Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1908-1915

 ตอนที่ 1908 เมื่อผู้ใดบรรลุเต๋า หมูหม...

 

“ยอดนักหลอมโอสถ? หึ เจ้าจะเก่งกาจแค่ไหนกัน? เจ้าคิดว่าตัวเองสามารถหลอมโอสถระดับหกได้อย่างนั้นหรือ?” หยูเหวินเฟิงบอก


จอมเทพโอสถห้าดาวนั้นมีอยู่ทั่วไปทั้งเมืองหลวงจักรพรรดิ แถมยังมีคนที่เก่งกาจอยู่มากมายมหาศาล


เขาย่อมไม่เชื่อว่าเย่หยวน จอมเทพโอสถห้าดาวคนหนึ่งนี้จะเก่งกาจได้มากมาย


เพราะเรื่องราวที่หลินฉางชิงไปสร้างความวุ่นวายที่เมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นั้นมันเพิ่งผ่านไปได้ไม่นาน แต่เย่หยวนกลับมาถึงที่เมืองหลวงจักรพรรดินี้อย่างรวดเร็วทำให้ข่าวเหล่านั้นยังไม่ได้แพร่กระจายกันในเมืองหลวงจักรพรรดิ


แน่นอนว่าเรื่องทั้งหลายนี้มันเพราะว่าหวู่เทียนได้ตายลงไปก่อนทำให้ข่าวสารต่างๆ ที่ควรส่งกลับมามันช้าลงไปมาก


หากพวกเขารู้ว่าเย่หยวนสามารถโยนโอสถฟ้าตะวันจันทราทิ้งได้ง่ายๆ พวกเขาทั้งหลายย่อมต้องคิดกราบไหว้เย่หยวนเป็นยอดอัจฉริยะหาใดเปรียบไปแล้ว


ฟุบ! ฟุบ! ฟุบ!


เย่หยวนโยนขวดโอสถน้อยออกไปสามขวดให้แก่ยอดฝีมือทั้งสามนั้น


คนทั้งสามหยิบขวดใบน้อยขึ้นมาดูพร้อมเบิกตากว้าง


จากนั้นพวกเขาก็เงยหน้าหันไปมองเย่หยวนเป็นตาเดียวอย่างพร้อมเพรียง


แม้ว่ามันจะมิใช่โอสถฟ้าตะวันจันทราที่เหนือล้ำนั้นแต่โอสถที่เย่หยวนโยนออกมาให้พวกเขาทั้งหลายดูมันก็มากพอจะทำให้พวกเขาตื่นตะลึง


เพราะไม่ว่าอย่างไรเสียโอสถที่เย่หยวนโยนมามันก็เป็นโอสถศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะวิญญาณไพศาล!


“พี่เจียง ไปกันเถอะ!”


พูดจบเย่หยวนก็เดินจากไป


ทุกคนได้แต่มองตามหลังเย่หยวนสลับกับใบหน้าของยอดฝีมือทั้งสาม


พวกเขาไม่รู้ว่าเย่หยวนโยนโอสถใดมาให้ เหตุใดสามยอดฝีมือนี้จึงมีใบหน้าราวกับคนเสียสติเช่นนั้นไปได้


“ท่านพ่อ มันไปแล้วนะ!” หยูจินซงร้องบอกอย่างโกรธแค้น


ผัวะ!


เสียงตบหนึ่งดังขึ้นส่งร่างหยูจินซงปลิวลอยไปทันที


“จับเจ้าลูกไม่รักดีของข้านี้กลับไป!”


พูดจบเขาก็หายไปทันที


หลี่คงหมิงและเจ้าหอยอดดอกเองก็หายไปจากจุดนั้นพร้อมๆ กันเช่นกัน


ทุกผู้คนได้แต่มองภาพตรงหน้านี้อย่างตกตะลึง ไม่เข้าใจเลยแม้แต่นิดว่ามันเกิดเรื่องราวอะไรขึ้นกันแน่


โอสถสามเม็ดที่ทำให้ยอดฝีมือทั้งสามต้องเปลี่ยนท่าทีจากหน้ามือเป็นหลังมือเช่นนี้


ทุกผู้คนนั้นรู้ดีว่าหยูจินซงนั้นเป็นลูกรักของหยูเหวินเฟิงแค่ไหน แต่ตอนนี้เขากลับบอกให้จับตัวหยูจินซงกลับไป


เย่หยวนคนนี้ช่างน่ากลัวยิ่ง



และเรื่องราวการบุกลานประหารแห่งเมืองหลวงจักรพรรดิเก้ามั่นมันก็จบลงเช่นนั้น


แต่ตอนนี้เย่หยวนได้กลายเป็นตำนานแห่งเมืองหลวงจักรพรรดิเก้ามั่นไปเสียแล้ว


นภาสวรรค์หกดาวผู้หนึ่งกลับสามารถสร้างเรื่องราวที่แสนใหญ่โตในเมืองหลวงจักรพรรดิและรอดกลับไปได้แบบครบสามสิบสอง


ที่สำคัญกว่านั้นทั้งสามขั้วอำนาจต่างไม่มีใครกล้าประกาศสงครามใดๆ ต่อเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์อีกด้วย


ไม่นานนักมันก็มีอีกข่าวหนึ่งแพร่กระจายมาถึงสามขั้วอำนาจ


ไม่นานมานี้มีเทพสวรรค์ที่บุกไปถึงเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์และถูกไล่กลับไปด้วยความพ่ายแพ้


และข่าวน้อยๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างนั้นก็คือเย่หยวนหยิบโอสถฟ้าตะวันจันทราขั้นเทวะวิญญาณไพศาลออกมาโยนทิ้ง!


ข่าวทั้งสองนี้มันเหมือนฟ้าที่ฝ่าลงกลางหัวผู้คนทำให้สามขั้วอำนาจต้องสั่นสะท้านไปตามๆ กัน


ไม่นานนักข่าวที่ยิ่งใหญ่กว่าเก่ามันก็ถูกประกาศออกมาจากทางจวนเจ้าเมือง


เพราะมันคือข่าวที่ว่าเย่หยวนถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้ตรวจการสิบเมืองสันเขาใต้!


ที่สำคัญกว่านั้นคือเย่หยวนได้ถูกตั้งเป็นผู้ตรวจการแต่ไม่ต้องรายงานหรือจ่ายค่าดูแลให้แก่เมืองหลวงจักรพรรดิเลยแม้แต่น้อย!


ทั้งยังไม่ต้องรับฟังคำสั่งใดๆ จากทางเมืองหลวงจักรพรรดิด้วย!


เมื่อคำสั่งนี้ถูกสั่งออกมาเมืองหลวงจักรพรรดิเก้ามั่นทั้งหมดก็แตกตื่นอย่างหยุดไม่อยู่


นี่มันเท่ากับว่าพวกเขานั้นยอมรับให้เย่หยวนเป็นผู้ปกครองเด็ดขาดของสิบเมืองสันเขาใต้ ตัดขาดไม่ต้องขึ้นต่อเมืองหลวงจักรพรรดิอีกต่อไป


ในความเป็นจริงแล้วสิบเมืองสันเขาใต้นั้นเป็นแค่ดินแดนรกร้างบ้านนอก เต็มไปด้วยเมืองจักรพรรดิจนๆ แค่ตัดออกไปนั้นมันไม่ได้เสียหายต่อเมืองหลวงจักรพรรดิเก้ามั่นมากมายนัก


แต่เรื่องราวแยกการแยกเขตปกครองอิสระออกไปเช่นนี้มันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในการปกครองเมืองหลวงจักรพรรดิเก้ามั่น


เมื่อข่าวนี้ถูกประกาศออกมา ทั้งเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ต่างมีแต่ความปิติยินดี


เดิมทีนั้นเย่หยวนก็เป็นตัวตนที่ราวกับเทพในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์อยู่ก่อนแล้ว และตอนนี้จากผู้อาวุโสใหญ่ได้กลายเป็นผู้ตรวจการ มันทำให้อนาคตของพวกเขาทั้งหลายนั้นแจ่มใสขึ้นมาก


เพราะไม่ว่าอย่างไรเสีย ส่วยที่พวกเขาต้องจ่ายต่อเมืองหลวงจักรพรรดินั้นมันก็เป็นจำนวนที่มากมหาศาล


และแน่นอนว่าส่วนที่มากจนเป็นภาระหนักของเมืองจักรพรรดิเช่นนี้ได้มันต้องเป็นจำนวนที่มากมหาศาลเกินนับ


เป็นเพราะเหตุนี้เองที่ทำให้เมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นั้นไม่อาจพัฒนาตัวไปได้มากมายเสียที


หลังจากเย่หยวนได้ตำแหน่งผู้ตรวจการมาแล้วแน่นอนว่าส่วยภาษีต่างๆ มันย่อมเบาบางลงอย่างมาก เรื่องนี้มันทำให้นักยุทธทุกผู้คนขอบคุณมาจากหัวใจ ทำให้ความนิยมในตัวเย่หยวนนั้นยิ่งเพิ่มพูนขึ้นในหมู่สิบเมืองสันเขาใต้


แต่ทว่ามันก็ยังมีเรื่องให้อึดอัด


เพราะหลังจากการมาถึงของเล้งชิวหลิง ตำแหน่งของโซชูเจียและเหล่านภาสวรรค์ทั้งหลายของเมืองก็เริ่มอึดอัดขึ้นมา


เพราะตอนนี้อิ้งหมัวหู่ได้เลือดของพยัคฆ์ขาวมามันจึงทำให้พลังฝีมือของเขาพัฒนาอย่างไม่มีหยุดยั้งและขึ้นมาถึงระดับห้าขั้นกลางแล้ว


ส่วนหนิงเทียนปิงเองก็พัฒนาตัวจนขึ้นมาถึงอาณาจักรนภาสวรรค์สี่ดาว


เล้งชิวหลิงนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงเพราะตั้งแต่นางได้เลือดแท้วิหคชาดไปนางก็พัฒนาตัวเองขึ้นได้อย่างรวดเร็วจนตอนนี้ขึ้นมาถึงอาณาจักรนภาสวรรค์ขั้นปลาย เป็นนภาสวรรค์เจ็ดดาวเข้าไปแล้ว


เทียบกันแล้วโซชูเจีย เจ้าเมืองคนนี้กลับไม่ได้พัฒนาไปมากมายมันจึงสุดแสนที่จะอึดอัด


แต่เย่หยวนนั้นได้รับสมุนไพรอย่างมากมายก่อนจะออกจากมิติอนัตตามาทำให้โอสถระดับต่ำๆ ที่เขามีติดตัวมันก็ไม่น้อย และแน่นอนว่าโซชูเจียเองก็ได้กินโอสถเหล่านั้นไป


ด้วยการชี้นำของเย่หยวนตอนนี้โซชูเจียและพวกจึงสามารถบรรลุขึ้นมาได้อีกครั้ง


ในวันนี้เป็นวันที่โซชูเจียบรรลุขึ้นมาถึงอาณาจักรนภาสวรรค์สามดาวได้และจึงมุ่งหน้ามาหาเย่หยวนในทันที


“โซชูเจียขอบคุณนายท่าน! หากไม่ได้นายท่านแล้วชูเจียคงไม่อาจบรรลุขึ้นมาถึงนภาสวรรค์สามดาวเช่นนี้ได้ในชีวิตนี้!” โซชูเจียร้องบอกพร้อมก้มกราบแทบพื้น


เรื่องราวร่างกายของตนเอง เจ้าตัวย่อมรู้ดีที่สุด โซชูเจียนั้นรู้ดีว่าตนนั้นหมดสิ้นหนทางพัฒนาตัวไปแสนนานแล้วและคงไม่อาจบรรลุขึ้นอาณาจักรนภาสวรรค์สามดาวได้อีกในชาตินี้


แต่โอสถที่เย่หยวนให้มานั้นมันกลับพลิกชีวิตให้แก่เขาใหม่ มิใช่เพียงแค่ช่วยให้เขาบรรลุขึ้นอาณาจักรนภาสวรรค์สามดาวเท่านั้นแต่ยังเพิ่มโอกาสให้แก่ชีวิตเขาอีกครั้งหนึ่ง


เขานั้นสัมผัสได้ถึงร่างกายที่ยังสามารถพัฒนาต่อไปได้อีกครั้ง สามารถเรียนรู้เต๋าสวรรค์ได้อีกครั้งและในวันหน้าอาจจะขึ้นไปถึงนภาสวรรค์สี่ดาวได้!


เรื่องเช่นนี้ก่อนหน้าเขาย่อมไม่เคยคิดถึงมัน


และเรื่องทั้งหมดนี้มันก็เพราะโอสถขั้นเทวะโมฆะและขั้นเทวะวิญญาณไพศาลทั้งหลาย


เพราะแม้จะเป็นแค่โอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับห้าแต่หลินฉางชิง เทพสวรรค์ที่มาจากวังพำนักจักรพรรดิเทพสวรรค์ยังเสียดายมัน!


โซชูเจียย่อมรู้ดีว่าโอสถเช่นนี้นำมามอบให้แก่เขามันเป็นการเสียของมากแค่ไหน


โอสถระดับนี้นำไปให้เหล่ายอดอัจฉริยะทั้งหลายใช้จะดีกว่าหลายเท่า


แต่เย่หยวนกลับมอบมันให้เขาอย่างไม่คิดลังเล!


เพราะฉะนั้นความตื้นตันที่โซชูเจียมีต่อเย่หยวนมันจึงสุดแสนจะล้นพ้น


“พี่โซพูดอะไรกัน? ตอนนั้นหากไม่มีท่านแล้วมีหรือที่จะมีเย่หยวนในวันนี้ เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้หาใช่เรื่องที่ต้องมาก้มหัวขอบคุณกัน ในวันหน้าท่านจะยิ่งได้รู้ว่าเรื่องนี้มันเล็กน้อยเพียงใด และแน่นอนว่าการบ่มเพาะของท่านเองก็ย่อมไม่หยุดลงที่อาณาจักรนภาสวรรค์สามดาวแน่!” เย่หยวนบอกด้วยรอยยิ้ม


เมื่อโซชูเจียได้ยินเช่นนั้นร่างของเขาก็สั่นเครือ


ใช่แล้ว เรื่องแค่นี้มันจะมีค่าใดในสายตาเย่หยวน?


อย่างที่เขาว่ากัน เมื่อผู้ใดบรรลุเต๋า หมูหมากาไก่ของเขาย่อมบรรลุขึ้นสวรรค์ตาม คำพูดนี้มันคงมีความหมายถึงเรื่องนี้อย่างแน่นอน


“ขอบคุณมากนายท่าน! นายท่าน โซคนนี้มาในวันนี้หนึ่งก็เพื่อขอบคุณท่าน แต่อีกเรื่องก็เพื่อมาขอลงจากตำแหน่งเจ้าเมือง!” โซชูเจียบอก


เพราะตอนนี้เย่หยวนก็ไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากผู้ปกครองอย่างแท้จริง เรื่องที่ว่าใครจะเป็นเจ้าเมืองใดเขาย่อมเป็นคนที่มีสิทธิตัดสินที่สุด


เย่หยวนย่อมรู้ดีว่าโซชูเจียคิดอะไรอยู่ในหัวใจและยกมือขึ้นมาบอกปัดทันที “พี่โซ ท่านอย่าทำเช่นนี้เลย ท่านนี่แหละเจ้าเมือง! ตำแหน่งของเจ้าเมืองนั้นมิใช่แค่ว่ามีพลังบ่มเพาะแล้วจะพอเสียหน่อย เรื่องราวแผนการดูแลทั้งหลายมันก็ต้องช่ำชอง คนอื่นๆ ย่อมไม่อาจจะมาสานต่องานของเจ้าเมืองได้อย่างง่ายดายแน่ คนที่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้ที่สุดย่อมเป็นท่าน พี่โซ ข้าผู้ตรวจการคนนี้เองก็ได้รับหน้าที่ที่เกินกว่าตนจะจัดการไหวมา มันมีเรื่องยุ่งยากมากมายให้ข้าต้องเจอทุกวี่วัน ท่านเองก็น่าจะทราบดีว่าความทะเยอทะยานของข้านั้นมันไม่ได้มีอยู่แค่นี้ เรื่องราวเล็กน้อยทั้งหลายนี้ข้าหวังว่าจะให้พี่โซท่านช่วยดูแลแทนข้าด้วย”


เย่หยวนบอกออกมาอย่างซื่อตรงทำให้โซชูเจียทั้งรู้สึกกลัวและซาบซึ้ง


เขาย่อมรู้ดีถึงความทะเยอทะยานของเย่หยวน มีหรือที่มันจะมาหยุดแค่สิบเมืองสันเขาใต้นี้?


