Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1818-1821
ตอนที่ 1818 เอาศิษย์พี่ว่าเลย
หนึ่งร้อยวันต่อมากลุ่มคนก็เดินทางมาถึงทะเลกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง
ซู่เหยียนหยิบเหรียญออกมาและโยนมันลงทะเลไป
เมื่อเหรียญนั้นตกลงถึงผิวน้ำมันกลับเปลี่ยนกลายเป็นลำแสงพุ่งหายไป
ไม่นานจากนั้นก็มีเรือแจวลำหนึ่งแล่นเข้ามาใกล้พวกเขาบนผิวน้ำ
บนเรือลำน้อยนั้นมีชายชุดขาวยืนอยู่ด้วยท่าทางสง่าและงดงาม
เย่หยวนหรี่ตามองทันทีที่เห็นร่างนั้นเพราะว่าชายชุดขาวคนนี้ยังไม่แก่มากมายแต่กลับเป็นถึงนภาสวรรค์สี่ดาว
วิหารศักดิ์สิทธิ์กอไผ่นั้นยิ่งใหญ่สมชื่อจริงๆ!
แต่คิดอีกทีเย่หยวนก็รู้สึกโล่งใจขึ้น
เพราะวิหารศักดิ์สิทธิ์กอไผ่นั้นเก็บรวบรวมยอดคนจากทั้งมิติอนัตตาก่อไผ่มาไว้
คนที่เข้าไปได้ย่อมมีพรสวรรค์ไม่ด้อยไปกว่าไป่หลี่ชิงหยานแน่ หรือบางทีพวกเขาอาจจะมาพรสวรรค์กว่านางเสียด้วยซ้ำ
ยอดคนมากพรสวรรค์เช่นนั้นบวกกับกำลังทรัพยากรที่หนาแน่นที่สุดในมิติอนัตตาก่อไผ่มันย่อมทำให้ความเร็วในการฝึกฝนและบ่มเพาะเหนือล้ำกว่าที่ใด
“ชูเวินคารวะผู้อาวุโสซู่”
ชายชุดขาวนั้นยกมือขึ้นคารวะซู่เหยียนด้วยท่าทางที่ไม่นอบน้อมแต่ก็ไม่แข็งกร้าว
แต่ซู่เหยียนกลับยิ้มรับไปง่ายๆ “หึๆ ที่แท้เป็นหลานชายชูนี่เอง! ไม่ได้เจอกันมาแค่พันปีหลานชายชูกลับพัฒนาตัวเองขึ้นไปได้อย่างมากมายมหาศาล!”
ชูเวินยิ้มรับออกมา “วรยุทธของวิหารศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นสิ่งที่คนนอกย่อมไม่อาจคาดคิด การพัฒนานี้ของชูเวินมันไม่นับว่ามากมายหรอก”
คำพูดของชูเวินนี้มันเปี่ยมไปด้วยความหยิ่งยโสในทุกน้ำเสียง
ราวกับเขากำลังบอกว่านักยุทธของโลกภายนอกนั้นมันเป็นได้แค่ขยะข้างทาง
ซู่เหยียนได้แต่ยิ้มตอบกลับไปด้วยท่าทางอึดอัด “เรื่องนั้นมันแน่นอน! มิติอนัตตาก่อไผ่เราเคารพนับถือวิการศักดิ์สิทธิ์อย่างมาก ที่แห่งนั้นมันคือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ยอดอัจฉริยะอย่างหลานชูเวินนั้นมันเป็นยอดคนหนึ่งในหมื่น”
ชูเวินแค่ยิ้มออกมาด้วยท่าทางเย้ยหยันก่อนจะหันสายตาจากซู่เหยียนไป “วันนี้ท่านพาคนที่เพิ่งบรรลุอาณาจักรนภาสวรรค์มาด้วยรึ ดูท่านิกายเงาจันทร์ของท่านนี้มันจะไม่มีอนาคตเสียแล้วจริงๆ!”
คำพูดนั้นชูเวินพูดออกมาระหว่างที่จ้องมองเย่หยวน
เย่หยวนเพิ่งบรรลุมาได้ไม่นานนัก คลื่นพลังที่เขามีจึงย่อมต่ำกว่าคนอื่นๆ อย่างชัดเจน
แค่มองปราดเดียวก็พอรู้ได้แล้วว่าเขานั้นเพิ่มบรรลุมา
อาณาจักรนภาสวรรค์นั้นมีช่องว่างของแต่ละดาวอย่างชัดเจน ทำให้มีการแบ่งแยกแต่ละดาวออกเป็นขั้นต้น ขั้นกลาง ขั้นปลายและสุดท้ายขั้นสุด
ด้วยคลื่นพลังของตัวเย่หยวนนี้มันเป็นขั้นต้นของอาณาจักรนภาสวรรค์หนึ่งดาว ชูเวินจึงมีท่าทางดูถูกเขามาก
เหล่าคนที่มาร่วมงานชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่นั้นต่อให้พวกเขาจะยังเป็นนภาสวรรค์หนึ่งดาว อย่างน้อยๆ ก็ต้องอยู่ในขั้นปลายหรือสุดของอาณาจักรนภาสวรรค์หนึ่งดาวถึงจะยังพอทำอะไรได้ ขั้นต้นนั้นไม่ต้องพูดถึงเลย
เว้นเสียแต่ว่าเมื่อคำพูดเหล่านั้นถูกกล่าวเหล่าคนทั้งหลายรวมถึงซู่เหยียนกลับแสดงสีหน้าแปลกๆ ออกมา
เมื่อชูเวินเห็นเช่นนั้นเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกรำคาญใจขึ้นมา
พวกนี้มันไม่พอใจแต่กลับไม่มีใครกล้าพูดออกมา?
นั่นทำให้ใบหน้าของเขาเปลี่ยนสีไป “ทำไมกัน? ข้าพูดอะไรผิดหรือ?”
ซู่เหยียนผงะไปเล็กน้อยด้วยท่าทางสุดอึดอัดก่อนจะยิ้มตอบ “ใช่แหละ ที่หลานชายชูเวินพูดมามันไม่ผิดหรอก!”
แม้เขาจะพูดเช่นนั้นแต่มีหรือที่ชูเวินจะแยกไม่ออกถึงน้ำเสียงเย้ยหยันนั้น?
ความหมายในคำพูดนี้ของซู่เหยียนคือ เจ้ามาจากวิหารศักดิ์สิทธิ์ ฉะนั้นทุกสิ่งอย่างก็เอาตามเจ้าว่าเถอะ
แต่เป็นไป่หลี่ชิงหลายที่เม้มปากพูดขึ้น “ศิษย์พี่ชูอย่าเพิ่งมั่นใจมากไปเลย หากเย่หยวนได้เข้าวิหารศักดิ์สิทธิ์ไปแล้วเขาคงใช้เวลาไม่นานก้าวข้ามท่านไปได้”
เมื่อชูเวินได้ยินเขาก็ยิ้มออกมาอย่างเยือกเย็น “หึ ศิษย์น้องหญิงคนนี้ช่างประเมินตนไว้สูงจริงๆ! แต่ดูเหมือนว่านิกายเงาจันทร์ของเจ้าจะไม่มีผู้ผ่านเข้ามาได้นับสิบๆ ครั้งแล้วนะ? แล้วเจ้าไปเอาความมั่นใจเช่นนั้นมาจากไหนกัน?”
