้นมันสุดแสนหายาก พวกเขาจึงได้แต่หวังว่าที่ใหญ่โตอย่างแหล่งรวมร้อยสมุนไพรนี้จะมีมัน
เพราะหากที่แห่งนี้ยังไม่มีมันแล้วพวกเขาก็คงได้แต่ต้องหวังพึ่งว่าวันหน้าจะโชคดีไปเจอมันเข้าหรือไม่ก็รอให้ครบเวลาพันปีเพื่อให้เขาคืนพลังฝีมือขึ้นมาเอง
ผู้ดูแลสาวสวยผู้หนึ่งเดินเข้ามาถามเย่หยวนด้วยรอยยิ้มสดใส “นายท่าน ข้าขอทราบได้หรือไม่ว่าท่านต้องการสมุนไพรชนิดใดบ้าง?”
แหล่งรวมร้อยสมุนไพรนี้มันศูนย์ข้อมูลเพื่อให้เหล่านักยุทธทั้งหลายได้สอบถามถึงแหล่งที่ขายสมุนไพรที่ตนต้องการ
แหล่งรวมร้อยสมุนไพรนั้นมีสมุนไพรวิญญาณมากมายมหาศาลหลากหลายระดับหลากหลายสายพันธุ์ในจำนวนมหาศาล
หากให้นักยุทธเดินหาร้านที่ขายเอง ไม่รู้ว่าพวกเขานั้นต้องเสียเวลาในที่แห่งนี้ไปมากมายเพียงใด
เพราะฉะนั้นแหล่งรวมร้อยสมุนไพรจึงได้ติดตั้งค่ายกลข้อมูลขนาดใหญ่ไว้เพื่อจัดเก็บข้อมูลของสมุนไพรวิญญาณต่างๆ
เมื่อใดที่มันเข้าคลัง เมื่อใดที่มันขายออก ข้อมูลทั้งหลายนั้นจะถูกเก็บไว้อย่างชัดเจน
ทำเช่นนี้แล้วมันก็จะช่วยให้บริหารจัดการงานขึ้นและยังช่วยให้นักยุทธไม่ต้องเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ด้วย
เย่หยวนกล่าว “ข้ากำลังหาเถ้าไม้เหล็ก สาหร่ายหทัยดำ กิเลนดิน…”
เย่หยวนพูดชื่อสมุนไพรต่างๆ นาๆ ออกมาในคราเดียวทำให้นิ้วเรียวๆ ของผู้ดูแลสาวขยับอย่างไม่ได้พัก ใส่ชื่อของพวกมันทั้งหลายนี้ลงไปในค่ายกลข้อมูล
ไม่นานนักผลมันก็ปรากฏออกมาให้เห็น
“นายท่าน หอมหาสมบัติและหอการค้าทั่วแดนต่างมีเถ้าไม้เหล็ก ทางสมาคมพ่อค้าไล่กวางนั้นถือครองสาหร่ายหทัยดำไว้อยู่สองส่วน…” สาวงามผู้นั้นบอกด้วยท่าทางมั่นใจและหนักแน่นถึงข้อมูลที่นางได้ค้นหาออกมา
แต่เมื่อเห็นนางชะงักไปเช่นนั้นเย่หยวนก็ขมวดคิ้วขึ้น “แล้วกิเลนดินเล่า?”
ผู้ดูแลสาวตอบกลับมา “ตอนนี้มันยังอยู่ในคลัง แต่ตอนนี้มันอาจจะถูกขายออกไปแล้ว เพราะก่อนที่นายท่านจะมานั้นอาจารย์เซินชางเพิ่งได้มาถามถึงกิเลนดินไปและตอนนี้เขาก็ได้มุ่งหน้าไปยังร้านที่ว่าแล้ว เพราะตอนนี้ในแหล่งรวมร้อยสมุนไพรเรานั้นมีกิเลนดินอยู่แค่ส่วนเดียวเท่านั้น”
เย่หยวนขมวดคิ้วทันที “ในเมื่อมันยังไม่ถูกขายเช่นนั้นข้าก็สามารถไปถามเจรจาได้ใช่ไหม? เช่นนั้นบอกตำแหน่งร้านข้ามาเถอะ ทำเช่นนี้มันไม่ได้ผิดกฎใดใช่หรือไม่?”
ผู้ดูแลคนนั้นยิ้มขึ้น “เรื่องนั้นย่อมไม่ผิด นายท่านจะไปดูก็ย่อมได้ แต่อาจารย์เซินชางนั้นเป็นถึงจอมเทพโอสถหกดาวชื่อดัง ท่าน…”
เย่หยวนยกมือขึ้นมาโบกปัด “บอกมาเถอะ”
ผู้ดูแลคนนั้นหมดหนทางจึงได้แต่บอกตำแหน่งร้านแก่เย่หยวนไป
กิเลนดินนี้มันเป็นสมุนไพรวิญญาณอย่างหนึ่ง ที่มันได้ชื่อนี้มาก็เพราะว่ามันมีหน้าตาคล้ายกับสัตว์ในตำนาน กิเลน เป็นหนึ่งในสุดยอดสมุนไพรหายาก
เพราะแม้แต่แหล่งรวมร้อยสมุนไพรนี้ยังมีมันแค่หนึ่งส่วน แค่นี้ก็มากพอจะแสดงความหายากของมันแล้ว
แต่กิเลนดินนี้มันเป็นส่วนสำคัญและแก่นของการหลอมโอสถย้อนฝันพิรุณชำระ
หากวันนี้เขาปล่อยมันหลุดมือไปแล้วมันคงต้องรออีกนานแสนนานกว่าจะหามันได้อีก เย่หยวนจึงไม่คิดจะปล่อยมันไปง่ายๆ
ตามที่ผู้ดูแลนั้นบอกทางมาในที่สุดเย่หยวนก็ได้มาถึงร้านหนึ่ง แต่ที่หน้าร้านนั้นเขาเห็นชายแก่คนหนึ่งกำลังหูแดงหน้าตาคร่ำเครียด ดูท่าแล้วคงไม่พอใจอะไรสักอย่างอยู่แน่ๆ
และตอนนี้กิเลนดินนั้นก็ได้วางอยู่ในขวดหยกตรงหน้าเขา
ดูท่าแล้วชายแก่คนนี้คงเป็นอาจารย์เซินชางที่ผู้ดูแลคนนั้นกล่าวถึง
เมื่อได้เห็นว่ากิเลนดินยังไม่ถูกขายออกเย่หยวนก็ถอนหายใจยาวออกมาด้วยความโล่งอก
ดูสภาพในตอนนี้แล้วคนทั้งสองคนยังตกลงกันเรื่องราคาของกิเลนดินนี้ไม่ได้
“เจ้าบ้านี่ จะดื้อรั้นไปถึงไหน? โอสถฟื้นหทัยหยกประณีตของข้านั้นมันเป็นขั้นสวรรค์ที่เกือบเข้าถึงขั้นเทวะ! ข้าก็บอกแล้วว่าจะใช้อย่างอื่นจ่ายเสริมให้ ทำไมเจ้าถึงไม่ยอมผ่อนปรนบ้าง?” เซินชางร้องตะโกนขึ้นมาอย่างมีอารมณ์
ตอนที่ 1918 แย่งสมุนไพรวิญญาณจากปรมาจ...
