Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1826-1831
ตอนที่ 1826 สามกระบวนท่ามันมากไป แค่ก...
นิกายระดับเทพถ่องแท้ทั้งสิบสี่ ตอนนี้ศิษย์ทั้งหกสิบสี่จากนิกายเหล่านั้นกำลังมารวมกันที่ลานกว้างโดยเป้าสายตาที่ทุกผู้คนมองมาก็คือเย่หยวน
อี้ชิงเซียงรู้สึกได้ทันทีว่าสายตาเหล่านั้นมันเปี่ยมไปด้วยความประสงค์ร้ายทำให้เขารู้สึกกลัวขึ้นมา
“ผู้อาวุโสซู่ ทำไม… ทำไมพวกเขาทั้งหลายจึงมองเราเช่นนี้กัน?
ผู้อาวุโสซู่ตอบกลับ “การไปอยู่สวนป่าบนด้วยพลังฝีมือระดับพวกเรามันย่อมทำให้ผู้คนไม่พอใจ เพราะอย่างไรเสียสวนป่าบนนั้นก็ไม่เปิดรับแม้กระทั่งนิกายสว่างชัด จากนี้ไปพวกเจ้าจงระวังตัวให้มากเถอะ”
อี้ชิงเซียงและเจียงเชอเหยียนหน้าถอดสีไปทันที เวลาหลายวันมานี้พวกเขาทั้งหลายได้รับผลประโยชน์เพิ่มพลังการบ่มเพาะไปมากจากการพักอยู่ในสวนป่าบน
แต่ประโยชน์นี้มันก็มีราคาที่ต้องจ่าย
การต้อนรับที่ไม่เหมาะสมกับฐานะของตนนั้นมันมักทำให้เกิดความอิจฉาไม่พอใจจากรอยข้างเสมอ
นี่คือสิ่งที่พวกเขาทั้งหลายลืมเลือนไป
“นี่มัน… มันความผิดเย่หยวน!” เจียงเชอเหยียนบอก
อี้ชิงเซียงเองก็บ่นตาม “ใช่ ไอ้หมอนี่มันช่างชอบยืนอยู่ท่ามกลางความสนใจจริงๆ!”
เมื่อเย่หยวนได้ยินเขาก็ได้แต่ส่ายหัวออกมาพร้อมหัวเราะ
นี่แหละคือมนุษย์ เวลาได้ผลประโยชน์ก็คิดว่ามันเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่พอมีปัญหาใดๆ มันก็ล้วนเป็นความผิดของผู้อื่นทั้งสิ้น
แต่ไป่หลี่ชิงหยานกลับสวนขึ้น “วันที่พวกเจ้าได้เข้าไปอยู่ยังเป็นตื่นเต้นดีใจกันจนตัวสั่น หากไม่ใช่เพราะเย่หยวนพวกเราทั้งหลายคงได้ไปนอนอยู่ในโรงฟืน! ในฐานะศิษย์นิกายระดับเทพถ่องแท้พวกเจ้าคิดว่ามันเหมาะสมหรืออย่างไร?”
จากนั้นตงน้อยที่กำลังกอดเจ้าหมูสมบัติอยู่ก็พูดเสริมขึ้นด้วยเสียงใสๆ แต่วางท่าราวปรมาจารย์ “พวกเจ้ายังมียางอายอยู่ไหม? เย่หยวนได้ไปกราบขอร้องให้พวกเจ้าเข้าพักหรือ? หรือพวกเจ้าคิดว่าด้วยพลังฝีมือของพวกเจ้านั้น หากไม่โดนหมายหัวแล้วจะสามารถผ่านเข้าเป็นศิษย์ในวิหารได้?”
คนทั้งสองแทบสำลักทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น มารน้อยตัวนี้มันช่างด่าได้ไม่ไว้หน้าผู้คนเสียจริงๆ
คนทั้งสองหันหน้ามามองกันก่อนจะเงียบปากลงไป
เพราะสิ่งที่ตงน้อยว่ามามันก็ไม่ผิด ด้วยพลังฝีมือของพวกเขาแล้วมีหรือที่จะได้สิทธิ์เข้าเป็นศิษย์ของวิหาร
ตอนที่เขาได้ยินว่าเย่หยวนจะไปเข้าร่วมงานชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่ตงน้อยก็เกิดสนใจและขอตามติดมาดูด้วยให้ได้
ชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่แต่ละครั้งมันจะมีจำนวนผู้เข้าร่วมที่ตายตัวคือหกสิบสี่คน
ส่วนเรื่องสิทธิ์ในการส่งคนเข้านั้นมันจะแตกต่างกันไปแล้วแต่พลังอำนาจที่นิกายต่างๆ มี
สิทธิ์ของแต่ละนิกายนั้นไม่แน่ชัด แต่ในชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่ที่ผ่านๆ มานิกายสว่างชัด นิกายปรารถนาและเหล่ายอดนิกายทั้งหลายจะได้รับสิทธิ์ส่งศิษย์เข้างานประมาณเจ็ดถึงแปดคน
ส่วนิกายที่อ่อนแอลงมาก็จะได้รับสิทธิ์ที่น้อยลงตาม
นิกายเงาจันทร์นั้นได้รับสิทธิ์เข้าร่วมมาสี่ที่ มันไม่นับว่ามากมายนักเพราะฉะนั้นจึงจัดได้อยู่ในกลุ่มไร้ความหวัง
เพราะอย่างไรเสียคนทั้งหกสิบสี่นี้ ผู้จะเข้าวิหารได้จริงๆ มันก็มีแค่ห้าคนเท่านั้น
ชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่นั้นเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือด การชุมนุมจะจัดต่อเนื่องยาวนานหลายเดือน บางครั้งก็อาจยาวนานเป็นปี
เหล่าศิษย์ที่ได้เข้าร่วมชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่จะต่อสู้กันทุกวัน แต่วันละห้าคู่จนกว่าศิษย์ทั้งหลายจะได้สู้กันจนครบ
สุดท้ายผู้ที่ได้รับชัยชนะรวมสูงสุดก็จะได้สิทธิ์ในการเข้าสู่วิหารไป
การต่อสู้ที่หนักหน่วงเช่นนี้เป็นความท้าทายของเหล่าศิษย์ แต่ก็ยังเป็นโอกาสสำคัญด้วย
เพราะเหล่าศิษย์ที่มาร่วมชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่นี้ได้ย่อมเป็นยอดศิษย์ของแต่ละนิกาย ไม่มีศิษย์ธรรมดาๆ หลุดเข้ามาได้แน่
แม้จะเป็นพวกนิกายที่อ่อนแอก็ไม่แน่ว่าจะแพ้เสมอไป
ในการชุมนุมที่ผ่านๆ มามันมีให้เห็นหลายครั้งที่ศิษย์จากนิกายเล็กๆ จะกลับสามารถชนะศิษย์จากนิกายใหญ่ได้
ที่สำคัญในเวลาหลายเดือนที่การชุมนุมดำเนินไปนี้หลายต่อหลายคนจะเริ่มเรียนรู้และนำจุดแข็งของคู่ต่อสู้มาปรับใช้กับตัว ทำให้ฝีมือพัฒนาไปได้อย่างก้าวกระโดดจนสุดท้ายอาจขึ้นไปติดห้าอันดับแรก
เรื่องเช่นนี้เองก็ใช่ว่าจะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย
ตู้หรูเฟิงนั้นยกจารึกหยกขึ้นมากล่าวด้วยเสียงดังชัด “เอาล่ะ พวกเจ้าทั้งหลายตอนนี้จงปล่อยปราณเทวะของตนออกมาใส่จารึกหยกนี้ จารึกหยกนี้จะทำการช่วยพวกเจ้าทั้งหลายจับคู่แข่งขันให้เอง”
ผู้ที่มีหน้าที่ดูแลชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่นั้นก็คือเขาเอง
เมื่อเหล่าศิษย์ทั้งหลายได้ยินเช่นนั้นพวกเขาก็ปล่อยปราณเทวะออกมาตามๆ กัน
ตอนนี้ปราณเทวะหลากสีกำลังถูกปล่อยออกมาทั่วทุกหนแห่งจนมืดฟ้ามัวดิน ก่อนจะค่อยๆ ไหลเข้าไปสู่จารึกหยกนั้น
เมื่อทุกคนใส่ปราณเทวะเข้าไปแล้วเจ้าจารึกหยกก็ค่อยๆ เปล่งแสงออกมาอย่างสว่างจ้า
จากนั้นบนจอแสงนั้นก็มีชื่อของทุกผู้คนพร้อมหมายเลขปรากฏขึ้น
เย่หยวนมองหาอยู่นิดหน่อยก็พบว่าหมายเลขของตัวเขานั้นอยู่อันดับสุดท้าย ที่หกสิบสี่
ในฝูงชนมีเสียงหัวเราะดังขึ้นมาเสียงหนึ่ง “ฮ่าๆๆ อัจฉริยะที่ได้อยู่สวนป่าบนกลับได้หมายเลขหกสิบสี่ น่าขันเสียจริง!”
“หน้าไม่อายจริงๆ! พลังแค่นี้กลับกล้าไปอยู่สวนป่าบนได้ หากเป็นข้า ข้าคงหนีไปอยู่ที่อื่นแล้ว!”
ด้วยเสียงหัวเราะหนึ่งที่ดังขึ้น เสียงหัวเราะอื่นก็เริ่มดังตาม
คำพูดเหล่านั้นมันเป็นการดูถูกเย่หยวนอย่างเต็มที่
ทุกคนรู้ดีว่าการที่นิกายเงาจันทร์ได้เข้าไปอยู่สวนป่าบนมันเป็นเพราะว่าเย่หยวนที่ไปตีสนิทเข้าหมูตัวนั้นเข้าได้
จริงๆ แล้วพวกเขาทั้งหลายเหล่านี้ไม่มีศิษย์ใดๆ ที่จะไปอยู่สวนป่าบนเลย!
เย่หยวนมึนงงไม่น้อยก่อนจะหันมาถามซู่เหยียน “หมายเลขหกสิบสี่มันน่าขำตรงไหนหรือ?”
ซู่เหยียนยังไม่ทันบอกอะไรแต่ตงน้อยก็แทรกขึ้นมาก่อน “เจ้าไม่ได้มาจากโลกภายนอกใช่ไหมเนี่ย? ถึงได้ไม่รู้เรื่องนี้? จารึกหยกนั้นคือจารึกอาณาจักรล้ำมันสามารถวัดอาณาจักรบ่มเพาะของเจ้าได้จากปราณเทวะที่เจ้ามี เจ้าได้หมายเลขหกสิบสี่ หมายความว่าเจ้านั้นมีอาณาจักรบ่มเพาะต่ำที่สุดในหมู่ผู้เข้าร่วมงานทั้งหมดหกสิบสี่คน! เจ้าคิดว่ามันเป็นเรื่องน่าขำไหมล่ะ?”
เมื่อเย่หยวนได้ยินเช่นนั้นเขาก็เข้าใจเรื่องราวได้ทันที เป็นเวลานี้เองที่เขาได้รู้ถึงพลังของจารึกหยกนี้
สิ่งนี้มันคือกระจกส่องวิญญาณโดยแท้ เปิดเผยทุกอย่างโดยไม่มีการปกปิด!