เพราะเกือบหมื่นปีมานี้นิกายเงาจันทร์นั้นทำผลงานในชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่ได้แย่ลงทุกวี่วัน
ในหมู่นิกายระดับเทพถ่องแท้ทั้งสิบสี่ของมิติอนัตตา มีเพียงห้าเท่านั้นที่จะผ่านเข้าสู่วิหารศักดิ์สิทธิ์ได้ การต่อสู้ที่มีนี้มันจึงแสนดุเดือด
ในหมู่นิกายระดับเทพถ่องแท้ทั้งสิบสี่ นิกายเงาจันทร์นั้นอยู่ในระดับกลางค่อนไปทางล่าง
บางนิกายนั้นพัฒนาขึ้นทุกวี่วัน แต่ละครั้งก็จะมีคนสามารถเข้าวิหารศักดิ์สิทธิ์ได้ร่ำไป
แต่นิกายอย่างนิกายเงาจันทร์นั้นมันย่อมถูกมองข้ามอย่างดูถูก
และชูเวินคนนี้ก็คิดดูถูกนิกายเงาจันทร์อยู่เต็มอก
นิกายเช่นนี้ทุกครั้งที่มาร่วมงานชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่นั้นพวกเขาจะเป็นได้แค่ตัวประกอบให้คนอื่นเขี่ยออกไป
เมื่อไม่มีพลัง มันก็ย่อมไม่มีความนับหน้าถือตา
นี่คือกฎของโลกทุกใบ
เย่หยวนตอบกลับไป “ความมั่นใจของนักยุทธนั้นควรมาจากพลังฝีมือที่แท้จริงมิใช่แค่การมองตัวเองว่าดี หลังจากท่านมาถึงก็เอาแต่พูดว่าเหยียดหยามนิกายเงาจันทร์ ดูท่าในวิหารศักดิ์สิทธิ์ท่านคงถูกคนอื่นหยามเหยียดมามากล่ะสิ?”
คำพูดของเย่หยวนนี้มันทำให้ชูเวินหน้าแดงขึ้นทันทีด้วยความโกรธ
เย่หยวนพูดถูก!
สำหรับคนภายนอกแล้ววิหารศักดิ์สิทธิ์นั้นมันคือแดนศักดิ์สิทธิ์
แค่เข้าวิหารไปได้มันก็เท่ากับเกียรติยศมหาศาล
แต่ความเป็นจริงนั้นโหดร้าย ภายในวิหารนั้นยิ่งมีการแข่งขันที่เข้มข้น สุดท้ายพวกเขาย่อมไม่อาจหนีพ้นจากกฎปลาใหญ่กินปลาเล็ก
การที่ชูเวินเข้าวิหารศักดิ์สิทธิ์มาได้ ความสามารถพรสวรรค์ของเขาย่อมเหนือล้ำผู้คน
แต่ว่าหลังเข้าวิหารศักดิ์สิทธิ์มาแล้ว ทุกคนต่างก็เป็นยอดอัจฉริยะทำให้ความได้เปรียบก่อนๆ ของเขาหายไปจนสิ้น
เจ้ามากพรสวรรค์ แต่คนอื่นๆ เองก็มีพรสวรรค์ไม่ด้อยไปกว่าเจ้า!
ชูเวินได้รับรู้หลังเข้าวิหารมาว่าแม้เขาจะพัฒนาตัวเองได้รวดเร็วแค่ไหน มันก็มีคนที่เร็วกว่าเขาอยู่เสมอ และเป็นคนพวกนั้นที่ได้รับคำชื่นชมจากทางวิหารแทน
ทำให้ชีวิตของเขายิ่งยากลำบากขึ้นทุกวัน
“โอหัง! เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครกันถึงกล้ามาพูดกับข้าเช่นนี้?” ชูเวินร้องออกมาด้วยท่าทางไม่พอใจ
เย่หยวนมองดูชูเวินด้วยสายตาสุดสงสารก่อนจะส่ายหัวพูดขึ้น “ความรู้สึกของท่านนั้นข้าพอเข้าใจได้ เพราะฉะนั้นข้าจะไม่ต่อล้อต่อเถียงกับท่านหรอก”
ตอนนี้ใบหน้าของชูเวินเปลี่ยนจากแดงเป็นดำเพราะเย่หยวนนั้นช่างจี้ใจดำของเขาได้อย่างถูกจุด
แต่ละคำพูดมันเหมือนเข็มนับล้านเล่มพุ่งเข้าแทงจิตใจ
ซู่เหยียนเองก็รู้สึกเหมือนความอัดอั้นได้ถูกระบายออกมา หลายปีมานี้ทุกครั้งที่พวกเขาได้มาร่วมงานชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่นิกายเงาจันทร์นั้นจะถูกเหยียดหยามอยู่เสมอๆ
ไม่ว่าจะเป็นศิษย์ของวิหารหรือศิษย์นิกายอื่น มันแทบไม่มีใครมองนิกายเงาจันทร์อยู่ในสายตา
แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องสงบเสงี่ยมเจียมเนื้อเจียมตัวไป
เมื่อได้เห็นว่าชูเวินถูกว่าจนหน้าหงายเช่นนั้นเขาย่อมพึงพอใจอย่างมาก
แต่ว่าเขาเองก็ต้องตกตะลึงในพลังการสังเกตนี้ของเย่หยวน
ดูท่าแล้วเย่หยวนคงประเมินสภาพของชูเวินได้ถูกต้อง
วิหารนั้นเป็นสถานที่ลึกลับไม่มีทางที่คนภายนอกจะรู้ความเป็นไปภายใน
คนจากโลกภายนอกไม่มีทางได้รู้เลยว่าภายในนั้นมันมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นบ้าง
ต่อให้เป็นเจ้านิกายระดับเทพถ่องแท้ก็มิอาจรู้ได้ว่าในวิหารมันมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นบ้าง
แต่ไม่มีใครคิดสงสัยพลังของวิหาร
นั่นทำให้ศิษย์ของวิหารศักดิ์สิทธิ์นั้นแม้จะเป็นแค่นภาสวรรค์ก็มีท่าทางหยิ่งยโสโอหัง
เมื่อถูกคนเหล่านี้ว่ากล่าวแม้จะเป็นผู้อาวุโสถ่ายทอดอย่างเขาก็ได้แต่ทนฟัง
แต่เย่หยวนนั้นกลับเห็นเรื่องราวทั้งหลายได้ในคราเดียวและตอกกลับไปด้วยคำพูดไม่กี่คำ
“พวกเจ้าหุบปาก! หลานชายชูเป็นศิษย์ของวิหารศักดิ์สิทธิ์เชียวนะ พวกเจ้ามีสิทธิ์ใดไปสั่งสอนเขากัน?” ซู่เหยียนหันมาว่ากล่าว
เพียงแค่ว่าใบหน้านั้นของเขามันไม่มีความโกรธ แถมยังแสดงท่าทางยอมรับออกมาด้วยซ้ำ
เมื่อพวกเย่หยวนเห็นพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นในใจ
พวกเขารู้ดีว่าที่ซู่เหยียนทำแบบนี้ก็เพื่อเปิดทางถอยให้แก่ชูเวิน พวกเขาจึงหุบปากลงตามคำสั่ง
ซู่เหยียนหันหน้ากลับออกมาจากชูเวินทำให้ชูเวินไม่อาจเห็นสีหน้านั้นได้และคิดดีใจที่ซู่เหยียนออกมาช่วยกู้หน้าให้
แต่ว่าเขาก็ยังพูดออกมาต่อ “ไอ้พวกคนโอหัง วิหารนั้นมิใช่ที่ที่พวกเจ้าจะมาส่อปากได้”
เย่หยวนและพวกหันไปมองหน้ากันอย่างพร้อมเพรียง “ขอรับๆ ศิษย์พี่ท่านว่าอย่างไรมันก็คงเป็นเช่นนั้น”
นั่นทำให้ใบหน้าของชูเวินยื่นยาวออกมาจนแทบกลายเป็นหน้าม้า
ตอนที่ 1819 ไหลตามคลื่น
ในน่านน้ำอันกว้างใหญ่นั้นเรือลำน้อยกำลังค่อยๆ ล่องไปด้านหน้า
พื้นที่รอบๆ ผิวน้ำตอนนี้ปกคลุมไปด้วยหมอกหนาจนไม่อาจเห็นได้แม้แต่นิ้วมือของตัวเอง
พลังปิดกั้นอันมหาศาลหลั่งไหลมาจากทุกทิศทางทำให้พวกเย่หยวนต้องตื่นตกใจ
วิหารศักดิ์สิทธิ์กอไผ่นั้นแสนที่จะยิ่งใหญ่ พวกเขามีพลังอำนาจมากถึงขั้นเปลี่ยนผืนทะเลกว้างใหญ่นี้ให้กลายเป็นดินแดนต้องห้ามของตน
เรือนั้นไม่มีใครพาย มันแค่ไหลไปตามทะเลเรื่อยๆ
ตู้ม!
