Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1832-1835
ตอนที่ 1832 แนวคิดแห่งกาลเวลา
บางทีมันอาจเป็นเรื่องบังเอิญหรืออาจจะเป็นเพราะนิกายเงาจันทร์นั้นมีผู้เข้าร่วมน้อยคน
แต่แม้จะผ่านมากว่าครึ่งทางแล้วหยางเชินก็ยังไม่ได้พบเจอกับศิษย์ของนิกายเงาจันทร์เลยสักคน
แต่ว่าสุดท้ายมันก็หนีกันไม่พ้น
ในรอบที่ยี่สิบแปด หยางเชินปะทะกับอี้ชิงเซียง
ตอนนี้เวลากว่าครึ่งปีได้ผ่านไปตั้งแต่เริ่มงานชุมนุมการต่อสู้แห่งก่อไผ่
หยางเชินนั้นเดินมาหยุดตรงหน้าเย่หยวนด้วยรอยยิ้ม “ข้ารอเวลานี้มาถึงครึ่งปี! วันนี้ข้าจะให้เจ้าได้รู้ถึงความรู้สึกที่ศิษย์ร่วมนิกายต้องตายลงต่อหน้าอย่างไม่อาจช่วยอะไรได้!”
พูดจบเขาก็หันไปหาอี้ชิงเซียง “ครั้งก่อนเจ้าโชคดีรอดพ้นภัยไปได้ ครั้งนี้เจ้าจะไม่โชคดีอีกแน่! หากอยากโทษใครก็ไปโทษเย่หยวนที่มาลบหลู่นิกายสว่างชัดข้าเถอะ!”
แต่อี้ชิงเซียงกลับหัวเราะออกมาเมื่อได้ยิน “ข้าก็เคยพูดไปนานแล้วว่านิกายเงาจันทร์เราเองก็ไม่อาจทนดูคนมาท้าทายเหยียดหยามได้! ข้าตายก็คือตาย แต่นิกายเงาจันทร์จะไม่เสียชื่อ! แน่นอนว่านั่นพูดถึงตอนที่เจ้าสังหารข้าลงได้จริงๆ น่ะนะ”
หยางเชินเงียบปากลงทันที ตอนนี้เขาได้รับรู้อย่างชัดเจนแล้วว่ามาพูดเถียงไปตอนนี้มันก็ไม่อาจชนะอีกฝ่ายได้
เขานั้นมาเพื่อที่จะดูท่าทางหวาดกลัวสิ้นหลังของอี้ชิงเซียง ไม่นึกไม่ฝันว่าจะกลับได้เห็นใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความหนักแน่นเช่นนี้แทน
อารมณ์อึดอัดขัดใจของเขานั้นมันเหนือล้ำกว่าที่จะบรรยายได้
ตรงกันข้าม ตอนนี้เหล่าศิษย์นิกายสว่างชัดกลับกลัวจนปากสั่นตัวสั่นหลังเห็นศิษย์ร่วมนิกายถูกสังหารไปเรื่อยๆ
ต่อให้พวกเขาจะเกรงกลัวมากแค่ไหน พวกเขาก็ไม่อาจรอดพ้นมือของเย่หยวนไปได้
ไม่ทันแม้แต่จะยอมแพ้
เหล่าศิษย์ทั้งหลายที่เย่หยวนได้สังหารลงนั้นล้วนแล้วแต่เป็นยอดศิษย์ของนิกายสว่างชัดที่วันหน้าจะได้เติบโตมาเป็นเสาหลักของนิกาย
แต่เพราะการล้างสังหารของเย่หยวนนี้ทำให้งานชุมนุมการต่อสู้แห่งก่อไผ่ในครั้งนี้มันโกลาหลไปหมดสิ้น
นอกจากตัวเขาและเย่หยวนสองดาวเด่นนี้แล้ว อันดับรองๆ ลงไปนั้นมีการแข่งขันที่แสนดุเดือดอย่างมาก
แน่นอนว่าต้นเหตุมันเป็นเพราะเย่หยวนได้ไปให้ของขวัญแก่นิกายต่างๆ มากมาย
ตอนนี้เหล่านิกายที่เคยไร้หวังก็เริ่มกลับมามีความหวังกันอีกครั้ง
เย่หยวนมองดูหยางเชินด้วยสายตาเย็นชา “เจ้าก็เห็นว่าเรานั้นไม่กลัวตายกัน จะยังเอาเรื่องชีวิตมาข่มขู่ทำไมอีก? เอาศักดิ์ศรีของเจ้าไปอวดผู้คนไกลๆ หน้าข้าไป!”
หยางเชินขมวดคิ้วแน่นและหัวเราะกลับ “เลิกวางท่าเสียที! เมื่อพวกเจ้าได้ขึ้นสังเวียนแล้วข้าอยากรู้เหลือเกินว่าพวกเจ้าจะยังทำหน้ายิ้มเยาะเช่นนั้นได้ไหม!”
หลังจากศึกสองคู่แรกจบลง ในที่สุดก็ถึงคราวของหยางเชินปะทะอี้ชิงเซียง
ตอนนี้เมื่อใดก็ตามที่มีการปะทะระหว่างนิกายสว่างชัดและนิกายเงาจันทร์ มันก็จะกลายเป็นเรื่องฮือฮาดึงดูดสายตาผู้คนทันที
แต่วันนี้มันเป็นครั้งแรกที่หยางเชินจะได้ปะทะกับศิษย์นิกายเงาจันทร์ มันจึงยิ่งทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ที่ทุกผู้คนจับตามอง
บนสังเวียนนั้นอี้ชิงเซียงมีเหงื่อเย็นเหยียบไหลท่วมกาย ตั้งแต่หน้าผากยันข้อเท้า
นี่มันไม่ใช่เหงื่อที่เกิดจากความกลัว แต่เป็นเหงื่อที่เกิดจากแรงกดดันของหยางเชินที่แสนรุนแรง!
ความกดดันระดับนี้ เขาเคยรู้สึกมันจากคนผู้เดียวท่านั้น นั่นคือเย่หยวน!
ก่อนจะเริ่มหยางเชินก็ปล่อยคลื่นพลังกดดันออกมาอย่างสุดแรงจนครอบคลุมสวรรค์ทั้งเก้า
เมื่อใดก็ตามที่ได้ยินสัญญาณเริ่มการประลอง เขาคงเข้ามาปะทะอี้ชิงเซียงอย่างรุนแรงแน่ๆ คงไม่คิดเหลือเวลาให้ได้ยอมแพ้
ที่ด้านล่างสังเวียนเหล่าศิษย์ทั้งหลายต่างมองดูมันอย่างเคร่งเครียด
“แข็งแกร่ง! นี่หรือคือพลังที่แท้จริงของหยางเชิน!”
“ก่อนๆ มาไม่เคยมีใครทำให้เขาใช้พลังออกมาได้อย่างแท้จริง วันนี้กลับถูกเย่หยวนรีดมันออกมาจนได้!”
“แม้จะอยู่นอกเขตแดนป้องกันข้าก็ยังรู้สึกราวกับจะหายใจไม่ออก! นภาสวรรค์สองดาวด้วยกันแท้ๆ เหตุใดจึงแตกต่างกันได้ขนาดนี้?”
…
ความรู้สึกที่หยางเชินปล่อยออกมานั้นมันเป็นความกดดันที่หนักแน่นแตกต่างจากความเรียบง่ายและสวยงามของเย่หยวน
“เริ่ม!”