เจ้าของร้านแห่งนี้เป็นชายวัยกลางคนสวมหมวกสักหลาด ดูท่าทางตอนนี้ก็ไม่สู้ดีนัก
แม้จะเห็นอาจารย์เซินชางคนนี้ตะโกนร้องขึ้นยมาแต่เขาก็ตอบกลับไปอย่างหนักแน่น “ข้าก็บอกท่านไปแล้วว่ากิเลนดินนี้จะแลกแต่กับโอสถฟื้นหทัยหยกประณีตขั้นเทวะเท่านั้น ต่ำกว่าขั้นเทวะไปมันย่อมไม่มีค่าใดๆ แล้ว!”
เซินชางรู้สึกหมดสิ้นหนทางได้แต่ชี้หน้าว่าชายวัยกลางคนผู้นั้น “เจ้าออกไปถามดูที่ไหนก็ได้ว่าในยอดเมืองหลวงจักรพรรดิทองวาวนี้นอกจากข้าเซินชางแล้วมีใครบ้างที่จะหลอมโอสถฟื้นหทัยหยกประณีตได้ถึงขั้นสวรรค์? เว้นเสียแต่ว่าท่านเทพสวรรค์เฟียวหยูจะลงมือเอง ไม่เช่นนั้นแล้วต่อให้เจ้าจะรออีกเป็นหมื่นๆ ปีมันก็ไม่มีทางจะได้โอสถขั้นเทวะมาครองหรอก!”
โอสถฟื้นหทัยหยกประณีตนั้นเป็นโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับห้าความยากเก้า นับได้ว่าเป็นโอสถวิเศษของระดับห้าเลยก็ว่าได้ ความยากในการหลอมของมันจึงไม่ได้ต่ำไปกว่าโอสถฟ้าตะวันจันทราเลย
ต่อให้เป็นเซิงชางผู้นี้เองที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วหากคิดอยากจะหลอมโอสถให้มันได้ถึงขั้นเทวะ เขาก็ต้องพึ่งโชคอยู่ไม่น้อย
ขั้นสวรรค์สุดและขั้นเทวะนั้นมันอาจจะฟังดูไม่ห่างกันมากมาย แต่ในความเป็นจริงแล้วมันแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
มันเป็นความแตกต่างของผู้รู้และผู้ไม่รู้
ด้วยพลังฝีมือของเซินชางหากเขาเฝ้าหลอมต่อไปเรื่อยๆ แล้วมันคงสามารถจะหลอมขั้นเทวะออกมาได้สักวัน
แต่เพียงแค่ว่าการทำเช่นนั้นมันจะต้องเสียสมุนไพรไปอย่างมากมายมหาศาล แน่นอนว่าราคาของมันย่อมจะสูงลิ่ว
ชายวัยกลางคนเจ้าของร้านจึงตอบกลับมา “เช่นนั้นข้าก็จะรอให้มันปรากฏขึ้นมา”
เซินชางแทบสำลักเมื่อได้ยินเช่นนั้น ความผิดหวังนั้นปรากฏขึ้นมาให้เห็นเต็มใบหน้าของเขา
“เจ้า… ทำไมเจ้าจึงได้ดื้อรั้นเช่นนี้?”
ชายคนนั้นเห็นความกังวลของเซินชางจึงได้ยกมือขึ้นคารวะและบอกเล่าเรื่องราว “อาจารย์เซินชาง ข้านั้นรู้ดีว่าท่านนั้นมีฝีมือการโอสถที่เหนือล้ำผู้คน แต่อาการบาดเจ็บของพี่น้องข้านั้นมันต้องใช้โอสถฟื้นหทัยหยกประณีตขั้นเทวะเท่านั้นถึงจะรักษาได้ กิเลนดินนี้ ข้าขายให้ท่านไม่ได้จริงๆ โปรดอภัยด้วย”
เมื่อเซินชางได้ยินสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนจากกังวลเป็นสิ้นหวัง
แค่เห็นก็รู้ได้ว่าเขานั้นต้องการกิเลนดินนี้มากแค่ไหน
“หากข้าสามารถนำโอสถฟื้นหทัยหยกประณีตขั้นเทวะมาได้ ท่านจะยอมขายกิเลนดินนี้ให้ข้าหรือไม่?” คนทั้งสองยังคุยกันไม่ทันจบแต่ก็มีเสียงหนึ่งแทรกขึ้นมา
คนทั้งสองหันไปมองและพบเจ้ากับชายหนุ่มผู้หนึ่งกำลังเดินเข้ามาหา
และแน่นอนว่านั่นย่อมเป็นเย่หยวน
เมื่อเซินชางเห็นภาพนั้นเขาก็สะบัดแขนเสื้อกล่าวขึ้น “เจ้าเด็กน้อยคนนี้มันมาจากไหน อย่าได้มาสร้างเรื่องที่นี่!”
เมื่อชายวัยกลางคนผู้นั้นได้ยินทีแรกดวงตาของเขาย่อมเบิกกว้าง แต่เมื่อเห็นว่าเย่หยวนเป็นคนเด็กหนุ่มคนหนึ่งเขาก็หมดความสนใจลงทันที
“เด็กน้อย อย่าได้มาล้อข้าเล่น ข้าขอไม่เป็นที่หัวเราะของผู้คน! มาทางไหนก็ไปทางนั้นเสีย!”
แม้ว่าเย่หยวนนั้นจะมีพลังฝีมือที่ไม่ธรรมดาแต่มันย่อมไม่มีทางเข้าสายตาของพวกเขาทั้งสองได้
เพราะในยอดเมืองหลวงจักรพรรดิทองวาวนี้นภาสวรรค์เจ็ดดาวนั้นมันมีมากมายคนไม่อาจนับได้ ทำไมพวกเขาถึงต้องสนใจคนเช่นนั้นด้วย?