เพียงแค่ว่าหากมองสภาพตอนนี้แล้วเย่หยวนคงคิดใช้ที่แห่งนี้เป็นฐานที่มั่นของเขาอย่างแน่นอน ซึ่งมันทำให้โซชูเจียดีใจอย่างมาก


“ในเมื่อนายท่านว่าเช่นนั้นมา… โซผู้นี้ก็ย่อมต้องพยายามทำงานต่อไปให้สมกับตำแหน่ง!”


ระหว่างที่คนทั้งสองกำลังคุยกันไปหนิงเทียนปิงก็ได้เข้ามารายงาน “นายใหญ่ มียอดฝีมือผู้หนึ่งเดินทางมาขอพบท่าน เขาบอกว่าเขาเป็นศิษย์ของท่าน”

 

 

 


ตอนที่ 1909 ความคิดบ้าๆ

 

“ลูกศิษย์?”


เย่หยวนที่ได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วขึ้นมาทันทีก่อนจะหยุดคิดไปนานแสนนาน แต่เขาไปรับลูกศิษย์จริงๆ จังๆ ตั้งแต่ตอนไหนกัน?


แต่คิดไปคิดมาแล้วมันก็คงไม่มีใครที่จะบ้าถึงขั้นมาอ้างเป็นศิษย์เขาหน้าประตูบ้านของเขา


“พาเขาเข้ามา” เย่หยวนสั่ง


ไม่นานนักหนิงเทียนปิงก็ได้นำพาชายหนุ่มผู้หนึ่งที่มีใบหน้าหล่อเหลาได้รูปเข้ามา


“ท่านอาจารย์!” เมื่อชายหนุ่มเห็นเย่หยวนเขาก็ร้องขึ้นมาด้วยท่าทางตื่นเต้นดีใจก้มหัวลงกราบแทบพื้นทันที


เมื่อได้เห็นหน้าของอีกฝ่ายแล้วเย่หยวนก็จับได้ขึ้นมาทันทีว่าศิษย์คนนี้เป็นใครและตอบรับกลับไปด้วยท่าทางตื่นเต้นดีใจไม่น้อยไปกว่ากัน


“ไป๋เฉิน!”


ชายหนุ่มคนนี้คือศิษย์ที่เย่หยวนรับไว้ตอนยังอยู่ในดินแดนนภาบรรพต เขาคือเจ้าวังเทวะรัตติกาลฉาย ไป๋เฉินนั่นเอง


จากกันไปนับพันปีเย่หยวนย่อมไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมาหาเขาถึงที่แห่งนี้จึงรู้สึกอบอุ่นซาบซึ้งหัวใจอย่างมาก


หนิงเทียนปิงและโซชูเจียที่ด้านข้างนั้นมองดูภาพตรงหน้าด้วยใบหน้ามึนงง


ยอดนภาสวรรค์เก้าดาวขั้นสุดผู้นี้กลับเรียกเย่หยวนว่าอาจารย์ มันเป็นเรื่องที่ดูแปลกตาไม่น้อย


พวกเขาย่อมไม่ได้สงสัยในคุณสมบัติของเย่หยวน เพียงแค่ว่าการที่ศิษย์จะเหนือล้ำกว่าอาจารย์ไปได้มันก็ต้องมีขอบเขตกันบ้าง


ที่สำคัญไป๋เฉินคนนี้เองก็ยังหนุ่มยังแน่น แต่กลับสามารถพัฒนาขึ้นไปถึงนภาสวรรค์เก้าดาวขั้นสุดได้มันจึงทำให้พวกเขาแปลกประหลาดใจมาก


“ชิๆ นายท่านนี่ก็เป็นนายท่านจริงๆ แม้แต่ศิษย์ที่รับเข้ามายังยอดเยี่ยมขนาดนี้!” หนิงเทียนปิงบอกขึ้น


“เจ้าเองก็ติดตามนายท่านมานาน เจ้าเคยเห็นท่านรับศิษย์หรือไม่?” โซชูเจียถาม


หนิงเทียนปิงส่ายหัวออกมา “ไม่เคย”


โซชูเจียหรี่ตาลงทันทีด้วยความตื่นตกใจ “เช่นนั้นมันย่อมหมายความว่าศิษย์คนนี้นายท่านรับมาตั้งแต่ก่อนจะมาอยู่เมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์เรา? เช่นนั้นศิษย์คนนี้… ก็จะเก่งกาจจนเกินไปแล้วใช่ไหม?”


ไป๋เฉินนั้นมีอายุที่น้อยกว่าเย่หยวนเสียด้วยซ้ำ เหตุใดเขาจึงสามารถบ่มเพาะได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้กัน?


“ฮ่าๆ รีบลุกขึ้นมาๆ! ไม่นึกเลยว่าผลวิญญาณเต๋าที่เจ้าหลอมซับไปนั้นจะเป็นถึงผลวิญญาณเต๋านภาสวรรค์เก้าดาวขั้นสุด ตอนนี้เจ้ามีพลังที่เหนือล้ำกว่าข้าแล้วเสียด้วยซ้ำ!” เย่หยวนบอกพร้อมหัวเราะขึ้น


หากจะบอกว่าเขานั้นเลี้ยงดูไป๋เฉินมามันก็คงไม่ผิดนัก


การที่เห็นคนที่ได้เลี้ยงดูเติบใหญ่ขึ้นเช่นนี้มันย่อมทำให้เขาปลื้มปีติ


นภาสวรรค์เก้าดาวขั้นสุด แม้ว่ามันจะไม่ได้เป็นยอดฝีมืออย่างแท้จริงแต่มันก็นับว่าเป็นยอดคนในภูมิภาคได้แล้ว


เมื่อหนิงเทียนปิงและโซชูเจียได้ยินเช่นนั้นพวกเขาก็ได้เข้าใจเรื่องราว แท้จริงแล้วไป๋เฉินนั้นหลอมซับผลวิญญาณเต๋านภาสวรรค์มาจึงได้บ่มเพาะได้รวดเร็วปานนี้


ไป๋เฉินพูดขึ้นมาด้วยความอับอาย “ท่านอาจารย์ อย่าได้ว่าแกล้งข้าเลย ท่านอาจารย์ต่างหากที่บ่มเพาะได้เร็วเหนือคนจนน่ากลัว ในเวลาแค่พันปีนี้ท่านกลับบ่มเพาะจากอาณาจักรปฐมพระเจ้าขึ้นมาจนถึงอาณาจักรที่ท่านอยู่ได้เช่นนี้ มันเป็นเรื่องที่เหนือล้ำอย่างไม่เคยมีมาก่อน! ที่สำคัญท่านอาจารย์นั้นยังมีความเป็นไปได้อันไร้ขีดจำกัด แต่ข้านั้นมันหมดหวังที่จะบรรลุขึ้นไปได้อีกแล้ว!”


พูดมาถึงตรงนี้ดวงตาของไป๋เฉินก็แสดงความเศร้าหมองออกมา


สำหรับเขาในตอนนั้นแล้วอาณาจักรนภาสวรรค์นั้นเป็นตัวตนที่ไม่อาจเอื้อม ต่อให้ใช้เวลาทั้งชีวิตมันก็ไม่อาจจะก้าวไปถึง


แต่ตอนนี้เขานั้นเป็นเจ้าแห่งดินแดนนภาบรรพต ยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์เก้าดาว แน่นอนว่าสายตาของเขามันย่อมยกสูงขึ้นอย่างที่ไม่อาจเทียบเคียงกับเมื่อก่อนได้


บนมหาพิภพถงเทียนนี้มันยังมีโกลอีกทั้งใบให้เขารู้จัก!


ก่อนหน้านั้นเย่หยวนเองก็ได้เตือนเขาไว้แล้ว แต่ในตอนนั้นเขาก็ถูกสถานการณ์บังคับพร้อมๆ กับรู้ดีว่ามันเป็นอาณาจักรที่เขาไม่อาจเอื้อมต่อให้ใช้เวลาทั้งชีวิต


แต่ตอนนี้เขาที่ได้ซึมซับผลวิญญาณเต๋าเข้าไปกลับรู้สึกสิ้นหนทาง


นี่เป็นเส้นทางที่เขาเลือกเดิน ตัวเขาย่อมไม่คิดเสียใจภายหลัง แต่หัวใจของเขาก็ไม่อาจต้านทานความรู้สึกว่างเปล่านี้ได้


โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาได้เห็นเย่หยวนที่แข็งแกร่งขึ้นมาอย่างมากมายผู้นี้แล้ว


เมื่อเห็นท่าทางของไป๋เฉินนั้นเย่หยวนเองก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา


ไป๋เฉินนั้นมีพรสวรรค์ที่ดีไม่น้อยในดินแดนนภาบรรพต แต่แม้จะมีพรสวรรค์เช่นนั้นมันยังเป็นเรื่องยากหากคิดอยากบรรลุขึ้นอาณาจักรนภาสวรรค์


การหลอมผลวิญญาณเต๋านั้นเป็นทางเลือกที่ถูกต้องแล้วสำหรับเขา


แต่ความโลภของมนุษย์นั้นมันไร้สิ้นสุด มีหรือที่ใครจะยอมยืนนิ่งไม่พัฒนาใดๆ เลยในชีวิตได้?


ที่สำคัญไป๋เฉินนั้นยังหนุ่มยังแน่นอยู่มาก


คิดมาถึงตรงนี้เย่หยวนก็เกิดความคิดแสนบ้าขึ้น


ผู้ที่ซึมซับหลอมผลวิญญาณเต๋านั้นจะไม่สามารถบรรลุได้อีกแล้วหรือในชีวิต?


บางทีมันอาจจะมีโอสถที่สามารถช่วยเหลือคนเหล่านั้นที่ซึมซับผลวิญญาณเต๋าให้กลับมาสู่เส้นทางของการพัฒนาได้อีกครั้ง?


เมื่อความคิดนี้เกิดขึ้นในหัวแล้ว ทุกสิ่งอย่างใดๆ มันก็ไม่อาจหยุดยั้งเขาได้อีก


“ไป๋เฉิน สวรรค์นั้นไม่ได้ปิดกั้นเส้นทางไว้จนสิ้น! บางทีมันอาจจะยังมีทางไปต่อได้ ที่เจ้ามาหาข้านี้เจ้ามีธุระใดเล่า?” เย่หยวนยิ้มก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง


ไป๋เฉินนั้นคิดว่าเย่หยวนแค่ปลอบตัวเขาด้วยรอยยิ้มฝืนๆ


หลังจากไป๋เฉินหลอมซับผลวิญญาณเต๋าสวรรค์แล้วเขาก็ไม่อาจทำความเข้าใจเต๋าได้อีกต่อไป ทำให้การบ่มเพาะใดๆ ของเขาไม่อาจพัฒนาขึ้นได้อีก


ไม่ว่าเขาจะพยายามหนักเพียงใดมันก็ไม่เกิดผลลัพธ์ใดๆ


เป็นตอนนั้นเองที่เขาได้รู้ว่าอาจารย์ของเขานั้นไม่ได้หลอกขู่เขาเลย


มันไม่มีหวังแล้วจริง!


เพราะเขานั้นแตกต่างจากคนเฒ่าคนแก่ทั้งหลายที่ไปแย่งชิงผลวิญญาณเต๋าสวรรค์กัน เพราะเขายังหนุ่มยังแน่น


เขานั้นไม่คิดยอมแพ้จึงหนีออกมาจากดินแดนนภาบรรพต มายังมหาพิภพถงเทียนเพื่อว่าบางทีอาจจะได้เจอโชคใดๆ บ้าง


ก่อนหน้านี้เขาเองก็ได้มาหาเย่หยวนเช่นกัน แต่ตอนนั้นเป็นเวลาที่เย่หยวนได้จากเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ไปแล้วทำให้เขาไม่อาจตามติดหาตัวอาจารย์ได้


เพราะฉะนั้นเขาจึงได้แต่เดินทางร่อนเร่ไปในมหาพิภพถงเทียน


แต่ยิ่งเขาได้พบเจอเรื่องราว เขาก็ยิ่งสิ้นหวัง


เขารู้ดีว่าเมื่อหลอมผลวิญญาณเต๋าไปแล้วมันย่อมไม่มีโอกาสใดๆ จะบรรลุขึ้นไปได้อีกเว้นเสียแต่ว่าจะเจอผลวิญญาณเต๋าที่ระดับสูงกว่า


แต่เรื่องนั้นมันแสนยากเย็น!


ยิ่งเป็นผลวิญญาณเต๋าระดับสูงมากเท่าไหร่มันก็จะยิ่งมีโอกาสปรากฏออกมาต่ำมากเท่านั้น


ที่สำคัญเมื่อพวกมันทั้งหลายปรากฏออกมาบนผิวโลกเหล่ายอดฝีมือนับไม่ถ้วนต่างก็จ้องที่จะนำมันมาไว้ในครอบครอง


เพราะฉะนั้นไป๋เฉินจึงยิ่งสิ้นหวัง


“ท่านอาจารย์ ข้าอยากอยู่รับใช้ท่าน หากท่านมีสิ่งใดคิดใช้ศิษย์ผู้นี้ทำศิษย์จะน้อมรับทำมันทั้งสิ้น!” ไป๋เฉินบอก


ไป๋เฉินนั้นซาบซึ้งในบุญคุณของเย่หยวนอย่างมาก หากไม่มีเย่หยวนแล้วเขาก็คงต้องตายลงไปนานแสนนานแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการขึ้นเป็นเจ้าครองดินแดนนภาบรรพตเลย


ตอนนี้เขานั้นมีพลังบ่มเพาะที่ยังพอรับใช้เย่หยวนได้อยู่บ้าง แต่หากปล่อยเวลาผ่านไปอีกไม่นาน เขาคงไม่มีคุณสมบัติพอที่จะช่วยเย่หยวนทำเรื่องใดๆ อีกต่อไป


เย่หยวนพยักหน้าออกมา “เทียนปิง ไปเรียกคนอื่นๆ มา ข้าจะแนะนำศิษย์ของข้าผู้นี้ให้รู้จัก”


เย่หยวนแนะนำเหล่ายอดฝีมือนภาสวรรค์ของเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ให้ได้รู้จักกับศิษย์ของเย่หยวนผู้นี้


เพียงแค่ว่าในจิตใจลึกๆ ของทุกผู้คนนั้นต่างดูถูกเขา นภาสวรรค์เก้าดาวคนนี้อยู่ไม่น้อย เพียงแค่ว่าไม่มีใครคิดจะแสดงมันออกมาตรงๆ


ในหมู่คนทั้งหลายนั้นรวมไปถึงหนิงเทียนปิง อิ้งหมัวหู่และพวกเล้งชิวหลิงทั้งหลายด้วย


เพราะนักยุทธที่หลอมซับผลวิญญาณเต๋านั้นมันเป็นตัวตนที่มักโดนดูถูกเป็นธรรมดา


เรื่องแรกเลยคือพวกเขาทั้งหลายนั้นได้พลังมาอย่างง่ายดายไม่ต้องลงแรงบ่มเพาะ อย่างที่สองคือคนผู้นั้นจะหมดสิ้นอนาคตไม่อาจบรรลุขึ้นสูงกว่าที่เป็นอยู่ได้อีกต่อไป


หากไป๋เฉินไปยังเมืองจักรพรรดิธรรมดาๆ ทั่วไปแล้วเรื่องมันอาจจไม่เป็นเช่นนั้น แต่กับเหล่าผู้ติดตามของเย่หยวนทุกคนนั้นต่างมีอนาคตที่ไม่อาจคาดวัดได้


มีเพียงไป๋เฉินเท่านั้นที่จะไม่พัฒนาอีกต่อไปแล้ว


เพราะฉะนั้นแม้ตอนนี้ไป๋เฉินจะมีพลังบ่มเพาะเหนือล้ำที่สุดในสิบเมืองสันเขาใต้ เป็นยอดฝีมือลำดับที่สองแต่สุดท้ายพวกเขาทั้งหลายก็ยังอดไม่ได้ที่จะดูถูกอยู่ในหัวใจ


แน่นอนว่าสภาพบรรยากาศเช่นนั้นไป๋เฉินเองก็ย่อมสัมผัสได้


แต่เพื่อเย่หยวนแล้วเขาย่อมทนได้


เย่หยวนเองก็เห็นถึงบรรยากาศนั้นเช่นกันแต่เขาไม่ได้พูดอะไรออกไป


เพราะเรื่องราวเช่นนี้มันไม่มีใครมั่นใจว่าจะแก้ไขได้ เขาจึงยังไม่ได้พูดออกไป


ที่สำคัญในเวลานี้ทางเมืองหลวงจักรพรรดิเก้ามั่นก็ได้ส่งคนมาด้วย


ในวันนี้จวนเจ้าเมืองจากเมืองหลวงจักรพรรดิเก้ามั่นได้ส่งนักยุทธมาหลายต่อหลายคนพร้อมด้วยนักโทษผู้หนึ่ง เดินทางมาถึงเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์


ชายที่นำหน้ามานั้นเป็นชายหนุ่มผู้หนึ่ง


ชายหนุ่มผู้นี้แก่กว่าหยูจินซงเล็กน้อยแต่ก็ยังมีใบหน้าท่าทางที่ดูคล้ายกันอยู่ไม่น้อย


เมื่อเห็นเย่หยวนชายหนุ่มคนนั้นก็ก้มโค้งลงทันที “ข้ามีนามว่าหยูชางหยุน มาหาท่านผู้ตรวจการในวันนี้ตามคำสั่งของท่านพ่อ”

 

 

 


ตอนที่ 1910 ตะลึง

 

ในหมู่ผู้มาถึงทั้งหลายนี้มันไม่มีเทพถ่องแท้อยู่เลย


ในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นั้นนอกจากเจ้าหมูลึกลับนั่นแล้วมันก็ไม่มีนักยุทธระดับเทพถ่องแท้อยู่เช่นกัน


นี่ถือเป็นการแสดงความเคารพของจวนเจ้าเมืองต่อเมืองสันเขาใต้นี้อย่างมาก


แน่นอนว่าทุกคนรู้ดี สิ่งที่เจ้าเมืองเกรงใจนั้นหาใช่ตัวสิบเมืองสันเขาใต้นี้แต่เป็นผู้ตรวจการเย่หยวนต่างหาก


“ชิๆ พวกเขาทั้งหลายนั้นเป็นคนใหญ่คนโตจากเมืองหลวงจักรพรรดิ! หากไม่ใช่เพราะท่านเย่หยวนแล้วมีหรือที่คนเหล่านี้จะเดินทางมาถึงบ้านนอกคอกนาเช่นนี้?”


