Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1852-1859

 ตอนที่ 1852 เกือบพลาดครั้งใหญ่ไปแล้ว

 

ทุกคนหันหน้าขวับมามองพร้อมๆ กัน!


ยอดอัจฉริยะไร้เปรียบของตระกูลเล้ง ศิษย์แห่งคฤหาสน์พันทะยาน เล้งชิวหลิงกลับพูดจาขึ้นมาขัดพ่อของตัวเองไว้?


การเปลี่ยนแปลงนี้มันกะทันหันจนเกินรับ


“ชิวหลิง เจ้าว่าอย่างไรนะ?” เล้งหงซิ่วเองก็ตื่นตกใจจนต้องถามขึ้นมาย้ำอีกครั้ง


เขารู้ดีว่าลูกสาวของเขานั้นเป็นคนว่านอนสอนง่าย ไม่มีทางใดที่จะขัดขืนคำสั่งของเขาอย่างไร้เหตุผลแน่


นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?


เล้งชิวหลิงกล่าวขึ้นมา “เรื่องใดที่ผิดที่ถูก ทุกคนเองก็น่าจะรู้กันอยู่แก่ใจแล้ว สิ่งที่พี่เล้งห่าวทำนั้นมันไม่เหมาะสมกับตำแหน่งนายน้อยผู้สืบทอดตระกูลจริงๆ ท่านพ่อ ข้าขอเสนอว่าให้พี่เล้งซู่เขาอยู่ในตำแหน่งผู้สืบทอดต่อไปเถอะ”


ความเงียบงันเข้าปกคลุมอีกครั้ง!


ไม่มีใครคาดคิดว่าเล้งชิวหลิงจะกลับกล้าพูดเช่นนี้ออกมาต่อหน้าทุกผู้คน


ตอนนี้แม้แต่เล้งซู่เองก็ตกตะลึงอย่างมาก


เล้งชิวหลิงนั้นเข้าคฤหาสน์พันทะยานไปตั้งแต่ยังตัวเล็กๆ เขาย่อมไม่ค่อยได้พูดคุยพบปะกับนางมากนัก แน่นอนว่าสายสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองมันย่อมไม่ได้สนิทกันใดๆ


แต่ทำไมนางถึงได้ลุกขึ้นมาพูดปกป้องเขาเช่นนี้?


ส่วนด้านเล้งห่าวที่ได้ยินคำพูดของเล้งชิวหลิงนั้นก็ต้องเบิกตากว้างออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ


เพราะแม้จะเป็นฝัน เขาก็ไม่เคยคิดเคยฝันว่าเล้งชิวหลิงจะกล้าพูดอะไรเช่นนี้ออกมาในเวลาอย่างนี้!


ในสายตาของเขาแล้ว คนที่จะไม่ทรยศเขามากที่สุดมันย่อมเป็นพ่อลูกเล้งหงซิ่ว


แต่เล้งชิวหลิงกลับเป็นคนที่ลุกขึ้นมาพูดปิดฉากชีวิตของเขา!


แม้ว่าเล้งชิวหลิงจะเป็นแค่เด็กรุ่นใหม่ของตระกูลเหมือนๆ กับเขา แต่สถานะของนางนั้นมันเหนือล้ำกว่าที่จะเทียบเคียงกันได้


นางนั้นมิใช่แค่ความภาคภูมิใจของตระกูลเล้ง แต่นางนั้นคือความภาคภูมิใจของเมืองหลวงจักรพรรดิพันทะยานทั้งหมดทั้งสิ้น


เล้งชิวหลิงนั้นปกติแล้วย่อมไม่คิดจะมาสนใจเรื่องราวเล็กๆ ในตระกูลเล้ง สายตาและขอบเขตความคิดของนางนั้นมันเหนือล้ำกว่าเรื่องราวในระดับตระกูลเล้งไปแล้ว


แต่วันนี้นางกลับพูดขึ้น!


คำพูดของเล้งชิวหลิงนั้นมันหนักหนาสาหัสมีน้ำหนักมากกว่าเอาคำพูดของเหล่าผู้เฒ่าผู้อาวุโสทั้งหลายมารวมกันเสียอีก!


เล้งหงซิ่วได้แต่ขมวดคิ้วแน่นเมื่อนึกถึงสภาพของลูกสาวในตอนนั้นเขาก็เริ่มเข้าใจขึ้นมาได้ทันที


เย่หยวนคนนี้คงเป็นเย่หยวนคนนั้น!


เว้นเสียแต่ว่าเขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเด็กเย่หยวนคนนี้มีเบื้องหลังที่ใหญ่โตด้วย?


เพราะไม่เช่นนั้นมีหรือที่ลูกสาวของเขาจะทำการไม่ไว้หน้าพ่อต่อหน้าผู้คนเช่นนี้?


“ในเมืองหลิงเอ๋อว่าเช่นนั้น…” ในที่สุดเล้งหงซิ่วก็ยอมรับคำของลูกสาวและกำลังคิดจะประกาศผลออกมา


ตอนนี้ใบหน้าของเล้งห่าวนั้นซีดเผือดอย่างถึงที่สุด ความพยายามหลายต่อหลายปีของเขากลับไม่อาจเทียบคำพูดเดียวของเล้งชิวหลิงได้!


เขาไม่อยากยอมรับมัน!


“เดี๋ยวก่อน!” แต่เวลานั้นเองที่เล้งซู่กลับพูดขึ้นมาขัด


เล้งหงซิ่วขมวดคิ้วแน่นแต่ก็ยังปล่อยเล้งซู่กล่าวออกไป “พี่เล้งห่าว ข้าเคยบอกท่านไปแล้วว่าตำแหน่งนายน้อยใดๆ นี้ข้าไม่เคยคิดสนใจมัน! สิ่งที่ข้าให้ความสำคัญมากที่สุดคือครอบครัวและสหาย! น่าเสียดายที่ท่านพี่ของข้าที่ข้านับถือเหมือนเป็นพี่น้องท้องเดียวกันนั้นกลับทิ้งตัวห่างจากข้าไปเรื่อยๆ วันนี้ข้าไม่ได้มาสู้กับท่านเพื่อแย่งตำแหน่งนายน้อยใดๆ ข้าแค่จะมาเพื่อบอกทุกคนว่าข้าเล้งซู่ ไม่เคยคิดที่จะอยากได้ตำแหน่งนายน้อยผู้สืบทอดตระกูลนี้เลย จากวันนี้ไป ข้าเล้งซู่ขอสละตำแหน่งนายน้อยแห่งตระกูลเล้ง!”


เรื่องนี้มันทำให้ทุกคนมึนงงอย่างมาก


เมื่อทุกคนคิดไปแล้วว่าผลลัพธ์เรื่องใครจะเป็นนายน้อยมันได้เปลี่ยนไปเพราะคำพูดของเล้งชิวหลิง แต่จู่ๆ ตัวเล้งซู่กลับลุกขึ้นมาบอกว่าตัวเองจะสละตำแหน่งเสียอย่างนั้น


เย่หยวนมองดูภาพตรงหน้านี้ด้วยรอยยิ้ม


เขารู้ดีว่าคนที่กล้าทำอย่างเล้งซู่นี้มันมีไม่มาก


เพราะอย่างไรเสียการได้เป็นนายน้อยของตระกูลใหญ่มันก็เท่ากับว่าจะได้ทรัพยากรต่างๆ มากมาย เรื่องนี้คงไม่มีใครจะรู้ดีไปกว่าเล้งซู่แล้ว


แต่เขานั้นกลับปฏิเสธมัน โดยไม่คิดจะขัดขืนแย่งชิงใดๆ


ในสายตาของเย่หยวนแล้วไม่ว่าจะเป็นทรัพยากรการบ่มเพาะใดๆ มันก็ย่อมไม่สำคัญเท่าเส้นทางที่คนใช้เดินด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะมีทรัพยากรมากมายแค่ไหน มันก็ไม่มีทางเลยที่จะสำคัญเท่าเส้นทางชีวิตของคน


พลังที่แท้จริงคือพลังของตน!


เว้นเสียแต่ว่าเรื่องเช่นนี้มันมีคนเข้าใจแค่ไม่กี่คน


เล้งชิวหลิงเองก็เบิกตากว้างเช่นกัน ดูท่าแล้วนางคงตื่นตะลึงในการกระทำของเล้งซู่ไม่น้อย


สายตาของนางนั้นมันมองข้ามคำว่าตระกูลเล้งไปนานแสนนานแล้ว


ที่นางลุกขึ้นมาพูดเช่นนี้ทั้งหมดนั้นมันก็เพราะว่าเห็นแก่หน้าเย่หยวนเท่านั้น


นางไม่คิดไม่ฝันว่าแท้จริงแล้วเล้งซู่จะไม่ได้สนใจตำแหน่งนายน้อยนี้แม้สักนิด


จู่ๆ เล้งชิวหลิงก็รู้สึกขำขึ้นมาในใจ คนแบบเดียวกันมันย่อมดึงดูดกันเสมอ


หากเป็นเย่หยวน เขาก็คงทำเช่นนี้เหมือนกันใช่ไหม?


แม้ว่านางจะไม่ได้รู้จักเย่หยวนมากมาย แต่นางก็พอรู้สึกได้ว่าเขาเองก็เป็นคนที่หัวรั้นไม่ยอมใคร เป็นอิสระไม่ชอบการผูกมัด


ไม่ว่าจะเป็นฐานะยิ่งใหญ่ใดๆ ก็ไม่อาจรั้งคนเช่นนี้ไว้ได้


หลังจากเงียบกันไปพักใหญ่ ในที่สุดเล้งหงซิ่วก็พยักหน้าออกมา “ช่างเถอะ แยกย้ายกันได้ ตำแหน่งนายน้อยนั้นเราค่อยมาคุยกันในวันหลัง!”


เมื่อผู้นำตระกูลบอกกล่าวเช่นนั้นทุกคนต่างก็แยกย้ายกันไป เหลือเพียงเล้งห่าวที่นั่งเหม่ออยู่ตรงนั้น


คำพูดสุดท้ายของเล้งซู่มันทำให้ทั้งร่างของเขาต้องสั่นสะท้าน


กลายเป็นว่าคนที่ทำให้เรื่องง่ายกลายเป็นยากนั้นมันคือตัวเขาเอง


กลายเป็นว่าตำแหน่งนายน้อยของตระกูลนั้นสามารถตกมาอยู่กับเขาได้อย่างง่ายดาย แต่ตอนนี้มันกลับกลายเป็นความว่างเปล่า


กลายเป็นว่าเล้งซู่นั้นไม่ได้สนใจตำแหน่งนายน้อยใดๆ ทั้งสิ้นจริงๆ!


กลายเป็นว่าความพยายามทั้งหลายของเขานั้นเป็นได้แค่เรื่องตลก!



“ท่านพ่อจะถามข้าเรื่องที่ว่าทำไมข้าถึงได้ห้ามไม่ให้ท่านจัดการกับเย่หยวนใช่หรือไม่?” เล้งชิวหลิงย่อมมองความไม่พอใจของพ่อตนออกและเริ่มพูดเปิดบทสนทนาทันที


เล้งหงซิ่วนั้นไม่ว่าจะอย่างไรก็เป็นถึงผู้นำตระกูล เมื่อถูกลูกสาวแท้ๆ ของตนมาทำเช่นนี้ใส่เขาจึงอับอายจนแทบไม่มีหน้าจะไปไว้ที่ไหนอีกแล้ว!


แต่กับเล้งชิวหลิง เล้งหงซิ่วย่อมมีความอดทนอดกลั้นสูงมากเขาจึงตอบกลับไปด้วยใบหน้าเครียดๆ “เด็กที่ชื่อเย่หยวนนี้เจ้ารู้จัก?”


เล้งชิวหลิงพยักหน้ารับ


“เจ้าเด็กคนนี้มันมีที่มาอย่างไร? ถึงขั้นทำให้เจ้าต้องลุกขึ้นมาปกป้องเช่นนี้ได้!”


เล้งชิวหลิงนั้นเล่าเรื่องราวที่นางได้พบเจอบนเขาแห่งถงเทียนในคราวนั้นออกมาทำให้ใบหน้าของเล้งหงซิ่วขาวซีดลงทันที


“เจ้าหมายความว่า… เด็กคนนี้อาจจะเป็นอัจฉริยะภายใต้การดูแลของจักรพรรดิเทพสวรรค์?” เล้งหงซิ่วถามขึ้นอย่างตื่นตกใจ


เล้งชิวหลิงส่ายหัว “ข้าเองก็ไม่แน่ใจ แต่พลังฝีมือของเฒ่าขี้เมาคนนั้นท่านพ่อน่าจะเคยได้ยินมาบ้างใช่ไหม? แต่เขากลับลุกขึ้นมาปกป้องเด็กหนุ่มที่ยังไม่บรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้าเสียด้วยซ้ำ มันจะไม่น่าสงสัยเกินไปหรือ? ที่สำคัญร่างกายของเขายังมีแต่ความลับเก็บซ่อนเต็มไปหมด มันมากจนทำให้ผู้คนไม่อาจประเมินเขาได้ คนเช่นนี้ไม่ว่าอย่างไรเราก็ไม่ควรไปทำการลบหลู่ท้าทายเขา!”


ยิ่งเล้งหงซิ่วได้ยินเขายิ่งตื่นตกใจมากขึ้น การทำให้ลูกสาวของเขาพูดออกมาได้ขนาดนี้มันย่อมหมายความว่าเด็กคนนี้ไม่ธรรมดามากจริงๆ


มีหรือที่อัจฉริยะทั่วๆ ไปจะสำเร็จวิชาเคลื่อนย้ายมิติได้?


ยิ่งเขาคิด มันก็ยิ่งทำให้เล้งหงซิ่วตื่นตระหนก หากเย่หยวนมาจากการดูแลของจักรพรรดิเทพสวรรค์จริงๆ หรือบางทีอาจจะอยู่ใต้การดูแลของเต๋าบรรพกาล ผลที่ตามมาหากไปลงมือทำอะไรเข้ามันคงเหนือล้ำเกินคาดเดาได้!


“นี่มัน… ทำไมเจ้าไม่บอกพ่อให้เร็วกว่านี้?! พ่อเกือบพลาดครั้งใหญ่ไปแล้ว!” เล้งหงซิ่วบอก


เล้งชิวหลิงจึงตอบกลับมา “ข้าเองก็ไม่รู้มาก่อนเหมือนกันว่ามันเป็นเขา จริงๆ แล้วข้าก็ไม่นึกไม่ฝันด้วยว่าเวลาแค่ไม่กี่ร้อยปีเย่หยวนเขาจะบ่มเพาะได้ถึงขั้นนี้! เพราะตอนที่ข้าเจอเขาบนเขาแห่งถงเทียนนั้นเขายังไม่ทันบรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้าเสียด้วยซ้ำ!”


ตอนนั้นเล้งชิวหลิงได้พบเจอเย่หยวนตอนที่เขายังติดอยู่บนยอดของอาณาจักรบรรพชนพระเจ้า


ด้วยความเร็วการบ่มเพาะของเล้งชิวหลิง นางย่อมสามารถทิ้งห่างจากคนธรรมดาทั่วไปได้หลายช่วงตัว


แต่เย่หยวนคนนี้กลับสามารถร่นระยะห่างนั้นมาได้จนเหลือแค่ไม่มากด้วยเวลาแค่ไม่กี่ร้อยปี


นภาสวรรค์ห้าดาวและนภาสวรรค์สองดาวนั้นมันฟังดูแตกต่างกันอย่างมากเมื่อคนทั่วๆ ไปได้ยิน


แต่สำหรับเย่หยวนแล้วมันคงไม่มีคำว่าทั่วไป


เพราะเย่หยวนนั้นสามารถเตะเล้งห่าวที่มีพลังบ่มเพาะอาณาจักรนภาสวรรค์สี่ดาวจนปลิวได้ด้วยกระบวนท่าเดียวบนสังเวียนนั้น!