เซินชางนั้นย่อมเหนือล้ำ เป็นถึงเทพถ่องแท้ขั้นปลายและยังเป็นจอมเทพโอสถหกดาวด้วย
ส่วนทางชายวัยกลางคนเจ้าของร้านเองก็เป็นถึงเทพถ่องแท้หนึ่งดาวเช่นกัน
แต่เย่หยวนกลับไม่คิดสนใจและยิ้มตอบกลับไป “ข้าเองก็ไม่ได้มีเวลามาล้อท่านเล่นหรอก กิเลนดินนี้มันสำคัญกับข้ามากเช่นกัน หากท่านอยากแลกมันกับโอสถฟื้นหทัยหยกประณีตขั้นเทวะจริงๆ ข้าก็จะหลอมให้ท่าน แล้วเราค่อยมายื่นหมูยื่นแมวกัน”
คำพูดของเย่หยวนี้มันทำให้หลายผู้คนเริ่มหันมาสนใจมอง
“เจ้าเด็กคนนี้มันมาจากไหนกัน? ถึงกับกล้ามาแย่งสมุนไพรจากมือปรมาจารย์เซินชาง?”
“มันถึงขั้นบอกว่าจะหลอมโอสถฟื้นหทัยหยกประณีตขั้นเทวะให้ ช่างเป็นการผายลมที่ดังลั่นจริงๆ”
“หึ หน้าไม่อาย! โอสถฟื้นหทัยหยกประณีตนั้นแม้แต่ท่านเซินชางยังต้องลำบากเตรียมการมากมายกว่าจะหลอมมันขึ้นมาได้ จะบอกว่าตัวมัน จอมเทพโอสถห้าดาวนั้นสามารถหลอมได้?”
…
ชื่อเสียงของเซินชางนั้นย่อมเลื่องลือ คนทั้งหลายที่เดินผ่านไปมาก็ย่อมจดจำเขาได้
นภาสวรรค์ผู้หนึ่งที่จู่ๆ ก็โผล่ขึ้นมาจากที่ไหนไม่ทราบได้กลับบอกว่าจะหลอมโอสถฟื้นหทัยหยกประณีตขั้นเทวะ เรื่องเช่นนี้มันย่อมสุดแสนจะน่าขัน
ได้ยินคำของเย่หยวนเซินชางก็บอกขึ้นด้วยท่าทางไม่พอใจ “เจ้าหนู เจ้ารู้หรือไม่ว่าเฒ่าคนนี้เป็นใคร? กลับกล้ามาแย่งของจากมือข้าเช่นนั้นหรือ?”
เย่หยวนหันไปมองเซินชางด้วยรอยยิ้ม “ข้าย่อมรู้จักท่านอาจารย์เซินชาง แต่โอสถฟื้นหทัยหยกประณีตนี้ท่านเองก็ไม่อาจหลอมได้ใช่หรือไม่? ในเมื่อท่านหลอมมันไม่ได้แล้วจะให้กิเลนดินนี้มันจมอยู่ตรงนี้ได้หรือ? ท่านอาจารย์เซินชางนั้นเป็นผู้ยิ่งใหญ่มีคนนับหน้าถือตามากมาย หากท่านหยิบโอสถฟื้นหทัยหยกประณีตขั้นเทวะมาจ่ายได้แล้วผู้เยาว์ย่อมไม่คิดจะแข่งขันกับท่าน”
เมื่อเซินชางได้ยินเช่นนั้นใบหน้าของเขาก็ดำมืดลงทันที
มีหรือที่โอสถฟื้นหทัยหยกประณีตขั้นเทวะมันจะหลอมได้ง่ายปานนั้น?
หากเขานำมันออกมาได้มีหรือที่ยังจะต้องมาต่อรองใดๆ ให้ยุ่งยาก?
“หึ! เด็กน้อย เจ้าเองเวลาคิดจะอวดอ้างใดๆ ก็หัดเตรียมตัวมาบ้างนะ? ก็มิใช่ว่าเฒ่าคนนี้จะอวดอ้างตัวแต่ในยอดเมืองหลวงจักรพรรดินี้นอกจากท่านเทพสวรรค์เปียวหยูแล้วมันก็ไม่มีใครมั่นใจว่าจะหลอมโอสถฟื้นหทัยหยกประณีตขั้นเทวะได้! เหล่ายอดฝีมือทั้งหลายเองนั้นมันก็ไม่ได้เก่งกาจไปกว่าเฒ่าคนนี้มากมาย พวกเขาทั้งหลายเองย่อมต้องพึ่งโชคอยู่ไม่น้อย แต่เจ้ากลับบอกว่าตัวนั้นหลอมได้? เจ้าคิดว่าใครจะเชื่อ!” เซินชางร้องบอกด้วยท่าทางดูแคลน
เมื่อคนที่มุงดูอยู่ได้ยินพวกเขาทั้งหลายก็พยักหน้าออกมาพร้อมดูถูกเย่หยวนกันอยู่ในใจ
อาจารย์เซินชางคนนี้ย่อมไม่ได้อวดอ้างใดๆ เขานั้นมีพลังความสามารถพอที่จะพูดสิ่งเหล่านี้ได้อย่างที่ไม่มีใครมองว่ามันไม่เป็นความจริง
แต่คำพูดที่เย่หยวนบอกนี้มันดูอย่างไรก็คือการอวดอ้าง
นั่นทำให้เกิดเสียงโห่ร้องใส่เย่หยวนจากรอบทิศอยู่นาน
เย่หยวนหันไปบอกทางเจ้าของร้านด้วยรอยยิ้ม “ผู้อาวุโส ท่านช่วยอย่าเพิ่งเก็บร้านและรอข้าสักพัก เดี๋ยวเย่คนนี้จะกลับมานะ?”
ชายวัยกลางคนผู้นั้นได้แต่มองดูเย่หยวนอย่างสงสัย “หากเจ้านำโอสถฟื้นหทัยหยกประณีตขั้นเทวะมาได้จริงกิเลนดินนี้ย่อมเป็นของเจ้าแล้ว!”
เจ้าของร้านนั้นพูดไปด้วยท่าทางดูถูกไม่คิดจริงจังแม้แต่น้อย
เพราะว่าเขานั้นรู้ถึงตัวตนของเซินชางดีและย่อมไม่คิดอยากจะสร้างปัญหาจึงพูดคำเหล่านั้นออกมา
การที่จะบอกว่าเย่หยวนนั้นเก่งกาจการเซินชาง เขาย่อมไม่มีทางเชื่อไปได้
เย่หยวนพยักหน้าและเดินจากไปทันที
เซินชางนั้นได้แต่พ่นลมออกมาอย่าไม่คิดจะใส่ใจกับมัน
อย่าว่าแต่จอมเทพโอสถห้าดาว ต่อให้เป็นจอมเทพโอสถหกดาวเขาก็ยังมั่นใจว่าอีกฝ่ายต้องฝีมือต่ำกว่าตน
เด็กนน้อยนภาสวรรค์คนหนึ่งที่อายุแค่พันกว่าปีมีหรือที่จะหลอมโอสถฟื้นหทัยหยกประณีตขั้นเทวะได้?
