Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1892-1895
ตอนที่ 1892 เรื่องราวที่ตามมา
นภาสวรรค์แปดดาวนั้นคือตัวตนที่เหนือล้ำไม่สามารถเทียบเคียงได้ในสายตาของเหล่าผู้คนเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์
แต่ตัวตนที่ไร้เปรียบเช่นนั้นกลับถูกคนที่พวกเขาคุ้นเคยฆ่าสังหารลงอย่างง่ายดาย
แต่เขาคนนี้เป็นเพียงแค่นภาสวรรค์ห้าดาว
กับเย่หยวนแล้วทุกผู้คนต่างคุ้นเคยกับเขาดี
สายตาของผู้คนที่มองมายังเขามันยังคงเป็นเด็กหนุ่มยอดอัจฉริยะคนหนึ่งอยู่
ไม่มีใครคิดใครฝันว่าเวลาแค่ไม่กี่ร้อยปีมานี้เด็กหนุ่มยอดอัจฉริยะคนหนึ่งจะเติบโตจนกลายเป็นยอดฝีมือได้ขนาดนี้
อีกด้านทางเล้งชิวหลิงก็ได้จัดการหวู่เทียนลงได้สำเร็จ
เล้งชิวหลิงชี้นิ้วออกมากดทับลงบนอกของหวู่เทียน
ทางหวู่เทียนที่โดนเช่นนั้นไปก็รู้สึกเหมือนถูกสายฟ้าฟาดเข้าที่กลางอกจนต้องกระอักเลือดคำโตออกมา ร่างปลิวลอยไปไกล
เย่หยวนค่อยๆ บินร่อนลงมาจากด้านบนและมองดูหวู่เทียน “หากมีเรื่องใดเกิดขึ้นกับเจียงยู่ถัง เจ้าจะได้รู้ว่าความตายนั้นมิใช่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดบนโลกใบนี้”
เขาหันไปส่งสัญญาณบอกหนิงเทียนปิง ทำให้ทางหนิงเทียนปิงรีบเดินขึ้นมาจัดการผนึกทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของหวู่เทียนและยกนำร่างของเขาไปทันที
เมื่อพวกโซชูเจียเห็นเช่นนั้นพวกเขาก็ได้แต่ยืนมองราวกับว่าเรื่องราวตรงหน้านี้มันเป็นแค่ความฝัน
วันนี้ ผู้ตรวจการคนใหม่ได้มาถึง แต่สุดท้ายแล้วเขายังไม่ทันเดินพ้นประตูเมืองก็ถูกเย่หยวนจัดการจนไม่เหลือชิ้นดี
เมื่อได้เห็นเย่หยวนเดินเข้ามาหาพวกเล่งหยูทั้งหลายต่างไม่มีใครกล้าที่จะขยับตัวแม้แต่น้อย
เพราะเย่หยวนในตอนนี้มันมิใช่เด็กหนุ่มเย่หยวนคนนั้นแล้ว!
เย่หยวนย่อมเข้าใจจิตใจของอีกฝ่ายได้และยิ้มออกมาอย่างอบอุ่น “ท่านเจ้าเมืองโซ พี่เล่ง ท่านอย่าได้ทำเช่นนี้เลย เย่หยวนคนนี้ก็ยังเป็นเย่หยวนคนเดิม เป็นผู้อาวุโสใหญ่ของเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์คนเดิมนี้แหละ”
ได้ยินเช่นนั้นเล่งหยูและพวกท่าก็แสดงท่าทางผ่อนคลายออกมาอย่างเห็นได้ชัดแต่แน่นอนว่าพวกเขาทั้งหลายย่อมไม่ทางมองเย่หยวนเหมือนก่อนได้แล้ว
เหล่าคนทั้งหลายเดินทางเข้าเมืองและมายังจวนเจ้าเมือง แน่นอนว่าการคุยกัน มันย่อมต้องเปิดเริ่มด้วยการถามสารทุกข์สุกดิบ
นั่นทำให้เย่หยวนได้รู้ว่าหลายปีมานี้เจียงยู่ถังได้ดูแลเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์มาอย่างดี
ส่วนเรื่องของคนผู้อยู่เหนือบนกว่านั้นพวกเขาทั้งหลายย่อมไม่มีทางรู้ได้
แต่เย่หยวนคาดเดาว่าเหตุผลที่เจียงยู่ถังแตกหักกับหวู่เทียนนั้นน่าจะเป็นเพราะสัญญาที่เขาได้มีไว้ให้แก่เย่หยวนเมื่อหลายร้อยปีก่อน
เพราะหากเขาทิ้งตำแหน่งผู้ตรวจการไปแล้ว เขาย่อมไม่อาจควบคุมเรื่องราวต่างๆ ไม่อาจดูแลเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ได้อีกต่อไป
คิดมาได้ถึงตรงนี้เย่หยวนก็รู้สึกซาบซึ้งขึ้นมาจับใจแก่การตัดสินใจนี้ของเจียงยู่ถัง
“ดูท่าข้าคงต้องเดินทางไปยังเมืองหลวงจักรพรรดิเก้ามั่นเสียหน่อย ทุกคนอย่างได้กังวล เรื่องราวของผู้ตรวจการนี้ข้าจะคิดหาทางจัดการมันให้เอง นอกจากนั้นข้ายังมีโอสถมาฝากพวกท่านทั้งหลายด้วย”
เย่หยวนหยิบขวดโอสถออกมาหลายขวดจนทำให้พวกโซชูเจียทั้งหลายต้องเบิกตากว้าง
ก่อนหน้านี้เย่หยวนได้สร้างความแตกตื่นแก่วงการโอสถในสิบเมืองสันเขาใต้มาก่อน ตอนนี้เวลาผ่านไปหลายร้อยปีแถมเขายังก้าวขึ้นอาณาจักรนภาสวรรค์ได้ โอสถที่เขากลั่นหลอมมันจะเป็นของดีแค่ไหน?
แน่นอนว่าเมื่อเย่หยวนนำโอสถออกมา โอสถของเย่หยวนทุกเม็ดต่างมีคุณภาพที่สูงส่ง
การบรรลุขึ้นดาวของพวกเขาทั้งหลายนั้นมันไมเป็นปัญหาอีกต่อไป
“อ่า จริงด้วย ด้วยตัวตนอย่างหวู่เทียน ทำไมเขาถึงต้องมาเป็นผู้ตรวจการสิบเมืองสันเขาใต้เพราะเด็กผู้หญิงคนเดียวด้วย?”
โซชูเจียถอนหายใจยาวและบอกขึ้น “หลายปีที่เจ้าจากไปนี้เมืองจักรพรรดิหยกเมฆาได้ให้กำเนิดยอดฝีมืออัจฉริยะนางหนึ่งนามหรงซีเยว่ขึ้นมา นางนั้นเป็นลูกสาวของเจ้าเมืองเมืองจักรพรรดิหยกเมฆา หรงฮั่ว เด็กสาวนางนี้เกิดมาด้วยพลังบ่มเพาะอาณาจักรราชันพระเจ้า มันถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของเมืองจักรพรรดิหยกเมฆา ทุกวันนี้นางได้พัฒนาตัวจนไปถึงอาณาจักรนภาสวรรค์เจ็ดดาวแล้ว! ยอดอัจฉริยะเช่นนี้แน่นอนว่าทางหอยอดดอกย่อมต้องให้ความสนใจและรับนางเข้าเป็นศิษย์คนหนึ่ง แต่หลายปีก่อนหรงฮั่วได้รับบาดเจ็บหนักจากมิติวิเศษหนึ่งทำให้หรงซีเยว่ต้องกลับมายังเมืองจักรพรรดิหยกเมฆาเพื่อดูแลพ่อที่บาดเจ็บหนัก ทำให้สุดท้ายหวู่เทียนถึงได้ตามมา”
เย่หยวนขมวดคิ้วแน่นทันทีที่ได้ยิน “เรื่องราวนี้… มันคงมีอะไรมากกว่านี้ใช่หรือไม่?”
