Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1860-1863
ตอนที่ 1860 ฉูชิง
“นี่มัน… ท่านลุงกู่…”
“หุบปาก! ใครเป็นลุงเจ้า เจ้าคนหน้าไม่อาย! ในอดีตข้านั้นยังคิดว่าเจ้าเป็นผู้เป็นคนบ้าง ไม่นึกว่าแท้จริงแล้วจะเป็นคนไร้ยางอายเช่นนี้! ข้าแค่อนุญาตให้เจ้าและชิวหลิงพบปะกัน ข้าไปยอมรับเรื่องงานแต่งของพวกเจ้าตั้งแต่เมื่อใด? เจ้ามาอวดอ้างตัวสร้างข่าวลือเสียๆ หายๆ ในคฤหาสน์พันทะยานเช่นนี้เจ้ายังมีความเคารพต่อข้าบ้างหรือไม่?”
กู่เทียนเฉนั้นโกรธแค้นขึ้นมาอย่างถึงที่สุดผสานกับความกลัวอย่างสุดขีดในเวลาเดียวกัน
หากเย่หยวนตายลงด้วยน้ำมือของจี้ฉุนเสียแล้วเมืองหลวงจักรพรรดิพันทะยานของเขาคงต้องพบเจอกับภัยพิบัติเข้าแน่!
โชคยังดีที่เย่หยวนนั้นแตกต่างจากคนธรรมดาทั่วไปมาก เพราะสามารถรอดน้ำมือของจี้ฉุนมาได้ เรื่องนี้เองทำให้เขาตื่นตะลึงไม่น้อย
แต่ทว่าตัวซัวหานที่เมื่อก่อนนี้เขายังเคยคิดว่าเป็นผู้เป็นคนพอดีใช้ได้ มันกลับไม่สามารถที่จะทำให้เขาพอใจได้ในด้านใดๆ อีก
เมื่อเห็นท่าทางโกรธแค้นของกู่เทียนเฉนั้นซัวหานก็หน้าซีดลงราวกับศพคนตาย
“จี้ฉุน เจ้าจะยังอยู่ทำอะไรอีก? รีบๆ พาเจ้าศิษย์ไร้ประโยชน์ของเจ้าแล้วรีบไปจากหน้าข้าเสีย!” กู่เทียนเฉกล่าวขึ้น
จี้ฉุนขมวดคิ้วแน่น “กู่เทียนเฉ เจ้าคิดจะแตกหักกับข้าเพียงเพื่อเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนเดียวนี้หรือ?”
กู่เทียนเฉตอบกลับไป “เย่หยวนนั้นคือผู้ช่วยชีวิตข้าไว้ เจ้าคิดว่ามันพอไหมล่ะ?”
จี้ฉุนหน้าเปลี่ยนสีไปทันทีก่อนจะหันมามองเย่หยวนด้วยสายตาตกตะลึง
จากนั้นเขาก็พยักหน้าออกมา “ได้ ข้าเข้าใจแล้ว แต่เรื่องวันนี้มันยังไม่จบหรอกนะ! เจ้าเด็กน้อย จงระวังอย่าเจอข้าเข้าอีกก็แล้วกัน! หานเอ๋อไปกัน!”
พูดจบจี้ฉุนก็ได้สะบัดแขนพาร่างของซัวหานไปจากมือของเย่หยวน
เมื่อจี้ฉุนจากไป เย่หยวนก็รู้สึกได้ถึงความดำมืดที่เข้าปกคลุมเบื้องหน้าพร้อมกับทิ้งร่างร่วงลงกับพื้น
เมื่อต้องมารับการโจมตีจากเทพถ่องแท้อย่างจี้ฉุนโดยตรงนั้นมันย่อมทำให้เย่หยวนไม่กล้าจะประมาทแม้สักก้าว จนตอนนี้เขาก็ไม่อาจที่จะฝืนทนบาดแผลต่อไปไหวจนล้มลงในที่สุด
…
สิบวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในวันนี้เหล่ายอดฝีมือจำนวนมากมายมหาศาลกำลังมุ่งหน้าไปยังเทือกเขาอาทิตย์ศักดิ์สิทธิ์พร้อมๆ กัน
เพราะชื่อว่าสมบัติสืบทอดจากเทพสวรรค์มันย่อมน่าดึงดูดจนเกินไป
ต่อให้พวกเขาจะรับรู้ดีว่ามันมีความอันตรายแค่ไหนรออยู่ แต่มันก็ยังมีผู้คนมากมายที่พร้อมจะทำตัวเป็นแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ
และในหมู่ยอดคนทั้งหลายนั้นมันก็เป็นกลุ่มคนจากเมืองหลวงจักรพรรดิพันทะยานนี้เองที่มีกองกำลังแข็งแกร่งที่สุด
เทพถ่องแท้คนหนึ่งกล่าวขึ้น “พี่กู่ ใกล้ได้เวลาแล้ว ขึ้นเขากันเถอะ!”
กู่เทียนเฉพยักหน้ารับ “ไปกัน”
“รอก่อน!” เวลานั้นเองที่มีสองเงาร่างพุ่งตัวลงมาจากท้องฟ้า
เมื่อเหล่าเทพถ่องแท้ทั้งหลายได้เห็นการมาถึงนี้พวกเขาก็รีบก้มหัวลงแสดงความเคารพในทันที “ขอคารวะท่านอาจารย์จีคัง!”
คลื่นพลังที่ปล่อยออกมาจากร่างของเทพถ่องแท้ตรงหน้านี้มันแสนรุนแรง เขาคนนี้เป็นยอดฝีมือเทพถ่องแท้ขั้นสุด
จากนั้นคนทั้งสองนั้นก็พยักหน้ารับออกมา “เรื่องราวใหญ่โตเช่นนี้ยอดเมืองหลวงจักรพรรดิสวรรค์กว้างของข้าย่อมต้องมาร่วมด้วยอยู่แล้ว ฉูชิง ทำไมเจ้ายังไม่ทักทายลุงๆ ทั้งหลายอีก?”
ที่ด้านหลังจีคังนั้นมีชายหนุ่มคนหนึ่งยกมือขึ้นมาทำความเคารพ “หลานนั้นมีนามว่าฉูชิง ขอคารวะท่านลุงทั้งหลาย”
“เจ้าคือฉูชิงเองรึ หึๆ สมชื่อเป็นยอดคนแห่งยุคจริงๆ!”
“ข้าได้ยินมานานว่ามียอดอัจฉริยะมากพรสวรรค์ปรากฏตัวขึ้นในยอดเมืองหลวงจักรพรรดิสวรรค์กว้าง ผสานแนวคิดสามอย่างเข้าด้วยกันได้มีพลังฝีมือที่เหนือล้ำ! ได้เจอกันวันนี้ข้าคงต้องบอกว่าสมชื่อเสียงจริงๆ!”
เหล่าเทพถ่องแท้ทั้งหลายนี้กลับถือโอกาสนี้ในการยกยอเด็กนภาสวรรค์คนหนึ่ง เรื่องนี้มันทำให้ยอดฝีมือที่มองดูอยู่ไม่ห่างต้องอ้าปากค้าง
แต่ว่ายิ่งได้ยิน พวกเขาก็ยิ่งตกตะลึงมากขึ้น
สำหรับยอดอัจฉริยะแล้วคนที่สำเร็จแนวคิดสองหรือสามอย่างได้นั้นมันมีมากมาย
แต่คนที่สามารถผสานแนวคิดสองอย่างเข้าด้วยกันได้นั้นมันมีจำนวนน้อยมาก อย่าว่าถึงการผสานสามแนวคิดเลย
คนที่สามารถผสานแนวคิดสามอย่างเข้าด้วยกันได้นั้นมันคือยอดอัจฉริยะที่เหนือโลกหล้า
ฉูชิงนั้นมีใบหน้าท่าทางภูมิใจยอมรับคำชมของเหล่าเทพถ่องแท้ไปแต่โดยดี
ดูท่าแล้วเขาคงชินชากับคำชมพวกนี้มาก
“ซัวหานได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของพี่ฉูมานาน ได้มาเจอกันในวันนี้มันทำให้ข้าไม่ต้องผิดหวังไปสามชั่วชีวิตทีเดียว!” ซัวหานนั้นย่อมไม่คิดที่จะยอมถูกเมินและรีบเดินหน้าขึ้นมากล่าวชม
ฉูชิงหันไปมองเขาด้วยหางตา “อ่อ เจ้านั้นคือซัวหานที่ข้าเคยได้ยืนมาก่อนหน้านี้นี่เอง ได้ยินว่าในหมู่เมืองหลวงจักรพรรดินั้นเจ้านับได้ว่าเป็นยอดคนระดับต้นๆ”
ซัวหานนั้นตื่นเต้นดีใจที่อีกฝ่ายยอมรับ “พี่ฉูท่านได้ยินชื่อเสียงของข้ามาก่อนด้วย ซัวหานคนนี้ช่างปลาบปลื้มและเป็นเกียรตินัก!”