แม้จะเป็นนภาสวรรค์ขั้นต้นเหมือนๆ กันแต่ว่าคนเราก็ย่อมมีพื้นฐานการบ่มเพาะที่แตกต่างกัน
อาณาจักรบ่มเพาะหนาแน่นกว่า บ่มเพาะมามากกว่าหนึ่งวัน มันก็ย่อมมีโอกาสมากกว่าที่จะมีพลังบ่มเพาะแข็งแกร่งกว่า
แน่นอนว่าด้วยวรยุทธบ่มเพาะที่ใช้และพรสวรรค์ในการบ่มเพาะ ความเร็วของแต่ละคนมันย่อมแตกต่างกันไป
จู่ๆ จอแสงนั้นก็ปรากฏตัวอักษรหนาขึ้นมาอีกครา
ตู้หรูเฟิงบอก “การจับคู่ของพวกเจ้าทั้งหลายจะขึ้นแสดงที่นี่ ชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่นั้นนับว่าเริ่มขึ้นในวันนี้! หากเจ้าไม่คิดสู้ในศึกนั้นเจ้าก็สามารถไม่ขึ้นต่อสู้ได้ และหากเจ้าไม่ได้มาถึงสังเวียนในเวลาจะนับว่าเจ้าเป็นฝ่ายแพ้ไป!”
พูดจบตู้หรูเฟิงก็หันมามองเย่หยวน
จนมีคนกล่าวขึ้น “เอ๋ ไอ้เด็กคนนั้นได้สู้วันพรุ่งนี้ คู่ต่อสู้ของมันคือ… เหอหยวนแห่งนิกายสว่างชัด!”
ตัวตนของเย่หยวนนั้นมันมีชื่อและผู้คนให้ความสนใจมากเสียยิ่งกว่าหยางเชินแห่งนิกายสว่างชัดหรือหลัวเจินแห่งนิกายปรารถนาเสียอีก
ทำให้ตอนนี้ทุกผู้คนต่างมองหาและพบว่าใครคือคู่ต่อสู้ของเย่หยวน สีหน้าของพวกเขาทั้งหลายต่างแสดงความเย้ยเยาะออกมาตามๆ กัน
“หึ ไอ้เด็กคนนี้มันช่างดวงซวย ไปเจอเหอหยวนตั้งแต่รอบแรกเช่นนี้!”
“แม้ว่าเหอหยวนจะเป็นอันดับสุดท้ายของนิกายสว่างชัดแต่เขาเองก็เป็นนภาสวรรค์ขั้นสุดคนหนึ่ง ที่สำคัญกำลังฝีมือของเขานั้นยังเก่งกาจกว่าคนรุ่นเดียวกันในนิกายอื่นๆ ด้วย!”
ระหว่างที่ทุกคนเริ่มทำการวิเคราะห์และพูดคุยก็มีชายในชุดม่วงคนหนึ่งเดินออกมายืนต่อหน้าเย่หยวนพร้อมอมยิ้ม “ยอดอัจฉริยะแห่งสวนป่าบน วันพรุ่งนี้ข้าคงต้องขอให้เจ้าชี้แนะหน่อยแล้ว! อย่าเพิ่งรีบยอมแพ้เร็วไปล่ะ ไม่เช่นนั้นทุกคนคงเสียใจแย่ เอาเป็นว่า… สามกระบวนท่าว่าอย่างไร?”
“ฮ่าๆๆ…” เสียงหัวเราะดังขึ้นตามมาทันที
ชายหนุ่มคนนี้ย่อมเป็นเหอหยวนแล้วไม่ผิดแน่
เว้นเสียแต่ว่าวันนี้เขาไม่ได้มาทักทาย แต่มาเพื่อเย้ยหยันเย่หยวน
เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “สามกระบวนท่ามันมากไป แค่กระบวนท่าเดียวก็พอ!”
ตอนที่ 1827 ข้าจะกลับไปหลอมโอสถ
“แค่กระบวนท่าเดียว? ไอ้หมอนี่มันช่างหน้าไม่อายจริงๆ นี่คือจะยอมแพ้กันตรงนี้เลยรึ?” คำพูดของเย่หยวนมันทำให้เกิดเสียงหัวเราะขึ้นทั่ว
เหอหยวนกล่าว “ดูท่านิกายเงาจันทร์จะส่งเจ้ามาเป็นตัวประกอบจริงๆ สินะ ติดแค่ว่าเจ้านั้นมันดวงดีไปทำให้หมูสมบัตินั้นติดใจเข้าได้ ชิๆ ข้าก็นึกว่าเจ้าจะเก่งกาจแค่ไหน น่าผิดหวังเสียจริง!”
แม้จะเป็นนภาสวรรค์หนึ่งดาวเหมือนกันแต่เย่หยวนนั้นยังอยู่แค่ขั้นต้น ส่วนเหอหยวนนั้นอยู่ขั้นสุด
มันไม่ใช่เพราะว่าแต่ละขั้นนั้นแตกต่างกันอย่างมากมาย แต่เป็นเพราะพลังฝีมือของเหอหยวนนั้นแข็งแกร่งอย่างมาก
นอกงานชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่เขาสามารถต่อสู้ได้แม้กระทั่งกับนภาสวรรค์สองดาวขึ้นต้น
นิกายสว่างชัดนั้นมันไม่มีใครที่อ่อนแอ
เรื่องนี้ถูกพิสูจน์จากงานชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่ที่ผ่านๆ มาหลายต่อหลายครั้ง
แต่เย่หยวนกลับตอบสวนมา “เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว เจ้าต่างหากที่จะแพ้ในกระบวนท่าเดียว!”
เมื่อเหอหยวนได้ยินเช่นนั้นเขาก็หัวเราะลั่นขึ้น “พวกเจ้าทั้งหลายได้ยินไหม? มันคิดจะทำให้ข้าแพ้ด้วยกระบวนท่าเดียว! ฮ่าๆๆ สมชื่อยอดอัจฉริยะแห่งสวนป่าบนจริงๆ ความโอหังนี้มันช่างเหนือล้ำข้าล่ะกลัวจริงๆ!“
คนรอบๆ ทั้งหลายต่างหัวเราะขึ้นตามๆ
“ในดาวเดียวกัน มีคนที่ต่อสู้กับเหอหยวนได้ไม่มากมายนัก อย่าว่าแต่ทำให้แพ้ด้วยกระบวนท่าเดียวเลย”
“ยอดอัจฉริยะสวนป่าบนนั้นช่างเก่งกาจเหลือเกินเมื่อเป็นเรื่องโม้โอ้อวด!”
การบ่มเพาะนั้นยิ่งพัฒนาอาณาจักรไปมาก ความแตกต่างของแต่ละดาวก็จะยิ่งห่างชั้น
แต่ละดาวนั้นต้องใช้เวลาบ่มเพาะที่มากมายมหาศาล
แม้จะเป็นแค่ช่องว่างระหว่างนภาสวรรค์หนึ่งดาวขั้นต้นและขั้นกลางมันก็ยังห่างชั้นกันอย่างมาก
“ไอ้โง่!”
คำพูดนี้เย่หยวนและตงน้อยพูดออกมาพร้อมๆ กัน
เหอหยวนหน้าดำมืดลงทันที “เจ้าว่าอย่างไรนะ?”
เย่หยวนตอบกลับไป “ยังไม่ทันได้ลงมือก็มาอวดอ้างตัวเอง ข้าไม่รู้เลยจริงๆ ว่าเจ้าไปเอาความมั่นใจขนาดนั้นมาจากไหน หรือว่าเจ้าคิดว่าแค่ตัวเองมาจากนิกายสว่างชัดก็จะเก่งกาจกว่าคนอื่นมากมายแล้ว? ท่าทางอวดเก่งปากดีนี้ของเจ้ามันทำให้ตัวเจ้าดูเหมือนคนโง่เง่าจริงๆ เจ้าไม่รู้ตัวเลยหรือ?”
ได้ยินคำของเย่หยวนทุกผู้คนต่างก็แสดงสีหน้าตกตะลึง
คนที่มาจากนิกายสว่างชัดไม่ยอดเยี่ยมหรือ?
พวกเขาไม่ควรหลงใหลในตัวเองหรือ?
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่นิกายสว่างชัดได้กลายเป็นสัญลักษณ์แทนความแข็งแกร่งไป
ต่อให้เป็นนิกายปรารถนาที่ตามติดไล่นิกายสว่างชัดมาก็ยังถูกอีกฝ่ายเบียดจนต้องตกข้างทาง
ในชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่กว่าหมื่นปีที่ผ่านมานี้ นิกายสว่างชัดจะได้รับสิทธิ์เข้าวิหารไปอย่างน้อยๆ สองสิทธิ์เสมอ
มันมีครั้งหนึ่งพวกเขาถึงกับกวาดไปได้ถึงสี่สิทธิ์!
ความแข็งแกร่งนี้มันจึงตราตรึงอยู่ในความทรงจำของผู้คนเสมอมา
เพราะฉะนั้นสิทธิ์ที่นิกายสว่างชัดได้รับในการส่งศิษย์เข้างานมันจึงมีมากถึงแปดคน
นิกายอื่นๆ ทำได้แค่เพียงมองดูหลังพวกเขา
เหอหยวนมองดูเย่หยวนด้วยสายตาเย็นชา “เด็กน้อย เจ้ากล้ามาดูถูกนิกายสว่างชัดของข้า! ข้าเปลี่ยนใจแล้ว! วันพรุ่งนี้ข้าจะทำให้เจ้าขยับตัวไปไหนไม่ได้ในหนึ่งกระบวนท่าเอง!”
เย่หยวนยิ้มออกมาเมื่อได้ยิน “เมื่อเจ้าทำได้แล้วค่อยมาเห่าหอนอีกครั้งเถอะ! ตงน้อย ไปกัน”
พูดจบเย่หยวนก็เดินนำตงน้อยจากไป
ไป่หลี่ชิงหยานที่อยู่ไม่ไกลจึงเรียกขึ้น “เจ้าจะไม่อยู่ดีการต่อสู้ของวันนี้หรือ? ทั้งห้าคู่ที่จะสู้กันวันนี้มันเป็นยอดฝีมือทั้งสิ้นเลยนะ!”
ศิษย์ทั้งหลายที่ได้เข้าร่วมชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่ย่อมมีพลังฝีมือที่ไม่น้อย การต่อสู้ของพวกเขาจึงสุดแสนที่จะดุเดือด
ในสถานการณ์เช่นนี้นอกจากเหล่ายอดคนแท้จริงแล้ว คนส่วนมากก็ย่อมเลือกที่จะอยู่ดูการต่อสู้ของผู้อื่น
โบราณว่าไว้รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง
มันย่อมไม่มีผลเสียใดๆ หากคิดจะศึกษาศัตรู
แต่เย่หยวนกลับยกมือขึ้นมาโบกปัด “ไม่ดูหรอก ไม่มีอะไรให้ดู”
ในสายตาของเย่หยวนนั้นการหลอมโอสถมันน่าสนใจกว่าการต่อสู้พวกนี้มาก
เมื่อเห็นเย่หยวนเดินจากไปทั้งๆ อย่างนั้นคนทั้งหลายจึงมองตามไปเป็นตาเดียว
เด็กคนนี้มีพลังบ่มเพาะไม่สูงนักแต่กลับมีท่าทางแสนเย่อหยิ่ง ทำไมนิกายเงาจันทร์จึงได้ปล่อยคนเช่นนี้เข้ามาร่วมชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่กัน?