ตู้หรูเฟิงร้องบอกและในวินาทีนั้นร่างของหยางเชินก็พุ่งเข้ามาใส่อี้ชิงเซียงอย่างรวดเร็วราวกับลูกศรที่ถูกปล่อยจากคันธนู
ภายใต้แรงกดดันอันมหาศาลและพลังแนวคิดที่หยางเชินปล่อยออกมา อี้ชิงเซียงนั้นไม่อาจจะขยับตัวได้แม้แต่น้อย
อี้ชิงเซียงขมวดคิ้วแน่นเพราะความรู้สึกกดดันอันนี้
แต่เขายังไม่คิดบอกยอมแพ้
เพราะเขารู้ดีว่าหยางเชินต้องมีไม้เด็ดซ่อนไว้อยู่อีกแน่ๆ!
แม้ว่าพลังของเขาจะแข็งแกร่ง มันก็ไม่ได้แข็งแกร่งจนทำให้อี้ชิงเซียงต้องยอมแพ้ในวินาทีที่ขึ้นสังเวียนมา
เพราะอย่างไรพวกเขาทั้งคู่ก็เป็นนภาสวรรค์สองดาวด้วยกัน การจะทำให้คนในดาวเดียวกันพูดคำว่า ‘ ข้ายอมแพ้’ นั้นมันช่างเป็นเรื่องที่แสนจะยากเย็น
จู่ๆ อี้ชิงเซียงก็ต้องหรี่ตาลงเพราะความรู้สึกราวกับว่าภาพตรงหน้ากำลังค่อยๆ เคลื่อนไหวช้าลง!
ตอนนี้ต่อให้เขาจะอยากเปิดปากพูดยอมแพ้มันก็ช้าเสียยิ่งกว่าช้า
โลกทั้งใบในตอนนี้ มีเพียงตัวหยางเชินเท่านั้นที่ยังขยับไหวอย่างปกติ!
‘แนวคิดแห่งกาลเวลา!’
อี้ชิงเซียงร่ำร้องขึ้นในใจ
“เอ๋ อี้ชิงเซียงทำอะไรของมัน? กลัวจนฉี่ราดแล้วหรือ?”
“ดาบของหยางเชินจะปาดถึงคอแล้วแท้ๆ ทำไมเขากลับไม่ขยับตัวเลย?”
ที่ด้านล่างเหล่าศิษย์ต่างไม่เข้าใจเรื่องราวว่าด้านบนสังเวียนมันกำลังเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ในสายตาของพวกเขา อี้ชิงเซียงนั้นเอาแต่ยืนนิ่งไม่ยอมทำอะไรราวคนโง่ ได้แต่ยื่นคอออกไปให้หยางเชินฟันทิ้ง
‘เคร้ง!’
เสียงดังสนั่นลั่นขึ้นมาส่งร่างของอี้ชิงเซียงลอยปลิวไปไกล
“ข้า… ขอ… ยอมแพ้!”
อี้ชิงเซียงพูดสามคำนี้ออกมาระหว่างที่ร่างยังลอยไปไม่ตกพื้น
“บ้าเอ๊ย! เจ้ารับมันไว้ได้อย่างไรกัน?! เจ้ามีปัญญาป้องกันมันได้อย่างไร?! ข้าจะฆ่าเจ้า!”
หยางเชินพุ่งตัวเข้ามาตามอี้ชิงเซียงอย่างบ้าคลั่ง
แต่เวลานั้นเองที่เกิดมีคลื่นพลังแสนรุนแรงพุ่งเข้าใส่ร่างของเขาจนปลิวกระเด็นไป
“เขานั้นได้ยอมแพ้ออกมาแล้ว เจ้าจงอย่าได้ลงมืออีก! ครั้งนี้จะถือว่าเตือน ครั้งหน้าหากเจ้าทำอะไรเช่นนี้อีก ข้าจะสังหารทันที!”
ตู้หรูเฟิงกล่าวออกมาอย่างไร้อารมณ์ใดๆ ในน้ำเสียง
หยางเชินพยายามลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางสุดแค้น
ตอนนั้นเองที่ตู้หรูเฟิงประกาศขึ้นอีกครั้ง “ศึกนี้หยางเชินเป็นฝ่ายชนะ”
หยางเชินได้แต่กัดฟันตัวเองแน่น ใบหน้าของเขาในตอนนี้มันไม่มีร่องรอยของความดีใจอยู่เลย
เป้าหมายของเขาคือสังหาร มิใช่ชนะ
อารมณ์ทนเก็บมากกว่าครึ่งปีของหยางเชินได้ระเบิดขึ้นในศึกครั้งนี้
แต่สุดท้ายเขากลับพลาด!
ผลเช่นนี้ มันย่อมยากที่จะรับได้
เมื่อสักครู่ในวินาทีสุดท้ายอี้ชิงเซียงกลับปล่อยปราณเทวะออกมาจากร่างและใช้ปราณเทวะขยับดาบขึ้นมารับการโจมตีของเขาไว้
แนวคิดแห่งกาลเวลาของเขานั้นสามารถชะลอกระแสเวลารอบตัวอี้ชิงเซียงได้ แต่สิ่งหนึ่งที่เขาไม่อาจชะลอลงได้ก็คือปราณเทวะ!
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ข้อจำกัดของแนวคิด แต่ที่เขายังชะลอมันไม่ได้เป็นเพราะแนวคิดแห่งกาลเวลาของเขายังอ่อนแอเกินไป
ไม่เช่นนั้นอี้ชิงเซียงก็คงไม่อาจรอดพ้นความตายไปได้แน่
เย่หยวนขยับร่างขึ้นมาข้างๆ กายอี้ชิงเซียงก่อนจะมอบโอสถให้เขากิน
สภาพของอี้ชิงเซียงในตอนนี้มันแย่เสียยิ่งกว่าตอนที่เขาโดนเล่นงานครั้งแรกเสียอีก
แต่เขานั้นไม่ตาย!
เมื่อโอสถเข้าสู่ร่าง แผลของอี้ชิงเซียงก็ค่อยๆ หายบรรเทาลง
“ข้าไม่นึกเลยว่าไม้ตายของเจ้าหมอนี่จะเป็นแนวคิดแห่งกาลเวลา!”
คิดได้เช่นนั้นเย่หยวนก็รู้สึกหวั่นๆ ขึ้นมา
แนวคิดแห่งกาลเวลานั้นคล้ายกับแนวคิดแห่งห้วงมิติตรงที่มันเป็นยอดของแนวคิด เป็นหนึ่งในแนวคิดที่ยากจะสำเร็จที่สุด
นอกจากจอมเทพนิรันดร์แล้วนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เย่หยวนได้เห็นคนใช้แนวคิดแห่งกาลเวลา
แค่มองครั้งเดียวเย่หยวนก็รู้ได้ทันที
เจ้าแนวคิดแห่งกาลเวลานี้มันเป็นสิ่งที่ยากจะรับมือ
เพราะทุกอย่างจะถูกควบคุมภายใต้แนวคิดแห่งกาลเวลานี้
เมื่อสักครู่นี้อี้ชิงเซียงเองก็ไม่อาจจะรับมือต่อต้านใดๆ ได้เลยเช่นกัน ไม่สามารถแม้แต่จะพูด!
“หึๆ นี่… การฝึกพิเศษครึ่งปีนี้มันช่าง… คุ้มค่า!”