“ข้าได้ยินว่าผู้ที่กำลังกล่าวทักทายท่านเย่หยวนอยู่ในตอนนี้คือลูกชายของท่านเจ้าเมืองหลวงจักรพรรดิเก้ามั่น พลังบ่มเพาะอาณาจักรเทพถ่องแท้ครึ่งก้าว แต่ถึงจะเป็นคนระดับนั้นก็ยังต้องก้มหัวให้แก่ท่านเย่หยวน!”


“หึ ท่านเย่หยวนนั้นไร้เทียมทาน แม้จะเป็นเทพถ่องแท้มาเองก็คงต้องทำทุกสิ่งอย่างตามที่เขาว่าอย่างแน่นอน!”



ในเมืองนั้นมีผู้คนมากมายต่างมองดูภาพการพบปะกันของเย่หยวนและยอดฝีมือจากทางจวนเจ้าเมืองหลวงจักรพรรดิด้วยสีหน้าชื่นชม


เย่หยวนหันไปมองดูหยูจินซงที่ถูกมัดไว้ทุกด้านจนไม่อาจขยับตัวได้ “ดูท่าท่านเจ้าเมืองท่านจะจริงใจเสียจริงๆ!”


เย่หยวนเข้าใจได้ทันทีว่าการมัดจับมาเช่นนี้มันก็เพื่อให้ตัวเขาได้เห็น ตอนนี้หยูจินซงนั้นย่อมไม่มีแรงใดๆ จะขัดขืนได้แต่แรก


เพราะผนึกที่เย่หยวนใส่ลงไปในทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของหยูจินซงนั้นแม้จนถึงทุกวันนี้ทางจวนเจ้าเมืองก็ไม่อาจแก้ไขมันได้!


เย่หยวนนั้นมีปราณเทวะโกลาหลที่แปลกประหลาดกว่าคนทั่วไปเป็นทุนเดิม เมื่อผสานมันเข้ากับลายพระเจ้าแล้วต่อให้เป็นเทพถ่องแท้ก็ย่อมไม่อาจจะทำลายผนึกนี้ลงได้ง่ายๆ


ใบหน้าเปี่ยมศักดิ์ศรีของหยูจินซงแต่เดิมนั้นไม่มีให้เห็นอีกต่อไป ตอนนี้ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและหวาดกลัว


หยูชางหยุนนั้นยกมือขึ้นมาคารวะ “น้องชายข้านั้นเลวร้าย ทำให้สุดท้ายสร้างเรื่องเลวร้ายขึ้นมากมาย ท่านพ่อจึงสั่งให้ข้านั้นนำตัวเขามาส่งให้ท่านผู้ตรวจการตัดสิน”


เย่หยวนยิ้มขึ้นมา “ไปที่จวนเจ้าเมืองก่อนจะคุยเรื่องอื่นใดกันต่อเถอะ”


เย่หยวนเดินนำอีกฝ่ายเข้ามาถึงยังจวนเจ้าเมืองและแยกกันนั่งลงในที่นั่งแขกและเจ้าบ้าน


หยูชางหยุนนั้นส่งสัญญาณให้ลูกน้องนำตัวหยูจินซงเข้ามาด้านในและวางเขาก้มหัวลงต่อหน้าเย่หยวน


“ท่านพ่อบอกว่าเด็กคนนี้มันชั่วร้ายเกินไป จนไปลบหลู่ท่านผู้ตรวจการเข้า ตอนนี้เราจับมันมายังที่แห่งนี้แล้วท่านคิดอยากฆ่าสังหารลงโทษมันใดๆ ก็ย่อมแล้วแต่ท่าน”


หยูชางหยุนนั้นยกมือขึ้นคารวะด้วยท่าทางสุดแสนเคารพราวกับว่าคนที่กำลังจะถูกตัดสินโทษนี้มิใช่น้องชายของตน


เย่หยวนกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ด้วยตัวข้าเองแล้วต่อให้สังหารมันไปนับร้อยรอบก็คงไม่อาจพอใจได้ แต่เรื่องราวในครั้งนี้ข้าเองก็ไม่ใช่ผู้ที่เสียหาย จะสังหารฆ่ามันหรือไม่นั้นข้าคงต้องถามพี่เจียงสองพ่อลูกก่อน”


นั่นทำให้เจียงยู่ถังร่างสั่นสะท้านน้ำตาหลั่งไหลออกมาทันที


ตั้งแต่ตอนที่เขาถูกใส่ร้ายจับขังไว้จนถึงวันที่เขาหนีได้มาจนถึงที่แห่งนี้ เจียงยู่ถังไม่เคยคิดเคยฝันว่าตัวเองจะสามารถแก้แค้นเข้าได้สักวัน


สำหรับเขาแล้วหยูจินซงนั้นเป็นตัวตนที่เหนือเกินเอื้อมจนเกินไป


แม้คิดอยากแก้แค้นมันก็คงยากเกินมือ


แต่ตอนนี้เย่หยวนกลับมอบโอกาสนี้มาให้ต่อหน้าเขา


เขาเดินขึ้นมาหาหยูจินซงด้วยร่างสั่นเทา เสียงเท้าแต่ละครั้งที่ก้าวเดินเข้ามาแสดงถึงความหนักหน่วง


เขานั้นเกลียดชังหยูจินซงไปถึงกระดูกดำ แต่ไม่ใช่เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเขา แต่เป็นเพราะเรื่องที่ลูกสาวของเขาต้องพบเจอ


เจ้าสัตว์ร้ายนี้มันพรากความบริสุทธิ์ของเจียงไห่ถังไป มีหรือที่เขาจะยอมอภัยให้มันได้?


“เจียงยู่ถัง เจ้ากล้า?!” หยูจินซงร้องออกมาเมื่อสัมผัสได้ถึงความตายที่คืบคลาน


นั่นทำให้เจียงยู่ถังหน้าถอดสีทันที ฝีเท้าของเขาก็หยุดลงเช่นกัน


ก่อนหน้านี้ตัวเขา เจียงยู่ถังนั้นเป็นได้แค่ตัวตนแสนเล็กน้อยไม่มีใครสนใจ


ต่อให้หยูจินซงจะถูกจับมัดไว้เขาก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายนั้นมีที่มายิ่งใหญ่เพียงใด


เจียงยู่ถังนั้นไม่คิดสนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตน แต่เขานั้นกลัวว่าการสังหารหยูจินซงนั้นจะเป็นการสร้างปัญหาให้แก่เย่หยวน


หากหยูจินซงที่ถูกจับมัดมานี้เป็นแค่การไว้หน้าของหยูเหวินเฟิงแล้ว การคิดสังหารมันลงจริงๆ คงทำให้เกิดปัญหามากมายตามมาแน่


เพราะไม่ว่าอย่างไรเสียหยูเหวินเฟิงก็เป็นถึงเทพถ่องแท้ขั้นกลางผู้หนึ่ง หากเขาหมดความอดทนจริงๆ แล้วสิบเมืองสันเขาใต้นี้คงต้องพินาศลงอย่างแน่นอน


“พี่เจียง อย่าได้กังวลให้มากมาย คิดอยากสังหารสับมันเป็นชิ้นๆ อย่างไรล้วนแล้วแต่ท่าน ข้าย่อมรับผลของมันได้ทั้งสิ้น!” เย่หยวนบอก


ได้ยินเช่นนั้นหยูจินซงก็หน้าซีดลงแต่ก็ยังตะโกนออกมาอย่างโกรธแค้น “เย่หยวน เจ้ากล้าสังหารข้า?”


เย่หยวนมองดูที่หยูจินซงด้วยรอยยิ้มเย็นเยือก “ตอนนี้เจ้ามันก็เป็นได้แค่เบี้ยตัวหนึ่งแต่ยังกลับคิดว่าตัวเองมีอำนาจเป็นราชัน? ท่านเจ้าเมืองหยูเองก็ไม่ได้มีลูกแค่เจ้าคนเดียว หากเจ้าตายไป มันก็ยังมีคนเข้ามาแทนที่ได้ จะมีปัญหาใด? หากเขาคิดอยากปกป้องเจ้าจริงวันนี้เจ้าคงไม่ได้มานั่งอยู่ต่อหน้าข้าหรอก”


นั่นทำให้หยูจินซงหน้าดำมืดลง “ข้านั้นเป็นลูกที่เขาภูมิใจที่สุด ท่านพ่อต้องไม่ทิ้งข้าแน่! หากเข้ากล้าแตะต้องข้าแล้วเขาต้องมาทำลายเมืองสันเขาใต้จนสิ้นแน่!”


เย่หยวนหัวเราะออกมาทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น “เจ้าเข้าใจผิดแล้ว! เขานั้นไม่ได้ส่งเจ้ามาเพราะเขาไม่รักเจ้าเสียหน่อย แต่มันเป็นเพราะว่าเขาไม่อาจจะปกป้องเจ้าได้อีกต่อไปแล้วไม่ว่าจะทำอย่างไร! เจ้าก็รู้ว่าเขานั้นสังหารข้าไม่ได้ แต่ไม่นานนักข้านี่แหละที่จะมีพลังพอสังหารเขาได้ เจ้าตายคนหนึ่งหรือพวกเจ้าตายกันทั้งเมือง และเขาก็เลือกที่จะส่งเจ้าคนเดียวไปตาย มันก็เท่านั้น”


พรสวรรค์ที่เย่หยวนแสดงออกมานั้นมันสุดแสนเหนือล้ำ ย่อมไม่มีใครสงสัยว่าเขาจะขึ้นไปถึงอาณาจักรเทพถ่องแท้ได้หรือไม่


หากทำอะไรต่อเย่หยวนในเวลานี้แล้วไม่อาจสังหารเขาลงได้ ชีวิตของพวกเขาคงต้องพบเจอกับการแก้แค้นของตัวเย่หยวนในวันหน้า


นั่นเป็นเหตุผลที่เย่หยวนแสดงความสามารถเช่นนั้นออกมาต่อหน้าสามยอดฝีมือในวันนั้น ทำให้พวกเขาทั้งหลายนั้นไม่กล้าจะลงมืออย่างไม่คิดหน้าคิดหลังอีก


ที่สำคัญนั้นเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ยังมีหมูลึกลับที่พวกเขาหวาดกลัว


เพราะฉะนั้นตอนนี้เย่หยวนจึงไม่หวาดกลัวใดๆ!


หยูเหวินเฟิงนั้นทิ้งหยูจินซงเพื่อจะตีสนิทกับเย่หยวนไว้


เพราะหากเขาได้กลายเป็นศัตรูกับเย่หยวนแล้วเมื่อใดก็ตามที่เย่หยวนพัฒนาตัวได้ในวันหน้าเรื่องราวที่ตามมามันคงไม่จบลงง่ายๆ


และการวิเคราะห์นี้ของเย่หยวนมันก็ทำให้เจียงยู่ถังเบิกตากว้างขึ้นอีกครั้ง


เขาได้รู้แล้วว่าเย่หยวนในตอนนี้มีพลังมากพอที่จะท้าทายเหล่าเทพถ่องแท้ทั้งหลายได้


ต่อให้เป็นเทพถ่องแท้ก็ยังต้องหันมาเอาใจตัวเขาคนนี้!


เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่คิดกลัวใดๆ


จู่ๆ เจียงยู่ถังก็ชี้นิ้วออกมาใส่ท้องของหยูจินซงอย่างรวดเร็ว


“อ้าก!”


หยูจินซงร้องออกมาอย่างเจ็บปวดพร้อมปลิวลอยไปไกล


นั่นทำให้มุมปากของหยูชางหยุนกระตุกขึ้นทันทีแต่ไม่กี่วินาทีเขาก็กลับมาสงบได้อีกครั้ง


“ก-การบ่มเพาะของข้า! เจ้า… เจ้าทำลายการบ่มเพาะของข้า!” หยูจินซงร้องอย่างทั้งเจ็บทั้งแค้น


เจียงยู่ถังนั้นไม่คิดหันไปมองตัวเขาอีก เขาแค่ยกมือขึ้นมาคารวะเย่หยวน “เย่หยวน ไห่ถังและข้าขอขอบคุณ! ขอบคุณมาที่ให้ข้าผู้นี้ได้ลงมือแก้แค้นด้วยสองมือข้างนี้!”


เย่หยวนยิ้มตอบ “พี่เจียงอย่าได้กล่าวเช่นนั้นเลย เรื่องราววันหน้ามันยังมีอีกมากมาย!”


เจียงยู่ถังพยักหน้าขึ้นก่อนจะเดินจากไป


เขานั้นไม่อาจจะพูดขอบคุณให้ได้อย่างสุดซึ้งแต่ในวินาทีนี้เขาได้ตัดสินใจแล้วว่าชีวิตของเขานี้จะมอบมันให้แก่เย่หยวน


“เย่หยวน หากเจ้ามีปัญญาก็สังหารข้าลงเสีย! ไม่เช่นนั้นเจ้าจะได้เสียใจภายหลังแน่!” หยูจินซงร้องตะโกน


ปัง!