ระหว่างทางกลับไปเย่หยวนก็หันมองดูตงน้อยพร้อมถามขึ้น “ดูเจ้าจะมั่นใจในตัวข้ามากนะ”
ตงน้อยนั้นตอบกลับมาด้วยท่าทางเหมือนคนแก่ “เจ้ามีแนวคิดแห่งห้วงมิติที่ถึงสามดาวขั้นสุดแล้ว หากเจ้าจัดการคนระดับนั้นไม่ได้อีกเจ้าก็เอาหัวไปโขกดินตายเถอะ”
เย่หยวนนั้นตกใจไม่น้อย เพราะดูแล้วตงน้อยคนนี้จะมีสายตาที่ดีจริงๆ!
สมเป็นทายาทของเทพสวรรค์แท้ๆ
เหอหยวนคนนั้น เย่หยวนย่อมไม่คิดเอามาใส่ใจ
…
ห้าคู่ของวันแรกนั้นมันดุเดือดตามที่คาด
มันมีคู่หนึ่งที่ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันจนปราณเทวะหมดสิ้นถึงจะสามารถตัดสินผู้แพ้ชนะกันได้จริงๆ
มันไม่มีใครสามารถจัดการศัตรูลงได้ภายในหนึ่งร้อยกระบวนท่าเลย
แค่นี้มันก็แสดงให้เห็นได้แล้วว่าแม้ผู้เข้าร่วมชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่อาจจะมีพลังฝีมือที่แตกต่างกันไป แต่พวกเขาทั้งหลายก็ไม่มีใครเลยที่ธรรมดา
การต่อสู้ในวันที่สองเริ่มดำเนินไปอย่างดุเดือดไม่แพ้วันแรก เพียงแค่ว่าเย่หยวนกลับยังไม่ปรากฏตัวขึ้นเสียที
จนถึงตอนเที่ยง ก่อนที่การแข่งคู่ที่สามจะเริ่ม เย่หยวนจึงมาถึงสังเวียน
หยางเชินเดินเข้ามาหาเหอหยวนพร้อมบอก “ศิษย์น้องเหอ เจ้าจัดการศึกนี้ให้ดี อย่าได้ให้โอกาสใดๆ แก่เย่หยวน จะให้นิกายสว่างชัดเรามาเสียหน้ากับเรื่องเช่นนี้ไม่ได้!”
เหอหยวนพยักหน้ารับ “ศิษย์พี่หยางโปรดวางใจ ไอ้เด็กคนนี้มันหลงตัวเองอย่างมาก ขึ้นไปถึงข้าจะจัดหนักด้วยทุกอย่างที่ข้ามีใส่มันเลย!”
หยางเชินพยักหน้ารับด้วยความโล่งใจ
เมื่อคนทั้งสองเดินขึ้นสังเวียนไปเหอหยวนก็บอกขึ้น “เด็กน้อย เดิมทีข้าคิดจะไว้หน้าเจ้าเสียบ้าง แต่เจ้ากลับมาดูถูกนิกายสว่างชัดของเรา จงเตรียมตัวรับความพิโรธของข้าไปเถอะ! วันนี้ข้าจะให้เจ้าได้รู้ซึ้งเองว่านิกายสว่างชัดของเราแข็งแกร่งแค่ไหน!”
เย่หยวนได้แต่ส่ายหน้าออกมา “พูดมากปากเหม็นจริง รีบๆ ลงมือได้แล้ว ข้าจะกลับไปหลอมโอสถต่อ”
หลายวันมานี้เย่หยวนได้หลอมโอสถอย่างสนุกสนานจนยุ่งเกินกว่าที่จะมาคิดเรื่องอื่นใด
ด้วยการมีเจ้าหมูสมบัตินี้อยู่ด้วย เขาสามารถขอสมุนไพรได้ตามที่ต้องการในทุกวันอย่างไม่ต้องกลัวหมด
การมาเถียงสู้เหอหยวนมันเสียเวลาเปล่า
แต่เมื่อเหอหยวนได้ยินเช่นนี้มันกลับจุดไฟโกรธในใจเขาขึ้นมา
เขากัดฟันแน่น “อยากหลอมโอสถ? งั้นเจ้าก็คลานกลับไปหลอมแล้วกัน!”
พูดจบเหอหยวนก็ปล่อยพลังโลกออกมาอย่างบ้าคลั่งจนครอบทั้งสนามรวมไปถึงเย่หยวนด้วย
ในวินาทีนี้ทั้งพื้นที่มันสั่นสะท้านจนแทบเห็นว่าสังเวียนกำลังสั่นสะเทือน
แรงสั่นนี้มันยิ่งรุนแรงมากขึ้นอย่างเพิ่มทวีจนแทบทำให้สังเวียนแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
“นี่มัน… แนวคิดแห่งการสั่นสะท้าน! แนวคิดแห่งแผ่นดินนี้มันมีพลังโจมตีที่แสนรุนแรงว่ากันว่าหากบ่มเพาะจนถึงขั้นสุดแล้วจะสามารถสั่นทำลายมิติได้! ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าเหอหยวนจะเก่งกาจได้ขนาดนี้!”
“หึ ดูท่าเจ้าเด็กคนนี้คงไปทำให้เหอหยวนโกรธมากจริงๆ แค่ขึ้นมาถึงเขาก็เอาไม้ตายออกมาใช้เช่นนี้!”
ที่ด้านล่างมีเสียงวิเคราะห์ดังขึ้นตามๆ กัน
เพราะหากวัดกันแค่เรื่องพลังโลกแล้ว คลื่นพลังที่เหอหยวนปล่อยออกมาตอนนี้มันแสนรุนแรงจนไม่มีใครต้านทานได้
เขามองดูเย่หยวนอย่างเย็นเยือกพร้อมกับยิ่งปล่อยพลังออกมามากขึ้นและมากขึ้น
“เอาล่ะ คงเสียใจแล้วล่ะสิ? แต่จะมาเสียใจตอนนี้มันก็สายไปแล้ว! รับความพิโรธของข้าไป! ทลาย… มิติ…”
เหอหยวนพูดออกมาในตอนที่เย่หยวนยังไม่ขยับตัวไปไหน
แต่ในวินาทีนั้นเมื่อเย่หยวนขยับ เขากลับพุ่งผ่านความสั่นสะเทือนทั้งหลายมาอยู่ต่อหน้าเหอหยวนในทันที
เหอหยวนเบิกตากว้างแต่ยังไม่ทันได้ตั้งรับอะไรเย่หยวนก็ชี้นิ้วออกมาเสียก่อน
“อ่อก!”
เหอหยวนสะสมพลังมาแสนนานแต่ยังไม่ทันได้ปล่อยร่างของเขาก็ต้องถูกดัชนีนั้นของเย่หยวนดีดจนลอยลงสังเวียนไป
เหอหยวนร่วงลงกับพื้นพร้อมเลือดไหลนอง จนตอนนี้เขาก็ยังไม่อยากเชื่อว่าเรื่องเมื่อสักครู่มันเกิดขึ้นมาได้
ในพลังโลกของเขานั้น เขาคือผู้ปกครอง!
ยิ่งเข้ามาใกล้ตัวเขา พลังสั่นสะเทือนมันก็น่าจะยิ่งรุนแรง
แต่พลังสั่นสะเทือนที่รุนแรงปานนั้นกลับไม่สามารถทำอะไรเย่หยวนได้แม้แต่น้อย
ราวกับว่าเขตแดนพลังโลกในนั้นมันเป็นของเย่หยวนมาตั้งแต่แรกแล้ว
ตอนที่ 1828 กระบวนท่าอันหนักหน่วง
แค่กระบวนท่าเดียว!
ใช้แค่กระบวนท่าเดียวจริงๆ!
ไม่มีการสวนกลับที่รุนแรง ไม่มีการใช้วรยุทธที่สวยหรู
สิ่งที่พวกเขาทั้งหลายเห็นคือดัชนีหนึ่งนิ้ว
เหล่าศิษย์ของนิกายใหญ่ทั้งหลายต่างมองดูภาพตรงหน้าอย่างมึนงง สายตาของทุกผู้คนเปี่ยมไปด้วยความไม่อยากเชื่อ
คำพูดดูถูกวางท่าของเหอหยวนก่อนหน้านี้มันกลายเป็นคำพูดโง่ๆ ในเวลาแค่ไม่กี่วินาที
นิกายสว่างชัดเก่งมากหรือ?
คำพูดที่ฟังดูน่าตลกของเย่หยวนนั้นมันกลับถูกยืนยันด้วยฝีมือของเขา
นิกายสว่างชัดมันอ่อนแอจริงๆ!
กระบวนท่าอันยิ่งใหญ่ของเหอหยวนเองก็เป็นได้แค่เรื่องตลกเมื่ออยู่ต่อหน้าท่าทางสบายๆ ของเย่หยวน
เย่หยวนมองดูเหอหยวนที่ร่วงลงไปพร้อมบอก “ความพิโรธของเจ้ามันอ่อนแอจริงๆ ข้ายังมีเรื่องต้องไปทำ ขอตัวล่ะ”
พูดจบเย่หยวนก็จากไป หายร่างไปจากสังเวียนเหลือทิ้งไว้เพียงเหล่าผู้ชมที่มองดูเรื่องราวอย่างงงงัน
“ไอ้เด็กคนนี้มันแข็งแกร่ง!”
“นี่มันหมายเลขหกสิบสี่จริงหรือ? หรือว่าจารึกอาณาจักรล้ำจะวัดพลาดกัน?”
“การชนะเหอหยวนได้ด้วยกระบวนท่าเดียวเช่นนี้ คงมีแค่ไม่กี่คนที่ทำได้ใช่ไหม?”
…
ด้านล่างเวลานี้หยางเชินได้แต่ทำหน้าตาไม่สู้ดี
ดัชนีนี้ของเย่หยวนมันตบหน้านิกายสว่างชัดของพวกเขาเข้าเต็มๆ
กว่าหมื่นปีที่ผ่านมานี้นิกายสว่างชัดไม่เคยพ่ายแพ้อย่างน่าอับอายเช่นนี้มาก่อน
แต่วันนี้เหอหยวนกลับแพ้ลง
“หลี่อี้ผิง ต่อไปตาเจ้าใช่ไหม? จงนำชัยกลับมาให้ได้ล่ะ!” หยางเชินบอกด้วยสีหน้าคร่ำเครียด
ชายหนุ่มผมสั่นที่ด้านหลังคนนั้นจึงรีบรับคำขึ้นมา “ศิษย์พี่หยางโปรดวางใจ ไม่ว่ามันจะแข็งแกร่งแค่ไหนมันก็ไม่มีทางเทียบเคียงข้าได้!”
