Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1846-1849
ตอนที่ 1846 แข่งขันเพื่อตำแหน่งผู้สืบทอด
“มา ชนแก้วหน่อย ขอบคุณมากที่ช่วยข้าไว้วันนั้น!” เล้งซู่เงยหน้าขึ้นเทสุราลงปากไปในอึกเดียว
เมื่อวางชามสุราลงเล้งซู่ก็กล่าวขึ้นมาด้วยสีหน้าสุดลำบากใจ “วันที่ข้าดื่มจนเมาไปในวันนั้นหากไม่ได้เจ้าช่วยข้าคงได้กลายเป็นผีไร้คนเหลียวแลไปแล้ว เวลาหลายเดือนมานี้ข้าอยู่ไปวันๆ อย่างไร้จุดหมาย คิดถึงแต่ว่าอยากจะมาประลองดื่มกับเจ้าอีกสักครั้ง แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่ได้เจอเจ้าที่ร้านอีกเลย หากวันนี้ข้าไม่บังเอิญผ่านทางมาข้าก็คงไม่ได้รู้ว่าตัวเองได้ไปเยือนหน้าประตูนรกมาแล้ว!”
หลังเล้งซู่ลืมตาตื่นขึ้นในวันนี้เขาก็ย่อมไม่สามารถที่จะจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นในตรอกได้แม้แต่น้อย
แต่การแข่งดื่มกับเย่หยวนมันยังคงติดตาอยู่อย่างลืมไม่ลง
เพราะนี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่มีใครสามารถล้มเขาลงได้
เพราะฉะนั้นเขาจึงคิดที่จะออกมาตามหาเย่หยวนเพื่อท้าแข่งดื่มกันอีกครั้ง
วันนี้เล้งซู่ที่ผ่านทางมาพอดีจึงได้ยินเข้ากับคำของเถี่ยยิง
มันเป็นเพราะเรื่องนี้ด้วยที่ทำให้เล้งซู่ยิ่งรู้สึกซาบซึ้งในหัวใจ
การทำความดีอย่างไม่หวังผลตอบแทน เย่หยวนสหายของเขาคนนี้กลับทำมันได้อย่างไม่คิดอะไรมากความ!
หากเป็นคนอื่นการได้ช่วยนายน้อยตระกูลเล้งไว้มันคงทำให้พวกเขาทั้งหลายคิดอยากดูดเอาผลประโยชน์จากตัวเขาเป็นแน่ หรืออย่างน้อยๆ ก็ต้องคิดขออะไรจากตระกูลเล้งบ้าง แต่เย่หยวนกลับไม่ทำเช่นนั้นเลย
แค่เรื่องนี้มันก็แสดงได้อย่างดีแล้วว่าเย่หยวนนั้นเป็นคนที่มีจิตใจกว้างขวางมากมายเพียงใด
เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “วันนั้นที่ข้าไปส่งเจ้ายังบ้านตระกูลเล้ง เล้งห่าวคิดสังหารข้าโดยไม่ถามไถ่ใดๆ ข้าเองก็ไม่อยากยุ่งเรื่องของบ้านตระกูลเล้งเจ้ามากนักแถมตัวข้าเองก็กำลังจะบรรลุแล้วข้าจึงเลือกที่จะไปเข้าเก็บตัว ไม่นึกว่าพวกเจ้าเล้งห่าวมันจะยังคิดกัดข้าไม่ยอมปล่อยไป”
เล้งซู่ยิ้มออกมาอย่างขื่นขม “เล้งห่าวนั้นย่อมคิดว่าเจ้าเป็นผู้ช่วยที่ข้าไปเสาะหามาแน่ นั่นเป็นเหตุผลที่เขาคิดจะทำร้ายหมายเอาชีวิตเจ้า ที่แท้เรื่องทั้งหมดนี้มันเป็นความผิดของข้าเองทั้งสิ้น”
เย่หยวนยกสุราขึ้นอีกครั้งก่อนจะยิ้มตอบกลับมา “ข้าไม่ชอบปัญหา แต่ก็มิได้กลัวมัน แต่ว่าตระกูลเล้งเจ้ามันมีเรื่องอะไรกันมากมายรึ?”
เล้งซู่รีบยกสุราขึ้นดื่มอีกชามก่อนจะถอนหายใจยาว “เฮ้อ การสู้กับระหว่างพี่น้องที่ทำให้เกิดเรื่องไปทั่วทั้งเมือง ช่างน่าอับอายจริงๆ! แท้จริงแล้วข้าไม่ได้คิดที่จะสนใจตำแหน่งผู้สืบทอดใดๆ เสียด้วยซ้ำ แต่ไม่ว่าจะบอกยังไงพี่ชายของข้าเขาก็ช่างดื้อด้านไม่ยอมรับฟัง!”
วันที่เล้งซู่ได้มาเจอเย่หยวนและแข่งดื่มกันนั้นปรากฏว่ามันเป็นวันเดียวกับที่เล้งซู่ได้มีเรื่องทะเลาะกับเล้งห่าวอย่างหนัก และด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัวในตอนนั้นเขาจึงเดินทางมายังร้านสุราเพื่อดื่มให้เมากันไปข้าง
เล้งซู่และเล้งห่าวนั้นเป็นพี่น้องที่สนิทกันมาตั้งแต่ตัวน้อยๆ ตั้งแต่เด็กมาเล้งห่าวก็มักจะคอยดูแลเล้งซู่อยู่เสมอ
คนทั้งสองนี้มีพรสวรรค์ที่เหนือล้ำ ต่างคนต่างเป็นยอดคนผู้นำของตระกูลเล้งในรุ่นถัดไป
เว้นเสียแต่ว่าเล้วห่าวนั้นเป็นลูกเลี้ยง ทำให้สถานะของเขาในตระกูลเล้งนั้นมันไม่ได้สูงส่งเท่าเล้งซู่
เล้งซู่นั้นเป็นลูกชายของผู้นำตระกูล ที่สำคัญยังมากพรสวรรค์เขาจึงมีตำแหน่งหน้าตาในตระกูลเล้งที่ค่อนข้างดี
ความรักของพี่น้องคู่นี้เดิมทีมันทำให้ผู้คนต้องอิจฉาตาเป็นมัน
แต่น่าเสียดายที่หลายปีก่อนผู้นำตระกูลเล้ง เล้งหงเทียนถูกสังหารลง ทำให้เหล่าผู้เฒ่าผู้แก่ผู้อาวุโสของตระกูลเลือกเอาเล้งหงซิ่วน้องชายของเขาขึ้นมาเป็นผู้นำตระกูลแทน
เล้งหงซิ่วนั้นไม่มีลูกชาย มีเพียงแค่ลูกสาวคนเดียว
นั่นทำให้ตำแหน่งของเล้งซู่เริ่มลั่นคลอน
เล้งซู่นั้นเป็นคนไม่สนใจเรื่องราวโลกหล้า เขาเป็นคนที่มีนิสัยรักอิสระและไม่ชอบการผูกมัดใดๆ เขาย่อมไม่คิดจะสนใจว่าตัวเองจะได้เป็นนายน้อยผู้สืบทอดตระกูลหรือไม่
แต่ฝั่งเล้งห่าวนั้นกลับค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป
เล้งห่าวเริ่มเปลี่ยนตัวเองกลายเป็นคนเจ้าแผนการ พยายามชักจูงเหล่าผู้เฒ่าผู้แก่ของตระกูลให้มองเล้งซู่ในด้านร้าย
แต่เบื้องหน้าทั้งสองก็ยังคงเป็นพี่น้องที่รักกันดีอยู่เช่นเคย
เว้นเสียแต่ว่าแม้เล้งซู่จะเป็นคนง่ายๆ สบายๆ แต่เขามิใช่คนโง่
สามเดือนก่อนเล้งห่าวได้หาวิธีขับไล่ลุงคนสนิทของเล้งซู่ออกจากบ้านตระกูลหลัก
เล้งซู่ที่อดทนไม่ไหวอีกต่อไปจึงได้ทะเลาะอย่างหนักหนากับเล้งห่าว
แต่เขาก็ไม่คิดไม่ฝันว่าเล้งห่าวจะถึงขั้นส่งมือสังหารมาจัดการเขาเพราะเรื่องนี้
แม้ว่าสองพี่น้องมารหมอกดำนั้นจะไม่ได้เก่งกาจมากมายแต่พวกเขาก็เป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านการสังหาร
ในวันนั้นเมื่อเห็นเย่หยวนและเล้งซู่แข่งดื่มกันพวกเขาก็ได้รู้แล้วว่าโอกาสมาถึงมือ
เว้นเสียแต่ว่าเย่หยวนนั้นจะแข็งแกร่งจนเกินกว่าที่พวกเขาจะคาดคิด
“เฮ้อ จริงๆ ข้านั้นไม่ได้สนใจตำแหน่งทายาทผู้นำตระกูลใดๆ เลย! ข้าก็เคยบอกเล้งห่าวไปแล้วแท้ๆ ว่าข้าไม่อยากจะเป็นผู้สืบทอดตระกูลมากถึงขั้นต้องให้พี่น้องมาเข่นฆ่า แต่เขากลับไม่เชื่อข้าเลย! เขาไม่คิดเชื่อข้าเลย! ฮ่าๆ…”
เล้งซู่เงยหน้าขึ้นดื่มสุราลงคอพร้อมสายน้ำตาแห่งความเจ็บปวดที่รินไหลจากดวงตา
เย่หยวนเองก็ได้แต่ถอนหายใจยาวเมื่อได้ยินเช่นนั้น
หากคนเราถูกอำนาจเข้าครอบงำไปแล้ว คนคนนั้นก็อาจจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างที่ไม่มีเค้าลางเดิมอยู่เลย
เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเล้งซู่ไม่คิดสนใจตำแหน่งทายาทผู้สืบทอดตระกูลใดๆ ทั้งสิ้น
แต่เล้งห่าวกลับไม่คิดเชื่อแม้แต่น้อย!