ฉูชิงถามขึ้น “แต่ข้าได้ยินว่าในหมู่เมืองหลวงจักรพรรดินั้นมียอดยุทธสาวนามเล้งชิวหลิงอยู่ ผู้ที่มีพลังฝีมือเหนือล้ำกว่าเจ้า ข้าล่ะสงสัยเหลือเกินว่านางจะมาด้วยไหม?”
เล้งชิวหลิงนั้นไม่นึกไม่ฝันว่าฉูชิงจะเรียกชื่อนางออกมาเช่นนี้ทำให้ต้องเดินออกมากล่าวรับอย่างไม่เต็มใจมากนัก “ข้าน้อยเล้งชิวหลิงขอคารวะท่านฉู”
เมื่อฉูชิงเห็นเล้งชิวหลิงเขาก็เบิกตากว้างขึ้นก่อนจะยิ้มออกมาอ่อนๆ “ไม่นึกเลยว่าแม่นางเล้งนั้นจะเป็นผู้ที่สวยงามปานนี้! แม่นางเล้ง การเดินทางไปยังเทือกเขาอาทิตย์ศักดิ์สิทธิ์ข้าคงต้องฝากให้ท่านดูแลข้าด้วย!”
เล้งชิวหลิงขมวดคิ้วแน่น “มิกล้า การเดินทางนี้ข้ายังต้องให้ท่านลุงทั้งหลายดูแลอยู่มาก”
เมื่อเหล่าคนรอบๆ ที่ตาดีหน่อยเห็นเช่นนั้นพวกเขาต่างรู้ได้ทันทีว่าฉูชิงนั้นชื่นชอบในหน้าตาของเล้งชิวหลิงเข้าแล้ว
จีคังที่อยู่ด้านข้างก็ยิ้มออกมาโดยไม่กล่าวพูดใดๆ ฉูชิงนั้นมีสายตาที่สูงล้ำมาก เด็กสาวหน้าตางดงามในยอดเมืองหลวงจักรพรรดิสวรรค์กว้างนั้นมีมากมายเป็นภูเขาแต่เขาคนนี้กลับไม่คิดที่จะสนใจใครแม้แต่น้อย
ไม่นึกไม่ฝันว่าเด็กคนนี้จะมาต้องตาของเขาเข้าได้
ที่ด้านข้างเมื่อซัวหานเห็นเช่านนั้นเขาก็รู้สึกสบน้ำหน้าผู้คนขึ้นในใจ
ตอนนี้มันเป็นไปไม่ได้แล้วที่ตัวเขาจะเคียงคู่กับเล้งชิวหลิง แต่เมื่อฉูชิงออกตัวมาระหว่างทางเช่นนั้นเขาจึงอยากจะรู้ว่าเย่หยวนคนนั้นจะเอาอะไรไปสู้ฉูชิงคนนี้
เพราะฉูชิงคนนี้เขาเป็นยอดอัจฉริยะอย่างที่ไม่มีใครเปรียบ
แม้อายุของเขาจะห่างกันไปไม่มาก แต่เขากลับมีพลังบ่มเพาะถึงอาณาจักรนภาสวรรค์หกดาวขั้นสุดแล้ว
ที่สำคัญเขายังเป็นคนที่ผสานสามแนวคิดเข้าด้วยกัน แน่นอนว่าเขาต้องมีพลังการต่อสู้ที่เหนือล้ำ!
แม้ว่าซัวหานนั้นจะมีพรสวรรค์ที่เหนือล้ำ แต่หากเทียบกันแล้วมันก็เหมือนเอาผงดินไปเทียบกับทอง
เขาคนนี้มีคุณสมบัติมากพอที่จะอวดอ้างตัว
จีคังยิ้มขึ้นมา “หึๆ พวกเจ้าทั้งหลายนั้นล้วนเป็นยอดคนในหมู่คนหนุ่มสาว อนาคตของเจ้านั้นแสนที่จะเจิดจ้า สนิทๆ กันเข้าไว้เถิด”
จีคังพูดไปทำให้เหล่าคนทั้งหลายพยักหน้ารับขึ้นมา
เพราะนี่คือคนที่มาจากยอดเมืองหลวงจักรพรรดิ พวกเขาย่อมไม่มีทางไปลบหลู่ท้าทายใดๆ ได้
เช่นนี้เหล่ายอดฝีมือเทพถ่องแท้ทั้งหลายก็ได้กดพลังบ่มเพาะของตนลงและเดินทางเข้าสู่เทือกเขาอาทิตย์ศักดิ์สิทธิ์
เมื่อเย่หยวนได้เดินเข้ามาในเทือกเขาอาทิตย์ศักดิ์สิทธิ์นี้เขาก็รู้สึกถึงความคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก
มันเป็นความรู้สึกราวกับว่า… เขาได้กลับไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์
เดิมทีพันธมิตรพันทะยานนั้นได้ปิดทางเข้าออกเทือกเขาอาทิตย์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดไว้ แต่เมื่อพวกเขาทั้งหลายเดินทางเข้ามา มันก็ย่อมมียอดฝีมือจากค่ายสำนักอื่นๆ ตามเข้ามาในเทือกเขาอาทิตย์ศักดิ์สิทธิ์ด้วย
ตอนนี้มีผู้คนมากมายสุดสายตากำลังเดินอยู่ในเทือกเขาอาทิตย์ศักดิ์สิทธิ์
“ค่ายกลนี้มันดูคล้ายมหาค่ายกลสี่ตราตระกูล!” เย่หยวนบอกแก่หวู่เฉิน
หวู่เฉินพยักหน้ารับ “นี่คือค่ายกลที่สร้างขึ้นโดยสัตว์เทวะทั้งสี่ มีพลังมากพอที่จะทำลายสังหารเทพสวรรค์ได้! จอมเทพนิรันดร์ได้วางค่ายกลจำนวนนับไม่ถ้วนไว้ในเทือกเขาอาทิตย์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดนี้ การจะสังหารเทพสวรรค์นั้นมันมิใช่เรื่องยากเย็นเลย!”
เย่หยวนบอก “เมื่อมียอดฝีมือเข้ามามากมายเช่นนี้ แม้จะผิดพลาดไปสักคนมันก็คนทำให้มหาค่ายกลทำงานได้!”
หวู่เฉินยิ้มบอก “เจ้าโง่พวกนี้มันคิดว่าจอมเทพนิรันดร์จะทิ้งความรู้ในเต๋าของตัวเองไว้ที่นี่ ช่างคิดง่ายเสียจริงๆ!”
เย่หยวนเองก็อดไม่ได้ที่จะอมยิ้มออกมาเมื่อได้ยิน
ตอนนี้กำลังคนค่อยๆ เดินเข้าไปลึกเรื่อยๆ จนจู่ๆ ก็เกิดเสียงกรีดร้องดังขึ้น
มีก้อนไฟพวยพุ่งขึ้นมาจากต้นเสียงพร้อมร่างของยอดฝีมือหลายต่อหลายคนที่แหลกสลายลง
นั่นทำให้จีคังหน้าเปลี่ยนสี ด่าทอออกมาด้วยความโกรธเคือง “ไอ้พวกโง่เหล่านี้มันไปทำให้ค่ายกลวายุนิรันดร์เพลิงสวรรค์ของหนึ่งในมหาค่ายกลสี่ตราทำงาน! เมื่อเพลิงสวรรค์นี้ถูกจุดมันย่อมจะกลืนกินทุกสิ่ง! ทุกคนรีบหนีเร็ว!”