เย่หยวนขยับชายเสื้อส่งร่างของเขาปลิวลอยออกไป


“น่ารำคาญ! เอามันไปโยนทิ้งนอกเมือง!” เย่หยวนบอก


พูดจบแล้วเย่หยวนก็กลับมานั่งยังที่ของตนและหันไปบอกหยูชางหยุน “ของขวัญนี้ของท่านเจ้าเมืองหยูข้าได้รับมันไว้แล้ว แต่ทว่าสิ่งนี้มันเป็นสิ่งที่เขาติดค้างข้าไว้ จะนับมันเป็นของขวัญก็คงนับยาก หากท่านคิดอยากขอให้ข้าหลอมโอสถใดให้ท่านคงต้องเตรียมสิ่งของตอบแทนไว้ต่างหากแล้ว”


นั่นทำให้มุมปากของหยูชางหยุนกระตุกขึ้นอีกครั้งด้วยท่าทางไม่ค่อยพอใจ


หากไม่ใช่เพราะหยูเหวินเฟิงกำชับมาอย่างหนักหนาว่าอย่าได้ท้าทายลบหลู่เย่หยวนเขาคงระเบิดอารมณ์ออกมาแล้ว


คนทั้งหลายพูดถึงเรื่องราวของเย่หยวนอย่างใหญ่ล้น แต่เขานั้นไม่เคยเห็นฝีมือแท้จริงของเย่หยวนเขาจึงไม่คิดอยากเชื่อนัก


แต่พ่อของเขาเองก็ย้ำเตือนมาอย่างจริงจังเช่นนั้นแล้ว หยูชางหยุนจึงไม่กล้าจะขัดขืน


เพราะว่าเขานั้นไม่อยากกลายเป็นอย่างหยูจินซงอีกคน


“ฮ่าๆ เรื่องนั้นย่อมแน่นอน!” หยูชางหยุนบอกขึ้นด้วยเสียงหัวเราะ


“ข้าสงสัยเหลือเกินว่าพี่หยูท่านต้องการโอสถใด?” เย่หยวนถาม


พูดถึงตรงนี้หยูชางหยุนก็ได้ตอบกลับมาด้วยท่าทางตื่นเต้น “หลายวันมานี้ท่านพ่อได้ใช้ความสามารถทั้งหมดที่มีในการหาสมุนไพรเพื่อหลอมโอสถฟ้าตะวันจันทรา เราหวังว่าท่านผู้ตรวจการจะช่วยหลอมมันให้เรา ส่วนเรื่องค่าตอบแทนนั้นแน่นอนว่าเราต้องจ่ายแก่ท่านอย่างงาม”

 

 

 


ตอนที่ 1911 หรงซีเยว่

 

เมื่อได้โอสถฟ้าตะวันจันทราขั้นเทวะไปหยูชางหยุนก็รู้สึกพึงพอใจอย่างมาก


เย่หยวนนั้นสามารถหลอมได้ถึงขั้นเทวะวิญญาณไพศาล แต่กับจวนเจ้าเมืองแล้วเขาย่อมไม่คิดจะลงมืออย่างสุดตัว


แต่ทว่าแค่ขั้นเทวะม่วงมันก็เป็นสุดยอดโอสถแล้ว


อย่าว่าแต่เมืองหลวงจักรพรรดิเก้ามั่น แม้แต่ในยอดเมืองหลวงจักรพรรดิมันก็คงมีนักหลอมโอสถที่มีฝีมือถึงขนาดนั้นแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่จะสามารถหลอมโอสถศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะได้


แน่นอนว่าทางจวนเจ้าเมืองก็ต้องจ่ายออกมาอย่างงามเพื่อแลกมัน


หยูชางหยุนเพิ่งเดินพ้นเขตเมืองไปทางเจ้าตึกลมไหล หลี่ซืออานก็ได้มาถึงเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์พร้อมด้วยผู้ติดตาม


พวกเขานั้นแน่นอนว่าต้องมาเพื่อขอโอสถด้วยเช่นกัน


เย่หยวนนั้นไม่ค่อยจะชอบสำนักอากาศแจ่มมาแต่เดิม แต่แน่นอนว่าเขาย่อมจะไม่ปล่อยโอกาสไถเงินมากมายเช่นนี้ออกไป


เพราะสิ่งที่สิบเมืองสันเขาใต้ขาดแคลนมากที่สุดในตอนนี้มันก็คือทรัพยากรบ่มเพาะและสมุนไพรต่างๆ


เย่หยวนนั้นไม่อาจจะอยู่ในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์เพื่อปกป้องคนทั้งหลายได้อีกต่อไป เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วการทำให้คนทั้งหลายนี้แข็งแกร่งขึ้นจนปกป้องตัวจากใครก็ตามที่จะมาทำร้ายพวกเขาได้มันจึงดีกว่า


และเมื่อจัดการตกลงใดๆ กับพวกหลี่ซืออานได้แล้วทางคนของหอยอดดอกก็ได้ตามมาด้วย


แต่คราวนี้มันแตกต่างจากสองพวกก่อนเพราะหอยอดดอกนี้ส่งคนมาเพียงผู้เดียว


คนผู้นั้นก็คือหรงซีเยว่


เมื่อเห็นนางสุดงามผู้นี้มายืนต่อหน้า แม้แต่เย่หยวนก็ยังรู้สึกแทบลืมหายใจ


“ช-ช่างสวยงามนัก!” ดวงตาของหนิงเทียนปิงทั้งสองข้างที่ยืนอยู่ข้างกายเย่หยวนนั้นแทบพุ่งทะลุออกจากเบ้า


หรงซีเยว่นั้นยิ้มออกมาอ่อนๆ ก่อนจะก้มหัวให้เย่หยวน


“คนบาปหรงซีเยว่ขอคารวะท่านผู้ตรวจการ!”


รอยยิ้มนั้นของนางมันทำให้ใจลอยและสดชื่นขึ้นในทันที ร่างกายของหนิงเทียนปิงในเวลานี้แทบจะละลายลงไปเป็นของเหลว


เย่หยวนยิ้มขึ้นอย่างเย็นชา “บาปใดกันเล่า?”


หรงซีเยว่นั้นตื่นตกใจไม่น้อยเพราะตอนนี้นางได้รู้แล้วว่าตนนั้นดูถูกเย่หยวนจนเกินไป


ความงามของหญิงสาวนั้นมันเป็นเครื่องมือจัดการผู้ชายอย่างดี


หรงซีเยว่นั้นมั่นใจในใบหน้ารูปร่างของตนอย่างมาก แค่ขยิบตายิ้มให้มันก็มากพอจะทำให้ผู้ชายกลายเป็นบ้าได้


ตอนที่หวู่เทียนเห็นหรงซีเยว่ทั้งร่างของเขาก็ล่องลอยจนโงหัวจากนางไม่ขึ้น


แต่เย่หยวนนั้นกลับแค่ตื่นตกใจเล็กน้อยก่อนจะกลับสู่สภาวะปกติอย่างรวดเร็ว


“หรงซีเยว่นั้นเป็นต้นเหตุทำให้หวู่เทียนนั้นมาสร้างเรื่องจนเกือบเป็นหายนะแก่เมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์” หรงซีเยว่กล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางสำนึกผิด


แต่เย่หยวนเองก็กำลังตื่นตกใจอยู่ไม่น้อยเช่นกันเพราะวิชาการยั่วยวนของนางนั้นสุดแสนจะเหนือล้ำ


หากไม่ใช่เพราะไข่มุกสยบวิญญาณแล้วเย่หยวนเองก็คงไม่มีทางกลับมาตั้งสติได้อย่างรวดเร็วภายในวินาทีเช่นนี้แน่


ศาสตร์แห่งการยั่วยวนเช่นนี้มันสุดแสนจะเหนือล้ำแต่เย่หยวนกลับไม่พบว่าในการยั่วยวนของนางนี้มีอะไรที่แปลกปลอมเสริมเข้ามาเลย


ไม่มีการหว่านเสน่ห์ ไม่มีการหลอกล้อแต่กลับทำให้คลื่นฉีปั่นป่วนได้ด้วยแค่ตัวนางคงอยู่ตรงนั้นราวกับว่าเป็นนางฟ้านางสวรรค์ที่ลงมายังโลกเบื้องล่าง


ไม่เช่นนั้นแล้วมีหรือที่หนิงเทียนปิงจะพ่ายแพ้ลงอย่างง่ายดายเช่นนี้ เขาคนนี้ฝึกฝนกับเย่หยวนมานานแน่นอนว่าย่อมมีสติและความคิดที่มั่นคง แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นมันก็ยังไม่พอ


เมื่อได้เห็นหรงซีเยว่ เย่หยวนย่อมเข้าใจได้ทันทีว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับหวู่เทียน


“เกือบเป็นหายนะ? หรงซีเยว่ เจ้าจะบอกว่าตัวเองไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องของเจียงยู่ถังเลยอย่างนั้นหรือ!” เย่หยวนเย้ยออกมาด้วยสายตาที่คมกริบ


แต่หรงซีเยว่นั้นยังคงปั้นหน้าตาไม่รู้เรื่องออกมา “ซีเยว่ไม่เข้าใจ”


เย่หยวนตอบออกมา “เจ้าคงไม่คิดว่าข้าไม่กล้าทำลายประถางดอกไม้สวยๆ หรอกใช่หรือไม่? วิชาการยั่วยวนของเจ้านั้นมันเหนือล้ำ แต่คนอย่างเจ้ามันยังไม่พอผ่านมาตรฐานของข้าหรอก!”


เคร้ง!


เย่หยวนนั้นยังพูดไม่ทันขาดคำเขาก็ชักดาบฝ่าน้ำค้างแข็งออกมาและในวินาทีที่มันปรากฏ มันก็พุ่งเป้าเข้าไปหาหรงซีเยว่ทันที


หนิงเทียนปิงนั้นยังไม่ทันกลับมาตั้งสติและร้องออกมา “นายท่านคิดทำอะไรของท่าน?”


หรงซีเยว่หน้าถอดสีทันทีคิดอยากจะหลบแต่ก็ได้รู้ตัวว่าตอนนี้ไม่อาจจะหลบไปที่ไหนได้แล้ว


เพราะดาบนี้มันรุนแรงและรวดเร็ว!


หรงซีเยว่นั้นมีพลังความสามารถที่เหนือล้ำ แต่นางนั้นก็เป็นได้แค่นภาสวรรค์เจ็ดดาวผู้หนึ่งย่อมไม่อาจจะต้านทานเย่หยวนได้


ในวินาทีต่อมาดาบของเย่หยวนก็ได้จ่อไปที่คอของนางแล้ว


“นายท่านอย่า!” หนิงเทียนปิงร้องตะโกน


ดูท่าแล้วเขาคงตกอยู่ในกำมือของนางอย่างสิ้นเชิง


แต่ในวินาทีนั้นเองที่จู่ๆ ก็มีพลังสายหนึ่งไหลเข้ามาในความคิดของเขา


นั่นทำให้หนิงเทียนปิงร่างสั่นสะท้านกลับมามีสติได้ในทันที


“นี่มัน… เกิดอะไรขึ้นกับข้า?”


ได้เห็นเช่นนั้นหรงซีเยว่ก็เบิกตากว้างเพราะนางได้รู้แล้วว่าตนมาเจอเข้ากับยอดฝีมือแล้วจริงๆ


เย่หยวนนั้นมีความเข้าใจในทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ที่เหนือล้ำ


เมื่อสัมผัสได้ถึงความเย็นของปลายดาบที่จ่อคอ หรงซีเยว่ก็รู้สึกราวกับว่าได้เจอเทพแห่งความตายอยู่ตรงหน้า


“ข้าไม่สนหรอกว่าหอยอดดอกเจ้าจะมีแผนใด แต่พวกเจ้านั้นไม่ควรมาท้าทายข้า เมื่อเจ้ากล้าจะท้าทายข้าก็หวังว่าเจ้าจะรู้ถึงผลที่ตามมาดี!”


หรงซีเยว่หน้าซีดเผือดลงทันที ตอนนี้นางไม่คิดว่าตัวเองจะสามารถมีโชคใดๆ ได้อีกแล้วจึงกล่าวขึ้นด้วยท่าทางสั่นๆ “ท่านผู้ตรวจการ ข้าขออภัยที่เสียมารยาท ซีเยว่… ซีเยว่ผู้นี้แค่คิดใช้หยูจินซงเพื่อกลืนกินพื้นที่ของจวนเจ้าเมืองและสำนักอากาศแจ่ม แต่ไม่นึกไม่ฝันว่ามันจะทำเรื่องเลวร้ายได้ถึงขนาดนั้น”


เย่หยวนมองดูที่ใบหน้าของนาง “หากเจ้าเป็นคนสั่งการอยู่เบื้องหลังจริงตอนนี้เจ้าคงไม่ได้หายใจอยู่แล้ว!”


หยูจินซงเริ่มคิดลงมือเพราะหรงซีเยว่ นี่เป็นเรื่องที่แน่นอน


แต่เย่หยวนเองก็รู้ด้วยว่าหยูจินซงไม่ได้ถูกหรงซีเยว่ควบคุมด้วยศาสตร์การยั่วยวนอย่างสมบูรณ์ หรือก็คือเขาไม่ได้ทำการใดๆ ตามสั่งของหรงซีเยว่


การแย่งชิงอำนาจของสามขั้วนั้นทำให้เจียงยู่ถังถูกใส่ร้ายและแม้เย่หยวนจะไม่พอใจในการกระทำนั้นเขาก็ยังพอเข้าใจได้


แต่เรื่องของเจียงไห่ถังนั้นมันทำให้เย่หยวนโกรธแค้นอย่างมาก


เพราะฉะนั้นไม่ว่าหยูจินซงจะทำอะไรเขาก็ย่อมไม่อาจจะรอดพ้นผลกรรมไปได้


ต่อให้หยูเหวินเฟิงจะไม่ส่งตัวเขามา เย่หยวนก็ย่อมจะเข้าไปเรียกร้องความยุติธรรมในวันหน้าแน่


หรงซีเยว่หน้าซีดเผือดกล่าวขึ้นอย่างเกรงกลัว “ซีเยว่รู้ดีว่าตัวเองผิดไป ท่านโปรดพิจารณาโทษเถิด”


ทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นต่อหน้านางนี้เป็นสิ่งที่แตกต่างจากที่นางคาดคิดไว้


ไม่ว่าเย่หยวนจะเก่งกาจเพียงใดเขาเองก็เป็นเพียงแค่นักยุทธนภาสวรรค์ผู้หนึ่ง นางย่อมคิดว่าการยั่วยวนของนางนั้นมันจะสามารถทำให้นางรอดพ้นภัยหรืออาจจะได้โอสถมาฟรีๆ ได้


นางย่อมไม่โง่พอจะใช้วิชาใดๆ ออกมาต่อเย่หยวนแต่แค่การหลอกล่อให้เย่หยวนเปลี่ยนแปลงมุมความคิดเล็กๆ น้อยๆ นางย่อมคิดว่าจะสามารถทำได้


เหมือนตอนที่นางจัดการกับหยูจินซงเมื่อตอนนั้น


แต่ตอนนี้นางได้รู้แล้วว่าตัวเองคิดผิดไปแค่ไหน


เพราะแค่พลาดไปสักนิดชีวิตของนางนี้คงสิ้น


หรงซีเยว่นั้นเลิกคิดจะใช้ความสวยงามใดๆ เอาตัวรอดและเพียงแค่ยอมไหลไปตามโชคชะตา


เย่หยวนเก็บดาบลงก่อนจะกล่าวขึ้น “เจ้าเองก็คงมาเพื่อโอสถ?”


หรงซีเยว่กล่าวขึ้นด้วยเสียงเบาบาง “นายท่านเฉียบคมนัก!”


เย่หยวนบอก “ก็มิใช่ว่าข้าจะไม่หลอมโอสถให้ แต่พวกเจ้าต้องจ่ายค่าโอสถมามากกว่าขั้วอำนาจอื่นๆ ห้าเท่า!”


หรงซีเยว่ตื่นตกใจขึ้นในทันทีและพยายามจะพูดต่อรองออกมา แต่เย่หยวนกลับขัดขึ้นเสียก่อน “อย่ามาพูดจาไร้สาระอีก! เรื่องนี้ไม่ใช่การต่อรอง! ไม่ยอมจ่ายก็กลับไป! หากเป็นเช่นนั้นในวันหน้าเมืองสันเขาใต้ข้าย่อมจะไม่ทำธุรกิจใดๆ กับหอยอดดอกเจ้า”


เมื่อหรงซีเยว่ได้ยินเช่นนั้นนางก็กัดริมฝีปากและก้มหัวลง “เย่หยวน ข้าน้อยผู้นี้ไม่อาจตัดสินใจเองได้ ข้าน้อยขอตัวกลับไปปรึกษากับทางเบื้องบนได้หรือไม่?”


เย่หยวนโบกมือขึ้น “ไปเถอะ เจ้าทำตัวให้ดี ไม่เช่นนั้นแล้วเจ้าจะได้รู้ผลที่ตามมา!”


หรงซีเยว่นั้นมีศาสตร์การยั่วยวนที่แข็งแกร่ง หากไม่เตือนนางไว้เสียหน่อยแล้วนางอาจจะไปทำเรื่องราวใดๆ ขึ้นมาได้อีก


หลังจากหรงซีเยว่จากไปหนิงเทียนปิงก็กล่าวขึ้นด้วยท่าทางสั่นกลัว “นายท่าน นี่มัน… ผู้หญิงคนนี้ช่างน่ากลัวนัก!”