เขารู้สึกว่าเล้งซู่นั้นคิดที่จะทำให้เขาประมาท
เย่หยวนยกสุราขึ้นดื่มบ้าง “วันนี้วันดี เรื่องราวร้ายๆ ไว้ค่อยว่ากันพรุ่งนี้! ลืมความทุกข์ใดๆ ที่มีไปก่อน! วันนี้เรามาดื่ม ชนแก้ว!”
เล้งซู่หัวเราะลั่นขึ้น “ฮ่าๆ ชน! วันนี้ข้าไม่แพ้เจ้าแน่!”
เย่หยวนยิ้มบอก “จะมาแข่งดื่มกับข้านั้นเจ้ายังไม่มีฝีมือพอหรอก!”
พูดไปหัวเราะไป คนทั้งสองก็ดื่มสุราไปอีกนับร้อยชาม
จนในที่สุดเล้งซู่ก็พ่ายแพ้และล้มพับลงกับโต๊ะไปก่อน
…
บ้านตระกูลเล้ง ชายชุดดำคนเดิมกำลังเดินเข้ามารายงานแก่เล้งห่าวอย่างเร่งรีบ
“นายน้อย แย่แล้ว! เถี่ยยิงเขา… ตายแล้ว!”
เล้งห่าวหน้าถอดสีทันทีที่ได้ยิน “นี่มัน… จะเป็นไปได้อย่างไร?”
ชายชุดดำบอกขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ยังสั่นเครือไม่หาย “มันเรื่องจริงแท้แน่นอน! หลังจากเย่หยวนออกมาจากการเก็บตัวเขาก็สังหารหานเซี่ยวทิ้งที่หอรวมแก่นแท้พลัง จากนั้นเขาก็เดินออกไปยังร้านสุราก่อนจะมีคนไปเห็นว่าเย่หยวนได้สังหารเถี่ยยิงลงด้วยดาบเดียว! ที่สำคัญ… ยังมีคนเห็นว่าเล้งซู่อยู่ไม่ไกลจากที่นั่นด้วย!”
“ดาบเดียว? สังหารเถี่ยยิงลงด้วยแค่ดาบเดียว?” เล้งห่าวถามขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อ
นภาสวรรค์หนึ่งดาวน่ะหรือจะฆ่านภาสวรรค์สี่ดาวลงได้ด้วยดาบเดียว? มันจะเป็นไปได้อย่างไร?
ชายชุดดำคนนั้นยิ้มออกมาอย่างขื่นขม “เย่หยวนได้บรรลุขึ้นอาณาจักรนภาสวรรค์สองดาวมาแล้ว เรื่องนี้ผู้น้อยเองก็ไม่คิดอยากเชื่อเช่นกัน แต่… มันเป็นความจริง ที่สำคัญ…”
เล้งห่าวถามขึ้นด้วยใบหน้าเคร่งเครียด “มีอะไรก็รีบพูดออกมาจะอ้ำๆ อึ้งๆ ให้มันได้อะไร?”
ชายชุดดำพูดขึ้นด้วยสีหน้าไม่ค่อยสู้ดี “เล้งซู่และเย่หยวนนั้นกำลังดื่มแข่งกันที่ร้านสุราย้อนวัยอีกแล้ว และตอนนี้เย่หยวนก็กำลังนำตัวเล้งซู่กลับมาส่งอีกครั้ง!”
เล้งห่าวหน้าถอดสีทันทีไม่นึกไม่ฝันว่าเรื่องมันจะกลับกลายมาเป็นเช่นนี้ได้
นภาสวรรค์สี่ดาวนั้นคือที่สุดที่เขาสามารถสั่งใช้ได้แล้ว
นภาสวรรค์ห้าดาวนั้นเป็นตัวตนที่มีอำนาจในตระกูลไม่น้อย ทำให้พวกเขาไม่อาจจะสั่งใช้งานอะไรได้ง่ายๆ
แน่นอนว่าหากเขาได้ขึ้นเป็นผู้สืบทอดตระกูลแล้วเรื่องราวมันคงผิดกัน
เล้งห่าวพยายามเดินคิดไปคิดมาถึงข่าวคราวที่กำลังมาถึง
จู่ๆ เขาเสียงฝีเท้าของเขาก็สงบลงก่อนจะบอกขึ้น “เมื่อกี้เจ้าบอกว่ามันสังหารหานเซี่ยว?”
ชายชุดดำพยักหน้ารับ “ตอนที่เย่หยวนออกมาหานเซี่ยวได้ดักรอลอบโจมตีเย่หยวน แต่กลับถูกอีกฝ่ายสังหารลงด้วยดาบเดียวแทน!”
ดาบเดียว!
ดาบเดียวอีกแล้ว!
เล้งห่าวมีสีหน้าที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก ดูท่าเย่หยวนคนนี้คงเป็นตัวปัญหาอย่างมากแน่
เล้งห่าวกล่าวขึ้น “เช่นนั้นก็ไม่ต้องไปสนใจเจ้าเย่หยวนนี่เองอีกแล้ว! หานดงจุนเฒ่านั้นรักลูกชายเสียยิ่งกว่าอะไร เขาย่อมไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ แน่! ที่สำคัญกว่าคือตัวเล้งซู่ ดูท่าเราต้องรีบลงมือเสียแล้ว! ตำแหน่งผู้สืบทอดจะมารอช้ากว่านี้ไม่ได้แล้ว! มีข่าวใดจากฝั่งบ้านตระกูลเฉียนหลิงบ้างหรือไม่?”
ชายชุดดำบอก “ตอนนี้คุณหนูใหญ่ออกจากการเก็บตัวแล้วและว่ากันว่านางบรรลุขึ้นไปถึงนภาสวรรค์ห้าดาวขั้นกลางได้แล้ว!”
เล้งห่าวได้แต่ถอนหายใจยาวด้วยความชื่นชม “ชิวหลิงนั้นช่างเป็นอัจฉริยะจริงๆ พรสวรรค์ของนางนั้นมันทำให้ผู้คนต้องอับอาย! น่าเสียดายที่นางนั้นเป็นหญิง! เอาล่ะ เรื่องคราวนี้เจ้าไม่ต้องไปสนใจอีกแล้ว ตอนนี้ข้าจะรีบไปหาท่านผู้นำตระกูลและเรื่องราวการแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดตระกูลจะได้จบๆ ลงเสียที!”