ตอนที่ 1861 ใครเป็นพี่เป็นน้องกับเจ้า?
ไฟที่พลุกพล่านลามไปทั่วจนแทบไหม้ทุกตารางนิ้ว
ตอนนี้ทุกสิ่งอย่างตรงหน้ามันเหมือนราวกับดินแดนแห่งความตาย
ภายใต้พลังขนาดนี้ต่อให้เป็นเทพถ่องแท้เองก็ยังยากที่จะรอดชีวิตกลับไปได้
“ศิษย์น้องหญิงตามข้ามา ข้าจะพาเจ้าออกไปเอง”
ฉูชิงยิ้มร่าออกมาด้วยท่าทางมั่นใจก่อนจะเข้าไปจับมือของเล้งชิวหลิงไว้
นั่นทำให้เล้งชิวหลิงผงะไปทันทีก่อนจะรีบดึงมือของตนกลับ
ฉูชิงจึงได้แต่ยืนนิ่งด้วยท่าทางอับอายไม่น้อยก่อนจะฝืนกลับมายิ้ม “ตามมาอย่าได้ห่าง”
พูดจบฉูชิงก็เดินมุ่งนำหน้าออกไปสู่ส่วนลึกของเทือกเขา
โชคยังดีที่เหล่าคนในพันธมิตรพันทะยานนั้นมีฝีเท้าที่รวดเร็วจนหนีออกจากพื้นที่มหาค่ายกลได้อย่างรวดเร็ว
แต่ความอันตรายนั้นมันก็ตามมาไม่ห่าง
เพราะแม้ตอนนี้พวกเขาทั้งหลายจะวิ่งมาจนถึงขอบของเขตแดนแล้วแต่ไฟก้อนมหึมามันก็ยังพุ่งเข้าใส่พวกเขาอยู่เป็นครั้งคราวทำให้ยอดฝีมือมากมายต้องสูญเสียชีวิตไป
เหล่าเทพถ่องแท้ทั้งหลายนั้นมีพลังฝีมือที่ไม่อ่อนแอ แต่สุดท้ายพวกเขาทั้งหลายก็ยังต้องพ่ายให้แก่เพลิงเหล่านี้
ส่วนพวกฉูชิงและคนอื่นๆ ที่เป็นได้เพียงผู้น้อยนั้น พวกเขาได้แต่ต้องรวมตัวกันหนีเป็นหมู่
แต่ในการเดินทางหนีนี้มันมีฉูชิงเป็นหัวนำตัดฝ่าเพลิงทำให้การเดินทางของพวกเขาทั้งหลายนั้นง่ายดายขึ้นมาก
แต่จู่ๆ เขาก็ได้สังเกตเห็นว่ามีเด็กหนุ่มคนนี้ได้ติดตามเล้งชิวหลิงมาตั้งแต่ต้นจนตอนนี้ เขาจึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วแน่นออกมา
“เด็กน้อย เจ้ามิใช่ศิษย์ของคฤหาสน์พันทะยานใช่หรือไม่? ไปให้พ้นเสีย พวกเราไม่ต้องการขยะไร้ค่ามาตามติด!” ฉูชิงกล่าวขึ้นด้วยท่าทางไม่พอใจ
ในสายตาของเขานั้นเย่หยวนที่เป็นแค่นภาสวรรค์สองดาวย่อมเห็นว่ากลุ่มของพวกเขามีพลังฝีมือที่สูงส่งจึงตามมาเพื่อหาที่ปลอดภัยหลบ
มีหรือที่เขาจะยอมให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น?
เล้งชิวหลิงกล่าวขึ้น “ศิษย์พี่ฉู เย่หยวนนั้นเป็นสหายของข้า”
นั่นทำให้ฉูชิงได้แต่ยิ้มแห้งๆ ตอบกลับไป “อ่า ที่แท้เป็นสหายศิษย์น้องเล้งนี่เอง งั้นก็ไม่เป็นไร ข้าแค่คิดว่าจะตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออก คนที่ไม่คิดช่วยอะไรย่อมไม่สมควรได้รับผลประโยชน์ใด!”
เย่หยวนแค่ยิ้มตอบกลับไป
แต่เป็นเวลานี้เองที่ซัวหานกลับเปิดปากพูดออกมาแทน “หึๆ ข้าว่าไม่ใช่แค่สหายกันเฉยๆ ล่ะมั้ง? ข้าได้ยินว่าท่านเจ้าเมืองกู่ถึงขั้นคิดจะจับคู่ศิษย์น้องเล้งกับเย่หยวน! ศิษย์น้องเล้งข้าขอยินดีด้วยจริงๆ!”
เมื่อคำพูดเหล่านั้นถูกกล่าวสีหน้าของทุกคนย่อมเปลี่ยนแปลงไป
คนเหล่านี้ทั้งหมดเป็นยอดคนของรุ่นหนุ่มสาว อ่อนแอที่สุดยังเป็นถึงนภาสวรรค์สี่ดาว
แล้วมีหรือที่นภาสวรรค์สองดาวเช่นนี้จะควรค่ากับเล้งชิวหลิง?
ที่สำคัญตอนนี้มันมีฉูชิงให้นำมาเทียบด้วย!
ได้ยินเช่นนั้นฉูชิงก็ผงะไปก่อนจะหันมามองเย่หยวนด้วยสายตาอาฆาต
ได้เห็นเช่นนั้นซัวหานก็รู้สึกตื่นเต้นดีใจขึ้นมา
เขารู้ดีว่าแค่คำพูดเดียวนี้มันก็มากเกินพอ
เล้งชิวหลิงได้แต่ขมวดคิ้วแน่นสายตาที่นางมองไปยังซัวหานนั้นมันเย็นเยือก
แต่มีหรือที่ซัวหานจะยังคิดสนใจ? แต่ตอนนี้เขาย่อมไม่คิดสนใจใดๆ กับนางอีกแล้ว
ตอนนี้ต่อให้ไม่ต้องมีเย่หยวนเรื่องราวต่างๆ นาๆ นั้นมันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับเขาอีกต่อไปแล้ว
แข่งกับฉูชิง?
นั่นมันรนหาที่ตายชัดๆ!
ฉูชิงเองก็ไม่คิดยอมแพ้และกล่าวขึ้นมาต่อหน้าเล้งชิวหลิง “โอ้? ถึงขั้นได้รับการสนับสนุนจากท่านเจ้าเมืองกู่ ดูท่าน้องเย่คนนี้จะมีพรสวรรค์ที่เหนือล้ำผู้คน! จบเรื่องราวแล้วฉูคนนี้อยากขอประลองด้วยจริงๆ”
แค่คำพูดเดียวนี้มันก็ได้กลิ่นของสงครามที่เริ่มปะทุขึ้นแล้ว
เย่หยวนหันไปมองเขาอย่างเย็นชา “ใครเป็นพี่เป็นน้องเจ้า? เจ้ามีค่าพอหรือ?”