เย่หยวนพยักหน้าออกมา “นางนั้นมีเสน่ห์ยั่วยวนติดตัวแต่เกิด ไม่มีข้อบกพร่องใดๆ ให้เห็นได้เลย แถมจิตศักดิ์สิทธิ์ของนางเองก็ยังเหนือล้ำกว่านักยุทธคนอื่นๆ ในระดับเดียวกันอย่างมาก ช่างรับมือได้ยากยิ่ง!”

 

 

 


ตอนที่ 1912 โอสถครองวิญญาณผสานเต๋า

 

เย่หยวนรู้สึกได้ว่าหรงซีเยว่คนนี้นั้นไม่ธรรมดา


วิชายั่วยวนที่แปลกประหลาดเช่นนี้ เย่หยวนแทบไม่เคยพบเคยเจอมาก่อนในชีวิต


หากนางนั้นใช้พลังออกมาจนสุดตัวคนอย่างหยูจินซงย่อมจะไม่มีทางป้องกันมันได้ง่ายๆ แน่


เพียงแค่ว่าเบื้องหลังหยูจินซงเองก็มีเทพถ่องแท้อยู่ ทำให้หรงซีเยว่ไม่กล้าจะทำอะไรออกไปอย่างสุดกำลัง


“เช่นนั้น…ทำไมท่านจึงจะยังหลอมโอสถให้นางอีกเล่า?” หนิงเทียนปิงถามขึ้นด้วยความมึนงง


เพราะเขานั้นไม่เคยเห็นท่าทางคิดหนักของเย่หยวนขนาดนี้มาก่อนจึงทำให้เขามึนงงอย่างมาก


เมื่อเย่หยวนพบเจอกับเหล่าเทพถ่องแท้ทั้งหลาย เขายังมีสีหน้าเรียบเฉยได้


“หญิงคนนี้มันไม่ธรรมดา หอยอดดอกนั้นเองก็คงเช่นกัน ดูท่าที่พวกนั้นส่งหรงซีเยว่มามันคงเป็นเพราะพวกเขายังไม่อยากตัดสายสัมพันธ์ทั้งหลายกับเราทิ้ง และแน่นอนว่าตอนนี้เราเองก็ไม่อาจเทียบเคียงกับฝั่งนั้นได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราทำได้ก็คือการทำเรื่องราวของตัวเองไปไม่ยุ่งเกี่ยวกันจะดีที่สุด” เย่หยวนบอก


เพราะหอยอดดอกนั้นมันทำให้เย่หยวนรู้สึกได้ถึงความลึกลับอย่างอธิบายไม่ถูก


เทียบกับหยูเหวินเฟิงและคนอื่นๆ แล้วทางเจ้าหอยอดดอกนั้นมีพลังฝีมือที่ไม่อาจวัดคาดได้


แต่การใช้โอกาสนี้รีดไถราคาสูงได้มันก็ทำให้เย่หยวนดีใจอยู่ไม่น้อยเช่นกัน



การเดินทางกลับครั้งนี้หรงซีเยว่ระวังตัวเป็นอย่างมาก


นางได้ใช้วิชาลับเพื่อเปลี่ยนคลื่นชีวิตในกายทำให้นางดูเหมือนคนผ่านทางทั่วๆ ไปมากขึ้น


เย่หยวนนั้นไม่ได้ส่งคนมาตามดูนาง แต่มันก็เป็นเพราะแบบนั้นที่ทำให้นางกังวลและระวังตัวมากขึ้น


เมื่อกลับมาถึงที่พักนางก็รีบปิดประตูหน้าต่างลงก่อนจะเกิดส่องลำหนึ่งส่องออกมาจากร่างของหรงซีเยว่


นางพูดพึมพำเล็กน้อยก่อนที่จุดแสงเหล่านั้นจะส่องสว่างขึ้นไปจนทั่วทั้งที่พักของนาง


จากนั้นก็มีแสงสายสีเหลืองพุ่งพวยออกมาจากหน้าผากของนางกลายเป็นร่างของชายชุดดำผู้หนึ่งนั่งลงตรงข้ามกับนาง


หากตอนนี้เย่หยวนอยู่ด้วยเขาคงบอกได้ทันทีว่านี่คือเจ้าหอยอดดอกอย่างไม่ต้องสงสัย


“คารวะท่านผู้พิทักษ์คูมู่”


หรงซีเยว่ก้มหัวลงต่อหน้าชายชุดดำ


ชายชุดดำพยักหน้ารับออกมาก่อนจะบอก “เด็กคนนี้มันไม่ธรรมดาจริงๆ!”


ดวงตางามๆ ของหรงซีเยว่ปรากฏแววตื่นตกใจขึ้นทันทีที่ได้ยิน “แม้แต่ท่านผู้พิทักษ์คูมู่เองก็ยังไม่อาจเทียบเขาได้?”


ชายชุดดำตอบ “ข้านั้นได้เฝ้ามองเขามาตลอด แต่ไม่รู้ทำไมข้าจึงรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมาในใจ รู้สึกว่าหากข้าปล่อยจิตของตนออกจากหน้าผากเจ้าแล้วมันคงต้องถูกเขาลบล้างลงแน่!”


หรงซีเยว่หน้าถอดสีทันทีที่ได้ยิน “วิชาฝันเทพของข้าเองก็ไม่สามารถทำอะไรแก่เขาได้เลยแม้แต่น้อย นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ข้าเจอคนเช่นนี้! ก่อนๆ มาแม้แต่เทพถ่องแท้ก็ยังไม่อาจหลบพ้นจากผลของมันได้จนสิ้น”


วิชาฝันเทพของหรงซีเยว่นั้นแตกต่างจากศาสตร์การยั่วยวนอื่นๆ มาก


เพราะนี่มิใช่วิชาที่ปั่นป่วนจิตศักดิ์สิทธิ์ของอีกฝ่าย แต่เป็นวิชาที่จะปั่นป่วนประสาทสัมผัสที่เกิดขึ้นรอบๆ จิตศักดิ์สิทธิ์แทนทำให้มันเป็นการยากมากที่จะตรวจสอบ


ตราบเท่าที่นางไม่ได้คิดจะเข้าไปจับจิตศักดิ์สิทธิ์ของอีกฝ่ายตรงๆ มันย่อมไม่มีทางใดที่อีกฝ่ายจะสามารถรู้ตัวได้


ตั้งแต่ที่หรงซีเยว่เรียนรู้มันมา นางก็ไม่เคยจะพลาดมาก่อน


ไม่นึกไม่ฝันว่าวันนี้เย่หยวนกลับสามารถทำลายมันลงได้อย่างสิ้นเชิง


“เดิมทีข้ายังคิดจะตรวจสอบเบื้องหลังของเขาอย่างจริงจังแต่ดูท่าแล้ว เด็กคนนี้มันอาจจะเป็นปัญหามากกว่าที่ข้าคาดคิด!” เสียงของคูมู่นั้นแฝงมาด้วยความหนักใจไม่น้อย


หรงซีเยว่ขมวดคิ้วแน่น “เขานั้นยื่นข้อเสนอมา บอกว่าจะหลอมโอสถให้เราในราคาห้าเท่าของที่อีกสองพวกจ่าย! ผู้พิทักษ์คูมู่ ท่านว่า… เราทำอย่างไรดี?”


ชายชุดดำเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะบอก “ตกลงไป! เด็กคนนี้มันมีพลังพอจะมายุ่งแผนการของเราได้ ตอนนี้เมื่อเขาไม่คิดยุ่ง มันก็ย่อมจะดีที่สุดแล้ว ตราบเท่าที่เขาไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องราว เราก็จะไม่ไปหาเรื่องเขาด้วย เราจะยอมก้มหัวให้เขาหน่อยก็ไม่เป็นไร ทุกสิ่งอย่างก็เพื่อแผนการอันยิ่งใหญ่”


หรงซีเยว่ก้มหัวลงพร้อมรับปาก “ซีเยว่เข้าใจแล้ว”



การขายโอสถให้ทั้งสามพวกนั้นทำให้เย่หยวนได้กำไรมามากมาย


นอกจากนั้นแล้วตอนนี้เรื่องราวของเมืองสันเขาใต้มันก็ได้กระจายไปจนถึงเมืองหลวงจักรพรรดิเก้ามั่นจนทั่วแล้ว


เรื่องที่ว่าเมืองสันเขาใต้นั้นแยกตัวเป็นอิสระได้ประกาศกระจายออกไปทุกทิศ


แต่แน่นอนว่าเนื้อข่าวที่สำคัญที่สุดก็คือความสามารถในทางโอสถของเย่หยวน!


เหล่านภาสวรรค์จากเมืองจักรพรรดิขั้นกลางและขั้นสูงต่างออกเดินทางอย่างไม่คิดลังเล


จอมเทพโอสถห้าดาวที่สามารถหลอมโอสถได้ถึงขั้นเทวะวิญญาณไพศาลมันย่อมต้องเป็นที่ต้องการของทุกผู้คนในเขตแดนเมืองหลวงจักรพรรดิเก้ามั่น


ตอนนี้มิใช่แค่เหล่านักยุทธนภาสวรรค์ที่มายังเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ แต่เหล่านักหลอมโอสถทั้งหลายเองก็ตามๆ กันมายังเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ด้วยเช่นกัน


เพราะตอนนี้เหล่าจอมเทพโอสถแห่งหอโอสถนั้นรวมไปถึงซวนอี้ต่างได้รับการฝึกฝนสั่งสอนจากเย่หยวนมาก่อน หลังผ่านเวลาการฝึกฝนไปหลายต่อหลายปีมันย่อมทำให้ฝีมือของพวกเขานั้นเหนือล้ำกว่าที่เคยเป็นอย่างมหาศาล


โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนิงซืออวี๋แห่งตระกูลหนิง นางนั้นมีพรสวรรค์ที่เหนือล้ำจนกลายเป็นจอมเทพโอสถสี่ดาวที่ชื่อก้องไปทั่ว


เมื่อรวมเข้ากับความเก่งกาจและชื่อเสียงของเย่หยวน มันจึงทำให้ตอนนี้เมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ได้กลายเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนักหลอมโอสถไป


หลังจากเรื่องราวของสิบเมืองสันเขาใต้สงบลง เวลามันก็ผ่านไปได้นับปี


ในเวลาหนึ่งปีนี้เย่หยวนเองก็ได้บรรลุขึ้นสู่อาณาจักรลายพระเจ้าหกดาวแล้วด้วย


แน่นอนว่าด้วยโอสถวิเศษของเย่หยวนนั้นทางเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ก็ได้ให้กำเนิดนักยุทธนภาสวรรค์ขึ้นมามากมายด้วย


ตอนนี้พลังของเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นั้นมันได้พุ่งทะยานขึ้นไปจนสูงกว่าเหล่าเมืองจักรพรรดิขั้นสูงหลายๆ เมืองแล้ว


แต่ทว่ายิ่งพลังของทุกผู้คนเพิ่มสูงมากขึ้น ไป๋เฉินก็ยิ่งรู้สึกอึดอัดที่จะอยู่ต่อไป


เขาได้รู้ว่าทุกคนที่ติดตามเย่หยวนนั้นต่างพัฒนาฝีมือตนได้อย่างไม่น่าเชื่อ มีเพียงแค่เขาเท่านั้นที่ยังยืนอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน


ในเมืองจักรพรรดิอื่นๆ เหล่านักยุทธทั้งหลายต่างใช้เวลาบ่มเพาะอย่างมากมาย กว่าจะพัฒนาตนได้มันก็ต้องใช้เวลานับหมื่นๆ ปี


แต่ในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นี้หมื่นปีมันนานจนเกินไป ทุกผู้คนต่างใช้เวลาทุกนาทีเพื่อแข็งแกร่งขึ้น!


ด้วยโอสถระดับสูงทั้งหลายนั้นมันย่อมทำให้ความเร็วในการบ่มเพาะของทุกผู้คนเพิ่มสูงขึ้น


ทุกๆ วันไป๋เฉินรู้สึกราวกับกำลังถูกทรมาน


ในเวลาหนึ่งปีมานี้ ไป๋เฉินเองก็ได้สนิทสนมกับหนิงเทียนปิงและคนอื่นๆ รอบกายเย่หยวนมากขึ้น


เว้นเสียแต่ว่าสุดท้ายเขาก็ไม่อาจเข้าสังคมกับคนทั้งหลายได้


มันไม่ใช่เพราะทุกคนเกลียดชังเขาหรืออะไรเช่นนั้น แต่เป็นเพราะทุกคนรู้ดีว่าพวกเขาคงอยู่ด้วยกันได้ไม่นาน


หากทุกผู้คนยังพัฒนาตนอย่างรวดเร็วเช่นนี้ต่อไป นภาสวรรค์เก้าดาวในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นี้คงมีมากจนไม่อาจนับค่าได้


ในวันนี้ไป๋เฉินจึงอดทนต่อไปไม่ไหวและเข้ามาหาเย่หยวน


“อาจารย์ ข้า… ข้าคิดว่าตัวเองได้ออกมานานเกินไปแล้ว มัน… น่าจะได้เวลาแวะกลับไปดูที่ดินแดนนภาบรรพต”


ไป๋เฉินนั้นรู้แค่ว่าเวลานี้การกลับไปยังดินแดนนภาบรรพตมันจะทำให้เขาสงบสติอารมณ์ได้


เพราะไม่ว่าอย่างไรเสียที่แห่งนั้นเขาก็เป็นยอดผู้ปกครอง


แล้วมีหรือที่เย่หยวนจะไม่เข้าใจว่าไป๋เฉินรู้สึกอย่างไร? แต่เขาแค่ยิ้มตอบกลับไป “กลับไป เจ้าจะยอมแพ้ต่อชะตาหรือ?”


ในฐานะผู้ควบคุมดูแลเขาย่อมสามารถทำอะไรก็ได้ในดินแดนนภาบรรพต


แต่เรื่องนั้นมันก็แค่สร้างความพอใจให้แก่คนที่ไม่รู้เรื่องว่าภายนอกมีโลกกว้างใหญ่รออยู่ หากพวกเขารู้แล้วมีหรือที่จะทนอยู่ต่อไปในก้นบ่อน้ำนั้นได้?


ไป๋เฉินยิ้มออกมาอย่างขมขื่น “ต่อให้ข้าไม่คิดยอมแพ้แล้วมันจะมีประโยชน์ใด? พลังของแม่นางเล้งเองก็พัฒนาขึ้นอย่างมหาศาลจนแทบถึงระดับของข้าแล้ว ส่วนคนอื่นๆ รออีกแค่ไม่กี่ปีพวกเขาก็คงสามารถก้าวข้ามข้าไปได้ ข้า…”


เย่หยวนเดินเข้าไปตบบ่าด้วยรอยยิ้ม “เวลาหนึ่งปีมานี้เมืองสันเขาใต้มีเรื่องต้องจัดการมากมาย ข้ามีเรื่องที่ต้องดูแลจัดการมหาศาลจนไม่มีเวลาว่างใดๆ เลย แต่ตอนนี้เมื่อทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทางข้าจึงเริ่มมีเวลามาจัดการปัญหาให้เจ้าแล้ว!”


ไป๋เฉินผงะไปเล็กน้อยก่อนจะถามขึ้น “ปัญหาของข้า? ข้ามีปัญหาใดหรือ?”


ในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นี้คนที่ว่างไร้ปัญหามากที่สุดมันก็คงเป็นเขา เพราะเขาไม่ต้องทำการบ่มเพาะใดๆ


เย่หยวนยิ้มออกมา “ข้าคิดอยากสร้างโอสถชนิดใหม่ขึ้นมาและต้องการความร่วมมือจากเจ้า!”


เมื่อไป๋เฉินได้ยินเช่นนั้นเขาก็พูดขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นดีใจ “ข้าสงสัยเหลือเกินว่าโอสถชนิดใดที่ท่านอาจารย์คิดอยากสร้างขึ้นมา?”


เย่หยวนมองดูใบหน้าของเขาด้วยรอยยิ้ม “โอสถครองวิญญาณผสานเต๋า!”

