Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1840-1845

 ตอนที่ 1840 ความรักนั้นคืออะไร?

 

“แค่นั้น? หากข้าบอกว่าไม่ล่ะ?” ตงน้อยมองดูเย่หยวนด้วยสายตาที่ไม่คิดจะยอมจำนนอย่างเต็มที่


เขานั้นเป็นถึงเทพสวรรค์ แม้ว่าตอนนี้พลังฝีมือการบ่มเพาะของเขาจะไม่เป็นอย่างเดิมแล้วแต่เขาก็ไม่คิดจะยอมให้ใครมาเล่นหัวง่ายๆ


เขาไม่คิดว่าเย่หยวนจะกล้าลงมือทำอะไรต่อเขาจริงๆ


ตราบเท่าที่คนอื่นๆ รู้ถึงเรื่องนั้น เย่หยวนต้องตายลงแน่


มีหรือที่ตงน้อยจะยังมีท่าทางสดใสเหมือนเด็กๆ อยู่? ตอนนี้สภาพของเขานั้นทั้งเปี่ยมไปด้วยประสบการณ์และดูมากเล่ห์เหลี่ยมอย่างมาก


หมูสมบัติหันไปมองดูตงน้อยด้วยความสงสาร มันเป็นท่าทางที่ทำให้ผู้คนที่พบเห็นอดไม่ได้ที่จะต้องเข้ามากอดอุ้มมัน


แต่ตงน้อยกลับตะโกนบอก “เจ้าหมูโง่ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า กลับมานี่!”


หมูสมบัติส่ายหัวออกมาอย่างรุนแรงและยังคงเกาะขาเย่หยวนไว้อย่างไม่คิดปล่อย


เย่หยวนยิ้มตอบ “อาณาจักรจักรพรรดิเทพสวรรค์! ท่านไม่คิดที่จะก้าวขึ้นสู่อาณาจักรจักรพรรดิเทพสวรรค์บ้างหรือ?”


คำพูดนี้ทำให้ตงน้อยเปลี่ยนสีหน้าไปทันที


แต่ไม่นานเขาก็กลับมาหัวเราะเย้ย “หึ อาณาจักรเทพสวรรค์นั้นไม่ใช่สิ่งที่คนอย่างเจ้า นักยุทธอาณาจักรนภาสวรรค์จะมาสัญญาอะไรให้แก่ข้าได้หรอก”


แต่เย่หยวนกลับไม่คิดสนใจและคงรอยยิ้มบนใบหน้าไว้ “มิติอนัตตาก่อไผ่นั้นมันก็เป็นเพียงแค่โลกใบแคบๆ แค่ส่วนเล็กๆ ที่เทียบเคียงมหาพิภพถงเทียนไม่ได้ แม้ท่านจะเป็นตัวตนที่ราวกับเทพเจ้าในมิตินี้ สุดท้ายมันก็เป็นได้แค่การหลอกตัวเองและคนอื่นมิใช่หรือ? ที่สำคัญสภาพของท่านในวิหารตอนนี้มันก็คงไม่ดีนักใช่ไหมล่ะ?”


ตงน้อยหน้าถอดสีทันทีที่ได้ยิน เย่หยวนนั้นมีทักษะการสังเกตและวิเคราะห์ที่แม่นยำมาก


เขาย่อมไม่เคยพบเจอกับเหล่าผู้ปกครองวิหารมากก่อนแน่นอนและย่อมไม่มีทางรู้สถานการณ์ภายในของวิหาร แต่เพียงแค่ใช้การเดาวิเคราะห์เขากลับสามารถฟันธงเรื่องราวลงมาได้อย่างแม่นยำ


เรื่องนี้มันเหนือล้ำกว่าที่คนทั่วๆ ไปจะเทียบเคียงได้!


ที่สำคัญคำพูดของเย่หยวนนี้มันยังกระแทกเข้ากลางใจเขาอย่างรุนแรง


เพราะพวกเขาเหล่าผู้ปกครองมิติอนัตตาก่อไผ่นี้ต่างยินดีปรีดาที่ได้รับการยกย่องราวกับเป็นเทพเจ้า


แต่แท้จริงแล้วพวกเขาต่างกลัวโลกภายนอก


เทพสวรรค์นั้นเป็นกำลังที่ไม่ต่ำต้อยในมหาพิภพถงเทียน แต่หากให้พูดถึงความสูงส่งแล้วมันก็ยังไม่อาจนับได้ว่าเป็นตัวตนที่สูงส่งเลยสักนิด


เพราะเหนือเทพสวรรค์ไปมันยังมีจักรพรรดิเทพสวรรค์ และเหนือจักรพรรดิเทพสวรรค์ไปมันก็ยังมีถึงเต๋าบรรพกาล!


เทพสวรรค์จะไปมีค่าใด?


หากเจอจักรพรรดิเทพสวรรค์สักคนเข้า พวกเขาก็คงถูกสังหารลงอย่างไม่มีทางต้าน!


ให้พูดตรงๆ พวกเขานั้นเป็นเพียงแค่กบในกะลา ปกครองดินแดนอันคับแคบของตัวเอง


เย่หยวนมองดูสีหน้านั้นของเขาและบอก “ข้านั้นเป็นแค่นภาสวรรค์ ข้าย่อมไม่มีสิทธิ์ใดๆ ไปพูดถึงอาณาจักรจักรพรรดิเทพสวรรค์ แต่ทักษะการโอสถของข้าท่านก็ได้เห็นมันแล้ว ท่านคิดว่ามันเป็นอย่างไรบ้างเล่า?”


ตงน้อยเงียบไปทันทีด้วยสีหน้าไม่สู้ดี


‘อู๊ดๆ…’


ตงน้อยไม่คิดพูด แต่เจ้าหมูสมบัติกลับร้องขึ้นแทน


ความหมายของมันนั้นชัดเจนมาก โอสถของเย่หยวนนั้นอร่อยกว่าของตงน้อย!


ตงน้อยแทบคิดอยากเตะมันให้ปลิวคาเท้า “เจ้าสัตว์หน้าขนกินบนเรือนขี้รดบนหลังคา เจ้าไปกับมันเลยสิ ยิ่งไปไกลมันยิ่งดี!”


หมูสมบัติทำหน้าเศร้าออกมาเพราะมันแค่พูดบอกความจริงเท่านั้น


เมื่อเย่หยวนเห็นเช่นนี้เขาก็อดไม่ได้ที่จะอมยิ้มออกมา


หมูสมบัตินั้นมีลิ้นที่สัมผัสถึงคุณภาพของโอสถได้อย่างดี ตอนนี้เมื่อมันชินกันโอสถที่เย่หยวนหลอมไปแล้ว แม้จะเป็นโอสถของตู้หรูเฟิงก็คงกลายเป็นไร้รสชาติสำหรับมัน


“หากเป็นเช่นนั้น ท่านจะมั่นใจได้อย่างไรว่าวันหน้าข้าจะไม่อาจหลอมโอสถช่วยท่านบรรลุอาณาจักรจักรพรรดิสวรรค์ได้?”


พูดจบเย่หยวนก็เงียบปากลงรอฟังคำตอบของตงน้อย


เขานั้นมั่นใจมากว่าตงน้อยต้องยอมรับคำ


เพราะตอนนี้เขามีพลังที่แสนอ่อนแอ หากอยู่ในวิหารต่อไปมันมีแต่จะทำให้เกิดอันตราย สู้ออกไปท่องโลกภายนอกเสียจะยังดีกว่า


“เอาล่ะ เจ้าชนะ ข้าจะไปกับเจ้า! ปล่อยข้าได้แล้ว!” ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแต่ในที่สุดตงน้อยก็ยอมรับคำ


ได้ยินคำของตงน้อยหมูสมบัติก็รีบกระโดดโลดเต้นอย่างยินดีทันที


ตอนนี้ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าของอร่อยๆ สำหรับมัน


เย่หยวนยิ้มบอก “เรื่องนั้นคงไม่ได้ เทพสวรรค์ที่กลายเป็นเด็กก็ยังคงเป็นเทพสวรรค์ ข้าไม่อยากเอาชีวิตไปเสี่ยง ตอนนี้ข้าได้หลอมพิษหนึ่งขึ้นมาเป็นพิเศษ เมื่อท่านกินข้าจึงจะปล่อยท่าน”


ตงน้อยนั้นโกรธจนหน้าดำหน้าแดงด้วยดวงตาที่แสนดุร้าย “เด็กน้อย เมื่อใดที่ข้าได้พลังกลับมาข้าจะสังหารเจ้าลงเสียตรงนั้นเลย!”


เย่หยวนส่ายหัวออกมาทันที “ท่านไม่ทำแน่! สังหารข้าแล้วใครกันที่จะหลอมโอสถให้หมูสมบัติ? ใช่ไหมหมูสมบัติ?”


หมูสมบัติรีบพยักหน้ารับพร้อมพุ่งตัวเข้ากอดเย่หยวนในทันที



“อะไรนะ? ท่านอยากไปยังมหาพิภพถงเทียน?” เมื่อตู้หรูเฟิงได้ยินคำของตงน้อยเขาก็แทบจะกระโดดลุกขึ้นด้วยความตื่นตกใจ


ตงน้อยบอกมาด้วยท่าทางจริงจัง “ข้าคิดดีแล้ว ตอนนี้ออกไปเสียก่อนจะดีกว่า ข้ากลับมาเป็นเด็กได้เพราะวรยุทธบ่มเพาะที่ข้าใช้ แต่เรื่องนี้มันคงปิดไว้ได้ไม่นาน เมื่อพวกเฒ่าอู่เต๋ารู้ถึงสภาพข้าในตอนนี้พวกมันคงไม่มีทางปล่อยข้าไว้แน่”


ตู้หรูเฟิงหน้าถอดสี “เช่นนั้น… ศิษย์จะตามท่านไปยังมหาพิภพถงเทียนด้วย!”


ตงน้อยส่ายหัวออกมา “ไม่ ต่อให้เจ้าไปเจ้าก็คงช่วยอะไรได้ไม่มาก แค่ให้เย่หยวนไปกับข้าก็เพียงพอแล้ว”


ตู้หรูเฟิงผงะไปไม่น้อย “เย่หยวน?”


ตงน้อยรีบพยักหน้าตอบกลับ “ตอนนี้หมูสมบัติมันเลิกที่จะกินโอสถใดๆ ของเจ้าไปแล้ว เจ้าคิดว่าตัวเองยังจะแทนที่เย่หยวนได้อีกหรือ? วางใจเถอะ คิดเสียว่าข้าพาเขาออกไปฝึก เด็กคนนี้มันมีอนาคตไกล”


ตู้หรูเฟิงพยักหน้าออกมาเพราะในใจของเขาเองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน “เช่นนั้น… ก็ได้ แต่นายท่านต้องระวังตัวให้ดี มหาพิภพถงเทียนนั้นมันเต็มเปี่ยมไปด้วยผู้มากความสามารถอย่างที่เทียบกับมิติอนัตตาก่อไผ่ไม่ได้”


ด้วยเหตุนี้เย่หยวนจึงสามารถไปยังมหาพิภพถงเทียนได้อย่างเป็นทางการ


ตอนนี้เขาไม่ต้องกังวลแล้วว่าวิหารจะไปลงโทษนิกายเงาจันทร์ใดๆ อีก


ก่อนจะออกมิติอนัตตาก่อไผ่ไปตู้หรูเฟิงก็ได้ส่งมอบสมุนไพรระดับห้าให้เย่หยวนอย่างมากมายมหาศาล


เพราะเจ้าหมูสมบัตินั้นมันกินจุมาก ไม่ว่าจะเอาไปด้วยเท่าไหร่มันก็คงไม่พอ


แต่แท้จริงแล้วเย่หยวนนั้นสามารถเปิดโถงบัลลังก์ม่วงชั้นสองออกได้ ตอนนี้เขาจึงมีเงินตราติดตัวมากมายมหาศาล จะซื้อสมุนไพรระดับห้ามากเท่าไหร่มันก็คงไม่มีปัญหา


แต่เมื่อวิหารมอบมา มีหรือที่เขาจะปฏิเสธไม่รับไว้


สิบวันจากนั้นสองคนหนึ่งหมูก็หายเข้าไปในดวงใจมิติอนัตตา หายไปอย่างไม่อาจมีใครมองเห็นได้อีก



เจ็ดปีจากนั้นคนทั้งสี่ที่เหลือก็ลืมตาตื่นขึ้นมาจากสมาธิ


“ดูเหมือนพวกเจ้าจะได้รับประโยชน์กันไปไม่น้อย เอาล่ะเรื่องในครั้งนี้ถือว่าจบลงแล้ว เฒ่าคนนี้จะพาพวกเจ้ากลับและไปรายงานภารกิจเสีย ไปกัน” ตู้หรูเฟิงบอก


แต่ไป่หลี่ชิงหยานกลับขมวดคิ้วแน่น “ผู้อาวุโสตู้ เย่หยวนล่ะ? ทำไมเขาถึงไม่อยู่กัน?”