หลี่อี้ผิงคนนี้นับเป็นอันดับห้าของคนนิกายสว่างชัดที่มาในครั้งนี้ทั้งแปด เขามีพลังอาณาจักรนภาสวรรค์สองดาวขั้นกลาง
เทียบกับเหอหยวนแล้ว เขานั้นเก่งกาจกว่ามาก
นิกายสว่างชัดนั้นไร้คนอ่อนแอ คำพูดนี้ไม่ได้มีเล่นๆ
ต่อให้เขาจะเป็นแค่ระดับห้าของนิกาย แต่หากเทียบกับนิกายอื่นแล้วเขาคงไม่ได้อ่อนแอไปกว่าระดับหนึ่งหรือสองของพวกนั้นเลย
เพราะฉะนั้นเขาจึงกล้าที่จะรับปากเช่นนี้
…
ด้านในห้องหลอมโอสถตงน้อยเห็นการกลับมาของเย่หยวนพร้อมแสดงท่าทีตื่นตะลึง
“เร็วกว่าที่คิดเสียอีก!” ตงน้อยบอก
หมูสมบัติที่เดิมทีกำลังนอนอยู่ก็รีบลุกตัวขึ้นพุ่งใส่เย่หยวนทันทีที่มันเห็นว่าเย่หยวนกลับมาพร้อมส่ายหางสั้นๆ ของมันอย่างไม่มีหยุด
ตงน้อยถอนหายใจยาว “เจ้าหมูโง่ รู้จักแต่กินจริงๆ!”
หมูสมบัติหันหน้ากลับออกมาหลับตาปี๋ใส่ตงน้อย
เย่หยวนยิ้มตอบ “ไอ้หมอนั่นมันอ่อนแอเกินไป ข้าชนะมันได้ด้วยกระบวนท่าเดียวไม่มีค่าใดๆ ให้จดจำหรอก”
ตงน้อยหรี่ตาลงทันทีที่ได้ยิน เขาตื่นตะลึงในพลังฝีมือของเย่หยวนไม่น้อย
แต่ไม่นานนักท่าทางเช่นนั้นก็จางหายไปและตงน้อยก็บอกขึ้น “นี่คือสมุนไพรที่เจ้าบอกให้เตรียม เริ่มหลอมโอสถได้เลย”
เย่หยวนยิ้ม “ฮ่าๆ ขอบคุณจริงๆ ไม่นึกเลยว่าเด็กน้อยอย่างเจ้าจะมีประโยชน์มากขนาดนี้”
ตงน้อยหน้าตาดำมืดลงทันทีด้วยอารมณ์ที่แทบแตกปะทุ แต่เมื่อคิดได้ว่าตัวเองในตอนนี้คงเอาชนะเย่หยวนไม่ได้เขาก็รีบหดตัวเก็บความโกรธแค้นนั้นกลับลงไป
“ไอ้เด็กเวร รอเทพสวรรค์คนนี้ได้พลังคืนมาก่อนเถอะ เจ้าจะได้รู้ ข้าจะเล่นงานเจ้าให้ก้นแยกเป็นสองซีกเลย!”
เย่หยวนเห็นว่าตงน้อยนั้นอยู่ว่างๆ จึงได้ใช้ให้เขาช่วยเตรียมสมุนไพรให้ก่อนที่เย่หยวนจะลงมือทำการหลอมโอสถ
แต่เขาไม่นึกไม่ฝันว่าตงน้อยคนนี้จะสามารถทำงานนั้นได้อย่างเรียบร้อยเป็นระเบียบ
ตั้งแต่เย่หยวนขึ้นมหาพิภพถงเทียนมานี่คงเป็นครั้งแรกที่เขาได้เจอคนเช่นนี้
เพราะฉะนั้นมันจึงยิ่งทำให้เย่หยวนเชื่อว่าปู่ของตงน้อยคนนี้ต้องเป็นนักหลอมโอสถขั้นสูงแน่ๆ
ที่สำคัญเย่หยวนยังพบว่าตงน้อยนี้มีความเข้าใจในศาสตร์แห่งโอสถอยู่ไม่น้อย
การคุยเล่นไปเรื่อยกับเด็กคนนี้ บางครั้งก็ทำให้เย่หยวนนึกเรื่องราวใหม่ๆ ออกทำให้เย่หยวนเริ่มคิดอยากเจอกับปู่ของตงน้อยคนนี้เข้าจริงๆ แล้ว
เมื่อเย่หยวนเริ่มลงมือหลอมโอสถ เขาก็ลืมเรื่องกาลเวลาไปอย่างสิ้นเชิง
จนสามวันต่อมาที่การหลอมโอสถของเย่หยวนถูกซู่เหยียนมาขัดจังหวะ
“มีอะไรหรือผู้อาวุโสซู่?” เย่หยวนถาม
เพราะก่อนหน้านี้เขาได้บอกไปแล้วว่าหากไม่มีเรื่องจริงๆ อย่าได้มารบกวนเวลาหลอมโอสถของเขา
เมื่อซู่เหยียนยังคิดมาขัดจังหวะเขาเช่นนี้ มันย่อมต้องมีเรื่องใดเกิดขึ้นแล้ว
ซู่เหยียนทำหน้าหนักใจออกมา “เจ้าไปดูอี้ชิงเซียงหน่อยได้หรือไม่? ตอนนี้เขาคงไม่อาจเข้าร่วมงานชุมนุมต่อสู้ได้อีกแล้ว หากมันมีทางเลือกอื่นข้าเองก็คงไม่คิดจะมาตามเจ้าหรอก”
เย่หยวนขมวดคิ้วแน่นทันทีด้วยความรู้สึกแปลกๆ ก่อนจะพยักหน้ารับไป “ได้ ข้าจะไปดูให้”
อี้ชิงเซียงนั้นถูกหามเข้ามาเมื่อเย่หยวนเห็นร่างของอี้ชิงเซียงบนเปลหามเขาก็แทบจะอยากหันหน้าหนีทันที
อี้ชิงเซียงนั้นมีสภาพสุดเกินจะบรรยาย ร่างกายของเขาทั้งหมดผิดรูปผิดร่างไปสิ้นความเป็นคน
โดยเฉพาะที่หน้า ตอนนี้ดวงตาของเขาถูกทุบจนถลนออกมาเป็นใบหน้าที่ไม่มีทางจดจำได้ว่าคือเขา
อาการบาดเจ็บขั้นนี้ย่อมไม่มีทางใดที่จะเข้าร่วมงานได้อีกแล้ว
หากเป็นการรักษาปกติ คงต้องใช้เวลานับสิบปีจึงจะพอรักษากลับมาได้
เย่หยวนขมวดคิ้วแน่นก่อนจะหันไปถามซู่เหยียน “นี่ฝีมือคนนิกายสว่างชัด?”
ไม่ต้องคิดให้มาก มันต้องเกิดมาจากการที่นิกายสว่างชัดเสียหน้าจึงคิดจะมากู้หน้าของตนคืนกันมาต่อสู้ของอี้ชิงเซียง
เว้นเสียแต่ว่ามันช่างเป็นการลงมือที่ชั่วร้ายเกินบรรยาย
การต่อสู้ที่กินเวลายาวนานขนาดนี้ หนึ่งในกลยุทธ์ที่สำคัญย่อมเป็นการรักษาตัวไม่ให้ได้รับบาดเจ็บหนัก
โดยปกติแล้วเมื่อพวกเขาตัดสินได้ว่าสถานการณ์มันเกินรับไหว พวกเขาทั้งหลายก็จะยอมแพ้ออกมาในทันที
แต่ดูท่าแล้วอีกฝ่ายคงไม่ได้ปล่อยให้อี้ชิงเซียงมีโอกาสยอมแพ้
ซู่เหยียนบอกด้วยท่าทางโกรธแค้น “อี้ชิงเซียงเองก็โชคไม่ดี ไปเจอเข้ากับศิษย์นิกายสว่างชัดนามเบียนซือเชียวเข้า มันจัดอยู่ในอันดับสี่ของนิกาย แน่นอนว่าช่องว่างระหว่างทั้งสองนั้นแสนจะยิ่งใหญ่ อี้ชิงเซียงนั้นไม่พอที่จะรับมืออีกฝ่ายมาได้ตั้งแต่แรก ใครจะไปรู้ว่าวินาทีที่เริ่มศึกมันกลับพุ่งเข้ามาโจมตีในนาทีที่อี้ชิงเซียงยังไม่ทันระวังและปลดกรามล่างของอี้ชิงเซียงไป ทำให้เขาไม่อาจะพูดออกเสียงเป็นคำได้ จากนั้นเบียนซือเชียวก็ไล่ซ้อมอี้ชิงเซียงไปทั่วสังเวียน หากเด็กคนนี้ไม่ฉลาดพอเขาคงได้ตายไปแล้ว”
ชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่นั้นไม่ได้ห้ามการฆ่าสังหาร หากไม่มีโอกาสได้ทันยอมแพ้ การจะตายบนสังเวียนก็เกิดขึ้นได้เช่นกัน
เย่หยวนหรี่ตามองด้วยความเย็นเยือก
นิกายสว่างชัดมันจะลงมือหนักเกินไปแล้ว
แม้ว่าเขาและอี้ชิงเซียงจะมีเรื่องกันมาก่อนหน้าแต่อี้ชิงเซียงนั้นต่างจากเชียนเย่ เขาไม่ได้ลงมือใดๆ โดยตรงต่อเย่หยวน
ตอนนี้อี้ชิงเซียงยิ่งไม่กล้าทำอะไรเย่หยวนไปใหญ่
นิกายสว่างชัดนั้นตั้งเป้าหมายหัวเย่หยวนอย่างแน่นอน
อี้ชิงเซียงนั้นเป็นได้แค่คนที่โดนลูกหลงเท่านั้น
เย่หยวนไม่นึกไม่ฝันว่าอีกฝ่ายจะลงมือกับอี้ชิงเซียงอย่างหนักหน่วงขนาดนี้เพียงเพื่อสิ่งที่เรียกว่าหน้าตาชื่อเสียง
ตอนนี้อารมณ์ของเย่หยวนพลุ่งพล่านอย่างมาก
เย่หยวนรีบบอก “ใจเย็นก่อน มีข้าอยู่ด้วยเขาย่อมไม่ตาย! ศึกหน้าเขาก็จะสามารถลงสู้ได้ด้วย”
เมื่อซู่เหยียนได้ยินเช่นนั้นก็เบิกตากว้างด้วยความตื่นตกใจ
เขาไม่เคยเห็นหรือได้ยินมาก่อนว่าจะมีนักหลอมโอสถที่สามารถรักษาบาดแผลหนักหนาขนาดนี้ได้ด้วยเวลาไม่กี่วัน
ตั้งแต่เข้าสวนป่าบนมาเย่หยวนก็ได้ลองทำการหลอมโอสถต่างๆ นาๆ มามากมาย แต่เรื่องที่ว่าเขามีทักษะด้านโอสถมากแค่ไหนนั้นตัวซู่เหยียนเองก็ไม่อาจะทราบได้
“ศิษย์พี่ไป่หลี่ ศิษย์พี่เจียง หากพวกท่านต้องไปเจอเจ้ากับศิษย์นิกายสว่างชัดอาณาจักรนภาสวรรค์สองดาวในวันหน้า พวกท่านจงยอมแพ้เสียก่อนขึ้นสังเวียนเถอะ ไม่เช่นนั้นไอ้คนพวกนั้นมันอาจทำร้ายท่านถึงตายบ้างก็ได้” เย่หยวนบอกสองสาวงาม
เจียงเชอเหยียนหน้าถอดสีด้วยความหวาดกลัว
แต่ไป่หลี่ชิงหยานกลับตอบมาอย่างหนักแน่น “ไม่มีทาง! ข้าอยากรู้ว่าศิษย์นิกายสว่างชัดมันจะเก่งกาจสักแค่ไหน!”