ฝัน!
หลังจากเย่หยวนเดินออกไปเขาก็ได้ไปถามถึงจุดขายส่วนผสมของโอสถฟื้นหทัยหยกประณีต
แต่ไม่ว่าจะอย่างไรการกระทำของเขานั้นมันก็ได้ทำให้เหล่านักยุทธทั้งหลายหันมาสนใจ
หลายๆ คนไม่คิดเชื่อว่าเย่หยวนจะทำจริงจึงได้ตามติดดูการเคลื่อนไหวของเย่หยวนทั่วแหล่งรวมร้อยสมุนไพร
แม้ว่าโอสถฟื้นหทัยหยกประณีตนี้จะเป็นโอสถระดับความยากเก้าแต่มันก็ยังห่างไกลหากจะเอาไปเทียบกับโอสถย้อนฝันพิรุณชำระ สมุนไพรใดๆ ที่ใช้ในการหลอมเองก็หาได้ง่ายกว่ามาก หลายค่ายสำนักร้านค้าในแหล่งรวมร้อยสมุนไพรต่างมีมันอยู่ไม่น้อยทำให้เย่หยวนสามารถซื้อมันได้จนครบในเวลาไม่นาน
แต่แน่นอนว่ามันต้องแลกมากับผลึกปราณเทวะจำนวนไม่น้อย
แต่เย่หยวนในทุกวันนี้ได้ครองโถงบัลลังก์ม่วงและยังเป็นผู้ครองของสิบเมืองสันเขาใต้
ต่อให้เขาจะลดภาษีไปมากแค่ไหนเขาก็ยังเป็นสุดยอดเศรษฐีผู้หนึ่งได้ ซื้อสมุนไพรวิญญาณทั้งหลายนี้ย่อมไม่ได้ส่งผลใดๆ ต่อเย่หยวน
ภายในแหล่งรวมร้อยสมุนไพรนั้นหลายต่อหลายคนจะคิดราคาเป็นโอสถ มันจึงทำให้มีห้องหลอมโอสถให้เช่าอยู่มากมาย
เย่หยวนที่รวมสมุนไพรมาได้ครบแล้วจึงได้ทำการเช่าห้องหลอมโอสถและเริ่มทำการหลอม
ที่ด้านนอกห้องนั้นนักยุทธอย่างคนมารวมตัวกันมุงดูเรื่องราวพร้อมเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้า
“เด็กคนนี้มันคิดจะหลอมโอสถ! สมุรไพรวิญญาณที่เขาซื้อมาก็ดี ดูท่าคงเสียไปไม่ต่ำกว่าล้านผลึกปราณเทวะขั้นกลางเลยใช่ไหม?”
“พระเจ้าช่วย! เห็นว่าเป็นแค่เด็กน้อยคนหนึ่งที่แท้กลับร่ำรวย!”
“หึ ข้าว่าคงเสียเปล่าแล้ว! แค่คนเช่นนี้ก็จะหลอมโอสถฟื้นหทัยหยกประณีตขั้นเทวะได้หรือ?”
ตอนที่ 1919 เจ้าเติบโตมาจากตระกูลใด
“ออกมาแล้ว! เด็กคนนี้มันออกมาแล้ว!”
“เวลาผ่านไปแค่ไหนกันเชียวมันหลอมเสร็จแล้วอย่างนั้นหรือ?”
“หลอมกับพ่อเจ้าสิ! ดูอย่างไรก็พลาดแน่ๆ! เวลาเพียงแค่นี้มีหรือที่จะหลอมโอสถศักดิ์สิทธิ์ความยากเก้าได้?”
…
เมื่อเย่หยวนเดินออกมามันย่อมสร้างความแตกตื่นอย่างมากมาย
เพราะเขานั้นออกมาอย่างรวดเร็วด้วยเวลาไม่ถึงสี่ชั่วโมงดี
ให้พูดตามหลักการแล้วยิ่งเป็นโอสถที่ความยากสูงมันก็ยิ่งต้องใช้เวลาในการหลอมมากเท่านั้น
โอสถฟื้นหทัยหยกประณีต โอสถระดับนี้นั้นมันย่อมต้องกินเวลานานโข
ต่อให้เป็นปรมาจารย์อย่างเซินชางก็ยังต้องใช้เวลาราวแปดถึงสิบชั่วโมง หากเป็นคนทั่วไปแล้วคงกินเวลาสิบสองถึงสิบสี่ชั่วโมงเสียด้วยซ้ำ
แต่เย่หยวนแค่เดินเข้าห้องหลอมไปและกลับออกมาในเวลาไม่ถึงสี่ชั่วโมง เขาจะไปหลอมอะไรได้?
เขาคิดว่าโอสถศักดิ์สิทธิ์ความยากเก้านั้นมันเป็นผักข้างทางหรือที่จะหลอมอย่างไรก็ได้?
กับเหล่าคนสอดรู้ทั้งหลายนี้เย่หยวนย่อมไม่คิดจะไปเสียเวลาอธิบายใดๆ ด้วย
เขานั้นเดินผ่านฝูงชนมายังร้านของชายวัยกลางคนผู้นั้นอีกครั้ง
เมื่อทุกคนเห็นเช่นนั้นพวกเขาก็ได้แต่แสดงสีหน้ามึนงงออกมา
เด็กคนนี้มันไปจริง?
ไปหาเรื่องใส่ตัว?
“หืม? เด็กคนนี้มันกลับมารวดเร็วนัก?” การที่มีกลุ่มคนกลุ่มใหญ่เดินกลับมาเช่นนี้มันย่อมทำให้เซินชางและเจ้าของร้านนั้นรับรู้ได้อย่างรวดเร็ว
หลังเย่หยวนจากไปทางเซินชางก็ยังคงพยายามต่อรองด้วยวิธีต่างๆ นาๆ แต่ทางเจ้าของร้านเองก็ไม่คิดจะยอมอ่อนข้อและยื่นข้อเสนอเด็ดขาดคือต้องมีโอสถฟื้นหทัยหยกประณีตขั้นเทวะมาวางตรงหน้าเท่านั้น
เมื่อได้เห็นเย่หยวนกลับมาเซินชางก็รีบกล่าวขึ้นทันที “เด็กน้อยเจ้ากล้ากลับมาจริงๆ! อย่าบอกนะว่าเจ้าหลอมโอสถฟื้นหทัยหยกประณีตขั้นเทวะสำเร็จได้ด้วยเวลาแค่นี้?”