 

 

 


ตอนที่ 1853 ท้าประลอง

 

“ไม่นึกเลยว่าน้องชิวหลิงจะกลับมาพูดเข้าข้างเราในวินาทีสุดท้ายเช่นนั้น เมื่อสักครู่นี้ข้าล่ะกังวลใจหนักจริงๆ เรื่องใดๆ จะเกิดกับข้ามันไม่สำคัญ แต่หากมันจะลากเจ้าเข้ามาข้องเกี่ยวด้วยชาตินี้ข้าคงไม่อาจให้อภัยตัวเองได้”


เมื่อกลับมาจากสวนกลางเล้งซู่ก็เริ่มบ่นออกมาถึงความกังวลเมื่อสักครู่นี้


ตอนที่เขายืนอยู่บนสังเวียนในเวลานั้นมันเป็นช่วงที่เขารู้สึกราวกับว่าชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายจริงๆ


ต่อให้เย่หยวนจะรู้วิชาเคลื่อนย้ายมิติแต่การจะหนีจากเทพถ่องแท้นั้นมันก็คงมิใช่เรื่องง่ายดายเลย


เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “พวกเขาไม่ทำอะไรข้าหรอก”


เมื่อเห็นท่าทางสบายๆ ของเย่หยวนเช่นนั้นเล้งซู่ก็ได้แต่ถอนหายใจ “เจ้านี่มันบ้าบิ่นจริงๆ! ท่านลุงนั้นเป็นถึงเทพถ่องแท้! แต่จะว่าไปมันก็แปลก ความสัมพันธ์ของข้ากับน้องชิวหลิงนั้นมันก็ไม่ได้นับว่าสนิทใดๆ กัน ไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมนางถึงได้ลุกขึ้นมาพูดขัดพ่อของตนต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนั้น?”


ระหว่างที่ทั้งสองพูดคุยกันไปก็มีคนใช้เข้ามารายงานว่าเล้งชิวหลิงเดินทางมาเพื่อขอพบ เรื่องนี้ทำให้เล้งซู่สั่นสะท้านขึ้นอีกครั้ง


เล้งชิวหลิงนั้นเดินเข้ามาภายในที่พักด้วยท่าทางสบายๆ เต็มเปี่ยมไปด้วยความสง่าทั้งแต่หัวจรดเท้า


ไม่ได้เจอกันมาหลายร้อยปีนี้เล้งชิวหลิงได้เปลี่ยนแปลงตัวเองไปอย่างมากมาย


มันมิใช่เพียงแค่พลังฝีมือการบ่มเพาะเท่านั้นที่เพิ่มพูน แต่รวมไปถึงสีหน้าท่าทางของนางด้วยที่เปลี่ยนแปลง


เล้งชิวหลิงในตอนนั้นยังเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง


แต่ตอนนี้นางได้แสดงสีหน้าท่าทางเหมือนผู้เป็นใหญ่อย่างแท้จริง


เรื่องนี้มันแสดงออกมาไม่น้อยแล้วตั้งแต่ตอนที่กำลังประลองชิงตำแหน่งนายน้อยกัน


เพราะคำพูดสั้นๆ ของนางนั้นกลับไม่มีใครกล้าขัดมัน


เมื่อเล้งซู่เห็นเล้งชิวหลิงเขาก็รีบลุกขึ้นกล่าวทักทายทันที “ขอบคุณน้องชิวหลิงมากที่ช่วยเราออกมาในยามคับขัน ไม่เช่นนั้นตัวข้าและเย่หยวนคงต้องพบเจอความลำบากแน่นอน”


แม้ว่าเขาจะไม่ทราบว่าทำไมเล้งชิวหลิงถึงได้ลุกขึ้นมาพูดปกป้องแต่แน่นอนว่าคำขอบคุณมันต้องมาก่อน


เพราะแม้มันจะเป็นแค่คำพูดสั้นๆ ของเล้งชิวหลิง แต่สำหรับเขาแล้วมันเป็นการช่วยชีวิต


เมื่อได้รับคำขอบคุณของเล้งซู่ เล้งชิวหลิงก็กลับกล่าวขึ้นด้วยท่าทางไม่คิดสนใจ “พี่ซู่ไม่ต้องคิดมากไปหรอก ข้าแค่พูดออกมาเพื่อปกป้องความยุติธรรมเท่านั้น”


แต่ตอนนี้สายตาของนางนั้นเหลือบไปมองดูที่เย่หยวนด้านหลังเล้งซู่ก่อนแล้ว


เล้งซู่สัมผัสได้ถึงสายตานั้นของเล้งชิวหลิงจนต้องผงะ ก่อนที่ตัวเขาเองก็จะหันหน้ากลับไปหาเย่หยวนด้วยเช่นกัน


เย่หยวนยิ้มออกมาน้อยๆ ก่อนจะทักทาย “ไม่ได้เจอกันนานปี แม่นางเล้งกลับดูสง่างามขึ้นกว่าแต่ก่อนมากมาย!”


เล้งชิวหลิงเองก็ยิ้มตอบกลับไป “บัณฑิตไม่ได้พบพานกันสามวันย่อมกลับมาพบกันด้วยความรู้ใหม่ๆ วันนี้คุณชายเย่ได้เปิดหูเปิดตาข้าจริงๆ! วันนี้ข้าอยากจะขอโทษเรื่องที่เคยว่ากล่าวคุณชายเย่ไปเมื่อคราวก่อนหน้านั้น”


เย่หยวนยิ้มตอบ “เรื่องทั้งหมดมันแล้วไปแล้ว จะพูดถึงมันทำไมอีก? วันนี้เย่ผู้นี้ต่างหากที่ต้องขอบคุณแม่นางเล้งที่ช่วยแก้ไขปัญหาให้!”


เล้งชิวหลิงส่ายหัวออกมา “ต่อให้ข้าไม่ต้องช่วยเหลือว่ากล่าวใดๆ คุณชายเย่ก็น่าจะมีวิธีทางรับมือเอาตัวรอดของตนอยู่แล้ว”


แม้ว่านางนั้นจะไม่ทราบว่าเย่หยวนจะใช้วิธีการใด แต่หากพ่อของนางคิดอยากจับตัวเย่หยวนไว้มันคงมิใช่เรื่องง่ายอย่างแน่นอน


เย่หยวนนั้นไม่ได้เป็นคนบ้าบิ่นมากมาย เมื่อเขากล้าจะเข้ามายุ่งกับเรื่องตระกูลเล้ง เขาย่อมมีวิธีทางที่จะหลบหลีกเอาตัวรอดได้


เย่หยวนหัวเราะออกมา “แม้ว่าข้าจะเคยได้พบกับแม่นางเล้งแค่ครั้งเดียวแต่ดูแม่นางเล้งจะมองเย่คนนี้เหมือนเป็นสหายเก่าแก่ รู้จักหน้าหลังข้าเป็นอย่างดี แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นเย่คนนี้ก็ยังต้องขอขอบคุณท่าน”


ที่ด้านข้างเล้งซู่นั้นได้แต่ยืนฟังอย่างมึนงง


ที่แท้แล้วเล้งชิวหลิงและเย่หยวนนั้นเป็นคนรู้จักกันมาก่อน


เพียงแค่ว่าเขานั้นสงสัยมาก ฟังจากที่ทั้งสองพูดนั้นมันเป็นคำที่ฟังดูเหมือนจะสนิทสนมกัน แต่มันกลับให้ความรู้สึกห่างเหินไปด้วยพร้อมๆ กันในคราเดียว


เหมือนว่าพวกเขาทั้งสองนั้นจะได้เคยเจอกันแค่ครั้งเดียว


แต่การพบกันแค่ครั้งเดียวนี้มันจะทำให้เล้งชิวหลิงทำตัวไม่เหมือนปกติและถึงขั้นพูดจาขัดพ่อของตนเลยหรือ?


ที่สำคัญตอนนี้เล้งชิวหลิงยังยิ้มออกมาด้วย!


นางยิ้มให้แก่เย่หยวน!


ในความทรงจำของเล้งซู่ เล้งชิวหลิงไม่เคยจะยิ้มออกมาให้แก่ชายใด


เรื่องนี้มันทำให้เล้งซู่สั่นสะท้านอย่างบอกไม่ถูก


“เช่นนั้นคำขอบคุณของคุณชายเย่นั้นข้าชิวหลิงจะรับมันไว้ แต่ชิวหลิงคนนี้มีเรื่องอยากจะขอสักหน่อยไม่ทราบว่าคุณชายเย่จะพอรับฟังมันได้หรือไม่?” เล้งชิวหลิงถามขึ้น


เย่หยวนพยักหน้ากลับมาด้วยรอยยิ้ม “คำขอของแม่นางเล้งแล้วมีหรือที่เย่คนนี้จะกล้าปฏิเสธ?”


เล้งชิวหลิงหรี่ตาลงทันทีที่ได้ยินและบอก “ชิวหลิงคิดอยากประลองฝีมือกับคุณชาย หวังว่าคุณชายจะยอมรับมัน”


ได้ยินเช่นนั้นทั้งเย่หยวนและเล้งซู่ก็ผงะไปทันที


เล้งซู่นั้นตื่นตกใจอย่างมากเพราะเล้งชิวหลิงที่เป็นยอดอัจฉริยะของคฤหาสน์พันทะยานนั้นไม่เคยจะพบเจอคนรุ่นเดียวกันที่เป็นคู่มือของนางได้เลย


คู่มือของนางนั้นล้วนแล้วแต่เป็นเหล่าศิษย์พี่ในคฤหาสน์พันทะยานทั้งสิ้น แน่นอนว่าพวกเขาทั้งหลายย่อมมีพลังบ่มเพาะที่เหนือล้ำกว่านาง


แต่ตอนนี้นางกลับคิดจะท้าทายนภาสวรรค์สองดาวสู้


แน่นอนว่าพลังฝีมือของเย่หยวนนั้นเล้งซู่เองก็ชื่นชมมันอย่างมาก


อย่างน้อยๆ เขาก็ไม่อาจเทียบเคียงได้


แต่การจะปะทะเล้งชิวหลิงนั้นมันน่าจะยังไม่เพียงพอ


เย่หยวนยิ้มขึ้น “ย่อมได้!”



“น้ำแข็งคำราม!”


“มังกรน้ำแข็งฟ้าหวน!”


“ดาบวิญญาณลับ!”


บนสังเวียนนั้นร่างสองร่างกำลังเข้าปะทะกันอย่างไม่มีทีท่าจะหยุดพัก จนตอนนี้มันก็ยังยากที่จะแยกแยะว่าใครกันแน่ที่เป็นฝ่ายอยู่เหนือกว่า


เย่หยวนนั้นพึ่งพาการผสานแนวคิดทำให้สามารถดึงตัวเองขึ้นมาปะทะกับเล้งชิวหลิงได้อย่างสูสี


ที่ด้านล่างสังเวียนเล้งซู่ได้แต่มองภาพนี้อย่างตกตะลึงจนไม่อาจหุบปากที่อ้าค้างได้


“ที่แท้เย่หยวนกลับมีฝีมือที่เหนือล้ำถึงขั้นนี้! ตอนที่เขาฝึกอยู่กับข้าเขาใช้พลังไปแค่ไม่ถึงหนึ่งในสิบเสียด้วยซ้ำ!” เล้งซู่บ่นออกมา


การที่เขาจะสามารถบรรลุแนวคิดขึ้นมาได้ด้วยเวลาแค่สิบวันนั้นมันย่อมต้องขอบคุณการฝึกดาบของตัวเขากับเย่หยวนทั้งสิ้น


ตอนนั้นเล้งซู่รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเย่หยวนนั้นเก่งกาจ แต่ไม่นึกไม่ฝันว่าเขาจะเก่งกาจจนเทียบเคียงกับเล้งชิวหลิงได้อย่างนี้


แม้ว่าเย่หยวนจะยังเสียเปรียบไปบ้าง แต่สุดท้ายเขาก็ยังเป็นแค่นภาสวรรค์สองดาว!


ยอดฝีมืออย่างเล้งชิวหลิงนั้นกลับถูกใครคนอื่นข้ามดาวขึ้นมาต่อสู้ได้


ที่ด้านข้างเล้งหงซิ่วเองก็ตื่นตกใจอย่างมากเช่นกัน


ตำแหน่งของลูกสาวเขาในคฤหาสน์พันทะยานนั้นสูงส่งแค่ไหนเขาย่อมรู้ดีราวกับเป็นเรื่องของตน


เดิมทีแล้วมันมีแต่ลูกสาวของเขาที่จะกระโดดข้ามดาวขึ้นไปสู้กับผู้คน นี่เป็นครั้งแรกเลยที่มีใครข้ามดาวขึ้นมาสู้กับลูกสาวของเขาได้


ได้เห็นเช่นนี้เขาก็ยิ่งมั่นใจในการคาดเดาของเล้งชิวหลิง


ฟุบ!


ฟุบ!


ร่างทั้งสองแยกห่างออกจากกัน


ตอนนี้หน้าผากงามๆ ของเล้งชิวหลิงกลับมีเหงื่อเม็ดใหญ่รินไหลลงมา


ส่วนเย่หยวนนั้นก็หอบหายใจออกมาอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน


การต่อสู้กับเล้งชิวหลิงในตอนนี้มันยังลำบากจนเกินไป


เล้งชิวหลิงนั้นยังคงใบหน้านิ่งสงบไว้ได้แต่ภายในของนางนั้นสั่นสะท้านอย่างที่ไม่อาจอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้


เพราะนี่คือครั้งแรกในชีวิตที่นางได้รู้จักคำว่าความพ่ายแพ้


เมื่อนึกถึงตอนที่นางได้พบเจอเย่หยวนในตอนนั้นนางได้กล่าวบอกว่าเย่หยวนและตัวนางนั้นอยู่กันคนละโลก


แต่เวลาไม่กี่ร้อยปีผ่านมานี้คำพูดนี้มันกลับเป็นได้แค่การผายลม


แม้ว่าเขาจะยังมีกำลังที่อ่อนแอกว่านาง แต่เย่หยวนก็ได้พัฒนาขึ้นมาถึงโลกของนางอย่างไม่ต้องสงสัยเลย


เรื่องนี้มันไม่อาจปฏิเสธได้!


ที่สำคัญหากความเร็วยังเป็นเช่นนี้ต่อไปไม่นานไม่ช้าเย่หยวนคงสามารถก้าวข้ามนางไปได้แน่


เรื่องเดียวที่มันยังคาใจของเล้งชิวหลิงอยู่ก็คือทำไมยอดคนมากพรสวรรค์ขนาดนี้จึงได้ไปติดอยู่ที่ยอดของอาณาจักรบรรพชนพระเจ้านานตั้งสามร้อยปี


ยิ่งพยายามคิดไปเท่าไหร่มันก็ยิ่งทำให้นางไม่เข้าใจมากเท่านั้น


“แม่นางเล้งนั้นสมและที่ได้รับฉายานามว่าเป็นยอดอัจฉริยะ เย่คนนี้ขอยอมแพ้!” เย่หยวนยกมือขึ้นคารวะ


เพราะการต่อสู้นี้เขาได้แพ้ลงจริงๆ


แต่ว่าเล้งชิวหลิงกลับส่ายหัวออกมา “คุณชายเย่นั้นยังไม่ได้เอาจริง มีหรือที่ท่านจะยังบอกว่าตัวเองแพ้ได้? หากมันเป็นศึกชี้เป็นชี้ตาย ใครจะชนะมันก็ยังไม่แน่นอน!”