นั่นทำให้ทุกผู้คนต่างผงะไปไม่คิดไม่ฝันว่าเย่หยวนจะยืนกรานไม่ยอมแพ้เช่นนี้
ฉูชิงเองก็ไม่คาดคิดถึงคำตอบนั้นเช่นกัน เขาคิดว่าเย่หยวนอาจจะยอมแพ้เมื่อได้ยินว่ามีอุปสรรคข้างหน้า ไม่นึกไม่ฝันว่าเย่หยวนกลับไม่สนใจและตอกหน้าเขากลับมาอย่างแรงเช่นนี้
เย่หยวนย่อมไม่คิดไว้หน้าเขาแต่อย่างใด แม้ว่าเขานั้นจะไม่ได้คิดเกินเลยใดๆ กับเล้งชิวหลิงแต่คนพวกนี้มันก็มาทำวางท่าเหมือนเขาเป็นศัตรูไปเสียก่อนแล้ว
ที่สำคัญที่สุดคือฉูชิงนั้นเป็นคนหลงตัวชอบมองคนอื่นจากมุมที่สูงกว่า
แค่เห็นเขามีพลังบ่มเพาะต่ำก็คิดจะไล่เขาออกจากกลุ่ม
แท้จริงแล้วหากไม่ใช่เพราะคิดปกป้องเล้งชิวหลิงมีหรือที่เย่หยวนจะทนเดินทางมากับคนเหล่านี้
ทั้งอย่างนั้นฉูชิงคนนี้กลับหลงตัวเองอวดอ้างว่าเย่หยวนนั้นมาเพื่อหาผลประโยชน์จากพวกตน
ฉูชิงหน้าเปลี่ยนสีและกล่าวขึ้น “คนเขาอุตส่าห์ไว้หน้ากลับไม่รับ! หากเป็นเช่นนั้นแล้วเจ้าก็อย่าได้ตามพวกเรามาอีก เพราะอย่างไรเสียเราก็เป็นแค่คนไม่รู้จักกัน”
เล้งชิวหลิงขมวดคิ้วแน่นทันที “เย่หยวนนั้นคือแขกของเมืองหลวงจักรพรรดิพันทะยานของข้า หากกลุ่มนี้ไม่มีเขา มันก็ย่อมไม่มีข้า”
นั่นทำให้ฉูชิงผงะไปไม่น้อย สายตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความริษยา
เขาไม่นึกไม่ฝันว่าเล้งชิวหลิงนั้นกลับไม่คิดสนใจไว้หน้าเขาและจะทำตัวขัดขืนดื้อด้านขึ้นมาในเวลานี้
“หึ! ถือว่าเห็นแก่หน้าศิษย์น้องเล้งแล้วกัน เรื่องในวันนี้ฉูคนนี้จะจำมันไว้!” ฉูชิงพูดขึ้น
ครึม!
จู่ๆ ก็เกิดคลื่นไฟโจมตีออกมาอีกครั้งทำให้ทุกคนหน้าถอดสีกันยกใหญ่ด้วยความหวาดกลัว
“ฉูชิง คลื่นเพลิงระลอกนี้มันรุนแรงมาก พวกเจ้าระวังตัวเอง! จำไว้ อย่าได้แยกกลุ่มกัน!” จีคังตะโกนบอกขึ้นมา
“ได้ขอรับผู้อาวุโสจี!” ฉูชิงตะโกนรับ
พูดจบเขาก็หันหน้ากลับไปหาทุกผู้คน “ทุกคนตอนนี้เราต้องร่วมมือกันด้านเพลิงระลอกนี้ ฟังคำสั่งข้า! ศิษย์น้องเล้งเจ้ามาหลบด้านหลังข้า”
ฉูชิงนั้นทำท่าทางแข็งขันอย่างไม่กลัวตายราวกับว่าทุกสิ่งอย่างตรงหน้ามันอยู่ภายใต้การควบคุมจนสิ้นแล้ว
เล้งชิวหลิงนั้นไม่ได้คิดจะตอบกลับไปแต่เมื่อเห็นเย่หยวนพยักหน้าให้นางจึงได้ถอยไปด้านหลังตามสั่ง
“อ่า อ้าก…” เสียงร้องลั่นตามมาไม่ขาดสายเหล่านักยุทธที่อ่อนแอหน่อยนั้นได้ถูกเผาจนบาดเจ็บมอดไหม้ไปหลายคน
“เย่หยวน เวลานี้เป็นวิกฤตความเป็นความตายเจ้ายังคิดจะหลบอยู่ข้างหลังเหมือนเป็นสาวน้อยอีกหรือ?” เมื่อฉูชิงเห็นว่าเย่หยวนเอาแต่หมกตัวอยู่ด้านหลังเขาก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวว่าขึ้น
แต่เย่หยวนแค่ยิ้มตอบ “พวกเจ้าทั้งหลายนั้นแข็งแกร่ง ข้าเป็นแค่เด็กน้อย หลบข้างหลังย่อมปลอดภัยกว่า”
คำพูดเหล่านี้มันทำให้เกิดอารมณ์ดูถูกขึ้นอย่างมาก
เหล่าวีรบุรุษทั้งหลายต่างคิดว่าตัวเย่หยวนนี้ช่างไร้ยางอาย
แต่ทว่าตอนนี้มันมิใช่เวลาที่จะมาดูถูกเย่หยวน
“ทุกคนฟังข้าสั่ง พวกเจ้าทั้งหลายจงใช้กระบวนท่าที่รุนแรงที่สุดออกมาต้านคลื่นเพลิงไว้! ปล่อยได้!” ฉูชิงร้องสั่งให้คนทั้งหลายโจมตีเข้าพร้อมๆ กัน
เมื่อดาบถูกฟาดออกมาพร้อมๆ กันพลังหลากสีก็พุ่งผ่านท้องฟ้าราวสายรุ้งรับคลื่นเพลิงนั้นไว้
พึบ! พึบ! พึบ!
ตอนนี้เหล่าปราณเทวะมากมายหลายเจ้าของ ต่างรวมพลังกันอยู่ในเทือกเขาเพื่อที่จะรับมือกับเจ้าเพลิงอย่างพร้อมเพรียง
ฟู่ ฟู่ ฟู่…
แม้ว่าพวกเขาทั้งหลายนี้จะเป็นยอดอัจฉริยะหนุ่มสาวขนาดไหนแต่เจ้าค่ายกลวายุนิรันดร์เพลิงสวรรค์มันก็แสนที่จะรุนแรงจนส่งร่างของพวกเขาหลายคนปลิวลอยกระอักเลือดไปด้านหลัง
ตอนนี้ร่างกายของฉูชิงเองก็มีสภาพไม่สู้ดีนัก เสื้อผ้าของเขาขาดวิ่นพร้อมด้วยรอยไหม้เต็มตัว
แต่ทว่าคลื่นเพลิงนั้นมันกลับสงบไปแค่ชั่วครู่ก่อนจะโหมกลับขึ้นมาอีกครั้ง
ฉูชิงหน้าถอดสีทันทีที่เห็นและร้องสั่ง “ทุกคนรีบหนีเร็ว! เพลิงเหล่านี้มันมิอาจถูกหยุดไว้ได้!”
พูดไปเขาก็รีบวิ่งพุ่งตัวหนี จะยังมีเวลามาสนใจเล้งชิวหลิงอีกหรือ?
พรึบ!
เพลิงนี้กลืนกินพื้นที่กว้างขวางในพริบตาตามมาด้วยเสียงกรีดร้องมากมาย
เหล่ายอดคนหนุ่มสาวหลายคนต้องตายตกลงไม่มีเวลาได้หลบหนีใดๆ ถูกเพลิงกลืนกิน
ฉูชิงและเหล่าอัจฉริยะคนอื่นๆ ที่หนีมาได้เองก็มีเหงื่อไหลท่วมกายตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่ทราบว่าวิ่งหนีมานานแค่ไหนแต่ในที่สุดก็หลบรอดพ้นจากการกลืนกินของคลื่นเพลิง
แต่เมื่อเขาหันหลังไป ฉูชิงกลับพบว่ามันไม่มีร่องรอยของเล้งชิวหลิงทำให้เขาอดหน้าถอดสีไม่ได้
“ซัวหาน เจ้าเห็นศิษย์น้องเล้งไหม?” ฉูชิงถามซัวหานที่มีสภาพดูไม่จิดเช่นกันขึ้นมา
ซัวหานนั้นวิ่งจนแทบหายใจไม่ทัน เมื่อได้ยินคำของฉูชิงเขาจึงได้แต่ส่ายหัวตอบกลับไป “ม-ไม่เห็น! ทุกคนต่างแยกย้ายกันหลบหนี มีหรือที่ข้าจะยังมีเวลาไปสนใจนาง?”
ฉูชิงขมวดคิ้วแน่นทันที ตอนนี้ดวงตาของเขาจ้องมองกลับไปยังทางที่มาและพบว่าเส้นทางทั้งหลายนั้นมันได้ถูกคลื่นเพลิงกลืนกินจนสิ้น กลายเป็นทะเลเพลิงไปเสียแล้ว
ตอนที่ 1862 ประตูแห่งสี่ตรา
ชายหนุ่มคนหนึ่งพูดกล่าวขึ้น “ศิษย์พี่ฉู เมื่อสักครู่ก่อนที่จะเกิดเรื่องราวเกินรับมือข้าได้เห็นศิษย์น้องเล้งนั้นยืนอยู่ไม่ห่างจากเย่หยวนคนนั้นและทั้งคู่ก็ถูกเพลิงกลืนกินไปพร้อมๆ กัน!”