เมื่อเห็นท่าทางสุดมั่นใจของไป่หลี่ชิงหยานเช่นนั้นเย่หยวนก็ได้แต่ขมวดคิ้ว ตอนนี้เขารู้ว่าตัวเองคงไปพูดหว่านล้อมใดๆ ไม่ได้แล้วจึงได้แค่บอก “เช่นนั้นก็ได้ แต่ท่านต้องระวังตัวให้มาก!”
ตอนที่ 1829 มีคนกำลังโกรธ!
“เบียนซือเชียว เจ้าแย่งความสนใจไปไว้คนเดียวเลยนะ เจ้าทำให้อี้ชิงเซียงมันมีสภาพเป็นเช่นนั้นรอบนี้ข้าก็ไม่มีใครให้กระทืบน่ะสิ”
“หึ ไอ้เจ้าเด็กที่ชื่ออี้ชิงเซียงมันอ่อนแอเกินไป ข้ายังไม่ทันได้ทำอะไรมันก็แพ้พ่ายข้าเสียแล้ว”
“ก็จริง หากเป็นข้า ข้าก็ย่อมจะเล่นงานมันจนต้องวิ่งหาฟันที่หลุดร่วงตามพื้น! อยากโทษใครก็ไปโทษเจ้าเด็กเย่หยวนนั่นเถอะ!”
“ศิษย์พี่หยางกล่าวว่าเมื่อเขาได้เจอเจ้าเด็กคนนั้น เขาจะทำให้มันมีสภาพน่าสมเพชเสียยิ่งกว่าอี้ชิงเซียง”
การต่อสู้ยังไม่ทันเริ่มเหล่าชายหนุ่มด้านล่างสังเวียนก็เริ่มพูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติ
แน่นอนว่าเรื่องที่พวกเขาหยิบยกมาพูดคุยนั้นคือการต่อสู้ระหว่างเบียนซือเชียวและอี้ชิงเซียงในวันนั้น
หนึ่งในคนที่พูดคุยอยู่คือเจ้าตัวต้นเรื่อง คู่ต่อสู้ของอี้ชิงเซียงเมื่อรอบก่อนเบียนซือเชียว
ส่วนอีกคนนั้นคือคู่ต่อสู้ของเขาในรอบนี้เว่ยหยุนฮุยจากนิกายปรารถนา!
เว่ยหยุนฮุยคนนี้เองก็มีพลังบ่มเพาะอาณาจักรนภาสวรรค์หนึ่งดาวขั้นสุดเช่นกัน เทียบได้กับอี้ชิงเซียง
แต่ในสายตาของศิษย์ยอดนิกายอย่างนิกายปรารถนาแล้ว ศิษย์นิกายเงาจันทร์นั้นมันเป็นได้เพียงตัวประกอบแสนอ่อนแอเท่านั้น
แน่นอนว่าอี้ชิงเซียงได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัสไปแล้วและคงไม่มีทางมาเข้าร่วมศึกรอบนี้ได้แน่ ทำให้เว่ยหยุนฮุยรู้สึกเบื่อไม่น้อย
“เว่ยหยุนฮุย การต่อสู้จบแล้ว ถึงตาเจ้าขึ้นสังเวียนแล้ว” เบียนซือเชียวบอก
เว่ยหยุนฮุยได้แต่ยักไหล่ด้วยรอยยิ้ม “ไอ้หมอนี่ เจ้าแท้ๆ ที่เป็นคนลงมือจัดการมันจนบางตายยังจะมาบอกให้ข้าขึ้นสังเวียนอีก? วันนี้มันก็แค่ขึ้นไปตามพิธี! จะว่าไปมันก็แปลก ไอ้เด็กคนนั้นบาดเจ็บหนักถึงขนาดนั้นทำไมทางนิกายเงาจันทร์ถึงยังไม่ประกาศถอนตัวมันออกจากชุมนุมการต่อสู้แห่งก่อไผ่อีก”
เบียนซือเชียวยิ้มตอบ “นิกายเงาจันทร์นั้นมีฝีมืออยู่แค่นั้น พวกมันคงคิดใช้เรื่องนี้เอาคืนเราบ้าง”
เมื่อขึ้นไปถึงสังเวียนเว่ยหยุนฮุยก็ไม่พบเจอใครและได้แต่ยืนรอให้กรรมการประกาศตัดสิทธิ์ตามคาด
ตามกฎของชุมนุมการต่อสู้แห่งก่อไผ่แล้ว การมาสายหนึ่งชั่วโมงจะนับว่าไม่คิดต่อสู้และถูกปรับแพ้ไป
แม้ว่าทุกผู้คนจะรู้ดีว่าอี้ชิงเซียงจะบาดเจ็บหนักจนเจียนตายแต่ทางนิกายเงาจันทร์กลับไม่คิดประกาศถอนตัวเขาออกจากงานชุมนุม
มันหมายความว่าอีกฝ่ายต้องการให้เว่ยหยุนฮุยมาเสียเวลารอบนสังเวียนหนึ่งชั่วโมง
เวลาค่อยๆ เคลื่อนผ่านไปจนทำให้เว่ยหยุนฮุยเริ่มรำคาญใจ “ไอ้พวกเวร สภาพมันก็เป็นถึงขั้นนั้นแล้วแท้ๆ กลับยังคิดเอาคืนผู้คน! น่าเสียดายจริงๆ ที่มันไม่ได้มาเจอข้า ไม่เช่นนั้นข้าจะกระทืบมันให้แหลกคาเท้าเลย!”
ผู้อาวุโสของทางนิกายสว่างชัดเองก็เริ่มรำคาญใจขึ้นมาไม่แพ้กัน เขาจึงหันไปบอกตู้หรูเฟิง “ผู้อาวุโสตู้ ไม่ว่าอย่างไรอีกฝ่ายก็ย่อมไม่มีทางมาร่วมงานได้แล้ว ไม่ประกาศผลให้มันจบๆ ไปเลยล่ะ”
ตู้หรูเฟิงหันมาสวนกลับ “กฎคือกฎ เวลายังไม่หมด ข้าจะไปประกาศผลใดๆ ได้?”
ในเวลานี้เองก็เกิดปรากฏเงาร่างหลายคนเดินเข้ามาดึงดูดสายตาของผู้คนไปจนสิ้น
คนที่เดินนำมานั้นย่อมเป็นผู้อาวุโสของนิกายเงาจันทร์ ซู่เหยียน
วันนี้นิกายเงาจันทร์นั้นมีแค่คู่ของอี้ชิงเซียง แค่คู่เดียวเท่านั้น เพราะฉะนั้นการที่ไม่มีใครจากนิกายเงาจันทร์มายังสนามก่อนหน้านี้เลยมันจึงไม่ทำให้ผู้คนแปลกใจนัก
แต่เมื่อทุกคนกวาดสายตามองไปด้านหลังซู่เหยียน พวกเขาก็ต้องแตกตื่นกันทันที
“นั่นมันอี้ชิงเซียงนี่? เขากลับมาลุกได้แล้ว!”
“บ้าน่า! แผลของเขาในวันนั้นมันหนักหนาแค่ไหนทุกคนย่อมเห็น เขานั้นตายไปแน่แล้ว มีหรือที่จะยังมีหวังรักษาตัวกลับมาได้?”
“เดี๋ยวนะ คลื่นพลังของมันรุนแรงขึ้นด้วย มัน… มันบรรลุแล้ว!”
…
บนสังเวียนเป็นเว่ยหยุนฮุยที่ต้องเบิกตากว้าง
เพราะการปรากฏตัวนี้ของอี้ชิงเซียงนั้นมันทำให้เขาตื่นตกใจมาก
แน่นอนว่าเรื่องมันยังไม่ใช่แค่นั้น
สิ่งที่ทำให้เขาตื่นตกใจมากที่สุดก็คืออี้ชิงเซียงกลับบรรลุได้!
เวลาแค่สิบวันที่ผ่านมานี้ มิใช่แค่อี้ชิงเซียงจะรักษาตัวจนหาย แต่พลังบ่มเพาะของเขายังเพิ่มพูนบรรลุขึ้นไปอีกระดับจนกลายมาเป็นนภาสวรรค์สองดาวแล้ว
มันเป็นไปได้อย่างไร?
ที่ด้านล่างเบียนซือเชียวเองก็มองมาด้วยสายตาสุดตะลึง
การโจมตีของตัวเขาเอง เขาย่อมรู้ว่ามันหนักหน่วงแค่ไหน
วันนั้นหากไม่ใช่เพราะอี้ชิงเซียงตั้งสติกลิ้งตัวลงสังเวียนไปได้ก่อนเขาคงต้องตายลงด้วยน้ำมือของเบียนซือเชียวไปแล้ว
ต่อให้จะมียอดจอมเทพโอสถมาช่วยเหลือมันก็คงต้องใช้เวลารักษานับสิบปี
และแค่พลาดพลั้งนิดหน่อยมันก็มากพอจะส่งผลถึงการบ่มเพาะในวันหน้าของเขา
แต่ในเวลาแค่สิบวันนี้ อี้ชิงเซียงกลับลุกขึ้นมาได้ราวกับว่าไม่มีเรื่องใดๆ เกิดขึ้นมาก่อน
เรื่องนี้มันทำให้เขาเจ็บใจไม่น้อยจนถึงขั้นต้องตั้งคำถามกับชีวิต
ซู่เหยียนกล่าว “ชิงเซียง เจ้าขึ้นไป ใครบางคนมันทนรอไม่ไหวที่จะกระทืบเจ้าให้แหลกเละแล้ว”
สภาพของอี้ชิงเซียงในตอนนี้มันราวกับได้เกิดใหม่ ความหัวรั้นไม่ยอมใคร เอาแต่ดูถูกผู้คนที่ผ่านๆ มานั้นได้เลือนหายไปจนสิ้น
หากจะใช้คำพูดอะไรมาอธิบายเหตุการณ์นี้ มันก็คงต้องเรียกว่าการเติบโต
“ขอรับผู้อาวุโสซู่”
อี้ชิงเซียงก้มหัวลงคารวะและเดินขึ้นสังเวียนมา
ซู่เหยียนหันไปคารวะต่อตู้หรูเฟิง “ผู้อาวุโสตู้ ชิงเซียงมาช้าในครั้งนี้เป็นเพราะว่าเขากำลังเข้าสู่ช่วงวิกฤตของการบรรลุ หวังว่าท่านจะเข้าใจ”
ตู้หรูเฟิงหันไปมองดูเย่หยวนที่ด้านหลังซู่เหยียนก่อนจะบอก “ไม่ต้องคิดมาก เวลายังไม่ถึงชั่วโมง ไหนๆ เขาก็มาถึงแล้วเริ่มศึกกันเลย”
อี้ชิงเซียงมองดูเว่ยหยุนฮุยที่มีใบหน้าสุดตกตะลึงด้วยรอยยิ้ม “ดูท่าเจ้าจะตกใจมากนะที่ข้ามาได้!”
เว่ยหยุนฮุยหน้าเสียไปไม่น้อยเมื่อโดนทักเช่นนั้นก่อนจะกัดฟันตอบมา “เลิกวางท่าเสียที! บรรลุแล้วมันจะทำไม? นภาสวรรค์ของดาวกลวงๆ ของเจ้ามันไม่อาจรับมือข้าผู้นี้ได้หรอก”
อี้ชิงเซียงยิ้ม “เรอะ? เช่นนั้นไม่ลองกันหน่อยล่ะ?”