จู่ๆ ก็เรือน้อยก็สั่นสะท้านขึ้นมาจนทำให้หัวเรือส่ายไปมาอย่างไร้ทิศทางและมุ่งหน้าเข้ากลุ่มหมอกที่หนากว่าเดิมไป ตอนนี้ต่อให้หน้าชนกันพวกเขาก็ไม่อาจมองเห็นได้เลยว่าใบหน้านั้นเป็นของใคร
“ทุกคนระวังด้วยตอนนี้เรากำลังเข้าสู่พายุต้องห้าม คลื่นพลังแนวคิดในนี้มันแสนรุนแรงทุกคนจงระวังอย่าให้ตัวเองถูกเข้ากับพลังปิดกั้น ไม่เช่นนั้นหากเจ้าตกลงทะเลสงบวิญญาณไปแล้วมันคงไม่มีใครสามารถช่วยเหลือพวกเจ้าได้!”
คำพูดเตือนของชูเวินจากหัวเรือดังขึ้น
นั่นทำให้ทุกผู้คนใจสั่นขึ้นมาทันทีด้วยความกลัวและพยายามหลบเลี่ยงพลังปิดกั้นอย่างถึงที่สุด
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใดแต่ในที่สุดคนทั้งหลายก็ผ่านพ้นหมอกและกลับมายังทะเลที่เรียบสงบได้
จู่ๆ ไป่หลี่ชิงหยานก็สะดุ้งตัวขึ้น “เย่หยวนล่ะ? เย่หยวนหายไปแล้ว!”
เมื่อทุกคนหันหน้าไปก็พบว่าเย่หยวนที่เดิมทีนั่งอยู่ท้ายเรือนั้นได้หายตัวไปแล้ว
ซู่เหยียนถามขึ้นทันที “ชูเวิน เรื่องเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เรื่องนี้มันหมายความว่าอย่างไรกัน?”
มีหรือที่ซู่เหยียนจะไม่เข้าใจ? ชูเวินนั้นไม่พอใจและนำพาพวกเขาเข้าเส้นทางนี้มาเพื่อผลักให้เย่หยวนตกทะเลไป
ซู่เหยียนนั้นกล่าวถามขึ้นมาโดยลืมตัวเปลี่ยนวิธีพูดไปสิ้นเชิง
เย่หยวนนั้นคือความหวังในชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่นี้ของเขา ซู่เหยียนนั้นประเมินเย่หยวนไว้สูงมาก แต่ตอนนี้ความหวังนั้นกลับร่วงหายไปมีหรือที่ซู่เหยียนจะยังใจเย็นได้?
ตอนที่เย่หยวนเป็นแค่ราชันพระเจ้าเก้าดาวเขากลับต่อสู้กับนภาสวรรค์หนึ่งดาวได้อย่างสูสีจนสุดท้ายกลับได้เปรียบมาด้วย ตอนนี้เมื่อเขาบรรลุอาณาจักรนภาสวรรค์ขึ้นมาได้แล้วพลังฝีมือของเขาย่อมพัฒนาไปอย่างยากที่จะวัดได้
ตอนนี้ซู่เหยียนนั้นมั่นใจว่าเย่หยวนคงไม่มีปัญหาแม้ต้องเจอนภาสวรรค์สองดาว
ส่วนเขาจะทำได้มากกว่านั้นไหม มันเป็นเรื่องที่ยากจะบอกได้
ม้ามืดระดับนี้กลับหายไปก่อนได้ลงมือ แน่นอนว่าซู่เหยียนย่อมต้องโกรธแค้นจนหน้าดำหน้าแดง
ชูเวินหัวเราะอยู่ในใจแต่ก็ยังปั้นหน้าตาซื่อออกมา “ไม่เคยเกิดย่อมไม่ได้หมายความว่าไม่มีทางเกิด ทะเลสงบวิญญาณนั้นเป็นสถานที่แสนอันตรายพลังปิดกั้นหลายครั้งมันมักเปลี่ยนเส้นทาง พลาดไปก้าวเดียวแม้แต่เทพถ่องแท้ก็ไม่แน่ว่าจะรอดกลับมาได้ เมื่อสักครู่นี้มันเป็นแค่การเปลี่ยนแปลงที่เล็กน้อยเราจึงยังรอดออกมาได้อย่างปลอดภัย ผู้อาวุโสซู่ข้าไม่ได้จะว่าหรอกนะ แต่พลังฝีมือของศิษย์ท่านมันอ่อนแอเกินไปไหม? ดูสิว่าคนอื่นๆ ไม่เห็นเป็นไรเลย?”
เขาย่อมคิดทำเช่นนี้ด้วยความจงใจ ทะเลสงบวิญญาณนี้คนนอกไม่รู้จักแต่มีหรือที่ศิษย์วิหารจะไม่รู้
ชูเวินนั้นจงใจอ้อมและเดินทางมาหาคลื่นพลังปิดกั้นเล็กๆ นี้
และจุดที่อันตรายที่สุดก็คือจุดที่เย่หยวนได้ที่นั่ง
เพราะท้ายเรือมันย่อมเป็นตำแหน่งที่ต้องรับพลังของแนวคิดไปมากที่สุด
ดวงตาของไป่หลี่ชิงหยานแดงก่ำขึ้นมาทันที “เจ้าคนชั่วร้ายหน้าไม่อาย! หันเรือกลับเดี๋ยวนี้ ข้าจะกลับไปหาเย่หยวน!”
แต่ชูเวินกลับส่ายหัวออกมา “ไม่เจอแล้วล่ะ ทะเลสงบวิญญาณนี้เปลี่ยนแปลงในทุกวินาที เมื่อตกลงไปย่อมต้องเจอกับพลังปิดกั้นอันมหาศาล มันไม่มีทางที่เขาจะกลับมาได้แล้ว”
ไป่หลี่ชิงหยานตอบกลับมาด้วยท่าทางโกรธแค้น “ข้า… ข้าจะสู้กับเจ้าให้มันรู้แล้วรู้รอดไป!”