เมื่อชายวัยกลางคนเจ้าของร้านเห็นเย่หยวนเขาก็เบิกตากว้างแต่ไม่ได้พูดอะไรออกไป
“เรื่องนั้นย่อมแน่นอน! ไม่เช่นนั้นแล้วผู้เยาว์จะกล้ากลับมาหาพวกท่านหรือ?” เย่หยวนยิ้มตอบ
พูดไปเย่หยวนก็หยิบขวดใบน้อยออกมาโยนให้แก่เจ้าของร้าน
เจ้าของร้านรับมันไปมองดูพร้อมใบหน้าที่เปลี่ยนสีไป
ไม่ใช่เพียงแค่เขา ตอนนี้ใบหน้าของเซินชางเองก็เริ่มจริงจังขึ้นมาเช่นกัน
เพราะขวดโอสถใบน้อยนี้แค่ผ่านหน้าพวกเขาทั้งหลายก็ได้กลิ่นของโอสถที่รุนแรง ทำให้คนทั้งหลายรู้สึกสดชื่นขึ้นทันที
ไม่ต้องบอกก็รู้ได้ว่าคุณภาพของโอสถนี้มันต้องไม่ธรรมดา
เจ้าของร้านรับขวดโอสถมาและปล่อยจิตของตนลงไปค้นดูภายในและนั่นมันยิ่งทำให้ใบหน้าของเขาแสดงความแตกตื่นออกมามากกว่าเก่า
จากนั้นหลังความแตกตื่นจากหายไปมันก็กลายเป็นความยินดีแทน
แค่มองภายนอกมันก็อย่างหนึ่ง เรื่องที่ว่ามันจะเป็นโอสถขั้นเทวะจริงหรือไม่นั้นย่อมต้องมีการทดสอบ
ทุกคนต่างหันมามองเจ้าของร้านเป็นตาเดียว สีหน้านี้ของเขาเป็นคำตอบที่ดีแก่ทุกผู้คนทำให้คนทั้งหลายแตกตื่นอย่างมาก
หรือว่าในขวดใบน้อยนี้มันจะมีโอสถฟื้นหทัยหยกประณีตขั้นเทวะอยู่จริง?
เย่หยวนมองดูเจ้าของร้านอย่างเงียบๆ ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ด้วยพลังฝีมือของเขาในตอนนี้การจะหลอมโอสถฟื้นหทัยหยกประณีตขั้นเทวะวิญญาณไพศาลนั้นมันง่ายแสนง่าย ไม่ต้องพูดถึงขั้นเทวะม่วงเลย
จู่ๆ เจ้าของร้านผู้นั้นก็ได้โยนกล่องกิเลนดินออกมาให้แก่เย่หยวน “กิเลนดินนี้เป็นของเจ้า! คุณภาพของโอสถนี้มันเหนือล้ำกว่าที่ข้าคาดคิดเสียอีก หากเจ้าอยากได้อะไรเพิ่มเติมก็บอกมาได้เลย”
คำพูดเดียวนี้ทำให้ทุกผู้คนตกตะลึง!
“ม-มันเป็นโอสถฟื้นหทัยหยกประณีตขั้นเทวะจริง?”
“ตาข้าต้องฝาดไปแน่! หรือว่าเจ้าเด็กคนนี้มันจะมีฝีมือด้านโอสถที่เหนือล้ำกว่าอาจารย์เซินชาง?”
…
อาจารย์เซินชางนั้นหยุดต่อรองอยู่ครึ่งวันแต่เจ้าของร้านนั้นกลับไม่คิดยอมอ่อนข้อ
แต่ตอนนี้กิเลนดินกลับถูกมอบให้เด็กหนุ่มคนนี้ไปง่ายๆ!
เรื่องนี้มันย่อมทำให้ผู้คนตกตะลึงอย่างมาก
ในยอดเมืองหลวงจักรพรรดินั้นโอสถขั้นเทวะมันไม่ได้หายากมากมาย แต่โอสถความยากเก้าขั้นเทวะนั้นมันเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง
เพราะโอสถความยากเก้านั้นการจะหลอมมันได้แต่ละเม็ดนั้นยากเท่าฟ้า
ขั้นสวรรค์นั้นเป็นอะไรที่พบเจอได้ แต่ขั้นเทวะนั้นเป็นอะไรที่ยากจะเจอ!
แต่ตอนนี้เย่หยวนกลับจ่ายโอสถความยากเก้าขั้นเทวะออกมาง่ายๆ มีหรือที่คนทั้งหลายจะไม่ตื่นตะลึง?
ที่สำคัญตอนนี้มันยังมีเซินชางอยู่ที่ด้านข้างเป็นเครื่องยืนยันถึงความหายาก แน่นอนว่ามันยิ่งทำให้เรื่องราวน่าเหลือเชื่อไปกว่าเก่า
เย่หยวนยื่นมือออกไปรับกิเลนดินนั้นไว้ก่อนจะได้ยินเสียงเซินชางร้องขึ้น “ช้าก่อน!”
เจ้าของร้านขมวดคิ้วแน่นขึ้นทันที “อาจารย์ การค้าขายเสร็จสิ้นไปแล้ว หรือว่าท่านคิดจะทำลายข้อตกลงค้าขายของผู้อื่น?”
ในแหล่งรวมร้อยสมุนไพรข้อเสนอการค้านั้นจะถูกตกลงด้วยคนสองฝ่ายเท่านั้น
การทำลายข้อตกลงด้วยมือที่สามนั้นเป็นโทษความผิดที่รุนแรงแม้แต่คนอย่างเซินชางก็ไม่อาจแบกรับความผิดนั้นได้
เซินชางเองก็ไม่ได้ตอบออกไป เขาแค่ยื่นมือไปหาเจ้าของร้านนั้นและกล่าวขึ้น “ขอข้าดูโอสถนั้นหน่อย”
เจ้าของร้านนั้นลังเลอยู่เล็กน้อยก่อนที่สุดท้ายจะนำขวดโอสถนั้นออกมาวาง
เขานั้นไม่กังวลว่าเซินชางจะกล้าทำลายมันเพราะคุณค่าของโอสถนี้มันมิใช่สิ่งที่เขาจะหามาทดแทนชดใช้ได้ง่ายๆ
เซินชางปล่อยจิตศักดิ์สิทธิ์ของตนลงไปในขวดโอสถ
ไม่นานใบหน้าของเขาก็แข็งทื่อไปเพราะมันเป็นอย่างที่เจ้าของร้านคนนี้ว่าจริงๆ
“เด็กน้อย เจ้าเติบโตมาจากตระกูลใด?” เซินชางถามเย่หยวน
“เติบโต?” เย่หยวนมึนงงไปพักใหญ่
“เลิกวางท่าได้แล้ว! ดูอายุของเจ้าคงไม่เกินสองพันปีเสียด้วยซ้ำ หากเจ้าสามารถหลอมโอสถฟื้นหทัยหยกประณีตได้ใกล้เคียงกับขั้นเทวะม่วงเช่นนี้ด้วยอายุเท่านี้เฒ่าคนนี้จะเสียเวลาทั้งชีวิตไปเพื่ออะไรกัน?” เซินชางบอก
ได้ยินเช่นนั้นคนทั้งหลายก็เริ่มทำหน้าตาเข้าใจออกมา
ใช่!