…………………………
ตอนที่ 1847 ศึกนี้เจ้าต้องสู้
“พ่อบุญธรรม นี่คือเสื้อคลุมขนกระเรียนพราวที่ห่าวเอ๋อซื้อมาจากมือของเทพถ่องแท้ท่านหนึ่งด้วยราคาสูงลิ่ว มันเป็นสมบัตินภาสวรรค์เลิศล้ำที่เหมาะสมกับน้องหญิงชิวหลิงมาก”
ในสวนบ้านของเล้งหงซิ่ว เล้งห่าวกำลังยกชูของชิ้นหนึ่งขึ้นมาด้วยท่าทางเคารพอีกฝ่ายอย่างมาก
คงพูดได้ว่าเล้งห่าวคนนี้เป็นคนที่มักใหญ่ใฝ่สูงอย่างมาก
หลายปีก่อนก่อนที่เล้งหงซิ่วจะได้ขึ้นมาเป็นผู้นำตระกูล เล้งห่าวนั้นได้รู้จักและนับถือเขาเป็นพ่อบุญธรรมไปก่อนแล้วและพยายามเอาใจเขาในทุกๆ ด้านที่พอทำได้
จะบอกว่าเขาเป็นคนที่เข้าหาผู้คนได้เก่งก็คงไม่ผิดนัก
แม้ว่าเขาจะเป็นแค่ลูกเลี้ยง แต่สถานะของเขาในตระกูลมันก็ไม่ได้ต่ำตมนัก
การได้เป็นพี่ชายของนายน้องผู้สืบทอดตระกูล แถมยังเป็นลูกบุญธรรมของนายท่านรอง เรื่องเช่นนี้มันย่อมมิใช่สิ่งที่ใครๆ จะสามารถทำได้ง่ายๆ
แน่นอนว่าเล้งห่าวนั้นแค่คิดทำเช่นนี้ให้ชีวิตของตนนั้นดีขึ้น จะได้มีช่องทางในอนาคตที่สว่างไสวอย่างคนอื่นเขาบ้าง
เขาจึงทำ
เว้นเสียแต่ว่าตัวเขาเองก็ไม่ได้คิดได้ฝันว่าเล้งหงซิ่วจะได้ขึ้นเป็นผู้นำตระกูลเช่นนี้ ทำให้น้องชายคนสนิทของเขาเล้งซู่ต้องกลายเป็นตัวตนที่ไม่มีใครในตระกูลเล้งสนใจ
เรื่องนี้มันทำให้ความคิดของเขาเปลี่ยนแปร
ในด้านพรสวรรค์แล้วเขานั้นต่ำต้อยกว่าเล้งซู่มาก แต่เล้งห่าวก็คิดเสมอมาว่าเรื่องนั้นมันเป็นเพียงเพราะว่าเขาไม่ได้รับทรัพยากรที่มากมายเท่าเล้งซู่ก็เท่านั้น
เขาต้องจ่ายไปมากมายเพื่อจะมามีวันนี้ได้!
ตราบเท่าที่เขาสามารถกลายเป็นนายน้อยผู้สืบทอดตระกูลได้ เมื่อเขาได้พลังนี้มาไว้ในมือความเร็วในการบ่มเพาะของเขาก็ย่อมจะเหนือล้ำขึ้นกว่าเขาทำให้ตำแหน่งนี้ของเขายิ่งมั่นคงขึ้น
บางทีวันหนึ่งเขาอาจจะได้กลายเป็นผู้นำของตระกูลเล้งเข้าจริงๆ!
แผนการของเล้งห่าวนั้นแสนที่จะใหญ่โตมาก
เมื่อเล้งหงซิ่วเห็นเสื้อคลุมขนกระเรียนพราวนี้เขาก็อดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้างขึ้น
หากลูกสาวของเขาได้สวมเสื้อคลุมนี้ เล้งชิวหลิงคงงดงามราวกับเทพธิดานางฟ้า
คนที่มีพรสวรรค์มากที่สุดในตระกูลเล้งนั้นหาใช่เล้งซู่ ไม่ต้องไปพูดถึงเล้งห่าวเสียด้วยซ้ำ คนที่เป็นยอดอัจฉริยะประจำตระกูลนั้นคือเล้งชิวหลิงผู้ที่ได้ฉายาราชินีน้ำแข็ง
หลายร้อยปีก่อนนางได้ไปยังยอดเขาแห่งถงเทียนตอนอายุถึงห้าร้อยปีและก้าวเข้าสู่อาณาจักรนภาสวรรค์ได้ในที่สุด
ตอนนี้เวลาหลายร้อยปีผ่านไป เล้งชิวหลิงจึงสามารถบรรลุขึ้นสู่อาณาจักรนภาสวรรค์ห้าดาวได้แล้ว!
พรสวรรค์ระดับนี้มันย่อมเหนือล้ำกว่าใครๆ ในเมืองหลวงจักรพรรดิ เป็นตัวตนที่แสนเจิดจ้า
เล้งซู่นั้นไม่มีทางไปเทียบเคียงได้เลย
สิ่งที่เล้งหงซิ่วให้ค่ามากที่สุดก็คือลูกสาวของเขาคนนี้
ไม่มีลูกชายแล้วจะทำไม?
มีลูกสาวแบบนี้มันก็มากเกินพอแล้ว!
การที่เล้งหงซิ่วได้ขึ้นมาเป็นผู้นำตระกูลเองมันก็เกี่ยวข้องกับตัวเล้งชิวหลิงไม่น้อย
ในหมู่คนรุ่นเดียวกันเล้งหงซิ่วนั้นไม่ได้เก่งกาจเหนือใคร แต่เหล่าผู้อาวุโสของตระกูลเลือกกลับเลือกเขาขึ้นมาแทนที่อย่างเป็นเสียงเดียวกัน
เพราะแท้จริงแล้วเล้งชิวหลิงนั้นมิได้เป็นเพียงแค่ความภาคภูมิใจของเขาเท่านั้น แต่นางเป็นความภาคภูมิใจของตระกูลเล้งทั้งตระกูล
นั่นทำให้เล้งห่าวคิดเอาใจเล้งชิวหลิงเพื่อจะได้เอาใจเล้งหงซิ่วต่ออีกทอดหนึ่ง
“ไม่เลวเลย เยี่ยม! หึๆ ห่าวเอ๋อเจ้านี่ช่างรอบคอบจริง!” เล้งหงซิ่วพยักหน้ารับอย่างพึงพอใจ
สำหรับนักยุทธแล้วความสวยงามนั้นย่อมเป็นเรื่องรอง สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเจ้าเสื้อคลุมขนกระเรียนพราวนี้เป็นสมบัตินภาสวรรค์เลิศล้ำซึ่งหมายความว่ามันจะมีพลังป้องกันที่สูงส่ง
แต่เมื่อความงามและประโยชน์ใช้งานมารวมกันได้ มีหรือที่ใครจะกล้าปฏิเสธ?
เล้งห่าวยิ้มออกมา “นี่คือสิ่งที่ลูกควรทำ! หลายปีมานี้พ่อบุญธรรมท่านได้ดูแลข้ามาอย่างดี น้องหญิงชิวหลิงเองก็สนิทกันเสียยิ่งกว่าพี่น้องแท้ๆ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้มีอะไรให้ต้องคิดมากกัน?”
เล้งหงซิ่วยิ้มรับแก่เล้งห่าวอย่างพึงพอใจ “ห่าวเอ๋อ ข้าได้คุยกับเหล่าผู้อาวุโสมาแล้วว่าการจะปล่อยให้ซู่เอ๋อครองตำแหน่งต่อไปมันคงไม่ดีนัก แน่นอนว่าตัวเจ้าเองก็ต้องแสดงพลังออกมาให้ได้มากที่สุด สิบวันจากนี้เจ้าและซู่เอ๋อต้องแข่งขันกัน ผู้ชนะจะได้เป็นผู้สืบทอดตระกูลคนใหม่! ข้านั้นไม่มีลูกชายในสายเลือด แต่เจ้านี่แหละที่เป็นลูกชายข้า!”