เย่หยวนยิ้มออกมา “แม่นางเล้งเองก็เหมือนมิใช่หรือ? สุดท้ายแล้วมันก็เป็นเพราะข้ายังไม่แข็งแกร่งพอ”


เมื่อไม่ใช่ศึกที่เดิมพันด้วยชีวิต ย่อมไม่มีใครคิดที่จะใช้ทุกสิ่งที่มีออกมาทั้งหมด


เพราะท่าไม้ตายเช่นนั้นมันต้องใช้ออกมาในโอกาสเวลาที่ไม่เจ้าก็ข้าต้องตาย ไม่เช่นนั้นการจะหยุดยั้งเมื่อลงไปมือแล้วมันคงยาก

 

 

 


ตอนที่ 1854 พ่ายแพ้กลับไป

 

“ฮ่าๆ หนุ่มน้อยเย่หยวนนี้เป็นมังกรในหมู่คนจริงๆ เมื่อสักครู่ข้าได้ล่วงเกินเจ้าไป ถือว่าเห็นแก่หน้าชิวหลิงหวังว่าหนุ่มน้อยเย่หยวนจะไม่ว่ากล่าวโทษข้านะ”


เล้งหงซิ่วนั้นเปลี่ยนท่าทีจากหน้ามือเป็นหลังมือ ทำให้แม้แต่เล้งซู่ก็ต้องตกตะลึงไป


ก่อนหน้านี้ในงานประลองเพื่อตำแหน่งนายน้อยเล้งหงซิ่วนั้นแทบจะกัดฉีกร่างเย่หยวนเป็นชิ้นๆ


แต่ในเวลาแค่พริบตาเขากลับมาทำท่าทางอ่อนน้อม


ต่อให้เย่หยวนจะแสดงความสามารถใดๆ ออกมา แต่การที่จะทำให้เทพถ่องแท้มาขอโทษต่อหน้านักยุทธอาณาจักรนภาสวรรค์นั้นมันก็ยังคงทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงที่มากจนเกินไป


เย่หยวนย่อมเข้าใจได้และรู้ทันทีว่าตอนนี้ในหัวของเล้งหงซิ่วกำลังคิดเรื่องแบบไหนอยู่


แต่เมื่อคนหน้าด้านเข้ามาขอโทษ จะตอกสวนกลับไปมันก็คงไม่ดีนัก “ผู้นำเล้งจะถ่อมตัวเกินไปแล้ว เรื่องนี้เย่หยวนคนนี้เองก็มีส่วนที่ทำผิดพลาดไป หวังว่าผู้นำตระกูลเล้งท่านจะให้อภัยข้าในส่วนนั้น”


เล้งหงซิ่วนั้นรีบยกมือขึ้นมาโบกปัดทันที “ไม่เลยๆ หนุ่มน้อยเย่นั้นคงไม่รู้แต่ห่าวเอ๋อนั้นข้านับเขาเป็นลูกชายคนหนึ่ง ข้าจึงมองเขาแตกต่างจากคนอื่นไม่น้อย มันจึงทำให้เกิดความเข้าใจผิดนี้ขึ้นมา”


เย่หยวนยิ้ม “ผู้นำตระกูลเล้งท่านเองก็เป็นคนที่ให้ความสำคัญแก่ความสัมพันธ์ เย่หยวนย่อมเข้าใจจุดนี้ดี ในเมื่อเล้งซู่เขาเองก็ไม่ได้สนใจตำแหน่งนายน้อยนัก ทำไมท่านผู้นำตระกูลเล้งไม่ยกตำแหน่งนายน้อยให้เล้งห่าวไปเสียล่ะ?”


เล้งหงซิ่วหน้าเสียทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น ได้แต่คิดว่าเด็กคนนี้ช่างเฉียบคม


การพูดเช่นนี้มันทำขึ้นเพื่อชิงความได้เปรียบ ทำให้เขาต้องยืนยันสถานะของตัว!


“หึๆ หนุ่มน้อยคงพูดเล่นแล้ว เล้งห่าวนั้นทำเรื่องผิดพลาดมหันต์ ข้ากำลังคิดจะสั่งคนไปจับเขาเข้าขังคุกเสียหน่อยเพื่อเป็นตัวอย่างแก่คนอื่น มีหรือที่ข้าจะยังปล่อยให้เขากลับมารับตำแหน่งนายน้อยได้?” เล้งหงซิ่วยิ้มตอบ


เล้งซู่นั้นได้แต่ยืนนิ่งดูภาพตรงหน้านี้ เพราะท่าทางของเล้งหงซิ่วมันเปลี่ยนไปจนเหลือเชื่อ


มันทำให้เขารู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังหลอน เหมือนได้เห็นภาพของเล้งหงซิ่วกำลังก้มหัวลงน้อยๆ


แท้จริงแล้วแม้เล้งหงซิ่วจะเป็นถึงเทพถ่องแท้แต่เขาก็มิใช่คนที่คิดการใหญ่หรือจิตใจโหดเหี้ยมพอจะสังหารใครลงในทันที


กลับกัน เขานั้นเป็นคนจิตใจอ่อนแอ ไม่เช่นนั้นคนไม่โดนเด็กน้อยอย่างเล้งห่าวมาจูงจมูกได้ง่ายๆ เช่นนั้น


เหตุผลเดียวที่เขาได้รับตำแหน่งผู้นำตระกูลมาก็เพราะว่าเล้งชิวหลิงเพียงเท่านั้น


ด้วยลูกสาวที่กลายเป็นยอดอัจฉริยะของคฤหาสน์พันทะยาน แน่นอนว่าคนตระกูลเล้งย่อมต้องไว้หน้าเขาอย่างมาก


แต่ในด้านนิสัยแล้วเขาเป็นคนที่ขาดตกบกพร่องไม่สมควรขึ้นมาเป็นผู้นำตระกูลอย่างถึงที่สุด


เมื่อคิดได้ว่าเย่หยวนอาจจะมีเบื้องหลังอย่างไร เล้งหงซิ่วจึงรีบโยนท่าทางหยิ่งผยองของเทพถ่องแท้ไปในทันที


แต่เรื่องนี้จะไปโทษเขาทั้งหมดมันก็คงไม่ได้เพราะเขาแห่งถงเทียนนั้นคือใจกลางของมหาพิภพถงเทียน


กลุ่มคนใดๆ ที่ดูแลทางขึ้นเขาแห่งถงเทียนนั้นย่อมเป็นยอดกองกำลังของมหาพิภพถงเทียนนี้ทั้งสิ้น


อย่าว่าแต่ตระกูลเล้ง แม้จะเป็นเมืองหลวงจักรพรรดิทั้งหมดก็ไม่อาจไปลบหลู่พวกเขาเหล่านั้นได้


และความสามารถที่เย่หยวนแสดงออกมามันยิ่งทำให้เขามั่นใจในความคิดนี้


ตอนนี้มิใช่แค่ตัวเขาเท่านั้น แม้แต่เล้งชิวหลิงเองก็เชื่อไปอย่างไม่ต่างจากพ่อมากนัก


แต่เรื่องราวนี้เมื่อมันไปอยู่ในสายตาของเล้งซู่มันกลับไม่เป็นเช่นนั้น


“หึๆ หนุ่มน้อยเย่อย่างได้กังวลไป ตอนนี้อยู่ที่บ้านตระกูลเล้งข้าไปก่อนเถอะ เจ้าและเล้งซู่นั้นเป็นสหายกัน ข้าว่าเจ้าน่าจะอยู่ได้อย่างสุขสบายใจ ตอนนี้ข้ายังมีเรื่องอื่นต้องไปจัดการอีกมาก คงอยู่คุยด้วยต่อไม่ได้แล้ว” เล้งหงซิ่วยิ้มบอก


เย่หยวนพยักหน้ารับ “เชิญท่านผู้นำตระกูล”



ในเวลานั้นหานดงจุนก็ได้กลับไปคุกเข่าต่อหน้าผู้นำตระกูลหานด้วยน้ำตานองหน้า


“ท่านผู้นำ ท่านต้องช่วยดงจุนนะ! ข้านั้นมีลูกชายแค่คนเดียวนี้ ตอนนี้เขากลับถูกฆ่าสังหารลงและเจ้าเล้งหงซิ่วนั้นมันก็ช่างหยาบคายไม่มีท่าทางเคารพใดๆ ต่อท่านเลย!”


หานเทียนหยู่ขมวดคิ้วแน่น เขานั้นไม่เป็นคนจิตใจอ่อนแอเหมือนเล้งหงซิ่ว จะได้ถูกคำของหานดงจุนชี้นำได้ง่ายๆ


กำลังของตระกูลหานที่เหนือล้ำกว่าตระกูลเล้งนั้นมันย่อมมีที่มาจากตัวเขา ผู้นำตระกูลคนนี้


หลังกลั้นขำไปได้สักพัก หานเทียนหยู่ก็กล่าวขึ้น “ไป เราไปรับตัวคนกัน!”


หานดงจุนนั้นไม่ได้มีพรสวรรค์ในด้านการบ่มเพาะมากมายนัก การที่จะขึ้นอาณาจักรเทพถ่องแท้มันคงเป็นเรื่องยากเกินตัวสำหรับเขา


แต่ความสามารถในการจัดการของเขานั้นสูงส่ง เรื่องราวธุรกิจต่างๆ ของตระกูลหานนั้นล้วนแล้วแต่มีหานดงจุนคอยกำกับดูแล


ตอนนี้เมื่อหานดงจุนถูกผู้คนทำร้าย มันก็ย่อมเท่ากับว่าคนผู้นั้นคิดหาเรื่องตระกูลหาน


ทายาทตระกูลหานถูกสังหาร ส่วนคนพ่อก็ยังถูกทำร้าย หากเขาผู้นำตระกูลคนนี้ไม่ขยับเคลื่อนไหวบ้างมันก็คงทำให้ผู้คนเสื่อมความศรัทธาเป็นแน่


ในสายตาของหานเทียนหยู่ การที่ตระกูลเล้งบอกให้ตัวเขาออกไปเองนั้นมันก็เป็นเพียงแค่เพื่อรักษาหน้า


แค่นภาสวรรค์สองดาวคนหนึ่ง มีหรือที่มันจะคุ้มค่าให้ตระกูลใหญ่สองตระกูลอย่างตระกูลเล้งและตระกูลหานต่อสู้กันจนฉิบหาย


เมื่อตัวเขาออกมาแก้ไขเอง เรื่องราวทั้งหมดมันก็น่าจะคลี่คลายได้ทันที


แต่ว่าเขานั้นคิดผิด!


เมื่อได้ยินคำของหานเทียนหยู่ว่าอยากได้ตัวคน เล้งหงซิ่วกลับแสร้งยิ้มขึ้น “หึๆ พี่เทียนหยู่ เย่หยวนนั้นเป็นแขกคนสำคัญของตระกูลเล้งข้า แต่ท่านกลับมาพูดขอตัวเขาไปเช่นนี้มันคงจะไม่เหมาะไม่ควรเกินไปล่ะมั้ง?”


หานดงจุนนั้นมึนงงในทันทีที่ได้ยิน ก่อนเขาจะจากไปมิใช่ว่าเล้งหงซิ่วยังตะโกนด่าจะไล่ฆ่าสังหารเย่หยวนคนนั้นอยู่เลยมิใช่หรือ?


แต่ทำไมพริบตาเดียวเย่หยวนถึงได้กลายเป็นแขกคนสำคัญของตระกูลเล้งไป?


ได้ยินคำของเล้งหงซิ่ว หานเทียนหยู่ก็ทำหน้าเครียดขึ้น “ผู้นำตระกูลเล้ง ท่านทำเช่นนี้มันคงไม่เหมาะล่ะมั้ง? เย่หยวนคนนั้นสังหารทายาทตระกูลหานข้า หากข้าไม่จัดการมันลงวันหน้าตระกูลหานข้าจะยังเอาหน้าที่ไหนไปสู้ผู้คนในเมืองหลวงจักรพรรดินี้?”


เล้งหงซิ่วแค่ตอบกลับไป “นั่นมันเรื่องของตระกูลหานท่าน ไม่เกี่ยวกับข้า ไม่ว่าอย่างไรเย่หยวนคนนี้พวกท่านก็ห้ามแตะต้อง!”


หานเทียนหยู่หัวเราะขึ้น “แล้วหากข้ายังคิดจะแตะต้องเล่า? หรือว่าตระกูลเล้งท่านคิดจะทำสงครามกับตระกูลหานข้า?”


เล้งหงซิ่วหัวเราะขึ้นบ้าง “เช่นนั้นก็ประกาศสงครามมาเลย ตระกูลเล้งข้าเคยกลัวพวกเจ้าหรือ? แม้ว่าพี่ชายของข้าจะจากไปแล้วแต่เจ้าก็อย่าได้ลืมว่าตระกูลเล้งข้ามีเล้งชิวหลิงอยู่!”


นั่นทำให้หานเทียนหยู่ได้แต่ทำหน้าเหยเก


เดิมทีตระกูลเล้งนั้นกำลังมุ่งหน้าลงเหว ไม่มีใครนึกใครฝันว่าในเวลาไม่ถึงพันปีพวกเขากลับจะให้กำเนิดยอดอัจฉริยะอย่างเล้งชิวหลิงขึ้นมาจนกดดันตระกูลใหญ่อื่นๆ ในเมืองหลวงจักรพรรดินี้จนสิ้น


ตอนนี้เล้งชิวหลิงนั้นเป็นสมบัติล้ำค่าของคฤหาสน์พันทะยาน เรียกว่าพวกเขานั้นได้มอบทุกสิ่งอย่างที่มีให้แก่นาง


ลูกชายของหานเทียนหยู่นั้นแก่กว่าตัวเล้งชิวหลิงมาก แต่กลับมีพลังอยู่ในระดับไม่แตกต่างจากเล้งชิวหลิงมากมายนัก


หากตระกูลเล้งและตระกูลห่านแตกหักกันจนถึงขั้นนั้น แน่นอนว่าทางคฤหาสน์พันทะยานต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วยแน่


เล้งหงซิ่วพุ่งแค่เรื่องนี้เพียงลำพังก็สามารถคลี่คลายสถานการณ์ตรงหน้าได้อย่างง่ายดาย


หานเทียนหยู่หายใจเข้าลึกก่อนจะลดน้ำเสียงลง “น้องหงซิ่ว แค่กับเด็กนภาสวรรค์สองดาว มันต้องทำถึงขั้นนี้เลย?”


เล้งหงซิ่วยังคงมองกลับมาด้วยท่าทางไม่คิดยอม “แค่เด็กนภาสวรรค์สองดาว? หึ หานเทียนหยู่ ท่านฉลาดมาทั้งชีวิตกลับมาโง่เสียเรื่องนี้!”


นั่นทำให้หานเทียนหยู่ผงะไปไม่น้อย “ท่านหมายความว่าอย่างไร?”


เล้งหงซิ่วบอก “แม้ว่าหานดงจุนคนนี้มันจะเป็นแค่ขยะ แต่ถึงอย่างไรมันก็เป็นถึงเทพถ่องแท้ครึ่งก้าว! ข้าได้ให้โอกาสมันไปแล้ว แต่มันกลับไม่อาจจับตัวนภาสวรรค์สองดาวคนนั้นได้ แล้วท่านคิดว่าเด็กนภาสวรรค์สองดาวคนนี้จะธรรมดามากหรือ?”


ที่ด้านข้างหานดงจุนแทบเสียสติ


เพราะเล้งหงซิ่วด่าว่าเขาเป็นขยะต่อหน้าผู้คนไม่น้อย


แต่ทว่าหานเทียนหยู่กลับมองมาด้วยสายตาไม่เป็นมิตรทำให้ใบหน้าของหานดงจุนซีดเผือด


ตัวเขานั้นย่อมไม่คิดจะพูดเรื่องราวสุดน่าอายเช่นนั้นให้แก่หานเทียนหยู่ฟัง


เทพถ่องแท้ครึ่งก้าวกลับไม่อาจจับตัวนภาสวรรค์สองดาวไว้ได้


เรียกว่าขยะยังนับว่าเป็นคำชม


“ผู้นำตระกูล ข้า… ข้า…” หานดงจุนพยายามพูดแต่ก็ไม่ทราบต้องพูดอะไร


ผัวะ!