เมื่อสักครู่ที่ผ่านมานั้นคลื่นเพลิงได้โหดซัดกลืนกินชีวิตผู้คนไปอย่างมากมาย
การที่เล้งชิวหลิงจะตายอยู่ภายในมันก็มิใช่เรื่องแปลกใดๆ
“ให้ตายสิ!”
เมื่อเห็นทะเลเพลิงตรงหน้าแล้วฉูชิงก็ได้แต่ร่ำร้องอย่างเจ็บใจ หญิงสาวที่เขาเกิดคิดสนใจขึ้นมาคนนั้นกลับถูกไฟคลอกตายไปเสียง่ายๆ เช่นนี้
แต่ซัวหานกลับมีสีหน้าสุดแสนดีใจเพราะเขาได้ยินว่าเย่หยวนคนนั้นได้ตายลงแล้วในกองไฟ
“ศิษย์พี่ฉูอย่าได้คิดมากไป หญิงสาวนั้นมันมีมากมายเหมือนปลาในมหาสมุทร แม้ว่าเล้งชิวหลิงนั้นจะรูปงามไม่น้อยแต่มันก็ยังมีหญิงสาวอีกมากมายที่พอจะเคียงคู่ศิษย์พี่ฉูได้บ้าง” ซัวหานปลอบ
แน่นอนว่าเมื่อฉูชิงได้ยินเช่นนั้นเขาก็แสดงสีหน้าท่าทางโล่งใจขึ้นมาไม่น้อยแต่สุดท้ายก็กลับไปทำใบหน้าเสียใจอย่างห้ามไม่ได้ “ไม่ว่ามันจะมีมากมายเพียงใดแต่การตายนี้ของศิษย์น้องเล้งข้าก็ยังเจ็บแค้นใจนัก!”
ซัวหานยิ้ม “ศิษย์พี่ฉูช่างเป็นคนนับถือน้ำใจ ซัวหานขอคารวะ!”
“เอ๋ พวกเจ้าดูนั่น! มันเหมือนมีคนกำลังเดินอยู่ภายในทะเลเพลิงเลย!”
จู่ๆ ก็มีเสียงร้องบอกขึ้น
นั่นทำให้ทุกคนตื่นตกใจอย่างมากพร้อมหันไปมองด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ
ตอนที่ไม่เห็นก็ยังใม่เท่าไหร่ แต่ตอนนี้เมื่อทุกผู้คนได้เห็นภำพนั้นแล้วพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะต้องอ้าปากค้างด้วยความตื่นตะลึง
ภายในทะเลเพลิงที่ว่านี้มีสองเงาร่างกำลังค่อยๆ ปรากฏแก่สายตาพร้อมมุ่งหน้ามาหาพวกเขาทั้งหลาย
“นี่มัน… เป็นไปได้อย่างไร? ทะเลเพลิงที่แสนรุนแรงปานนี้กลับมีคนที่สามารถเดินเหินอยู่ภายในนั้นได้”
“อืม ข้าเห็นมากับตาว่าแม้แต่นภาสวรรค์สี่ดาวยังมอดไหม้เป็นจุณไปในพริบตา มันจะเป็นไปได้อย่างไรที่จะมีคนเดินเหินอยู่ภายใน?”
“เดี๋ยวนะ มันดูเหมือนจะเป็นคู่ชายหญิง รูปร่างเช่นนี้ดูคุ้นตานัก!”
ไม่ต้องกล่าวต่อไปเมื่อทุกคนเริ่มเห็นเงาร่างทั้งสองชัดเจนขึ้นพวกเขาทั้งหลายก็บอกได้ทันทีว่ามันคือเย่หยวนและเล้งชิวหลิงนั้นเอง
เย่หยวนจับมือข้างหนึ่งของเล้งชิวหลิงไว้ก่อนจะค่อยๆ เดินหลบหลีกมาตามทะเลเพลิงเป็นภาพที่แสนน่าหวาดเสียวจนถึงขั้วหัวใจ
แต่ราวกับว่าเพลิงอันดุร้ายนี้มันหลบหลีกคนทั้งสอง ทำให้ท้ายสุดแล้วพวกเขาทั้งคู่นั้นปลอดภัยไร้รอยขีดข่วนใดๆ
ซัวหานหน้าเขียวดำขึ้นทันทีด้วยความไม่อยากเชื่อภาพตรงหน้า
ฟุบ!
เย่หยวนกระโดดขึ้นพาเล้งชิวหลิงพุ่งตัวออกมาจากทะเลเพลิงที่โหมไหม้
โดยไม่มีรอยขีดข่วน!
ทุกคนไม่คิดอยากเชื่อสายตาของตน ในทะเลเพลิงที่บ้าคลั่งเช่นนี้คนทั้งสองกลับเดินออกมาได้อย่างไร้รอยขีดข่วน!
เย่หยวนมองดูฉูชิงด้วยท่าทางกลั้นขำ “ศิษย์พี่ฉูท่านนี้ไหนว่าจะคอยปกป้องศิษย์น้องเล้ง? ทำไมท่านถึงได้วิ่งหนีเร็วเสียยิ่งกว่าใครเพื่อนเลยเล่า?”
ฉูชิงแทบสำลักเมื่อได้ยินเช่นนั้น ก่อนหน้านี้ไม่กี่นาทีตัวเขานั้นกล่าวอ้างตัวเหมือนเป็นยอดวีรบุรุษว่าจะปกป้องเล้งชิวหลิงอย่างนั้นอย่างนี้
แต่ตอนนี้เขาคิดหนีนั้นเขากลับพุ่งตัวไปอย่างรวดเร็วกว่าทุกผู้คนไม่คิดเหลียวมามองเล้งชิวหลิงแม้สักครั้ง
“ศิษย์น้องเล้ง ข้า…”
ฉูชิงนั้นกำลังคิดจะอธิบายออกมาแต่กลับได้ยินเสียงเฉยชาของเล้งชิวหลิงขัดขึ้นมาก่อน “ร่างกายของศิษย์พี่ฉูนั้นมีค่าไร้เปรียบได้ มีหรือที่จะมาเสี่ยงชีวิต? ที่สำคัญศิษย์พี่ฉูและข้านั้นก็ไม่ได้เป็นคนรู้จักมักจี่กัน ย่อมไม่มีเหตุผลใดๆ ที่เขาต้องมาช่วยเหลือข้าอยู่แล้ว”
ฉูชิงคนนี้เล้งชิวหลิงนั้นดูถูกเหยียดหยามเขาจากก้นบึ้งของหัวใจ
คำที่เขาว่าเพื่อนยามยากคือเพื่อนแท้นั้นมันย่อมไม่มีทางผิดไปได้
ระหว่างทางเดินมาฉูชิงนั้นพยายามอย่างมากที่จะอวดอ้างตัวเองแต่เมื่อถึงคราวยากลำบากอย่างแท้จริงเขากลับไม่อาจพึ่งพาได้แม้แต่น้อย
คนเช่นนี้ย่อมไม่เหมาะสมที่จะไปฝากฝังภาระหรือความหวังใดๆ ไว้
ฉูชิงคิดหนีอย่างรวดเร็วจนเกินไปทำให้เล้งชิวหลิงนั้นต้องเผชิญหน้ากับเปลวเพลิงที่ถาโถมด้วยตัวคนเดียว
เล้งชิวหลิงที่ไม่ทันระวังเกือบต้องเสียชีวิตไปให้แก่กองเพลิงนั้นแล้ว
ในเวลาคับขันสุดท้ายก็ยังเป็นเย่หยวนที่ช่วยนำพาเปิดทางนางหนีออกจากกองเพลิงนั้น
แต่เรื่องที่เย่หยวนทำในครั้งนี้เล้งชิวหลิงเองก็ตื่นตะลึงอย่างมากเช่นกัน
พื้นที่รอบกายของทั้งสองนั้นมันคือเพลิงร้ายที่ถาโถมแต่ราวกับว่าเพลิงเหล่านี้มันไม่คิดสนใจที่จะเผาไหม้คนทั้งสองจนทำให้เล้งชิวหลิงนั้นได้แต่รู้สึกมึนงง