อี้ชิงเซียงนั้นไม่ได้ท้อใจแต่กลับตื่นเต้นขึ้นมาแทน
การที่เขาสามารถหลบรอดหายนะครั้งนี้มาได้มันย่อมเป็นเพราะการฝึกพิเศษกับเย่หยวน
และเพราะการฝึกนี้เอง มันได้ช่วยทำให้พลังฝีมือของคนทั้งสามนั้นพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด
ในเวลาครึ่งปีมานี้ พวกเขาฝึกตัวภายใต้ความเป็นความตาย
และเพราะการฝึกนี้เองที่ทำให้พวกเขาได้รู้ถึงพลังที่แท้จริงของเย่หยวน!
ตอนที่ 1833 ขาดช่วงรุ่น
ครึ่งปีมานี้เย่หยวนใช้เพียงดาบเดียวฟาดฟันใส่พวกเขามาตลอด
ดาบเดียวนี้มันสุดแสนที่จะรุนแรง มากพอที่จะพรากชีวิตของพวกเขาได้ง่ายๆ
ตอนแรกพวกไป่หลี่ชิงหยานทั้งหมดไม่อาจขยับตัวได้แม้แต่น้อย
หากเย่หยวนคิดอยากสังหารจริง พวกเขาคงได้ตายจนแม้แต่วิญญาณก็ไม่เหลือรอด
จะบอกว่าเวลาครึ่งปีมานี้เป็นการไปเที่ยวประตูนรกในทุกๆ วันก็ไม่ผิดนัก
ตอนเริ่มต้นกันใหม่ๆ จิตวิญญาณการต่อสู้ของอี้ชิงเซียงและเจียงเชอเหยียนถึงกับแทบพังทลาย
ด้วยพลังดาบที่รุนแรงและรวดเร็วเช่นนั้น พวกเขาย่อมไม่มีทางใดที่จะต่อต้านได้เลย
พลังที่เหนือล้ำนี้มันทำให้ผู้พบเจอรู้สึกสิ้นหวังหมดหนทาง
ตั้งแต่เข้านิกายมาพวกเขาทั้งหลายต่างก็คิดว่าตัวเองเป็นยอดอัจฉริยะสวรรค์ส่ง วางตัวเองไว้อย่างสูงส่งเหนือหัวทุกผู้คน มีหรือที่พวกเขาจะเคยคาดคิดว่าตัวเองจะพ่ายแพ้แก่คนรุ่นเดียวกันอย่างย่อยยับเช่นนี้?
แต่ยิ่งเวลาผ่านไป พวกเขาก็ยิ่งเคยชิน
ตอนนี้พวกเขาเริ่มเข้าใจความแข็งแกร่งของเย่หยวนและพยายามหาทางที่จะหลบเลี่ยงมัน
เป้าหมายของเย่หยวนนั้นง่ายดาย ตราบเท่าที่พวกเขาสามารถบอกยอมแพ้ได้มันก็เพียงพอ
และวันนี้อี้ชิงเซียงก็ทำได้จริง!
ในความเป็นจริงแล้วเวลาครึ่งปีที่ผ่านพวกเขาทั้งหลายนั้นได้พัฒนาฝีมือตัวเองขึ้นไปอย่างมากมายมหาศาล เพียงแค่ว่าพวกเขาทั้งหลายไม่มีเวลาไปมองดูเรื่องนั้นก็เท่านั้น
หยางเชินอยู่นิ่งบนสังเวียน ร่างกายของเขาสั่นสะท้านด้วยความโกรธแค้น
เย่หยวนสังหารศิษย์นิกายสว่างชัดไปถึงครึ่งหนึ่ง แต่เขากลับไม่อาจสังหารอีกฝ่ายได้สักคน
ความอับอายขายหน้านี้มันทำให้เขาแทบคลั่ง
‘อ้าก!’
จู่ๆ หยางเชินก็ร่ำร้องขึ้นมาพร้อมจ้องมองเย่หยวน “ครั้งหน้าพวกเจ้าไม่โชคดีอีกแน่!”
เย่หยวนมองดูหยางเชินและตอบกลับไป “แม้ว่าแนวคิดแห่งกาลเวลามันจะแข็งแกร่ง แต่น่าเสียดายที่เจ้ายังขาดการฝึกฝน ไม่มีปัญญาจะสังหารผู้คนในดาบเดียว”
พูดจบเย่หยวนก็พาอี้ชิงเซียงที่บาดเจ็บหนักกลับไป
“แนวคิดแห่งกาลเวลา! เป็นแนวคิดแห่งกาลเวลาจริงหรือ!”
“ไม่แปลกใจเลย ไม่แปลกเลยว่าทำไมอี้ชิงเซียงถึงได้ยืนนิ่งเช่นนั้น ที่แท้มันคือแนวคิดแห่งกาลเวลา!”
“พระเจ้าช่วยแนวคิดแห่งห้วงมิติ แนวคิดแห่งกาลเวลา สองแนวคิดสุดยอดนี้ได้มาเจอกันในชุมนุมการต่อสู้แห่งก่อไผ่แล้ว!”
“น่าเสียดายที่หยางเชินไม่อาจสังหารอี้ชิงเซียงลงได้ ชุมนุมการต่อสู้แห่งก่อไผ่ในครั้งนี้นิกายสว่างชัดสูญเสียไปมากจริงๆ”
…
หลังจากได้ยินคำของเย่หยวนเหล่าผู้คนที่เฝ้ามองก็เริ่มพูดคุยกันอย่างออกรส
พวกเขาไม่ได้รับรู้เลยว่าเมื่อสักครู่นี้หยางเชินได้ใช้แนวคิดแห่งกาลเวลาออกมา
เพราะว่าแนวคิดแห่งกาลเวลานั้นมันเล็งเป้าไปที่อี้ชิงเซียงคนเดียว มันจึงเป็นการยากมากที่คนนอกจะสัมผัสได้ถึงมัน
แน่นอนว่าคนที่อ่อนไหวถึงพลังของเต๋าสวรรค์ย่อมสามารถสัมผัสถึงมันได้แต่แรก
เช่นเย่หยวน
หยางเชินนั้นพูดจาวางท่าใหญ่โต แต่สุดท้ายกลับไม่อาจลงมือทำได้
แม้ว่าอีกฝ่ายจะบาดเจ็บอย่างสาหัสแต่เมื่อเริ่มรอบต่อไปอี้ชิงเซียงก็กลับมาขึ้นสังเวียนได้อย่างสมบูรณ์พร้อม
การปรากฏตัวนี้ของเขามันทำให้เกิดเรื่องฮือฮาขึ้นอีกครั้ง
ตอนนี้ทุกผู้คนได้รู้แล้วว่านิกายเงาจันทร์นั้นมีจอมเทพโอสถผู้เก่งกาจอยู่เบื้องหลัง
และจอมเทพโอสถผู้นั้นก็คือเย่หยวน!
ตราบเท่าที่ศิษย์นิกายเงาจันทร์ไม่ตายลง การแข่งรอบต่อไปพวกเขาก็จะกลับมาได้อย่างสมบูรณ์พร้อม
นั่นทำให้เหล่าศิษย์ของนิกายอื่นๆ ต่างอิจฉานิกายเงาจันทร์อย่างถึงที่สุด
ตอนนี้ไม่มีใครสงสัยในเรื่องที่นิกายเงาจันทร์ได้ขี้นไปอยู่สวนป่าบนอีกต่อไปแล้ว พวกเขานั้นขึ้นไปอยู่ได้เพราะความสามารถมิใช่โชคช่วยเลย
หรือจะบอกว่า เย่หยวนนั้นมีคุณสมบัติมากพอที่จะขึ้นไปอยู่สวนป่าบนก็ไม่ผิด
ในด้านวรยุทธต่อสู้ เขานั้นสำเร็จแนวคิดแห่งห้วงมิติ
ในด้านโอสถ เขานั้นคือคนที่สามารถหลอมโอสถระดับห้าที่มีความยากสูงๆ ได้ง่ายๆ
คนเช่นนี้แม้จะเอาหยางเชินไปเทียบมันก็ไม่มีทางเทียบเคียงได้
โชค?