โซชูเจียยิ้มออกมาอย่างขมขื่น “สิบเมืองสันเขาใต้นี้มันเป็นเพียงแค่ดินแดนชายขอบไม่มีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับเมืองหลวงจักรพรรดิใดๆ เรื่องราวทั้งหลายนี้เองก็ล้วนแต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในดินแดนของสิบเมืองสันเขาใต้ เราจึงพอที่จะรับรู้ถึงมันได้ ส่วนเรื่องอื่นๆ นั้นเราย่อมไม่มีปัญญาจะไปหาข้อมูลได้ เรื่องของผู้ตรวจการเจียงเองก็เช่นกัน… เฮ้อ!”
สิบเมืองสันเขาใต้นั้นเป็นดินแดนชายขอบในเมืองหลวงจักรพรรดิเก้ามั่น มันย่อมไม่มีใครคิดจะหันมาสนใจติดแดนเช่นนี้
หากไม่ใช่เพราะยอดอัจฉริยะอย่างหรงซีเยว่ ดินแดนแห่งนี้มันก็คงยังเป็นดินแดนไร้ชื่อเสียงใดๆ
เย่หยวนค่อยๆ ลุกขึ้นยืน “เรื่องนี้ไม่ยาก ไปที่เมืองจักรพรรดิหยกเมฆาเพื่อถามหรงซีเยว่ตรงๆ ไม่นานคงได้รู้”
เสียยังไม่ทันจางหายแต่ร่างของเย่หยวนก็ได้จางหายไปจากจุดที่เขายืนอยู่แล้ว
โซชูเจียและพวกได้แต่หันไปมองหน้ากันเพราะเย่หยวนในตอนนี้ช่างทำอะไรรวดเร็วเฉียบขาดเสียเหลือเกิน
คิดจะทำอะไรก็ลงมืออย่างไม่คิดลังเลแม้แต่น้อย
“เมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์เราอยู่ห่างจากเมืองจักรพรรดิหยกเมฆานับล้านกิโลเมตร การเดินทางนี้มันคงกินเวลาหลายเดือน เย่หยวนี่ช่าง…” โซชูเจียเองก็ไม่รู้ว่าต้องพูดอะไรต่อ
แต่หนิงเทียนปิงกลับตอบขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม “นายใหญ่เขาเข้าใจแนวคิดแห่งห้วงมิติอย่างลึกซึ้งจนสามารถใช้วิชาเคลื่อนย้ายมิติได้แล้ว แค่ลมหายใจเดียวเขาก็เดินทางได้ไกลนับหมื่นๆ กิโลเมตร! อย่างมากคงกลับมาช่วงบ่ายๆ”
“วิชาเคลื่อนย้ายมิติ? แนวคิดแห่งห้วงมิติสี่ดาว?” เล่งหยูร้องขึ้นมาด้วยความตื่นตกใจทันที
เขานั้นเป็นหนึ่งในผู้ใช้แนวคิดแห่งห้วงมิติ เขาย่อมรู้ดีว่าการบรรลุขึ้นไปให้ถึงสี่ดาวมันยากเย็นแค่ไหน
หลายร้อยปีมานี้เย่หยวนกลับสามารถบรรลุแนวคิดแห่งห้วงมิติไปจนถึงขั้นที่น่ากลัวแล้ว!
คนอื่นๆ เองก็ได้แต่เบิกตากว้างอย่างตกตะลึง มองดูใบหน้าของหนิงเทียนปิงอย่างไม่อยากเชื่อ
หากพวกเขาไม่รู้จักหนิงเทียนปิงมาก่อนพวกเขาคงคิดว่าเด็กคนนี้แค่พูดโม้โอ้อวดเท่านั้น
โซชูเจียหายใจเข้าลึกก่อนจะพูดออกมา “เย่หยวนนั้นไม่ได้ใช้พลังแท้จริงในการต่อสู้กับนภาสวรรค์แปดดาวคนนั้นอย่างนั้นหรือ?”
หนิงเทียนปิงแทบหลุดขำออกมา “นภาสวรรค์แปดดาวระดับนั้นแค่เทียบแนวคิดกับข้ามันยังเทียบไม่ติด เหตุใดนายใหญ่ต้องลงมือกับมันอย่างจริงจังด้วย?”
ทุกผู้คนต่างอ้าปากค้างแต่ตอนนี้ความสนใจของพวกเขาทั้งหลายก็ได้กลับมาจ้องมองที่ตัวหนิงเทียนปิงอย่างจริงจัง
เพราะหนิงเทียนปิงในตอนนี้ที่ได้หลอมเลือดแท้เต่าดำไปมันทำให้เขาสามารถบรรลุขึ้นอาณาจักรนภาสวรรค์สามดาวมาได้!
ในเวลาแค่ไม่กี่ร้อยปีนี้คนหนุ่มผู้หนึ่งของตระกูลหนิงได้กลับกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์
เรื่องนี้มันเกินกว่าที่จะวาดฝันนัก
ตอนนี้แม้แต่หนิงจื่อหยวนก็ไม่รู้จะต้องพูดอะไรออกมา
เมื่อผู้คนบรรลุเต๋า แม้แต่หมาแมวข้างกายก็จะได้ขึ้นสวรรค์ไปด้วย
หนิงเทียนปิงที่พัฒนาขึ้นมาถึงตรงนี้ได้มันย่อมทำให้อนาคตของตระกูลหนิงแสนที่จะสดใสขึ้น
ในวันหน้าของเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นี้มันคงไม่มีตระกูลใดเข้ามาเทียบเคียงกับตระกูลหนิงได้อีกต่อไป
เป็นตอนนี้เองที่เขาได้รับรู้อย่างสุดซึ้งว่าการตัดสินใจผิดพลาดครั้งเดียวของเขานั้นเกือบได้ลากตระกูลหนิงทั้งตระกูลลงนรกทั้งเป็น
โชคยังดีที่ตระกูลหนิงมีคนหนุ่มที่ซื่อสัตย์อย่างหนิงเทียนปิงเข้ามาช่วยกู้สถานการณ์ไว้ได้ทัน
ไม่เช่นนั้นแล้วเขาคงรู้สึกผิดกับตระกูลหนิงอย่างมาก
…
แม้ว่าแนวคิดแห่งห้วงมิติของเย่หยวนจะค่อยๆ พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ แต่การใช้วิชาเคลื่อนย้ายมิติในตอนนี้มันก็ยังต้องใช้เวลาถึงสองชั่วโมงในการมายังเมืองจักรพรรดิหยกเมฆานี้
เขานั้นไม่คิดจะทักทายใครแค่เดินเข้าไปยังจวนเจ้าเมืองในทันที
ฟู่!
เย่หยวนไม่คิดจะทำตัวลับๆ ล่อๆ ปล่อยคลื่นพลังของนภาสวรรค์ห้าดาวที่แสนรุนแรงออกมา!
ด้วยความแข็งแกร่งของทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของเย่หยวน พลังที่เขาปล่อยออกมามันจึงใกล้เคียงกับนภาสวรรค์หกดาวเสียยิ่งกว่านภาสวรรค์ห้าดาว!
นั่นทำให้ยอดฝีมือในเมืองจักรพรรดิหยกเมฆาสะดุ้งตัวไปตามๆ กัน
ยอดฝีมือนภาสวรรค์สี่ดาวคนหนึ่งรีบเข้ามารับหน้าเย่หยวนในทันที
เมื่อสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังจากร่างของเย่หยวนสีหน้าของเขาก็ซีดเผือดลงไป
ยอดฝีมือนภาสวรรค์สี่ดาวแห่งเมืองจักรพรรดิหยกเมฆาคนนั้นกล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางเกรงๆ และกลัว “ข้าเหมิงซิงแห่งเมืองจักรพรรดิหยกเมฆา นายท่านมีธุระอันใดถึงได้มายังเมืองจักรพรรดิหยกเมฆาเราหรือ?”