ตู้หรูเฟิงบอก “เย่หยวนนั้นเสร็จเร็วกว่าพวกเจ้าไปมาก และทางวิหารก็มีภารกิจให้เขาพอดีตอนนี้เขาจึงออกไปทำภารกิจแรกแล้ว”


ไป่หลี่ชิงหยานนั้นแสดงความรู้สึกไม่เชื่อออกมาลึกๆ “ภารกิจ? เย่หยวนเป็นแค่ศิษย์ใหม่ที่เพิ่งเข้าวิหารมา วิหารจะสั่งให้เขาไปทำภารกิจแบบใดกัน? แล้วตงน้อยกับหมูสมบัติเองก็ไม่อยู่! ผู้อาวุโสตู้ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”


ตู้หรูเฟิงหน้าเสียทันทีก่อนจะตอบอย่างกลบเกลื่อนออกมา “เรื่องของวิหารยังต้องมาปรึกษาเจ้าหรือ?”


ไป่หลี่ชิงหยานนั้นฉลาด นางย่อมรู้สึกได้ว่าการหายตัวไปของเย่หยวนมันผิดปกติ นางรู้สึกได้ว่ามันต้องมีอะไรเกิดขึ้นและรู้สึกราวกับว่าตัวเองได้สูญเสียบางสิ่งไป


หัวใจของนางนั้นปวดร้าว!


“ขออภัย ผู้อาวุโสตู้ ข้า…” ไป่หลี่ชิงหยานพูดขอโทษออกมา


มีหรือที่ตู้หรูเฟิงจะไม่เข้าใจนาง? เขาได้แต่ถอนหายใจ “เอาล่ะ ไปกันเถอะ!”


ไปหลี่ชิงหยานพยักหน้ารับและเตรียมตัวเดินทางกลับ


แต่เมื่อทุกคนเตรียมตัวอย่างไม่ทันสังเกต ไป่หลี่ชิงหยานกลับพุ่งตัวเข้าไปยังใจกลางของดวงใจมิติอนัตตาและหายวับไป


เมื่อตู้หรูเฟิงเห็นนางหายตัวไปเช่นนั้นเขาก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวออกมา ด้วยพลังของเขาหากคิดหยุดไป่หลี่ชิงหยานมันย่อมทำได้ง่ายๆ


แต่เขาไม่ทำ


ตู้หรูเฟิงถอนหายใจยาว “ความรักมันคืออะไรกันแน่นะ ชักจูงผู้คนให้หลงมัวเมาจนสุดท้ายต้องตายแยกจาก! ช่างเถอะ ปล่อยนางไป! พวกเจ้าทั้งหลาย เรื่องในวันนี้พวกเจ้าห้ามแพร่งพรายออกไปอย่างเด็ดขาด! ไม่เช่นนั้นพวกเจ้าจะต้องได้รับโทษอย่างสาหัส!”

 

 

 


ตอนที่ 1841 สิบชามคะมำ

 

ณ เมืองหลวงจักรพรรดิพันทะยาน มหาพิภพถงเทียน


ความเจริญของเมืองหลวงจักรพรรดินั้นมันแตกต่างอย่างที่ไม่อาจนำเมืองจักรพรรดิใดๆ มาเทียบเคียงได้


เมืองหลวงจักรพรรดิพันทะยานนั้นกินพื้นที่กว้างขวาง ยิ่งใหญ่กว่าเมืองจักรพรรดิทั่วๆ ไปหลายเท่าตัวนัก


เหล่านักยุทธอาณาจักรราชันพระเจ้าที่หาได้ยากยิ่งในเมืองจักรพรรดินั้นมีให้เห็นทั่วไปในเมืองหลวงจักรพรรดิ


ต่อให้เป็นนักยุทธอาณาจักรนภาสวรรค์ก็ยังพบเจอได้ไม่ยากเย็นนัก


ในร้านสุราเล็กๆ แห่งหนึ่งมีเด็กชายอายุราวแปดถึงเก้าขวบอุ้มหมูสีชมพูอ่อนนั่งอยู่กับชายหนุ่มคนหนึ่ง


แน่นอนว่าพวกเขานั้นคือเย่หยวนและตงน้อยผู้ที่เพิ่งจะออกมาจากมิติอนัตตาก่อไผ่ได้ไม่นาน


“เด็กน้อย ทำไมเราจึงมุ่งหน้ามายังที่แห่งนี้กัน?” ตงน้อยถาม


พวกเขาทั้งหลายนั้นล่องลอยติดอยู่ในดวงใจมิตินานนับสิบปีกว่าจะออกมายังมหาพิภพถงเทียนได้


แต่เมื่อพวกเขาทั้งหลายออกมาได้ พวกเขากลับพบว่าตัวเองได้มาอยู่ในเทือกเขาใกล้ๆ กับเมืองหลวงจักรพรรดิพันทะยาน


เดิมทีเย่หยวนนั้นคิดที่จะมุ่งหน้าตรงกลับไปยังเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ทันทีแต่ไม่ทราบเพราะเหตุใดหวู่เฉินกลับบอกให้เขาเข้ามาอยู่ในเมืองหลวงจักรพรรดิพันทะยานก่อน


เย่หยวนเองก็ถามออกไปถึงเหตุผลแต่ตัวหวู่เฉินกลับบอกว่าไม่ทราบ และรู้แค่ว่าตัวเองรู้สึกได้ว่ากำลังมีเรื่องราวใหญ่โตเกิดขึ้นใกล้ๆ เมืองหลวงจักรพรรดิพันทะยานนี้ ซึ่งน่าจะเกี่ยวข้องกับพวกเขาทั้งหลาย


เรื่องความรู้สึกเหนือธรรมชาติของหวู่เฉินนี้แม้เย่หยวนจะสงสัยแต่ก็ไม่ได้บ่นอะไรมากมาย


เพราะสัญชาตญาณของนักยุทธนั้นมักแม่นยำเสมอ


ตงน้อยถามคำถามที่เย่หยวนเองก็ไม่อาจตอบได้ออกมา เขาจึงได้แต่ยิ้มแห้งๆ ตอบไป “อย่าถามเลย ข้าก็ไม่รู้”


ตงน้อยไม่คิดตื่นตกใจใดๆ และแค่ถามขึ้นมาต่อ “เช่นนั้นเราจะเอาอย่างไรต่อกันดี?”


เย่หยวนหยุดคิดไปพักหนึ่ง “หาที่หลับนอนก่อนล่ะนะ ข้าว่าอีกไม่นานเรื่องใดๆ ก็คงได้รู้ผลกันแล้ว”


ร้านนี้มันไม่ได้ใหญ่โตมากมายแต่อาหารของพวกเขานั้นแสนอร่อย เย่หยวนและตงน้อยจึงรีบกัดกิมันด้วยท่าทางแสนเอร็ดอร่อย


เมื่อมาถึงระดับของเย่หยวนแล้วพวกเขาทั้งหลายนั้นไม่ต้องกินอาหารใดๆ อีก แต่มันก็ยังมีนักยุทธอีกมากมายที่ชอบดื่มสุราและกินเนื้อในร้านต่างๆ


หนึ่งคือสุราและเนื้ออาหารทั้งหลายนั้นมันมักไม่ใช่อาหารธรรมดาๆ แต่เป็นสิ่งของที่จะช่วยในการบ่มเพาะของพวกเขา


อย่างที่สองคือเพื่อคลายความเครียดจากการบ่มเพาะนานปี ตอบสนองความต้องการตั้งเดิม


ระหว่างที่คนทั้งสองกำลังกินกันไปอย่างเอร็ดอร่อยก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาหาเย่หยวนด้วยรอยยิ้ม “พี่ชายท่านนี้ ร้านนี้มันช่างมีกิจการดีเหลือเกิน ข้าขอนั่งโต๊ะร่วมกับท่านด้วยได้หรือไม่? อาหารและสุราของท่านนั้นข้าจะเป็นคนจ่ายให้เอง”


เย่หยวนเงยหน้าขึ้นมามองดูชายหนุ่มคนนี้และพบว่าใบหน้าของเขานั้นไม่มีท่าทางอวดดีอวดรวยใดๆ แตกต่างจากพวกคุณหนูบ้านคนรวยทั้งหลายที่เขาเคยเจอ


ตอนที่เขาบอกว่าจะเลี้ยง ใบหน้าของเขาก็เปี่ยมไปด้วยความจริงใจและไม่มีท่าทางจะโอ้อวดใดๆ ด้วย


เพราะฉะนั้นเย่หยวนจึงพยักหน้ารับและทำท่าเชิญ “เชิญนั่ง”


ชายหนุ่มรูปงามคนนั้นแสดงท่าทีดีอกดีใจออกมาก่อนจะรีบตะโกนสั่ง “ข้าขอชุดชามและตะเกียบพร้อมอาหารที่ดีที่สุดมาหนึ่งชุด”


พูดจบเขาก็หันมายิ้มให้เย่หยวน “ข้ามีนามว่าเล้งซู่ ท่านพี่ท่านนี้มีนามว่าใดหรือ?”


“เย่หยวน”


“ฮ่าๆ ที่แท้เป็นพี่เย่นี่เอง การพบพานของเรานี้คงเป็นเพราะชะตา! มา ดื่มกัน!”


เย่หยวนยิ้มออกมาเบาๆ ก่อนจะยกแก้วขึ้นชนกับอีกฝ่ายและดื่มลงจนหมดภายในอึกเดียว


“ฮ่าๆ เยี่ยม! พี่เย่สุราสิบชามคะมำของร้านนี้มันแรงไม่น้อย เรามาดื่มแข่งกันโดยไม่ใช้ปราณเทวะหน่อยไหม?”


คนที่มายังร้านแห่งนี้ย่อมมาเพื่อดื่มกินหาความสุข


หากมีผู้ใดใช้ปราณเทวะกลั่นหลอมสุรามันย่อมทำให้เรื่องราวทั้งหลายไร้ความหมายไปทันที


แต่หากอยากจะให้นภาสวรรค์ต้องเมาแล้วมันคงมิใช่เรื่องที่ง่ายดายนัก


การที่จะทำให้ยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์ล้มคะมำได้ในสิบชาม มันย่อมบ่งบอกถึงความแรงของสุราชนิดนี้อย่างมาก


เย่หยวนยิ้มตอบ “เอาล่ะ ดื่ม!”