 

 

 


ตอนที่ 1913 อาณาจักรเต๋าขั้นสุด

 

ภายในห้องลับนี้มันเปี่ยมไปด้วยแสงที่หมุนวน


ไป๋เฉินนั้นปล่อยจิตศักดิ์สิทธิ์ของตนและปล่อยเต๋าที่เขาได้บ่มเพาะทั้งสิ้นออกมาสู่โลกภายนอก


พลังจิตวิญญาณของเย่หยวนค่อยๆ กระจายตัวออกมาเพื่อสัมผัสหาถึงความลับที่ซ่อนอยู่ในร่างกายของไป๋เฉิน


และภาพเช่นนี้มันก็เกิดขึ้นติดๆ กันมานับเดือนแล้ว


ทุกวันเย่หยวนจะทำการตรวจสอบจนพลังจิตวิญญาณของเขาหมดสิ้นลง


จู่ๆ แสงนั้นก็จางลงทำให้ภายในห้องกลับมาสู่สภาวะความสงบอีกครั้งหนึ่ง


“ท่านอาจารย์! ท่านไหวหรือไม่?”


ได้เห็นท่าทางของเย่หยวนที่เหนืออ่อนจนแทบล้มพับลงไป๋เฉินจึงรีบพุ่งตัวเข้าไปประคองร่างเย่หยวนไว้


แต่เย่หยวนกลับยกมือขึ้นมาโบกปัด “ข้าไม่เป็นไร เพียงแค่วันนี้ใช้แรงมากไปหน่อยก็เท่านั้น”


“ท่านอาจารย์ ช่างมันเถอะ! คนที่หลอมซับผลวิญญาณเต๋านั้นมันไม่มีทางพัฒนาตัวไปต่อได้แล้วล่ะ”


เมื่อไป๋เฉินเห็นเย่หยวนเหนื่อยอ่อนทุกวี่วันเช่นนี้เขาก็รู้สึกซาบซึ้งอย่างมาก แต่ก็เป็นเพราะเหตุนั้นเขาจึงไม่อาจทนดูมันได้อีกต่อไป


เพราะการกระทำนี้มันย่อมจะเสียเปล่าอย่างแน่นอน


ตั้งแต่บรรพกาลมามียอดฝีมือมากมายแค่ไหนคิดอยากทำลายโซ่ตรวนนี้แต่มันกลับไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน


แม้จะไม่ต้องพูดถึงอดีตอันแสนห่างไกล แต่ในทุกวันนี้เองมันก็ยังมีสุดยอดจอมเทพโอสถมากมายอยู่ แต่เรื่องราวของโอสถเช่นนั้นมันกลับไม่เคยปรากฏขึ้นที่ใดมาก่อนเลย


ไป๋เฉินรู้ดีถึงความเก่งกาจของเย่หยวน แต่เรื่องราวเช่นนี้มันไม่อาจจะทำให้สำเร็จได้ด้วยแค่ความเก่งกาจ


เย่หยวนมองดูไป๋เฉินและยิ้มขึ้น “หรือว่าเจ้าจะยอมอยู่หน้าประตูอาณาจักรเทพถ่องแท้ไปทั้งชีวิต?”


ไป๋เฉินพูดขึ้นมาด้วยท่าทางขุ่นเคือง “ข้านั้นย่อมไม่คิดยอม เพียงแค่ว่า… การต้องมาเห็นท่านอาจารย์ใช้พลังจนหมดทุกวันเช่นนี้มันทำให้ไป๋เฉินกลัวว่าตนจะทำให้อาจารย์ท่านผิดหวัง เส้นทางที่ข้าเดินนี้ข้าเป็นคนเลือกมาเอง ตอนนี้ข้ารู้ดีว่าตัวเองกำลังพูดจาวกวนมากแค่ไหนแต่ข้าก็ไม่อาจห้ามตัวเองได้จริงๆ”


ไป๋เฉินนั้นเข้าใจดีว่าเวลาของเย่หยวนนั้นแสนล้ำค่า


การมาเสียเวลากับไป๋เฉินเช่นนี้มันเป็นบาปที่มหัน


หากเรื่องราวนี้มันพอมีหวัง ก็ยังพอว่า แต่ตอนนี้พวกเขานั้นอยู่ในทางตันที่ไม่มีแสงสว่าง กลัวว่าจะต้องเสียเวลานับปี หรือนับสิบๆ ปีไปอย่างไร้ค่าไม่ได้ประโยชน์อะไร


และความเสียเปล่าเช่นนั้นมันย่อมวัดเป็นค่าเสียหายไม่ได้


เย่หยวนบอก “หากยังไม่ยอมแพ้ก็ดีแล้ว ภายใต้สวรรค์นี้มันไม่มีคำว่าแน่นอน ก่อนหน้านั้นในโลกใบน้อยที่อาจารย์อยู่เองพลังเต๋าสวรรค์ภายในนั้นมันก็เหือดแห้งจนสิ้นทำให้ไม่มีใครจะอาจสามารถขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้าได้มานับแสนๆ ปี แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นอาจารย์เจ้าก็ได้หาเส้นทางด้วยยอดเต๋าจนสามารถขึ้นมาสู่อาณาจักรพระเจ้าได้”


ไป๋เฉินสูดหายใจเข้าลึกด้วยความตื่นตะลึง “ที่แท้ท่านอาจารย์เองก็มาจากโลกใบน้อยเช่นกัน? เข้าสู่อาณาจักรพระเจ้าด้วยวิชาโอสถ… ช่างเหนือล้ำจริง!”


เขานั้นเป็นผู้ดูแลดินแดนนภาบรรพตและแน่นอนว่าเขาต้องเข้าใจถึงความยิ่งใหญ่ของเต๋าสวรรค์


เมื่อขาดพลังจากเต๋าสวรรค์ไปแล้วต่อให้จะเป็นคนเก่งกาจมากพรสวรรค์เพียงใดมันก็ไม่อาจจะเอื้อมขึ้นไปถึงอาณาจักรพระเจ้าได้


แต่อาจารย์ของเขากลับทำได้!


เย่หยวนยิ้มออกมา “โลกใบนี้มันไม่มีอะไรแน่นอน สิ่งที่เจ้าเห็นมันอาจจะมิใช่ความเป็นจริง ตอนนั้นหากข้าคิดยอมแพ้ไปเพราะไม่มีพลังจากเต๋าสวรรค์แล้ว ทุกวันนี้มันก็คงไม่มีอาจารย์ของเจ้าผู้นี้”


ไป๋เฉินพยักหน้าอย่างหนักแน่น “ท่านอาจารย์ ข้าเข้าใจแล้ว! ข้าจะไม่ยอมแพ้!”


เย่หยวนพยักหน้าออกมา “เหตุผลที่ผู้ซึมซับผลวิญญาณเต๋าไม่อาจบ่มเพาะได้อีกมันก็เป็นเพราะว่าเต๋าที่เจ้ามีนั้นหาใช่เต๋าของตัวเจ้าไม่! ความเข้าใจความรู้ของผู้อื่น สุดท้ายแล้วมันก็เป็นของผู้อื่น ต่อให้เจ้าจะหลอมซึมซับมันสุดท้ายมันก็ยังเป็นความเข้าใจของชีวิตผู้อื่น มันเหมือนกับการใส่เสื้อผ้า เมื่อเสื้อผ้าของเจ้านั้นเป็นของที่เดิมทีตัดเพื่อให้ผู้อื่นใส่แล้ว ไม่ว่าจะทำอย่างไรมันก็คงไม่อาจใส่กับตัวเข้าได้พอดีแน่ เพราะฉะนั้นจิตศักดิ์สิทธิ์และร่างกายของเจ้ามันจึงไม่อาจรับเส้นทางของผู้อื่นได้ดีนัก”


ไป๋เฉินหยุดคิดก่อนจะบอก “แต่เรื่องเช่นนี้มันเป็นอะไรที่แสนเป็นนามธรรม จิตศักดิ์สิทธิ์ ร่างกาย ผลวิญญาณเต๋า การจะทำให้สามสิ่งนี้ผสานเป็นหนึ่งนั้นมันจะเป็นไปได้หรือ?”


เต๋าสวรรค์นั้นเป็นนามธรรม ร่างกายของจิตศักดิ์สิทธิ์เองก็เป็นสิ่งที่ลึกซึ้งไร้คำบรรยายเช่นกัน


ยอดเต๋าหมุนวน แต่ร่างกายมนุษย์เองมันก็เป็นโลกใบน้อยๆ ที่กำลังหมุนวนตามกฎใดสักอย่างอยู่


การบ่มเพาะของนักยุทธ คนรู้ว่าต้องทำอย่างไรแต่มีใครรู้บ้างว่ามันมีที่มาอย่างไร


เพราะการจะตรวจสอบความลับของร่างกายมนุษย์นั้นมันก็เป็นเรื่องที่ยากเย็นมาแต่เก่าก่อน ไม่ต้องพูดถึงการนำความลับอันยากหยั่งถึงทั้งสามนี้มารวมกันเลย


ตั้งแต่บรรพกาลมามีนักหลอมโอสถมากมายคิดทำมัน แต่กลับไม่มีใครประสบความสำเร็จ


เย่หยวนยิ้มขึ้น “ไม่ลองแล้วจะรู้ได้อย่างไร? ข้ารู้สึกได้ว่าเมื่อใดก็ตามที่โอสถครองวิญญาณผสานเต๋านี้สำเร็จ ความเข้าใจในวิชาโอสถของข้าจะต้องพัฒนาขึ้นได้อย่างมาก!”



เย่หยวนใช้เวลาถึงสามปีในการตรวจสอบร่างกายของไป๋เฉิน


ในเวลาสามปีมานี้แทบจะเรียกได้ว่าเย่หยวนได้ทุ่มจนสุดแรง ใช้สมองจนสุดตัวใช้พลังจิตวิญญาณของตนออกมาทุกวันอย่างไม่มีการหยุดพัก


สภาพของเย่หยวนในตอนนี้มันเหมือนตอนที่เขากำลังหาทางสร้างโอสถท้าทายสวรรค์ เป็นสภาพที่ไม่ต่างจากคนบ้า


นั่นทำให้ไป๋เฉินนั้นได้เข้าใจถึงความบ้าคลั่งของเย่หยวน


เป็นตอนนี้เองที่เขาได้รู้ว่าที่เย่หยวนมีวันนี้ได้มันมิใช่เพียงแค่เพราะโชคชะตา


คนอื่นๆ อาจจะบอกว่าเย่หยวนมากพรสวรรค์ แต่ไม่ได้เห็นเลยว่าเบื้องหลังพรสวรรค์นั้นเขาใส่ความพยายามเข้าไปมากเพียงใด


เพียงแค่ว่าเรื่องราวที่บ้าคลั่งขนาดนี้มันมิใช่สิ่งที่นักยุทธคนอื่นๆ จะสามารถทนรับได้


ไป๋เฉินนั้นรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าหากเป็นตัวเขาที่ต้องมาสำรวจความลึกลับของร่างกายเช่นนี้แล้วเขาคงเสียสติไปก่อนแน่


หากไม่มีจิตใจที่แข็งแกร่งจริงๆ มันย่อมไม่อาจจะเอื้อมถึงได้


สามปีต่อมาในที่สุดเย่หยวนก็บอกกับไป๋เฉินว่าเขาจะเข้าสู่การเก็บตัว


ภายในศิลาจารึกบัลลังก์พิภพเย่หยวนกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงหน้าเขาน้องแห่งถงเทียน


“ผู้อาวุโส จิตศักดิ์สิทธิ์มันคืออะไรกัน?” เย่หยวนถามขึ้น


เวลาสามปีที่เขาตรวจสอบมานี้เย่หยวนได้รู้ว่าหากคิดอยากสร้างโอสถครองวิญญาณผสานเต๋าจริง สุดท้ายแล้วกุญแจสำคัญมันก็อยู่ที่จิตศักดิ์สิทธิ์


และในเรื่องนี้มันคงไม่มีใครเข้าใจได้ดีไปกว่าหวู่เฉิน


หวู่เฉินกล่าวขึ้น “คำถามนี้มันย่อมไม่มีใครตอบได้ แต่ทว่ามนุษย์นั้นไม่อาจมีชีวิตโดยขาดจิตได้ จิตนั้นสามารถคงอยู่บนโลกนี้ได้ด้วยตัวเอง แต่ร่างกายนั้นไม่อาจจะแยกจากจิตได้ มันจึงนับเป็นพลังงานทางจิตใจอย่างหนึ่งที่เชื่อมร่างกายเข้ากับเต๋าสวรรค์ทำให้นักยุทธทั้งหลายสามารถใช้จิตศักดิ์สิทธิ์นี้ในการเข้าถึงเต๋าสวรรค์และทำการบ่มเพาะเต๋า หากคิดจะให้คำจำกัดความมันจริงๆ แล้วข้าก็คิดว่า… ส่วนขยายของเต๋าสวรรค์ คงเหมาะที่สุด”


“ส่วนขยายของเต๋าสวรรค์…” เย่หยวนทวนคำของหวู่เฉินก่อนจะปล่อยให้สติของตัวจมลงสู่เขาน้อยแห่งถงเทียน


“ชีวิตมากมายที่มีความคิดล้วนแล้วแต่เป็นส่วนหนึ่งในเส้นทางเต๋าสวรรค์”


“ร่างกายนั้นตายลงหากขาดจิต ใบไม้ใบหญ้าทั้งหลายเองก็ตายลงหากขาดวิญญาณ”


“หากจะบอกว่าจิตศักดิ์สิทธิ์เป็นเชือก ด้านหนึ่งมันก็คงยึดติดกับโลกกายภาพ ส่วนอีกด้านนั้นเชื่อมเข้ากับยอดเต๋า…”


“…”


ในที่สุดเย่หยวนก็เริ่มรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง


ด้านบนเขาน้อยแห่งถงเทียนคลื่นเต๋าค่อยๆ ขยายตัวหนาแน่นขึ้น


จิตศักดิ์สิทธิ์ของเย่หยวนลอยออกจากร่างไปสู่ยอดของเขาน้อยแห่งถงเทียน


จนในที่สุดเงาร่างนั้นของเขาก็ค่อยๆ เจือจางลงแตกสลายกลายเป็นจุดแสงนับไม่ถ้วน ก่อนจะค่อยๆ จางหายลงไป!


ในพื้นที่แห่งนี้ตัวตนของจิตศักดิ์สิทธิ์ของเย่หยวนมันไม่มีให้เห็นอีกต่อไป


แต่เมื่อลองสัมผัสดูอย่างจริงจังก็จะรู้ได้ว่าจิตศักดิ์สิทธิ์ของเขานั้นอยู่ในทุกที่


เมื่อเห็นภาพตรงหน้านี้หวู่เฉินก็ได้แต่เบิกตากว้างอย่างตื่นตกใจ “เด็กคนนี้บรรลุอีกแล้ว! จิตผสานเต๋า สัมผัสถึงต้นตอของยอดเต๋า ต่อให้เป็นเทพสวรรค์ก็คงไม่อาจเข้าใจมันได้!”


เวลาหนึ่งร้อยปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในวันนี้เย่หยวนลืมตาทั้งสองขึ้นด้วยใบหน้าแตกฉาน


จิตศักดิ์สิทธิ์ของเขากลับมาสู่ร่างพร้อมด้วยความรู้สึกพองโตมันย่อมหมายความว่าเขาจะบรรลุขึ้นแล้ว


เมื่อคิดได้เช่นนั้นเหล่าผนึกปราณเทวะขั้นกลางนับไม่ถ้วนก็ได้ปรากฏต่อหน้าเย่หยวน


เย่หยวนจึงเริ่มดูดกลืนพวกมันทั้งสิ้นอย่างไม่มีความลังเล


ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนแต่ในที่สุดเย่หยวนก็ได้บรรลุขึ้นมาถึงอาณาจักรลายพระเจ้าเจ็ดดาวในคราเดียว!