ความมั่นใจของอี้ชิงเซียงในตอนนี้มันทำให้ร่างของเว่ยหยุนฮุยต้องสั่นสะท้าน
เมื่อย้อนกลับไปคิดถึงศึกคราวก่อน เขาก็ได้พบว่าอี้ชิงเซียงในวันนี้มันแตกต่างจากก่อนหน้าราวกับเป็นคนละคน
มีแค่ช่วงเวลาความเป็นความตายเท่านั้นที่คนเราจะได้เห็นสัจธรรมที่แท้จริง
เมื่อการต่อสู้เริ่มขึ้นเว่ยหยุนฮุยก็ไม่อาจหัวเราะได้อีก
อี้ชิงเซียงที่เพิ่งบรรลุขึ้นมาได้นี้ไม่ได้อ่อนแออย่างที่เขาว่าสักนิด
กลับกัน เป็นอี้ชิงเซียงที่กดดันเขาในทุกทางจนไม่อาจต้านทานขัดขืนได้
ปัง!
ปัง!
ปัง!
หลังจากผ่านไปไม่นานเว่ยหยุนฮุยก็ร่วงลงนอนกองกับพื้น
อี้ชิงเซียงนั้นเล่นงานเว่ยหยุนฮุยหนักจนเขาไม่มีแรงใดๆ ที่จะตอบโต้กลับมาได้เลย
“ข้า… ข้ายอมแพ้!”
เมื่อได้รับบาดเจ็บอย่างหนักหน่วงเช่นนั้นไปเว่ยหยุนฮุยก็เลือกที่จะยอมแพ้ออกมาในที่สุด
เขานั้นเดาถูกเรื่องการกระทืบจริงๆ เพียงแค่ว่าเขาไม่ได้คิดว่าจะเป็นตัวเองที่โดนก็เท่านั้น
เมื่อชนะเว่ยหยุนฮุยได้อี้ชิงเซียงก็หันมามองเย่หยวนที่ด้านล่างสังเวียน
มันเป็นเย่หยวนนี้เองที่ช่วยให้เขาได้จุติใหม่และได้รับชีวิตที่สองนี้
อี้ชิงเซียงนั้นมีพลังบ่มเพาะติดอยู่ที่ยอดของอาณาจักรนภาสวรรค์หนึ่งดาวมานาน เพียงแค่ว่าเขาไม่อาจใช้เวลาแค่เล็กน้อยนี้ทำการบรรลุขึ้นไปได้
เย่หยวนนั้นรู้สึกผิดกับอี้ชิงเซียงไม่น้อย สุดท้ายเขาจึงได้หลอมโอสถใจม่วงหยกให้แก่อี้ชิงเซียงกิน
อี้ชิงเซียงร่อนตัวลงจากสังเวียนมาหยุดตรงหน้าเบียนซือเชียว “เจ้าคงผิดหวังมากสินะที่ข้ากลับมาร่วมงานชุมนุมการต่อสู้แห่งก่อไผ่ได้?”
เบียนซือเชียวหน้าเสียไปไม่น้อย เมื่อได้ยินอี้ชิงเซียงพูดเช่นนั้นเขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเย้ยออกมา “อย่าคิดว่าแค่บรรลุขึ้นนภาสวรรค์สองดาวได้แล้วจะชนะข้าได้เชียว ขึ้นสังเวียนมาอีกครั้งแล้วข้าจะเล่นงานให้เจ้าไม่รู้จักเหนือใต้เลย”
อี้ชิงเซียงยิ้มเบาๆ “ข้าไม่ได้บอกว่าตัวเองเก่งกาจ คนที่เก่งกาจนั้นมิใช่ข้า หลังจากวันนี้ไป นิกายสว่างชัดของเจ้าต้องระวังตัวให้มาก เพราะมีใครบางคน… กำลังโกรธ”
อี้ชิงเซียงนั้นรู้ตัวดีว่าแม้เขาจะบรรลุอาณาจักรนภาสวรรค์สองดาวมาได้แต่มันก็คงเป็นการยากที่จะเทียบเคียงกับเบียนซือเชียว
เบียนซือเชียวที่ได้ยินเช่นนั้นก็ผงะไปเล็กน้อยก่อนจะชี้นิ้วไปยังเย่หยวน “เจ้าคงไม่ได้พูดถึงมันหรอกใช่ไหม? ฮ่าๆๆ ข้าล่ะไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเจ้ากำลังพูดเรื่องอะไรกันแน่! มันโกรธแค้นแล้วจะทำอะไรได้?”
ตอนที่ 1830 จะเล่นกับพวกเจ้าให้ถึงที่สุด
“ทำไมอย่างนั้นหรือ? หึๆ งั้นก็รอดูไปเถอะ” อี้ชิงเซียงแค่ยิ้มและไม่คิดอธิบายใดๆ ต่อ
แต่ตอนนี้เองที่หลี่อี้ผิงที่ยืนอยู่ข้างเบียนซือเชียวกลับเดินออกมาหาเย่หยวนแทน
“ข้าได้ยินอี้ชิงเซียงบอกว่าเจ้าโกรธเรอะ?” หลี่อี้ผิงบอกด้วยท่าทางกลั้นหัวเราะ
แต่เย่หยวนกลับไม่สนใจและหันไปบอกอี้ชิงเซียง “ศิษย์พี่อี้ ไปเถอะ”
เมื่อหลี่อี้ผิงเห็นท่าทางของเย่หยวนที่ทำราวกับเขาเป็นแค่อากาศธาตุเขาก็ร้องตะโกนขึ้นมาด้วยความโกรธเคือง “เย่หยวน เจ้าคิดว่าแค่ชนะเหอหยวนได้แล้วตัวเองเก่งกาจมากหรือ? มันเป็นหนึ่งในศิษย์ที่อ่อนแอที่สุดของนิกายสว่างชัดทั้งแปดเรา! วันพรุ่งนี้ข้าจะจัดการให้เจ้ามีสภาพไม่ต่างจากอี้ชิงเซียงเลย!”
เย่หยวนนั้นกำลังจะเดินหันหน้ากลับไปแต่เมื่อได้ยินเช่นนั้นเขาก็อดไม่ได้ที่จะหันหน้ากลับมาตอบ “เหอหยวนต่างหากที่ต้องดีใจที่มันเป็นคนแรกที่มาพบเจอข้า”
หลี่อี้ผิงตอบสวนกลับมาพร้อมขมวดคิ้ว “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
เย่หยวนตอบ “เดี๋ยวเจ้าก็จะได้รู้”
พูดจบทางนิกายเงาจันทร์ก็เดินจากไป
เบียนซือเชียวมองดูแผ่นหลังของเย่หยวนด้วยท่าทางเย้ยหยัน “ไอ้หมอนี่มันช่างอวดดีเก่งจริงๆ! มันได้เวลาแล้วที่ต้องสั่งสอนให้มันรู้ถึงพลังของนิกายสว่างชัดเรา”
หลี่อี้ผิงกล่าว “ไอ้โง่! ข้าจะให้มันได้รู้ว่าตัวเองทำตัวโง่งมแค่ไหน!”
สามวันต่อมาก็ถึงเวลาของศึกระหว่างเย่หยวนและหลี่อี้ผิง
ศึกนี้มันดึงดูดผู้คนมากมายให้หันมาสนใจ
เย่หยวนนั้นตบหน้าของนิกายสว่างชัดเข้าอย่างแรงในรอบแรก พวกเขารู้สึกได้เลยว่าวันนี้นิกายสว่างชัดคงไม่มีทางปล่อยเรื่องผ่านไปง่ายๆ แน่
หลี่อี้ผิงนั้นแข็งแกร่ง เย่หยวนต้องฉิบหายแน่นอน
“หึ ไอ้เด็กคนนี้มันช่างโอหัง! หลังจากวันนี้ไปเจ้าจะไม่มีทางทำตัวโอหังเช่นนั้นได้อีกแล้ว! ชะตาของเจ้ามันจะเลวร้ายเสียยิ่งกว่าที่อี้ชิงเซียงได้เจอ!” หลี่อี้ผิงตะโกนร้อง
ท่าทางแสนโอหังของเย่หยวนในวันก่อนนี้ยังชัดเจนอยู่ในความทรงจำของเขา
หลี่อี้ผิงนั้นโกรธเคืองอย่างมาก
เย่หยวนหรี่ตาลง “ไอ้พวกคนโง่หลงตัวเอง! แค่เพราะวิ่งที่เรียกว่าชื่อเสียงหน้าตากลับลอบมืออย่างสาหัส จากวันนี้ไปพวกเจ้าจะได้ลิ้มรสความหวาดกลัว แต่แน่นอนว่าเจ้าคงเป็นคนเดียวที่ไม่ได้รู้สึกถึงมัน”
หลี่อี้ผิงหัวเราะลั่นออกมา “กลัว? ฮ่าๆ ไอ้ของแบบนั้นมันเป็นนิกายสว่างชัดเราที่มอบให้คนอื่น! แค่พลังฝีมืออย่างเจ้าคิดว่าตัวเองจะเหนือล้ำไร้เทียมทานใต้ฟ้าดินหรือ?”
เย่หยวนหัวเราะ “ไม่ถึงขั้นไร้เทียมทานใต้ฟ้าดิน แต่แค่จัดการพวกเจ้าทั้งหลายมันมิใช่ปัญหาเลยแม้แต่น้อย!”
ที่ด้านล่างสังเวียนเหล่าผู้คนทั้งหลายที่ได้ยินคำของเย่หยวนก็ต่างทำสีหน้าเหยียดหยามออกมา
นิกายสว่างชัดนั้นมีพลังที่เหนือล้ำแค่ไหน มันมากมายจนทำให้ผู้คนผวา
ด้วยแค่กำลังของเย่หยวนคนเดียวมันย่อมไม่มีทางจัดการกลุ่มคนเช่นนั้นลงได้
เพราะไม่ว่าอย่างไรเสียหยางเชินก็มีพลังที่เหนือล้ำกว่าทุกผู้คน
ในรอบที่ผ่านมาหยางเชินเองก็ใช้แค่กระบวนท่าเดียวจัดการนภาสวรรค์สองดาวคนหนึ่งลงได้ทันที
เทียบกันแล้วเย่หยวนที่ชนะเหอหยวนนั้นเป็นได้แค่เรื่องตลกเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา
“ถึงเวลาแล้ว เริ่มได้!” ตู้หรูเฟิงประกาศ
เขามองดูเย่หยวนอย่างสงสัย แค่อยากจะรู้ว่าเย่หยวนจะทำให้เกิดเรื่องแปลกใจเขาได้อีกมากเพียงใด
บาดแผลของอี้ชิงเซียงนั้นย่อมถูกเย่หยวนรักษาอย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อเห็นสภาพการกลับมาของอี้ชิงเซียงในวันนี้ เขากลับมาพร้อมพลังบ่มเพาะที่มากกว่าเดิมมันทำให้เขาแปลกใจไม่น้อย
เขายกมือขึ้นมาทาบอกและถามตัวเอง ต่อให้ตอนนั้นเป็นเขาที่ลงไปรักษามันก็ไม่อาจจะทำได้ถึงขั้นนั้นแน่
เด็กคนนี้มีฝีมือด้านโอสถที่เหนือล้ำมาก!