ของแบบนั้นมันไม่มี!
ในรอบที่สี่สิบเย่หยวนก็ได้มาพบกับศิษย์นิกายสว่างชัดอีกคนนามเว่ยหยวนเฟย
เว่ยหยวนเฟยคนนี้เป็นนภาสวรรค์สองดาวขั้นสุด เขานั้นมีพลังฝีมือที่เหนือล้ำและมีโอกาสติดอันดับหนึ่งในห้าด้วย
แต่ก่อนจะเริ่มศึกนี้หยางเชินก็กำชับมาอย่างหนักแน่นว่าเขาต้องยอมแพ้ทันที
เพียงแค่ว่าเมื่อเริ่มการประลองขึ้น เรื่องราวมันกลับเหนือความคาดหมายของหยางเชินไปมาก
ตอนนี้เย่หยวนเปลี่ยนท่าของตน เมื่อเขาเริ่มลงมือเขาก็ปล่อยดาบที่สุดแสนรวดเร็วและรุนแรงออกมา
หนึ่งดาบนี้เหนือล้ำกว่าครั้งก่อนมาก แถมยังเร็วกว่านับเท่าตัวกดดันให้เว่ยหยวนเฟยแทบหายใจไม่ออก ไม่สามารถจะพูดขอยอมแพ้ใดๆ ได้ทั้งสิ้น
เย่หยวนใช้แนวคิดแห่งห้วงมิติออกมาเร่งความเร็วของตัวเองจนถึงที่สุด
ที่สำคัญปราณเทวะของเย่หยวนยังหนาแน่นกว่าใครๆ เขามีลมหายใจที่ยาวนานและเหมาะกับการต่อสู้ระยะยาว
แต่เว่ยหยวนเฟยนั้นไม่ใช่ ตอนนี้เขาเผยให้เห็นถึงช่องว่างเมื่อเจอแรงกดดันจากเย่หยวน
สุดท้ายเขาจึงถูกเย่หยวนสังหารลงด้วยดาบเดียว!
วินาทีที่เย่หยวนสังหารเว่ยหยวนเฟยลง ทุกคนต่างก็อ้าปากค้าง
หากใครยังจะอ้างบอกว่าที่ผ่านๆ มาศิษย์เหล่านั้นอ่อนแอเอง เช่นนั้นการสังหารเว่ยหยวนเฟยนี้มันก็จะช่วยยืนยันความแข็งแกร่งเหนือล้ำของเย่หยวนได้อย่างดี!
ผู้อาวุโสของนิกายสว่างชัดและหยางเชินรู้สึกเจ็บช้ำในดวงใจ ศิษย์ทั้งแปดที่มา หลังผ่านไปได้ครึ่งปีกลับเหลือเพียงแค่สามคน
และหนึ่งในนั้นยังเป็นเหอหยวนผู้ไร้ประโยชน์
นี่มันคือความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อนิกายสว่างชัด
หากไม่มีเรื่องราวเหตุร้ายใด หยางเชินและเซินเทียนหลินจะต้องได้เข้าวิหารแน่
นั่นมันจะหมายความว่าเสาหลักของนิกายสว่างชัดในรุ่นนี้มันได้ถูกทำลายลงด้วยน้ำมือของเย่หยวนจนสิ้น
เท่านี้นิกายสว่างชัดก็จะขาดอัจฉริยะไปหนึ่งช่วงรุ่น มันเป็นความเสียหายอย่างที่นิกายไม่อาจทนรับได้
การกระทำนี้ของเย่หยวนมันช่างโหดร้าย!
หลังจากนี้หยางเชินก็ได้ปะทะกับเจียงเชอเหยียนและไป่หลี่ชิงหยาน
ทุกๆ ครั้งหยางเชินก็ปล่อยพลังที่มีออกมาทั้งหมดเพื่อคิดสังหารอีกฝ่ายลง
แต่น่าเสียดายที่เขาพลาดไปทั้งสองครั้ง
แถมตัวไป่หลี่ชิงหยานนั้นยังสามารถรับมือเขาได้หลายกระบวนท่า กว่าที่นางจะยอมแพ้ลง
ในหมู่คนทั้งสามไป่หลี่ชิงหยานนั้นนับได้ว่ามีพรสวรรค์มากกว่าใครเพื่อน ทำให้ฝีมือที่พัฒนาขึ้นของนางนั้นเหนือล้ำกว่าอีกสองคนด้วยเช่นกัน
การฝึกของเย่หยวนนี้มันทำให้ไป่หลี่ชิงหยานสามารถเพิ่มอัตราชนะได้มากขึ้นด้วย
ตอนนี้ในหมู่ศิษย์ที่เข้าร่วมงานทั้งหกสิบสี่ นางนั้นจัดอยู่ในอันดับที่หก ห่างจากอันดับห้าแค่ไม่มาก
ในที่สุดรอบที่ห้าสิบสามก็มาถึง มันคือรอบที่สองอัจฉริยะ เย่หยวนจะได้ปะทะกับหยางเชินเสียที!
ศึกครั้งนี้ได้รับความสนใจจากทุกผู้คน
เมื่อได้ยินว่าชุมนุมการต่อสู้แห่งก่อไผ่ในครั้งนี้มีแนวคิดแห่งห้วงมิติและแนวคิดแห่งกาลเวลาปรากฏขึ้น เหล่าศิษย์วิหารหลายต่อหลายคนจึงมุ่งหน้ามารอชมกัน แม้กระทั่งผู้อาวุโสก็ยังมาดู
“ไป่หลี่ เย่หยวนสู้กับหยางเชินนี้เจ้าคิดว่าใครมีโอกาสชนะมากกว่ากัน?”
ก่อนจะเริ่มศึกเจียงเชอเหยียนก็ถามขึ้นด้วยความกังวลไม่น้อย
ตอนนี้นางนั้นรู้สึกติดหนี้บุญคุณเย่หยวนอย่างล้นพ้น
ในเวลาปีหนึ่งมานี้เย่หยวนได้หลอมโอสถมากมายให้แก่นาง ทำให้นางพัฒนาตัวเองไปได้อย่างก้าวกระโดด
ที่สำคัญเจียงเชอเหยียนยังรับรู้ได้ว่าโอสถที่เย่หยวนหลอมออกมามันไม่ได้แค่สร้างผลขึ้นในตอนที่กิน แต่มันจะส่งผลที่ยาวนานช่วยการบ่มเพาะในวันหน้าของนางได้อย่างมากมาย
เรื่องราวเช่นนี้มันมากพอที่จะเปลี่ยนชีวิตของนางได้!