พูดจบคนทั้งสองก็ยกแก้วขึ้นอีกครั้งทันที


ในพริบตา สิบชามก็ลงไปอยู่ในทองของพวกเขาโดยที่ทั้งสองกลับไม่มีท่าทีมึนเมาใดๆ


เรื่องนี้ทำให้ลูกค้าที่นั่งกันอยู่เริ่มหันมามองให้ความสนใจเย่หยวนและเล้งซู่ที่กำลังยกสุราขึ้นดื่มอย่างไม่มีหยุดยั้งด้วยปากที่เปิดอ้าค้างด้วยความตกตะลึง


“เอ๋? นั่นมันนายน้อยตระกูลเล้งมิใช่หรือ? ไม่แปลกเลยที่จะดื่มได้ขนาดนี้ได้ยินว่าเขาเคยดื่มสุราสิบชามคะมำนี้ไปได้ถึงสี่สิบหกชาม! ตั้งแต่นั้นมาผู้คนต่างก็เรียกเขาว่าเป็นเทพแห่งสุรา!”


“แต่ว่าเจ้าหนุ่มที่นั่งข้างเขาเองนั้นก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน ถึงขั้นสามารถยืนสู้กับนายน้อยเล้งได้ขนาดนี้!”


“หึ ไม่มีทางล่ะ! นามของสุราสิบชามคะมำนั้นไม่ได้ตั้งมาเล่นๆ หลังผ่านชามที่สิบไปได้ฤทธิ์ของสุรามันก็จะยิ่งเพิ่มทวีคูณ ข้าว่าอย่างมากเขาก็อยู่ได้แต่ยี่สิบชามแหละ”



ร้านสุรานี้มันตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกล คนที่มายังร้านนี้ล้วนแล้วแต่เป็นลูกค้าหน้าเก่าขาประจำที่รู้จักเจ้าสุราสิบชามคะมำนี้อย่างดี


มันไม่ใช่ว่าจะไม่เคยมีใครดื่มได้เกินสิบชามมาก่อน แต่คนเหล่านั้นก็ไม่ได้มีจำนวนมากนัก


ไม่ว่าจะเป็นนภาสวรรค์ที่เก่งกาจแค่ไหน พวกเขาก็ไม่อาจดื่มได้เกินยี่สิบห้าชาม


แต่น่าเสียดายที่เย่หยวนกลับทำให้คำคาดเดานั้นผิดพลาดไปจนหมด


“เยี่ยม ชนอีก!”


“ไม่นึกเลยว่าเย่หยวนท่านเองก็เป็นคนสายเดียวกัน! ฮ่าๆ เยี่ยม สุดยอดเลย!”


เล้งซู่ดื่มเร็วขึ้นและเร็วขึ้นจนหัวเราะลั่นออกมา แต่เมื่อเย่หยวนเห็นท่าทางยิ้มและหัวเราะของเขาเย่หยวนกลับพบว่ามันแฝงปนมาด้วยความโศกเศร้าไม่สบายใจ


คนผู้นี้มาเพื่อเมา!


เย่หยวนนั้นสงสัยไม่น้อยว่าเรื่องราวใดมันถึงทำให้ชายหนุ่มท่าทางร่าเริงคนนี้กลับมีสีหน้าแบบนั้นออกมา?


แต่ท่าทางของเล้งซู่ต่อเขานั้นไม่ได้เลวร้ายใดๆ เขาจึงตัดสินใจที่จะเป็นเพื่อนดื่มของเล้งซู่ไปอีกชาม


ไม่นานก่อนหน้านี้กายทองคำเก้าหัตถ์ของเย่หยวนนั้นได้บรรลุขึ้นสู่ระดับห้า


ร่างกายที่แข็งแกร่งเช่นนี้ย่อมมีภูมิต้านทานพิษสุราอย่างมากมายมาแต่แรกแล้ว


ที่สำคัญเย่หยวนยังนักหลอมโอสถ ที่สำคัญกว่านั้นเขายังเป็นนักหลอมโอสถที่ศึกษาเรื่องสุรามาไม่น้อย ไม่ว่าสุรานั้นจะรุนแรงเพียงใดมันก็แทบไม่ได้ต่างจากน้ำเปล่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเย่หยวน


หรืออย่างน้อยๆ เจ้าสุราสิบชามคะมำนี้มันก็ไม่ได้รุนแรงมากมาย


“หกสิบห้าชาม!”


“เจ็ดสิบสามชาม!”


“เก้าสิบชาม!”



ตอนนี้ทุกคนในร้านต่างหยุดดื่มกินเองกันสิ้นและหันมาตั้งหน้าตั้งตานับสุราที่เย่หยวนและเล้งซู่ดื่มกัน


การแข่งดื่มในครั้งนี้มันทำให้ผู้คนได้แต่ทองดูอย่างมึนงง


จนที่สุดเมื่อมาถึงชามที่ร้อยสาม เล้งซู่ก็ล้มพับลงกับโต๊ะ


“สุราดี! พี่เย่… มาๆ ชนแก้ว!”


ชายคนนี้ทั้งๆ ที่เมาจนหน้าคว่ำกับโต๊ะไปแล้วก็ยังจะพูดเพ้อชนแก้วกับเย่หยวน


ที่ด้านข้าง เรื่องราวนี้มันทำให้ทุกผู้คนตกตะลึง


“พระเจ้าช่วย เขาสามารถล้มเทพแห่งสุราได้! ชายหนุ่มคนนี้เป็นเทพเทวามาจากที่ใดกัน?”


“เจ้าหมอนี่ไม่ได้ใช้ปราณเทวะแม้แต่น้อยเลย มันทำได้อย่างไร?”


ตอนนี้รอบๆ ต่างมีเสียงร้องแสดงความตื่นตะลึงออกมาอย่างไม่มีขาดสาย


เพราะพวกเขาทั้งหลายนั้นไม่มีใครจะเคยกล้าดื่มจนถึงสิบชามมาก่อน


แต่วันนี้เจ้าหนุ่มแปลกหน้าคนนี้กลับกล้าดื่มลงไปได้ถึงร้อยสามชาม เรื่องนี้มันทำให้ผู้คนแตกตื่นตกตะลึงอย่างไม่อาจต้านทานได้


แต่จริงๆ เมื่อดื่มไปถึงร้อยสามชามแล้วสติของเย่หยวนก็เริ่มสั่นคลอนไปไม่น้อย


สุรานับสิบชามคะมำนี้มันรุนแรงได้สมชื่อจริงๆ


สุรานั้นเป็นสุราดี ตัวสุรานั้นไม่ได้ทำให้เมา คนที่ทำให้ตัวเองเมานั้นคือคนที่นำสุราเข้าปากต่างหาก


เย่หยวนค่อยๆ เดินปราณเทวะและขับไล่ความมึนเมาทิ้งไป


เขาหันมาถามผู้คนรอบๆ “พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าเขาพักอยู่ที่ใด?”


เมื่อทุกคนได้ยินพวกเขาก็เข้าใจในทันที ชายหนุ่มคนนี้คิดจะแบกเล้งซู่กลับไปส่งบ้านนั่นเอง


ในหมู่คนมีชายคนหนึ่งบอกขึ้น “นี่ เจ้าหนุ่ม เจ้านั้นดื่มสุราได้เก่งกาจ! แต่เรื่องนี้เจ้าไม่ควรเข้าไปยุ่งเสียจะดีกว่า ตอนนี้ตระกูลเล้งมันไม่ค่อยจะสงบสักเท่าใด”


เย่หยวนมึนงงในทันทีที่ได้ยินก่อนจะยิ้มตอบกลับไป “แค่ส่งเขากลับบ้านมันจะมีปัญหาได้อย่างไร”


คนคนนั้นพูดขึ้นมาอีกครั้ง “ไม่คิดฟังคำคนเฒ่าคนแก่แล้วเจ้าจะได้เจ็บตัว! หากเจ้าเป็นคนคิดที่หาเรื่องใส่ตัวเอง ผู้อื่นก็ย่อมไม่อาจห้ามปรามได้ ตระกูลเล้งนั้นเป็นตระกูลใหญ่ของเมืองหลวงจักรพรรดิเรา เจ้าออกไปเลี้ยวขวา หลังเดินผ่านไปได้สามถนนก็ให้เลี้ยวซ้ายอีกครั้ง ผ่านตรอกไปแล้วจะเจอกับที่หมาย”


เย่หยวนพยักหน้ารับและหยิบเงินออกมาจ่าย ก่อนจะหันไปบอกตงน้อย “ไปกันเถอะ”


แต่หลังจากเย่หยวนเดินออกร้านไป ชายคนนั้นกลับแสดงรอยยิ้มอันแสนแปลกประหลาดออกมา

 

 

 


ตอนที่ 1842 ใครกันแน่ที่โง่

 

เย่หยวนแบกร่างหมดสติของเล้งซู่เดินผ่านตามทางที่คนผู้นั้นบอกมา เมื่อเขาเดินมาถึงตรอกตามที่ว่าสภาพของเย่หยวนที่แบกชายหมดสติมาไว้บนหลังมันย่อมทำให้ผู้คนไม่น้อยต้องหันมามองด้วยความสงสัย


มุมปากของตงน้อยตกลงมาและกล่าวขึ้นอย่างไม่เห็นด้วย “เจ้าเด็กคนนี้มันช่างชอบยุ่งเรื่องคนอื่นเสียจริงๆ!”


ในสายตาของนักยุทธแล้ว สายสัมพันธ์ที่จะก่อขึ้นกับเรื่องเช่นนี้มันไม่คุ้มค่าที่จะเสี่ยง


ไม่ว่าอย่างไรเสียนอนเมาอยู่แค่คืนเดียวมันคงไม่ทำให้ใครถึงตาย


ที่สำคัญชายคนนั้นยังบอกมาด้วยว่าสถานการณ์ของตระกูลเล้งนั้นมันไม่ค่อยดีนักในตอนนี้


แต่เย่หยวนกลับยิ้มตอบกลับไป “แค่ส่งคนเมากลับบ้าน เรื่องเล็กน้อยน่า”


ตงน้อยได้แต่ส่ายหัวออกมาอย่างที่ไม่คิดจะเถียงสิ่งใด


ดูแล้วมันก็ชัดเจนมากว่าเขาไม่เห็นด้วยกับการกระทำนี้มากแค่ไหน


‘ฟุบ!’