เย่หยวนหันไปมองหน้าอีกฝ่ายและถามขึ้น “ข้ามาหาหรงซีเยว่”
เหมิงซิงเบิกตากว้างและตอบกลับมา “ไม่นานก่อนหน้านี้คุณหนูซีเยว่ได้เดินทางออกจากเมืองจักรพรรดิหยกเมฆากลับไปยังเมืองหลวงจักรพรรดิเก้าแล้ว”
เย่หยวนขมวดคิ้วแน่นก่อนจะถามขึ้นอีกครั้ง “เช่นนั้นหรงฮั่วเล่า?”
เหมิงซิงตอบกลับไปอย่างสุภาพ “ท่านเจ้าเมืองเองก็ได้เดินทางไปยังเมืองหลวงจักรพรรดิเก้ามั่นพร้อมๆ กับคุณหนูซีเยว่”
ตอนที่ 1893 ข่าวของลี่เอ๋อ
ภายนอกเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นั้นปรากฏเงาร่างหนึ่งขึ้นมา
ชายหนุ่มคนนี้ยืนมือไขว้หลังอยู่กลางอากาศมองดูเมืองน้อยๆ ที่เบื้องล่างด้วยสายตาเหยียดหยาม
ซู่!
เมื่อชายหนุ่มคนนี้ปล่อยคลื่นพลังออกมามันก็ทำให้เกิดกระแสพลังปั่นป่วนไปทั่วทั้งเมือง
โซชูเจียและเหล่ายอดฝีมือทั้งหลายนั้นเดิมทีต่างกำลังถามเรื่องราวคำถามต่างๆ นาๆ กับหนิงเทียนปิงอยู่
พวกเขานั้นติดใจสงสัยอย่างมากว่าเย่หยวนไปทำเรื่องใดมากันแน่ในเวลาหลายร้อยปีนี้และแน่นอนว่าต้องพยายามที่จะรู้ถึงมันให้ได้
แต่ในเวลานั้นเองที่เกิดคลื่นพลังอันแสนน่ากลัวเกรงนี้เข้ามาปกคลุมเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์
โซชูเจียหน้าถอดสีจนขาวซีดทันทีพร้อมด้วยเหงื่อเย็นเหยียบไหลลงมาตามหน้าผาก
“นี่มัน… ช่างเป็นพลังที่แสนยิ่งใหญ่อะไรเช่นนี้?” โซชูเจียได้แต่ทำหน้าเหยเกพูดออกมา
คลื่นพลังนี้มันสุดแสนรุนแรงจนทำให้ผู้คนต้องหมดสิ้นหวังที่จะต่อต้าน
ส่วนเรื่องที่ว่ามันแข็งแกร่งแค่ไหนกันนั้นโซชูเจียไม่อาจจะวัดประเมินได้เลย
ตงน้อยที่กำลังเล่นกับหมูสมบัติอยู่เมื่อสัมผัสได้เช่นนี้เขาก็แสดงใบหน้ามึนงงออกมาก่อนจะพูดขึ้น “ดูจากคลื่นพลังนี้แล้ว มันคงเป็นเทพสวรรค์แน่”
นั่นทำให้ทุกผู้คนหน้าถอดสีมองดูตงน้อยอย่างไม่อยากเชื่อสายตา
“ท-เทพสวรรค์? ล้อกันเล่นใช่ไหมเนี่ย?” โซชูเจียเป็นคนแรกที่พูดขัดขึ้น
เขานั้นไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ถึงได้มีเทพสวรรค์มาเยี่ยมเยียน
“เย่หยวนอยู่หรือไม่? ให้มันออกมาพบเทพสวรรค์ผู้นี้!” ตอนนั้นเองที่เกิดเสียงหนึ่งดังลั่นขึ้นทั่วทั้งเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ เป็นการยืนยันคำของตงน้อย
เมื่ออีกฝ่ายเรียกตัวเองว่าเทพสวรรค์เช่นนี้แล้วมันก็คงเป็นเทพสวรรค์ไม่ผิดแน่!
หลังจากหายตื่นตกใจโซชูเจียก็ได้นำพาเหล่ายอดฝีมือทั้งหลายรีบรุดไปรับหน้าเขาผู้นี้
ร่างที่ยืนอยู่บนอากาศนั้นมันดูเลื่อนลอยแต่ก็เจิดจ้า ทำให้เหล่าโซชูเจียทั้งหลายไม่มีใครกล้าจะมองมันตรงๆ เสียด้วยซ้ำ
โซชูเจียคุกเข่าลงอย่างมีมารยาทก่อนจะถามขึ้น “เจ้าเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ โซชูเจียขอคารวะท่านเทพสวรรค์!”
แม้ว่าเขาจะไม่กล้ามองอีกฝ่ายตรงๆ เขาก็ยังพอจะจับเงาร่างได้จากหางตาและได้เห็นว่าเทพสวรรค์ผู้นี้ยังหนุ่มอยู่มาก ทำให้โซชูเจียต้องรู้สึกตื่นตะลึงขึ้นมาในหัวใจ
เขานั้นย่อมไม่เคยพบเคยเจอเทพสวรรค์มาก่อนในชีวิต แต่ต่อให้เป็นคนโง่แค่ไหนมันก็ยังพอรู้ว่าเหล่าเทพสวรรค์ทั้งหลายนั้นคือเฒ่าที่มีอายุนับล้านๆ ปีมาแล้วทั้งสิ้น
แต่ชายหนุ่มเบื้องหน้าเขานี้กลับไม่ใช่!
เทพสวรรค์หนุ่มคนนี้มาจากที่ใดกันแน่?
ชายหนุ่มคนนั้นรับคำคารวะไว้และถามขึ้น “ใครคือเย่หยวน?”
ทุกคนหน้าเปลี่ยนสีไปทันที ดูท่าเทพสวรรค์คนนี้จะมาเพื่อตามหาเย่หยวน
ในวินาทีนั้นบรรยากาศรอบๆ มันเงียบสงัดลงทันที
“ดูท่าพวกเจ้าจะคิดว่าเทพสวรรค์คนนี้เป็นเพื่อนเล่นสินะ?”
ชายหนุ่มยกมือขึ้นมาทำให้บรรยากาศฟ้าเมฆเปลี่ยนแปลงไปทันที!
ฟ้าดินในระยะหนึ่งหมื่นกิโลเมตรรอบๆ นี้ต่างเกิดความโกลาหลวิปริตขึ้น
เมื่อจู่ๆ เทพสวรรค์ปล่อยพลังออกมาเช่นนี้ฟ้าดินมันย่อมเปลี่ยนสีจากหน้ามือเป็นหลังมือ!
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของผู้คนทั้งหลายที่จะได้เห็นพลังของเทพสวรรค์กับตาตัวเอง
และค่าเข้าชมนั้นมันคือชีวิต
หากมือนี้ซัดลงมา เมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ทั้งเมืองคงแบนราบเป็นหน้ากลอง
โซชูเจียพยายามที่จะใช้พลังทั้งหมดในร่างออกมาเพื่อจะโกนร้องบอก “ท่านเทพสวรรค์โปรดสงบใจก่อน เย่หยวนนั้น… เขาไม่ได้อยู่ในเมือง ณ เวลานี้!”
นั่นทำให้ชายหนุ่มขมวดคิ้วขึ้น “ไม่ว่ามันจะอยู่ที่ใด จงไปตามมันมาหาข้า”
คำสั่งนี้มันเป็นอะไรที่สุดแสนไร้เหตุผลและแน่นอนว่าย่อมไม่มีพวกเขาคนใดที่จะทำได้
แต่จะทำอย่างไรได้?