เด็กคนนี้มันต้องมาจากตระกูลนักหลอมโอสถชื่อดังแน่ ทำให้เบื้องหลังเขามีจอมเทพโอสถสุดแกร่งอยู่มากมาย
และในจำนวนคนเหล่านั้นมันต้องไม่ได้อ่อนแอไปกว่าอาจารย์เซินจางแน่ หรือบางทีอาจจะสูงส่งกว่าเสียด้วยซ้ำ
ไม่เช่นนั้นแล้วอาจารย์เซินชางคงไม่ทำหน้าจริงจังถึงขนาดนี้
ส่วนเรื่องที่เย่หยวนใช้เวลาหลายชั่วโมงในห้องหลอมโอสถมันก็เพื่อที่จะอวดอ้างปกปิดเรื่องราวที่แท้จริงนี้
ได้ยินคำของเซินชางเย่หยวนก็ผงะไปทันที
หรือว่าฝีมือนี้ของเขาจะเก่งกาจจนเกินไป?
เซินชางคนนี้ถึงกับไม่เชื่อว่าเขานั้นเป็นคนหลอมโอสถนี้ขึ้นมาเอง
หากเขานั้นหลอมโอสถขั้นเทวะวิญญาณไพศาลแล้วเซินชางจะไม่คิดว่าคนผู้อยู่เบื้องหลังเขาเป็นโอสถบรรพกาลเลยหรือ?
“โอสถนี้ข้าเป็นคนหลอมขึ้นเอง” เย่หยวนกล่าวขึ้นด้วยท่าทางสบายๆ
เซินชางมองดูเย่หยวนด้วยสายตาเหนื่อยหน่าย “หนุ่มน้อย การอยากมีชื่อเสียงมันก็ดีหรอก แต่เจ้านั้นต้องใช้พลังฝีมือของตน! ด้วยคำพูดของเจ้าในตอนนี้หากเจ้ากลายเป็นคนดังชื่อเสียงสะท้านแผ่นดินมีผู้คนเดินทางมาขอให้เจ้าหลอมโอสถแล้วเจ้าจะทำอย่างไร? เจ้านั้นมีพื้นฐานเบื้องหลังที่ไม่เลว อย่าได้ทำอะไรหาเรื่องใส่ตัวเลย!”
ดูท่าแล้วเซินชางจะไม่คิดเชื่อเย่หยวนแม้แต่น้อย
เย่หยวนเดินออกไปซื้อสมุนไพรและใช้เวลาไม่ถึงสี่ชั่วโมงไปในกับการหลอมโอสถให้ถึงขั้นเทวะม่วง
ในสายตาของเซินชางแล้วเย่หยวนนั้นทำเรื่องราวทั้งหมดก็เพื่อปกปิดความจริง หวังว่าคนอื่นๆ จะเชื่อว่านี่คือโอสถที่เขาหลอมขึ้นมาเอง
ในความคิดของเซินชางนั้นแท้จริงแล้วเย่หยวนน่าจะมีโอสถฟื้นหทัยหยกประณีตขั้นเทวะติดตัวมาแต่แรก
หากเขามาจากตระกูลหลอมโอสถชื่อดังจริงแล้วการจะพกโอสถเช่นนี้ติดตัวมันก็เป็นไปได้
เพียงแค่ว่าการ ‘แสร้ง’ นี้ของเย่หยวนมันทำให้เซินชางปวดใจ
ที่ด้านข้างทั้งไป๋เฉินทั้งหนิงเทียนปิงต่างไม่อาจทนรับฟังได้อีกต่อไปจนแทบจะเถียงขึ้นมาแต่กลับเป็นเย่หยวนที่ห้ามพวกเขาไว้
“ท่านอาจารย์เซินชางสั่งสอนได้ดี ผู้เยาว์รับทราบแล้ว แต่ทว่าตระกูลที่ข้าเติบโตมานั้นไม่ได้อยู่กับข้าที่นี่ คิดว่าท่านคงต้องผิดหวังแล้ว” เย่หยวนยิ้มตอบไป
เย่หยวนนั้นเข้าใจดีว่าไม่ว่าจะอธิบายไปเท่าใดชายแก่คนนี้ก็คงไม่มีทางจะเชื่อในคำพูดของเขาอย่างแน่นอน จึงได้แต่ต้องตอบตามน้ำไปเพื่อตัดปัญหา
ตอนที่ 1920 โอสถอันยากเย็น
ได้ยินคำของเย่หยวนนี้เซินชางก็แสดงสีหน้าเสียดายออกมา
ยอดนักหลอมโอสถที่สามารถหลอมโอสถฟื้นหทัยหยกประณีตได้ถึงขั้นนี้มันย่อมต้องเป็นยอดคนแห่งยุคแน่นอน
เมื่อขึ้นมาถึงระดับนี้แล้วการที่จะได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกับยอดนักหลอมโอสถคนอื่นๆ นั้นมันย่อมมีค่ากว่าการได้กิเลนดินนี้ไปอย่างมากมาย
เซินชางมองดูเย่หยวนก่อนจะพยักหน้าออกมา “เด็กน้อย เจ้าติดตามคนยิ่งใหญ่เช่นนั้นเจ้าต้องบ่มเพาะให้ดี! แค่ได้เรียนรู้แค่สิบหรือยี่สิบจากที่เขามีทั้งหมดมันก็จะเป็นประโยชน์แก่เจ้าไปทั้งชีวิตแล้ว”
เพราะท่าทางยอมรับผิดของเย่หยวนนี้มันทำให้มุมมองของเขาต่อเย่หยวนดีขึ้นมาก
เพราะการสารภาพผิดนั้นจะได้ลดโทษกึ่งหนึ่ง
เพียงแค่ว่าสายตาของเขาในตอนนี้ไม่ได้มองดูที่หนิงเทียนปิงและไป๋เฉินที่ด้านหลังเย่หยวนเลย
เย่หยวนยิ้มออกมาเมื่อได้ยินเช่นนั้น “ขอรับ ผู้เยาว์จะตั้งใจขึ้นจากวันนี้ไป เช่นนั้นแล้ว…ผู้เยาว์ขอตัวนำกิเลนดินนี้ไปได้หรือยัง?”