เพราะไม่ว่าอย่างไรเสียพื้นที่ที่ถูกเพลิงกลืนกินไปมันก็คือนรกบนดินดีๆ นี่เอง แต่ทั้งที่เป็นอย่างนั้นคนทั้งสองกลับเดินผ่านมาได้อย่างไม่มีอันตรายใดๆ มันช่างเป็นเรื่องราวสุดแสนมหัศจรรย์
ได้ยินคำของเล้งชิวหลิง ฉูชิงก็รู้สึกปวดจี้ดขึ้นมาในดวงใจ
ในเวลาหลายปีมานี้เล้งชิวหลิงเป็นหญิงสาวนางแรกที่ทำให้จิตใจของเขาหวั่นไหวได้ ไม่นึกว่าในเวลาชั่วพริบตาสายสัมพันธ์ของทั้งสองมันกลับกลายเป็นเช่นนี้ไป
เขานั้นมองดูเย่หยวนอย่างดุร้ายคิดโทษความผิดทั้งหมดนี้ให้แก่เย่หยวน
…
ในหุบเขาที่ด้านหน้านั้นมีเหล่าเทพถ่องแท้มากมายได้ไปถึงก่อนหน้าพวกเขาทั้งหลายแล้ว
เย่หยวนหันมองดูรอบข้างและได้พบว่าเหล่าเทพถ่องแท้ทั้งหลายนี้ต่างได้รับบาดเจ็บกันมาบ้างไม่มากก็น้อย แถมยังมีจำนวนที่ลดลงไปอย่างไม่น้อยเลยด้วย
ดูท่าแล้วค่ายกลวายุนิรันดร์เพลิงสวรรค์นี่มันจะรุนแรงจนเกินไปเกินกว่าที่เหล่าเทพถ่องแท้ทั้งหลายนี้จะหลบรอดพ้นจากความตายได้
ตอนนี้ในหุบเขานี้นอกจากนักยุทธที่มากับพันธมิตรพันทะยานแล้วมันยังมีเหล่านักยุทธที่ไม่สังกัดฝ่ายค่ายเข้ามาหลบพักกันไม่น้อยด้วย
เพราะแท้จริงแล้วนักยุทธภายนอกที่เดินทางเข้ามาในเทือกเขาครั้งนี้มทันมากเสียยิ่งกว่าจำนวนนักยุทธในสังกัดพันธมิตรพันทะยานทั้งสิ้นรวมกันเสียอีก แถมในหมู่คนทั้งหลายนี้ยังมีเทพถ่องแท้อยู่ไม่น้อยเช่นกัน
แต่ในที่เช่นนี้ มันย่อมไม่มีใครกล้าใช้พลังของเทพถ่องแท้ออกมาไม่เช่นนั้นร่างกายของพวกเขาคงได้แหลกเหลวอย่างง่ายดายเป็นแน่
มีคนหนึ่งในกลุ่มคนที่นั่งพักพูดบ่นขึ้นมา “เทือกเขาอาทิตย์ศักดิ์สิทธิ์นั้นมันแสนกว้างใหญ่ เรายังไม่ทันเจอทางเข้าถ้ำที่ว่านี้ก็ต้องเสียคนไปมากมายขนาดนี้แล้ว! ที่นี่มันคงไม่ใช่แค่กับดักธรรมดาๆ หรอกใช่ไหม?”
“ใช่ไหมเล่า? มหาค่ายกลสี่ตรานี่มันแสนที่จะทรงอานุภาพ มันสามารถล้างโลกหล้าได้ง่ายๆ! มันคงไม่จบลงที่พวกเรายังไม่ทันพบเจอทางเข้าก็ต้องตายกันเสียก่อนจนหมดหรอกใช่ไหม?”
ไม่ว่าจะเป็นนักยุทธของฝ่ายพันธมิตรพันทะยานหรือว่านักยุทธอิสระ พวกเขาทั้งหลายต่างมีสีหน้าที่ไม่สู้ดีเช่นเดียวกัน
ดูท่าแล้วเรื่องนี้มันคงกวนใจพวกเขาอย่างมาก
มหาค่ายกลสี่ตราที่จอมเทพนิรันดร์วางไว้นั้นมันแข็งแกร่งจนเกินไป ทำลายพวกเขาทั้งหลายลงราวกับเป็นแค่ของเล่นชิ้นหนึ่ง
คนตั้งมากมายต้องตายลงไปแล้วแต่พวกเขากลับยังไม่ได้พบเจอทางเข้าถ้ำที่ว่านี้เลย มีหรือที่พวกเขาจะยังทำใจให้เข้มแข็งได้?
ตู้ม!
เวลานี้เองที่สี่ทิศของหุบเขามันกลับปรากฏประตูหินสี่บานผุดขึ้นมาจากดินทำให้พื้นแผ่นดินสั่นสะท้าน
“กุญแจที่จะเปิดถ้ำนั้นมันถูกซ่อนอยู่ภายในประตูหินทั้งสี่นี้! ในแต่ละประตูจะมีสี่ตราเลือดแท้ระดับเทพสวรรค์อยู่ เมื่อพวกเจ้าทั้งหลายเก็บรวบรวมสี่ตราเลือดแท้ได้ครบเจ้าก็จะสามารถเปิดถ้ำเทพสวรรค์ออกได้และได้รับสมบัติสืบทอดของจอมเทพสวรรค์ผู้นี้ไป!”
เสียงหนึ่งดังลั่นขึ้นมาราวสายฟ้าปลุกให้ทุกคนตื่นตัวอย่างฉับพลัน
สี่ตราเลือดแท้ระดับเทพสวรรค์นั้นมันคือสุดยอดสมบัติ!
หากมีใครสามารถเก็บสี่ตราเลือดแท้ระดับเทพสวรรค์มาไว้ในมือได้ ต่อให้พวกเขาจะไม่ได้เข้าไปภายในถ้ำมันก็ยังมากพอที่จะเป็นประโยชน์ไปทั้งชีวิตได้
นั่นทำให้เหล่าผู้คนเริ่มกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
โดยเฉพาะตัวจีคังที่ตอนนี้สองตาของเขาแทบลุกเป็นไฟ
เขานั้นบ่มเพาะมาจนถึงขั้นสุดของเทพถ่องแท้ได้นานแสนนานแล้วแต่กลับไม่อาจหาทางบรรลุขึ้นอาณาจักรต่อไปได้เสียที
เขารู้ตัวดีว่าเขานั้นได้หมดพรสวรรค์ลงแล้วและคงไม่อาจบรรลุอาณาจักรเทพสวรรค์ได้อีกแน่ในชีวิตนี้
แต่หากเขาได้รับสี่ตราเลือดแท้ระดับเทพสวรรค์มา เขาย่อมมีโอกาสที่จะสามารถบรรลุขึ้นอาณาจักรเทพสวรรค์ได้!
ฟุบ!
โดยไม่คิดลังเลจีคังรีบพุ่งตัวไปยังประตูหินทางทิศตะวันออกทันที
ที่แห่งนั้นคือประตูมังกรฟ้า
ตอนนี้พันธมิตรพันทะยานจะยังมีประโยชน์ใด? เหล่าเทพถ่องแท้ทั้งหลายต่างรีบมุ่งหน้าไปยังประตูหินทั้งสี่ทิศทันที
คนที่ช้ากว่ามันย่อมหมายถึงโอกาสที่จะถูกคนอื่นตัดหน้าแย่งชิงสมบัติไปก่อน
“คุณชายเย่ เจ้าคิดจะไปยังประตูใด?” เล้งชิวหลิงถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “เลือดแท้ของวิหคชาดนั้นน่าจะเหมาะสมกับเจ้าที่สุด! ทำไมเราไม่ไปประตูวิหคชาดด้วยกันเล่า?”
เล้งชิวหลิงมองดูเย่หยวนอย่างตกตะลึง ได้ยินคำของเขามันย่อมหมายความว่าเมื่อพวกเขาได้สี่ตราเลือดแท้แล้วเขานั้นคิดที่จะมอบมันให้แก่ตัวนาง?