ฝ่ามือของหานเทียนหยู่ตบหานดงจุนจนปลิวไปไกล


ข้อมูลสำคัญเช่นนี้ แต่เจ้าหมอนี่มันกลับไม่คิดรายงานและปิดบังไว้ ทำให้เขาต้องเดินทางมาเสียหน้าไปด้วย!


หานดงจุนเป็นขยะหรือ?


ต้องไม่ใช่แน่!


อย่างน้อยๆ ก็ต่อหน้านภาสวรรค์สองดาว หานดงจุนนั้นต้องไม่ใช่ขยะแน่ๆ


คำพูดนี้ของเล้งหงซิ่วมันแฝงความหมายไว้!


“ขอบคุณน้องหงซิ่วที่เตือน วันนี้เป็นหานผู้นี้เองที่ใจร้อนไป” หานเทียนหยู่ยกมือขึ้นคารวะและเดินทางกลับไป

 

 

 


ตอนที่ 1855 จอมเทพสวรรค์นิรันดร์

 

ในวันนี้ ณ เทือกเขาอาทิตย์ศักดิ์สิทธิ์ห่างจากทางเหนือของเมืองหลวงจักรพรรดิพันทะยานไปนับหมื่นๆ กิโลเมตร จู่ๆ มันก็เกิดมีลำแสงส่องพุ่งขึ้นมาอย่างรุนแรง


แสงนั้นส่องขึ้นมาเป็นเงาร่างสี่ร่างบนท้องฟ้าอย่างกระจ่างชัด มันเป็นภาพที่ชัดเจนแม้จะมองดูจากเมืองหลวงจักรพรรดิพันทะยาน


เมื่อมองดูดีๆ พวกเขาทั้งหลายจึงได้เห็นว่าเงาร่างทั้งสี่นั้นคือร่างของสี่สัตว์เทวะแห่งมหาพิภพถงเทียน


มังกรฟ้า พยัคฆ์ขาว วิหคชาด เต่าดำ!


พลังงานที่เหล่าเงาร่างสัตว์อสูรทั้งสี่ปล่อยมานั้นมันสุดแสนที่จะรุนแรงจนกระแทกมาได้ถึงยังเมืองหลวงจักรพรรดิพันทะยาน


แต่มันมิใช่เพียงแค่เมืองหลวงจักรพรรดิพันทะยาน มันรวมไปถึงพื้นที่รอบๆ ที่มีดินแดนติดกับเมืองหลวงจักรพรรดิพันทะยาน รวมไปถึงเหล่าเมืองจักรพรรดิ เมืองหลวง หรือประเทศต่างๆ


มันเป็นพลังที่แค่เห็นก็รับรู้ได้ทันที


หลังจากนั้นเจ้าสัตว์เทวะทั้งสี่ก็เปิดปากพ่นลำแสงออกมาอีกครั้งจนปกคลุมทั่วท้องนภา


ส่วนตรงกลางนั้นค่อยๆ มีเงาร่างของชายชราปรากฏตัวขึ้น


“เฒ่าคนนี้คือจอมเทพสวรรค์นิรันดร์ที่ได้ตายลงยังที่แห่งนี้ พลังของข้านั้นไร้ผู้สืบทอด จะทิ้งมันไปก็น่าเสียดาย เพราะฉะนั้นข้าจึงได้ที่ตั้งถ้ำนิรันดร์ไว้ตรงที่แห่งนี้ หวังว่าจะมีผู้สืบทอดเข้ามารับช่วงมันต่อไป!”


เสียงนั้นพูดออกมาอย่างกึกก้องดังจนทั่วทุกคนต่างได้ยิน


ภายในเมืองหลวงจักรพรรดิพันทะยานนั้นเย่หยวนที่ได้ยินเสียงนี้ก็ต้องรู้สึกราวกับมีฟ้าผ่าลงกลางหัว


ที่แท้สิ่งที่หวู่เฉินบอกว่ากำลังจะเกิดขึ้นนั้นมันคือเรื่องราวเกี่ยวกับจอมเทพนิรันดร์!


“เป็นเขา! เป็นเขาจริงๆ! ฮ่าๆ เฒ่าคนนั้นมานอนตายลงตรงนี้นี่เอง!”


ภายในทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของเย่หยวนหวู่เฉินกำลังร่ำร้องหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง


เมื่อได้เห็นเงาร่างที่ดูคล้ายกับภาพวาดของพระผู้เป็นเจ้านั้นเย่หยวนก็ถึงขั้นพูดไม่ออกไปนานแสนนาน


นี่หรือคือจอมเทพสวรรค์นิรันดร์?


ช่างไร้ที่เปรียบและเหนือล้ำ!


ถึงขนาดที่ว่าการจะเลือกผู้สืบทอดก็ยังต้องประกาศบอกทุกผู้คน


ที่ด้านข้างเย่หยวนดวงตาคู่งามของเล้งชิวหลิงกำลังสั่นสะท้านอย่างไม่อาจหยุดได้ ดูท่านางเองก็คงสนใจอย่างมาก


เทพสวรรค์!


ในมหาพิภพถงเทียนนั้นตัวตนของเทพสวรรค์นั้นมันเหมือนกับระเบิดปรมาณู


อย่างที่ว่าอาณาจักรราชันพระเจ้าจะหยุดนักยุทธทั่วๆ ไปส่วนใหญ่ไว้ อาณาจักรเทพสวรรค์นี้เองก็ได้เป็นป้ายหยุดของยอดอัจฉริยะมากมายเช่นกัน


ในมหาพิภพถงเทียนทั้งสิ้นนั้นตัวตนระดับเทพถ่องแท้นั้นมันมีมากมาย แต่ในหมู่พวกเขา คนที่จะสามารถขึ้นไปถึงอาณาจักรเทพสวรรค์ได้นั้นมันมีเพียงแค่หยิบมือ!


ระหว่างเทพถ่องแท้และเทพสวรรค์นั้นมันมีกำแพงที่สูงใหญ่ขวางกั้น


ในเมืองหลวงจักรพรรดิพันทะยานทั้งหมดมีแต่ความแตกตื่นให้เห็นทั่ว ตอนนี้นักยุทธแทบทุกคนนั้นคิดที่จะออกไปแสวงหาสมบัตินี้ ถึงขั้นมีหลายคนที่พุ่งตัวออกไปตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้ยิน มุ่งหน้าไปยังเทือกเขาอาทิตย์ศักดิ์สิทธิ์


โอกาสเช่นนี้นับล้านปีมันจะมีผ่านมาสักครั้ง!


แต่ว่าเย่หยวนนั้นขมวดคิ้วแน่น


จอมเทพสวรรค์นิรันดร์คนนี้กำลังคิดจะทำอะไรกันแน่?


“ทำไมหรือ? ดูพี่เย่จะไม่ค่อยสนใจโอกาสครั้งสำคัญในชีวิตนี้เลยนะ!”


เพราะการตอบรับของเย่หยวนกับเรื่องราวครั้งนี้มันเหนือความคาดหมายเล้งชิวหลิงไปมาก


สมบัติสืบทอดของเทพสวรรค์ นี่คือทุกสิ่งอย่างที่ผู้คนจะเฝ้าฝันถึงได้ แต่เย่หยวนกลับเอาแต่นั่งขมวดคิ้ว


เพราะแม้แต่ตัวนางที่มีนิสัยเยือกเย็นก็ยังร้อนผ่าวขึ้นมา แต่เย่หยวนกลับมีท่าทางที่ไม่ได้สนใจอะไรมากมาย


เย่หยวนนั้นผงะไปเล็กน้อยก่อนจะยิ้มตอบกลับไป “ข้าสนใจแน่อยู่แล้ว เพียงแค่ว่ามันฟังดูแปลกๆ ไปหน่อย”


เล้งชิวหลิงนั้นเบิกตากว้างด้วยความสงสัย “แปลก?”


เย่หยวนพยักหน้ารับ “ผู้อาวุโสท่านนี้บอกว่าเขาหาผู้สืบทอด แต่กลับไม่คิดกำหนดอายุขัย อาณาจักรบ่มเพาะ หรืออะไรก็ตามแต่เลย ที่สำคัญผู้อาวุโสท่านนี้ยังป่าวประกาศชื่อออกมาราวกับว่ากลัวศัตรูคู่แค้นจะไม่รู้ มันไม่น่าแปลกหรือ?”


นั่นทำให้เล้งชิวหลิงแทบสะดุ้งตัวขึ้นทันที เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของเย่หยวนนางก็เริ่มมองเห็นถึงความน่าสงสัยอย่างเต็มเปี่ยมไปหมด


ปกติแล้วเวลาจะหาผู้สืบทอด พวกเขาที่คิดจะถ่ายทอดนั้นย่อมต้องมีเงื่อนไขที่เหนือล้ำผู้คนทั่วไป


และผู้สืบทอดของเทพสวรรค์นั้นมันยิ่งต้องมีคุณสมบัติที่มากล้นกว่าสิ่งใดๆ


เมืองหลวงจักรพรรดิพันทะยานนั้นสุดท้ายแล้วก็เป็นแค่กองกำลังเทพถ่องแท้ แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นพวกเขาก็ยังมีศิษย์คุณสมบัติอย่างเล้งชิวหลิงขึ้นมาได้


จอมเทพสวรรค์นิรันดร์นั้นคือจอมเทพสวรรค์ไร้ผู้ต้าน หากเขาคิดอยากหาผู้สืบทอดจริงๆ มีหรือที่มันจะไม่มีการระบุใดๆ ออกมาเลยเช่นนี้ได้?


แน่นอนว่าเย่หยวนไม่ได้พูดไปอย่างหนึ่ง นั่นก็คือสมบัติทั้งหมดของจอมเทพสวรรค์นิรันดร์นั้นได้ตกทอดลงไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์จนสิ้น นอกเสียจากเหล่าสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์ ที่เหลือมันก็คืออยู่ในการครอบครองของเขาจนสิ้น


แล้วมันจะยังมีสมบัติใดให้สืบทอดในที่นี้?


ดวงตาคู่งามของเล้งชิวหลิงนั้นหันมามองเย่หยวนอย่างไม่มีหยุดพักราวกับว่านี่เป็นครั้งแรกที่ได้รู้จักกัน


นางได้รับรู้แล้วว่าเย่หยวนนั้นช่างเป็นคนที่แสนลึกลับ


ความรู้ของเขา ความสามารถของเขา มันเป็นสิ่งที่ทำให้เหล่ายอดอัจฉริยะทั้งหลายต้องอับอาย


รวมไปถึงตัวนางด้วย


ตอนนี้เวลากว่าสิบปีได้ผ่านไปแล้ว พลังบ่มเพาะของเย่หยวนก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างมากจนขึ้นมาอยู่อาณาจักรนภาสวรรค์สองดาวขั้นสุดแล้ว ส่วนนางนั้นยังคงพยายามบ่มเพาะอาณาจักรนภาสวรรค์ห้าดาวขั้นกลางต่อไป


ตอนนี้หากเย่หยวนสู้กับนางอีก เขาก็สามารถยันที่จะเสมอได้แล้ว


ความเร็วการพัฒนานี้มันทำให้ผู้คนได้แต่มองอย่างตาค้าง


“จะมองหน้าข้าทำไม? หน้าข้ามีดอกไม้ขึ้นมาหรือ?” เย่หยวนที่ถูกเล้งชิวหลิงจ้องมองเช่นนั้นจึงยิ้มถามกลับไป


เล้งชิวหลิงเองก็ยิ้มตอบ “สมบัติเทพสวรรค์อยู่ตรงหน้าแต่เจ้ากลับยังใจเย็นได้อีก ข้าคิดว่าทั้งเมืองหลวงจักรพรรดิพันทะยานนี้คงมีแค่เจ้าคนเดียวที่ทำได้”


เย่หยวนยิ้มตอบ “คิดมากหน่อยมันก็ไม่เสียหายหรอก ยิ่งสิ่งของน่าดึงดูดมากเท่าไหร่ อันตรายที่มากับมันก็ย่อมมีมากเท่านั้น”


เล้งชิวหลิงพยักหน้ารับด้วยความรู้สึกเห็นด้วยอย่างที่สุด


หลายต่อหลายยอดฝีมือต้องจบชีวิตลงเพราะความโลภ


เว้นเสียแต่ว่าต่อหน้าสมบัติที่น่าดึงดูดขนาดนี้ จะมีใครสักกี่คนที่ตั้งสติคิดได้?


เล้งชิวหลิงมองดูรอบตัวและพบว่าใบหน้าของคนแต่ละผู้นั้นมันราวกับว่าได้สมบัตินี้มาไว้ในกระเป๋าตัวเองเสียแล้ว


“เช่นนั้น เจ้าจะไม่คิดยุ่งเกี่ยวเรื่องราวน่าสงสัยนี้?”


เย่หยวนยิ้ม “ฮ่าๆ นี่มันสมบัติของเทพสวรรค์เลยนะ มีหรือที่ข้าจะปล่อยมันไป?”


เมื่อเล้งชิวหลิงได้ยินเช่นนั้นนางก็อดไม่ได้ที่จะหลอกตาหนี พูดมาตั้งมากมายแต่สุดท้ายก็สนใจอยู่ดีนี่นา


แต่เย่หยวนกลับกล่าวขึ้นมาตาม “ชิวหลิง เจ้าไปบอกอาจารย์ของเจ้าเสียว่าให้ระวังตัวก่อน ตอนนี้อย่าเพิ่งลงมือทำอะไร รอดูไปก่อน ถ้ำเทพสวรรค์นี้มันคงเข้าไปไม่ได้ง่ายๆ แน่”


หลังผ่านไปกว่าสิบปีเย่หยวนและเล้งชิวหลิงก็ได้กลายเป็นสหายสนิทกันไปแล้ว


ส่วนอาจารย์ของเล้งชิวหลิงที่เย่หยวนว่านี้มันก็คือเจ้าเมืองผู้ปกครองเมืองหลวงจักรพรรดิพันทะยานนั่นเอง


เล้งชิวหลิงนั้นตื่นตกใจไม่น้อยแต่ก็ยังพยักหน้ารับ “ได้ ข้าจะไปบอกท่านอาจารย์ทันที เพียงแค่ว่า… ข้าไม่แน่ใจว่าเขาจะฟังหรือไม่”


เย่หยวนส่ายหัวออกมา “สิบวัน! เจ้าบอกให้เขารอสิบวัน! ภายในสิบวันนี้มันต้องเกิดเรื่องอะไรสักอย่างขึ้นแน่ๆ”


เล้งชิวหลิงพยักหน้ารับก่อนจะเดินหันจากไป



“อาจารย์ หรือว่าท่าน… คิดจะไปที่ถ้ำเทพสวรรค์?”


เมื่อเล้งชิวหลิงรีบมุ่งหน้ามายังคฤหาสน์พันทะยานนางก็พบกับอาจารย์ของนางที่เพิ่งออกจากการเก็บตัว


ดูสภาพท่าทางแล้วเขาคงกำลังเตรียมตัวเดินทาง


เล้งชิวหลิงนั้นอดไม่ได้ที่จะถอดหายใจออกมา มาช้าอีกนิดอาจารย์ของนางคงได้เดินทางออกไปแล้ว


อาจารย์ของเล้งชิวหลิง กู่เทียนเฉนั้นเป็นเทพถ่องแท้เจ็ดดาวและยังเป็นเจ้าเมืองหลวงจักรพรรดิพันทะยานด้วย


กับศิษย์รักเล้งชิวหลิงคนนี้กู่เทียนเฉย่อมปฏิบัติกับนางอย่างพิเศษ


“หึๆ โอกาสสำคัญเช่นนี้ไม่ได้หาง่ายๆ! เมืองหลวงจักรพรรดิพันทะยานเราได้โอกาสอยู่ใกล้ จะปล่อยให้ผู้อื่นมาแย่งชิงไปก่อนย่อมไม่ได้!”