ชูเวินบอก “หากเจ้าอยากให้ทุกคนบนนี้ตายตกไปกับเจ้าก็เอาเถอะ ลองดูแล้วกัน!”
ซู่เหยียนดึงแขนของไป่หลี่ชิงหยานไว้พร้อมบอก “อย่าเพิ่งรีบร้อนไป ไปถึงฝั่งแล้วค่อยว่ากัน!”
น้ำตาไหลลงมานองหน้าไป่หลี่ชิงหยานตอนนี้นางมิอาจต้านทานพลังของซู่เหยียนได้และได้แต่ต้องยอมรามือ
แต่สายตาที่นางใช้มองชูเวินนั้นมันช่างเย็นเยือก
ชูเวินยิ้มเยาะอยู่ในใจเพราะท่าทางข่มขู่ของไป่หลี่ชิงหยานนี้มันไม่เป็นพิษเป็นภัยแก่เขาเลย
แม้ว่าไป่หลี่ชิงหยานจะมีฝีมือที่ไม่ธรรมดา แต่จะผ่านชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่ได้หรือไม่นั้นมันยังบอกได้ยาก
ตราบเท่าที่นางไม่ได้เข้าวิหารมา เขาก็ไม่ต้องไปสนใจใดๆ
ไม่นานนักคนทั้งหลายก็มองเห็นผืนดิน
เมื่อเดินขึ้นมาถึงเกาะไป่หลี่ชิงหยานก็ไม่รอช้าพุ่งตัวเจ้าใส่ชูเวินทันที
ชูเวินนั้นราวกับว่าคาดคิดเตรียมรับมือกับมันมานานและแค่ชี้นิ้วกลับออกมา
“ถอยไป!”
ชูเวินร้องบอกส่งคลื่นพลังอันแสนน่ากลัวใส่ร่างไป่หลี่ชิงหยานจนนางนั้นต้องกระเด็นกลับไปไกล
ความแตกต่างระหว่างชูเวินและไป่หลี่ชิงหยานนั้นมันมากเกินไป!
“หึ! ช่างประเมินตัวเองสูงเกินจริง! หากไม่เห็นแก่หน้าผู้อาวุโสซู่ข้าคงสังหารเจ้าทิ้งไปแล้ว!” ชูเวินบอก
ไป่หลี่ชิงหยานหันกลับไปร้องว่าชูเวินทันที “เจ้ารอก่อนเถอะ สักวันข้าต้องแก้แค้นให้เย่หยวนได้อย่างแน่นอน!”
ชูเวินนั้นตอบกลับมาด้วยความถูกดูเปี่ยมใบหน้า “เรื่องนั้นมันขึ้นอยู่กับว่าเจ้าจะชนะชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่ได้หรือไม่! ในสายตาของข้าแล้วความหวังนั้นมันคงริบหรี่นัก”
ซู่เหยียนเองก็พยายามกดเก็บความโกรธแค้นในจิตใจไว้ “ชูเวิน เจ้าทำเกินไป! เรื่องในวันนี้ข้าจะนำไปรายงานต่อท่านทูตให้เขาลงโทษจัดการ”
แต่ชูเวินกลับดูท่าทางไม่คิดสนใจและยิ้มตอบกลับมา “เอาเลย!”
เมื่อเห็นท่าทางนั้นของชูเวินซู่เหยียนก็รู้สึกใจหาย
เพราะอย่างไรเสียเมื่ออยู่ต่อหน้าวิหาร พวกเขาเหล่าเทพถ่องแท้ก็เป็นได้แค่ตัวตนน้อยๆ!
“หืม? พวกเจ้าดูนั่น มีใครอยู่บนทะเลสงบวิญญาณ!” อี้ชิงเซียงบอก
นั่นทำให้ทุกคนหน้าเปลี่ยนสีไปทันที พวกเขาต่างหันไปมองยังจุดที่อี้ชิงเซียงชี้และแน่นอนว่าพวกเขาทั้งหลายกำลังเห็นจุดดำเล็กๆ ลอยมาตามคลื่นและเข้าใกล้ฝั่งมาเรื่อยๆ
แม้ว่าสายตาของพวกเขานั้นจะเหนือมนุษย์แค่ไหน แต่เจ้าทะเลนี้มันก็เปี่ยมไปด้วยเมฆหมอกจนไม่อาจมองเห็นภาพได้อย่างชัดเจน
“หรือว่า… จะเป็นเย่หยวน?” ซู่เหยียนบอก
ชูเวินถอดสีไปด้วยดวงตาที่พยายามหรี่มอง เขาพยายามใช้ทุกอย่างเพื่อเพิ่งมองผ่านหมอกนั้นไป
แต่เงาร่างนั้นมันก็มีอยู่จริง ตอนนี้เงาร่างนั้นกำลังล่องเข้ามาใกล้ฝั่งไปเรื่อยๆ
“เป็น… เป็นไปได้อย่างไร?” ชูเวินบอก
เมื่อไป่หลี่ชิงหยานเห็นเงาร่างนั้นนางก็ตื่นเต้นดีใจขึ้นทันที
“เย่หยวนแน่ๆ! มันต้องเป็นเย่หยวน!” ไป่หลี่ชิงหยานพูดขึ้นด้วยท่าทางดีใจ
เมื่อเงาร่างนั้นเข้าใกล้มาเรื่อยๆ ภาพที่พวกเขาทั้งหลายเห็นมันก็เริ่มชัดขึ้นและชัดขึ้น
จนสุดท้ายพวกเขาก็ได้เห็นว่าเงาร่างนั้นกำลังมายังที่แห่งนี้ด้วยความเร็วปานสายลม
ที่สำคัญคือเขากำลังขี่ยอดคลื่นเข้ามา
“จริงด้วย! เขาไม่ตาย! เขาไม่ตายจริงๆ ด้วย!” ไป่หลี่ชิงหยานร้องออกมาด้วยเสียงขาดๆ ติดๆ
แต่ตอนนี้ไม่มีใครคิดสนใจนางอีกแล้ว
คนทั้งหลายรวมไปถึงซู่เหยียนด้วยต่างมองภาพนั้นอย่างตกตะลึง
“นี่มัน… เป็นไปไม่ได้! นอกจากศิษย์ของวิหารศักดิ์สิทธิ์แล้วไม่มีใครผ่านทะเลสงบวิญญาณเข้ามาได้! แต่ทำไมเขา… ถึงทำได้กัน?”
ชูเวินมองภาพตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อสายตา
เย่หยวนนั้นขี่ยอดคลื่นยักษ์เข้ามาใกล้ด้วยท่าทางสบายๆ ราวกับกำลังเล่นโต้คลื่น
“เจ้าทำไม่ได้ ไม่ได้หมายความว่าเย่หยวนจะทำไม่ได้! ตอนนี้เข้าคงผิดหวังมากล่ะสิ?”
ไป่หลี่ชิงหยานบอกออกมาพร้อมสายตาที่มองเหยียดหยามชูเวินอย่างถึงที่สุด
เมื่อเห็นสีหน้านั้นของชูเวิน นางเองก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมาในหัวใจ
ในหัวของนางนั้นวิหารมันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เปี่ยมไปด้วยความน่าศรัทธา
แต่ตอนนี้เมื่อนางเห็นการกระทำของชูเวิน มันจึงทำให้ความคิดความเชื่อของนางต้องสั่นคลอน
ฟุบ!