เมื่อเล้งห่าวได้ยินเช่นนั้นเขาก็ก้มลงกราบแทบพื้นด้วยน้ำตานองหน้า “พ่อบุญธรรม ลูกนั้น… ลูกนั้นไม่รู้จะขอบคุณอย่างไร”
เล้งหงซิ่วช่วยประคองเขาลุกขึ้น “เราก็รู้จักกันมานานหลายปีแล้วมีหรือที่พ่อบุญธรรมเจ้าจะยังไม่รู้จักเจ้าอีก? เจ้านั้นแตกต่างจากคนอื่น ก่อนหน้านั้นข้ายังไม่มีอำนาจพลังใดๆ พรสวรรค์ของชิวหลิงเองก็ยังไม่เบ่งบานเต็มที่นัก แต่เจ้าก็ยังคิดเข้าหาพวกเรา”
เล้งห่าวแสดงหน้าตาตื้นตันขึ้นแต่ภายในใจของเขานั้นแทบโห่ร้องดีใจ
เวลาที่เสียไปตั้งหลายต่อหลายปี ในที่สุดก็จะได้ผลประโยชน์คืนมาแล้ว มีหรือที่เขาจะยังนิ่งเงียบได้?
เล้งห่าวนั้นต่างจากคนอื่นๆ ตอนที่ทุกผู้คนต่างไปเกาะหาผู้นำตระกูล ตัวเขานั้นไม่ได้ไปด้วย
เพราะว่าเขาไม่มีคุณสมบัติพอ
เพราะฉะนั้นเขาเลยอ้อมออกมาตีสนิทกับเล้งหงซิ่วและเล้งชิวหลิง
เมื่อตอนที่เล้งชิวหลิงยังเด็ก เขาได้เห็นว่านางนั้นมีพรสวรรค์ในการบ่มเพาะที่น่าเหลือเชื่อจนทำให้เขาคิดที่จะลงทุนลงแรงไปกับนางด้วย
พร้อมๆ กับสถานะของเล้งห่าวที่ค่อยๆ ดีขึ้น ความโลภของเขาก็ขยายตัวขึ้นตาม
เล้งหงซิ่วบอก “ข้ารู้ดีว่าเจ้านั้นมีพลังฝีมือไม่น้อยไปกว่าซู่เอ๋อ แต่นี่คือศึกครั้งสำคัญเจ้าจงเตรียมตัวเข้าสู่การต่อสู้ให้พร้อม ต่อให้มันจะไม่เฉียบคมแต่มันก็ต้องสง่า สิบวันนี้จงฝึกฝนตัวให้ดี อย่าได้ถูกสิ่งอื่นใดรบกวน”
เล้งห่าวกล่าวลาและจากไป ก่อนที่ร่างของสาวงามนางหนึ่งจะปรากฏขึ้นมาจากความว่างเปล่า
“ท่านพ่อ!”
เล้งหงซิ่วมองดูลูกสาวของตนด้วยใบหน้าอ่อนโยน “เจ้าและห่าวเอ๋อนั้นเล่นด้วยกันมาตั้งแต่เล็กๆ เหตุใดตอนนี้เจ้าจึงไม่คิดแม้แต่จะพบเจอเขากัน?”
เล้งชิวหลิงขมวดคิ้วแน่น “พี่เล้งห่าวเขา… เปลี่ยนไป!”
เล้งหงซิ่วบอก “คนเรามันย่อมมีการเปลี่ยนแปลงเสมอ เจ้าลองสวมเสื้อคลุมขนกระเรียนพราวนี่ดูสิ เด็กคนนี้มันรอบคอบจริงๆ”
เล้งชิวหลิงมีท่าทางไม่ค่อยต้องการนักแต่สุดท้ายก็ต้องยอมใส่เพราะเล้งหงซิ่วแสดงใบหน้าท่าทางตื่นเต้นออกมาอย่างมาก
…
ในส่วนของที่พักเล้งซู่ เล้งซู่กำลังดื่มสุราจนเมามายอีกครั้ง
เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “เวลาเหลืออีกสิบวันจากนั้นก็จะเป็นศึกตัดสินผู้สืบทอดตระกูลแล้ว แต่เจ้ากลับมาทำตัวหมดอาลัยตายอยากเช่นนี้มันจะดีหรือ?”
เล้งซู่นั้นเงยหน้ายกชามขึ้นมา “ดื่ม! ของโง่ๆ พรรค์นั้นจะไปสนใจเพื่ออะไรอีก?”
เย่หยวนยกสุราขึ้นดื่มพร้อมส่ายหัวออกมา “ข้าคิดว่าเจ้าเป็นพี่น้องถึงได้บอกเตือนคำพูดจากใจ หากเจ้าไม่คิดอยากฟังข้าก็จะไม่พูดแล้ว”
เมื่อเห็นท่าทางผิดหวังของเย่หยวนเล้งซู่ก็อดไม่ได้ที่จะแสดงความตื่นตกใจออกมา
หลายวันมานี้เย่หยวนอยู่เป็นเพื่อนดื่มกับเขามาตลอดโดยไม่คิดที่จะกล่าวว่าใดๆ
แต่วันนี้ไม่ทราบเพราะเหตุใดเขาจึงได้มีท่าทางจริงจังเช่นนี้
เล้งซู่นั้นมองเย่หยวนเป็นเหมือนพี่น้องคนหนึ่งไปแล้ว เขาจึงย่อมมองดูสีหน้าท่าทางของเย่หยวนอย่างใส่ใจ
เขาจึงพยักหน้าออกมาพร้อมวางสุราลง “เจ้าว่ามาสิ”
เย่หยวนบอก “ศึกนี้เจ้าต้องสู้! ที่สำคัญต้องชนะด้วย!”
เล้งซู่ขมวดคิ้วแน่น “เพื่อ? พี่เย่ ข้า…”
เย่หยวนพูดขัดขึ้นมาก่อน “ข้ารู้ดีว่าเจ้านั้นไม่ชอบและไม่คิดสนใจตำแหน่งผู้สืบทอดตระกูลใดๆ แต่เพราะเช่นนั้นเองที่เจ้าต้องชนะให้ได้เสียยิ่งกว่าเก่า! เจ้าจะเรียกมันว่าเป็นชื่อเสียงที่ว่างเปล่าก็ได้ แต่หากเจ้าเสียจิตใจในวิชายุทธไปแล้ววันหน้าเจ้าคงเป็นได้แค่ศพเดินได้ที่ไร้ชีวิต! คนเช่นนั้นจะยังมีใครคิดให้ความสำคัญ? ที่ข้ายอมมาดื่มกับเจ้าด้วยนั้นก็เพราะว่าเจ้านั้นเป็นคนรักอิสระไม่ผูกมัดสิ่งใด มิใช่เพราะว่าเจ้ามันไม่มีดี! ที่สำคัญนี่คือตำแหน่งที่พ่อของเจ้าแต่งตั้งมาให้ เจ้าคิดจะป่าวประกาศบอกทุกผู้คนว่าอดีตผู้นำตระกูลตั้งคนไร้ความสามารถขึ้นมาเป็นทายาทหรือ?”
คำพูดของเย่หยวนนั้นเป็นเหมือนฟ้าผ่าลงกลางใจของเล้งซู่
เย่หยวนกล่าวต่อ “พ่อของเจ้าถูกสังหาร พี่ชายเจ้าหักหลังทรยศ เจ้าได้พบเจอเรื่องราวที่แสนยากลำบากจริงๆ แต่เจ้าลองถามตัวเองดูว่าเจ้าจะยอมแพ้มันไหม? ความแค้นของพ่อเจ้า เจ้าไม่คิดจะล้างมันอีกแล้วหรือ? แล้วก็เรื่องของเล้งห่าวนั้น เขาเป็นคนที่คิดจะสังหารเจ้ามาแล้ว เจ้าคิดว่าเมื่อเขาได้อำนาจแล้วเขาจะยอมปล่อยเจ้าไปง่ายๆ? เพราะฉะนั้นศึกนี้เจ้าจึงต้องชนะ! แล้วหลังจากชนะเจ้าจะไปบอกทุกผู้คนว่าคนเช่นเจ้ามีค่ามากกว่าจะมาเป็นผู้สืบทอดตระกูลอะไรก็ว่าไปได้!”