“นี่มัน… คุณชายเย่ เจ้าไม่คิดที่จะครอบครองสี่ตราเลือดแท้ไว้บ้างหรือ?” เล้งชิวหลิงถามขึ้น
เย่หยวนทำแค่ยิ้มเบาๆ ตอบกลับไป “แค่สี่ตราเลือดแท้มันมิใช่อะไรที่ยิ่งใหญ่นักหรอก ไปกันเถอะ”
ตอนที่ 1863 เพลิงโลกันตร์
เบื้องหน้าสายตาของพวกเขาทั้งหลายนั้นมันคือทะเลทรายกว้างใหญ่ภายใต้แสงอาทิตย์อันร้อนแรง ดั่งว่าโลกทั้งใบนี้ถูกวางไว้บนเตาย่างร้อนๆ
เมื่อเข้าประตูแห่งวิหคชาดมาพวกเขาก็ได้พบเจอภาพเช่นนี้
“ไอ้สถานที่แห่งนี้มองไปอย่างไรก็ไม่เห็นจุดสิ้นสุด เราจะไปหาเลือดแท้ของวิหคชาดได้จากที่ใดกัน?”
“ดูท่าแล้วมันคงอยู่ลึกเข้าไปในทะเลทราย อย่าได้ชักช้ารีบมุ่งหน้าไปก่อนคนอื่นจะแย่งชิงมันไปได้ก่อน”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นคนทั้งหลายก็รีบรุดมุ่งหน้าเดินเข้าสู่ทะเลทรายราวระลอกคลื่น
“เย่หยวน เราเองก็ไปกันเถอะ” เล้งชิวหลิงบอก
แต่เย่หยวนกลับยิ้มขึ้นมา “ยิ่งรีบจะยิ่งช้า ที่ด้านนอกมันสุดแสนอันตรายถึงขนาดนั้นแล้วมีหรือที่ทะเลทรายนี้มันจะไม่อันตราย?”
นั่นทำให้เล้งชิวหลิงหน้าถอดสีไปในทันที ในทะเลทรายกว้างใหญ่นี้นางไม่อาจสัมผัสได้ถึงความอันตรายใดๆ ที่หลบซ่อนอยู่เลย
นอกจากเรื่องที่ว่ามันร้อนนิดหน่อยแล้วมันก็ไม่มีอะไรที่ดูเป็นพิษเป็นภัย
“นี่มัน… แล้วเราจะทำอย่างไรดี?”
เย่หยวนบอก “เจ้าฝึกฝนวรยุทธบ่มเพาะธาตุเย็น เจ้าจงใช้ปราณเทวะครอบคลุมตัวเองไว้แล้วเจ้าย่อมที่จะปลอดภัย”
เล้งชิวหลิงนั้นไม่ค่อยเข้าใจในความหมายนั้นแต่นางก็ยังคงทำตามที่เย่หยวนบอกอย่างว่าง่าย
ตอนนี้บนร่างกายของเล้งชิวหลิงมันค่อยๆ มีคลื่นความเย็นกระจายตัวออกมาทำให้นางรู้สึกเย็นสบายผ่อนคลายลงมาก
หลังจากทำเช่นนี้คนทั้งสองก็ค่อยๆ เดินเข้าไปในทะเลทรายอย่างไม่คิดรีบร้อน
“หึ ไอ้เจ้าสองคนนั้นมันกลับทำเรื่องราวไร้สาระ ที่แห่งนี้มันไม่มีภัยอันตรายใดๆ ทั้งสิ้นแต่พวกมันกลับคิดใช้ปราณเทวะออกมา เมื่อถึงเวลาที่เจออันตรายแท้จริงเข้า ข้าอยากรู้เสียจริงว่าพวกมันจะยังเอาพลังที่ไหนจะต่อสู้ได้”
เมื่อเห็นปราณเทวะที่ไหลวนอยู่บนร่างของเล้งชิวหลิงเสียงหัวเราะเยาะเย้ยต่างๆ นาๆ ก็ดังขึ้นมา
เพราะในสายตาของทุกผู้คนแล้วการทำเช่นนั้นมันย่อมโง่เง่าอย่างไร้เปรียบ
การเดินปราณเทวะคลุมตัวนั้นมันย่อมหมายถึงว่าต้องสูญเสียปราณเทวะไปเรื่อยๆ หากเวลานั้นได้ไปเจอศัตรูเข้าแล้วพวกเขาคงไม่อาจรับมือกับศัตรูด้วยพลังสภาพที่เต็มร้อยได้แน่
“อ้าก!”
ในตอนนั้นเองกลับมีเสียงกรีดร้องดังขึ้นมาในหมู่คนก่อนจะเป็นภาพของร่างกายเขานั้นที่ติดไฟลุกท่วม
ทุกคนหน้าถอดสีทันทีก่อนจะรีบวิ่งพุ่งตัวหนีจากคนผู้นั้น
ไม่นานนักร่างกายของคนผู้นั้นก็มอดไหม้จนกลายเป็นธุลีปลิวหายไปกับสายลม
ทุกคนหน้าถอดสีไปตามๆ กันอย่างไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เขานั้นเดินมาอย่างไม่มีท่าทีใดๆ แต่ทำไมจู่ๆ ร่างกายของเขาจึงติดไฟขึ้นเช่นนั้นได้?
จู่ๆ ก็มีคนร่ำร้องขึ้นอย่างตื่นตกใจ “มัน… เกิดอะไรขึ้นกัน?”
และระหว่างที่ทุกผู้คนกำลังมึนงงกับภาพเหตุการณ์ตรงหน้าจู่ๆ ก็มีอีกหลายคนที่ร่างกายติดไฟจนถูกไหม้ไม่เหลือซาก
ตอนนี้ทุกผู้คนได้รู้แล้วว่าเรื่องราวเหตุการณ์ตรงหน้ามันไม่ใช่เรื่องปกติธรรมดาแน่
ทะเลทรายแห่งนี้มันแฝงมาด้วยภัยเงียบที่พวกเขาไม่อาจสัมผัสถึงได้
“ท-ทุกคนระวังด้วย! ไฟนี้มันแสนที่จะร้อนแรง!”
“ทำไมจู่ๆ ร่างของเขาจึงมอดไหม้ไปเช่นนั้นกัน?”
“ข้า… ข้าไม่เอาด้วยแล้ว! ข้าขอตัวออกไปก่อนล่ะ!”
…
การได้เห็นภาพของคนมากมายมอดไหม้ไปตรงหน้ามันทำให้เหล่าคนทั้งหลายต้องตื่นตระหนก
ตอนนี้หลายๆ คนถึงขั้นคิดที่จะกลับออกไปภายนอก
แต่พวกเขาเดินไปได้แค่สองก้าวร่างกายก็กลับมอดไหม้กลายเป็นธุลี
เหล่ายอดฝีมือทั้งหลายได้แต่ยืนมองดูภาพตรงหน้าอย่างมึนงงไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เล้งชิวหลิงหันมามองเย่หยวนด้วยสายตาที่ตกตะลึงไม่แพ้กัน นางรู้สึกได้ว่าการที่เย่หยวนบอกให้นางเดินปราณเทวะนั้นมันก็เพื่อทำการขับไล่ไฟที่ว่านี้ไป
แต่เจ้าสิ่งนี้มันคืออะไรกันแน่?
เหล่ายอดฝีมือทั้งหลายตอนนี้กลับไม่มีใครกล้าจะเดินไปไหนแม้สักก้าวเดียว
แต่มันก็ไร้ความหมายเพราะแม้จะหยุดนิ่งไปแล้ว แต่หลายๆ คนก็ยังลุกติดไฟร่างกายมอดไหม้สลายเป็นธุลี
ด้วยเหตุนี้พวกเย่หยวนที่เดินมาอย่างช้าเชื่องในตอนแรกจึงได้ขึ้นกลายเป็นผู้นำกลุ่มไป
สภาพผิดปกติของคนทั้งสองนี้มันดึงดูดสายตาผู้คนมากมายให้หันมามอง
“ทำไมพวกมันทั้งสองจึงไม่ติดไฟกัน?”
“อ่า นั่นมันสองคนที่เดินปราณเทวะป้องร่างไว้ตั้งแต่แรกนี่นา! ก่อนหน้าเรายังว่าเยาะเย้ยพวกเขาแต่หรือว่าแท้จริงแล้วที่แห่งนี้มันจะมีอะไรมากกว่าที่ตาเห็น?”
“ใช่แล้ว! นี่มัน… นี่มันเพลิงโลกันตร์!”