เย่หยวนบินร่อนลงมาถึงพื้นดิน
นั่นทำให้ไป่หลี่ชิงหยานอดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมาด้วยความปลื้มใจยินดี
เย่หยวนเองก็ได้แต่มองภาพตรงหน้าอย่างมึนงงไม่แพ้คนอื่น แต่ก็ยังมีสติพอจะเข้าไปตบบ่าปลอบใจไป่หลี่ชิงหยาน “ไม่เป็นไร มันจบแล้ว”
ตอนที่ 1820 จี้ใจดำ
เมื่อเห็นใบหน้าสุดแตกตื่นนั้นของชูเวิน เย่หยวนก็พูดบอกขึ้น “ดูท่าเจ้าจะผิดหวังมากนะ”
คำพูดนั้นทำให้มุมปากของชูเวินกระตุกขึ้นทันที ตอนนี้เขาได้สติกลับมาแล้วและดูท่าจะอึดอัดมากจนได้แต่หัวเราะแห้งๆ ออกมา “ข้าก็บอกแล้วมัน… มันแค่อุบัติเหตุ”
เย่หยวนมองดูใบหน้าของเขาด้วยรอยยิ้ม “เจ้านั้นช่างอ่อนแอ จงใจแล้วมันจะทำไม? ตอนนี้ตาเจ้ามองเลิกลั่กไปทั่วไม่กล้าแม้แต่จะสบตาข้า คนอย่างเจ้ามันไม่มีปัญญาพอจะเป็นตัวร้ายเสียด้วยซ้ำ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเจ้าถึงได้เจ็บอกเจ็บใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นในวิหารนัก”
เย่หยวนนั้นพูดออกมาพร้อมไอเย็นที่บาดขั้วหัวใจ
ชูเวินได้แต่มองดูเย่หยวนอย่างโกรธแค้น พยายามเปลี่ยนความอับอายอึดอัดให้กลายเป็นความโกรธแทน
ชูเวินได้แต่กัดฟันตอบมาด้วยความไม่พอใจ “ไอ้เด็กนรก เจ้ากำลังท้าทายความอดทนของข้า!”
เย่หยวนตอบ “ท้าทายความอดทนเจ้า? เช่นนั้นก็เข้ามาสังหารข้าสิ! อยากฆ่ากันก็เดินเข้ามาท้ากันตรงๆ ด้วยพลังฝีมือของเจ้าข้าย่อมไม่มีทางเทียบเคียง เห็นไหม สุดท้ายก็ไม่กล้าอีกแล้ว เจ้ามันคนไร้ตัวตนในวิหารหากเข้ามาฆ่าสังหารศิษย์นิกายนอกที่เดินทางมาเข้าร่วมงานชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่ทางวิหารคงลงโทษเจ้าไปตามสมควรอย่างไม่มีใครคิดช่วย สุดท้ายมันก็เพราะว่าเจ้านั้นอ่อนแอจนเกินไป!”
“พอแล้ว! หุบปากเดี๋ยวนี้นะ!” ชูเวินตะโกนร้อง
เย่หยวนนั้นพูดจี้ใจดำของเขาอย่างไม่มีหยุดยั้งทำให้ตอนนี้เขาแทบเสียสติ
ซู่เหยียนมองดูสภาพบ้าคลั่งของชูเวินนั้นด้วยความตื่นตกใจไม่น้อย
เย่หยวนทำให้จิตใจของนภาสวรรค์สี่ดาวแทบพังทลายลงด้วยคำพูดแค่ไม่กี่คำ
นี่มันการสังหารอย่างไม่ต้องเสียเลือดโดยแท้!
ด้วยสายตาของซู่เหยียนเขาย่อมมองออกว่าตอนนี้จิตใจของชูเวินกำลังเข้าสู่สภาวะแตกสลาย เรื่องนี้มันอาจจะส่งผลอย่างใหญ่หลวงต่อความเร็วในการบ่มเพาะของเขาในอนาคต
ชูเวินนั้นเดิมทีก็เป็นคนที่อยู่ในวิหารอย่างยากลำบาก หากหลังจากนี้เขายังพัฒนาตัวเองได้ช้าลงอีกชีวิตของเขาคงมีแต่ความมืดมนแล้ว
เย่หยวนส่ายหัวออกมาพร้อมรอยยิ้ม “การเจ้าวิหารนั้นไม่ได้หมายความว่าคนเราจะกลายเป็นเทพสวรรค์ได้ทันที มันเพียงแต่เป็นการเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายกว่าเดิมก็เท่านั้น ต่อให้ข้าไม่พูด เรื่องจุดอ่อนของเจ้ามันก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลง คนเช่นเจ้ามันไม่มีค่าพอมาเป็นศัตรูของข้าหรอก ผู้อาวุโสซู่ เราไปกันเถอะ”
พูดจบเย่หยวนก็เดินไปยังตึกหลังแรกที่เห็นบนเกาะทันที
สถานที่แห่งนี้มันมีแรงปิดกั้นอยู่ในทุกอณูอากาศ ต่อให้เป็นเทพถ่องแท้ก็ไม่อาจจะบินเหินได้ในสภาพเช่นนี้
การที่เย่หยวนสามารถขี่ยอดคลื่นมาบนทะเลสงบวิญญาณได้มันย่อมมิใช่เพราะเย่หยวนสามารถหลุดรอดจากพลังปิดกั้นนี้ไปได้ เพียงแค่ว่าสถานที่ที่ชูเวินดีดเขาลงนั้นมันมีพลังปิดกั้นที่แสนอ่อนแอ
ในสถานที่ที่มีพลังปิดกั้นรุนแรง ชูเวินย่อมไม่กล้าทำอะไรเสี่ยง
ไม่เช่นนั้นมันจะไม่ใช่การกลบฝังเย่หยวน แต่ตัวเขาเองก็จะจมร่วงลงได้พร้อมๆ เย่หยวนด้วย
ระหว่างทางที่นั่งเรือมาเย่หยวนย่อมพอเข้าใจพลังปิดกั้นในทะเลสงบวิญญาณไปแล้ว
บวกกับการมีชูเวินนำทางมาให้ มันไม่แปลกมากนักหรอกที่เย่หยวนจะสามารถเดินทางถึงตัวเกาะได้
กลุ่มคนค่อยๆ เดินเข้ามาในเกาะจนเริ่มเห็นหมู่ตึกปลูกไว้อย่างสวยงามหลายหลัง
“ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก่อไผ่!”
ตอนนี้ที่ด้านหน้าของพวกเขามีตัวอักษรเขียนไว้อยู่ว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก่อไผ่
“ว่ากันว่าที่แห่งนี้คือแค่ส่วนเล็กๆ ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก่อไผ่ เป็นจุดเดียวที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก่อไผ่เปิดต่อสายตาผู้คนและยังเป็นสถานที่จัดชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่อีกด้วย” ซู่เหยียนบอก
เย่หยวนพยักหน้ารับและกำลังคิดเดินเข้าไปด้านในชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่ก่อนจะได้ยินเสียงระเบิดดังสนั่นขึ้นมาจากด้านในเกาะ
ปัง!