จู่ๆ ก็มีสองเงาร่างบินลงมาจากท้องฟ้าบินหน้าและหลังของเย่หยวนไว้


สภาพของเย่หยวนในตอนนี้ไม่ต่างจากหนูติดจั่น


ตงน้อยถอนหายใจออกมาพร้อมพูดบอก “นั่นไง ปัญหามาถึงแล้ว”


แต่ว่าใบหน้านั้นของเขากลับไม่มีท่าทางกังวลมากมาย


แต่เมื่อเห็นการมาถึงนี้เย่หยวนกลับทำหน้าดำมืดขึ้น


เพราะคนที่มาดักทางของเขาในตอนนี้มันไม่ใช่ใครที่ไหน ชายคนที่บอกชี้ทางให้เขาในร้านสุรานั่นเอง


ส่วนอีกคนก็เป็นชายที่ร่วมโต๊ะกับเขาคนนั้น


ชายคนนั้นมองเย่หยวนด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย “เด็กน้อย เจ้าทำดีมากที่พามันมาส่งถึงตรงนี้ วางมันลงเสียแล้วเจ้าจงไป”


เย่หยวนขมวดคิ้ว “เจ้าคิดชักนำข้ามาที่นี่? ที่แท้ปัญหาที่เจ้าเตือนมันก็คือตัวเจ้านี่เอง”


ชายคนนั้นหัวเราะลั่นขึ้น “ข้ารับเงินผู้อื่นมาเพื่อแก้ปัญหาให้ ปัญหาของมันนั้นมิใช่ปัญหาของเจ้า แต่หากเจ้าดื้อด้านอยากรับปัญหาไปด้วยมันก็ย่อมได้ ไม่ว่าอย่างไรวันนี้มันก็คงไม่ได้ตื่นขึ้นมาอีกแล้ว”


เมื่อใดก็ตามที่นักยุทธมึนมาจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาเองก็จะเข้าสู่สถานะสงบนิ่งไปด้วย และย่อมไม่มีทางที่จะรับรู้ได้ถึงภัยอันตรายจากภายนอกเลย


เพราะฉะนั้นหากผู้คนไม่ได้มีเรื่องใดให้หนักใจมากจริงๆ พวกเขาก็ย่อมไม่คิดจะดื่มจนเมาอย่างเล้งซู่


สภาพของเล้งซู่ในตอนนี้มันเหมือนหมูที่นอนรอให้คนมาเชือด


เย่หยวนมองดูชายคนนั้นอย่างเลือดเย็น “หากเป็นเช่นนั้นการที่เจ้าบอกให้ข้าไปได้มันก็เพื่อที่จะให้ข้าไม่ทันระวังตัวใช่ไหม? เพราะดูท่าเจ้าจะเป็นคนเจ้าแผนการและทำงานละเอียดรอบคอบทีเดียว”


เมื่อชายคนนั้นได้ยินเขาก็หัวเราะลั่นออกมา “เด็กคนนี้เจ้ามันช่างฉลาดแท้! แต่น่าเสียดายที่นิสัยเจ้ามันไม่เหมาะกับการเป็นนักยุทธ ที่แห่งนี้คือโลกที่ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ความอ่อนโยนของเจ้ามันย่อมทำให้เจ้าไม่ได้ตายดี! ชาติหน้าขอให้เกิดมาโหดร้ายกว่านี้ก็แล้วกันนะ ฮ่าๆๆ…”


คนเรานั้นไม่ควรไปยุ่งเรื่องของคนอื่นให้มาก เมื่อทำการพูดหรือลงมือใดๆ ย่อมห้ามลงมือให้เต็มแรง เก็บไม้ตายเผื่อไว้บ้าง นั้นคือความรู้ความเข้าใจที่นักยุทธทุกคนต่างต้องจำให้ขึ้นใจ


แต่เย่หยวนกลับดูเหมือนไม่มีความคิดนี้อยู่ในหัวเลยแม้แต่น้อย


หรือจะบอกว่าเขารู้ แต่กลับไม่ยอมทำ


คน ‘โง่’ เช่นนี้ย่อมจะได้ตายลงไม่ช้าก็เร็ว


เย่หยวนมองดูเขาอย่างเย็นชา “เจ้ามั่นใจเหลือเกินราวกับว่าจะชนะข้าได้แล้ว”


ชายคนนั้นยิ้มรับ “เจ้าว่าอย่างไรล่ะ? เจ้าคงไม่คิดว่าตัวเอง นภาสวรรค์หนึ่งดาว จะมาขัดขืนอะไรได้หรอกใช่ไหม? เจ้าอย่าได้ไปพยายามคิดปลุกเล้งซู่เลยด้วย มันไม่มีประโยชน์หรอก”


ชายคนนี้มีพลังบ่มเพาะอาณาจักรนภาสวรรค์สามดาวขั้นต้น ส่วนชายที่ยืนปิดด้านหลังนั้นเป็นนภาสวรรค์สองดาวขั้นสุด


เย่หยวนนั้นเป็นแค่นภาสวรรค์หนึ่งดาวขั้นสุด ย่อมไม่มีทางใดที่จะต่อสู้ขัดขืนเขาได้


“โง่เง่า!” ตงน้อยด่าว่าออกมา


เมื่อชายคนนั้นได้ยินเขาก็หัวเราะลั่นออกมา “ได้ยินไหม? แม้แต่เจ้าเด็กคนนี้ก็ยังด่าว่าเจ้าเป็นคนโง่! แม้เจ้าจะตาย เจ้ากลับคิดจะลากเด็กน้อยคนนี้ไปด้วย น่าเสียใจจริงๆ!”


ตงน้อยอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวออกมา เจ้าหมอนี่มันช่างโง่เง่าจนถึงที่สุดจริงๆ ได้ยินเช่นนี้แล้วทำไมยังเข้าใจไปแบบนั้นได้?!


เย่หยวนวางเล้งซู่ลงใกล้ๆ ตัวตงน้อยและบอก “ดูเขาหน่อยนะ ข้าจะรีบจัดการ”


“อ่า” ตงน้อยบอกอย่างสบายๆ ไม่มีท่าทีกังวล


พูดจบเย่หยวนก็หันหน้าไปหาชายคนนั้นอีกครั้ง “นี่ ข้าขอถามเจ้าอีกครั้ง บ้านตระกูลเล้งนี่ผ่านตรอกนี้ไปจริงๆ ใช่ไหม?”


ชายคนนั้นผงะไปไม่น้อยก่อนจะหัวเราะลั่นขึ้น “เพื่อ? เจ้ายังคิดจะอยากส่งวิญญาณมันกลับบ้านอีกหรือ? เด็กน้อยคนนี้มันช่างมีจิตใจซื่อสัตย์ เล่นเอาข้าไม่อยากข้าเจ้าเลยจริงๆ”


เย่หยวนได้แต่ถอนหายใจ “ดูท่าข้าคงต้องไปเดินถามคนอื่นเสียแล้ว แล้วก็ที่ตงน้อยบอกว่าโง่เง่านั้นเขาหมายถึงพวกเจ้าทั้งสอง มิใช่ข้า อืม ข้าคิดว่าก่อนพวกเจ้าจะตายพวกเจ้าน่าจะได้เข้าใจ”


ชายคนนั้นยังไม่ทันเข้าใจว่าเย่หยวนพูดอะไรแต่ร่างของเย่หยวนก็ได้จางหายไปเสียก่อนแล้ว


ชายคนนั้นเบิกตากว้างพร้อมตะโกนลั่น “แนวคิดแห่งห้วงมิติ!”


กลิ่นอายแห่งความตายเข้าปะทะร่างกายของเขาอย่างแรง เขาพยายามปล่อยพลังโลกของตนออกมาเพื่อคิดใช้จับตำแหน่งของเย่หยวน


แต่มันไร้ประโยชน์


‘ฉึก!’


ดาบนั้นพุ่งออกมาจากความว่างเปล่าเข้าแทงลำคอของชายคนนั้นอย่างจังจนมีเลือดสดๆ ไหลสายพุ่งออกมา


เป็นเวลานี้เองที่เขาได้เข้าใจว่าตัวเขานั้นได้มาหาเรื่องตัวตนเช่นไหนเข้า


เมื่อชายที่อีกด้านเห็นเช่นนั้นเขาก็หน้าซีดเผือดลงทันที


ร่างของเขาพุ่งหายวับไปโดยไม่ยั้งคิดใดๆ คิดที่จะหลบหนีออกจากตรอกนี้ให้เร็วที่สุด


น่าเสียดายแค่ว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าแนวคิดแห่งห้วงมิติสี่ดาวของเย่หยวนแล้วไม่ว่าจะเป็นการหลบหนีด้วยวิธีใดมันก็ไร้ค่า


ฉึก!


อีกดาบพุ่งพวยออกไปฟันนักยุทธนภาสวรรค์สองดาวขั้นสุดคนนั้นลง!


ภายในดวงใจมิติอนัตตานั้นเย่หยวนได้ใช้เวลาสามปีในการเรียนรู้เข้าใจเต๋า ทำให้ความเข้าใจของเย่หยวนต่อแนวคิดเพิ่มพูนขึ้นอย่างมาก


ประกอบกับการต้องมาล่องลอยอยู่ในช่องว่างมิติอีกนับสิบปีมันจึงทำให้เย่หยวนสามารถขึ้นมาอยู่ยังนภาสวรรค์หนึ่งดาวขั้นสุดได้


เมื่อรวมกับแนวคิดแห่งห้วงมิติสี่ดาวและแนวคิดแห่งดาบห้าดาวขั้นกลางแล้ว พลังฝีมือของเขาในตอนนี้มันจึงเหนือล้ำกว่าตอนที่เข้างานชุมนุมการต่อสู้แห่งก่อไผ่ไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า


นภาสวรรค์สามดาวขั้นสุด หากคนผู้นั้นไม่ได้มีแนวคิดที่เหนือล้ำใดๆ มันก็ย่อมไม่มีพลังฝีมือจะต้านทานเย่หยวนได้


น่าเสียดายที่ชายคนนี้ไม่ได้เก่งกาจขนาดนั้น


การจะสังหารพวกเขานั้นมันง่ายเสียยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ


เมื่อได้เห็นเช่นนั้น ตงน้อยก็หรี่ตาลงทันที


“เจ้าเด็กคนนี้มันพัฒนาตัวเองขึ้นอีกแล้ว! เจ้าหมอนี่มันไม่รู้จักคำว่าคอขวดเลยจริงๆ!”


เวลาไม่กี่ปีมานี้ตงน้อยได้เห็นความเร็วการพัฒนาของเย่หยวน


ในเวลาแค่สิบปี เย่หยวนสามารถพัฒนาขึ้นได้อย่างชัดเจนจนเห็นได้ด้วยตาเปล่า


เร็วมาก!


ต่อให้เป็นเขาเทพสวรรค์คนนี้ก็ยังได้แต่ต้องชื่นชมความเร็วในการพัฒนาของเย่หยวน


เย่หยวนช่วยยกร่างเล้งซู่ขึ้นมาอีกครั้ง “ไม่ใช่ว่าเขาคือนายน้อยของตระกูลเล้งหรือ? ทำไมเขาจึงได้มาตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้กัน? ถึงกับมีนักยุทธนภาสวรรค์สามดาวมาไล่ล่าหัวเช่นนี้”


ตงน้อยตอบกลับมาด้วยท่าทางเหนื่อยหน่าย “ในตระกูลใหญ่ๆ นั้นการต่อสู้สังหารของพี่น้องมิใช่เรื่องแปลกประหลาดเลย จะสงสัยอะไรอีก?”


เย่หยวนพยักหน้ารับ “เรื่องนั้นก็จริง ไปเถอะ”


บ้านตระกูลเล้งนั้นไม่ได้หายากเย็น แค่ถามคนเดินผ่านไปมาก็รู้ได้ทันที


และจริงๆ สถานที่ที่ชายคนนั้นบอกมามันก็ไม่ได้ไกลจากบ้านตระกูลเล้งจริงๆ นัก เพียงแค่ว่ามันไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่ต้องเดินผ่านตรอกนี้


ตรอกนี้คือสถานที่ที่ถูกจัดขึ้นเพื่อดักโจมตีโดยเฉพาะ


แต่น่าเสียดายที่เหล่าผู้ดักทำร้ายนั้นไร้พลัง ทำให้ตัวเองกลับถูกสังหารไปแทน


เย่หยวนเดินมาถึงหน้าบ้านตระกูลเล้งและพบเจอเข้ากับชายหนุ่มคนหนึ่ง


เมื่อชายคนนั้นเห็นเล้งซู่สีหน้าของเขาก็ซีดลงอย่างทันที


เขายกร่างเล้งซู่ลงมาจากหลังเย่หยวนและรีบบอกตะโกนว่า “น้องซู่ ทำไมเจ้าถึงได้ดื่มจนมีสภาพเป็นเช่นนี้กัน? แล้วพวกเจ้าเป็นใคร? เจ้าทำอะไรกับน้องซู่? พวกเจ้าทั้งหลาย! มาจับคนชั่วร้ายสองคนนี้ให้ข้าที!”