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมหมูสมบัติถึงเลือกตามติดเย่หยวนคนนี้มากกว่าท่านตงน้อย
จะว่าไปนายท่านเองก็น่าจะได้รู้ถึงความเก่งกาจของเย่หยวนไปแล้ว ท่านจึงได้คิดตามดูเย่หยวนอยู่ตลอดอย่างนั้น
จู่ๆ ตู้หรูเฟิงก็ต้องหรี่ตาเล็ก มองดูภาพบนสังเวียนอย่างไม่อยากเชื่อสายตา
หลี่อี้ผิงตายแล้ว!
“แค่พริบตาเดียวก็ตายแล้ว?”
“หลี่อี้ผิงไม่ทันทำอะไรแต่กลับร่วงลงไปตายเช่นนั้นเลย?”
“แข็งแกร่ง! หมายเลขหกสิบสี่บ้าบออะไรกัน จารึกอาณาจักรล้ำมันใช้กับหมอนี่ไม่ได้ผลแน่ๆ!”
…
ที่ด้านล่างเหล่าผู้คนต่างยังไม่เข้าใจแน่ว่าเกิดอะไรขึ้นบนสังเวียน
หลี่อี้ผิงนั้นมีหมายเลขราวยี่สิบกว่าๆ ในหมู่คนทั้งหกสิบสี่
แม้แต่เขายังไม่ทันตั้งรับ มีหรือที่คนอื่นจะรับไหว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเหล่าศิษย์นิกายสว่างชัด ทุกผู้คนต่างหน้าถอดสีจนซีดเผือด
เย่หยวนกำลังท้าทายพวกเขา!
เบียนซือเชียวนั้นมีใบหน้าที่บิดเบี้ยวอย่างถึงที่สุด รู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจ
เขานั้นมีพลังฝีมือที่เหนือล้ำกว่าหลี่อี้ผิงนิดหน่อย แต่มันก็แค่นิดหน่อย เขาอยู่แค่หมายเลขสิบกว่าๆ
เย่หยวนสามารถสังหารหลี่อี้ผิงในพริบตา เขาย่อมสามารถสังหารเบียนซือเชียวลงได้ด้วยแน่
คิดย้อนกลับไปถึงเรื่องว่าจะสั่งสอนเย่หยวนต่างๆ นาๆ ที่พวกเขาเคยบอกไว้
คิดถึงมันตอนนี้มันเป็นได้แค่เรื่องตลก!
เบียนซือเชียวย้อนนึกถึงคำของเย่หยวนขึ้นมาได้และทำให้ดวงตาของเขาต้องเบิกกว้าง
ตอนนี้เขาได้รับรู้รสชาติของความกลัวแล้วจริงๆ!
เย่หยวนลงมือทำเช่นนี้ย่อมต้องเป็นเพราะอี้ชิงเซียง และเขาเองก็ย่อมต้องอยู่ในรายชื่อสังหารด้วยแน่
กลับกัน ตอนนี้เหอหยวนกลับกำลังถอนหายใจด้วยความโล่งอก
โชคยังดีที่เขานั้นไม่ได้ไปทำให้เย่หยวนคลั่งตั้งแต่รอบแรก ไม่เช่นนั้นเขาเองก็คงไม่ได้มายืนหายใจอยู่ตรงนี้แล้ว
แต่แน่นอนว่าเขาย่อมไม่แสดงสีหน้าท่าทางแบบนั้นออกมา
หยางเชินบอกด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ตั้งแต่รอบหน้าไป ใครก็ตามที่พบเจอเย่หยวนจงยอมแพ้เสียตั้งแต่เริ่ม! ปล่อยไอ้เด็กคนนี้ให้ข้าจัดการเอง!”
และราวกับว่ากลัวทุกคนจะยังไม่ได้ยินเขาจึงย้ำขึ้นมาอีก “ต้องรีบยอมแพ้ให้เร็ว อย่าให้มันได้มีโอกาสโจมตีเด็ดขาด! จำไว้นะพวกเจ้า!”
ตอนนั้นเองที่ศิษย์อันดับสองของนิกายสว่างชัดนามเซินเทียนหลินก็พูดขัดขึ้น “หยางเชิน เราจะทำอะไรมันย่อมเป็นเรื่องของเรา มิใช่เรื่องให้เจ้ามาบอกสั่งเสียหน่อย!”
เซินเทียนหลินคนนี้เองก็เป็นนภาสวรรค์สองดาวเช่นกัน เขามีพลังบ่มเพาะไม่ห่างจากหยางเชินมากนักแต่ก็ยังไม่อาจเทียบเคียงฝีมือหยางเชินได้
งานชุมนุมการต่อสู้แห่งก่อไผ่นี้เขาเองก็เป็นตัวเต็งที่จะได้เข้าวิหารเช่นกัน
เพราะหากให้เทียบจากผลรอบที่ผ่านๆ มาเขาเองก็น่าจะติดหนึ่งในห้าได้ไม่ยาก
เมื่อได้ยินคำของหยางเชินเขาจึงไม่พอใจอย่างมาก
เพราะแม้คนอื่นจะรับมือเย่หยวนไม่ได้ เขาย่อมไม่คิดว่าตัวเองจะพ่ายแพ้ให้แก่เย่หยวน
ในฐานะอันดับสองของนิกายสว่างชัด เขาย่อมมีศักดิ์ศรีของตนเอง จะให้ไปยอมแพ้ตั้งแต่ต้นเช่นนั้นมันคงมากเกินรับไปหน่อย
หยางเชินหันมามองด้วยสายตาเย็นเยือก “หากเจ้าอยากตายก็เรื่องของเจ้า”
เซินเทียนหลินกำลังคิดจะเถียงกลับไปแต่ผู้อาวุโสของนิกายสว่างชัดก็ขัดขึ้นมาก่อน “เทียนหลิน ทำตามที่หยางเชินว่า! เด็กคนนี้มันอันตรายเกินไป! การเข้าวิหารนั้นคือเป้าหมายสูงสุดของเรา”
เซินเทียนหลินขมวดคิ้วแน่น “ได้”
แม้ว่าเขาจะตอบตกลงแต่ในใจของเขากลับไม่ยอมรับเรื่องนี้อย่างมาก
เขาคิดกับตัวเอง หากเล่นทีเผลอเขาเองก็สามารถสังหารหลี่อี้ผิงได้ในกระบวนท่าเดียวเช่นกัน
เย่หยวนนั้นแค่ใช้วิธีการเช่นนั้นมาข่มขู่นิกายสว่างชัดและสุดท้ายทั้งหยางเชินและผู้อาวุโสก็ติดกับมัน
น่าสมเพชจริงๆ!
เย่หยวนเดินลงสังเวียนมาอย่างแผ่วเบาก่อนที่ร่างของหยางเชินจะเดินมาขวางหน้าไว้
“เจ้ารนหาที่ตาย!” หยางเชินกล่าว
เย่หยวนหันไปมองหยางเชินด้วยรอยยิ้ม “คำพูดเหล่านั้นนิกายสว่างชัดเจ้าบ่นว่ามาไม่รู้กี่ครั้ง น่าเสียดายที่แม้จะเปลืองน้ำลายพูดไปมากมายขนาดนั้นมันกลับเป็นได้แค่คำเห่าหอน เป็นพวกเจ้าเองที่ท้าทายข้าก่อน!”
หยางเชินตอบ “เจ้าคิดว่าแค่สำเร็จแนวคิดแห่งห้วงมิติแล้วจะไร้เทียมทานอย่างนั้นหรือ?”
คนอื่นมองไม่ออก แต่มีหรือที่หยางเชินจะมองไม่ทัน?
เย่หยวนยิ้มรับ “ไร้เทียมทานหรือไม่ข้าไม่รู้ แต่หากพวกเจ้าอยากเล่น ข้าก็จะเล่นกับพวกเจ้าให้ถึงที่สุด! หากข้าเดาไม่ผิดเจ้าคงคิดให้คนอื่นยอมแพ้ตั้งแต่เริ่มใช่ไหม? เจ้าลองสิ ข้าอยากรู้ว่าพวกเจ้าจะมีโอกาสยอมแพ้หรือไม่!”
ตอนที่ 1831 แค่จะยอมแพ้พวกเจ้ายังไม่ม...
“เจ้าลองสิ ข้าอยากรู้ว่าพวกเจ้าจะมีโอกาสยอมแพ้หรือไม่!”
คำพูดนี้มันราวกับค้อนหนักทุบลงกลางหัวของศิษย์นิกายสว่างชัด
หากเย่หยวนพูดคำนี้ออกมาก่อนหน้ามันคงไม่มีใครคิดจะใส่ใจ
แต่ตอนนี้เขาพิสูจน์แล้วว่าตนสามารถทำได้!
สังหารหลี่อี้ผิงด้วยกระบวนท่าเดียวเช่นนั้นมันเป็นเรื่องที่ไม่ใช่ทุกคนจะทำได้
หยางเชินหรี่ตาลงด้วยความเย็นเยือกทันที
เย่หยวนคนนั้นมันจะอาละวาดหนักไปแล้ว!
จู่ๆ หยางเชินก็หันไปมองหน้าไป่หลี่ชิงหยานด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย “หากข้าเดาไม่ผิดนางคงเป็นคนรักของเจ้า? หืม…เจ้าคิดว่ามีแค่ตนหรือที่สังหารผู้คนได้?”
เย่หยวนขมวดคิ้วแน่นด้วยใบหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก
พลังฝีมือของหยางเชินนั้นเก่งกาจเพียงใด เย่หยวนไม่ทราบได้ แต่เขานั้นไม่กล้าที่จะดูถูกอีกฝ่ายอย่างแน่นอน
เย่หยวนนั้นมีความมั่นใจในตัว แต่เขาไม่เคยอวดดีเกินตัว
“หากเจ้าอยากสังหารข้าก็ลองมาสิ! แม้ว่านิกายเงาจันทร์ของข้าจะไม่อาจเทียบนิกายสว่างชัดได้แต่เราก็ยังมีความกล้ามากพอ!” เย่หยวนยังไม่ทันตอบอะไรไป่หลี่ชิงหยานก็สวนขึ้นมาก่อน
อี้ชิงเซียงเองก็กล่าวขึ้นตาม “อย่างมากก็แค่ตาย! ต่อให้เราทั้งสามจะต้องตายลง สามชีวิตและเจ็ดชีวิตมันก็มากเกินคำว่าคุ้มแล้ว!”
อี้ชิงเซียงยังพูดไม่ทันขาดคำเจียงเชอเหยียนก็กล่าวขึ้นเสริมด้วย “นิกายสว่างชัดเจ้าไม่อาจถูกลบหลู่ได้ แล้วนิกายเงาจันทร์เราจะยอมให้ใครก็ได้มาลบหลู่หรือ?”
เย่หยวนมองดูคนทั้งสามอย่างตื่นตกใจไม่น้อย ไม่นึกไม่ฝันว่าพวกเขาจะแสดงท่าทีสนับสนุนออกมาเต็มที่เช่นนี้
นี่มันเป็นคนเดียวกับที่เขารู้จักหรือเปล่า?