ด้านหลังเขามีตึกหลังหนึ่งถูกระเบิดจนลอยปลิวหลังคาหายไปจนสิ้น เป็นภาพที่สุดล้ำจินตนาการ
เรื่องนี้ทำให้ซู่เหยียนหน้าถอดสี “เกิดอะไรขึ้น? หรือว่ามีใครคิดเข้ามาก่อเรื่องในชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่?”
เย่หยวนตอบกลับไป “ไม่หรอก นั่นมันน่าจะเป็นเตาหลอมระเบิด แต่การที่ทำให้เกิดแรงระเบิดขนาดนี้ได้ความสามารถของนักหลอมคนนั้นคงไม่ธรรมดา”
เจียงเชอเหยียนเองก็สงสัยในใจอย่างมากจนอดถามขึ้นมาไม่ได้ “แล้วหากเทียบกับเจ้าล่ะ?”
แต่ตั้งที่เย่หยวนเดินก้าวขึ้นมาถึงอาณาจักรนภาสวรรค์ เจียงเชอเหยียนนั้นก็หยุดคิดที่จะสร้างความลำบากใดๆ ให้แก่เขาอีกต่อไป
นางรู้ว่าการเป็นใหญ่ของเย่หยวนนั้นไร้ซึ่งทางหยุดแล้ว
ชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่ในครั้งนี้เย่หยวนเองก็เป็นความหวังที่มากกว่าไป่หลี่ชิงหยานเสียอีก
ส่วนจะเป็นความหวังได้มากแค่ไหน ตอนนี้ไม่มีใครทราบได้
แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่รู้คือเขาแข็งแกร่ง!
อี้ชิงเซียงเองก็มีความคิดไม่ต่างไปจากเจียงเชอเหยียนมากนัก
เขาย่อมไม่คิดอยากทำตัวเป็นเชียนเย่ที่สอง ต่อต้านเย่หยวนจนสุดท้ายถูกสังหารลงอย่างไร้ทางหนี
เย่หยวนหันไปมองเจียงเชอเหยียนด้วยรอยยิ้ม “ข้านั้นไม่เคยทำเตาหลอมของตนระเบิดมาก่อน แน่นอนว่าหากข้าคิดอยากทำจริงๆ มันก็คงแรงกว่านี้นับร้อยเท่า”
ทุกผู้คนเบิกตากว้างออกมาทันทีเมื่อได้ยิน รวมไปถึงซู่เหยียนด้วย
พวกเขาทั้งหลายนั้นไม่เคยเห็นสภาพของเย่หยวนตอนหลอมโอสถ แต่โอสถที่เขามอบให้ไป่หลี่ชิงหยานนั้นมันก็มากพอจะพิสูจน์ว่าเขามีฝีมือไม่น้อย
แต่การบอกว่าแรงกว่านับร้อยเท่าจากแรงระเบิดเมื่อสักครู่นี้ มันยังดูเหลือเชื่อเกินไปหน่อย
เพราะอย่างไรเสียห้องหลอมโอสถทุกแห่งมันก็จะถูกสร้างขึ้นพร้อมค่ายกลป้องกัน การที่สามารถระเบิดค่ายกลนั้นทิ้งได้มันย่อมต้องเป็นพลังที่มหาศาล
แต่หนึ่งร้อยเท่าจากแรงระเบิดนี้ มันจะรุนแรงแค่ไหน?
“ชิ! ไอ้คนอวดดี เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร? ร้อยเท่าจากแรงระเบิดเมื่อสักครู่นี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่ามันหมายความว่าอย่างไร?”
เมื่อชูเวินได้ยินเขาก็อดไม่ได้ที่จะพูดแทรกขัดขึ้นมา
แต่เย่หยวนนั้นเหมือนไม่ได้ยินใดๆ และเตรียมก้าวเท้าเดินเข้าไปต่อ
ระหว่างทางชูเวินพอที่จะสงบสติอารมณ์ตัวเองลงได้ แต่ท่าทางนี้ของเย่หยวนมันกลับทำให้ไฟมารในจิตใจของเขาลุกโชนอีกครั้ง
“นี่ ข้าพูดกับเจ้าอยู่ หูหนวกเรอะ?” ชูเวินร้องตะโกน
เย่หยวนหันไปบอก “เจ้าพูดกับข้า? ข้าได้ยินแต่เสียงหมาเห่า”
นั่นทำให้ใบหน้าของชูเวินแดงจัดขึ้นและกำลังจะพูดตอบกลับมา แต่เย่หยวนกลับพูดต่อขึ้นก่อน “ข้าก็เคยบอกแล้ว หากเจ้าไม่กล้าสังหารข้าก็หุบปากไป อย่าได้หาเรื่องใส่ตัวอีกเลย!”
ดวงตาของชูเวินนั้นเปี่ยมไปด้วยไฟแค้น เขากัดฟันพูดบอก “ไอ้เด็กนรก มารอดูกันเถอะ! สักวันเจ้าจะต้องเสียใจ!”
เย่หยวนหุบปากลงด้วยสีหน้าสุดเหนื่อยหน่ายอย่างถึงที่สุด
สุดท้ายด้วยการนำทางของชูเวิน ในที่สุดกลุ่มนิกายเงาจันทร์ก็มาถึงยังบ้านที่ตั้งอยู่ริมสุดดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก่อไผ่
“นี่คือที่อยู่ของพวกเจ้า!” ชูเวินบอก
ซู่เหยียนทำหน้าไม่พอใจออกมาทันที “ชูเวิน เจ้าจะเกินไปแล้วนะ! หากข้าจำไม่ผิดที่แห่งนี้คือโรงฟืนใช่ไหม?”
ชูเวินยิ้มออกมา “นิกายตัวประกอบอย่างพวกเจ้านั้นยังจะอยากได้การดูแลดีๆ อีก? ข้าว่าพวกเจ้าคงไม่ได้อยู่นานนักหรอก เดี๋ยวก็ได้กลับบ้านกันหมดแล้ว”
ฝั่งนิกายเงาจันทร์ทุกคนนั้นขุ่นเคืองอยู่เต็มอก เจ้าหมอนี่มันใช้หน้าที่ของตัวเพื่อล้างแค้นส่วนตน
แต่เย่หยวนกลับไม่คิดสนใจ “โรงฟืนสินะ นักยุทธมีโลกเป็นบ้านพัก เราจะมาสนใจเรื่องที่สถานที่ทำไม?”
ซู่เหยียนหรี่ตาลงทันทีด้วยความตื่นตกใจในคำพูดของเย่หยวน
เด็กคนนี้ช่างมากพรสวรรค์แต่กลับไม่คิดสนใจเวลามีใครชื่นชมหรือเย้ยหยัน
การที่สามารถพูดคำเหล่านี้ออกมาได้มันย่อมหมายความว่าเขามองโลกเห็นในมุมกว้าง จิตใจของเขานั้นหนักแน่นและสูงส่งอย่างที่ไม่มีใครจินตนาการได้
แม้แต่ตัวซู่เหยียนยังยอมรับว่าใจตัวเองไม่กว้างขนาดนี้
คำพูดของเย่หยวนมันทำให้ชูเวินหน้าดำหน้าแดงขึ้นมาอีก
เพราะเดิมทีเขาคิดจะใช้โอกาสนี้ระบายความอัดอั้นที่มี ใครจะไปคิดว่าเย่หยวนกลับรับมันไปด้วยหน้าระรื่น
ฟุบ!