 

 

 


ตอนที่ 1843 หอรวมแก่นแท้พลัง

 

ภายใต้คำสั่งของชายหนุ่มคนนี้มันก็ปรากฏกลุ่มคนจำนวนไม่น้อยขึ้นมาล้อมรอบเย่หยวนไว้จนทำให้เย่หยวนหรี่ตาลงมองอย่างเย็นชา เจ้าหมอนี่มันไร้เหตุผลจนเกินไปแล้ว ไม่คิดถามอะไร คิดเพียงแต่จะจับอย่างเดียวไร้ตรรกะเหตุผลใดๆ มาเสริม


“น้องเจ้าเมา ข้าเลยเอาเขามาส่ง แค่นั้น!”


เย่หยวนพูดอธิบายออกมาอย่างไม่คิดที่จะสนใจเหล่ายามที่ออกมาล้อมรอบตัวเขาไว้เลย


ใครจะไปคิดว่าชายหนุ่มคนนั้นกลับหัวเราะออกมาแทน “หึ เจ้าจะใจดีขนาดนั้น? ข้าว่าเจ้าต้องคิดแผนร้ายใดๆ ต่อน้องซู่ไว้แน่ใช่ไหม? พวกเจ้าจะยังรออะไรอีก? จับมันเสีย! หากมันคิดขัดขืนก็สังหารมันได้เลย!”


เมื่อเหล่ายามได้รับคำสั่งพวกเขาก็เริ่มโจมตีเย่หยวนทันที


เมื่อโจมตีออกมา การโจมตีแต่ละครั้งมันกลับรุนแรงอย่างสุดตัว นี้หรือคือจับ? ดูอย่างไรมันก็คิดสังหารกันชัดๆ!


เย่หยวนขยับร่างกายหายไปจากจุดนั้นในทันที


แสงดาบสีขาวสว่างขึ้นหลายครั้งส่งให้มือของเหล่ายามนั้นลอยขึ้นสู่ฟ้าไปตามๆ กันพร้อมเสียกรีดร้องอย่างโหยหวน


ภายในไม่กี่อึดใจเหล่ายามทั้งหลายของบ้านก็ถูกตัดมือจนขาดสิ้น!


ชายหนุ่มคนนั้นหน้าถอดสีทันทีเมื่อเห็นสภาพการณ์ เขาไม่นึกไม่ฝันว่าเย่หยวนคนนี้กลับจะมีพลังฝีมือมากมายขนาดนั้น


เย่หยวนเก็บดาบลงพร้อมยืนมองดูชายหนุ่ม “จะถือว่าเห็นแก่หน้าของเล้งซู่ วันนี้ข้าจะไม่สังหารผู้คน แต่ข้าขอเตือนไว้ก่อน อย่าได้คิดมาท้าทายข้า!”


พูดจบเย่หยวนก็เดินจากไป


ชายหนุ่มคนนั้นหน้าเปลี่ยนสีไปมาอยู่หลายครั้งก่อนจะหันหน้ากลับมามองเล้งซู่บนพื้นด้วยคิ้วที่ขมวดจนแทบติดกัน


“ฮ่าๆ สุดยอด! พี่เย่ มาชนแก้ว!” เล้งซู่ที่ยังมึนเมาไม่ได้สติร้องบอกออกมา


“เย่หยวน? หมอนั่นมันคือใครกันช่างมีพลังที่เหนือล้ำ! จุนหาวเทียบกับเจ้าแล้วเป็นอย่างไร?”


ชายชุดดำคนหนึ่งปรากฏตัวออกมาข้างๆ ชายหนุ่มในทันทีพร้อมยกมือขึ้นคารวะ “ผู้น้อย… ไม่มั่นใจ!”


ชายหนุ่มกล่าวขึ้น “ก็คงงั้น ไม่เช่นนั้นเจ้าคงลงมือไปแล้ว ดูท่าสองพี่น้องมารหมอกดำจะพลาดเสียด้วย ไม่นึกเลยว่าน้องชายขยะของข้ามันจะไปได้ผู้ช่วยดีๆ เช่นนี้มา ดูถูกมันเกินไปจริงๆ เดิมทีข้าคิดว่ามันเป็นแค่นภาสวรรค์หนึ่งดาวไม่น่าจะเก่งกาจอะไร ไม่นึกเลยว่ามันจะมีพลังที่แข็งแกร่งเช่นนี้จนถึงขั้นที่เจ้าไม่มั่นใจว่าจะชนะได้ เจ้าไปดูมันหน่อยว่ามันเป็นใครมาจากไหนกันแน่”


ชายหนุ่มหันมามองเล้งซู่อีกครั้งด้วยสายตาสุดเหยียดหยาม


ชายในชุดดำตอบรับ “ขอรับ!”



เมื่อออกจากบ้านตระกูลเล้งมาได้เย่หยวนก็มุ่งหน้าไปยังหอรวมแก่นแท้พลังที่จวนเจ้าเมืองเป็นคนสร้างขึ้นทันที


ตอนนี้พลังบ่มเพาะของเย่หยวนมันมาถึงขั้นสุดของอาณาจักรนภาสวรรค์หนึ่งดาวแล้ว เขาจึงคิดที่จะใช้เวลานี้ในการเริ่มโจมตีฐานบรรลุของอาณาจักรนภาสวรรค์สองดาว


ตอนนี้เย่หยวนนั้นมีความเข้าใจในแนวคิดที่เหนือล้ำกว่าพลังบ่มเพาะตัวเองไปมาก มันจึงทำให้พลังบ่มเพาะของเขากลายเป็นตัวถ่วงในพลังฝีมือ


และเจ้าหอรวมแก่นแท้พลังนี่ก็คือสถานที่เพื่อทำการบ่มเพาะอย่างแท้จริงที่ทุกผู้คนสามารถเข้ามาใช้ได้


แน่นอนว่าคนที่คิดเข้ามาใช้ต้องมีผลึกปราณเทวะมากเพียงพอ


ที่สำคัญมันยังต้องเป็นผลึกปราณเทวะขั้นกลางด้วย


ในเมืองหลวงจักรพรรดิ ผลึกปราณเทวะขั้นต่ำนั้นมันไม่อาจจะสนองความต้องการพลังวิญญาณของนักยุทธได้อีกแล้ว


การแลกเปลี่ยนซื้อขายในเมืองหลวงจักรพรรดินี้มันจึงใช้ผลึกปราณเทวะขั้นกลางเป็นตัวกลาง


หอรวมแก่นแท้พลังนี้แบ่งออกเป็นเก้าชั้น และจะมีการเก็บผลึกปราณเทวะกันนับตามจำนวนวันที่อยู่


ชั้นแรกจะต้องเสียสิบผลึกปราณเทวะขั้นกลางต่อวัน ซึ่งนั่นมีราคาถึงสามหมื่นผลึกปราณเทวะขั้นต่ำ


ยิ่งสูงขึ้นไป มันก็ยิ่งต้องใช้ปราณเทวะขั้นกลางเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ตามลำดับ


เมื่อไปถึงชั้นเก้า มันมีราคาถึงสามพันผลึกปราณเทวะขั้นกลางต่อวัน เป็นจำนวนที่มากมายมหาศาลมาก


เพราะเจ้าสามพันผลึกปราณเทวะขั้นกลางนี้มันมีราคาคุณค่าเท่ากับผลึกปราณเทวะขั้นต่ำถึงสามสิบล้านชิ้น


และนี่คือจำนวนที่ต้องจ่ายรายวัน


แน่นอนว่าผลที่ได้ออกมามันย่อมแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดด้วย


เย่หยวนได้ยินว่าพลังวิญญาณที่ชั้นเก้านั้นมันหนาแน่นเสียยิ่งกว่าตาล่มวิญญาณบ่มเพาะปิดกั้นเสียอีก


แน่นอนว่าจำนวนผลึกปราณเทวะที่ต้องจ่ายเพื่อเข้าไปบ่มเพาะในนั้นมันต้องสูง


เย่หยวนเข้าไปในหอรวมแก่นแท้พลังและมุ่งหน้าตรงไปยังชั้นสามในทันที


ในหอรวมแก่นแท้พลังนั้นมีห้องบ่มเพาะจำนวนมากมาย คนเข้าออกกันตลอดเวลาทำให้มันแออัดไม่น้อย


เมื่อมาถึงชั้นสาม เหล่านักยุทธที่อยู่มาก่อนได้เห็นว่ามีนักยุทธอาณาจักรนภาสวรรค์หนึ่งดาวหลุดขึ้นมาถึงตรงนี้มันจึงทำให้พวกเขาต้องหันมามองเป็นตาเดียว


เพราะหากให้พูดตามหลักการแล้วนักยุทธอาณาจักรนภาสวรรค์หนึ่งดาวย่อมต้องบ่มเพาะอยู่ที่ชั้นหนึ่ง


เมื่อมาถึงชั้นสามมันย่อมเป็นการเปลี่ยนผลึกปราณเทวะโดยใช่เหตุ


เพราะว่าความหนาแน่นของพลังวิญญาณในชั้นนี้มันเหนือล้ำกว่าที่นภาสวรรค์หนึ่งดาวจะสามารถดูดซับได้หมด


ที่ห้องบ่มเพาะ สิ่งสำคัญชั้นสามนี้มันยังต้องจ่ายถึงห้าสิบผลึกปราณเทวะขั้นกลางต่อวัน


เย่หยวนเดินวนดูรอบๆ ครั้งหนึ่งก่อนจะพบกับห้องว่างห้องหนึ่ง


แต่เขานั้นสงสัยเหลือเกินว่าคนรอห้องก็มีมากมายแต่กลับไม่มีใครคิดมาใช้ห้องนี้เลย


เย่หยวนเองก็ไม่ได้คิดอะไรมากมายและยกผลึกปราณเทวะขั้นกลางสี่พันห้ารอยชิ้นออกมาจ่ายให้แก่ช่องหน้าประตูห้องบ่มเพาะในทันที


นั่นทำให้คนมากมายต้องหันมามอง


นภาสวรรค์หนึ่งดาวแต่กลับจ่ายผลึกปราณเทวะขั้นกลางถึงสี่พันกว่าชิ้นออกมาในครั้งเดียว มันช่างเป็นอะไรที่แสนเกินตัว!


ที่ด้านข้างมีคนหัวเราะขึ้น “หึ ไอ้เด็กคนนี้มันโง่จริงๆ!”


‘ตู้ม!’


เกิดเสียงดังขึ้นพร้อมประตูห้องบ่มเพาะที่ค่อยๆ เปิดออก


เย่หยวนที่กำลังจะเดินเข้าไปกลับได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นมาก่อน “เด็กน้อย ห้องบ่มเพาะนี้มันเป็นของข้า ใครอนุญาตให้เจ้าเข้าไปกัน?”


เย่หยวนหันไปมองชายหนุ่มในชุดงามคนหนึ่ง


ชายหนุ่มคนนี้มองดูเย่หยวนด้วยใบหน้าเย้ยหยัน


“ห้องบ่มเพาะของเจ้า? ห้องบ่มเพาะนี้ไม่ได้มีการเขียนชื่อติดไว้นี่?” เย่หยวนถามกลับไป


ชายหนุ่มคนนั้นหัวเราะขึ้นมา “เจ้าไม่สงสัยบ้างหรือว่าทำไมห้องนี้ทั้งๆ ที่ว่างแต่กลับไม่มีใครกล้ามาจ่ายผลึกปราณเทวะใช้มันเลย?”


เย่หยวนพยักหน้า “ที่เจ้าพูดมานั้นข้าเองก็สงสัยอยู่”


ชายหนุ่มคนนั้นยิ้มเยาะขึ้น “นี่คือห้องส่วนตัวของข้า หานเซี่ยวคนนี้ มันจึงไม่มีใครกล้ามายุ่งอย่างไรล่ะ!”