แน่นอนว่าไป่หลี่ชิงหยานและอี้ชิงเซียงก็คิดเช่นเดียวกัน
ไป่หลี่ชิงหยานเองก็ตอบออกมาอย่างกังวลไม่แพ้กัน “ข้าเองก็ไม่แน่ใจ ทั้งสองคนนั้นต่างมีเรื่องที่ตัวเองมั่นใจ เย่หยวนนั้นเก่งกาจได้ด้วยการผสานแนวคิด แต่หยางเชินนั้นก็มีแนวคิดแห่งกาลเวลาที่ประมาทไม่ได้ การต่อสู้ครั้งนี้ข้าว่าโอกาสแพ้ชนะห้าสิบต่อห้าสิบ”
แม้ว่าพวกเขาทั้งหลายจะหวังให้เย่หยวนชนะเพียงใด แต่ไป่หลี่ชิงหยานก็ได้แลกดาบกับหยางเชินมาและย่อมรู้ว่า หยางเชินนั้นเก่งกาจถึงเพียงใด
ความกดดันที่คนทั้งสองสร้างให้แก่นางนั้นมันเรียกได้ว่าเทียบเท่ากัน
เพราะฉะนั้นนางจึงไม่อาจมั่นใจได้ว่าใครจะแข็งแกร่งกว่าใคร
และมันก็เพราะเช่นนี้นี่เองที่ทำให้นางรู้สึกกังวลอย่างมาก
อี้ชิงเซียงบอก “วางใจเถอะ เย่หยวนไม่มีทางแพ้แน่! เขาคนนี้สร้างเรื่องราวประหลาดใจให้ผู้คนได้เสมอๆ และดูราวกับว่าไม่เคยมีขีดจำกัดเลย!”
เมื่อทั้งสองได้ยินเช่นนั้นพวกเขาก็ได้แต่เห็นด้วยอยู่ลึกๆ ในใจ
ตอนที่ 1834 อาณาจักรลายพระเจ้า
บนสังเวียนนั้นมีคลื่นพลังอันรุนแรงกำลังเข้าปะทะกันอยู่
หนึ่งนั้นดุร้าย อีกหนึ่งนั้นเยือกเย็น
หยางเชินนั้นมีคลื่นพลังที่แสนหนักหน่วงส่วนเย่หยวนนั้นมีคลื่นพลังที่แสนมั่นคงดั่งขุนเขา
นี่คือศึกตัดสินระหว่างนิกายสว่างชัดและนิกายเงาจันทร์ และยังเป็นการปะทะของสองสุดยอดแนวคิด
โอกาสเช่นนี้คงหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว
“เย่หยวน หวังว่าเจ้าจะไม่คิดยอมแพ้ไปก่อนนะ! วันนี้มาสู้กันให้ตายไปข้าง เจ้ากล้ารับคำไหม?” หยางเชินถามขึ้นมาด้วยสายตาที่จ้องมองเย่หยวน
ไม่อาจฆ่าคนอื่นได้ เขาก็ขอสู้กันให้ตายไปข้างกับเย่หยวนเลยจะดีกว่า
หยางเชินนั้นมั่นใจในพลังฝีมือของตัวเองมาก มันไม่มีทางใดที่เขาจะพ่ายแพ้แก่เย่หยวนแน่
เย่หยวนตอบกลับมาด้วยใบหน้าเรียบเฉย “ย่อมได้”
หยางเชินหัวเราะลั่น “ฮ่าๆ เย่หยวน ความอับอายที่เจ้าสร้างให้แก่นิกายสว่างชัดนี้ วันนี้ข้าจะนำมันคืนให้เจ้าเอง! เจ้าตายแน่!”
เย่หยวนยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยเช่นเดิม “เรื่องนั้นมันขึ้นอยู่กับว่าเจ้ามีปัญญาหรือเปล่าด้วย!”
หยางเชินหัวเราะ “เจ้ามีสุดยอดแนวคิด ข้าเองก็มีสุดยอดแนวคิด ที่สำคัญข้ายังมีพลังบ่มเพาะเหนือกว่าเจ้าเกือบสองดาว! เจ้าคิดจะเอาอะไรมาชนะข้า? วันนี้ข้าจะให้เจ้าได้รับรู้ถึงพลังของข้าเอง! พลังที่แท้จริงของอันดับหนึ่งแห่งนิกายสว่างชัด!”
เมื่อต้องมาเจอกับหยางเชิน เรื่องเดียวที่เย่หยวนเสียเปรียบอย่างมากนั้นก็คือพลังการบ่มเพาะ
เย่หยวนนั้นเป็นแค่นภาสวรรค์หนึ่งดาวขั้นต้น ส่วนหยางเชินนั้นเป็นนภาสวรรค์สองดาวขั้นสุด นับแล้วมันก็เรียกได้ว่าห่างกับเกือบสองดาว
สองดาวนี้มันอาจจะไม่ได้แตกต่างมากกับอาณาจักรพระเจ้าช่วงต้นๆ แต่ในอาณาจักรนภาสวรรค์นี้สองดาวมันเป็นความห่างที่ทิ้งชั้นกันอย่างขาดลอย
ต่อให้เป็นยอดอัจฉริยะอย่างไป่หลี่ชิงหยานนางเองก็ต้องใช้เวลามากมายนับร้อยๆ ปีกว่าจะขึ้นสองดาวไปได้ แน่นอนว่าช่องว่างมันต้องมากมายมหาศาล
“ตาย!”
หยางเชินพุ่งร่างเข้ามาหาเย่หยวนพร้อมเสียงร้อง เขายกดาบในมือขึ้นพร้อมฟาดฟัน
เจ้าดาบนี้มันแฝงมาด้วยจิตที่หนักแน่น!
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือพลังโลกของหยางเชินที่แสนจะรุนแรง มันเข้าปกคลุมทุกพื้นที่ราวกับนี่เป็นโลกของเขาเองและไม่เหลือเว้นช่องว่างให้เย่หยวนรอดออกไปได้เลย
ต่อหน้าดาบคมนี้ เย่หยวนดูอ่อนแอไปทันตา
แต่ตอนนั้นเย่หยวนก็ขยับร่างบ้าง
ดาบฝ่าน้ำค้างแข็งขยับพร้อมร่างของเย่หยวนที่ตัดผ่านมิติมารับดาบของหยางเชินไว้
ดาบฝ่าน้ำค้างแข็งนี้คือสมบัตินภาสวรรค์เลิศล้ำ!
หลังจากดาบจักรพรรดิล้ำฟ้าหักลงเย่หยวนก็ไม่ได้มีอาวุธดีๆ ติดมือไว้ใช้เลย
จนหลังจากที่เย่หยวนบรรลุระดับห้ามาได้ เย่หยวนจึงสามารถเปิดโถงบัลลังก์ม่วงชั้นที่สองออกและได้รับสมบัติภายในนั้นมา
เขาเลือกที่จะหยิบสมบัตินภาสวรรค์เลิศล้ำหนึ่งชิ้นออกมาและมันก็คือดาบฝ่าน้ำค้างแข็งเล่มนี้
พร้อมๆ กันนั้นลายสีฟ้าครามก็ปรากฏขึ้นบนร่างของเย่หยวน
ดาบเดียวที่ฟาดฟันออกมานี้ มันกลับตัดผ่านพลังโลกอันหนาแน่นของหยางเชินได้อย่างง่ายดายโดยไม่มีทีท่าว่าจำลำบากใดๆ เลย
‘เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!’
แนวคิดที่แสนรุนแรงถูกปล่อยออกมาจนทำให้เกิดเสียงดังขึ้นติดๆ
ในวินาทีนั้นคนทั้งสองกลับแลกกระบวนท่ากันไปแล้วนับสิบ พลังของแนวคิดที่ทั้งสองมีปะทุขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง
เสมอ!
หยางเชินหรี่ตาเล็กทันที เขานั้นมีพลังบ่มเพาะที่เหนือล้ำกว่าเย่หยวนแท้ๆ แต่พลังโลกของเขากลับไม่อาจขัดขวางใดๆ เย่หยวนได้แม้แต่น้อย
เจ้าลายสีฟ้านี้มันคืออะไรกัน?