จู่ๆ ก็มีอะไรบางอย่างสีชมพูอ่อนพุ่งเป็นลำแสงเข้ามายังอ้อมอกของเย่หยวน
แม้แต่ตัวเย่หยวนก็ยังมึนงงว่ามันคืออะไรกันแน่
“หมูสมบัติ เจ้าไปไหนแล้ว หมูสมบัติ?” ไม่นานก็มีเสียงใสๆ ลอยตามมา
ตอนที่ 1821 หมูสมบัติแสนสุข
เย่หยวนก้มหน้าลงมองเจ้าหมูบนอ้อมอกของตัว ตอนนี้เจ้าหมูมันกำลังกอดรัดเสื้อผ้าของเขาไว้อย่างแนบแน่น
จากนั้นก็มีเด็กน้อยอายุราวห้าถึงหกขวบกำลังเดินเตาะแตะเข้ามาหาเย่หยวน
เด็กน้อยคนนั้นยื่นมือออกมาหาเย่หยวน “คืนหมูสมบัติมา!”
เย่หยวนเองก็ผงะไปไม่น้อย ก่อนจะค่อยๆ หยิบยกตัวเจ้าหมูสีชมพูคืนให้แก่เด็กน้อย
เด็กคนนั้นหัวเราะและยื่นมือออกมารับหมูสมบัติไว้ เมื่อหมูไปอยู่ในมือของเด็กน้อยมันกลับดิ้นรนอย่างแรงและหลุดตัวออกมาพุ่งใส่อ้อมแอของเย่หยวนอีกครั้ง
นั่นทำให้เด็กน้อยคนนั้นตะโกนร้องออกมาอย่างโกรธเคือง “หมูสมบัติ เจ้าเข้าวัยต่อต้านแล้ว?”
“อู๊ดๆ!”
เจ้าหมูน้อยร้องขึ้นในอ้อมอกของเย่หยวนและไม่คิดที่จะยอมปล่อย
เย่หยวนเองก็มึนงงไม่แพ้คนอื่นๆ ไม่เข้าใจเช่นกันว่ามันกำลังเกิดอะไรขึ้น
เด็กคนนั้นได้แต่ร้องขึ้นมาด้วยท่าทางแสนไม่พอใจ “เจ้าทำอะไรของเจ้า? แค่เด็กน้อยอาณาจักรนภาสวรรค์หนึ่งดาวเจ้ากลับไปชอบมันมาก? เจ้ากินโอสถเยอะเกินไปจนสมองเพี้ยนแล้วรึ?”
เด็กคนนั้นไม่คิดจะอธิบายใดๆ และพุ่งตัวเข้ามาจับเจ้าหมูสมบัติไว้
แต่เจ้าหมูสมบัติกลับกอดเย่หยวนไว้แน่นอย่างไม่มีทีท่าจะยอมปล่อย
เย่หยวนนึกอะไรบางอย่างออกราวกับว่าเริ่มเข้าใจสภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าแล้วจึงบอก “เจ้าปล่อยก่อน ข้าจัดการให้เอง”
แต่เด็กน้อยคนนั้นกลับไม่คิดปล่อยแม้แต่น้อยและตอบสวนกลับมาอย่างไม่พอใจ “ไอ้เด็กคนนี้เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหน? ขืนพูดมากน่ารำคาญอีกปู่ตงจะสังหารเข้าทิ้งแล้ว! รีบๆ คืนหมูสมบัติมาให้ข้า!”
เย่หยวนนั้นผงะไปไม่น้อย เด็กคนนี้พูดยังไม่ทันชัดคำแต่กลับวางท่าราวกับเป็นผู้อาวุโส เป็นความรู้สึกที่แสนแปลกประหลาดที่เด็กธรรมดาๆ ไม่มีวันมีได้
แต่ท่าทางโอหังของเด็กคนนี้มันทำให้เย่หยวนไม่พอใจอย่างมาก
เขาขมวดคิ้วแน่นและบอกตอบไป “เจ้าจะปล่อยไหม?”
เด็กคนนั้นเงยหน้าขึ้นมาตอบ “ไม่ปล่อย อย่างเจ้าจะทำอะไรข้าได้?”
เย่หยวนหัวเราะร่าและยื่นมือออกไปจับคว้าแขนของเด็กคนนั้นไว้
แต่เด็กคนนั้นกลับหัวเราะตอบและเปลี่ยนร่างตัวเองให้ดูเบลอขึ้น
การคว้าจับนี้ของเย่หยวนกลับไม่ถูกโดนอะไรทั้งสิ้น!
เย่หยวนหรี่ตาลงทันทีด้วยความตื่นตกใจ “แนวคิดแห่งห้วงมิติ!”
เด็กคนนั้นแสดงสีหน้าสุดพึงพอใจออกมา “แค่นภาสวรรค์หนึ่งดาวกลับกล้าคิดว่าตัวเองเป็นคนใหญ่คนโต!”
เด็กคนนี้มีการปกปิดพลังที่เยี่ยมยอด แม้จะมองดูจากระยะนี้เย่หยวนก็ยังไม่อาจมองพลังที่แท้จริงของเด็กคนนี้ออกได้
แต่การได้เห็นแนวคิดแห่งห้วงมิติแบบนี้ เย่หยวนเพิ่งจะเคยได้เห็นคนอื่นใช้มันได้นอกจากตัวเขาเองและเล่งหยู
ที่สำคัญแนวคิดแห่งห้วงมิติของเด็กคนนี้มันไม่ได้อ่อนแอเลยด้วย
ระหว่างที่เด็กคนนั้นกำลังทำท่าทางได้ใจอยู่เย่หยวนก็ยิ้มออกมาอย่างเย็นเยือกก่อนจะคว้ามือออกไปจับอีกครั้ง
เด็กคนนั้นหัวเราะออกมา “ไม่มีประโยชน์ พลังความสามารถของเจ้ามันไม่เพียงพอจะยกรองเท้าปู่ตงคนนี้เสียด้วยซ้ำ!”
ครั้งนี้เด็กน้อยก็ยังคิดจะหลบการคว้าจับของเย่หยวนด้วยแนวคิดแห่งห้วงมิติ
แต่น่าเสียดายที่การคว้าจับของเย่หยวนนั้นมันกลับพุ่งเข้ามาได้
ภายในมิตินี้ เย่หยวนกลับคว้าจับแขนของเด็กน้อยไว้ได้
เด็กคนนั้นหน้าซีดเผือดลงทันที “เจ้าเองก็รู้แนวคิดแห่งห้วงมิติ!”
เย่หยวนยิ้มออกมา “เจ้าคงไม่คิดว่าโลกใบนี้มีแค่เจ้าที่รู้มันหรอกใช่ไหม? ข้าไม่รู้หรอกนะว่าเป็นลูกหลานบ้านไหนแต่ช่างซุกซนเหลือเกิน! วันนี้ข้าจะช่วยผู้ใหญ่ในตระกูลของเจ้าทำการสั่งสอนให้เอง!”
พูดจบเย่หยวนก็ไม่คิดจะอธิบายใดๆ และจับตัวเด็กน้อยมาพาดตักไว้ปล่อยลงมือฟาดตีก้น
เด็กน้อยนั้นมีหนังหนาเนื้อบาง มีหรือที่จะรับฝ่ามือเหล็กของเย่หยวนไว้ได้?
แค่ตีไม่กี่ครั้งเด็กคนนั้นก็ร้องไห้ออกมา
“แง! แง! ปล่อยข้า! เจ้าเด็กนรกข้าจะสังหารเจ้า! ข้าจะสังหารเจ้า!”