อย่างว่าแต่เมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์น้อยๆ นี้เลย ต่อให้เป็นเมืองหลวงจักรพรรดิเก้ามั่นก็คงไม่มีทางต่อต้านกับเทพสวรรค์ได้
จึงทำให้ความเงียบสงัดเข้าปกคลุมพื้นที่อีกครั้ง
ชายหนุ่มคนนั้นกล่าวขึ้นด้วยท่าทางหมดความอดทน “เช่นนั้นพวกเจ้าก็ไปตายกันเสียก่อนเถอะ!”
เมื่อขยับมือนี้คลื่นลมเมฆทั้งหลายก็หมุนวนด้วยพลังปราณเทวะอันมหาศาล
แค่ลมที่พัดผ่านนี้ยังทำให้ใบหน้าของโซชูเจียเจ็บปวดขึ้นมา
“หยุด!”
ตอนนั้นเองที่มิติเกิดแยกออกเผยให้เห็นเงาร่างของคนผู้หนึ่ง
เมื่อทุกคนได้เห็นเงาร่างนั้นสีหน้าของพวกเขาทั้งหลายก็เปลี่ยนไปทันที
“นายใหญ่ท่านรีบไป!” หนิงเทียนปิงร้อง
เย่หยวนนั้นไม่คิดจะไปไหน สายตาของเขามองขึ้นไปยังชายหนุ่มที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศเพื่อยืนยันให้แน่ใจว่ามิใช่คนที่เคยรู้จักเจอหน้ากันมาก่อน
ชายหนุ่มคนนี้มีใบหน้าที่หล่อเหลาคมเป็นสัน ผมไม่สั้นไม่ยาวดูอบอุ่นเหมือนพี่ชายข้างบ้าน
แต่คลื่นพลังอันแสนชั่วร้ายนี้มันย่อมไม่มีทางจะปิดบังไว้ได้
ดูท่าแล้วเขาคงไม่ได้คิดดีต่อเย่หยวนแน่
“เจ้าตามหาข้า?” เย่หยวนถาม
“เจ้ารู้จักเยวี่ยเมิ่งลี่?” ชายหนุ่มตอบคำถามด้วยคำถาม
เมื่อได้ยินเช่นนั้นร่างของเย่หยวนก็สั่นสะท้านทันที ดวงตาของเขาเบิกกว้างก่อนจะถามขึ้นด้วยเสียงสั่นเครือ “เจ้ารู้จักลี่เอ๋อ?”
ปัง!
เขายังไม่ทันได้เห็นชายหนุ่มขยับตัวแม้แต่น้อยแต่ร่างของเย่หยวนกลับถูกซัดจนลอยปลิวไปตกลงสู่พื้นอย่างรวดเร็ว
“อย่างเจ้าก็มีหน้ามาเรียกว่าลี่เอ๋อได้หรือ?” ชายหนุ่มหรี่ตาลงด้วยความไม่พอใจ
เย่หยวนกระอักเลือดออกมาคำโต ดูท่าเขาคงบาดเจ็บหนักแล้ว
เพราะสถานที่แห่งนี้มันมิใช่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เมื่อเจอหน้าเทพสวรรค์เช่นนี้เขาย่อมไม่มีปัญญาจะไปต่อต้านสู้รบได้เลย
ต่อให้อีกฝ่ายจะแค่ปล่อยพลังโลกออกมาเขาก็ไม่อาจต้านทานได้
แต่สภาพจิตใจของเย่หยวนในตอนนี้กำลังตื่นเต้นอย่างมาก
หลายร้อยปีมานี้เขาไม่เคยได้รับข่าวของลี่เอ๋อเลย
แต่ในวันนี้ ฟังจากปากของชายหนุ่มคนนี้ ดูท่าลี่เอ๋อจะยังไม่ตาย
ร่างของเขาขยับ เย่หยวนกลับมายืนต่อหน้าชายหนุ่มอีกครั้งหนึ่ง
อาการบาดเจ็บของเขานั้นหนักหนาอย่างมากแต่เขาก็ยังคงยืนอยู่อย่างมั่นคง
“เจ้าเป็นใคร? ลี่เอ๋อ… สบายดีหรือไม่?” เย่หยวนไม่คิดสนใจอาการบาดเจ็บใดๆ ตอนนี้เขาแค่อยากรู้ว่าลี่เอ๋อสบายดีไหม
ชายหนุ่มขมวดคิ้วแน่นก่อนจะปล่อยพลังออกมาอีกครั้ง
ปัง!
เย่หยวนถูกตบร่วงลงสู่พื้นอีกครา!
ชายหนุ่มกล่าวขึ้นมา “ข้าบอกแล้ว เจ้านั้นไม่มีศิษย์มาเรียกว่าลี่เอ๋ออีก! ครั้งหน้าเจ้าได้ตายแน่!”
ฟุบ!
เย่หยวนลุกขึ้นมายืนอีกครั้ง แม้คลื่นพลังจากกายเขานั้นจะแปรปรวนจนหาที่เปรียบมิได้ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลก็ตาม
ชายหนุ่มขมวดคิ้วแน่นดูท่าคงไม่ค่อยชอบกับความหัวรั้นของเย่หยวนนี้สักเท่าไหร่นัก
ฝ่ามือทั้งสองนั้นเขาไม่ได้ออมแรงแม้แต่น้อย หากเป็นนักยุทธนภาสวรรค์ทั่วๆ ไปที่รับไว้ อย่าว่าแต่กลับมาลุกยืน แค่นอนตายให้เหลือซากร่างยังยาก
แต่เย่หยวนกลับลุกขึ้นมายืนต่อหน้าเขาอย่างดื้อรั้น
ไม่มีใครพูดใดๆ ภายใต้ฟ้าดินนี้มีแต่ความเงียบงัน
ทุกคนต่างมองดูเย่หยวนด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความกังวล
พวกเขารู้นิสัยของเย่หยวนเป็นอย่างดี รวมไปถึงความสนิทสนมที่เย่หยวนมีกับเยวี่ยเมิ่งลี่ พวกเขาทั้งหลายก็ทราบ
แต่เทพสวรรค์ที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวออกมานี้ไม่อนุญาตให้เขาเรียกแม้แต่ชื่อนาง มีหรือที่เย่หยวนจะทนทานได้?
แต่แม้จะเห็นความโกรธนี้ของเย่หยวน ชายหนุ่มก็ไม่คิดสนใจ
ชายหนุ่มมองดูเย่หยวนด้วยใบหน้านิ่งเฉย “แค่มดนภาสวรรค์ เจ้ามีสิทธิใดมาโกรธเคือง? ข้านั้นแค่จะมาบอกว่าศิษย์น้องเมิ่งลี่นั่นมิใช่คนในโลกเดียวกับเจ้าอีกต่อไป จากวันนี้ไปจงลืมนางเสีย! ไม่เช่นนั้นเจ้าจะได้รู้ผลที่ตามมาแน่!”
ในเวลานั้นเย่หยวนก็ขยับ
หนึ่งก้าว สองก้าว…
เขาค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้ชายหนุ่มมากขึ้นเรื่อยๆ พร้อมด้วยลายสีฟ้าที่ปล่อยออกมาจากร่างที่ค่อยๆ พลุ่งพล่านไปยังตัวชายหนุ่ม
เมื่อได้เห็นเช่นนี้ชายหนุ่มที่ทำตัวเงียบขรึมมาตลบอดก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตื่นตระหนก
ดวงตาของเขาเปิดกว้างพร้อมร้องออกมาอย่างตื่นตกใจ “ลายพระเจ้า! นี่มัน… เป็นไปได้อย่างไร?”