“อาณาจักรเต๋าที่อยู่ในขั้นสุด! เมื่อไหร่กันนะที่ข้าจะสามารถก้าวขึ้นไปถึงอาณาจักรบรรพกาลที่ห่างไกลนั้นได้!” เย่หยวนกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเปี่ยมอารมณ์

 

 

 


ตอนที่ 1914 ยอดเมืองหลวงจักรพรรดิทองวาว

 

สมบัติความรู้ที่มหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลทิ้งไว้ให้นั้นมันทำให้เย่หยวนได้เข้าใจถึงอาณาจักรเต๋าโอสถ


ก่อนจะมาถึงอาณาจักรเต๋านั้นมันคืออาณาจักรต้น ระดับเป็นพื้นฐานที่คนเริ่มรู้เรื่องราวของวิชาการหลอมโอสถ


นักหลอมโอสถในอาณาจักรต้นนั้นจะใช้ความรู้และประสบการณ์ล้วนๆ ในการหลอมโอสถออกมาทำให้เป็นเรื่องยากมากที่จะหลอมโอสถให้ได้ระดับคุณภาพสูง


หลังผ่านอาณาจักรต้นมาแล้วก็จะเป็นอาณาจักรเต๋า อาณาจักรเต๋านั้นคืออาณาจักรที่เหล่านักหลอมโอสถเริ่มเข้าใจในยอดเต๋าและสามารถหลอมโอสถได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าเก่า ทำให้การหลอมโอสถเองก็สามารถสร้างหลอมสร้างโอสถที่มีคุณภาพสูงได้แม่นยำขึ้น


เย่หยวนนั้นขึ้นมายังอาณาจักรนี้ตั้งแต่ตอนที่ไปทำให้ทำนองแห่งยอดเต๋าบรรเลง


ในตอนนี้เวลาหนึ่งร้อยปีในการทำความเข้าใจเต๋าและการพยายามสร้างโอสถครองวิญญาณผสานเต๋ามันจึงทำให้ความรู้ความเข้าใจในจิตศักดิ์สิทธิ์และเต๋าโอสถของเย่หยวนั้นพัฒนาขึ้นในทุกๆ วันจนได้มาถึงอาณาจักรเต๋าขั้นสุดแล้ว


มันเป็นอย่างที่เย่หยวนคาดการ การวิจัยหาทางสร้างโอสถครองวิญญาณผสานเต๋านั้นมันทำให้เขาได้พัฒนาความรู้ความเข้าใจในเต๋าโอสถไปอย่างมากจริงๆ


ตอนนี้สิ่งที่เหลืออยู่ก็คือการลองลงมือทำ แต่มันก็ได้ให้ประโยชน์กับเขาอย่างมากมายแล้ว


จากความรู้ที่ได้รับมาจากมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล มันยังมีอาณาจักรที่เหนือล้ำอาณาจักรเต๋าขึ้นไปอีกคืออาณาจักรบรรพกาล


ทั้งโอสถบรรพกาลและมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลนั้นได้ยืนอยู่ในจุดนี้


อาณาจักรบรรพกาลนั้นเป็นอาณาจักรที่แสนกว้างใหญ่เพราะฉะนั้นมันจึงไม่ใช่แค่สองคนนี้เท่านั้นที่เดินขึ้นไปถึงอาณาจักรบรรพกาลได้ จักรพรรดิเทพสวรรค์ที่เก่งกาจหลายคนเองก็สามารถขึ้นไปถึงอาณาจักรบรรพกาลนี้ได้ เพียงแค่ว่าคนทั้งสองนี้เดินนำคนอื่นๆ ไปไกลลิบเท่านั้น


อาณาจักรเต๋าของเย่หยวนนั้นอยู่ที่ขั้นสุดเพียงแค่ก้าวเดียวจากอาณาจักรบรรพกาล แต่ว่าก้าวเดินข้างหน้านี้มันช่างเป็นเรื่องสุดแสนยากเย็น


นักหลอมโอสถที่สามารถขึ้นมาถึงอาณาจักรเต๋าขั้นสุดเองนั้นแท้จริงแล้วมันก็ไม่ได้มีมากมายเลยและส่วนมากก็จะเป็นจอมเทพโอสถเจ็ดดาวหรือแปดดาว


ส่วนอาณาจักรบรรพกาลนั้นมันยิ่งหาได้ยากยิ่งกว่า


ในตอนนี้เย่หยวนนั้นอยู่ที่อาณาจักรเต๋าขั้นสุด จะบอกว่าความเข้าใจในวิชาโอสถของเขานั้นมันเหนือล้ำกว่านักหลอมโอสถกว่าเก้าในสิบของมหาพิภพถงเทียนแล้วก็ว่าได้


แถมตอนนี้เขายังเป็นแค่จอมเทพโอสถห้าดาวผู้หนึ่ง


หลังจากผ่านไปได้สิบปีในที่สุดความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ทั้งหลายมันก็ชัดเจนขึ้นมาในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์


ในเวลาแค่สิบปีนี้เมืองนี้ได้ให้กำเนิดยอดฝีมือนภาสวรรค์มากมาย เหล่าราชันพระเจ้านั้นยิ่งมีมากมายอย่างไม่อาจนับได้ ทำให้กำลังของเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นั้นพัฒนาได้อีกขั้น


ที่สำคัญกว่านั้นคือเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นั้นได้กลายเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์น้อยๆ แห่งการโอสถไปแล้ว


ตอนนี้เหล่านักหลอมโอสถจากทั่วทุกทิศต่างมุ่งหน้ามาเพื่อจะเข้าหอโอสถ มันมากเสียจนเกินกว่าจะนับได้


หอโอสถเองนั้นก็ได้ตั้งเงื่อนไขและคุณสมบัติที่เข้มงวดอย่างมากขึ้นมาในการรับคนใหม่ๆ


เมื่อเย่หยวนออกมาจากการเก็บตัวเขาก็พบตงน้อยและหมูสมบัติมารออยู่ที่ด้านนอกก่อนหน้าแล้ว


เมื่อเห็นเย่หยวนหมูสมบัติก็พุ่งตัวเข้ามาใส่อกของเย่หยวนในทันที แน่นอนว่าเป้าหมายของมันย่อมชัดเจนเสียยิ่งกว่าชัดเจน


“อู๊ดๆ!”


หมูสมบัตินั้นแสดงท่าทางเหมือนจะสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในตัวเย่หยวนและร้องออกมาด้วยท่าทางดีใจ


ตงน้อยเองก็รู้สึกได้ถึงมันเขาจึงกล่าวขึ้นมาด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง “ใจอิสระดั่งเมฆ จิตมั่นคงดั่งสายน้ำ เจ้า… ถึงอาณาจักรเต๋าขั้นสุดแล้ว?”


อาณาจักรเต๋าขั้นสุดนั้นคือตัวตนที่ลึกลับซับซ้อน คนที่ขึ้นไปถึงนั้นมีจำนวนไม่มาก


แต่ตงน้อยนั้นเดิมทีก็เป็นคนที่ยืนอยู่ในอาณาจักรเต๋า เขาจึงพอที่จะสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงนี้ของเย่หยวน


เย่หยวนยิ้มออกมา “เก็บตัวไปสิบปีนี้ข้าได้ความเข้าใจมาบ้าง ตอนนี้จึงอยู่ที่ขั้นสุดแล้ว!”


ได้ยินเช่นนั้นมุมปากของตงน้อยก็กระตุกขึ้นทันที สายตาที่เขามองดูเย่หยวนนั้นเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อน


ในฐานะผู้ที่เป็นถึงจอมเทพโอสถเจ็ดดาวและยังสามารถทำให้หมูสมบัติพอใจได้ แน่นอนว่าพลังฝีมือความสามารถของตงน้อยมันย่อมเหนือล้ำอย่างไม่ต้องพูดถึง


แท้จริงแล้วตัวเขาเองก็ได้ก้าวขึ้นอาณาจักรเต๋ามานานทำให้ความรู้ความสามารถในวิชาโอสถของเขานั้นเหนือกว่าจอมเทพโอสถคนอื่นๆ มาก


“เด็กคนนี้ เจ้ามันสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง! อย่าบอกนะว่าเจ้าสามารถสร้างสูตรโอสถครองวิญญาณผสานเต๋าได้แล้ว?” ตงน้อยร้องบอกอย่างไม่อยากเชื่อสายตา


เย่หยวนหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินเช่นนั้น “จะเป็นไปได้อย่างไร? ข้านั้นยังไม่ได้จับสมุนไพรใดๆ เลย ตอนนี้มีแค่เพียงเส้นทางที่จะทดลอง ส่วนเรื่องที่ว่าจะสำเร็จหรือไม่นั้นล้วนแล้วแต่ต้องพึ่งโชคชะตาของไป๋เฉิน”


ตงน้อยรู้สึกใจหายวาบขึ้นมา เพราะการที่เย่หยวนกล้าพูดเช่นนี้ออกมามันย่อมหมายความว่ามีโอกาสสำเร็จได้


การสร้างโอสถสูตรใหม่แถมยังเป็นโอสถที่ยากเหนือล้ำกว่าความยากของโอสถใดๆ แน่นอนว่ามันย่อมมิใช่เรื่องง่ายๆ ต้องใช้การทดลองซ้ำไปมาหลายต่อหลายครั้งก่อนจะเห็นเส้นทางความเป็นไปได้


จู่ๆ สายตาของตงน้อยจึงจ้องมองดูเย่หยวนอย่างเร่าร้อนขึ้น “ทรัพยากรจากเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นี้คงไม่อาจช่วยให้เจ้าทำมันได้สำเร็จแน่ เจ้ามีแผนจะทำอย่างไรต่อไป?”


เย่หยวนพยักหน้ารับ “ข้ารู้ ข้าจึงได้วางแผนจะเดินทางไปยังยอดเมืองหลวงจักรพรรดิทองวาวและคิดทำข้อตกลงกับหอมหาสมบัติด้วย ทำเช่นนั้นเราคงไม่ต้องกังวลเรื่องสมุนไพรใดๆ อีกต่อไป”


ตงน้อยพูดขึ้นในทันทีที่ได้ยิน “ในเมื่อเจ้าอยู่ถึงอาณาจักรเต๋าขั้นสุดแล้ว ข้ามีโอสถที่อยากให้เจ้าช่วยหลอมกลั่นหน่อย”


เย่หยวนเบิกตากว้างทันที “เรื่องนั้นมันย่อมไม่เป็นปัญหา! เพียงแค่ว่าโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับห้ามันคงไม่มีประโยชน์ใดๆ กับเจ้าใช่ไหมเล่า?”


ตงน้อยส่ายหัวออกมา “วรยุทธบ่มเพาะที่สืบทอดมาสู่ข้านี้มันค่อนข้างจะพิเศษ แม้ว่ามันจะมีความเร็วในการบ่มเพาะที่สูงล้ำแต่ทุกๆ ห้าหมื่นปีข้าจะกลับกลายจากแก่เป็นเด็กน้อยเป็นเวลานับพันปี! แต่ละครั้งที่ข้ากลับไปเป็นเด็กน้อยทั้งร่างกาย หน้าตา พลังฝีมือใดๆ จะกลับไปสู่สภาพของเด็กชายวัยเจ็ดแปดขวบทันที ในช่วงพันปีนี้ข้าจะไม่สามารถบ่มเพาะใดๆ ได้และเป็นได้แค่เด็กน้อยอายุเจ็ดแปดขวบผู้หนึ่ง แต่ทว่าทางบรรพบุรุษของข้านั้นก็ได้ทิ้งสูตรโอสถหนึ่งไว้ให้ ตราบเท่าที่ข้าได้กินโอสถนี้มันก็จะช่วยคืนพลังกลับมาให้แก่ข้าได้ไม่น้อย ด้วยอาณาจักรบ่มเพาะของเจ้าในตอนนี้บวกกับพลังของอาณาจักรเต๋าขั้นสุด โอสถที่เจ้าหลอมขึ้นมามันคงช่วยให้ข้าขึ้นกลับไปได้ถึงอาณาจักรเทพถ่องแท้”


“เช่นนั้นนี่เอง! ย่อมไม่มีปัญหา ปล่อยให้ข้าจัดการเอง” เย่หยวนเข้าใจในทันทีว่าทำไมตงน้อยถึงได้ทำสีหน้าเช่นนั้นออกมาตั้งแต่แรกที่พบกัน


แต่เย่หยวนเองก็สนใจในโอสถนี้เช่นกัน เพราะหากตงน้อยสามารถกลับขึ้นไปมีพลังถึงอาณาจักรเทพถ่องแท้ได้เช่นนั้นแล้วเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นี้ก็จะมียอดฝีมือที่ช่วยคุ้มครองปกป้องเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่ง


ถึงเวลานั้นต่อให้เป็นสามขั้นอำนาจจากเมืองหลวงจักรพรรดิเก้ามั่นก็คงไม่อาจทำอะไรพวกเขาได้ง่ายๆ แล้ว


แต่เมื่อเย่หยวนเห็นสูตรโอสถแล้วก็รู้สึกปวดหัวขึ้นทันที


โอสถนี้มันมีนามว่าโอสถย้อนฝันพิรุณชำระ เป็นโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับห้าที่มีความยากระดับเก้า แน่นอนว่าการจะหลอมมันขึ้นมานั้นย่อมแสนยากเย็น


และหากมองดูมันดีๆ แล้วมันออกจะยากเสียยิ่งกว่าโอสถฟ้าตะวันจันทราเสียด้วยซ้ำ


ส่วนสมุนไพรที่ใช้ในการหลอมนั้นแต่ละชนิดมันก็สุดแสนล้ำค่า ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมก่อนหน้านี้ตงน้อยถึงไม่คิดหยิบยกมันขึ้นมาพูด



หลังจากเย่หยวนจัดการเตรียมการเรียบร้อยเขาก็พาไป๋เฉิน หนิงเทียนปิง ตงน้อย หมูสมบัติและเซียวเฟิงแห่งหอมหาสมบัติออกเดินทางจากเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์


ตอนนี้เวลาผ่านไปนับพันปีแน่นอนว่าพลังฝีมือของเซียวเฟิงเองก็ไม่ได้ย้ำอยู่กับที่เหมือนแต่ก่อน


เพียงแค่ว่าอายุของเขานั้นมันมากไปหน่อยทำให้เขาหมดโอกาสจะพัฒนาตัวไปแล้ว ต่อให้จะมีความช่วยเหลือจากเย่หยวนเขาเองก็พัฒนาตัวเองไปได้ไม่มาก


ตอนนี้เขาเป็นจอมเทพโอสถสี่ดาว


แต่เซียวเฟิงนั้นไม่เคยคิดเคยฝันว่าตัวเองจะก้าวขึ้นมาได้ถึงอาณาจักรในปัจจุบันนี้


การที่เขาสามารถก้าวเดินมาได้จนถึงวันนี้นั้นล้วนแล้วแต่เป็นเพราะเย่หยวนทั้งสิ้น


ภายในโถงบัลลังก์ม่วงเหล่าคนทั้งหลายต่างนั้งล้อมวงหันหน้าเข้าหากัน


“การเดินทางนี้ข้าคงต้องรบกวนพี่เซียวแล้ว” เย่หยวนบอก


เซียวเฟิงยิ้มแห้งๆ ออกมา “น้องเย่จะจริงจังเกินไปแล้ว ข้านั้นเป็นเพียงแค่จอมเทพโอสถสี่ดาวผู้หนึ่ง ในยอดเมืองหลวงจักรพรรดินั้นไม่นับว่าเป็นตัวประกอบเสียด้วยซ้ำ การเดินทางนี้ดูท่าน้องเย่คงต้องแสดงพลังฝีมือออกมาแล้ว! แต่ว่ามีสิ่งหนึ่งที่น้องเย่วางใจได้ คือเหล่าเมืองที่อยู่ใต้หอมหาสมบัตินั้นต่างสนใจในเงินทองอย่างมาก ตราบเท่าที่มันมีกำไรพวกเขาย่อมไม่คิดปฏิเสธ”


เย่หยวนพยักหน้าออกมา “ข้าได้ยินว่าผู้ที่ดูแลยอดเมืองหลวงจักรพรรดิทองวาวนั้นอยู่คือเทพสวรรค์เปียวหยู เขาเองก็เป็นจอมเทพโอสถเจ็ดดาววิชาโอสถของเขานั้นได้รับการบ่มเพาะมากอย่างเหนือล้ำ ไม่ได้ด้อยไปกว่าเหล่ายอดฝีมือภายใต้การปกครองของโอสถบรรพกาลเลย ข้าสงสัยเหลือเกินว่าครั้งนี้ข้าจะได้เห็นความเก่งกาจนั้นของเขาหรือไม่!”