มุมปากของเซินชางกระตุกขึ้นมานิดหน่อยก่อนจะยกมือขึ้นโบกปัดแสดงท่าบอกให้เย่หยวนเอามันไป
กิเลนดินนี้มันแสนล้ำค่า แม้จะมีเงินมากมายก็ใช่จะซื้อได้
หากไม่ได้ครานี้แล้วเขาเองก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่จะได้พบได้เจอมันอีก
เย่หยวนจึงย่อมไม่คิดเกรงใจรีบเก็บกิเลนดินลงไปทันที
“เด็กน้อย ข้าขอถามชื่อตระกูลที่เลี้ยงดูเจ้าได้หรือไม่? เจ้ามาจากที่ไหนกันแน่?” เซินชางนั้นยังไม่คิดเลิกราและอยากรู้อยากเห็นถึงเบื้องหลังของเย่หยวน
ส่วนทางเย่หยวนก็ขี้เกียจต้องสร้างเรื่องราวใดๆ ขึ้นมาจึงบอกปัดออกไป “อาจารย์ท่าน ตระกูลข้านั้นได้กำชับมาอย่างหนักว่าเวลาไปไหนมาไหนอย่าได้เอ่ยอ้างชื่อตระกูล ไม่เช่นนั้นแล้วข้าจะถูกทางตระกูลลงโทษเอา ต้องขออภัย”
เมื่อเซินชางได้ยินเช่นนั้นเขาก็ถอนหายใจยาวด้วยท่าทางหมดหวังก่อนจะเดินจาก
ชายวัยกลางคนที่ขายโอสถจึงได้มีโอกาสพูดขึ้นบ้าง “น้องชายท่าน แม้ว่าโอสถนี้มันจะมิใช่ฝีมือของท่านจริงๆ แต่มันก็ยังช่วยข้าได้มากมาย คุณค่าของมันนั้นสูงล้ำกว่ากิเลนดินมากมาย หากน้องชายอยากได้อะไรเพิ่มเติมขอให้บอกมาได้เลย”
เดิมทีคุณค่าของโอสถความยากเก้ามันย่อมเหนือล้ำกว่าที่สมุนไพรวิญญาณระดับห้าจะเทียบเคียง
เพียงแค่ว่ากิเลนดินนี้มันหายากจนเกินไปทำให้ชายวัยกลางคนผู้นี้รู้สึกว่าตัวเองอาจจะสามารถบิดราคามันขึ้นได้ จึงคิดใช้มันแลกกับโอสถฟื้นหทัยหยกประณีตขั้นเทวะ
แม้ว่าตัวเขาจะเป็นเทพถ่องแท้แต่หากให้เขาไปซื้อโอสถฟื้นหทัยหยกประณีตขั้นเทวะเอาตรงๆ แล้วต่อให้ขายสิ้นทั้งเนื้อทั้งตัวเขาก็ไม่อาจจะซื้อหามันมาได้
โอสถฟื้นหทัยหยกประณีตขั้นเทวะนั้นแม้แต่เซินชางยังหลอมมันไม่ได้ แน่นอนว่ามันย่อมมีค่ามากมายมหาศาล
เย่หยวนยกมือขึ้นคารวะบอก “ไม่จำเป็น โอสถนี้ไม่ได้มีค่ามากมายใด คิดเสียว่าเป็นของขวัญแก่เพื่อนใหม่แล้วกัน”
ชายวัยกลางคนผู้นั้นผงะไปเล็กน้อย ไม่นึกไม่ฝันว่าเย่หยวนจะใจกว้างได้ขนาดนี้
แต่คิดไปแล้วเขาก็โล่งใจ
เพราะด้วยที่มาของเย่หยวนที่เขาเชื่อ มันย่อมเหนือล้ำจนไม่คิดจะมาสนใจแค่โอสถเม็ดเดียวแค่นี้เป็นแน่
“น้องชาย ข้าจะนับเจ้าเป็นสหายแล้วกัน! ครั้งนี้ถือว่าข้าติดค้างเจ้าหนึ่งอย่าง หากวันหน้าเจ้ามีเรื่องอะไรอยากให้ช่วยก็มาบอกฮั่วเจิ้นผู้นี้ได้เลย” ฮั่วเจิ้นยกมือขึ้นคารวะตอบและเดินจากไป
…
ภายในห้องหลอมโอสถของแหล่งรวมร้อยสมุนไพร ไป๋เฉินและหนิงเทียนปิงต่างแสดงสีหน้าท่าทางไม่พอใจสุดขีดออกมา
ตงน้อยที่กำลังกอดหมูสมบัติอยู่เองก็มีสายตาขุ่นเคืองเช่นกัน
“ข้าว่าไอ้เฒ่านั้นมันคงหาทางเอาหน้ารอด น่าสมเพชจริงๆ!” ไป๋เฉินบอก
“ไอ้เฒ่าผู้นั้นมันไม่อาจจะหลอมโอสถได้ด้วยตัวเองและยังมาคิดว่าคนอื่นจะอ่อนหัดเหมือนตัว ไม่เชื่อว่าโอสถนั้นถูกหลอมขึ้นมาด้วยน้ำมือนายท่านจริงๆ ช่างน่าขัน! อวดดีแท้!” หนิงเทียนปิงเสริม
เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “รู้หรือไม่รู้ สุดท้ายพลังฝีมือของใครย่อมเป็นของผู้นั้น ไม่ต้องให้ผู้คนมาเห็นดีเห็นชอบด้วยหรอก เมื่อใดก็ตามที่เราแสดงฝีมือออกมาต่อหน้าพวกเขาแล้วมันยังต้องมีอะไรให้อธิบายกันอีกเล่า?”
หนิงเทียนปิงและไป๋เฉินเบิกตากว้างไปพร้อมพูดทวนคำของเย่หยวน
ตอนนี้แม้แต่ตงน้อยก็มองดูเย่หยวนด้วยสายตาแปลกใจ
เขานั้นเป็นผู้ที่มีชีวิตมาแสนนานและแน่นอนว่าย่อมไม่คิดอะไรมากมายกับโลกเบื้องล่างอีกแล้ว แต่ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าแม้แต่ตัวเขาก็ยังจะมองโลกได้ไม่สงบเท่าเด็กคนนี้
สภาพจิตใจของเย่หยวนนั้นมันเหนือล้ำโลกหล้าทั้งหลายไปสิ้น ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงพัฒนาตัวเองมาถึงทุกวันนี้ได้
เย่หยวนมองดูตงน้อยและกล่าวขึ้น “เจ้าเองก็โชคดี โชคข้าเองก็เช่นกัน ไม่ว่าอย่างไรเสียเมื่อได้สมุนไพรวิญญาณมาครบแล้วโอสถมันก็ย่อมหลอมได้”
ตงน้อยบอก “ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ข้าก็ต้องขอขอบคุณเจ้า!”