ด้านนอกสังเวียนทุกผู้คนเองก็ตื่นตะลึงอย่างมาก
ระดับการต่อสู้ของคนทั้งสองนี้มันเหนือล้ำกว่าที่ใครจะจินตนาการถึงได้
ในหมู่คนทั้งหกสิบสี่ที่มาเข้าร่วมงานชุมนุมการต่อสู้แห่งก่อไผ่นี้ พวกเขาทั้งหลายล้วนแล้วแต่เป็นยอดอัจฉริยะ
แต่คนทั้งสองนี้อยู่เหนือล้ำกว่ายอดอัจฉริยะใดๆ เป็นตัวตนที่อยู่ในอีกระดับหนึ่ง
“ลายสีฟ้าของเย่หยวนมันช่างประหลาด มันไม่ถูกพลังโลกของหยางเชินเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าที่ก็ตามที่เย่หยวนไป มันจะช่วยเปิดทางสร้างมิติให้แก่เขา เจ้าสิ่งนั้นมันคืออะไรกัน?”
ตอนนี้ตงน้อยที่อุ้มหมูสมบัติอยู่ก็กำลังมองดูการต่อสู้พร้อมๆ กับตู้หรูเฟิง
เพราะที่แห่งนี้มันเห็นทุกอย่างได้ชัดเจนที่สุด
ตงน้อยเองก็สนใจในการต่อสู้นี้ไม่น้อยจึงไม่คิดที่จะพลาดมัน
ได้ยินคำของตู้หรูเฟิงเขาก็หรี่ตาลงตอบ “มันคือ… เต๋าสวรรค์!”
ตู้หรูเฟิงหน้าถอดสีทันทีด้วยความตื่นตกใจ “เต๋าสวรรค์? เป็นไปได้อย่างไรกัน?”
ตงน้อยใช้คำพูดน้ำเสียงที่ไม่เหมาะสมกับอายุแม้แต่น้อย “ไม่ผิดแน่ นั่นคือคลื่นแห่งเต๋า! เย่หยวนทำความเข้าใจเต๋าสวรรค์ได้จนถึงขั้นสูงสุดเอื้อมถึงจนเขานั้นสามารถนำเต๋าสวรรค์มาใช้งานเองได้ แม้ว่าพลังของมันจะยังไม่แข็งแกร่งมากนัก แต่ยิ่งเขาพัฒนาตัวเองขึ้นไป เจ้าลายเต๋าสวรรค์นี้มันก็จะยิ่งแข็งแกร่งและน่ากลัวขึ้น!”
ได้ยินคำของตงน้อยตู้หรูเฟิงก็ตื่นตะลึงในหัวใจ
การควบคุมเต๋าสวรรค์มาใช้ เรื่องเช่นนี้คนธรรมดาย่อมไม่มีทางแม้แต่จะคิดถึง แต่เย่หยวนคนนี้กลับทำมันได้
นักยุทธนั้นเป็นผู้ที่ทำความเข้าใจเต๋าสวรรค์เพื่อพัฒนาตัวเอง
แต่เย่หยวนกลับควบคุมเต๋าสวรรค์ได้ มันช่างน่ากลัวจนเกินไป!
จริงๆ สิ่งที่จงน้อยพูดมามันก็ไม่ถูกเสียทีเดียว
ลายสีฟ้านั้นคือคลื่นพลังจากเต๋าสวรรค์ไม่ผิดแน่ แต่มันไม่ใช่ตัวเย่หยวนที่ควบคุมกระแสเต๋าสวรรค์ได้
ลายสีฟ้านั้นเป็นของเย่หยวนมาตั้งแต่แรก!
คนอื่นๆ บรรลุระดับห้ามาได้พวกเขาจะเข้าสู่อาณาจักรนภาสวรรค์ แต่ว่าเย่หยวนนั้นเดินทางสายที่ผิดแปลกจากผู้คน แน่นอนว่าอาณาจักรที่เขาขึ้นมาอยู่นั้นมันย่อมไม่เหมือนกับใครๆ
หลังจากเย่หยวนบรรลุขึ้นระดับห้ามาได้ ทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของเขาก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอีกครั้ง
ตอนนี้วายุศักดิ์สิทธิ์ของเขาหดเล็กลงไปอีกครั้ง และยิ่งทำให้ปราณภายในเข้มข้นขึ้น
มันเท่ากับว่าคลื่นพลังใดๆ ก็ยิ่งหนาแน่นมากขึ้น
หากเดิมทีทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของเขามีขนาดเท่าทะเลสาบ ทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของเย่หยวนในตอนนี้มันคงมีขนาดไม่ต่างจากสระน้ำ
แต่ว่าปราณเทวะของเย่หยวนกลับไม่ได้อ่อนแอลง ตรงกันข้ามมันกลับแข็งแกร่งขึ้นกว่าแต่ก่อน
นอกจากนี้มันก็ยังมีลายสีฟ้านั้นเกิดขึ้นมาทั่วทั้งทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของเย่หยวน
ลายสีฟ้านั้นมีสภาพคล้ายกับสายฟ้าที่เขาเจอตอนขึ้นเขาแห่งถงเทียนครานั้น เพียงแค่ว่าหากเทียบพลังกัน มันยังอ่อนแอกว่าอย่างมาก
เย่หยวนได้ค้นพบว่าเมื่อเขาต่อสู้ เขาสามารถเรียกลายสีฟ้าเหล่านี้ออกมาช่วยเพิ่มการโจมตีให้เฉียบคมขึ้น ทั้งยังช่วยเสริมสร้างพลังป้องกันให้เหนือล้ำ
ส่วนพลังโลกนั้น เมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้าลายสีฟ้านี้แล้วมันก็ไม่ต่างไปจากกระดาษแผ่นบางๆ
ตราบเท่าที่มันไม่ได้หนาแน่นอย่างเหลือเชื่อ เย่หยวนก็ล้วนสามารถฝ่ามันเข้าไปได้
เพราะฉะนั้นเย่หยวนจึงเรียกอาณาจักรนี้ว่าอาณาจักรลายพระเจ้า!
คนภายนอกไม่รู้ แต่มีหรือที่หยางเชินจะไม่รู้สึกถึงความเสียเปรียบนี้
เย่หยวนนั้นมีเพลงดาบที่ดูแสนธรรมดาแต่มันกลับแฝงมาด้วยพลังที่เหนือล้ำ ทำให้ทะเลจิตของเขายุ่งเหยิงจนแทบไม่อาจควบคุมตัวเองได้
เมื่อรับเข้าไปหลายดาบเข้า ตอนนี้เขาก็เริ่มรู้สึกเหมือนดาบจะหลุดออกมือไปได้ทุกเมื่อ
“ไม่มีทาง! ไอเด็กคนนี้มันประหลาดเกินไปแล้ว ข้ารับมือเช่นนี้ต่อไม่ได้แน่!”
หยางเชินรู้ดีว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไปเขาต้องแพ้อย่างแน่นอน
“แนวคิดแห่งกาลเวลา!”