นั่นทำให้เล้งซู่เบิกตากว้าง
จากมึนเมามันกลับเด่นชัด
ใช่แล้ว ตอนนี้เขายังมีเรื่องต้องจัดการ!
เมื่อเงยหน้าขึ้นได้เล้งซู่ก็วางสุราลงพร้อมบอก “พี่เย่ ข้าขอบคุณมาก!”
ตอนที่ 1848 มันเกิดบ้าอะไรขึ้น?
“นายน้อย เกิดเรื่องแล้ว!”
เล้งห่าวที่กำลังทำการเก็บตัวบ่มเพาะอยู่ถูกขัดขึ้นด้วยชายชุดดำที่จู่ๆ ก็พุ่งตัวเข้ามาด้านใน
การต่อสู้เพื่อตัดสินตำแหน่งนายน้อยผู้สืบทอดตระกูลมันใกล้เข้ามาทุกทีแล้วทำให้ท่าทางและคำพูดในน้ำเสียงของชายชุดดำต่อเขาดีขึ้นอย่างมาก
แน่นอนว่าเมื่อเล้งห่าวได้ยินเขาก็รู้สึกดีขึ้นมาทันที
“หืม? เรื่องใดเหรอ?”
ชายชุดดำบอก “ไม่กี่วันก่อนเล้งซู่ยังใช้ชีวิตอย่างเศร้าหมองดื่มสุราไปวันๆ แต่เมื่อวานนี้เขากลับเริ่มหยิบจับดาบขึ้นมาฝึกฝนอย่างหนักหน่วงและดูท่าจริงจังมากด้วย”
เมื่อเล้งห่าวได้ยินเช่นนั้นเขาก็หัวเราะลั่น “เวลาแค่สิบวันมันจะทำอะไรได้? ไม่ว่ามันจะฝึกฝนตัวไปมากแค่ไหนเขาก็ไม่มีทางเป็นคู่มือข้าได้แน่! เจ้ามารบกวนการบ่มเพาะของข้าด้วยเรื่องแค่นี้อย่างนั้นหรือ?”
ชายชุดดำนั้นรีบพูดแก้ตัวขึ้นมาทันที “การฝึกฝนหลายปีของเขานั้นได้มาถึงจุดสำคัญแล้ว ท่านจงอย่าประมาทไป!”
เล้งห่าวขมวดคิ้วแน่น เขาหยุดคิดไปนิดหน่อยก่อนจะบอก “ช่างเถอะ ที่เจ้าว่ามามันก็ถูก นี่คือขวดผงหอมสวรรค์เอ็นอ่อนมาพอที่จะทำให้ปราณเทวะของผู้คนไม่อาจไหลถ่ายเทได้คล่อง เจ้าจงหาโอกาสใช้มันเพื่อวางยาน้องชายข้าเสีย ศึกนี้ ข้าจะจัดการเขาต่อหน้าผู้คนอย่างสง่าและผ่าเผย”
เมื่อพูดไปเล้งห่าวก็นำผงหอมสวรรค์เอ็นอ่อนออกมาหนึ่งขวดและมอบมันให้แก่ชายชุดดำ
ผงหอมสวรรค์เอ็นอ่อนนั้นเป็นสิ่งที่ไร้สีไร้กลิ่น ต่อให้ผู้คนดื่มกินมันเข้าไปก็ยากที่จะรู้ตัวได้
มีเพียงเวลาที่จะเริ่มทำการต่อสู้จริงๆ เท่านั้นที่ฤทธิ์ของมันจะแสดงออกมา
ชายชุดดำคนนั้นยิ้มขึ้นมาทันที “ในที่สุดความหวังหลายต่อหลายปีของท่านก็จะเป็นจริงแล้ว ข้าน้อยขอยินดีกับท่านด้วยจริงๆ!”
…
สิบวันผ่านไปในพริบตาจนถึงวันนี้ในที่สุดคนตระกูลเล้งก็ได้มารวมตัวกันที่ลานฝึก
ศิษย์ของตระกูลเล้ง ยามเฝ้าตระกูล รวมไปถึงคนใช้ต่างออกมาเพื่อดูศึกตัดสินความเป็นนายน้อยของตระกูล
“หึ สายสัมพันธ์มนุษย์ปลอมๆ ผู้นำตระกูลคนก่อนตายลงอย่างไม่คาดฝัน ตอนนี้เล้งซู่ก็ไม่อาจรักษาตำแหน่งผู้นำตระกูลได้อีกต่อไปแล้ว”
“การต่อสู้นี้มันก็แค่พิธีเพื่อทำเรื่องราวให้เป็นทางการ พลังฝีมือของเล้งซู่ย่อมไม่มีทางเทียบเล้งห่าวได้แต่แรกแล้ว”
“หากเล้งซู่ยังพอมีปัญญาอยู่บ้างเขาคงต้องมาเพื่อยอมแพ้โดยตรงแน่”
…
นี่แหละคือมนุษย์
ผู้นำตระกูลคนก่อนตายไปนานหลายปีแล้ว ตอนนี้เล้งห่าวก็เป็นดั่งดวงตะวันที่ฉายแสงไปทั่ว ทุกคนต่างรับรู้ดีว่าสุดท้ายเขาคนนี้จะได้ขึ้นเป็นนายน้อยสืบทอดตระกูลแทน และมันย่อมทำให้ไม่มีใครคิดสนใจจะไปอยู่ข้างเล้งซู่
ในตระกูลใหญ่ๆ อย่างตระกูลเล้งนี้ สายสัมพันธ์ของผู้คนมันเย็นชาเสียยิ่งกว่าน้ำแข็ง
บางทีอาจจจะเป็นเพราะว่าเขาใกล้ได้เป็นนายน้อยของตระกูลแล้ว ทำให้เล้งห่าวดูท่าทางร่าเริงและมารออยู่บนสังเวียนตั้งแต่ไก่โห่
เรื่องราวที่แสนสำคัญเช่นนี้ เล้งหงซิ่วและเหล่าผู้เฒ่าผู้แก่ของตระกูลเล้งย่อมต้องออกมาดูชมมัน แต่พวกเขากลับพบว่ามีแค่เล้งซู่เท่านั้นที่ยังมาไม่ถึง
เหล่าผู้เฒ่านั้นเริ่มพูดขึ้นอย่างร้อนใจ “หึ! เล้งซู่นี้มันช่างไม่เชื่อฟังใคร ทำให้เราเหล่าคนเฒ่าคนแก่ต้องมารอมัน! คนอย่างมันนี้ไม่ต้องให้เป็นผู้สืบทอดตระกูลต่อนั่นแหละดีแล้ว”
“เล้งซู่มันไม่เชื่อฟังใครทำอะไรตามใจตน เดิมทีมันก็ไม่เคยคิดจะเห็นหัวผู้อาวุโสเราอยู่แล้ว จะว่าไปเด็กน้อยเล้งห่าวคนนี้ยังดีกว่าเยอะ”
เมื่อเหล่าผู้เฒ่าผู้แก่ทั้งหลายเริ่มมาถึงพวกก็พูดเห็นด้วยไปตามๆ กัน
เมื่อเล้งห่าวได้ยินคำพูดของเหล่าผู้เฒ่าทั้งหลายเขาก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาอย่างมาก
เหล่าผู้เฒ่าทั้งหลายนี้ ปกติแล้วเขาย่อมเข้าหาอย่างอ่อนน้อม มีหรือที่มันจะเหมือนเล้งซู่ที่ไม่คิดสนใจผู้เฒ่าผู้แก่ของตระกูลเลย?