เย่หยวนมองดูหานเซี่ยวก่อนจะยิ้มขึ้น “เช่นนั้นเองหรือ ข้าไม่รู้มาก่อนเลย เอาเช่นนี้เป็นอย่างไร? ไม่ว่าอย่างไรเสียข้าก็ยังไม่ได้เข้าไป เจ้าแค่คืนผลึกปราณเทวะมาให้ข้าแล้วข้าจะยกห้องบ่มเพาะนี้คืนให้”


หานเซี่ยวหัวเราะขึ้นมาในทันทีที่ได้ยิน “ฮ่าๆ! เจ้าคิดจะให้ข้าคืนผลึกปราณเทวะให้? น่าขัน!”


นั่นทำให้คนรอบๆ ต่างอมยิ้มออกมา


“ไอ้เด็กคนนี้มันโง่มากเลยใช่ไหมเนี่ย?”


“หานเซี่ยวใช้วิธีนี้หลอกลวงผู้คนมามากมาย ช่วยไม่ได้หรอก ไอ้เจ้าหมอนี่มันเก่งกาจจนเกินไป ในหมู่นภาสวรรค์สามดาวด้วยกันแล้วไม่มีใครที่จะเทียบเคียงเขาได้”


“เด็กคนนี้เป็นแค่นภาสวรรค์หนึ่งดาว แต่ถึงขั้นกล้าไปขอผลึกปราณเทวะคืนจากหานเซี่ยว ข้าคิดว่าเขาคงไม่ได้กลับดีๆ แน่”



เย่หยวนแสดงสีหน้าดำมืดออกมา “เช่นนั้นเจ้าก็คิดรอให้ข้าใส่ผลึกปราณเทวะเข้าไปก่อนแล้วค่อยเข้ามาบอกกล่าว?”


เย่หยวนย่อมมองหานเซี่ยวคนนี้ออกตั้งแต่แรก


เพราะตอนที่เขาเดินมาถึงนั้น ตัวหานเซี่ยวเองก็ไม่ได้อยู่ไกลออกไปนัก


หานเซี่ยวหัวเราะลั่น “ข้าจงใจไง เจ้าจะทำอะไรข้าได้ล่ะ? เอาล่ะ ไปไกลๆ ข้าเสีย ไม่เช่นนั้นเจ้าจะได้ลงไปนอนคุยกับพื้น!”


‘ตุบ!’


เสียงของหานเซี่ยวยังไม่ทันขาดร่างกายของเขาก็ลอยปลิวออกไปชนกับกำแพงเข้าอย่างแรงพร้อมเลือดที่ไหลกลบร่าง


เท้านี้ของเย่หยวนเตะออกมาอย่างหนักหน่วง


“ไอ้พวกโง่หลงตัวเองนี่มันมีทุกที่เสียจริงๆ! คราวนี้ข้าจะช่วยสั่งสอนเจ้าให้! ไม่ใช่ทุกคนหรอกนะที่เจ้าจะสามารถลบหลู่ท้าทายได้”


เย่หยวนหันไปมองเขาคนนั้นอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะหันหน้าเดินเข้าไปในห้องบ่มเพาะทันที ปล่อยให้เหล่าผู้คนได้แต่มองดูภาพตรงหน้าอย่างมึนงงสับสน


‘ตุบ!’


เมื่อเย่หยวนเดินเข้าห้องไป ประตูของห้องบ่มเพาะนั้นก็ปิดลงเบาๆ

 

 

 


ตอนที่ 1844 ขุดหลุมฝังตัวเอง

 

“แข็งแกร่ง! นั่นมัน… แนวคิดแห่งห้วงมิติ?”


“พระเจ้าช่วย นภาสวรรค์หนึ่งดาวสามารถเตะนภาสวรรค์สามดาวจนปลิวได้ด้วย?”


“ไม่นึกเลยว่าหานเซี่ยวจะพลาดเรื่องง่ายๆ เช่นนี้”



เมื่อเย่หยวนลงมือ มันก็ทำให้ทุกผู้คนตกตะลึงอย่างถึงที่สุด


เพราะทุกผู้คนนั้นคิดว่าจะได้ดูเรื่องสนุก คิดกันอยู่ในหัวว่าเย่หยวนคงได้เจ็บตัวหนักแน่


เพียงแค่พวกเขาไม่นึกไม่ฝันว่าฝ่ายที่เจ็บหนักจะกลายเป็นหานเซี่ยวเสียเอง


ลูกเตะนี้ไม่ได้เบา มันทำให้หานเซี่ยวกระอักเลือดออกมาอย่างหยุดไม่ได้ไปนาน


“ไอ้เด็กเวร กล้ามาลอบโจมตีข้าเช่นนี้! อีกสามเดือนข้างหน้าข้าจะมาล้างแค้นความอับอายของลูกเตะนี้ให้เจ้าได้รู้ซึ้ง!” หานเซี่ยวยกมือขึ้นกุมอกพร้อมกล่าวลั่น


ทุกคนรับรู้ได้ทันทีว่าหานเซี่ยวนั้นโกรธแค้นแค่ไหน


ตัวตนของเขานั้นมิใช่จะเป็นคนทั่วๆ ไป เพราะเขาคือทายาทตระกูลหานแห่งเมืองหลวงจักรพรรดินี้


ตระกูหานนั้นคือหนึ่งในสามตระกูลใหญ่ของเมืองหลวงจักรพรรดินี้ พวกเขาย่อมมีพละกำลังที่เหนือล้ำกว่าใครๆ



หลายวันต่อมาชายชุดดำก็กลับมารายงานแก่เล้งห่าว


“นายน้อย ข้าได้ตรวจสอบเรื่องราวมาแล้ว เด็กคนนั้นมันมีนามว่าเย่หยวนที่เพิ่งเข้าเมืองหลวงจักรพรรดิมาได้ไม่นานนัก ส่วนเรื่องที่ว่ามันมาจากที่ไหนนั้น ข้าไม่อาจตรวจสอบได้เลย หรือก็คือก่อนหน้านี้เจ้าเด็กคนนี้มันไม่เคยสร้างชื่อใดๆ ไว้ที่ไหนเลย”


เล้งห่าวกล่าวถามขึ้นด้วยท่าทางตื่นตกใจทันที “ไม่มีทางน่า! ยอดฝีมือมากพรสวรรค์ระดับนี้มันย่อมต้องมาจากเมืองหลวงจักรพรรดิหรือยอดเมืองหลวงจักรพรรดิสักแห่งแน่ มีหรือที่มันจะไร้ชื่อ? เจ้าพลาดอะไรไปหรือเปล่า?”


ชายชุดดำบอก “ผู้น้อยได้ทำการตรวจสอบยอดอัจฉริยะที่ฝีฝนแนวคิดแห่งห้วงมิติในเมืองหลวงจักรพรรดิและยอดเมืองหลวงจักรพรรดิภายใต้การปกครองของจักรพรรดิเทพสวรรค์ซีหยูมาจนหมดแล้ว และก็ไม่ได้พบเลยว่าจะมีชื่อของเย่หยวนนี้อยู่ที่ใด ไม่น่าจะมีความผิดพลาดใดๆ เกิดขึ้นได้แน่”


ยอดเมืองหลวงจักรพรรดิและเมืองหลวงจักรพรรดิภายใต้การปกครองของจักรพรรดิเทพสวรรค์ซีหยูนั้นมันไม่ได้มีจำนวนมากมายเหมือนเมืองจักรพรรดิ


ตราบเท่าที่มีช่องทางสื่อสาร การจะตรวจสอบใดๆ มันก็ย่อมเป็นไปได้ไม่ยาก


แต่พวกเขากลับไม่พบชื่อเสียงเรียงนามของเย่หยวนเลย


ได้ยินเช่นนั้นเล้งห่าวก็ถอนหายใจยาวออกมา “หากเป็นเช่นนั้นแล้วก็อย่าได้เก็บเด็กคนนี้ไว้อีกเลย ตอนนี้มันกำลังทำอะไรอยู่?”


ชายชุดดำตอบกลับมา “ขอรายงานนายน้อย มันกำลังเข้าสู่การเก็บตัว ณ หอรวมแก่นแท้พลัง ได้ยินว่ามันจ่ายผลึกปราณเทวะเป็นจำนวนเท่าเวลาสามเดือนในคราเดียว ที่สำคัญมันยังไปทำร้ายหานเซี่ยวแห่งตระกูลหานจนบาดเจ็บด้วย”


เล้งห่าวผงะไปนิดหน่อยก่อนจะหัวเราะขึ้นมา “หานเซี่ยว? เจ้าลูกเก็บมาเลี้ยงสุดน่าสมเพชของตระกูลหานน่ะเหรอ? แต่แบบนี้เองก็ดี ด้วยนิสัยของมันแล้วมันคงไม่ปล่อยเจ้าเย่หยวนนั้นไว้แน่ แต่อย่างไรเสียก็จงส่งเถี่ยยิงไปจัดการปิดฉากเผื่อเรื่องราวมันผิดคาดเสียเถอะ”


เมื่อชายชุดดำได้ยินเขาก็ตอบขึ้นด้วยท่าทางตื่นตกใจ “นายน้อย นี่มัน… จะไม่เป็นการขี่ช้างจับตั๊กแตนเกินไปหรือ? เถี่ยยิงนั้นเป็นถึงนภาสวรรค์สี่ดาวเลยนะ!”


อาณาจักรนภาสวรรค์นั้นมันแตกต่างจากอาณาจักรระดับต่ำๆ อย่างสิ้นเชิง ช่องว่างของแต่ละดาวนั้นมันมากมายมหาศาล


นภาสวรรค์สี่ดาวนั้นคือตัวตนในอีกระดับที่ไม่อาจเทียบเคียงได้


นี่คือพลังฝีมือที่พอจะเป็นผู้ตรวจการของเมืองจักรพรรดิระดับต่ำๆ ได้แล้ว


เพราะอย่างไรเสียผู้ตรวจการของสิบเมืองสันเขาใต้เองก็เป็นแค่นภาสวรรค์สี่ดาวเช่นกัน


ตอนนี้เล้งห่าวกลับสั่งให้คนระดับนั้นไปจัดการกับนภาสวรรค์หนึ่งดาวคนหนึ่ง มันจะไม่เป็นการใช้คนใหญ่เกินงานไปหน่อยหรือ?


เล้งห่าวยกมือขึ้นมาโบกปัด “สิงโตนั้นเข้าขย่ำเหยื่อด้วยทุกสิ่งที่มี เด็กคนนั้นมันมีฝีมือที่ไม่อ่อนแอ ปลอดภัยไว้ก่อนย่อมดีกว่า เจ้าเองก็เห็นใช่ไหมว่านภาสวรรค์สามดาวไม่อาจโค่นมันลงได้”


ชายชุดดำรีบพยักหน้าออกมาในทันทีที่ได้ยิน “ขอรับ ผู้น้อยจะรีบไปจัดการเรื่องราวให้แล้วเสร็จ”



สามเดือนต่อมาภายในห้องบ่มเพาะของเย่หยวน เย่หยวนกำลังค่อยๆ ลืมตาเปิดขึ้น


คลื่นพลังของเขาในตอนนี้มันเหนือล้ำกว่าเก่าอย่างมาก


วายุศักดิ์สิทธิ์ของเขานั้นเล็กลงไปอีกครั้งเมื่อเทียบกับตอนที่เขาขึ้นอาณาจักรนภาสวรรค์มาใหม่ๆ แต่เจ้าลายศักดิ์สิทธิ์มันกลับเด่นชัดมากขึ้น


อาณาจักรลายพระเจ้าสองดาว!


แม้ว่ามันจะเป็นแค่อาณาจักรลายพระเจ้าสองดาวขั้นต้น แต่หากเอาแค่เรื่องความหนาแน่นของปราณเทวะแล้ว เย่หยวนนั้นมีปราณเทวะที่หนาแน่นเสียยิ่งกว่าอาณาจักรนภาสวรรค์สองดาวขั้นสุดเสียด้วยซ้ำ


และเจ้าสิ่งนี้นี่เองคือเคล็ดลับที่ทำให้เย่หยวนสามารถกระโดดข้ามขั้นต่อสู้กับผู้แข็งแกร่งกว่าได้


ตุบ!