พลังของจอมเทพนิรันดร์นั้น กู่เทียนเฉที่เป็นเทพถ่องแท้เจ็ดดาวย่อมพอที่จะแยกแยะมันออก


เทพสวรรค์คนนี้ย่อมมิใช่เทพสวรรค์ทั่วๆ ไปแต่เป็นถึงเทพสวรรค์ระดับสูงอย่างแน่นอน


ด้วยความสามารถของกู่เทียนเฉ แม้จะไม่มีอะไรผิดพลาดเขาก็ไม่อาจที่จะบรรลุขึ้นไปได้อีกแล้วในชีวิตนี้


แต่ตอนนี้โอกาสที่ยิ่งใหญ่มาตกหล่นตรงหน้า มีหรือที่เขาจะยังอยู่นิ่งได้?


แต่เล้งชิวหลิงกลับส่ายหัวออกมา “อาจารย์ ถ้ำเทพสวรรค์นี้ท่านอย่าไปเลย!”

 

 

 


ตอนที่ 1856 ความตายของเทพสวรรค์

 

“อย่าไป? เด็กน้อยเจ้ารู้ตัวไหมว่ากำลังพูดอะไรอยู่กันแน่?”


กู่เทียนเฉขมวดคิ้วแน่นจนมันติดกัน ดูท่าแล้วจะไม่พอใจอย่างมาก


โอกาสอันดีงามขนาดนี้มันมาวางอยู่ตรงหน้า ไม่ว่าใครก็ตามที่คิดจะมาหยุดเขามันย่อมต้องถูกมองเป็นศัตรูคู่แค้นราวกับสังหารบิดามารดากันมา


แม้ว่าคนที่มาหยุดเขานี้จะเป็นศิษย์ของเขาเองก็ตาม


เล้งชิวหลิงนั้นยังต้องยืนยันอย่างหนักแน่น “อาจารย์ สมบัติเทพสวรรค์ที่ว่านี้มันมีอะไรแปลกๆ อยู่”


เล้งชิวหลิงค่อยๆ เล่าคำของเย่หยวนออกมาอีกต่อหนึ่งให้แก่กู่เทียนเฉฟังจนเขาต้องเลิ่กคิ้วสูง


“เจ้าจะหมายความว่าอย่างไร? เจ้าไม่รู้หรือว่าสมบัติสืบทอดเทพสวรรค์มันมีความหมายต่ออาจารย์ของเจ้ามากเพียงใด?” กู่เทียนเฉตอบกลับมาด้วยท่าทางไม่คล้อยตาม


ความดึงดูดของสมบัติสืบทอดจากเทพสวรรค์นั้นมันเหนือล้ำ โดยเฉพาะกับตัวกู่เทียนเฉที่ไม่มีหวังใดจะบรรลุขึ้นไปได้อีกแล้ว


เล้งชิวหลิงพูดขึ้นด้วยท่าทางกังวล “สิบวัน แค่สิบวันนะ?”


กู่เทียนเฉหรี่ตาลงทันที “นี่ไม่ใช่ความคิดของเจ้าใช่ไหม?”


เล้งชิวหลิงเองก็ไม่คิดจะปิดบังใดๆ “นี่เป็นความคิดเย่หยวน!”


กู่เทียนเฉหน้าเปลี่ยนสีและเริ่มกลับไปคิดอย่างจริงจังทันที


เรื่องของเย่หยวนนั้นเล้งชิวหลิงย่อมไม่คิดปิดบังจากเขาผู้เป็นอาจารย์แม้แต่น้อย


ตัวตนของเขาคนนี้มันทำให้กู่เทียนเฉเกิดความสงสัยขึ้นในทุกสิ่งอย่าง


เมื่อหยุดคิดไปพักหนึ่งกู่เทียนเฉก็พยักหน้ารับออกมา “ก็ได้ แต่แค่สิบวัน!”


เรื่องราวความวุ่นวายในเมืองหลวงจักรพรรดิพันทะยานนั้นกระจายออกไปทั่วในทันที


นี่มันคือเรื่องราวแสนใหญ่โตที่สั่นสะท้านทั้งเมืองหลวงจักรพรรดิ ต่อให้คิดอยากปิดมันก็ย่อมไม่มีทางจะปิดได้


จากวันที่สองมา ตอนนี้ก็เริ่มปรากฏยอดคนจำนวนมากมายในเขตเมืองหลวงจักรพรรดิพันทะยาน


แม้จะเป็นเมืองหลวงจักรพรรดิเองก็ไม่ใช่ว่าจะมีเทพถ่องแท้เดินเล่นกันทั่วไปได้


แต่ตอนนี้ทั้งด้านในและนอกเมืองหลวงจักรพรรดิพันทะยานมันกลับมีแต่ยอดฝีมือเทพถ่องแท้อยู่ทุกหนแห่ง


บ้างมีคลื่นพลังที่แสนรุนแรงอย่างที่ไม่ด้อยกว่ากู่เทียนเฉเลย


ในวันที่สาม กู่เทียนเฉก็ไม่อาจอดทนรอได้อีก


“อาจารย์ ท่านสัญญาว่าจะรอสิบวันมิใช่หรือ?”


เล้งชิวหลิงที่จับตามองดูกู่เทียนเฉอยู่ตลอดย่อมเห็นได้ในวินาทีที่ความคิดของเขาเปลี่ยนไป


กู่เทียนเฉบอก “เด็กน้อย อาจารย์เจ้ารอไม่ไหวแล้ว! ถอยไป!”


เล้งชิวหลิงร้องบอกขึ้นอย่างดื้อดัน “ไม่ ท่านห้ามไป!”


กู่เทียนเฉหรี่ตาลงก่อนที่จะส่งร่างของตัวเองจางหายไปจากสายตาของเล้งชิวหลิงในทันที


หากเทพถ่องแท้เจ็ดดาวคิดอยากไป มีหรือที่เล้งชิวหลิงจะสามารถหยุดเขาไว้ได้?


กู่เทียนเฉเดินทางมาจนถึงเทือกเขาอาทิตย์ศักดิ์สิทธิ์ในพริบตา


ความห่างไกลนับล้านกิโลเมตรนั้นมันไม่ได้เป็นปัญหาแก่เทพถ่องแท้เลย แค่ไม่กี่อึดใจกู่เทียนเฉก็มาถึงเทือกเขาอาทิตย์ศักดิ์สิทธิ์


เมื่อสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังที่รุนแรงจากยอดเขา กู่เทียนเฉก็รู้สึกตื่นเต้นดีใจจนแทบไม่อาจหักห้ามตัวเองไว้ได้


และจู่ๆ เขาก็หัวเราะขึ้นมา “ไม่ว่าเจ้าเด็กคนนั้นมันจะเป็นใครมาจากไหน สุดท้ายมันก็เป็นแค่อาณาจักรนภาสวรรค์ขั้นต้น จะมีความรู้ประสบการณ์ใดมากมาย? สมบัติของเทพสวรรค์นี้ข้ากู่เทียนเฉจะรับมันไปเอง!”


พูดจบเขาก็พุ่งร่างเข้าไปยังเทือกเขาอาทิตย์ศักดิ์สิทธิ์


แต่เวลานั้นเองที่กลับมีหมอกสีดำสนิทพุ่งตัดหน้าเขาไปในพริบตา


“พวกเจ้าหลบทางไป! สมบัติของเฒ่าจอมเทพสวรรค์นิรันดร์เป็นของข้าเห่ยโหมว!”


“อ่อก!”


แค่คำพูดเดียวกลับทำให้เทพถ่องแท้เจ็ดดาวอย่างกู่เทียนเฉบาดเจ็บได้


แถมนี่มันยังเป็นการโจมตีเป็นวงกว้าง!


ตอนนี้เหล่าเทพถ่องแท้ที่กำลังแอบซ่อนอยู่ในเทือกเขาต่างได้รับบาดเจ็บไปตามๆ กันไม่ต่างจากเขานัก


“เทพสวรรค์ของเผ่าปีศาจ!” กู่เทียนเฉร้องขึ้นอย่างตื่นตกใจ


หมอกสีดำนี้มันต้องเป็นตัวตนระดับเทพสวรรค์ของเผ่าปีศาจแน่นอน!


กู่เทียนเฉไม่นึกไม่ฝันว่าเทพสวรรค์จะออกมากันได้รวดเร็วปานนี้


ที่สำคัญมันกลับยังเป็นเทพสวรรค์ของฝ่ายปีศาจอีก


“ไอเจ้าเย่หยวนนั่นมันหลอกข้าเสียแล้ว!”


กู่เทียนเฉได้แต่ตบเข่าตัวเองด้วยความคับแค้นใจอย่างถึงที่สุด


หากเขานั้นมาถึงเทือกเขาอาทิตย์ศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่วินาทีแรกที่เกิดเรื่อง เขาคงสามารถเข้าไปได้ก่อนที่ใครจะทันมาถึงแน่


แต่ตอนนี้เมื่อเทพสวรรค์มาลงมือเองแล้ว คนอย่างเขามีหรือที่จะทำอะไรได้อีก?


เพราะฉะนั้นตอนนี้เขาจึงแทบอยากฉีกกระชากกระดูกของเย่หยวนเป็นชิ้นๆ


โอกาสครั้งเดียวในชีวิตนี้มันกลับไม่อาจเอื้อมจับไว้ได้แล้ว!


ความผิดพลาดในครั้งนี้มันจะเป็นความเสียใจไปชั่วชีวิต!


ตอนนี้เขาได้แต่มองดูหมอกดำนั้นค่อยๆ เข้าไปถึงเทือกเขาด้วยความเสียดาย


ไม่นานนักหมอกดำนั้นมันก็ซึมลงไปตามเทือกเขาทั้งแถบจนทำให้กู่เทียนเฉมีสีหน้าสุดผิดหวัง


โอกาสโชคครั้งนี้มันไม่สามารถเป็นของเขาได้อีกแล้ว


แต่เวลานั้นเองที่กลับมีเสียงกรีดร้องดังขึ้น


หมอกดำที่สงบลงแล้วนั้นกลับเกิดกลายเป็นความโกลาหลอีกครั้ง


กู่เทียนเฉหน้าถอดสีทันทีเมื่อเขาหันไปดูอีกครั้งเขากลับพบว่าหมอกดำนั้นมันจางและเบาบางลงขัดกับท่าทางกดดันของมันเมื่อสักครู่มาก


“เฒ่านิรันดร์ ตายไปแล้วแท้ๆ ทำไมเจ้ายังแข็งแกร่งได้ขนาดนี้?” หมอกดำนั้นร่ำร้องออกมา


“หึ พวกเผ่าปีศาจ ในเมื่อเจ้ามาถึงที่ มีหรือที่ข้าจะปล่อยเจ้ากลับไป! ตายเสียเถอะ!”


มิติที่ผ่านพ้นความโกลาหลมามากมายได้เคลื่อนตัวออกมาจากนั้นก็มีลำแสงหนึ่งพุ่งขึ้นจากเทือกเขาสูงท้องฟ้า ฝ่าทำลายหมอกดำนั้นจนสิ้น


ตอนนี้ภาพตรงหน้าเหลือเพียงความว่างเปล่า


สายตาของคนที่มองดูต่างเงยตามขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยความตื่นตะลึง


ยอดฝีมือเทพสวรรค์กลับตายลงต่อหน้าพวกเขาง่ายๆ เช่นนี้?


กู่เทียนเฉได้แต่กลืนน้ำลายอึกใหญ่ ได้รู้ตัวแล้วว่าตอนนี้เขานั้นโง่เง่าแค่ไหน


เกือบไป หากไม่ใช่เพราะเทพสวรรค์ของเผ่าปีศาจตนนี้เข้ามาขัด คนที่ต้องตายมันคงกลายเป็นเขาใช่ไหม?


ดูท่าคำของเย่หยวนจะถูก นี่มันคือกับดักที่ใช้ล่อลวงผู้คนอย่างแท้จริง


มีหรือที่สมบัติที่แท้จริงมันจะให้คนมาเก็บไปง่ายๆ เช่นนี้?


พวกเขาไม่เห็นหรือว่าแม้จะเป็นเทพสวรรค์ก็ยังถูกสังหารด้วยการโจมตีเดียว?


จอมเทพสวรรค์นิรันดร์คนนี้จะต้องเป็นคนใหญ่คนโตแน่ๆ ตอนที่เขายังมีชีวิต



กู่เทียนเฉกลับมาถึงเมืองหลวงจักรพรรดิพันทะยานด้วยอารณ์ของคนที่เพิ่งรอดจากเหตุร้ายมาได้


เมื่อเล้งชิวหลิงเห็นกู่เทียนเฉ เขาเองก็ได้แต่ถอนหายใจยาว


“อาจารย์ ท่าน… ไม่เป็นอะไรนะ?”


เล้งชิวหลิงมองดูสภาพเหม่อลอยของกู่เทียนเฉและจึงอดถามขึ้นมาไม่ได้


กู่เทียนเฉหันมามองเล้งชิวหลิง “อาจารย์… เกือบเอาชีวิตกลับมาไม่ได้!”


เล้งชิวหลิงหน้าถอดสีทันที “เกิดอะไรขึ้นกัน?”


กู่เทียนเฉยิ้มออกมาอย่างขื่นขมก่อนจะเล่าเรื่องราวที่ได้เห็นออกมา “ครั้งนี้มันเป็นเพราะเจ้าและเย่หยวนแท้ๆ หากไม่ใช่เพราะพวกเจ้าแล้วเฒ่าคนนี้คงต้องฝากร่างไว้ที่เทือกเขาอาทิตย์ศักดิ์สิทธิ์ เจ้าไปขอบคุณเย่หยวนให้ข้าที ไม่สิ เจ้าเรียกเขามาหน่อย ข้าอยากจะขอบคุณเขาเอง!”


เล้งชิวหลิงที่ฟังอยู่ข้างๆ ก็รู้สึกสั่นสะท้านด้วยความกลัวขึ้นมาเช่นกัน


เทพสวรรค์ถูกทำลายในคราเดียว เรื่องราวเช่นนี้มันไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน


ตอนที่ยังมีชีวิตจอมเทพสวรรค์นิรันดร์คนนี้จะต้องแข็งแกร่งมากแค่ไหนกัน?


แม้ว่ากู่เทียนเฉนั้นจะไม่ได้รักษาสัญญาสิบวันและมุ่งหน้าออกไปก่อน แต่หากไม่ใช่เพราะคนทั้งสองมาหยุดยั้งทำให้ล่าช้าไว้ ตัวเขาเองก็คงต้องตายไปแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย


ถ้ำเทพสวรรค์นี้มันมิใช่สถานที่ที่เมืองหลวงจักรพรรดิพันทะยานจะกลืนกินด้วยตัวเองได้เลย


เมื่อเย่หยวนมาถึงกู่เทียนเฉก็รีบขอบคุณเย่หยวนอย่างจริงใจ


เมื่อมาถึงระดับนี้แล้วชีวิตของคนนั้นมันย่อมมีค่ามากกว่าสิ่งไหน


คำพูดเดียวของเย่หยวนนี้สามารถช่วยชีวิตเขาไว้ได้ มีหรือที่เขาจะไม่สำนึก


แต่เมื่อเย่หยวนได้ยินเรื่องการตายของเทพสวรรค์นั้น เขากลับรู้สึกได้ว่านี่คือการแก้แค้นที่จอมเทพสวรรค์นิรันดร์มีต่อศัตรูคู่แค้น


แน่นอนว่าหลายวันต่อมาสายลมของเมืองหลวงจักรพรรดิพันทะยานก็เปลี่ยนทิศ จนทำให้มันเกิดกลายเป็นพายุคลั่ง


เพราะในเวลาแค่ครึ่งเดือนนี้กลับมีเทพสวรรค์ถึงสามคนต้องมาพบจุดจบลงยังเทือกเขาอาทิตย์ศักดิ์สิทธิ์นี้


เทพสวรรค์นั้นคือตัวตนที่ทำให้มหาพิภพถงเทียนสั่นสะเทือนได้ด้วยเท้าข้างเดียว แต่พวกเขาถึงสามคนกลับต้องตายลงในที่เดียวกัน


ส่วนเหล่าเทพถ่องแท้ที่ไม่มีใครสนใจนั้นได้ตายลงไปอย่างนับไม่ถ้วนแล้ว


ตอนนี้ทุกผู้คนได้รู้แล้วว่าการจะเข้าถ้ำเทพสวรรค์ที่ว่านี้มันไม่ง่าย!