ลายสีฟ้าทั้งหลายนี้ค่อยๆ รวมตัวกันหนาขึ้นจนแทบปกคลุมทั้งพื้นที่ไป
ดวงตาทั้งสองของเย่หยวนกลับกลายเป็นความเย็นชาไม่มีอารมณ์ใดๆ แฝงอยู่อีก
เมื่อได้เห็นดวงตาคู่นั้นของเย่หยวนไม่ทราบทำไมแต่ตัวเขานั้นกลับรู้สึกกลัวขึ้นมาจับขั้วหัวใจ
สำหรับเทพสวรรค์แล้ว นภาสวรรค์นั้นมันมิใช่ตัวตนที่จะเป็นภัยได้เลย
แต่ในวินาทีนี้สัญชาตญาณของเขากลับกำลังร่ำร้องถึงอันตรายออกมาอย่างสุดแรง
ตอนที่ 1894 จาม
ตอนนี้มิติลายพระเจ้ากำลังค่อยๆ ก่อตัวขึ้น
หัวใจของชายหนุ่มนั้นเต้นรัวไม่เป็นจังหวะด้วยความรู้สึกถึงอันตรายที่ใกล้เข้ามา
“รนหาที่ตาย!”
พลังโลกอันหนักหน่วงได้พุ่งทะยานออกมาในวินาทีนั้นเข้าปะทะกับร่างของเย่หยวนในทันที
แต่ร่างของเย่หยวนกลับจางหายไปกับช่องว่างแห่งมิติ
นั่นทำให้ชายหนุ่มต้องเบิกตากว้าง “แนวคิดแห่งห้วงมิติ!”
ในวินาทีนี้เขาไม่ได้คิดจะออมมือใดๆ อีกต่อไปแล้ว ใช้พลังของเทพสวรรค์ออกมาอย่างเต็มที่
คลื่นพลังอันบ้าคลั่งนี้มันทำให้ผู้คนที่ด้านล่างต่างหน้าซีดเผือด
คลื่นพลังนี้มันรุนแรงยิ่งกว่าตอนที่ชายหนุ่มมาถึงเป็นเท่าตัว
เหล่าคนนั้นหลายเข้าใจได้ทันทีว่าชายหนุ่มนั้นไม่คิดจะล้อเล่นอีกต่อไป!
ไม่มีใครคาดคิดว่าเรื่องราวมันจะพัฒนามาถึงขั้นนี้ได้
เย่หยวนที่อยู่อาณาจักรนภาสวรรค์กลับสามารถบังคับเทพสวรรค์ให้เอาจริงได้?
แค่คิดมันก็แทบทำให้หน้ามืด
เพราะไม่ว่ายังไงเสียต่อหน้าเทพสวรรค์นั้นต่อให้พวกเขาแค่ยืนเฉยๆ นภาสวรรค์ทั้งหลายมันก็ไม่อาจจะขยับทำร้ายใดๆ พวกเขาได้เลย
นี่คือความแตกต่างของอาณาจักรพลังบ่มเพาะ รวมไปถึงความแตกต่างในความเข้าใจแนวคิด มันย่อมไม่อาจจะมีอะไรมาทดแทนได้
แต่ตอนนี้เย่หยวนกลับทำได้!
แล้วเจ้าลายสีฟ้าทั้งหลายนั้นมันคืออะไรกัน?
อย่าว่าแต่นักยุทธอาณาจักรนภาสวรรค์ แม้แต่เทพสวรรค์ทั่วๆ ไปเองก็ยังไม่อาจรับรู้ถึงตัวตนของลายพระเจ้านี้ได้
เพราะนี่มันคือพลังของระดับจักรพรรดิเทพสวรรค์!
แต่ชายหนุ่มคนนี้ย่อมมีเบื้องหลังที่ไม่ธรรมดาแน่ถึงสามารถมองออกได้ทันทีว่าลายที่ปรากฏตรงหน้านี้คือลายพระเจ้า!
ทำไมนักยุทธนภาสวรรค์คนหนึ่งถึงมีลายพระเจ้าใช้ได้กัน?
ชายหนุ่มนั้นไม่ทราบได้ แต่เขาก็ไม่มีเวลาไปคิดให้มากความ
เพราะลายพระเจ้านั้นอันตรายเกินไป!
“ดัชนีอสูร!”
ชายหนุ่มชี้นิ้วออกมาพร้อมด้วยคลื่นพลังแสนรุนแรงฟ้าถล่มดินทลายทำให้ทั้งเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ต้องสั่นสะเทือน
เมื่อนิ้วนี้ปะทะเข้าแล้วเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ทั้งหมดคงแหลกเละเป็นแน่
“อ่อก!”
พลังของนิ้วนี้ยังไม่ทันมาถึงแต่เย่หยวนก็ไม่อาจทนรับพลังกดดันของมันได้จนต้องกระอักเลือดและถูกบีบออกมาจากช่องว่างมิติ
นั่นทำให้ลายพระเจ้าทั้งหลายต่างตกร่วงลงด้วยพลังของดัชนีนี้จนไม่อาจก่อตัวเป็นมิติลายพระเจ้าขึ้นมาได้
เย่หยวนกระอักเลือดคำโตร่างกายปลิวออกมาเหมือนศรที่ออกจากคัน
สภาพของเย่หยวนในตอนนี้มีเลือดไหลออกตั้งแต่หัวจรดเท้า เป็นสภาพที่สุดแสนน่าหวาดกลัว
พลังของเทพสวรรค์นั้นช่างแข็งแกร่ง!
ชายหนุ่มคนนั้นมองดูเย่หยวนด้วยสายตาที่เย็นชา “เดิมทีข้าแค่คิดมาเตือนเจ้า แต่เมื่อเจ้าคิดรนหาที่ตายแล้วเทพสวรรค์คนนี้ก็จะไปส่งเจ้าเอง! จงจำไว้ นามของผู้ที่สังหารตัวเจ้าคือหลินฉางชิง!”
สภาพของหลินฉางชิงในตอนนี้เขากำลังเจ็บแค้นในตัวเย่หยวนอย่างมาก
ในสายตาของเขานั้นเย่หยวนเป็นได้แค่มดปลวกที่ไม่มีทางต้านทานรับมือใดๆ เขาได้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการโต้กลับเลย
แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกหวาดกลัว
เทพสวรรค์อย่างหลินฉางชิงนั้นกลับรู้สึกกลัวมดตัวน้อยนี้
นั่นทำให้เขาเกิดรู้สึกโกรธขึ้นมาเพราะความอับอายในตัวเอง
เมื่อดัชนีนี้ถูกปล่อยออกมาพลังของแนวคิดก็ได้ทำให้เกิดรอยแตกขึ้นในมิติที่มันผ่านทาง
และในศูนย์กลางของพายุนี้ก็มีศพของนักยุทธหลายคนในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ที่ถูกลูกหลงจนกลายเป็นแค่เศษผงไป
นี่คือพลังที่มันอยู่เหนือล้ำโลกไปแล้ว
หลินฉางชิงนั้นมิใช่แค่มีพลังบ่มเพาะอาณาจักรเทพสวรรค์เท่านั้น แต่เขายังมีความเข้าใจต่อแนวคิดที่เหนือล้ำด้วย
“ตาย!”
ดวงตาของหลินฉางชิงเบิกกว้างพร้อมกับนิ้วที่ชี้ลงมาจนถึงที่สุด
แต่ในเวลานั้นเองที่กลับมีแสงสีชมพูพุ่งขึ้นไปรับดัชนีนั้นของเขาไว้
ภายใต้พลังดัชนีที่ทรงพลังนี้ เจ้าก่อนเนื้อสีชมพูนี้มันช่างดูเปราะบาง
หลินฉางชิงขมวดคิ้วแน่นก่อนจะพูดขึ้น “หึ! เจ้าสัตว์โง่ แค่หมูตัวหนึ่งกลับกล้ามาคิดขวางทางข้า!”