ประตูห้องบ่มเพาะค่อยๆ เปิดออกปล่อยให้เย่หยวนได้เดินออกมาด้านนอก


จู่ๆ ก็มีแสงสำขาวพุ่งเข้าใส่ใบหน้าของเย่หยวนในวินาทีที่เขาออกมา


ลอบโจมตี!


การโจมตีนี้มันลงมืออย่างพอเหมาะพอดี ดูท่าแล้วอีกฝ่ายคงเตรียมตัวลงมือมานานพอสมควรโดยไม่คิดที่จะให้เย่หยวนได้มีโอกาสตอบโต้ใดๆ เลย


แต่ว่าเย่หยวนกลับใช้แนวคิดแห่งห้วงมิติออกมาได้อย่างรวดเร็วกว่าอีกฝ่าย!


เมื่ออีกฝ่ายรู้ตัว ดาบของเขามันก็ถูกเย่หยวนดูดเข้าสู่ห้วงมิติไปแล้ว


จากนั้นเย่หยวนก็ยกมือทั้งสองขึ้นมาประกบจับดาบเล่มนั้นไว้ในทันที


และเรื่องราวทั้งหมดนี้มันก็เกิดขึ้นในเวลาแค่เสี้ยวพริบตา รวดเร็วจนมองไม่ทัน


ในสายตาของทุกผู้คนนั้นเรื่องราวยังไม่ทันเริ่มมันก็จบลงเสียแล้ว


“เจ้าเองรึ? สวรรค์มีทางแต่เจ้ากลับเลือกที่จะฝ่าลงนรก! ข้าอุตส่าห์ไว้ชีวิตแล้วไปแล้วแต่ตอนนี้เจ้ากลับเปลี่ยนจากแย่เป็นเลวร้าย”


เย่หยวนกล่าวออกมาด้วยความเย็นชา


ชายคนตรงหน้านี้ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากหานเซี่ยว


เขากลับไปรักษาตัวเป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนถึงจะหายจากแผลในครานั้น


แต่ในใจของเขานั้น ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้มากเขาก็ยิ่งไม่อาจอดทนต่อไปได้ เพราะฉะนั้นหลายวันมานี้เขาจึงได้มานั่งรออยู่ในหอหน้าห้องบ่มเพาะของเย่หยวนและคิดที่จะสังหารเย่หยวนในวินาทีที่เขาออกมา


เขารู้สึกว่าการที่เย่หยวนเตะถูกเขาได้ในวันนั้นมันเป็นเพราะเขาไม่ระวังตัวเอง


ด้วยพลังอาณาจักรนภาสวรรค์สามดาวอย่างเขา หากเขาคิดลอบโจมตีแล้วเย่หยวนที่เป็นแค่นักยุทธอาณาจักรนภาสวรรค์หนึ่งดาวย่อมไม่มีทางที่จะหลบรอดไปได้!


น่าเสียดายที่เรื่องราวมันกลับผิดคาดไป


หานเซี่ยวรู้สึกว่าการลอบโจมตีนี้ของเขามันสมบูรณ์แบบ แต่แม้จะเป็นเช่นนั้นเขาก็ยังทำพลาดลงอีกจนได้


วันนี้เขาได้รู้แล้วว่าการเตะของเย่หยวนนั้นมันไม่ใช่การลอบโจมตีใดๆ


แต่พลังฝีมือของอีกฝ่ายนั้นเป็นของจริง!


เขาพยายามอย่างมากที่จะดึงดาบกลับออกมา แต่แรงบีบของเย่หยวนนั้นมันเหมือนคีมเหล็กไม่ปล่อยให้ดาบขยับได้แม้แต่น้อย


“เด็กน้อย เจ้าคิดจะทำอะไร? ข้าเป็นคนตระกูลหาน หากเจ้ากล้าลงมือต่อข้าเจ้าไม่ได้ตายดีแน่!” เมื่อหานเซี่ยวได้เห็นว่าตัวเองไม่อาจต้านทานได้แล้วเขาจึงยกชื่อตระกูลมาขู่แทน


เย่หยวนกล่าวขึ้น “ตระกูลหาน? คนตระกูลหานมันมีนิสัยเหลือทนชอบทำตัวเลวทรามเสียยิ่งกว่ามนุษย์เช่นนี้หรือ? หากเจ้าคิดสังหารผู้คนก็เตรียมตัวถูกสังหารกลับด้วยสิ”


หานเซี่ยวหรี่ตามองพร้อมปล่อยดาบออกจากมือ พยายามที่จะวิ่งหนีออกไปทันที


เย่หยวนทำแค่หัวเราะออกมาก่อนจะขวางดาบนั้นออกจากมือ


‘ฟุบ!’


เมื่อลำแสงดาบนั้นพุ่งผ่านตัวเขาไป หัวใจของหานเซี่ยวก็กลายเป็นรูโบ๋เสียแล้ว


“แข็งแกร่ง! เขาเพิ่งบรรลุอาณาจักรนภาสวรรค์สองดาวมาได้แท้ๆ แต่กลับแข็งแกร่งได้ปานนี้เลยหรือ?”


“การลอบโจมตีเมื่อสักครู่นี้ต่อให้เป็นนภาสวรรค์สี่ดาวก็ใช่ว่าจะรับมือได้ง่ายๆ ใช่ไหม? แต่เจ้าหมอนี่มันกลับรับไว้ได้ง่ายๆ เลย!”



คนทั้งหลายต่างรู้และเห็นว่าหานเซี่ยวคิดมาแก้แค้นในวันนี้ พวกเขาจึงคิดว่าเย่หยวนจะต้องตายและมามุงดูเรื่องราวกัน


แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าฝ่ายที่ตายจะเป็นหานเซี่ยว ไม่ใช่เย่หยวน!


แต่ว่าการที่เย่หยวนกล้าสังหารคนตระกูลหานนี้มันก็ทำให้ผู้คนตื่นตกใจในความกล้าของเขามาก!


ท่ามกลางสายตาที่ตกตะลึงนั้นเย่หยวนค่อยๆ เดินออกมาจากหอรวมแก่นแท้พลังและเดินไปยังเส้นทางของร้านสุรา


หลังจากเลี้ยวไปมาอยู่นิดหน่อยเย่หยวนก็มาหยุดอยู่ในตรอกเปลี่ยวๆ แห่งหนึ่ง


“ตามมาถึงขนาดนี้ เจ้าไม่คิดที่จะลงมือใดๆ เลยจริงหรือ?” จู่ๆ เย่หยวนก็พูดขึ้น


นั่นทำให้ชายชุดเทาคนหนึ่งเดินออกมาจากความว่างเปล่าพร้อมดาบยาวในมือ


ชายชุดเทาคนนี้มีสายตาที่เย็นชาพร้อมด้วยจิตสังหารที่แรงกล้า แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนดีอย่างแน่นอน


“เด็กน้อย เจ้านั้นเก่งกาจเสียจริงถึงขั้นจับรอยข้าได้!” เถี่ยยิงกล่าว


เย่หยวนยืนนิ่งไปนิดหน่อยก่อนจะพูดขึ้น “เจ้ามาสังหารข้า เจ้าไม่รู้เลยหรือว่าข้านั้นสำเร็จแนวคิดแห่งห้วงมิติ? เจ้าคิดจะเอาทักษะห่วยๆ ของเจ้ามาแสดงใดๆ ต่อหน้าข้ากัน? หากข้าเดาไม่ผิดเจ้าคงมาจากบ้านตระกูลเล้งสินะ?”


เถี่ยยิงหรี่ตาลงมองทันที “เจ้าฉลาดจริงๆ น่าเสียดายที่จะต้องตายในไม่ช้าเสียแล้ว!”

 

 

 


ตอนที่ 1845 ดาบตัดผ่ามิติ

 

เหล่าคำพูดที่ฟังดูเปี่ยมความมั่นใจเช่นนี้เย่หยวนนั้นมักรู้สึกขยะแขยงอยู่เสมอ เขาแค่ตอบกลับไป “ข้าน่าจะเคยบอกมันไปแล้วนะว่าอย่าได้มาท้าทายข้า! ความโกรธแค้นใดๆ ของมันกับเล้งซู่นั้นข้าไม่คิดสนใจ ข้าและเล้งซู่เป็นเพียงแค่คนรู้จักกันก็เท่านั้น”


นั่นทำให้เถี่ยยิงต้องขมวดคิ้วแน่นด้วยรอยยิ้มชั่ว “เจ้าคิดจะหลอกข้าด้วยคำพูดประโยคเดียวนั้น? แค่คนรู้จักเจ้าคงไม่คิดสังหารสองพี่น้องมารหมอกดำเพื่อช่วยเขาแถมยังส่งนายน้อยซู่กลับถึงบ้านแน่ใช่ไหม? เจ้าไม่รู้หรืออย่างไรว่าการทำเช่นนั้นมันทำให้แผนของนายน้อยห่าวผิดพลาดไปมากแค่ไหน?”


เย่หยวนแค่ทำเรื่องไปตามหัวใจ เพียงแค่ว่าเมื่อคนอื่นๆ ได้มาฟังคำอธิบายเช่นนี้มันคงไม่มีใครที่คิดเชื่อลง


การสังหารสองพี่น้องมารหมอกดำนั้นมันก็เท่ากับว่าเป็นการประกาศสงครามกับเล้งห่าวไปแล้ว


เย่หยวนยักไหล่ตอบ “พวกมันคิดสังหารข้า มีหรือที่ข้าจะยื่นคอให้มันสังหารง่ายๆ?”


เถี่ยยิงกล่าว “ไม่ต้องอธิบายใดๆ กันอีกแล้ว ไม่ว่าเจ้าจะคิดเช่นไร วันนี้เจ้าก็ต้องตาย!”


เมื่อเย่หยวนได้ยินเช่นนั้นเขาก็หัวเราะออกมา


“นภาสวรรค์สี่ดาวมันเก่งกาจมากรึ? หากคิดสังหารข้า เจ้าก็ลองลงมือทำดู” เย่หยวนบอกอย่างชัดเจน


“ไอ้คนโง่ที่ไม่รู้ว่าตัวเองพูดอะไรออกมา ข้าจะทำให้เจ้าได้เห็นความต่างระหว่างอาณาจักรนภาสวรรค์ขั้นต้นและขั้นกลางเอง”


เถี่ยยิงทำหน้าเคร่งเครียดขึ้นพร้อมปล่อยพลังโลกของอาณาจักรนภาสวรรค์สี่ดาวออกมาอย่างบ้าคลั่งจนปกคลุมตรอกนี้ไว้จนสิ้น


แม้ว่าข้ามูลที่เขาได้รับมาจะคลาดเคลื่อนเล็กน้อยเพราะเย่หยวนบรรลุขึ้นนภาสวรรค์สองดาวมาได้แล้ว แต่สำหรับเขา เถี่ยยิงคนนี้จะกี่ดาวมันก็ค่าเท่ากัน


เพราะผลลัพธ์ที่ตามมาสุดท้ายก็คือความตาย!


เถี่ยยิงนำเอาค้อนเทพสายฟ้าออกมาพร้อมทุบมันลงใส่เย่หยวนอย่างรุนแรงราวฟ้าจะถล่มดินจะทลายลงตรงหน้า


เย่หยวนนั้นกำลังคิดที่จะสวนกลับไปก่อนที่ดวงตาของเขาจะหันไปเจอสิ่งหนึ่งเข้าทำให้ต้องหยุดมือลง


เมื่อเถี่ยยิงได้เห็นเช่นนั้นเขาก็ยิ้มออกมาอย่างเย็นเยือกเพราะคิดว่าเย่หยวนนั้นเห็นถึงความแตกต่างของพลังและเลิกคิดที่จะขัดขืน


แต่ในตอนนั้นเองที่มีเงาร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมาขวางทางคนทั้งสองไว้


‘ตูม!’