 

 

 


ตอนที่ 1857 หน้าด้านไม่มีเปลี่ยน

 

การตายของเทพสวรรค์ทั้งสามนั้นไม่ได้หยุดการเคลื่อนทัพของผู้คนเลยแม้แต่น้อย


แต่ทว่าไม่ว่าจะเป็นยอดฝีมือแค่ไหนเมื่อเข้าไปในเทือกเขาอาทิตย์ศักดิ์สิทธิ์ก็ล้วนแล้วแต่ต้องตายลงสิ้น


หนึ่งเดือนต่อมาในที่สุดก็ไม่มีใครกล้าหาญพอที่จะเข้าไปในเทือกเขาอาทิตย์ศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป


ตอนนี้เหล่ายอดฝีมือจากทั่วสารทิศต่างมารวมตัวกันพักอยู่ที่เมืองหลวงจักรพรรดิพันทะยานเพื่อพูดคุยถึงหนทางที่จะเข้าไปในถ้ำเทพสวรรค์นี้


ท่านเจ้าเมืองพูดขึ้น “จอมเทพสวรรค์นิรันดร์นั้นเป็นเทพสวรรค์ระดับสูงจากเมื่อห้าล้านปีก่อน เขานั้นมีพลังที่เหนือล้ำจนสามารถสังหารเทพสวรรค์ทั่วๆ ไปลงได้อย่างง่ายดาย”


อีกคนหนึ่งก็กล่าวขึ้นมา “จากมุมมองของข้าแล้วมันคงเป็นการยากที่เราเหล่าเทพถ่องแท้จะเข้าไปภายในได้”


“จอมเทพสวรรค์นิรันดร์คนนี้นั้นมีพลังที่เหนือล้ำ สมบัติที่เขาทิ้งไว้นั้นมันย่อมมีมากมายมหาศาล ให้ยอมแพ้เช่นนี้ใครจะไปยอม? ที่สำคัญ… หากเราสามารถสืบทอดความรู้ที่จอมเทพสวรรค์นิรันดร์สั่งสมมาได้ล่ะก็…”


เมื่อคำพูดเหล่านั้นถูกกล่าวอออกมาบรรยากาศในห้องก็ร้อนแรงขึ้นทันที


นี่คือความรู้ที่เทพสวรรค์สั่งสมมาทั้งชีวิต จะมีใครไม่อยากได้?


ที่สำคัญมันมิใช่แค่เทพสวรรค์ทั่วๆ ไป แต่เป็นถึงเทพสวรรค์ระดับสูง!


ในหมู่ผู้คนทั้งหลายนี้มันย่อมไม่มีใครที่จะก้าวเดินไปได้จนถึงจุดนั้น


กู่เทียนเฉกล่าวขึ้น “ตอนนี้มีข่าวลือว่านักยุทธที่มีพลังบ่มเพาะอาณาจักรนภาสวรรค์ลงไปจะสามารถเข้าเทือกเขาอาทิตย์ศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร้ภัย แถมยังมีเทพถ่องแท้ที่ได้ลองทำดูแล้วด้วย ตราบเท่าที่เรากดพลังบ่มเพาะของตัวเองไว้ให้อยู่ในอาณาจักรนภาสวรรค์เราก็ย่อมหลบรอดจากการโจมตีของเทือกเขาอาทิตย์ศักดิ์สิทธิ์ได้ แต่ด้านในเทือกเขาอาทิตย์ศักดิ์สิทธิ์นั้นเองมันก็มีอันตรายเต็มเปี่ยม ข้าคิดว่าพวกเราทั้งหลายต้องทำการอย่างเป็นกลุ่มพวกร่วมมือกันให้ถึงที่สุด จากนั้นค่อยช่วยกันหาทางเปิดถ้ำออก ทุกท่านคิดเห็นอย่างไรบ้าง?”


เมื่อได้ยินคำของกู่เทียนเฉทุกคนต่างก็พยักหน้ารับออกมาพร้อมๆ กัน


เพราะแม้ว่าพวกเขาทั้งหลายนั้นจะเป็นถึงเทพถ่องแท้ แต่เมื่อมาอยู่ต่อหน้าจอมเทพสวรรค์นิรันดร์พวกเขาก็เป็นได้แค่หมูหมากาไก่ข้างทาง


จะพันคนหรือหมื่นคนที่เข้าไปมันก็เท่ากับรนหาที่ตายอยู่ดี


เพราะฉะนั้นการร่วมมือกันก่อนในตอนแรกมันจึงมิใช่เรื่องที่แย่มากนัก


“ในเมื่อทุกคนไม่คิดขัด เราก็มาเตรียมตัวออกเดินทางไปเทือกเขาอาทิตย์ศักดิ์สิทธิ์ในอีกสิบวันกันเถอะ” กู่เทียนเฉกล่าวบอก


หลังคุยกันเสร็จเหล่าเทพถ่องแท้ทั้งหลายก็แยกจากกันไป เหลือทิ้งไว้เพียงเจ้าเมืองหลวงจักรพรรดิสวรรค์นที จี้ฉุนที่ยังคงอยู่ต่อ


“หืม? พี่จี้รอคุยกับข้าหรือ? มีธุระใดรึ?” กู่เทียนเฉแสร้งถามขึ้น


จี้ฉุนนั้นได้แต่กล่าวว่าอีกฝ่ายในใจก่อนจะปั้นยิ้มกลับมา “หึๆ สหายข้า เมืองหลวงจักรพรรดิสวรรค์นทีข้าและเมืองหลวงจักรพรรดิพันทะยานของเจ้านั้นอยู่ร่วมกันอย่างปรองดองมาช้านาน เจ้าศิษย์ไม่เอาไหนของข้า ซัวหานนั้นมันก็หลงใหลชื่นชอบชิวหลิงน้อยมานาน เจ้าไม่คิดว่าเราเหล่าคนเฒ่าคนแก่ควรจะทำให้ความรักของพวกมันสมหวังแล้วหรือ?”


กู่เทียนเฉหัวเราะขึ้นมา “เรื่องราวของคนหนุ่มสาวก็ให้คนหนุ่มสาวจัดการเองเถอะ เจ้าเองก็รู้ว่าศิษย์คนนี้ของข้านั้นมันอยากเลือกคู่ครองด้วยตัวของมันเอง เรื่องนี้ต่อให้เป็นข้าก็คงไปบังคับมันไม่ได้”


พูดจบกู่เทียนเฉก็จากไปทันทีโดยไม่คิดที่จะต่อรองใดๆ กันต่ออีก


จี้ฉุนขมวดคิ้วแน่นด้วยความมึนงงและสับสนไม่เข้าใจว่ากู่เทียนเฉกำลังต้องการเรียกร้องอะไรกันแน่


เพราะที่ผ่านๆ มานั้นกู่เทียนเฉค่อนข้างที่จะสนับสนุนความสัมพันธ์ของซัวหานและเล้งชิวหลิง แม้ว่าเล้งชิวหลิงจะไม่เคยแสดงท่าทีสนใจใดๆ ออกมาก็ตาม


แต่ตอนนี้แม้แต่กู่เทียนเฉเฒ่าคนนี้ก็มีท่าทีไม่เอาด้วยเสียแล้ว



ด้วยความที่เป็นศิษย์คนโปรดของจี้ฉุน ซัวหานจึงได้ติดตามมายังเมืองหลวงจักรพรรดิพันทะยานด้วย


เพราะแท้จริงแล้วเหล่าเทพถ่องแท้ที่มาในครานี้ก็มักจะพาศิษย์หรือลูกหลานติดตามมาด้วยแทบทุกคน


โอกาสใหญ่อย่างการสืบทอดสมบัติของเทพสวรรค์นั้นต่อให้เหล่าศิษย์ทั้งหลายจะได้รับแบ่งมันไปแค่ส่วนเล็กๆ มันก็มากพอที่จะสร้างประโยชน์มหาศาล


ที่สำคัญถ้ำเทพสวรรค์ในครานี้มันยังจำกัดไว้ให้แค่นักยุทธอาณาจักรนภาสวรรค์ลงไปเท่านั้นถึงจะเข้าได้ด้วย


ณ เวลานี้ซัวหานได้เดินมายังคฤหาสน์พันทะยานด้วยตัวคนเดียว


“นี่ศิษย์น้อง ข้าสงสัยเหลือเกินว่าศิษย์น้องเล้งชิวหลิงอยู่ในคฤหาสน์พันทะยานหรือไม่?” ซัวหานเดินเข้าไปถามศิษย์คนหนึ่งด้วยคำพูดสุภาพแต่ท่าทางนั้นมันกลับไม่ได้สุภาพตาม


ศิษย์คฤหาสน์พันทะยานคนนั้นเงยหน้าขึ้นมอง “เจ้าเป็นใคร? คฤหาสน์พันทะยานไม่อนุญาตให้คนแปลกหน้าเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาตหรอกนะ”


ซัวหานยิ้มออกมา “ข้าคือซัวหานแห่งเมืองหลวงจักรพรรดิสวรรค์นที และศิษย์น้องเล้งที่ข้าถามถึงก็คือคู่หมั้นของซัวคนนี้ จริงๆ จะนับว่าข้าเป็นคนแปลกหน้ามันก็ไม่ถูกนัก”


ซัวหานพูดออกมาด้วยเสียงที่ดังก้องไปทั่ว ราวกับกลัวว่าจะมีใครไม่ได้ยิน


ศิษย์คนนั้นผงะไปทันทีที่ได้ยินก่อนจะบอกขึ้น “ที่แท้เป็นศิษย์พี่ซัวนี่เอง ขออภัยๆ! ศิษย์พี่เล้งนั้นกำลังอยู่ที่ลานฝึก เดี๋ยวข้าพาท่านไปเอง”


ชื่อเสียงของซัวหานในหมู่เมืองหลวงจักรพรรดินั้นก็โด่งดังไม่น้อย ดูท่าศิษย์คนนี้เองก็คงเคยได้ยินมาก่อน


ที่สำคัญข่าวลือเรื่องซัวหานและเล้งชิวหลิงนั้นมันก็ไม่ได้เป็นความลับต้องปิดบังใดๆ ในคฤหาสน์พันทะยานนี้ดูเหมือนว่าท่านเจ้าเมืองคิดที่จะจับคู่คนทั้งสองด้วย


แน่นอนว่าศิษย์คนนี้ย่อมไม่กล้าขัดขืนใดๆ อีกฝ่าย


“ที่แท้เขาคือซัวหานนี่เอง สมชื่อเป็นยอดอัจฉริยะแห่งเมืองหลวงจักรพรรดิสวรรค์นที ถึงขั้นสามารถตามความเร็วการบ่มเพาะของศิษย์พี่เล้งได้ทัน”


“อืม! ข้าได้ยินมาว่าท่านเจ้าเมืองคิดจะจับคู่คนทั้งสองเข้าด้วยกัน สมกันดั่งกิ่งทองใบหยกจริงๆ!”


“แต่ว่าช่วงหลังมานี้ศิษย์พี่เล้งเริ่มจะสนิทกับเจ้าเด็กเย่หยวนคนนั้น มันเป็นเรื่องที่ไม่เคยพบเคยเจอมาก่อนเลย”


“หึ ไอ้เด็กคนนั้นมันแค่นภาสวรรค์สองดาว มีหรือที่มันจะคู่ควรกับศิษย์พี่เล้ง?”



เมื่อซัวหานได้ยินเหล่าศิษย์รอบๆ พูดคุยกันในช่วงแรกๆ เขานั้นรู้สึกดีอย่างมากจนไปได้ยินชื่อของเย่หยวนเข้า มันจึงทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนแปลงไปทันที


ชื่อนี้มันคือฝันร้ายของเขาอย่างแท้จริง


ต่อให้เวลาจะผ่านมาหลายร้อยปีแต่ความทรงจำมันก็ยังชัดเจนอยู่ใจสมอง


แน่นอนว่าเขานั้นเกลียดชังเย่หยวนจนถึงกระดูก เขาคิดที่จะแก้แค้นแก่เย่หยวนเสมอมา แต่ฝ่ายเย่หยวนนั้นกลับหายหน้าไปเลยตั้งแต่ลงเขาแห่งถงเทียนมา เพราะฉะนั้นแผนแก้แค้นใดๆ ของเขามันจึงต้องล่มหายไปด้วย


เขาไม่นึกไม่ฝันว่าวันนี้จะได้ยินได้ฟังชื่อนี้เข้าอีกครั้ง


“หรือว่า… เย่หยวนนี้จะเป็นคนเดียวกับที่เขาแห่งถงเทียน? ไม่มีทางน่า! คนพวกนี้บอกว่าเย่หยวนคนนี้เป็นนักยุทธนภาสวรรค์สองดาว! ด้วยความสามารถของไอ้เจ้าเด็กคนนั้นมันย่อมไม่มีทางที่จะบ่มเพาะได้รวดเร็วปานนั้นแน่!”


ไม่นานนักซัวหานก็ทิ้งความคิดนี้ไป


เขาและเล้งชิวหลิงนั้นคล้ายกันตรงที่ว่า พวกเขาทั้งคู่ต่างไม่คิดว่าเย่หยวนคนนี้เป็นเย่หยวนคนนั้น


เมื่อเดินตามศิษย์คนนั้นมาซัวหานก็ได้มาถึงลานฝึก เหล่าศิษย์ของคฤหาสน์พันทะยานต่างกำลังฝึกซ้อมกันอย่างแข็งขันโดยมีเล้งชิวหลิงนั่งมองดูอยู่ที่ด้านข้างลาน


เมื่อได้เห็นเล้งชิวหลิง ซัวหานก็เบิกตากว้างกล่าวขึ้นทักทายทันที “ศิษย์น้องเล้ง ไม่ได้เจอกันนานปีแต่เจ้ายังคงงดงามไม่มีเปลี่ยนเลย!”


เล้งชิวหลิงหันหน้ากลับมาดูและเมื่อเห็นว่ามันเป็นซัวหานคิ้วของนางก็ขมวดแน่นทันที


ไอ้เจ้าหมอนี่มันตามติดยิ่งกว่าผีร้ายวิญญาณหลอน!


“นี่คือคฤหาสน์พันทะยาน เจ้าจะมาเพื่อสิ่งใด?” เล้งชิวหลิงพูด


แต่ซัวหานกลับไม่คิดสนใจและยิ้มตอบกลับมา “ศิษย์น้องเล้งว่าอะไรเช่นนั้นกันเล่า ข้าก็ต้องมาเพื่อพบเจอว่าที่เจ้าสาวอยู่แล้ว มันผิดด้วยหรือ?”


เมื่อคำพูดเหล่านั้นถูกกล่าวคนทั้งหายก็ร่ำร้องกันขึ้นทันทีพร้อมพยายามคาดเดาว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นใครกันแน่


แต่เล้งชิวหลิงกลับแสดงท่าทีสุดเย็นชาอย่างขยะแขยงออกมา “พูดอะไรไร้สาระอีกแล้วข้าจะไม่เกรงใจเจ้าอีก! ไป รีบไปให้พ้นหน้าข้าเสีย!”