ที่ด้านข้างชูเวินได้แต่มองภาพนี้ด้วยรอยยิ้ม
“หึๆ ความชั่วร้ายที่คนเราหามันเข้าตัวเองนั้นมันย่อมยากที่จะหลบเลี่ยงได้!”
ซู่เหยียนขมวดคิ้วทันที “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
ชูเวินยิ้มเยาะออกมา “ช่วงนี้เด็กคนนั้นมันติดตามผู้อาวุโสตู้หรูเฟิงไปไหนมาไหนตลอด ผู้อาวุโสตู้หรูเฟิงเองก็เชื่อฟังและตามใจมันเสมอ สายสัมพันธ์ของทั้งสองคงไม่ธรรมดาแน่ แต่ตอนนี้เจ้าเด็กนั่นไปตีคนของผู้อาวุโสตู้หรูเฟิงเสียแล้ว พวกท่านคิดว่าผลที่ตามมามันจะเป็นอย่างไรเล่า?”
เมื่อคำพูดถูกกล่าว ซู่เหยียนก็หน้าถอดสีทันที
ไป่หลี่ชิงหลานที่มองดูภาพตรงหน้าด้วยรอยยิ้มมาตลอดเมื่อได้ยินคำของชูเวินนางก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้น “ผู้อาวุโสซู่ ผู้อาวุโสตู้หรูเฟิงคือใครกัน?”
ซู่เหยียนตอบกลับมาทั้งใบหน้าซีดๆ นั้น “กว่าสามแสนปีก่อนเขาคือยอดอัจฉริยะด้านการหลอมโอสถแห่งมิติอนัตตากอไผ่! ชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่ครั้งนั้นเขาเข้าวิหารมาได้ด้วยอันดับหนึ่ง ตอนนี้เขาจึงได้กลายเป็นผู้อาวุโสระดับเทพถ่องแท้แล้ว”
นั่นทำให้ไป่หลี่ชิงหยานหน้าถอดสีตามๆ ไป ผู้อาวุโสของวิหาร แถมยังเป็นนักหลอมโอสถ นี่มันคือการท้าทายสุดยอดตัวตนผู้ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง
ชูเวินนั้นเป็นแค่ตัวตนน้อยๆ แสนกระจอกในวิหาร
แต่จอมเทพโอสถหกดาวนั้นมันเป็นตัวตนที่แสนยิ่งใหญ่
นางจึงรีบจะโกนร้องทันที “เย่หยวนหยุดตีได้แล้ว!”
เย่หยวนไม่คิดที่จะฟังและยังคงฟาดก้นเด็กน้อยไปเรื่อย
ตอนนั้นเองก็มีเงาร่างหนึ่งพุ่งตัวลงมาราวสายฟ้า
ชายชราที่เพิ่งมาถึงคนนี้หันมองเย่หยวนด้วยท่าทางแสนโกรธแค้น “ไอ้เด็กคนนี้มันมาจากไหนถึงกล้ามา… มาตีตงน้อย!”
“โอ้ย! เจ็บ! ก้นข้า! ตู้หรูเฟิงรีบช่วยข้าหน่อย!” ตงน้อยร้องบอก
เพราะฝ่ามือของเย่หยวนนั้นมันแสนหนักหน่วงทำให้เด็กคนนี้เจ็บร้อนก้นไปหมด
เย่หยวนหันไปมองตู้หรูเฟิงและกล่าว “นี่เด็กบ้านท่านหรือ?”
ตู้หรูเฟิงนั้นผงะไปเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าบอก “ใช่แล้ว!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเย่หยวนจึงหยุดมือลงและโยนร่างของตงน้อยคืนให้แก่ตู้หรูเฟิง “เด็กในการดูแลของท่าน ท่านต้องสั่งสอนมันให้ดี ทำตัวกร่างราวตัวเองเป็นผู้อาวุโสเช่นนี้ พูดจาคำหนึ่งก็คิดจะสังหารผู้คน เด็กคนนี้มันมีพรสวรรค์มากท่านอย่าให้มันต้องกลายเป็นสิ่งชั่วร้ายเลย”
ตู้หรูเฟิงนั้นมีสีหน้าแปลกๆ ก่อนจะรีบยื่นมือออกมารับร่างของตงน้อยไว้
ตงน้อยนั้นร้องไห้จนน้ำตานองหน้าด้วยท่าทางแสนเจ็บปวด
“ตู้… ปู่ตู้ ช่วยดูแผลให้ข้าหน่อย ตอนนี้ข้ารู้สึกเหมือนก้นข้าหายไปแล้ว ฮือๆ”
พูดไปตงน้อยก็ยกก้นขึ้นมาด้วยท่าทางแสนน่ารักน่าชัง
ตู้หรูเฟิงทำหน้าดำคร่ำเครียด เขาค่อยๆ ดึงกางเกงของตงน้อยลงก่อนจะพบว่าก้นของเด็กน้อยนั้นแดงอย่างมาก
เขากัดฟันแน่น “ไอ้เด็กคนนี้เจ้าช่างลงมืออย่างหนักหน่วงแท้! ดูท่าจะอยากตายเสียจริงๆ!”
ตู้หรูเฟิงเงยหน้าขึ้นมาด้วยคลื่นพลังของเทพถ่องแท้ ทำให้ใบหน้าของทุกคนที่อยู่ตรงนั้นของซีดเผือดลง
แต่เมื่อตู้หรูเฟิงหันมามองเย่หยวนอีกครั้งเขากลับพบว่าตอนนี้เย่หยวนกำลังย่อตัวลงและมีเจ้าหมูสมบัติกำลังดิ้นไปมาด้วยท่าทางแสนสุขอยู่ตรงหน้า
“อู๊ดๆ”
เจ้าหมูร้องออกมาด้วยท่าทางแสนสุขทำให้ตู้หรูเฟิงถึงกับผงะไป คลื่นพลังรุนแรงที่เคยปล่อยออกมาถึงกับหายไปในอากาศ
ตู้หรูเฟิงมองดูที่ตงน้อยอย่างตื่นตกใจก่อนจะถามออกมา “ตงน้อย นี่มัน…”
ตงน้อยนั้นหยุดร้องไห้ไปนานแล้ว ตอนนี้ดวงตาของเขามองดูเย่หยวนด้วยความตื่นตะลึง
เมื่อได้ยินเสียงถามของตู้หรูเฟิงเขาก็เงยหน้าขึ้นบอก “หมูสมบัติมันไม่เคยจะร้องด้วยท่าทางแสนสุขเช่นนี้มาก่อนเลย! ไอ้เด็กคนนี้มันทำได้อย่างไร?”
“ครืดๆ!”
เจ้าหมูสมบัติตัวน้อยร้องออกมาด้วยท่าทางแสนสุข เมื่อมันกินโอสถในมือของเย่หยวนจนสิ้นแล้วมันก็ทิ้งตัวลงกับพื้นนอนหลับอย่างสบายใจในทันที
เย่หยวนจึงหยิบตัวของเจ้าหมูสมบัติที่นอนอยู่และส่งมันคืนให้ตงน้อย “เด็กน้อยเจ้าอย่าได้ร้องบอกจะสังหารผู้คนทุกคำพูดอีก เจ้าหมูตัวนี้มันเพียงแค่หิว แค่ให้อาหารมันกินเจ้าทำไม่เป็นหรือ?”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น