กับเทพสวรรค์แล้วการกลายสภาพเป็นอย่างตงน้อยนี้คือสิ่งที่พวกเขาไม่อยากยอมรับมากที่สุด
ความรู้สึกอ่อนแอไร้พลังนี้มันย่อมไม่มีใครชอบ
ต่อให้พวกเขาจะรวมสมุนไพรมาได้ครบตงน้อยก็ยังเผื่อใจเอาไว้อีกขั้นว่าเย่หยวนจะสามารถทำการหลอมมันได้สำเร็จหรือไม่
นี่ไม่ใช่เพราะตงน้อยสงสัยในความสามารถของเย่หยวนแต่เป็นเพราะว่าโอสถย้อนฝันพิรุณชำระนั้นมิใช่โอสถทั่วๆ ไปวิธีการหลอมมันนั้นสุดแสนยุ่งยาก
ในหมู่โอสถความยากเก้าด้วยกันนั้นมันนับว่าเป็นสิ่งที่ยากที่สุด
โอสถเช่นนี้มันเป็นอะไรที่แทบสาบสูญคนบนโลกนี้รู้จักอยู่แค่หยิบมือและมีแค่ไม่กี่คนจริงๆ เท่านั้นที่จะรู้ถึงวิธีหลอมมันขึ้นมา
เหล่าสมุนไพรวิญญาณที่ใช้ในการหลอมมันเองก็เป็นประเภทที่หาได้ยากยิ่งเช่นกัน
ความหายากเช่นนี้มันย่อมบ่งบอกถึงการใช้ที่จำกัด
และในเมื่อไม่เคยได้ยินแม้แต่ชื่อของมันมาก่อนจะหลอมมันได้อย่างไร?
นั่นจึงทำให้โอสถที่หายากจนแทบสาบสูญเช่นนี้มันล้วนเป็นความท้าทายต่อนักหลอมทุกคน
อย่าว่าแต่เย่หยวน แม้จะเป็นตัวตงน้อยในยามปกติเขาเองก็ไม่อาจจะหลอมมันขึ้นมาได้เช่นกัน
หากไม่ใช่เพราะเห็นว่าเย่หยวนขึ้นมาถึงอาณาจักรเต๋าขั้นสุดแห่งวิชาโอสถเขาเองก็คงไม่คิดจะขอร้องให้เย่หยวนหลอมโอสถสุดยากเย็นเช่นนี้ขึ้นมา
เย่หยวนพยักหน้า “พวกเจ้าไปรออยู่ที่ห้องด้านนอกเถอะ ข้าคงต้องขอตัวเก็บตัวเรียนรู้ทำความเข้าใจเหล่าสมุนไพรวิญญาณทั้งหลายนี้ก่อน เพราะไม่ว่าอย่างไรเสียมันก็มีโอกาสแค่หนเดียว”
เมื่อคนทั้งหลายเดินมาถึงห้องด้านนอกสีหน้าของตงน้อยก็แสดงความกังวลออกมาในทันที
“ท่านตง นายท่านข้าลงมือเองเช่นนี้แล้วท่านจะยังกังวลสิ่งใดอีก? ตั้งแต่ที่ข้าติดตามเขามาข้าไม่เคยเห็นนายท่านจะหลอมโอสถพลาดเลยสักครั้ง!” เมื่อได้เห็นท่าทางกังวลของตงน้อยหนิงเทียนปิงก็พูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มแสนมั่นใจ
ตงน้อยได้แต่ส่ายหัวออก “เจ้าจะไปรู้อะไร!”
ปริมาณของกิเลนดินที่ได้มานี้มันแค่พอให้เย่หยวนหลอมหนึ่งชุดเท่านั้น เพราะฉะนั้นมันจะไม่มีโอกาสที่สองเด็ดขาด
เพราะฉะนั้นเย่หยวนจึงต้องระมัดระวังอย่างมาก
ตงน้อยนั้นเข้าใจถึงความยากในการหลอมมัน เขาเข้าใจมันได้อย่างดีกว่าที่ใครๆ จะเข้าใจ
การที่หลอมโอสถฟื้นหทัยหยกประณีตได้มันไม่ได้จะหมายความว่าสามารถหลอมโอสถย้อนฝันพิรุณชำระได้
การหลอมโอสถนั้นมันก็เหมือนกับการบ่มเพาะแบบหนึ่ง
หากจะบอกว่าความเข้าใจในวิชาหลอมเป็นกำลังภายใน เช่นนั้นความเข้าใจในตัวสมุนไพรยาทั้งหลายก็เป็นกำลังภายนอก
คนที่คิดหลอมโอสถนั้นต้องทำความเข้าใจบ่มเพาะทั้งกำลังภายในและภายนอกไปพร้อมๆ กันจึงจะสามารถหลอมโอสถออกมาได้อย่างมีคุณภาพ
แต่โอกาสที่ทั้งเถ้าไม้เหล็ก สาหร่ายหทัยดำและกิเลนดินนี้จะโผล่ออกมาในตลาดทั้งหลายนั้นมันแสนต่ำ
เย่หยวนนั้นมีโอกาสแค่ครั้งเดียว เขาจะหลอมมันได้ถึงขั้นไหนเรื่องนั้นมันคงต้องตัดสินที่ว่าเขาเข้าใจสมุนไพรวิญญาณทั้งสามตัวนี้มากเพียงใด
เขานั้นค่อยๆ หั่นชิ้นเล็กๆ ออกมาจากสมุนไพรทั้งหลายนั้นและค่อยๆ ทำการทดลองเพื่อเข้าใจคุณสมบัติของพวกมัน
การทำเช่นนี้มันเป็นอะไรที่เสียเวลาและเหนื่อยยากมาก
เพราะในแต่ละส่วนของสมุนไพรวิญญาณมันล้วนแต่มีแนวคิดที่แตกต่างกันผสานอยู่ แต่เย่หยวนกลับต้องวิเคราะห์สมุนไพรทั้งชิ้นด้วยส่วนเล็กๆ แค่ส่วนเดียวนี้
จากนั้นเขายังต้องเริ่มทำการหลอมทั้งหมดจากแค่สูตรการหลอมเพียงอย่างเดียว
การทำเช่นนั้นมันเป็นอะไรที่ยุ่งยากอย่างถึงที่สุด
ต่อให้ตอนนี้เย่หยวนจะมีพลังจิตมากมายมันก็ยังคงมากกว่าที่เขาจะแบกรับได้
แต่เขานั้นไม่มีทางเลือกอื่น
เพราะหากใช้มากกว่านี้มันจะส่งผลถึงตัวการหลอมโอสถได้
ที่สำคัญกว่านั้นคือในหมู่สมุนไพรวิญญาณทั้งหลายนี้ เกินกว่าครึ่งเย่หยวนไม่เคยจะพบเจอมันมาก่อน!
นั่นทำให้เขายิ่งต้องทำการทดลองอย่างระมัดระวัง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น