ตอนนั้นเองก็มีคลื่นพลังแนวคิดแห่งกาลเวลาปะทุขึ้นมาอย่างรุนแรง
เย่หยวนผงะไปทันทีที่ได้เห็นและเริ่มรู้ตัวว่าการเคลื่อนไหวของตัวมันช้าลงอย่างมาก
ตอนนี้แม้แค่จะเปิดมิติก็ยังช้าเชื่อง
หยางเชินยิ้มร่า “พลังของแนวคิดแห่งกาลเวลามีหรือที่คนอย่างเจ้าจะเข้าใจ?! ข้าขอบอกเลยว่าแนวคิดแห่งกาลเวลาที่ข้าเคยใช้มานั้นมันไม่ใช่พลังที่แท้จริงของข้าสักนิด! แนวคิดแห่งกาลเวลาของข้านั้นถูกบ่มเพาะจนถึงสามดาวแล้ว! ไม่นึกล่ะสิ? ตอนนี้เจ้าไปตายเสียเถอะ! ดาบกดมิติขนาน!”
ตอนนี้หยางเชินยกดาบขึ้นสูงพร้อมใช้ทักษะการต่อสู้อันดุดันราวกับว่าดาบนี้มันจะตัดขาดมิติออกจากกันได้
ดาบนี้หมายเอาชีวิตเย่หยวน!
ตอนที่ 1835 มิติลายพระเจ้าไม่ผูกมัดกั...
ในจิตใจของหยางเชินนั้น เย่หยวนคือเป้าหมายที่แท้จริงของเขา
การสังหารอี้ชิงเซียงร้อยคนมันก็ไม่สำคัญเท่าสังหารเย่หยวนคนเดียว
เพราะฉะนั้นตอนที่ลงมือกับพวกอี้ชิงเซียงนั้นหยางเชินจึงไม่ได้คิดลงมืออย่างเต็มที่
สังหารได้ก็ดีไป สังหารไม่ได้ก็ไม่เป็นเรื่องใหญ่มากมาย
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเย่หยวนต้องตาย
เพราะเรื่องราวทั้งหลายนั้นมันเกิดขึ้นมาจากเย่หยวน
เมื่อเห็นท่าทางลำบากของเย่หยวนในตอนนี้รอยยิ้มชั่วร้ายก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหยางเชิน ดาบของเขาเปลี่ยนพุ่งเป็นลำแสงเข้าฟันหัวของเย่หยวนในทันที
แต่ทว่าก่อนที่ดาบของหยางเชินจะเคลื่อนไปถึงตัวเย่หยวน มันกลับหยุดลงราวกับว่าอากาศนั้นมีอะไรมาขวางกั้น
ตอนนี้ร่างของเขาไม่อาจขยับเคลื่อนไหวได้เลย
เบื้องหน้าหยางเชินนั้นราวกับว่ามีมิติไร้ขีดจำกัดขวางกั้นรอให้เขาข้ามผ่านมันไป
ดาบของเขาตัดผ่านมิตินั้นไปทีละชั้นๆ แต่ก็ยังไม่อาจถึงตัวเย่หยวนได้เสียที
สองสุดยอดแนวคิดปะทะกันอย่างบ้าคลั่ง!
“ฮ่าๆ ไม่มีประโยชน์! ต่อหน้าแนวคิดแห่งกาลเวลาแล้วทุกสิ่งอย่างมันไร้ความหมาย ไปตายเสีย!”
หยางเชินหัวเราะลั่นก่อนจะผลักดันดาบในมือจนพุ่งออกไปด้านหน้าได้อีกครั้ง
ดาบนี้มันห่างจากหัวของเย่หยวนไปแค่ไม่กี่นิ้ว!
คลื่นพลังที่เย็นเยือกนี้มันทำให้เย่หยวนต้องหลับตาอย่างไม่อาจลืมได้
ทุกคนหัวใจเต้นรัว มองดูภาพอันหวาดเสียวตรงหน้า
ใบหน้าของพวกไป่หลี่ชิงหยานซีดเผือดลงทันทีด้วยความป็นห่วงและกังวล
หากดาบนี้ถูกฟันลงแล้ว เย่หยวนคงตายแน่!
แต่ตอนนั้นเองที่เกิดมีเส้นใยสายสีฟ้าพวยพุ่งออกมาจากร่างเย่หยวนอย่างบ้าคลั่ง ราวกับเส้นใยที่แมงมุมปล่อยออกมาทำรัง
หยางเชินหน้าถอดสีเพราะเจ้าเส้นใยสีฟ้านี้มันถูกปล่อยออกมาอย่างไม่จบสิ้นจนห่อหุ้มร่างของพวกเขาทั้งสองไว้
เรื่องราวภายในนี้มันถูกตัดการมองเห็นจากภายนอกอย่างสิ้นเชิง
“นี่มัน… อะไรกัน?” ตู้หรูเฟิงถามขึ้นด้วยใบหน้าตื่นตะลึง
ตงน้อยพูดตอบกลับมาด้วยท่าทางสั่นกลัวไม่น้อย “นี่มัน… เหมือนว่าจะเป็นอะไรที่คล้ายพลังโลก แต่มันก็ดูต่างออกไป หากข้าเดาไม่ผิดเย่หยวนคงชนะแล้ว!”
ตู้หรูเฟิงหรี่ตาลงมองทันที “ชนะอย่างนี้? ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าด้านในเกิดอะไรขึ้นกันแน่!”
ตงน้อยตอบ “แม้เราจะไม่รู้ว่าด้านในกำลังเกิดอะไรขึ้นแต่มันต้องเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายแน่… เพราะแม้แต่ข้าก็ยังรู้สึกได้ถึงความอันตราย!”
ตู้หรูเฟิงหน้าซีดเผือดลงทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาย่อมรู้ดีว่าตงน้อยผู้นี้เป็นใครมาจากไหน
ถ้าแม้แต่เขาคนนี้ยังรู้สึกได้ถึงอันตราย เจ้าเส้นใยสีฟ้านี้มันต้องเป็นอะไรที่แสนน่ากลัวแน่
ด้านในลูกบอลเส้นใยนั้นเย่หยวนกำลังสะบัดดาบยาวด้วยดวงตาสองข้างที่เปล่งแสงสีฟ้า ดาบนี้ของเขาปัดดาบของ หยางเชินจนปลิวไปทันที
หยางเชินเบิกตามองด้วยความตื่นตกใจ “นี่มัน… เป็นไปได้อย่างไร? แนวคิดแห่งกาลเวลา!”
หยางเชินพยายามอย่างมากที่จะเรียกแนวคิดแห่งกาลเวลาออกมาใช้ แต่มันราวกับว่าเขาไม่อาจจับต้องแนวคิดแห่งกาลเวลาได้อีกต่อไป
สถานการณ์เช่นนี้มันทำให้ผู้คนสิ้นหวัง
ดวงตาสีฟ้าครามของเย่หยวนนั้นจ้องมองมาอย่างไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ “เจ้าออมมือตัวเองไว้ แล้วเจ้าเคยคิดบ้างไหมว่าข้าเองก็ไม่ได้เอาจริงเอาจัง? ไม่ต้องเสียแรงขัดขืนอีกแล้ว มิติลายพระเจ้าไม่ผูกมัดกับแนวคิดใด! กฎของที่นี่ถูกข้าตั้งขึ้น แนวคิดใดที่เจ้าเรียนรู้มาจากมหาพิภพถงเทียนมันไร้ค่าที่นี่!”
หลังจากเย่หยวนบรรลุอาณาจักรลายพระเจ้าแล้วเขาก็พบว่าตัวเองสามารถสร้างมิติลายพระเจ้านี้ขึ้นมาได้
เมื่อเขาเข้ามาภายในเย่หยวนกลับพบว่าตัวเองควบคุมทุกแนวคิดได้!