คนที่พูดขึ้นมานี้คือเทพถ่องแท้คนหนึ่ง
เมื่อพูดถึงชื่อเพลิงโลกันตร์ขึ้นมาสีหน้าของเทพถ่องแท้คนนั้นก็ซีดขาวลงทันที แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่คิดอยากที่จะเชื่อ
และไม่ใช่แค่เขา ตอนนี้เหล่ายอดฝีมือคนอื่นๆ เองก็หน้าถอดสีไปตามๆ กัน
“เพลิงโลกันตร์นั้นอยู่ในจิต หากสับสนว่อกแว่กขึ้นมาเมื่อใดมันก็จะเปล่งพลังสุดหยั่งออกมา! ตำนานว่ากันว่าเพลิงโลกันตร์นั้นคือไฟที่เผาไหม้ได้ทุกสิ่งอย่างให้สลายกลายเป็นแค่ธุลีดิน”
เมื่อเย่หยวนได้ยินความตื่นตกใจของผู้คนทั้งหลายนี้เขาก็อดไม่ได้ที่จะอมยิ้มออกมา
ในที่สุดคนทั้งหลายก็รับรู้ถึงมัน
วิหคชาดนั้นเป็นสัตว์เทวะแห่งเพลิง แน่นอนว่าความเข้าใจในแนวคิดแห่งไฟของมันต้องสูงล้ำ
ทะเลทรายอันกว้างใหญ่นี้แท้จริงแล้วมันคือทะเลเพลิงโลกันตร์
เมื่อเดินเข้ามาในทะเลทรายนี้ คนที่คิดเข้ามาย่อมต้องรักษาจิตใจให้สงบนิ่งเหมือนน้ำก้นบ่อ
ไม่เช่นนั้นแล้วเมื่อเพลิงโลกันตร์เกิดปะทุขึ้นมาร่างกายของพวกเขาก็คงไหม้สลายเป็นจุณ
แน่นอนว่าเย่หยวนย่อมไม่ได้มีความรู้ในเรื่องนี้มาก่อนแต่เป็นหวู่เฉินที่สามารถมองกับดักเช่นนี้ออกได้ในพริบตา
ในความเป็นจริงแล้วตั้งแต่ที่เข้าเทือกเขาอาทิตย์ศักดิ์สิทธิ์มา เย่หยวนก็รู้สึกราวกับว่าตัวเองได้กลับบ้านเก่า
สถานที่เปี่ยมอันตรายนี้ของคนผู้อื่นมันกลับกลายเป็นราวพื้นที่แสนสุขของเย่หยวน
คนทั้งหลายเหล่านี้ต่างยึดติดในความสำเร็จ คิดอยากหาเลือดแท้ของวิหคชาดให้เร็วที่สุด คนที่มีความคิดเช่นนั้นแน่นอนว่าจิตใจย่อมไม่สงบมากพอจนทำให้เพลิงโลกันตร์เกิดปะทุขึ้นมาได้ไม่ยาก
เมื่อได้พบถึงความผิดปกตินี้เหล่านักยุทธทั้งหลายต่างก็เริ่มทำจิตใจให้สงบลงและแน่นอนว่าเมื่อทำเช่นนั้นจุดที่เพลิงโลกันตร์ปะทุขึ้นมามันก็ค่อยๆ ลดน้อยลงจนหายไปในที่สุด
แต่ทว่าเรื่องราวมันก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่พวกเขาคิดคาด
เพราะยิ่งพวกเขาทั้งหลายเดินทางเข้าไปลึก พวกเขาก็ได้พบว่าอุณหภูมิของทะเลทรายนี้มันกลับร้อนแรงขึ้นจนทำให้สติของพวกเขาทั้งหลายเริ่มสั่นคลอน ทำให้ผู้มีจิตใจอ่อนแออีกหลายคนต้องถูกเพลิงโลกันตร์กลืนกินไป
ในหมู่คนสองสายตากำลังจับจ้องมาที่พวกเย่หยวน
คนแก่พูดกระซิบขึ้น “หึ ไอ้เด็กคนนี้มันมีความสามารถจริงๆ ถึงขั้นสามารถมองเพลิงโลกันตร์ออกได้ หากไม่ใช่เพราะมันพวกเราศิษย์อาจารย์ก็คงต้องตายลงในที่แห่งนี้แล้ว”
ชายหนุ่มตอบกลับมา “อาจารย์ ข้ารู้สึกมาตลอดเลยว่าเย่หยวนคนนี้มันมีอะไรแปลกๆ”
คนทั้งสองนี้ย่อมเป็นสองศิษย์อาจารย์จี้ฉุนและซัวหานแน่แล้ว
เมื่อคนทั้งสองเห็นว่าเย่หยวนได้เข้ามายังประตูวิหคชาดพวกเขาก็ตัดสินใจแอบลอบตามเข้ามาด้วย
เพราะเรื่องในครั้งก่อนมันทำให้จี้ฉุนไม่พอใจเป็นอย่างมาก
ตั้งแต่ที่เข้าเทือกเขาอาทิตย์ศักดิ์สิทธิ์มาเขาก็พยายามที่จะหาโอกาสสังหารเย่หยวนทิ้งเสมอมา
เมื่อได้เห็นว่ากู่เทียนเฉเข้าประตูเต่าดำไปจี้ฉุนก็ได้รับรู้ว่านี่คือโอกาสจึงตามติดพวกเย่หยวนเข้ามาในประตูวิหคชาดนี้
เดิมทีพวกเขาทั้งหลายนั้นคิดจะลงมือในทันทีแต่เมื่อได้เห็นเย่หยวนสั่งให้เล้งชิวหลิงเดินปราณเทวะด้วยวรยุทธบ่มเพาะของนาง มันจึงทำให้จี้ฉุนรู้สึกแปลกๆ และหยุดยั้งมือเอาไว้เสียก่อน
พวกเขาทั้งสองนี้เดินตามกลุ่มคนมาเมื่อพวกเขาได้เห็นว่ามีคนถูกเพลิงโลกันตร์เผาตายพวกจี้ฉุนก็ได้เข้าใจในทันที
ได้ยินคำของซัวหาน จี้ฉุนก็ยิ้มออกมา “ที่เจ้าว่ามามันก็ใช่ เด็กคนนี้มันแตกต่างจากผู้คนมากจริงๆ ตอนนี้อย่าเพิ่งรีบลงมือ ข้ารู้สึกว่าหากเราตามติดมันไปแล้วเราอาจจะได้ผลประโยชน์ที่ไม่อาจคาดคิด”
แต่เมื่อเห็นสีหน้าไม่ค่อยพอใจของซัวหานจี้ฉุนก็พูดขึ้นต่อ “หานเอ๋อ เจ้าวางใจได้ความแค้นของเจ้าอาจารย์ย่อมจะสะสาง! เมื่อใดที่เราได้เลือดแท้วิหคชาดมาแล้วเย่หยวนย่อมต้องตายลงแน่!”
เวลาค่อยๆ เคลื่อนผ่านไป เหล่าผู้คนทั้งหลายเดินหาในทะเลทรายกว้างนี้มากว่าครึ่งเดือนแล้วแต่กลับไม่พบเจอแม้แต่ร่องรอยของสมบัติใดๆ
นั่นทำให้คนทั้งหลายยิ่งรู้สึกหงุดหงิดใจ หลายคนหมดความอดทนจนถูกเพลิงโลกันตร์มอดไหม้ตายไปก็มี
“ที่แห่งนี้มันมีเลือดแท้วิหคชาดจริงหรือไม่! พระเจ้าช่วย ไม่ได้สิ ข้าจะโกรธไม่ได้ ต้องสงบจิตไว้! ใจเย็นเข้าไว้!”
ท่าทางราวกับเล่นตลกของคนผู้นี้ทำให้เกิดเสียงหัวเราะขึ้นมาจากรอบข้าง
แต่ไม่นานเสียงหัวเราะก็ต้องเงียบตามๆ กันไป
เพราะการหัวเราะเองก็มิใช่ความสงบ
จู่ๆ ก็มีคนหนึ่งพูดขึ้นมาพร้อมชี้ออกไปไกล “พวกเจ้าดูนั่น! นั่นมันคืออะไรกัน?”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น