เพราะฉะนั้นตำแหน่งนายน้อยของเล้งซู่มันจึงมีแต่ความหายนะเท่านั้น
เล้งห่าวยิ้มออกมาเมื่อได้ยินเช่นนั้น “การต่อสู้ครั้งนี้เป็นเรื่องสำคัญ น้องซู่คงต้องใช้เวลาเตรียมตัวนานกว่าปกติเป็นเรื่องธรรมดา หวังว่าเหล่าผู้อาวุโสจะรอเขาอีกสักนิด”
คำพูดของเล้งห่าวนั้นทำให้ผู้เฒ่าทั้งหลายเริ่มยอมอ่อนข้อลง
เพราะตอนนี้แม้แต่เล้งหงซิ่วก็ไม่ได้สังเกตถึงความผิดปกติใดๆ และแค่พยักหน้ารับไปเท่านั้น
เว้นเสียแต่ว่าจะมีนางสวรรค์คนหนึ่งที่นั่งข้างๆ เขานั้นขมวดคิ้วแน่นด้วยท่าทางอึดอัด
จู่ๆ ก็เกิดเสียงขึ้นมาในฝูงชนก่อนจะแหวกกันไปเป็นทาง
ชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่งเดินกระโดดออกมาจากเส้นทางนั้นขึ้นมายังสังเวียน
เขามองดูเล้งห่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ “ยังคงเป็นพี่ห่าวที่เข้าใจข้าเสมอ ศึกสำคัญเช่นนี้มีหรือที่ข้าจะไม่เตรียมตัวให้พร้อมได้?”
สภาพของเล้งซู่ในตอนนี้ดูคึกคักสดใสมาก ใบหน้าของเขาสว่างชัด สภาพจิตใจเบิกบานราวกับได้เกิดใหม่
เมื่อเล้งห่าวเห็นรอยยิ้มบางๆ ของเล้งซู่นั้นเขาก็อดไม่ได้ที่จะตื่นตะลึงขึ้นมาในหัวใจ
ที่ผ่านๆ มาเขาได้เห็นแต่ใบหน้าเจ็บปวดของเล้งซู่ แต่เล้งซู่ในวันนี้มันดูจะแตกต่างจากแต่ก่อนอย่างสิ้นเชิง
มันเกิดอะไรขึ้นในเวลาแค่สิบวันนี้กัน?
จู่ๆ หน้าของเขาก็ยิ่งซีดหนักลง “เจ้าบรรลุแล้ว!”
เล้งซู่พยักหน้ายิ้มรับ “ศัตรูของข้าในวันนี้คือพี่ห่าว มีหรือที่ข้าจะไม่พยายามได้?”
เมื่อได้เห็นความตื่นตกใจของเล้งห่าว เล้งซู่ก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาในหัวใจ
วันนี้ทุกผู้คนจะได้รู้ว่าตัวเขา เล้งซู่นั้นคือยอดอัจฉริยะอันดับหนึ่งของตระกูลเล้ง!
และตำแหน่งนายน้อยสืบทอดตระกูลใดๆ นี้ เขาไม่ต้องการมัน!
แน่นอนว่าที่เขาสามารถบรรลุขึ้นมาได้มันย่อมเป็นเพราะเย่หยวน
เดิมทีเขานั้นมีพลังบ่มเพาะแค่อาณาจักรนภาสวรรค์สี่ดาวขั้นต้น มันย่อมไม่มีทางใดที่จะบรรลุขึ้นมาได้ง่ายๆ เช่นนี้ แต่ด้วยโอสถระดับเทวะโมฆะของเย่หยวนมันจึงช่วยให้เขาสามารถบรรลุขึ้นสู่นภาสวรรค์สี่ดาวขั้นกลางได้ในเวลาแค่สิบวัน
เล้งห่าวนั้นมีพลังบ่มเพาะอยู่ที่อาณาจักรนภาสวรรค์สี่ดาวขั้นปลาย ทำให้ความแตกต่างของทั้งสองในตอนนี้ไม่ได้ห่างชั้นกันมากนัก
แม้ว่าเล้งห่าวจะมีพรสวรรค์ที่ไม่น้อย แต่เล้งซู่ก็ยังเหนือกว่าทำให้เขามีแนวคิดที่ลึกล้ำกว่าพี่ชายอย่างเล้งห่าวมาก!
เล้งห่าวพยายามฝืนยิ้มออกมา “ฮ่าๆ เยี่ยม! แต่ว่าอย่างไรเสียข้าก็มีพลังบ่มเพาะที่เหนือกว่าเจ้า ข้าย่อมไม่มีทางที่จะแพ้เจ้าได้!”
เล้งซู่มองดูเล้งห่าวด้วยรอยยิ้มแสนสงบ “เช่นนั้นหรือ? พี่ห่าว ท่านนั้นเป็นพี่ชายของข้ามาเสมอ ท่านนั้นคือเป้าหมายที่ข้าตั้งไว้! และวันนี้ข้าจะก้าวข้ามเป้าหมายนั้นให้ดู!”
เขาไม่ได้ล้อเล่นใดๆ เล้งห่าวนั้นมีพลังฝีมือที่นับได้ว่าเป็นยอดคนของรุ่นคนหนุ่มสาวในตระกูลเล้ง
ไม่เช่นนั้นด้วยเชื้อชาติเกิดของเขา เขาย่อมไม่มีทางจะขึ้นมาสู่ตำแหน่งนี้ได้ง่ายๆ จนได้รับการยอมรับเป็นนายน้อย
เล้งห่าวนั้นเป็นพี่ชายที่ไม่มีสิ่งใดมาทดแทนได้ในสายตาของเล้งซู่เสมอ เพราะฉะนั้นเมื่อถูกเล้งห่าวคนนี้คิดร้ายใส่มันจึงทำให้เขาเจ็บปวดอย่างมาก
ภาพจำที่ค่อยๆ แตกสลายพังลงต่อหน้ามันเป็นสิ่งที่เจ็บปวดอย่างยากหาสิ่งใดมาทดแทน
แต่ด้วยการช่วยเหลือของเย่หยวน ในที่สุดเขาก็กลับมายืนหยัดได้
เมื่อได้เห็นความมั่นใจของเล้งซู่ เล้งห่าวก็ได้แต่หัวเราะเย้ยในหัวใจ
เล้งซู่นั้นกินผงหอมสวรรค์เอ็นอ่อนเข้าไปแล้ว ต่อให้เขาจะบรรลุขึ้นมาได้มันก็ย่อมไม่มีทางจะต่อต้านขัดขืน!
การต่อสู้นี้เป็นชัยชนะที่กำหนดมาตั้งแต่ยังไม่เริ่ม!
เล้งหงซิ่วยิ้มบอก “ในเมื่อซู่เอ๋อก็มาถึงแล้ว มาเริ่มการประลองเพื่อตำแหน่งนายน้อยสืบทอดตระกูลกันเลย”
เมื่อการต่อสู้เริ่มขึ้นคลื่นพลังดาบอันรุนแรงก็เข้าปะทะกันทันที
คนทั้งสองนั้นฝึกฝนดาบด้วยกันทั้งคู่ แถมยังมีแนวคิดอยู่ที่ระดับห้าเหมือนๆ กัน ทั้งยังใช้วรยุทธบ่มเพาะเดียวกันเสียอีก
แต่ว่าเล้งห่าวที่เป็นนภาสวรรค์สี่ดาวขั้นปลายกลับไม่สามารถชิงความได้เปรียบต่อเล้งซู่ที่เป็นนภาสวรรค์สี่ดาวขั้นกลางได้!
ยิ่งเล้งห่าวสู้ เขาก็ยิ่งตื่นตกใจเพราะพลังฝีมือของเล้งซู่นั้นพัฒนาขึ้นอย่างมาก!
เวลาสิบวันนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
ทำไมเล้งซู่จึงได้เปลี่ยนไปจนแทบกลายเป็นคนละคนเช่นนี้?
ที่สำคัญ… ทำไมผงหอมสวรรค์เอ็นอ่อนถึงยังไม่ออกฤทธิ์ใดๆ อีก?
เล้งห่าวนั้นแทบจะบ้าตาย!