ซัวหานหัวเราะลั่น “ทำไมศิษย์น้องเล้งถึงต้องทำเช่นนี้ด้วย? ตอนนี้ท่านอาจารย์ท่านได้ไปพูดคุยเรื่องงานแต่งของเราให้แก่ข้าแล้ว ไม่นานเจ้ากับข้าก็ย่อมต้องเป็นทองแผ่นเดียวกัน”


นั่นกลับยิ่งทำให้ใบหน้าของเล้งชิวหลิงกลับเย็นชาขึ้นเรื่อยๆ จนมันแทบกลายเป็นน้ำแข็ง


“หึๆ ไม่ได้เจอกันมานานปี คุณชายซัวก็ยังคงหน้าด้านไม่เปลี่ยน! ยังไม่ทันรู้เรื่องราวความเข้ากันได้ของชีวิตก็เที่ยวมาอวดอ้างตัวต่อหน้าผู้คน ระวังว่าจะไม่มีหน้าไปพบผู้คนเอานะ”


เวลานั้นเองที่มีเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นที่ด้านข้างเล้งชิวหลิง


เมื่อซัวหานมองดูที่ใบหน้าของชายคนนี้เขาก็ต้องระเบิดความคับแค้นออกมาทันที!

 

 

 


ตอนที่ 1858 เจ้าไม่มีโอกาส

 

“เย่หยวน! เป็นเจ้าจริงๆ! วันนี้เจ้าจะไม่โชคดีอีกแน่ ข้าอยากรู้เหลือเกินว่ามันจะยังมีใครมาช่วยเจ้าได้อีก!”


เมื่อซัวหานเห็นหน้าเย่หยวนเขาก็รู้สึกได้ถึงความโกรธแค้นที่ปะทุพล่าน


แต่เขาเองก็ยังตื่นตกใจอยู่ไม่น้อยเช่นกัน เพราะไม่เจอกันแค่ไม่กี่ร้อยปีเย่หยวนกลับสามารถบ่มเพาะขึ้นมาได้จนถึงอาณาจักรนภาสวรรค์สองดาวอย่างรวดเร็ว


หากเทียบกันแล้วความเร็วในการบ่มเพาะระดับนี้มันไม่ได้ต่ำต้อยไปกว่าเขาเลย!


เจ้าหมอนี่มันคือขยะที่ไม่อาจบรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้าได้มิใช่หรือ?


เพราะไม่ว่าอย่างไรเสีย ตอนที่เขาพบเจอเย่หยวนครั้งก่อน เย่หยวนนั้นยังเป็นแค่บรรพชนพระเจ้าขั้นสุด


เย่หยวนมองดูซัวหานด้วยรอยยิ้มเย้ย “ไม่ต้องให้ใครมาช่วยหรอก แค่จัดการกับเจ้านั้นมีหรือที่ข้ายังต้องให้ใครมาช่วย?”


เมื่อซัวหานได้ยินเช่นนั้นเขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะลั่นออกมา “แค่นภาสวรรค์สองดาวกลับคิดพูดจาใหญ่โต! วันนี้ข้าจะกระทืบเจ้าให้มันล้มคว่ำจนต้องร้องขอชีวิตเลย!”


เมื่อนึกได้ถึงเรื่องที่ว่าเล้งชิวหลิงและเย่หยวนสนิทกันที่ศิษย์คนก่อนหน้านี้พูด มันยิ่งทำให้จิตใจของซัวหานรุ่มร้อนด้วยความริษยา ความแค้นเก่ามาทับถมลงกับความไม่พอใจอันใหม่นี้


เล้งชิวหลิงพูดขึ้นมาขัดด้วยใบหน้าสุดเย็นเยือก “ซัวหาน ที่นี่คือคฤหาสน์พันทะยาน มิใช่เมืองหลวงจักรพรรดิสวรรค์นทีของเจ้าที่จะให้เจ้ามาอวดอ้างอำนาจได้!”


ซัวหานแทบสำลักเมื่อได้ยินเช่นนั้น การที่เล้งชิวหลิงแสดงท่าทีปกป้องออกมาเช่นนี้มันกลับยิ่งทำให้เขาไม่พอใจหนักขึ้นกว่าเก่า


ซัวหานมองดูเย่หยวนด้วยรอยยิ้มเย็นเยือก “หลบหลังผู้หญิงอีกแล้วเรอะ? ไหนๆ ที่นี่ก็เป็นลานฝึกพอดี หากเจ้าเป็นชายก็ตรงมาต่อสู้แข่งขันกับข้า ให้ชิวหลิงได้รู้ว่าใครกันแน่ที่คู่ควรกับนางมากกว่า!”


เล้งชิวหลิงยิ่งแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมาหนักกว่าเก่า ซัวหานคนนี้มันช่างไม่รู้จักตัวถึงขั้นกล้าพูดจาอะไรเช่นนี้ออกมา


นางนั้นไม่ได้มีความรู้สึกใดๆ ต่อเขา ทั้งอย่างนั้นเขายังกลับหน้าด้านหนามาคิดว่านางจะหยิบเลือกตัวเอง


“ซัวหาน ในฐานะที่เจ้าเป็นแขก ข้าได้อดทนกับท่าทางของเจ้ามาหลายต่อหลายครั้งแล้ว! หากยังพูดจาไร้สาระต่อไปอย่าหาว่าข้าไม่มีมารยาท!” เล้งชิวหลิงพูด


ซัวหานนั้นยังคงหนักแน่นมองดูเย่หยวนด้วยรอยยิ้มเย้ย “ไอ้คนขี้ขลาด ขยะที่รู้จักแค่หลบหลังผู้หญิง!”


เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “ตอนนี้ไม่ต้องพูดถึงเรื่องข้าขี้ขลาดหรือไม่หรอก แต่ถ้าเราแค่เทียบกับเรื่องความหนาของหนังหน้านั้น ข้าต้องขอยอมรับเลยว่าด้อยกว่าเจ้าอย่างมาก!”


ซัวหานหัวเราะขึ้น “ท่านเจ้าเมืองกู่นั่นยอมรับเห็นด้วยในเรื่องของข้ากับชิวหลิงมาก ตอนนี้เมื่ออาจารย์ของข้าถึงขั้นเอาเรื่องแต่งงานไปคุยด้วยเช่นนี้มันย่อมเท่ากับว่างานแต่งได้เริ่มไปแล้วครึ่งตัว จะว่าหน้าข้าหนาได้อย่างไรอีก?”


เย่หยวนยิ้มตอบ “เช่นนั้นหรือ? เช่นนั้นเจ้าคิดว่าทำไมข้าที่ไม่ได้เป็นศิษย์ของคฤหาสน์พันทะยานถึงได้เข้าออกคฤหาสน์ได้ตลอดเวลา? เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าหลายปีมานี้ข้าและเล้งชิวหลิงนั้นแทบจะได้อยู่ตัวติดกันตั้งแต่เช้ายันมืดค่ำ? เจ้าไม่มีโอกาสหรอก”


ซัวหานหน้าถอดสีทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น ทีแรกเขายังคิดว่าเย่หยวนเป็นศิษย์ของคฤหาสน์พันทะยานแต่ซัวหานไม่ได้นึกถึงเลยว่าแท้จริงแล้วเขาไม่ใช่


แถมตอนนี้ใบหน้าเย็นชาของเล้งชิวหลิงกลับมีสีชมพูอ่อนๆ เกิดขึ้นจากความอับอาย


แท้จริงแล้วทั้งนางและเย่หยวนต่างรู้ดีว่ากู่เทียนเฉพยายามมากแค่ไหนที่จะสร้างสถานการณ์ให้คนทั้งสองใกล้ชิดกัน


ตัวตนลึกลับของเย่หยวนนั้นมันถูกยอมรับโดยกู่เทียนเฉมานานแสนนานแล้ว ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่คิดฟังคำของเย่หยวนและหยุดเท้าไม่เข้าเทือกเขาอาทิตย์ศักดิ์สิทธิ์ไปถึงสามวัน


แต่ระหว่างพวกเขาทั้งสองนั้น คนหนึ่งก็เย็นเยือกราวน้ำแข็ง อีกคนก็ไม่มีอารมณ์จะมารักใคร่ใดๆ มันย่อมไม่มีความคืบหน้าใดๆ เกิดขึ้นได้เลย


เล้งชิวหลิงนั้นย่อมรู้ดีว่าตอนนี้เย่หยวนแค่จะช่วยพานางออกจากจุดที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก นางจึงไม่ได้ปฏิเสธใดๆ และแค่นั่งยอมรับไป


เมื่อซัวหานได้เห็นเช่นนั้นเขาก็รู้สึกถึงลางไม่ดีอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน


แต่เขาไม่คิดจะเชื่อ!


กู่เทียนเฉนั้นชื่นชอบเขามาก มันย่อมไม่มีทางที่อนาคตของเขาจะเปลี่ยนแปลงไปได้


เมื่อรวมกับตัวตนตำแหน่งของเขาแล้ว เขาและเล้งชิวหลิงนั้นจึงเป็นคู่ที่เหมาะสมกันอย่างถึงที่สุด


“เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร? แค่นภาสวรรค์สองดาวกลับมีค่าพอเคียงคู่ชิวหลิงแล้ว? หากเจ้ามีปัญญาเจ้าก็กล้าๆ หน่อย ออกมาต่อสู้กับข้าให้มันรู้แล้วรู้รอดไป”


ซัวหานนั้นเห็นว่าเย่หยวนเป็นแค่นภาสวรรค์สองดาวและย่อมคิดว่าเย่หยวนไม่กล้าที่จะรับคำท้าจึงได้พยายามพูดจาท้าทายเย่หยวนไปเรื่อยๆ


เหล่าศิษย์คฤหาสน์พันทะยานทั้งหลายเองก็แสดงสีหน้าท่าทางเหยียดหยามออกมาไม่แพ้กันเพราะคิดว่าเย่หยวนนั้นมันปอดแหกจนเกินไป


เย่หยวนและเล้งชิวหลิงนั้นเดินทางไปไหนมาไหนแทบจะตัวติดกัน เหล่าศิษย์ทั้งหลายย่อมไม่ค่อยชอบใจในเรื่องนั้นมาแต่ก่อนแล้ว


เล้งชิวหลิงนั้นเป็นนางฟ้านางสวรรค์ของพวกเขา แต่นางกลับมีนภาสวรรค์สองดาวคนหนึ่งมาเดินตามไปไหนมาไหนด้วยเรื่องนี้ทุกผู้คนต่างไม่คิดพอใจ


ในหัวใจของพวกเขาทั้งหลาย มันมีแต่คนระดับซัวหานเท่านั้นที่จะทำให้พวกเขารู้สึกว่าเหมาะสมกับเล้งชิวหลิง


เย่หยวนยิ้มออกมา “ชิวหลิง ไปกันเถอะ ปล่อยให้ไอ้หมาบ้านี่มันเห่าไป ข้าว่าไม่นานมันก็คงได้รู้ตัวของมันเองแหละ”


เล้งชิวหลิงพยักหน้าออกมาก่อนจะหันหน้าเดินจากไปพร้อมเย่หยวน


หลายปีมานี้นางได้ต่อสู้ประลองฝีมือกับเย่หยวนมานับครั้งไม่ถ้วนและย่อมรู้ดีว่าเย่หยวนนั้นไม่ได้กลัว แต่เขาแค่ไม่อยากลดตัวลงไป


ซัวหานนั้นเป็นแค่นภาสวรรค์ห้าดาวขั้นต้น มีหรือที่จะเทียบเคียงเย่หยวนได้


จะว่าไปแท้จริงแล้วซัวหานนั้นก็ไม่ได้มีพรสวรรค์ที่ด้อยไปกว่าเล้งชิวหลิงเลย แต่เพราะว่าเรื่องราวที่เย่หยวนทำบนเขาแห่งถงเทียนนั้นมันจึงทำให้ซัวหานต้องชะลอการบ่มเพาะไปรักษาตัวแทน


เมื่อได้เห็นว่าเล้งชิวหลิงฟังคำอย่างไม่มีท่าทางปฏิเสธ มันกลับยิ่งทำให้ซัวหานไม่พอใจหนักขึ้นกว่าเก่า


เขาเดินพุ่งตัวมาปิดทางคนทั้งสองไว้ก่อนจะมองดูเย่หยวนอย่างโกรธเกรี้ยว “เจ้าลูกไม่มีพ่อแม่เจ้าไปให้ห่างจากชิวหลิงเสียเดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้นข้าขะทำให้เจ้าเสียใจที่ได้เกิดมาบนโลกนี้ เจ้าไม่ลองตักน้ำใส่กะโหลก ชะโงกดูเงาตัวเองเสียบ้าง! ถึงขั้นกล้ามาแย่งหญิงของข้า เจ้ามีค่าพอหรือ?”


เย่หยวนหรี่ตามองกลับไป เดิมทีเขานั้นไม่อยากลดตัวไปทะเลาะกันซัวหาน แต่เจ้าหมอนี่มันไม่รู้จักคำว่าพอและก้าวข้ามเส้นที่ไม่อาจให้อภัยได้มา!


เขาขยับร่างส่งตัวเองไปยังกลางลานฝึกยุทธ์ก่อนจะบอก “เจ้าอยากให้ข้ารับคำท้ามากใช่ไหม? มา ข้าจะสนองให้เอง!”


เมื่อได้เห็นเช่นนั้นซัวหานกลับไม่ตื่นตกใจใดๆ แต่กลับดีใจเสียแทน เขาหัวเราะลั่นขึ้น “ฮ่าๆๆ ลูกผู้ชายต้องอย่างนี้สิ! วางใจเถอะ ข้าจะสั่งสอนเจ้าให้รู้สำนึกเอง!”


เล้งชิวหลิงได้แต่ถอนหายใจยาว ตัวตนของซัวหานนี้มันคือคำอธิบายคำว่ารนหาที่อย่างแท้จริง


ซัวหานขยับร่างมาอยู่ต่อหน้าเย่หยวนก่อนจะหัวเราะลั่นขึ้น “ให้พูดตรงๆ การที่เจ้าบ่มเพาะมาถึงอาณาจักรนภาสวรรค์ได้นี่มันก็เหนือล้ำความคาดหมายข้าไปมากแล้ว แต่… มดอย่างไรก็เป็นมด สุดท้ายเจ้าย่อมไม่มีทางเข้าใจคำว่าอัจฉริยะได้!”


ฟุบ!


ซัวหานยังพูดไม่ทันจบคำร่างของเย่หยวนก็ได้หายไปจากจุดนั้นแล้ว


ตอนนี้ซัวหานได้ทำให้เขาโกรธอย่างแท้จริงจนไม่มีอารมณ์ที่จะมาต่อล้อต่อเถียงใดๆ กับเขาอีกต่อไป


ซัวหานที่ไม่คิดจะมองเย่หยวนอยู่ในสายตาย่อมไม่ทันตั้งตัวรับเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันตรงหน้านี้


ตุบ!


เสียงตบดังสนั่นขึ้นส่งร่างของซัวหานปลิวไปไกล


“นี่รึคืออัจฉริยะ? อ่อนหัดเสียยิ่งกว่ามด! ไม่มีกำลังแต่กลับพูดพ่นคำผายลม!” เย่หยวนด่า


ทุกคนนั้นผงะไปไม่น้อยเพราะเหล่าศิษย์ของคฤหาสน์พันทะยานนั้นไม่เคยเห็นเย่หยวนลงมือเลยสักครั้ง นั้นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเขาทั้งหลายไม่พอใจในตัวเย่หยวน


แต่ว่าเมื่อเย่หยวนลงมือในครั้งนี้ พวกเขาทั้งหลายต่างผงะไปตามๆ กัน


ซัวหานถูกตบเข้าอย่างแรงจนต้องใช้เวลาหลายวินาทีกว่าจะลุกขึ้นมาตั้งสติได้ เขาชี้นิ้วกลับมายังเย่หยวนด้วยความโกรธแค้น “เจ้าสารเลว กล้าลอบโจมตีข้า! วันนี้ข้าจะฉีกเจ้าเป็นชิ้นๆ!”