“อู๊ด! อู๊ด!”
เจ้าก้อนเนื้อสีชมพูนั้นร้องออกมาอย่างไม่พอใจ มันจะยังเป็นใครไปได้นอกจากเจ้าหมูสมบัติ?
ภายใต้ฟ้าดินที่แตกสลายนี้ตัวของเจ้าหมูน้อยมันช่างเล็กจ้อยราวกับแค่ฝุ่นผงก้อนหนึ่ง
แต่จู่ๆ เจ้าหมูสมบัติก็ส่ายจมูกไปมาพร้อมอ้าปากกว้าง
“อะ… ชูว!”
เจ้าหมูสมบัติลอยตัวขึ้นไปบนฟ้าและจามครั้งใหญ่ใส่หลินฉางชิง
ภายในวินาทีคับขันนี้ภาพนี้มันช่างสุดแสนจะดูตลก
แต่ไม่มีใครคิดขำ
เพราะพลังลมที่ออกมาจากปากมันนั้นเข้าปะทะกับดัชนีอสูรของหลินฉางชิงอย่างรุนแรง
ตู้ม!
ภายใต้สายตาของทุกผู้คนนี้ ลมจากการจามนั้นมันกลับพัดเมฆหมอกไปจนสิ้นพร้อมๆ กับคลื่นพลังอันมหาศาลของดัชนีอสูรนั้น
หลินฉางชิงหน้าถอดสีทันทีที่ได้เห็นเช่นนั้น เรื่องราวตรงหน้ามันเกินกว่าที่เขาจะทำความเข้าใจได้อย่างสิ้นเชิง
การจามของเจ้าหมูสมบัติตรงหน้าเขานี้มันกลับปัดพัดร่างของเขาลอยปลิวได้ราวกับเขาเป็นแค่ใบไม้แห้งใบหนึ่ง
ปัง!
จากนั้นหลินฉางชิงก็รู้สึกว่าที่หน้าอกถูกแรงมหาศาลเหมือนค้อนเหล็กยักษ์ปะทะเข้าใส่
จากนั้นเขาก็พ่นเลือกคำโตออกมาร่างกายปลิวลอยไปพร้อมอาการบาดเจ็บที่หนักหนา
ทุกสิ่งอย่างปลิวลอยไปจนสิ้น
หมูสมบัตินั้นจามหนึ่งครั้งแล้วก็ม้วนตัวกลับไปนอนในอ้อมอกของตงน้อยอีกครั้งด้วยท่าทางแสนเหนื่อยหน่ายราวกับว่าไม่ได้มีเรื่องราวใดๆ เกิดขึ้น
เงียบกริบ!
เหล่าคนเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ต่างได้แต่หันมองหน้ากันไม่คิดอยากเชื่อเรื่องที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้
ดัชนีของเทพสวรรค์นั้นกลับถูกการจามนี้เป่าจนหายไป?
ที่สำคัญมันยังทำให้เทพสวรรค์บาดเจ็บด้วย!
ตงน้อยและหมูสมบัตินั้นติดตามเย่หยวนกลับมาด้วย แต่ทั้งสองนั้นดูไม่ต่างอะไรจากคนธรรมดาจึงไม่มีใครคิดจะสนใจแม้แต่น้อย
ใครจะไปคาดคิดว่าเจ้าหมูสีชมพูที่เย่หยวนพากลับมาด้วยนี้จะมีพลังมากมายเหลือขนาดนี้?
หนิงเทียนปิง อิ้งหมัวหู่และเล้งชิวหลิงต่างหันไปมองดูเจ้าหมูสมบัติด้วยความตื่นตกใจราวกับว่านี่เป็นครั้งแรกที่ได้พบเจอมัน
พวกเขานั้นรู้ดีว่าเจ้าหมูสมบัตินั้นเป็นจอมตะกละที่กินโอสถของเย่หยวนไปอย่างมากมาย
พวกเขาก็รู้ด้วยว่าเจ้าหมูสมบัตินั้นชอบนอน วันๆ ไม่ทำอะไรนอกจากกินกับนอน
แต่พวกเขาไม่ได้รู้เลยว่าเจ้าหมูสมบัติกลับจะมีพลังที่เหนือล้ำเช่นนี้
เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาจากรอบทิศตงน้อยก็เงยหน้าขึ้นถาม “มองหาอะไร? ไม่เคยเห็นหมูตัวน้อยน่ารักหรือ?”
ทุกคนได้แต่นิ่งเงียบ
“ให้ตายสิ! ให้ตาย! แค่พวกมดปลวก! ข้าจะทำลายเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ของพวกเจ้าให้ราบคาบไป!”
หลินฉางชิงนั้นถูกซัดลอยไปปลายหมื่นกิโลเมตรแต่ก็ยังบินกลับมาพร้อมด้วยเลือดท่วมกาย
ดูท่าแล้วหลินฉางชิงคงโกรธแค้นอย่างไม่อาจทนเฉยได้อีกต่อไป
ตงน้อยขมวดคิ้วแน่นก่อนจะลอยตัวขึ้นไปหาหลินฉางชิง
“อู๊ด! อู๊ด!”
เจ้าหมูสมบัติในอ้อมแขนของตงน้อยเบิกตาทั้งสองกลอกขึ้นมองหลินฉางชิงด้วยความเบื่อหน่าย
หลินฉางชิงหน้าถอดสีทันทีราวกับได้เจอสัตว์ร้ายจากนรกก็ไม่ปาน
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเด็กน้อยที่ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมนี้เขากลับรู้สึกเกรงกลัวขึ้นมา
แต่หากจะให้พูดจริงๆ สิ่งที่เขากลัวเกรงนั้นมันคือหมูสมบัติในอ้อมแขนของตงน้อยต่างหาก
หลินฉางชิงนั้นไม่อาจสัมผัสความอันตรายใดๆ ได้จากเจ้าหมูสมบัติหรือเด็กคนตรงหน้านี้เลย ไม่อาจสัมผัสได้เลยว่าเป็นตัวตนยิ่งใหญ่มาจากไหน
แต่การจามเมื่อสักครู่นั้นมันคือของจริง
ตงน้อยหันมองหลินฉางชิงและกล่าวขึ้น “เด็กน้อย เจ้าเลิกมาอวดอ้างพลังเสียเถอะ ข้าจะขอบอกเจ้าไว้เลยว่าเจ้านั้นไม่มีคุณสมบัติพอจะเลียรองเท้าเขาเสียด้วยซ้ำ เฮ้อ… มีเวลาอีกหน่อยแล้วเขาจะทำให้เจ้าได้รู้ถึงคำว่าสิ้นหวังเอง ตอนนี้ไสหัวไปเสีย”
คำพูดอวดดีทั้งหลายนี้มันฟังดูเหมือนเป็นเรื่องตลกเมื่อออกมาจากปากของตงน้อย
ตงน้อยนั้นยังมีน้ำเสียงของเด็กตัวเล็กๆ มันทำให้การพูดนี้เหมือนเป็นคำพูดจากปากของเด็กน้อยที่พ่อแม่ไม่สั่งสอนเสียมากกว่า
แต่ตอนนี้มันไม่มีใครกล้าคิดเช่นนั้นอีก
เพราะเจ้าหมูสมบัติในมือของเขานั้นมันแข็งแกร่ง!
หลินฉางชิงมองดูตงน้อยด้วยใบหน้าที่แฝงอารมณ์อันหลากหลาย เปลี่ยนสีไปมาอย่างไม่มีทีท่าจะหยุดลง
ตอนที่ 1895 ข้อตกลงสองพันปี!