ร่างของเถี่ยยิงปลิวลอยออกไปพร้อมกับเสียงดังๆ นี้


“นายน้อยซู่!” เถี่ยยิงหน้าถอดสีทันทีเพราะคนที่มาอยู่ตรงหน้าก็คือเล้งซู่


เล้งซู่ยิ้มออกมาอย่างเย็นเยือกพร้อมพูดบอก “พี่ชายคนดีของข้ามันไม่มีความอดทนเสียจริงๆ! ในฐานะคนเป็นพี่น้องกันข้าล่ะช่างเจ็บใจนัก!”


เถี่ยยิงหน้าเสียไปอย่างมาก ดูท่าแล้วเรื่องที่เขาคุยกับเย่หยวนเมื่อสักครู่มันจะเข้าหูเล้งซู่จนสิ้นแล้ว


“นายน้อยซู่ ท่านเข้าใจผิดแล้ว…”


เล้งซู่ยกมือขึ้นเพราะหัวเราะเย้ย “พอแล้ว! จนป่านนี้เจ้ายังคิดจะมาอธิบายใดๆ อีก? หรือว่าในสายตาของเจ้านั้นมันเห็นว่าข้าโง่เง่ามาก? เจ้ากลับไปบอกนายของเจ้าเสียว่าเย่หยวนนั้นคือสหายของข้า หากเขากล้าลงมือกับเย่หยวนแม้แต่เส้นผมข้าจะไม่ยอมหยุดมือจนกว่าตัวเขาจะตายลง!”


เถี่ยยิงถอนหายใจยาวก่อนจะหันหน้าหนีไป


แต่ตอนนั้นเองที่เย่หยวนกลับพูดขึ้นมาขัด “ไม่ต้องนำคำเหล่านั้นกลับไปแล้ว เจ้าอยู่ตรงนี้เถอะ!”


เถี่ยยิงที่ได้ยินเช่นนั้นจึงหันหน้ากลับมาหัวเราะขึ้นทันที “แค่คนเช่นเจ้าก็คิดจะหยุดข้าได้?”


เล้งซู่พูดขึ้น “เย่หยวน ข้าขอโทษจริงๆ แต่แม้จะเป็นข้าก็ไม่อาจหยุดเขาไว้ได้! แต่เจ้าจงวางใจเถอะเรื่องในวันนี้ข้าจะหาทางเอาคืนให้เจ้าให้ได้!”


เถี่ยยิงบอก “นายน้อยซู่จะประเมินตัวเองสูงเกินไปหน่อยไหม?”


เพราะไหนๆ พวกเขาก็เปิดเผยใส่กันขนาดนี้แล้ว เถี่ยยิงจึงไม่คิดจะสุภาพไว้หน้าอีกฝ่ายใดๆ อีก


ไม่ว่าอย่างไรเล้งซู่และเล้งห่าวก็เป็นดั่งน้ำและไฟ นี่เป็นเรื่องที่ทุกคนต่างรับรู้ดี


เพียงแค่ว่าในอดีตพวกเขานั้นมักจะแข่งขันกันอย่างลับๆ แต่ตอนนี้ทุกสิ่งอย่างมันลามมาถึงขั้นลอบสังหารแล้ว


เล้งซู่หน้าเปลี่ยนสีไปทันทีที่ได้ยินแต่ก็ไม่คิดที่จะเถียงสิ่งใดๆ ออกมา


ดูท่าแล้วสถานภาพของเล้งซู่ในบ้านตระกูลเล้งจะไม่ค่อยสู้ดีนัก


“เย่หยวน ข้าขอโทษจริงๆ ที่ข้ามันไร้ประโยชน์” เล้งซู่บอก


เถี่ยยิงหัวเราะขึ้น “เด็กน้อย ถือเสียว่าวันนี้เจ้าโชคดีไปนะ แต่ครั้งหน้าข้ารับรองได้เลยว่าเจ้าจะไม่โชคดีเช่นนี้อีกแน่”


เย่หยวนตอบกลับไป “ไม่ต้องมีครั้งหน้าแล้ว ข้าจะให้โอกาสเจ้าลงมือในวันนี้เลย”


“เย่หยวน…”


เล้งซู่กำลังคิดที่จะเข้ามาห้ามแต่เย่หยวนก็บอกขึ้นก่อน “พี่เล้ง รอก่อนเถอะ เดี๋ยวไว้เราไปดื่มกันอีกสักร้อยชาม!”


เถี่ยยิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะลั่นออกมาเมื่อได้ยินเช่นนั้น “ไอ้เจ้าคนอวดดี! ในเมื่อเจ้าเลือกหนทางหายนะแก่ตัวเองข้าก็จะไปส่งเจ้าให้ถึงที่”


พูดจบเถี่ยยิงก็ปล่อยคลื่นพลังโลกออกมาใส่เย่หยวนอย่างรุนแรงอีกครั้ง


บนร่างของเย่หยวนในตอนนี้ปรากฏลายสีฟ้าขึ้นมารับพลังโลกของเถี่ยยิงไว้ได้อย่างไม่ยากเย็น


“เทพสายฟ้าพิโรธ!”


เถี่ยยิงยกค้อนเทพสายฟ้าของตนขึ้นสูง ในเขตแดนของพลังโลกนี้มันเปี่ยมไปด้วยความบ้าคลั่งและสายฟ้าฟาดไปทุกหนแห่ง เป็นความรุนแรงที่เหนือล้ำ


ภาพของสายฟ้าที่ฟาดลงมาอย่างบ้าคลั่งในตอนนี้มันเป็นภาพที่แสนน่ากลัวจนทำให้ผู้คนต้องลืมหายใจ


แต่เย่หยวนยืนอยู่ภายในเขตแดนนั้นราวกับว่าภาพตรงหน้ามันไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขาเลยสักนิด


เขามองดูที่เถี่ยยิงก่อนจะยกดาบฝ่าน้ำค้างแข็งของตัวเองขึ้นมาบ้าง “พลังฝีมือไม่เลว เจ้าไม่ทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ! ข้านั้นเพิ่งสำเร็จวิชาดาบใหม่มา คงต้องขอลองใช้เพลงดาบนี้กับเจ้าหน่อยแล้ว”


เถี่ยยิงหัวเราะลั่นเมื่อได้ยินเช่นนั้น “เจ้าเด็กโง่เง่าแสนอวดดี คิดจะใช้ข้าลองดาบนั้นมันต้องแลกมาด้วยชีวิตของเจ้า! ตายเสีย!”


เถี่ยยิงทุบค้อนเทพสายฟ้าออกมาเล็งตรงมายังหัวของเย่หยวน


ในวินาทีนี้สายฟ้าที่ฟาดอย่างบ้าคลั่งไปทั่วกำลังพุ่งตรงมายังร่างของเย่หยวนเป็นสายเดียว


เห็นเช่นนั้นเล้งซู่ก็ได้แต่ร้องเตือนพร้อมหน้าซีดเผือด “ระวัง!”


เขากำลังคิดที่จะพุ่งตัวเข้าไปช่วยเย่หยวนก่อนจะพบว่าเสียงของเย่หยวนตอบกลับมาไม่ไกลตัวเขา “ใจเย็นก่อน ข้าไม่เป็นไร”


ตอนนั้นเองที่เย่หยวนขยับตัวบ้าง!


“ดาบตัดผ่ามิติ!”


เล้งซู่รู้สึกเหมือนทุกอย่างตรงหน้าเบลอลงก่อนจะพบว่าร่างของเย่หยวนได้หายไปจากจุดเดิมแล้ว


เมื่อเขาปรากฏกายออกมาอีกครั้งมันก็อยู่ด้านหลังของเถี่ยยิงไปเสียแล้ว


เล้งซู่เบิกตากว้างอย่างตกตะลึง “การเคลื่อนย้ายมิติ! นี่มันการผสานแนวคิด!”


มีหรือที่เล้งซู่จะแยกไม่ออกว่าเย่หยวนได้ทำการผสานแนวคิดแห่งห้วงมิติและแนวคิดแห่งดาบเข้าด้วยกัน? แม้ว่าภาพที่แสดงออกมามันจะไม่หวือหวาแต่พลังของมันนั้นแน่นอน


ตอนนี้สายฟ้าทั้งหลายนั้นกำลังจางหายกลายเป็นเพียงความว่างเปล่า


“นี่มัน… เป็นไปได้อย่างไร?”


ดวงตาของเถี่ยยิงเต็มเปี่ยมไปด้วยความตกตะลึง


จากนั้นร่างของเขาก็ล้มลง


จนสุดท้ายมันก็หายไปสิ้น


ก่อนจะตาย ดูเหมือนเขาจะได้เผชิญกับความน่ากลัวอย่างถึงที่สุด


ดาบนี่ของเย่หยวนคือดาบที่ตัดทำลายมิติได้ ทำให้ร่างกายของเขาแหลกสลายหายไป


หลังจากเรียนรู้อยู่นานถึงสามปีเย่หยวนนั้นไม่ได้เรียนรู้มาเพิ่มแค่แนวคิดแห่งห้วงมิติ แต่เขายังสามารถผสานแนวิคดได้แนบแน่นยิ่งขึ้นสร้างวิชาดาบกระบวนท่าใหม่นาม ‘ดาบตัดผ่ามิติ’ ขึ้นมา


วิชาดาบกระบวนนี้มันเต็มเปี่ยมไปด้วยความเข้าใจของเย่หยวนต่อวิชายุทธและใช้พลังแนวคิดออกมาอย่างถึงที่สุด


มันมีพลังที่ไม่อาจจินตนาการได้


เมื่อพลังนี้ถูกปล่อยออก มันไม่ใช่แค่จะรวดเร็วและรุนแรงแต่มันถึงขั้นสามารถทำลายมิติตรงจุดที่ดาบตัดผ่านให้กลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยได้!


เล้งซู่มองดูภาพนั้นด้วยความตื่นตกตะลึงจนไม่อาจหุบปากที่อ้าค้างลงได้


นภาสวรรค์สี่ดาวนั้นเป็นดั่งขุนเขาต่อหน้านภาสวรรค์สามดาว


แต่เย่หยวนที่เพิ่งบรรลุนภาสวรรค์สองดาวมาได้กลับสังหารนภาสวรรค์สี่ดาวลงด้วยดาบเดียว


นี่คือพลังที่แม้แค่ได้ยินยังต้องขนลุกทั้งร่าง


โดยเฉพาะดาบที่เขาใช้ออกมานั้น มันทำให้ผู้คนแทบลืมหายใจจริงๆ


แม้ว่าเล้งซู่จะมีฝีมือเหนือกว่าเถี่ยยิงแต่กระบวนท่าดาบนี้แม้จะเป็นตัวเขาก็รู้สึกใจหายวาบเมื่อได้เห็นมันและรู้ได้ทันทีว่าตัวเองก็คงไม่อาจรอดไปจากมัน!


เย่หยวนเก็บดาบลงและยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าก่อนจะหันหน้ามาหาเล้งซู่ด้วยรอยยิ้ม “พี่เล้ง ไปดื่มกัน”


เล้งซู่ผงะไปเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะลั่นออกมา “ฮ่าๆ ได้สิ! วันนี้ข้าไม่แพ้เจ้าแน่!”


เย่หยวนเองก็หัวเราะลั่น “แค่คออ่อนๆ ของเจ้าน่ะหรือจะมาเทียบเคียงกับขี้ฟันข้าได้?”


ทั้งสองหัวเราะร่าเดินไปยังร้านสุราแห่งนั้นพร้อมๆ กัน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)