“พี่ห่าว ไม่ตั้งสติให้ดีระวังจะแพ้นะ!” เล้งซู่พูดบอกด้วยรอยยิ้ม
เล้งห่าวนั้นตื่นตกใจขึ้นทันทีพร้อมเพิ่มแรงลงแขนทั้งสองข้างไป
แต่เขาก็ยังมึนงง ทำไมผงหอมสวรรค์เอ็นอ่อนถึงยังไม่ออกฤทธิ์อีกกัน?
“พี่ห่าวกำลังคิดว่าทำไมผงหอมสวรรค์เอ็นอ่อนถึงไม่ออกฤทธิ์หรือ? ไม่ต้องรอหรอก เพราะแม้ข้าจะได้กินผงหอมสวรรค์เอ็นอ่อนลงไปจริงๆ แต่… พิษนั้นมันถูกขจัดออกจากร่างข้าแล้ว!”
เป็นตอนนั้นเองที่เล้งซู่พูดบอกขึ้นมาอีกครั้ง
เล้งห่าวนั้นสั่นสะท้านไปทั้งดวงใจ พิษของผงหอมสวรรค์เอ็นอ่อนนั้นกลับถูกขจัดออกได้!
นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกัน?
ตอนที่ 1849 ความผิดพลาดแสนโง่งม
การเปลี่ยนแปลงอันกะทันหันทำให้จิตใจของเล้งห่าวสั่นสะท้าน
ในวินาทีนี้เขากลับถูกเล้งซู่กดดันเข้าจริงๆ
“ไม่มีทางน่า ข้าไม่มีทางแพ้!”
เสียงนั้นดังก้องอยู่ในใจของเล้งห่าว
เขาเตรียมการมาตั้งนานหลายต่อหลายปี ใช้ชีวิตราวสุนัขเลียแข้งขาผู้คน
เมื่อเรื่องราวมันดำเนินมาจนถึงจุดนี้แล้ว เขาจะแพ้ได้อย่างไร?
“ดาบแสงจ้าฝนทะยาน!”
เล้งห่าวตะโกนร้องพร้อมคลื่นดาบที่รุนแรงจากสี่ทิศ ทำให้พื้นที่บนสังเวียนนั้นสั่นสะเทือนขึ้น
“แข็งแกร่ง! สมชื่อเล้งห่าวจริงๆ ถึงขั้นสามารถฝึกฝนเพลงดาบสุดยอดของตระกูลเล้งและดาบแสงจ้าฝนทะยานได้จนถึงระดับนี้!”
“เล้งห่าวใช้ไม้ตายของตนออกมาแล้ว เท่านี้ผลลัพธ์ก็คงเป็นอันตัดสินกันเสียที!”
เสียงคนร้องบอกกันดังขึ้นที่ด้านนอกสังเวียน
เล้งห่าวใช้เพลงดาบออกมาอย่างดุดันจนครอบงำร่างของเล้งซู่ไว้จนสิ้น
แต่ทว่าภายใต้ฝนเงาดาบนั้นเล้งซู่กลับพูดขึ้น “ดาบแสงจ้าฝนทะยาน? พี่เล้งห่าว ด้วยสิบวันที่ข้าฝึกฝนดาบนี้มา ข้าย่อมพอเข้าใจมันได้บ้าง เช่นนั้นมาตัดสินกันว่าใครจะชนะด้วยดาบแสงจ้าฝนทะยาน!”
พูดจบเล้งซู่ก็สะบัดดาบออกพร้อมเงาดาบนับหมื่นที่พุ่งลงมาอย่างบ้าคลั่งทำลายดาบแสงจ้าฝนทะยานของเล้งห่าวไปจนสิ้น
นั่นทำให้เล้งห่าวหน้าถอดสีซีดเผือด “บ้าน่า! แนวคิดแห่งดาบระดับห้าขั้นกลาง! เจ้าฝึกฝนมันมาตั้งนานแต่ไม่เคยที่จะเข้าใจมันได้ ทำไมจู่ๆ เจ้าถึงสามารถใช้มันได้กัน?!”
ตอนนี้เขาได้พบว่าสิบวันนี้เล้งซู่สร้างความเปลี่ยนแปลงมากจนเกินที่จะทนรับไหว
มิใช่เพียงแค่บรรลุอาณาจักรบ่มเพาะ แต่เขายังบรรลุแนวคิดแห่งดาบด้วย
นี่มันเรื่องบังเอิญหรือ?
เรื่องบังเอิญขนาดนี้มันจะเกินไปไหม?
แต่ว่าตอนนี้มันไม่มีเวลาให้เล้งห่าวคิดมากมายแล้ว
ตอนนี้สิ่งเดียวที่จะเกิดขึ้นได้คือการปะทะแนวคิดแห่งดาบที่แสนรุนแรง
เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!
บนสังเวียนเกิดแสงสว่างไปทั่วพร้อมเงาดาบนับไม่ถ้วนที่พุ่งเข้าปะทะกัน
“อ่อก!”
จนในที่สุดร่างของเล้งห่าวก็ลอยปลิวออกไปพร้อมกระอักเลือดคำโต ร่วงลงยังพื้นสังเวียนอย่างแรง
เขาคิดอยากที่จะลุกกลับขึ้นมาแต่ดาบนั้นกลับมาจ่ออยู่ที่คอของเขาเสียแล้ว อีกแค่ก้าวเดียวเขาก็คงต้องตายลงแน่
“พี่เล้งห่าว ท่านแพ้แล้ว!”
เสียงประกาศของเล้งซู่ทำให้เล้งห่าวต้องสั่นสะท้าน
ความเงียบงัน!
การต่อสู้ที่เดิมทีมีผลอันแน่นอนกลับเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดฝันขึ้น
เล้งซู่ที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะชนะกลับพลิกกลับมาชนะได้!
หมายความว่าเล้งซู่นั้นยังเป็นนายน้อยต่อไป?
ตอนนี้หัวใจของหลายต่อหลายคนเริ่มสั่นเต้นรัวขึ้น
เวลาที่ผ่านๆ มานี้มีหลายต่อหลายคนที่ไปรุมว่ากล่าวระหว่างที่เขากำลังโศกเศร้า พวกเขานั้นไม่ได้แสดงท่าทางดีๆ แก่เล้งซู่แม้สักนิด
หากเล้งซู่ยังได้เป็นนายน้อยต่อไป พวกเขาทั้งหลายนั้นจะไม่โดนเล่นงานเอาทีหลังหรือ?
คนเหล่านี้เป็นเพียงตัวประกอบฉาก แท้จริงแล้วมันไม่มีใครคิดสนใจพวกเขาทั้งหลายเลย
ตอนนี้คนที่รู้สึกอึดอัดที่สุดย่อมเป็นเล้งหงซิ่วและเหล่าผู้อาวุโส
พวกเขานั้นจัดการประลองนี้ขึ้นเพื่อให้เล้งห่าวได้ตำแหน่งนายน้อยอย่างชอบธรรม ใครจะไปคิดว่าเล้งห่าวจะแพ้ลงเช่นนี้
แน่นอนว่าเรื่องนี้จะไปโทษเล้งห่าวก็คงไม่ได้
เพราะการพัฒนาของเล้งซู่นี้ ทุกคนต่างเห็นมันอย่างชัดเจน
เวลาแค่สิบวันเล้งซู่ราวกับได้เกิดใหม่!
แต่ผลลัพธ์เช่นนี้พวกเขาจะจบเรื่องราวอย่างไรดี?
ไม่มีใครพูด ตอนนี้ความเงียบและความอึดอัดเข้าปกคลุมในทุกหย่อมหญ้า
เล้งห่าวนั้นหน้าซีดเผือดด้วยดวงใจที่แตกสลาย
เวลาหลายปีที่เขาทนลำบากมา ความอัดอั้นนั้นมันย่อมพุ่งสูงเหนือฟ้า
“ฮ่าๆ น่าขันจริงๆ! ตระกูลเล้งมันช่างสร้างความผิดพลาดได้แสนโง่งมจริงๆ! ฮ่าๆ…”
เวลานี้เองที่มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
ตอนนี้มีเหล่ายอดฝีมือกำลังมุ่งหน้าตรงมายังบ้านตระกูลเล้ง
นั่นทำให้เล้งหงซิ่วแสดงสีหน้าดำคร่ำเครียดออกมาทันที “หานดงจุน เจ้ากล้าที่จะบุกเข้ามาในตระกูลเล้งข้า เจ้าเบื่อชีวิตแล้วหรือ?”