“เจ้าจะบอกว่าข้าด้อยกว่าเจ้าขยะนี่หรือ? เจ้ารู้ไหมว่าตอนนี้ศิษย์น้องเมิ่งลี่นั่นอยู่ในอาณาจักรใดแล้ว? หึ ไม่นานมานี้ศิษย์น้องเมิ่งลี่เพิ่งจะขึ้นอาณาจักรเทพถ่องแท้ไปได้! ขยะอย่างเจ้านั้นมันคงได้แต่มองดูแผ่นหลังของนางเป็นเท่านั้น! มันไม่มีค่าใดๆ คู่ควรกับศิษย์น้องเมิ่งลี่เลย!”
คำพูดนี้ของหลินฉางชิงมันทำให้ทุกผู้คนสั่นสะท้านขึ้นทันที
พวกโซชูเจียทั้งหลายนั้นย่อมคุ้นเคยกับชื่อของเยวี่ยเมิ่งลี่
ตอนที่นางอยู่ในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นั้นนางได้แต่ใช้ชีวิตอยู่ในเงาของเย่หยวน
จนถึงวันนี้เวลามันยังผ่านไปไม่ถึงพันปีจากที่นางออกเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ไป แต่นางผู้นั้นกลับสามารถบ่มเพาะจนบรรลุอาณาจักรเทพถ่องแท้ได้!
ความเร็วในการบ่มเพาะเช่นนั้นมันไม่เคยมีให้เห็นมาก่อนเลย
ที่สำคัญแม้ผู้คนจะไม่สามารถมองเห็นอายุขัยที่แท้ของหลินฉางชิงนี้ได้แต่พวกเขาก็พอบอกได้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้เองก็ไม่ได้มีอายุที่แก่เฒ่าใดๆ เลย
เทพสวรรค์ที่หนุ่มขนาดนี้มันย่อมเป็นสิ่งที่เหล่าโซชูเจียทั้งหลายไม่อาจคาดคิดถึงได้เลย
ต่อให้เป็นในสายตาของพวกเย่หยวนเอง พวกเขาทั้งหลายก็ไม่เคยจะพบเจอเทพสวรรค์ที่หนุ่มขนาดนี้มาก่อนเช่นกัน
เพราะไม่ว่าอย่างไรเสียแม้จะเป็นจอมเทพนิรันดร์ยอดอัจฉริยะที่ว่าไม่มีใครหาเปรียบได้ก็ยังต้องใช้เวลาถึงห้าหมื่นปีในการบ่มเพาะขึ้นอาณาจักรเทพสวรรค์
แม้ว่าเย่หยวนจะแสดงลายพระเจ้าออกมาให้หลินฉางชิงเห็นแต่เขาก็รู้สึกเพียงแค่ประหลาดใจเท่านั้น
ด้วยการคาดเดาของเขานั้นเย่หยวนคงไปได้รับสืบทอดลายพระเจ้ามาจากมิติวิเศษที่ไหนสักแห่งทำให้สามารถนำมันออกมาใช้ได้
เพราะแม้เรื่องเช่นนั้นมันจะเป็นไปได้ยาก มันก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นไปไม่ได้
ส่วนเรื่องที่ว่าเย่หยวนจะบ่มเพาะลายพระเจ้าด้วยตัวเองนั้นหลินฉางชิงไม่เคยแม้แต่จะคิดถึงมัน
เพราะเรื่องเช่นนั้นมันเป็นไปไม่ได้!
ตั้งแต่อดีตกาลมามันมียอดอัจฉริยะเกิดขึ้นรับไม่ถ้วนและในบรรดาคนเหล่านั้นมันก็ยังไม่เคยมีใครที่บ่มเพาะลายพระเจ้าได้ตั้งแต่อาณาจักรนภาสวรรค์เลย
สมบัติลายในตำนานเช่นนั้นใช้ครั้งหนึ่งมันก็หายไปครั้งหนึ่งถือว่าเป็นสมบัติที่ใช้แล้วหมดไป
แล้วเส้นทางที่เหลือต่อจากนี้ไปเย่หยวนจะสามารถใช้มันได้อีกสักกี่ครั้ง?
ที่สำคัญแม้เย่หยวนจะมีลายพระเจ้าที่ชัดเจนแต่พลังของเย่หยวนนั้นมันก็ยังไม่อาจเทียบเคียงเขาได้
“เจ้า… เจ้าเป็นใครกันแน่?” เย่หยวนกัดฟันถามหลินฉางชิงขึ้นมาด้วยอาการบาดเจ็บ
ดวงตาใกล้ตายของเย่หยวนนี้มันทำให้หลินฉางชิงรู้สึกปลาบปลื้มดีใจมาก
ดูท่าแล้วคำพูดก่อนหน้านี้มันคงไปสะกิดใจเย่หยวนเข้า
หลินฉางชิงหัวเราะขึ้น “เจ้าไม่ต้องรู้หรอกว่าข้าเป็นใคร เจ้าแค่รู้ไว้ว่าเจ้ากับศิษย์น้องเมิ่งลี่นั้นไม่อาจเคียงคู่กันได้แล้ว! เจ้าและนางนั้นอยู่ต่างกันคนละโลก! อย่าว่าเทพสวรรค์คนนี้ใจร้ายนักเลย นี่คือโอสถฟ้าตะวันจันทราขั้นเทวะมันคงพอช่วยให้เจ้าบรรลุอาณาจักรเทพถ่องแท้ไปได้! แต่ถึงตอนนั้นศิษย์น้องเมิ่งลี่คงขึ้นไปเป็นเทพสวรรค์แล้ว!”
เดิมทีเขานั้นไม่คิดสนใจที่จะอธิบายเรื่องราวใดๆ แก่เย่หยวน
แต่ตอนนี้เมื่อเขาไม่อาจลงมือฆ่าสังหารได้แล้ว หลินฉางชิงจึงเลือกที่จะทำการบอกเล่าความแตกต่างระหว่างเย่หยวนและเยวี่ยเมิ่งลี่ออกมา
เพราะหากทำเช่นนี้แล้วเย่หยวนมีความรู้จักประมาณตัวเสียหน่อย เขาก็คงไม่กล้าที่จะไปหาเยวี่ยเมิ่งลี่ด้วยตัวเองอย่างแน่นอน
เหอชงเบิกตากว้างเมื่อเห็นมัน “โอสถฟ้าตะวันจันทราขั้นเทวะ! พระเจ้าช่วย นี่มันโอสกที่จะช่วยให้ผู้คนสามารถบรรลุอาณาจักรเทพถ่องแท้ได้!”
โซชูเจียเองก็พยักหน้ารับ “ตราบเท่าที่คนผู้หนึ่งขึ้นไปถึงอาณาจักรนภาสวรรค์ขั้นสุดได้และกินโอสถฟ้าตะวันจันทราขั้นเทวะลงไป มันก็มีโอกาสถึงเจ็ดในสิบที่จะบรรลุ! แต่ด้วยฝีมือการหลอมโอสถของเย่หยวน…”
พวกเขานั้นรู้ดีว่าฝีมือวิชาโอสถของเย่หยวนมันเหนือฟ้าดินแค่ไหน
แม้ว่าตอนนี้พวกเขาทั้งหลายจะไม่ได้เจอเขามานับร้อยๆ ปี แต่พวกเขาก็รู้สึกได้ว่าพลังฝีมือของเย่หยวนย่อมจะไม่มีทางถดถอยไปได้
นั่นทำให้สายตาของเหล่านักยุทธเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ต่างเต็มเปี่ยมไปด้วยความอึดอัด
ฟุบ!
แสงสีเขียวเส้นหนึ่งพุ่งเข้าไปหาตัวเย่หยวน มันคือขวดโอสถนั้นนั่นเอง
มุมปากของหลินฉากชิงยิ้มขึ้นมาแต่เขาก็ไม่ได้ห้ามอีกฝ่าย
ตุบ!