ไป่หลี่ชิงหยานยังพอว่า นางนั้นยึดมั่นในศักดิ์ศรีของตน
แต่อี้ชิงเซียงและเจียงเชอเหยียนนั้นมันเหนือความคาดหมายเขามาก
ได้ยินเช่นนั้นใบหน้าของหยางเชินก็กระตุกแรง
เขาได้รู้แล้วว่าการข่มเหงของนิกายสว่างชัดนั้นมันได้กดดันให้นิกายเงาจันทร์บิดเบี้ยวไปจนถึงที่สุดแล้ว
คนทั้งสี่นี้คิดจะต่อต้านนิกายสว่างชัดจนชีวิตหาไม่
เย่หยวนมองดูที่หยางเชินและบอก “เจ้าได้ยินแล้วใช่ไหม? นิกายเงาจันทร์ข้าเองก็มีศักดิ์ศรีที่ไม่อาจให้ใครมาลบหลู่ได้! ในเมื่อพวกเจ้าทั้งหลายเป็นคนหาเรื่องพวกเราก่อน ก็จงเตรียมรับการสวนกลับไว้ให้ดี! ไปกันเถอะ!”
พูดจบคนนิกายเงาจันทร์ทั้งหลายก็เดินจากไป
เมื่อกลับมาถึงสวนป่าบนเย่หยวนก็แสดงสีหน้ากังวลออกมาอย่างไม่ปิดบังอีกต่อไป
“ผู้อาวุโสซู่ หยางเชินนั้นแข็งแกร่งแค่ไหน?” เย่หยวนถาม
เมื่อเห็นเย่หยวนถามเช่นนั้นผู้อาวุโสซู่ก็ถอนหายใจยาวออกมาด้วยรอยยิ้ม “ข้าก็นึกว่าเจ้าโกรธแค้นจนไม่คิดหน้าคิดหลังใดๆ ไปแล้วเสียอีก!”
เขาย่อมรู้ดีว่าการไปท้าทายนิกายสว่างชัดเช่นนี้มันอันตรายมากมายแค่ไหน เพียงแค่ว่าเรื่องนี้มันก็ส่งผลถึงชื่อเสียงของนิกายเงาจันทร์จนทำให้เขาเองก็ไม่คิดที่จะห้ามเย่หยวนไว้
เย่หยวนส่ายหัวออกมา “นิกายสว่างชัดนั้นข่มเหงผู้คนมากจนเกินไป เราแค่ได้มาอยู่ยังสวนป่าบนแต่พวกมันกลับคิดเล่นงานเราถึงชีวิตเพราะเรื่องนั้นราวกับไปฆ่าพ่อแม่พวกมันมา โชคยังดีที่ศิษย์พี่เจียงไม่ได้ไปเจอพวกนิกายสว่างชัดในรอบแรก แต่รอบหลังๆ หากนางได้ไปเจอเข้าพวกมันย่อมคิดลงมืออย่างหนักหน่วงแน่ ส่วนศิษย์พี่ไป่หลี่นั้น หยางเชินย่อมไม่คิดปล่อยนางไปแน่ ต่อให้ข้าไม่ท้าทายเช่นนั้นสุดท้ายพวกเราก็คงไม่อาจรอดกลับไปได้อย่างปลอดภัย”
เย่หยวนบอกออกมาอย่างชัดเจนถึงท่าทางและการกระทำที่นิกายสว่างชัดคิดจะทำ
พวกเขานั้นคิดว่าใบหน้าชื่อเสียงของตนนั้นคือทุกสิ่งอย่างและไม่คิดให้ใครอยู่เหนือกว่าตน
นิกายเงาจันทร์นั้นแค่ได้มาอยู่สวนป่าบนก็ไปทำให้พวกนั้นเดือดร้อนแล้ว
พวกเขาไม่ยอมเปิดโอกาสให้อี้ชิงเซียงได้ยอมแพ้ ทุบทำลายกรามของเขาในทันทีที่เริ่ม แค่นี้มันก็อธิบายเรื่องราวทั้งหมดได้มากพอแล้ว
เพราะเช่นนั้นเองเย่หยวนจึงคิดสังหาร
ได้ยินคำของเย่หยวนซู่เหยียนก็ขมวดคิ้วแน่น
เพราะเขานั้นไม่ได้คิดไปถึงเรื่องราวเบื้องลึกเบื้องหลังอย่างที่เย่หยวนทำ
“หยางเชินนั้นเป็นยอดอัจฉริยะอันดับหนึ่งที่ล้านปีจะปรากฏสักครั้งแห่งนิกายสว่างชัด! พลังฝีมือของเขานั้นย่อมเหนือล้ำ! แต่หากถามว่าเขาเก่งกาจแค่ไหน มันคงมีแต่พวกนิกายสว่างชัดเท่านั้นที่จะรู้ได้ เดิมทีศิษย์ที่ได้มาเข้าร่วมงานชุมนุมการต่อสู้แห่งก่อไผ่นั้นจะมีพลังฝีมือที่ไม่เหนือล้ำกันมาก แต่แน่นอนว่ามันย่อมมีข้อยกเว้น อย่างเช่นเจ้า และบางทีก็อาจจะเป็นหยางเชินด้วย!” ซู่เหยียนบอกด้วยท่าทางที่เคร่งเครียด
เย่หยวนเงียบลงไปทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น ตอนนี้ไม่มีใครพูดใดๆ และเอาแต่จ้องมองรอเย่หยวนคิด
ตงน้อยเองก็มองดูเย่หยวนอย่างสงสัยใคร่รู้ เขานั้นอยากรู้ว่าเย่หยวนจะแก้ปัญหาตรงหน้านี้อย่างไร
หลังจากนั้นเย่หยวนก็เงยหน้าขึ้นมามองทุกผู้คน “ศิษย์พี่เจียง ข้าจะหลอมโอสถใจม่วงหยกให้ท่าน ท่านจงรีบบรรลุขึ้นเป็นนภาสวรรค์สองดาวเสีย”
เจียงเชอเหยียนเบิกตากว้างทันทีที่ได้ยิน
นางนั้นไม่คิดไม่ฝันว่าตัวเองจะได้โอสถใจม่วงหยกกับเขาด้วย
เพราะเอาจริงๆ ตอนที่อี้ชิงเซียงได้โอสถนี้ นางเองก็มึนงงสงสัยอย่างมาก
แต่นางรู้ดีว่ามุมมองที่เย่หยวนมีต่อตัวเองนั้นเป็นอย่างไร นางจึงเลิกคิดที่จะหวังไปนาน
ไม่นึกไม่ฝันว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เย่หยวนกลับคิดช่วยหลอมให้แก่นาง!
ซู่เหยียนบอก “ช่วยอะไรไม่ได้หรอก! แม้จะเป็นสภาสวรรค์สองดาวเองก็อ่อนแอเกินไปที่จะต่อต้านเขา”
เย่หยวนพยักหน้ารับ “ข้าย่อมทราบดี จากวันนี้ไปข้าจะช่วยพวกท่านทั้งหลายหลอมโอสถพร้อมๆ ไปกับการฝึกพิเศษให้แก่พวกท่าน เป้าหมายของการฝึกคือ ยอมแพ้ให้ได้ก่อนที่ข้าจะสังหารพวกท่านลงได้!”
เรื่องนี้ทำให้ทุกผู้คนผงะไปไม่น้อย ไม่นึกไม่ฝันว่าเย่หยวนจะใช้วิธีนี้
เย่หยวนพูดออกมาเช่นนี้ย่อมหมายความว่าพลังฝีมือของเขานั้นใกล้เคียงกับหยางเชินมาก
หรืออาจจะแข็งแกร่งกว่า!
แต่มันจะเป็นไปได้หรือ?
ในหมู่นภาสวรรค์สองดาวขั้นสุดเหมือนๆ กัน หยางเชินนั้นมีพลังฝีมือที่เหนือล้ำกว่าเซินเทียนหลินไปมาก มันหมายความว่าเขาคนนั้นมีแนวคิดอะไรบางอย่างที่แข็งแกร่งจนเหนือล้ำกว่าคนในระดับเดียวกันอย่างสิ้นเชิง
“หึๆ ไอ้เด็กคนนี้ เจ้าคิดเล่นกับชีวิตพวกเขา!” ตงน้อยอดไม่ได้ที่จะพูดดูหมิ่นและเหยียดหยามออกมาเมื่อได้ยิน
แต่เย่หยวนกลับตอบไป “ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องเล่นหรือไม่ ไม่นานเจ้าก็จะได้รู้”
…
ในพริบตาเวลากว่าหนึ่งเดือนก็ผ่านไป และเย่หยวนก็ได้มาพบเจอกับศิษย์นิกายสว่างชัดอีกครั้ง
คราวนี้เขาเป็นอันดับหกของนิกายนามเผิงฮวน
เขานั้นไม่ได้แข็งแกร่งมากมาย เป็นแค่นภาสวรรค์สองดาวขั้นต้น เขาที่อยู่อันดับต่ำกว่าหลี่อี้ผิงย่อมไม่มีทางเป็นคู่มือให้แก่เย่หยวนได้
เมื่อได้เรียนรู้จากความผิดพลาดของหลี่อี้ผิงมาแล้วเผิงฮวนย่อมคิดที่จะยอมแพ้ในทันที
เพราะฉะนั้นหลังจากตู้หรูเฟิงประกาศเริ่ม เผิงฮวนก็เปิดปากขยับขึ้น
“ข้า…”
แต่น่าเสียดายที่คำพูดของเขาถูกตัดขาดลงเสียงเท่านั้น ดวงตาของเขากลอกกลับไปโดยที่ไม่อาจพูดได้อีก
ดาบของเย่หยวนนั้นมันเร็วจนเกินไป!
ที่ด้านล่างสังเวียนมีเสียงสูดหายใจเข้าลึกตามๆ กัน
แข็งแกร่ง!
หากมีใครคิดว่าครั้งก่อนที่หลี่อี้ผิงเสียท่าไปเพราะไม่ทันเตรียมตัว เช่นนั้นครั้งนี้พวกเขาก็คงเชื่อสนิทใจแล้วว่ามันเป็นฝีมืออย่างแท้จริง
“แค่จะยอมแพ้พวกเจ้ายังไม่มีปัญญาแล้วยังมีหน้ามาเรียกตัวเองว่าเป็นนิกายอันดับหนึ่งอีกหรือ?”
เย่หยวนมองดูหยางเชินด้วยคำเหยียดหยาม
หยางเชินนั้นมองดูเย่หยวนด้วยความโกรธแค้น “เย่หยวนเจ้าบังคับข้าเอง!”
เย่หยวนไม่คิดสนใจและเดินหายไปกับสายลม
ในรอบที่สิบเจ็ด เย่หยวนก็ได้สังหารศิษย์นิกายสว่างชัดอันดับเจ็ด อู๋หมินลงด้วยดาบเดียวอีกเช่นเคย
ในรอบที่ยี่สิบห้า ในที่สุดเย่หยวนก็ได้สังหารเบียนซือเชียวลง!
ผ่านการชุมนุมไปได้แค่ครึ่งทาง แต่นิกายสว่างชัดกลับเสียศิษย์ไปแล้วถึงสี่คนภายใต้คมดาบของเย่หยวน
และพวกเขาทุกคนล้วนแล้วแต่คิดอยากยอมแพ้ตั้งแต่วินาทีที่เริ่ม แต่กลับไม่มีใครพูดทัน
ดาบของเย่หยวนนั้นมันรวดเร็วความคำพูดใดๆ
ตอนนี้ผู้อาวุโสของนิกายสว่างชัดและหยางเชินแทบคลั่งตาย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น