แต่หานดงจุนกลับตอบมาด้วยสีหน้าดุดัน “เล้งหงซิ่ว ลูกชายข้าถูกสังหาร แต่ตระกูลเล้งกลับคิดปกปิดตัวคนร้าย มีหรือที่ข้าจะยังไม่บุกเข้ามาได้?”
เล้งหงซิ่วกล่าวขึ้น “ไร้สาระ ทำไมตระกูลเล้งข้าต้องไปซ่อนตัวคนร้ายฆ่าสังหารลูกชายเจ้าด้วย?”
หานดงจุนหัวเราะบอก “เรื่องนี้เจ้าคงต้องถามนายน้อยคนใหม่ ไม่สิ นายน้อยคนเก่าของเจ้าแล้ว!”
เล้งหงซิ่วขมวดคิ้วแน่นก่อนจะหันหน้าไปหาเล้งซู่
เล้งห่าวที่เดิมทีหมดสิ้นความหวังใดๆ แล้วเมื่อได้เห็นการมาถึงของหานดงจุนเขาก็รู้สึกได้ถึงความหวังเส้นสุดท้าย!
“เล้งซู่ เจ้าคิดร้ายกับคนนอกจนทำให้ตระกูลเล้งเราต้องเสียหน้า! น้องซู่ของข้า ข้ารู้ดีว่าเจ้าไม่ชอบพี่ชายคนนี้ แต่นี่คือเรื่องในตระกูลเล้ง เจ้าทำเช่นนี้มันไม่ให้เกียรติผู้คนเกินไปแล้ว!” เล้งห่าวลุกขึ้นกล่าวว่า
เล้งซู่เองก็ไม่คิดไม่ฝันว่าหานดงจุนจะถึงขั้นบุกเข้ามาในบ้านตระกูลเล้งตรงๆ เช่นนี้
“ซู่เอ๋อ เจ้าไม่คิดจะอธิบายหน่อยหรือ?” เล้งหงซิ่วถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก
อย่าเอาชั้นในไปล้างในที่สาธารณะ
ไม่ว่าครอบครัวหนึ่งจะมีปัญหามากแค่ไหน คนภายในก็ไม่ควรเอาเรื่องไปเปิดเผยต่อภายนอก
แม้ว่าความขัดแย้งในตระกูลเล้งจะไม่ได้เป็นเรื่องที่ถูกปิดลับสักเท่าไหร่ก็ตาม
แต่หานดงจุนนั้นก็มาได้อย่างเหมาะเจาะ เป็นช่วงงานเลือกนายน้อยกันเสียพอดี เรื่องนี้มันย่อมทำให้ผู้คนเกิดความสับสนไม่น้อย
เล้งซู่นั้นเงียบไปพักใหญ่ก่อนจะบอกขึ้น “หานเซี่ยวถูกข้าสังหารเอง หากเจ้าอยากได้คนร้ายก็มาเอาตัวข้าไปสิ”
แต่เมื่อหานดงจุนได้ยินเช่นนั้นเขาก็หัวเราะลั่น ไม่นานนักสีหน้าของเขาก็ดำมืดลงพร้อมกล่าว “เด็กน้อย เจ้าเองก็หนีความผิดไม่ได้แน่! แต่คนที่สังหารลูกชายข้านั้นข้าได้สืบสวนมาอย่างดีแล้วว่ามันคือเด็กน้อยนามเย่หยวน!”
เมื่อได้ยินชื่อนั้นนางราชินีน้ำแข็งผู้งดงามก็สั่นสะท้านขึ้น เป็นครั้งแรกของวันที่เล้งชิวหลิงเปลี่ยนสีหน้าไป
เล้งหงซิ่วนั้นจึงรู้สึกตกใจไม่น้อยก่อนจะหันมาถาม “เจ้ารู้จักคนผู้นี้?”
เล้งชิวหลิงกลับมาตั้งสติได้อย่างรวดเร็วก่อนจะส่ายหัวออกมา “ไม่น่าจะใช่คนเดียวกัน”
บนยอดเขาแห่งถงเทียนนั้นชายผู้นี้ได้สร้างความแตกตื่นให้แก่จิตใจของนางอย่างมาก เรื่องนั้นจนวันนี้มันก็ยังฝังอยู่ในความทรงจำอย่างชัดเจนไม่อาจที่จะลืมเลือนมันไปได้
เว้นเสียแต่ว่าเย่หยวนที่หานดงจุนว่ามานี้มันคงไม่ใช่เย่หยวนคนเดียวกันกับที่นางรู้จักแน่
ด้วยความเร็วการบ่มเพาะของเย่หยวน มันย่อมไม่มีทางที่จะขึ้นมาถึงอาณาจักรนภาสวรรค์ได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ ไม่ว่าเขาจะสร้างเรื่องราวสุดน่าประหลาดไว้ที่ยอดเขาแห่งถงเทียนแค่ไหน
เพราะนักยุทธที่ใช้เวลากว่าห้าร้อยปีกลับยังไม่อาจขึ้นอาณาจักรราชันพระเจ้าได้ มีหรือที่จะใช้เวลาแค่สี่ห้าร้อยปีในการขึ้นอาณาจักรนภาสวรรค์ได้?
เพราะอย่างไรเสียการจะขึ้นอาณาจักรนภาสวรรค์นั้นมันก็ยากเย็นกว่าการขึ้นอาณาจักรราชันพระเจ้านับร้อยๆ เท่า
เล้งซู่ได้แต่ทำหน้าเหยเก เขารู้ดีว่าตอนนี้เย่หยวนเองก็คงอยู่ในฝูงชนที่มองดู ตอนนี้เขาจึงคิดอยากจะให้เย่หยวนรีบแฝงตัวหนีหายไปกับฝูงชน
แต่แน่นอนว่าเย่หยวนย่อมไม่คิดจะหนี
ฟุบ!
ระหว่างที่เล้งซู่กำลังมึนงงไม่รู้ต้องทำอย่างไรต่อนั้นเล้งห่าวก็ลอบโจมตีเขาออกมาด้วยฝ่ามือที่แสนรุนแรงซัดเข้าใส่ร่างเล้งซู่
“เจ้าคนทรยศตระกูลเล้ง! ทำไมเจ้ายังไม่พอคนผู้นั้นออกมาอีก? คุกเข่าลงเดี๋ยวนี้!”
ฝ่ามือนี้มันกะทันหันจนเล้งซู่ไม่อาจตั้งรับได้เลย ตอนที่เขาคิดยกมือขึ้นมากันมันก็สายเกินไปแล้ว
แต่เวลานั้นเองที่มีเงาร่างหนึ่งปรากฏออกมาจากความว่างเปล่าพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว
ปัง!
ฝ่ามือหนักๆ นี้ส่งร่างของเล้งห่าวไปไกลลิบ
“เพราะความเห็นแก่ตัวของตนเจ้ากลับคิดถึงขั้นจะฆ่าสังหารน้องชาย คนนอกคิดเข้ามาบุกรุกบ้านเจ้าแต่เจ้ากลับไม่ลังเลที่จะขายน้องเจ้าทิ้ง ให้คนนอกได้เห็นเรื่องราวสุดน่าขัน คนเช่นเจ้าน่ะหรือเหมาะที่จะสืบทอดตระกูล? เช่นนั้นตระกูลเล้งคงเป็นได้แค่ตัวตลกแล้ว!”
คำพูดของเย่หยวนมันเปี่ยมไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม
เมื่อเห็นเงาร่างนั้นยืนบนสังเวียน เล้งชิวหลิงก็ถึงกับต้องเบิกตากว้างด้วยความตื่นตะลึง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น