เย่หยวนชี้นิ้วออกทำลายขวดโอสถสีเขียวมรกตนี้ทิ้งทันที
โอสถภายในเองก็ถูกเย่หยวนทำลายลงจนไม่อาจแยกจากฟ้าดินได้อีก
เมื่อได้เห็นเช่นนั้นคนทั้งหลายก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเจ็บใจ
เจ้าไม่อยาก แต่คนอื่นยังอยาก!
ต่อให้เจ้าจะไม่อยากได้ เจ้าก็ไม่เห็นต้องทำลายมันทิ้งลงเลยนี่?
หลินฉางชิงไม่คิดจะทำหน้าตาตื่นตกใจใดๆ เขาแค่ยิ้มตอบ “นี่คือศักดิ์ศรีของเจ้าหรือ? ด้วยโอสถเม็ดนี้บางทีในหลายหมื่นปีข้างหน้าเจ้าอาจจะบรรลุขึ้นอาณาจักรเทพถ่องแท้ได้ แต่เจ้ากลับทำลายมันทิ้งไป! แต่เช่นนี้ก็ดี คนเราทุกคนล้วนย่อมมีเรื่องที่ไม่อยากจำ จากวันนี้ไปเจ้าจงลืมศิษย์น้องเมิ่งลี่เสียเถอะ!”
หลินฉางชิงยกมือขึ้นไขว้หลังอีกครั้งด้วยท่าทางแสนโอหัง
แต่เขานั้นมีพลังมากพอที่จะทำตัวโอหังได้!
เทพสวรรค์ที่หนุ่มขนาดนี้ ใครจะกล้าพูดว่าวันหน้าเขาจะไม่ได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิเทพสวรรค์กัน?
คนเช่นนี้คือผู้ถูกเลือกที่แท้จริงในมหาพิภพถงเทียน
เย่หยวนมองดูหลินฉางชิงและยกนิ้วขึ้นมาสองนิ้ว
หลินฉางชิงเองก็มึนงงไม่น้อยเมื่อเห็นเช่นนั้น แม้แต่ตงน้อยที่เห็นท่าทางนั้นของเย่หยวนเขาก็ยังรู้สึกมึนงง
“สองพันปี!”
หลินฉางชิงนั้นเป็นคนฉลาด เขาย่อมเข้าใจความหมายของคำพูดนี้ได้ในเวลาไม่นาน
เย่หยวนหยุดไปนิดหน่อยก่อนจะพูดขึ้นต่อ “อีกสองพันปีข้างหน้า ข้าจะกลับมาไปหาเจ้า! ให้เจ้าและลี่เอ๋อได้ดูว่าพวกเรายังเป็นคนที่อยู่คนละโลกกันหรือไม่!”
คำพูดเดียวนี้มันทำให้ทุกผู้คนต่างเงียบปากลง
ตอนนี้แม้แต่ตงน้อยก็ยังต้องเบิกตากว้างเพราะคำโม้ของเย่หยวนนี้มันจะเกิดขอบเขตเกินไปแล้ว!
เขานั้นเป็นเทพสวรรค์เขาย่อมรู้ดีว่าความยากลำบากกว่าจะขึ้นไปถึงอาณาจักรนั้นได้มันยากเย็นแค่ไหน
แม้ว่าเขานั้นจะไม่เคยคิดสงสัยในตัวของเย่หยวนว่าจะไปถึงอาณาจักรเทพสวรรค์ได้หรือไม่ แต่ด้วยเวลาแค่สองพันปีนั้นมันแสนสั้นจนเกินไป
“ฮ่าๆๆ! ช่างขี้โม้โอ้อวด! หากเจ้ากล้าท้าข้าก็กล้ารับ อีกสองพันปีสินะ? หลังจากนี้สิงพันปีข้ากับเจ้าจะประลองกัน! ผู้แพ้ต้องจากศิษย์น้องเมิ่งลี่ไป!” หลินฉางชิงหัวเราะบอก
คำพูดของเย่หยวนนั้นมันฟังเหมือนคำพูดของเด็กน้อยขี้อวดแสนอ่อนแอไม่รู้จักโลก
การจะบ่มเพาะจากอาณาจักรนภาสวรรค์ขึ้นสู่อาณาจักรเทพสวรรค์ในเวลาสองพันปี เรื่องราวเช่นนี้มันย่อมไม่มีทางเกิดขึ้นได้!
ต่อให้เป็นตัวเขาที่มากพรสวรรค์และมีโอสถมากมายให้เลือกกินเขาก็ยังต้องใช้เวลาถึงห้าพันปีในการบ่มเพาะขึ้นอาณาจักรเทพสวรรค์มา
แถมจุดเริ่มต้นของเขานั้นยังสูงกว่านักยุทธในมหาพิภพถงเทียนคนอื่นๆ เป็นอย่างมาก!
เพราะเขา หลินฉางชิงผู้นี้เกิดมาพร้อมพลังบ่มเพาะอาณาจักรเทพถ่องแท้!
หากเทียบกันแล้วมันจะยังมีใครเทียบเคียงเขาได้?
เพราะไม่ว่าอย่างไรเสียนักยุทธจำนวนมากมายอย่างนับไม่ถ้วนบนมหาพิภพถงเทียนนี้ก็มีเพียงแค่หนึ่งในสิบเท่านั้นที่จะสามารถขึ้นมาถึงอาณาจักรเทพถ่องแท้ได้!
แต่เขานั้นกลับมีพลังเช่นนั้นตั้งแต่เกิด
จากอาณาจักรนภาสวรรค์ถึงอาณาจักรเทพสวรรค์นั้นมันอาจจะฟังดูสั้น ห่างกันแค่สองอาณาจักรแต่ความห่างสองอาณาจักรนี้มันราวฟ้ากับเหว
คนทั้งหลายที่อวดอ้างตัวเองว่าเป็นยอดอัจฉริยะมากมายแค่ไหนแล้วที่ไม่อาจผ่านสองอาณาจักรนี้มาได้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเวลาแค่สองพันปีนี้เลย
คำพูดเหล่านี้มันมิใช่ศักดิ์ศรี แต่เป็นความอวดดี!
เย่หยวนมองดูหลินฉางชิงพร้อมส่ายหัวออกมา “ข้าเย่หยวนไม่เคยคิดใช้ผู้คนเป็นหมากพนัน!”
หลินฉางชิงทำหน้าไม่พอใจออกมาพร้อมที่จะดูถูกเหยีนดหยามเต็มที่แต่กลับเป็นเย่หยวนที่พูดขึ้นต่อก่อน “อีกสองพันปีจากนี้! เจ้าและข้าจะต่อสู้กัน! ผู้ชนะรอด ผู้แพ้… ตาย! เจ้ากล้ารับคำไหม?”
เย่หยวนมองดูใบหน้าของหลินฉางชิงอย่างดุดัน
ทุกคนได้แต่สูดลมหายใจเข้าลึกไม่นึกไม่ฝันว่าเย่หยวนจะตั้งมั่นได้ถึงขนาดนี้
การยอมรับศึกชี้เป็นชี้ตายนั้นเดิมทีมันคงมิใช่เรื่องใหญ่ใด
แต่ความห่างของเย่หยวนและหลินฉางชิงนั้นมันแสนยิ่งใหญ่ เวลาแค่สองพันปีมันย่อมเป็นแค่ชั่วพริบตาสำหรับพวกเขา การรับคำท้าเช่นนี้เย่หยวนจะเสียเปรียบจนเกินไป!
ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนมันก็คือการท้าทายที่ไม่มีทางชนะได้!
ตงน้อยขมวดคิ้วแน่น “เด็กน้อย อย่าได้ใจร้อนนัก!”
เย่หยวนไม่คิดสนใจคำเตือนนั้นและจ้องมองไปยังหลินฉางชิง “เจ้ากล้ารับหรือไม่?”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น