 

 

 


ตอนที่ 1915 ไม่พบ

 

เซียวเฟิงนั้นได้แต่เปิดปากแต่ไม่อาจพูดอะไรออกมา


คำพูดของเย่หยวนนี้เขาไม่อาจเข้าใจได้


ยอดเมืองหลวงจักรพรรดิทองวาวนั้นคือสถานที่ที่โด่งดังในเรื่องโอสถอย่างมากภายในดินแดนมนุษย์ด้วยกัน


และเหตุผลมันก็มิใช่ใครที่ไหนนอกจากตัวเทพสวรรค์เปียวหยู จอมเทพโอสถเจ็ดดาวผู้นี้ที่มีชื่อเสียงดังสนั่นไปทุกทิศ


เพราะจอมเทพโอสถเจ็ดดาวนั้นคือสุดยอดตัวตนที่ผู้คนธรรมดาจะเข้าใจได้แล้ว


เหล่ายอดฝีมือจักรพรรดิเทพสวรรค์นั้นล้วนแล้วต่างทำตัวลึกลับอย่างที่แม้แต่เทพสวรรค์ทั้งหลายก็ยังไม่อาจพบเจอพวกเขาได้ง่ายๆ


และแน่นอนว่าจอมเทพโอสถแปดดาวมันยิ่งต้องลึกลับมากเสียยิ่งกว่าจักรพรรดิเทพสวรรค์ทั่วๆ ไป


เมื่อก้าวขึ้นไปถึงระดับของจอมเทพโอสถแปดดาวแล้วพวกเขาทั้งหลายนั้นก็แทบจะไม่สนใจสิ่งของใดๆ ทางโลกทั้งสิ้น หากคิดอยากเชิญพวกเขาเหล่านั้นมาลงมือมันก็คงเป็นได้แค่ฝัน


มีเพียงแค่จักรพรรดิเทพสวรรค์ด้วยกันเท่านั้นที่จะเชิญพวกเขาไปได้


เพราะฉะนั้นเทพสวรรค์เปียวหยูที่มีพลังฝีมือความเข้าใจเต๋าโอสถอย่างลึกซึ้งนี้จึงเป็นตัวตนที่สูงสุดเท่าที่ผู้คนทั่วๆ ไปจะเข้าถึงได้


ด้วยความสามารถด้านโอสถของเย่หยวนในตอนนี้เหล่าจอมเทพโอสถทั่วๆ ไปทั้งหลายมันย่อมไม่อาจอยู่ในสายตาของเขาได้


มีเพียงแค่เทพสวรรค์เปียวหยูยอดฝีมือระดับนี้เท่านั้นที่เขาคิดจะสนใจคบหาสมาคมด้วย


คำพูดเหล่านี้มันย่อมอาจจะฟังดูหลงตัวเองหากออกมาจากปากคนอื่น แต่ตงน้อยและพวกต่างก็รู้ดีว่าเย่หยวนเก่งกาจได้ขนาดนั้น



ในพริบตาเวลาก็ผ่านไปได้หลายปีจนในที่สุดพวกเย่หยวนทั้งหลายก็ได้เดินทางมาถึงยังยอดเมืองหลวงจักรพรรดิทองวาว


“พระเจ้าช่วย ยอดเมืองหลวงจักรพรรดิทองวาวทำมาจากทองทั้งเมืองเลยหรือ?”


ต่อให้เขาจะพบเจอเรื่องราวมามากมายแค่ไหนจากการติดตามเย่หยวนแต่หนิงเทียนปิงก็ยังไม่เคยพบเคยเห็นความอลังการในระดับนี้มาก่อน


จะใช้คำว่าสุดยอดหรืออลังการมาบรรยายความหรูหราของเมืองนี้มันก็คงไม่พอ


ยอดเมืองหลวงจักรพรรดิทองวาวนั้นถูกล้อมไปด้วยเทือกเขาโดยมีกำแพงเมืองเป็นสีทองอร่ามราวกับว่ามันถูกสร้างขึ้นมาจากทองคำบริสุทธิ์ เป็นภาพที่ยิ่งใหญ่อลังการ


“หึ เจ้าเองก็จะดูถูกยอดเมืองหลวงจักรพรรดิทองวาวจนเกินไป! หินอิฐแต่ละก้อนในเมืองนี้มันถูกสร้างด้วยทรายเหล็กทองครึ่งแถมยังมีค่ายกลระดับเจ็ดติดตั้งไว้ภายใน ต่อให้เป็นเทพสวรรค์มาลงมือเองมันก็คงไม่มีทางทำให้เกิดรอยขีดข่วนใดๆ ได้” เซียวเฟิงอธิบาย


หนิงเทียนปิงกล่าวขึ้นอย่างตกตะลึง “ทรายเหล็กทองครึ่ง! นั่นมันวัสดุระดับเจ็ดแค่ก้อนเล็กๆ ก็มีค่ากว่าทองนับหมื่นแล้ว! เมืองนี้มันตั้งกว้างตั้งใหญ่ เช่นนี้แล้วทรายเหล็กทองครึ่งของทั้งมหาพิภพถงเทียนมันจะไม่หมดสิ้นไปแล้วหรือ?”


เซียวเฟิงยิ้มขึ้น “หอมหาสมบัตินั้นตั้งอยู่ทั่วทั้งมหาพิภพถงเทียน รายได้แต่ละวันของพวกเรานั้นมันมากเกินกว่าที่จะนับ เมืองนี้มันสุดแสนจะอลังการแน่นอนล่ะ แต่หากเทียบกับทรัพย์สินของเหล่าจักรพรรดิเทพสวรรค์แล้วมันยังเทียบไม่ได้แม้แต่ขนหน้าแข้งสักเส้น”


ได้ยินเช่นนั้นเย่หยวนเองก็ตกตะลึงขึ้นในใจเช่นกัน


จักรพรรดิเทพสวรรค์วันเปานั้นจะนับว่าเป็นผู้ที่ร่ำรวยที่สุดก็คงไม่ผิดนัก!


“หยุด! พวกเจ้าทั้งหลายมีเอกสารยืนยันตนหรือไม่?” ยามที่หน้าประตูเมืองร้องหยุดพวกเย่หยวนไว้


เมื่อเซียวเฟิงได้เห็นเช่นนั้นเขาก็รีบก้มหัวลงทันที “พี่ชายท่าน ข้านั้นเป็นผู้ดูแลในโถงวาโยขจี นี่คือเหรียญประจำตัวข้า คนเหล่านี้ทั้งหลายคือสหายของหอมหาสมบัติข้าเราหวังจะเข้าไปเจรจาธุรกิจกับโถงวาโยขจี หวังว่าท่านจะเข้าใจ”


เซียวเฟิงในตอนนี้นับเป็นยอดคนอันดับต้นๆ ของหอมหาสมบัติในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ แต่เมื่อมาถึงตรงนี้แม้แต่กับยามเขาก็ยังต้องก้มหัวให้


ยามคนนั้นยิ้มเย้ยออกมาเมื่อเห็นเหรียญ “แค่ผู้ดูแลระดับต่ำกลับกล้ามาพูดเรื่องธุรกิจที่ยอดเมืองหลวงจักรพรรดิ เจ้าคงไม่ได้ล้อเล่นใช่หรือไม่? เจ้ารู้หรือไม่ว่าธุรกิจในยอดเมืองหลวงจักรพรรดิทองวาวนี้มันเป็นเช่นใด? รีบๆ ไสหัวไปเสียเถอะ เข้าไปก็เสียเวลาคนอื่นเขาเปล่าๆ!”


เซียวเฟิงหันไปมองดูเย่หยวนด้วยรอยยิ้มแห้งๆ อย่างไม่รู้ต้องทำอย่างไรต่อ


เพราะตัวตนของเขานั้นมันต่ำต้อยจนเกินไปในยอดเมืองหลวงจักรพรรดิเช่นนี้ แม้แต่ยามก็ยังไม่คิดให้เกียรติเขา


เมืองที่ใหญ่แค่ไหนมันก็จะต้องทำธุรกิจที่ใหญ่เท่านั้น คนที่เดินทางมาคุยธุรกิจยังยอดเมืองหลวงจักรพรรดินี้มีใครบ้างที่ไม่ใช่มหาเศรษฐี?


แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นก่อนที่พวกเขาทั้งหลายจะได้เข้าไปในเมืองมันก็ยังต้องผ่านการตรวจสอบเอกสารต่างๆ มากมาย


แล้วแค่จอมเทพโอสถสี่ดาวจากเมืองจักรพรรดิเมืองหนึ่งมีหรือที่จะนำพาธุรกิจใหญ่โตใดมาได้?


ยอดฝีมือที่เขาผู้นี้เคยพบเจอมันก็มีมากมายไม่ขาดสาย แน่นอนว่าเขาย่อมไม่คิดจะสนใจว่าพวกเย่หยวน เหล่านักยุทธนภาสวรรค์ทั้งหลายนี้จะมาทำอะไรเป็นการเป็นงานได้


แม้ว่าตัวเขาเองนั้นก็จะเป็นเพียงแค่นภาสวรรค์สามดาว


เย่หยวนยิ้มออกมาและเดินเข้าไปหายามคนนั้นพร้อมด้วยรอยยิ้ม “พี่ชายท่านนี้เรามีเรื่องสำคัญจริงๆ หวังว่าท่านจะช่วยเราหน่อย”


เขาหยิบโอสถออกมาราวกับเล่นกลยื่นมันไปต่อหน้ายามคนนั้น


ยามคนนั้นหรี่ตาลงทันทีก่อนจะรีบเก็บมันไป “รีบๆ เข้าไปได้แล้ว! อย่าได้ขวางทางผู้คน”


โอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับห้าขั้นเทวะม่วงนั้นสำหรับยามตัวน้อยอย่างเขามันสุดแสนล้ำค่า


อาถที่เย่หยวนมอบให้เขานี้จะช่วยให้เขาสามารถบรรลุขึ้นสู่อาณาจักรนภาสวรรค์สี่ดาวได้!


ของขวัญชิ้นใหญ่เช่นนี้มีหรือที่เขาจะยังไล่พวกเย่หยวนกลับไปได้?


เย่หยวนยกมือขึ้นคารวะและเดินพาทุกผู้คนเข้ามาภายในเมือง


“น้องเย่ ข้าขอโทษด้วยจริงๆ ข้า…” เซียวเฟิงมองดูเย่หยวนด้วยความรู้สึกผิด


เขานั้นไม่นึกไม่ฝันว่าจะไม่อาจพาทุกคนเข้าได้แม้แต่หน้าประตูเมือง


เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “พี่เซียว ท่านอย่าได้กล่าวเช่นนั้น หากไม่ใช่เพราะเหรียญของท่านแล้วต่อให้ข้าจะจ่ายสินบนเขาก็คงไม่กล้ารับ”


ยอดเมืองหลวงจักรพรรดิทองวาวนั้นนับเป็นฐานหลักของจักรพรรดิเทพสวรรค์วันเปา แตกต่างจากหอมหาสมบัติของเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ที่ต้องอยู่ด้วยการพึ่งพาคนอื่นอย่างสิ้นเชิง


ในเมืองนี้มันมีคนร่ำรวยยอดฝีมือมากมายเดินทางมาจากทุกสารทิศในทุกวัน


หากไม่มีคนจากหอมหาสมบัติมาช่วยนำทางแล้ว ยามทั้งหลายที่หน้าประตูก็คงไม่กล้าจะปล่อยพวกเขาเข้ามาง่ายๆ เช่นกัน เพราะฉะนั้นเย่หยวนจึงได้ยืนยันพาตัวเซียวเฟิงมาด้วย


หนิงเทียนปิงพูดขึ้น “ช่างหลงตัวเองเสียจริง! หลังจากเราจดลงธุรกิจได้แล้วต้องไปทำให้พวกมันรู้เสียหน่อยว่าคนเราอย่าตัดสินใครจากภายนอก!”


เย่หยวนยิ้มขึ้น “โลกใบนี้พูดจากันด้วยพลัง แม้เราจะมีพลังฝีมือที่เหนือล้ำในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์แต่เมื่อมาถึงยังยอดเมืองหลวงจักรพรรดิเช่นนี้แล้วมันก็ไม่มีค่าใด แม้แต่เทพสวรรค์ทั้งหลายยามคนนั้นยังกล้าปฏิเสธมีหรือที่เขาจะมาสนในนภาสวรรค์แค่ไม่กี่คนอย่างพวกเรา?”


หนิงเทียนปิงย่อมเข้าใจเรื่องนี้ดีแต่เขาก็ยังกล่าวขึ้นอย่างไม่พอใจ “หึ! แค่โอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับห้า คิดเสียว่าทำบุญให้หมามัน!”


จากนั้นพวกเขาทั้งหลายก็ได้เดินผ่านเมืองตรงมายังส่วนที่ดูหรูหราที่สุดของเมือง


หลังจากผ่านร้านรวงมากมายมา ในที่สุดพวกเขาทั้งหลายก็มาถึงยังตึกหลังหนึ่ง


เซียวเฟิงแสดงเหรียญประจำตัวให้แก่ยามและบอก “ข้าน้อยเป็นผู้ดูแลระดับต่ำของโถงวาโยขจีนามเซียวเฟิง อาจารย์ข้านามลู่เจ๋อเป็นจอมเทพโอสถห้าดาวแห่งเมืองหลวงจักรพรรดิธารสงัด นี่คือคำแนะนำตัวที่อาจารย์ข้าเขียนมา ข้าหวังจะขอเข้าพบกับท่านผู้อาวุโสเจียงหยวน!”


เมื่อยามคนนั้นได้ยินเซียวเฟิงแนะนำตัวเขาก็แสดงสีหน้าท่าทางดูถูกออกมาอย่างชัดเจน หลังจากมองอ่านดูในจดหมายแล้วเขาก็โบกมือขึ้น “พวกเจ้าไปรอที่เรือนต้อนรับด้านนั้น”


เซียวเฟิงโล่งใจขึ้นอย่างมาก เพราะเขากลัวเหลือเกินว่ายามของที่นี่เองก็จะไล่ผู้คนไปตั้งแต่แรกเห็น


เมืองหลวงจักรพรรดิธารสงัดนั้นเป็นเมืองหลวงที่อยู่ใต้การดูแลของยอดเมืองหลวงจักรพรรดิทองวาว อาจารย์ของเซียวเฟิง ลู่เจ๋อเองนั้นก็เป็นคนใหญ่คนโตของเมืองหลวงจักรพรรดิธารสงัด


เพียงแค่ว่าเมื่อมาถึงยอดเมืองหลวงจักรพรรดิแล้วอำนาจเช่นนั้นมันย่อมดูไร้ค่า


เจียงหยวนที่เขาถามหานี้คือผู้อาวุโสแห่งโถงวาโยขจี เป็นยอดฝีมือเทพถ่องแท้มีตำแหน่งสูงส่งในหอมหาสมบัติ


ก่อนที่เซียวเฟิงจะมายังที่แห่งนี้เขาได้ส่งเรื่องไปขอจดหมายแนะนำจากอาจารย์


เพียงแค่ว่าคนที่อ่านจะไว้หน้าอาจารย์เขาไหม มันก็เป็นเรื่องที่เขาไม่อาจรู้ได้


เมื่อมาถึงเรือนรับรองพวกเขาก็ได้แต่ยืนมึนงง


เพราะด้านในเรือนนั้นมันเต็มไปด้วยผู้คนที่สำคัญแต่ละคนที่มานั้นต่างมีพลังฝีมือไม่ธรรมดา


คนใช้ผู้หนึ่งเดินมามอบป้ายหมายเลขให้แก่เซียวเฟิงและพูดสั่งขึ้น “นี่เลขของเจ้า ถือไว้ให้ดีเมื่อใดที่เราเรียกเจ้าก็เข้าไป”


แค่นี้มันก็มากพอจะแสดงถึงตำแหน่งของผู้อาวุโสเจียงหยวนแล้ว ดูท่าคนที่คิดจะมาติดต่อเจรจากับเขานั้นจะมีไม่น้อยทีเดียว


พวกเขาทั้งหลายนั้นไม่นึกไม่ฝันว่าการรอครั้งนี้มันจะกินเวลาถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน


หลังจากเจ็ดวันผ่านไปในที่สุดหมายเลขของพวกเขาก็ถูกเรียก


คนใช้นั้นพาพวกเขาเข้าไปในตัวเรือนก่อนจะพบกับชายวัยกลางคนท่าทางดุดันผู้หนึ่ง


ชายวัยกลางคนนั้นกล่าวขึ้น “เอาจดหมายแนะนำมา”


เซียวเฟิงรีบยื่นมอบมันไปให้ ชายคนนั้นมองดูมันเล็กน้อยก่อนจะโยนมันกลับมา “พวกเจ้าไปได้ ท่านผู้นำตระกูลไม่มีเวลามาพบเจอกับพวกเจ้าทั้งหลาย”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)