ในที่แห่งนี้ เขาคือผู้ปกครองอย่างแท้จริง!
แต่ดูท่าฝั่งหยางเชินจะไม่คิดเช่นนั้นแถมยังหัวเราะลั่นออกมา “เจ้าตั้งกฎ? เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นเทพผู้สร้างหรือ? เล่นเอาข้าจะขำตายแล้ว!”
เย่หยวนตอบ “ไม่เชื่อ? ดู! เวลา จงหยุด!”
เมื่อเย่หยวนชี้นิ้วออกมาร่างของหยางเชินกลับขยับไม่ได้
เขาพยายามดิ้นรนอย่างถึงที่สุด แต่ก็พบว่าตัวเองมิอาจขยับเคลื่อนไหวได้เลย
หยางเชินนั้นเข้าใจแนวคิดแห่งกาลเวลาอย่างดี เขาย่อมเข้าใจได้ทันทีว่านี่ไม่ใช่วิชาผูกมัดใดๆ แต่เป็นการหยุดเวลาอย่างแท้จริง!
คลื่นยักษ์สาดซัดเข้ากลางใจของเขา มองดูเย่หยวนอย่างตกตะลึง
เรื่องเช่นนี้… มันจะเป็นไปได้อย่างไร?
หยุดเวลานั้นคือจุดสุดยอดของแนวคิดแห่งกาลเวลา คนที่จะทำได้ต้องบ่มเพาะฝึกฝนแนวคิดแห่งกาลเวลาจนถึงระดับเจ็ดดาวเท่านั้นจึงจะสามารถทำได้
แต่ดูอย่างไรเย่หยวนก็ไม่มีทางรู้ถึงแนวคิดแห่งกาลเวลา แต่เขากลับทำได้ถึงขั้นนี้
นี่เป็นเครื่องยืนยันว่าเย่หยวนไม่ได้พูดเล่น เขาควบคุมมิตินี้ได้อย่างสิ้นเชิง!
แข็งแกร่งเกินไป!
และยังน่าเหลือเชื่อเกินไปด้วย!
เรื่องราวเช่นนี้มันก็ยังมีในโลกอีกหรือ
เย่หยวนบอก “ดูท่าเจ้าจะเชื่อแล้ว เช่นนั้นจงตายไปเสีย”
นั่นทำให้หยางเชินตื่นตระหนกขึ้นทันที เขาไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อนเลยในชีวิต
ราวกับว่าที่ยืนอยู่ตรงหน้าของเขาตอนนี้คือเทพผู้สร้างอย่างแท้จริง
“เดี๋ยวก่อน! ข้า… ข้าผิดไปแล้ว ไว้ชีวิตข้าด้วย! ข้าสัญญาว่าจากนี้ไปข้าจะไม่มาหาเรื่องพวกเจ้าอีกแล้ว!” หยางเชินตะโกนบอก
แต่เย่หยวนนั้นก็ยังมองมาด้วยสายตาไร้ความรู้สึก “มันสายไปที่จะยอมรับผิดแล้ว”
พูดจบเย่หยวนก็ชี้นิ้วออกมาส่งร่างของหยางเชินให้หายไปทั้งๆ อย่างนั้น
มองดูภาพของหยางเชินที่ค่อยๆ จางหายไปเย่หยวนกลับไม่มีอารมณ์ความรู้สึกใดๆ แสดงออกมา
ความเฉยชาของเย่หยวนในตอนนี้มันเหนือล้ำกว่าตัวเขาในเวลาปกติอย่างมาก
เขานั้นปล่อยคลื่นพลังที่เย็นเยือกออกมาตั้งแต่หัวจรดเท้าโดยไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ แต่ในที่สุดบอลเส้นใยสีฟ้าก็ค่อยๆ จางลงและกลับเข้าสู่ทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของเย่หยวน
‘ฟุบ!’
ร่างของเย่หยวนล้มลงนอนหมดสติบนสังเวียน
แต่แน่นอนว่ามันไม่เหลือหยางเชินอยู่อีกแล้ว บนสังเวียนมีเพียงเย่หยวนเท่านั้น
หยางเชินนั้นตายจนไม่อาจหาได้แม้แต่เศษเสี้ยววิญญาณ
นั่นทำให้เกิดเสียงฮือฮาขึ้นรอบๆ!
ก่อนหน้านี้หยางเชินยังเป็นตัวเต็งในการได้อันดับหนึ่งของงานชุมนุมครั้งนี้ ไม่มีใครนึกใครฝันว่าเขาจะแพ้พ่ายและยิ่งไม่มีใครคิดว่าเขาจะตายลงเช่นนี้
แต่ตอนนี้เขากลับถูกเย่หยวนสังหารลงเงียบๆ?
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้อาวุโสนิกายสว่างชัดในตอนนี้ที่รู้สึกโกรธแค้นอย่างไม่อาจระบายออก ทำให้ร่างกายของเขาแทบแตกเป็นเสี่ยงๆ
นิกายสว่างชัดนั้นแข็งแกร่งจนทำให้ผู้คนหวาดกลัว แต่ครั้งนี้เขากลับเสียศิษย์ไปแล้วถึงหกคน เรื่องเช่นนี้จะกลับไปรายงานนิกายได้อย่างไร?
เมื่อเห็นว่าตู้หรูเฟิงยังยืนมึนงง ตงน้อยจึงพูดขึ้น “นี่ เจ้าประกาศผลสิ”
“อ่า? อ่อ อืม!” ตู้หรูเฟิงเหมือนเพิ่งถูกปลุกให้ตื่นจากฝัน
ความตกตะลึงที่เขาได้รับนั้นมันเหนือล้ำกว่าสิ่งใดๆ
เส้นใยสีฟ้านั้นมันเหมือนกับเส้นไหมห่อดักแด้มีความสามารถกลืนกินทุกสิ่งอย่าง ทำลายร่างของหยางเชินจนไม่เหลือแม้แต่เศษผง
เย่หยวนคนนี้แข็งแกร่งแค่ไหนกันแน่?
เพราะจริงๆ แล้วก่อนหน้านี้เขาไม่คิดว่าเย่หยวนจะชนะเลย
เพราะอย่างไรเสียทั้งคู่ก็บรรลุสุดยอดแนวคิด และหยางเชินยังมีพลังบ่มเพาะที่เหนือล้ำกว่าเย่หยวนอีกด้วย
แต่ไม่มีใครคิดใครฝันว่าพวกเขากลับพบเจอผลเช่นนี้
“ศึกนี้เย่หยวนเป็นผู้ชนะ หยางเชินเสียชีวิต!” ตู้หรูเฟิงร้องประกาศ
เมื่อเสียงนั้นดังขึ้น ก็มีเงาร่างหนึ่งพุ่งขึ้นสังเวียนมาอย่างรวดเร็วพร้อมยกฝ่ามือเตรียมสังหารเย่หยวนที่นอนหมดสติ
ผู้อาวุโสนิกายสว่างชัด!
ตอนนี้ดวงตาของเขาแดงก่ำราวคนบ้า ไร้สิ้นซึ่งเหตุและผล
ตู้หรูเฟิงหัวเราะเย้ยก่อนจะพุ่งตัวออกไปบนสังเวียนบ้าง
‘ปัง!’
สองเทพถ่องแท้ปะทะกันเข้าจนทำให้ผู้อาวุโสนิกายสว่างชัดลอยปลิวไป
“ฮั่นเจี้ยนชิง เจ้าคิดจะทำอะไร?” ตู้หรูเฟิงถามขึ้น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น