คำพูดนี้ของซัวหานทำให้เหล่าศิษย์หลายคนพยักหน้าออกมา


แม้ว่าการโจมตีเมื่อสักครู่ของเย่หยวนมันจะเฉียบคม แต่สุดท้ายมันก็เป็นเพราะซัวหานไม่ทันระวังตัว


หากเป็นการปะทะกันต่อหน้าจริงๆ เย่หยวนต้องเทียบไม่ติดแน่


“เรอะ? เช่นนั้นคราวนี้เจ้าเข้ามาบ้าง!” เย่หยวนมองดูซัวหานด้วยรอยยิ้มแสนเย็นเยือก


รอยยิ้มของเย่หยวนนี้มันทำให้ซัวหานตื่นตระหนกไม่น้อย


จากนั้นเขาก็กัดฟันแน่นปล่อยพลังของนภาสวรรค์ห้าดาวออกมาอย่างบ้าคลั่งพุ่งเข้าใส่ตัวเย่หยวน

 

 

 


ตอนที่ 1859 อ่อนหัด

 

ปัง!


ปัง!


ปัง!


บนลานนั้นเกิดเสียงการปะทะกันของปราณเทวะอย่างรุนแรงจนทำให้ทุกผู้คนต่างตกตะลึงอย่างไม่อาจหาคำใดมาเปรียบ


ชนะอย่างเหนือล้ำ!


เว้นเสียแต่ว่าผู้ชนะมันมิใช่คนที่พวกเขาคาดหมาย ศึกครั้งนี้เป็นเย่หยวนที่เหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด


ด้วยทักษะการเคลื่อนไหวที่แปลกประหลาดของเย่หยวนนั้นซัวหานจึงถูกกระทืบอย่างไม่มีชิ้นดี


“ทำไม… ทำไมมันกลายเป็นเช่นนี้ไป?”


“ซัวหานนั้นมีพรสวรรค์เป็นอันดับต้นๆ ของเมืองหลวงจักรพรรดิแต่เขากลับถูกนภาสวรรค์สองดาวคนนี้กระทืบจนไม่เหลือเค้าเดิม”


“ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมศิษย์พี่เล้งถึงได้ไปไหนมาไหนกับเขาคนนี้จนแทบจะตัวติดกัน แท้จริงแล้วมันเป็นเช่นนี้นี่เอง!”



เหล่าศิษย์ของคฤหาสน์พันทะยานนั้นต่างตื่นตกใจอย่างมาก ไม่นึกไม่ฝันว่าเย่หยวนคนที่พวกเขาดูถูกเหยียดหยามว่าลับหลังมาตลอดจะกลับกลายเป็นยอดคนที่เหนือล้ำขนาดนี้


เพราะตอนนี้นภาสวรรค์ห้าดาวอย่างซัวหานกลับถูกโจมตีอยู่ฝ่ายเดียวอย่างที่ไม่อาจสวนกลับได้แม้แต่น้อย


หากจะมีใครบอกว่าการโจมตีแรกของเย่หยวนสำเร็จได้เพราะการลอบโจมตี ตอนนี้เย่หยวนก็ได้ใช้พลังที่มีเข้าปะทะอย่างตรงไปตรงมาแล้ว


ไม่มีอะไรให้สงสัยอีก!


ปัง!


เย่หยวนเหยียบเท้าลงบนอกของซัวหานจนตัวเขาแนบติดพื้นก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยท่าทางขยะแขยง “ไม่ใช่ว่าเจ้าจะสั่งสอนข้าหรือ? ด้วยพลังฝีมือเพียงแค่นี้? ไม่มีกำลังแต่กลับกล้ามาดูถูกคนอื่นวางตัวเหนือผู้คน ว่ากล่าวคนอื่นเป็นมดปลวก? เจ้าไปเอาความมั่นใจผิดๆ เช่นนี้มาจากที่ไหนกัน?”


ความตื่นตกใจของซัวหานในตอนนี้มันเหนือล้ำกว่าที่จะบรรยายได้


หลายร้อยปีก่อน ตอนที่เขาพบเจอเย่หยวนครั้งแรกนั้นเขาสามารถบดขยี้อีกฝ่ายได้ด้วยฝ่ามือเดียว


แต่แม้จะมีพรสวรรค์ระดับเขา ช่องว่างนี้มันกลับไม่ห่างออกแต่ตรงกันข้าม มันกลับค่อยๆ สั้นลงจนในที่สุดเย่หยวนก็ตามเขาจนทันและแซงหน้าเขาไปได้!


เจ้าหมอนี่มันผสานแนวคิดแห่งห้วงมิติและแนวคิดแห่งดาบเข้าด้วยกัน แน่นอนว่าต้องมีพลังที่เหนือล้ำกว่าใครๆ


ความภาคภูมิใจในชื่อยอดอัจฉริยะของซัวหานต้องแหลกสลายลงภายใต้เท้านี้ของเย่หยวน


“ปล่อยข้านะ เจ้าคนโง่! หากอาจารย์ข้ารู้เรื่องราวนี้เขาจะต้องทำลายพลังบ่มเพาะของเจ้าทิ้งจนไม่มีโอกาสลืมตาอ้าปากได้อีกเป็นแน่” ซัวหานยังคงกัดฟันพูดจาข่มขู่ขึ้น


นั่นทำให้เย่หยวนหรี่ตาลงมองทันทีด้วยรอยยิ้ม “เจ้าเอาชนะเองไม่ได้ ทีนี้ก็เลยไปใช้ชื่อของอาจารย์? ช่างโง่เง่าเสียจริง!”


พูดจบเย่หยวนก็ใช้นิ้วแตะเข้าไปยังทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของซัวหาน


ซัวหานได้แต่เบิกตากว้างด้วยความสิ้นหวัง


แต่เวลานั้นเองที่เย่หยวนกลับรู้สึกได้ถึงความอันตรายที่ใกล้เข้ามา


“เด็กน้อยเจ้ากล้า?!”


เทพถ่องแท้!


เย่หยวนรู้สึกได้ถึงพลังของอีกฝ่ายในทันทีทันใด ร่างของเขาแข็งค้างด้วยพลังกดดันนี้จนไม่อาจขยับได้แม้แต่ปลายนิ้ว


แม้ว่าตอนนี้เท้าของเขาจะเหยียบบนอกของซัวหาน แต่เท้านี้กลับไม่อาจลงแรงเหยียบไปได้มากกว่านั้น


เทพถ่องแท้ระดับปลายนี้มันช่างแข็งแกร่ง!


แต่ทว่านี่คือเย่หยวน!


เขานั่นคือผู้สำเร็จแนวคิดแห่งห้วงมิติ!


แม้จะเจอกับพลังของเทพถ่องแท้แต่หากเอามาเทียบด้วยความเข้าใจในแนวคิดแล้วเย่หยวนก็ยังเหนือล้ำกว่า


จิตสังหารนี้มันเย็นเยือก แต่มันย่อมไม่มีทางใดที่เย่หยวนจะยอมรับความตายง่ายๆ เช่นนี้


เมื่อสัมผัสได้ถึงแรงกดดันนี้ดวงตาของซัวหานก็เบิกกว้างด้วยความดีใจ “ท่านอาจารย์!”


แต่ทว่าเล้งชิวหลิงนั้นกลับหน้าถอดสีอย่างมาก หากคิดอยากลงมือตอนนี้มันก็สายเกินไปแล้ว


เย่หยวนหัวเราะขึ้นก่อนที่ร่างของเขาจะเลือนหายไป!


มันหายไปพร้อมๆ กับร่างของซัวหานที่อยู่ใต้เท้า


เงาร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากความว่างเปล่าและมองดูเย่หยวนด้วยความตื่นตกใจและโกรธแค้น


“เคลื่อนย้ายมิติ! ช่างเป็นเด็กที่น่ากลัวนัก!”


ผู้ที่มาถึงนี้มันย่อมมิใช่ใครที่ไหนนอกไปเสียจากอาจารย์ของซัวหาน เจ้าเมืองหลวงจักรพรรดิสวรรค์นทีจี้ฉุน


“อ่อก!”


ในวินาทีสุดท้ายนั้นเย่หยวนสามารถหลบรอดการโมตีของจี้ฉุนมาได้อย่างเฉียดฉิว แต่ก็ยังต้องรับบาดเจ็บไปไม่น้อย


พลังของเทพถ่องแท้นั้นไม่ใช่เรื่องเล่นๆ


หากเป็นคนอื่นมันย่อมต้องถูกทำลายจนสิ้นไปภายใต้พลังโลกนี้แล้ว


ในตอนนี้ฝ่ามือของเย่หยวนกำลังกดอยู่ตรงกลางหลังของซัวหาน ตราบเท่าที่เขาคิดจะปล่อยปราณเทวะออกมา พลังชีวิตของซัวหานก็คงมอดไหม้


เหตุผลที่เขาจับตัวซัวหานออกมาด้วยก็เพราะต้องการที่จะจับตัวประกัน


ไม่เช่นนั้นด้วยพลังของเทพถ่องแท้ ต่อให้เขาจะหลบรอดการโจมตีแรกไปได้จี้ฉุนก็คงโจมตีซ้ำจนเขาตายคาที่ได้ง่ายๆ


และแน่นอนว่าเขาคงไม่มีทางใดที่จะปัดป้องได้เลย


“อาจารย์ ช-ช่วยด้วย!” เย่หยวนปล่อยปราณเทวะเข้าใส่ร่างของซัวหานจนตอนนี้เขากลัวอย่างสุดหัวใจ


จี้ฉุนหรี่ตามองและกล่าวว่าเย่หยวน “ปล่อยหานเอ๋อแล้วข้าจะเก็บศพเจ้าให้!”


เย่หยวนหัวเราะออกมา “สมชื่อเป็นศิษย์อาจารย์กันจริงๆ ช่างโง่เง่าเสียทั้งคู่! เจ้าคิดสังหารข้าแล้วแท้ๆ มีหรือที่ข้ายังจะปล่อยมันไป? เจ้าคิดว่าข้าสมองน้อยเหมือนเจ้าหรือ? อย่าได้ขยับ ไม่เช่นนั้นเราจะได้ลองกันว่าเจ้าหรือข้าที่เร็วกว่ากัน!”


เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังปราณเทวะของจี้ฉุนที่โอบเข้ามาเย่หยวนจึงพูดเตือนออกไป


จี้ฉุนหน้าดำคร่ำเครียดลงทันที “หากเจ้ากล้าแตะต้องแม้แต่เส้นผมของหานเอ๋อ ข้าจะทำให้เจ้าต้องเสียใจที่ได้เกิดมาบนโลกนี้!”


เย่หยวนหัวเราะออกมา “เรอะ?”


พูดไปเย่หยวนก็ส่งปราณเทวะเข้าร่างของซัวหานจนเขาต้องกระอักเลือดคำโตออกมา ตอนนี้ร่างกายของเขานั้นหมดแรงจนแทบไม่อาจประคองตัวเองได้อีกต่อไป


การลงมือของเย่หยวนในครั้งนี้มันแสนแม่นยำจนทำให้ซัวหานหมดสิ้นแรงทที่จะขัดขืน แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นฆ่าสังหารลง แค่ทำเพื่อให้จี้ฉุนต้องหยุดมือเท่านั้น


จี้ฉุนหน้าถอดสี ตอนนี้เขาได้รู้แล้วว่าตัวเองได้พบกับคนที่ไม่คิดกลัว มีหรือที่เขาจะยังวางท่าข่มขู่ใดๆ ได้อีก?


“เด็กน้อย ปล่อยเขาไป เรื่องนี้เราย่อมพูดคุยกันได้!” จี้ฉุนพูดขึ้นด้วยท่าทางที่อ่อนลงอย่างมาก


เย่หยวนหัวเราะออกมา “จะให้คุยอะไร? เจ้าแค่คิดจะหลอกให้ข้าปล่อยซัวหานแล้วจัดการสังหารข้าในวินาทีนั้นใช่ไหม? ข้าขอบอกเลยนะว่าเจ้าก็อายุปูนนี้แล้วแต่ยังอ่อนหัดเหลือเกิน!”


นั่นทำให้จี้ฉุนหน้าดำคร่ำเครียดหนักกว่าเก่า เขาได้รับรู้แล้วว่าเด็กคนนี้มันแสนฉลาดเทียบใดๆ กับศิษย์ของเขาไม่ได้เลยแม้แต่น้อย


เมื่อเขาเปิดปากพูด อีกฝ่ายก็รู้ทันได้ในวินาทีนั้น


“แล้วเจ้าต้องการอะไร?” จี้ฉุนกล่าวขึ้นด้วยใบหน้าดำมืด


เย่หยวนตอบกลับมา “รอ!”


พูดจบเย่หยวนก็หลับตาและไม่คิดพูดจาใดๆ อีก


จี้ฉุนนั้นผงะไปไม่น้อย ไม่อาจเข้าใจได้ว่าคำพูดของเย่หยวนมันหมายถึงอะไร


แต่ไม่นานเขาก็ได้เข้าใจเพราะตอนนี้มีอีกคลื่นพลังหนึ่งกำลังพุ่งมาอย่างรุนแรง


“จี้ฉุน เจ้าคิดจะดูถูกเมืองหลวงจักรพรรดิพันทะยานข้าไปหน่อยแล้ว! ยอดฝีมือเทพถ่องแท้จากเมืองหลวงจักรพรรดิสวรรค์นทีกลับกล้ามารังแกผู้เยาว์ถึงถิ่นข้า เจ้ายังอย่างมีหน้ามีตาไปพบผู้คนอยู่ไหม?!”


คนยังไม่ทันมาแต่เสียงของเขาก็ถึงก่อนแล้ว


คำพูดของกู่เทียนเฉนี้มันเต็มเปี่ยมไปด้วยความแค้น


เขาไม่นึกไม่ฝันว่าในชั่วพริบตาเรื่องราวใหญ่โตเช่นนี้มันกลับจะเกิดขึ้นในคฤหาสน์พันทะยานของเขา


จี้ฉุนขมวดคิ้วแน่น “เด็กคนนี้มันเกือบทำลายพลังหานเอ๋อ ข้าคิดสังหารมันแล้วจะผิดหรืออย่างไร?”


กู่เทียนเฉหันหน้ามาหาเย่หยวนด้วยสายตาต้องการคำตอบ


เย่หยวนยจึงเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ออกมาให้ฟัง ทำให้กู่เทียนเฉต้องหันหน้ากลับไปบอกทันที “เจ้าก็ได้ยินแล้วใช่ไหม?”


“อ-อาจารย์ ท่านต้องเข้าข้างข้านะ!” ซัวหานร้องบอก


เมื่อเห็นท่าทางของกู่เทียนเฉต่อเย่หยวนจี้ฉุนก็เหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ทำให้สีหน้าของเขานั้นก็แย่ไม่แพ้กัน


และก็เป็นฝ่ายกู่เทียนเฉที่พูดเตือนขึ้น “ซัวหาน เจ้ายอมแพ้เสีย! เรื่องของเจ้าและเล้งชิวหลิงนั้นมันไม่มีทางเป็นไปได้! ที่สำคัญหลังจบเรื่องราวครั้งนี้แล้วเจ้าสองศิษย์อาจารย์ห้ามเข้ามาในคฤหาสน์พันทะยานของข้าอีกเป็นอันขาด!”


ซัวหานได้แต่เบิกตากว้างมองดูใบหน้าของกู่เทียนเฉอย่างไม่อยากเชื่อ


เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมกู่เทียนเฉถึงได้เปลี่ยนท่าทีจากหน้ามือเป็นหลังมือได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้


จู่ๆ เขาก็กลับไปย้อนนึกถึงคำที่เย่หยวนบอก


กลายเป็นว่า… เย่หยวนไม่เป็นไม้กันหมาให้แก่เล้งชิวหลิงอีกแล้ว


กู่เทียนเฉนั้นมีความคิดที่จะจับคู่คนทั้งสองนี้จริงๆ!


มันช่างน่าขัน เพราะไม่กี่นาทีก่อนเขายังอวดอ้างวางท่าว่าจะเป็นลูกเขยเมืองหลวงจักรพรรดิพันทะยานต่อหน้าเหล่าศิษย์คฤหาสน์พันทะยานอยู่เลย

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)