Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1812-1817

 ตอนที่ 1812 ห้าเสียงกลอง

 

บนท้องฟ้าสูงนั้นมีกลองเจ็ดลูกกำลังตั้งตระหง่านลอยอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าเหนือเมฆจนแทบมองไม่ออก


เมฆเหล่านั้นเชื่อมต่อระหว่างกลองทั้งหมดทำให้เกิดเป็นภาพเหมือนกระบวยอันใหญ่ ซึ่งมันคือรูปร่างของดาวฤกษ์ในกลุ่มดาวหมีใหญ่นั้นเอง


กลองใหญ่ทั้งเจ็ดนี้รวมผสานเข้าด้วยกันพร้อมปล่อยคลื่นพลังที่ทำให้เย่หยวนต้องสั่นสะท้าน


ยอดกลองจรัสที่พวกเขาทั้งหลายได้ตีตอนเข้านิกายมานั้นมันเทียบกับเจ้ากลองชุดใหญ่ที่อยู่ตรงหน้านี้ไม่ได้เลย


เย่หยวนรู้ได้ทันทีว่าหากคนใช้มีพลังพอพวกเขาคงสามารถปล่อยคลื่นเสียงที่ทำลายล้างโลกาออกมาได้อย่างแน่นอน


และนี่มันยังเป็นครั้งแรกด้วยที่เย่หยวนได้พบเจอกับสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์ประเภทเน้นการโจมตี พลังของเจ้ากลองเจ็ดดาวหมีใหญ่ที่ปล่อยออกมานี้มันทำให้เอาหวั่นใจไม่น้อย


เพราะไม่ว่าจะเป็นศิลาจารึกบัลลังก์พิภพหรือไข่มุกสยบวิญญาณ พวกมันต่างเป็นสมบัติที่อ่อนโยนแต่เจ้ากลองเจ็ดดาวหมีใหญ่นี้มันกลับเปี่ยมไปด้วยคลื่นพลังอันแสนรุนแรงทำให้ผู้คนที่มองเห็นมันต้องรู้สึกกังวลกลัว


“กลัวตายแล้วล่ะสิ? แต่ว่าตอนนี้หุบเขาเจ็ดดารามันก็ได้เปิดออกแล้ว จะมาเสียใจตอนนี้มันก็ไม่ทันแล้วล่ะนะ” ยอดผู้อาวุโสถ่ายทอดแห่งยอดเสาสวรรค์บอกขึ้น


เย่หยวนหันหน้ากลับไปตอบทันที “ในชีวิตข้าไม่เคยมีคำว่าเสียใจภายหลัง”


เย่หยวนกระโดดขึ้นไปหากลองเจ็ดดาวหมีใหญ่ในทันที


เมื่อมาถึงตรงหน้ามันเย่หยวนก็รู้สึกราวกับว่าได้เดินเข้ามากลางพายุแห่งแนวคิด พลังแนวคิดหลากหลายกำลังเข้าโจมตีเขาจากทุกทิศทาง


ในวินาทีนั้นเย่หยวนรู้สึกเหมือนกำลังยืนต้านแรงพายุจนไม่อาจวางเท้าลงได้อย่างมั่นคง


“ฮ่าๆ ไอ้เด็กคนนี้มันไม่รู้เรื่องอะไรและคิดจะมาท้าทายกลองเจ็ดดาวหมีใหญ่! เฉียวฟู ข้าว่าวันนี้เจ้าคงเสียหน้าครั้งใหญ่แล้ว!” ผู้อาวุโสคนหนึ่งหัวเราะลั่นออกมาเมื่อเห็นสภาพแสนทุลักทุเลของเย่หยวน


เฉียวฟูแค่หัวเราะออกมาอย่างไม่คิดจะตอบโต้


หากเย่หยวนอยู่ในสภาพเช่นนี้ต่อไปมันคงเป็นการยากที่จะตีกลองได้ เขาจึงรู้สึกกังวลใจขึ้นมาไม่น้อย


แต่เวลานั้นเองคลื่นพลังอันน่าพิศวงก็ค่อยๆ ไหลออกมาจากตัวเย่หยวน


เมื่อคลื่นพลังนี้ถูกปล่อยออกมา เหล่าคลื่นแนวคิดที่แสนรุนแรงนั้นก็เหมือนจะสงบลงทันที ร่างของเย่หยวนสามารถกลับมายืนตั้งมั่นได้อีกครั้ง


เมื่อเหล่าผู้อาวุโสเห็นภาพนี้พวกเขาต่างแสดงสีหน้าตื่นตะลึงออกมาตามๆ กัน


ไม่ว่าคนเราจะมีพรสวรรค์มากมายแค่ไหน หากไม่มีกำลังมันก็ไร้ประโยชน์


อย่างเช่นว่านักยุทธอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าคนหนึ่งมีพรสวรรค์มากมายถึงขั้นที่อาจบรรลุอาณาจักรเทพถ่องแท้ได้ในวันหน้า


แต่หากไม่มีกำลังแล้วเมื่อต้องมาอยู่ต่อหน้ากลองเจ็ดดาวหมีใหญ่พวกเขาก็ย่อมต้องพบอันตรายใหญ่หลวง


เหล่าผู้อาวุโสถ่ายทอดทั้งหลายนี้ต่างเคยได้ลองตีกลองเจ็ดดาวหมีใหญ่มาทั้งสิ้นและรับรู้ถึงพลังที่แท้จริงของมัน


พวกเขาย่อมไม่มีทางคาดคิดว่าเย่หยวนจะสามารถปรับตัวได้รวดเร็วปานนี้


แต่ว่าการกระทำต่อมาของเย่หยวนมันกลับยิ่งทำให้พวกเขาหน้าซีดเผือดลงด้วยความตื่นกลัว


เพราะตอนนี้นิ้วของเย่หยวนกำลังชี้เป็นดาบพุ่งตรงเข้าใส่ยอดกลองจรัส


ตึง!


เสียงยอดกลองจรัสดังขึ้นมาอย่างแจ่มชัด!


เสียงกลองนี้มันสะท้านฟ้าดินส่งผ่านไปทั้งหุบเขาเจ็ดดาราในพริบตา


แต่ว่าเย่หยวนไม่ได้หยุดแค่นั้น เขาชี้นิ้วออกมาอีกครั้ง


ตึง!


กลองเบิกตะวันดังขึ้นตาม!


ตึง!


เย่หยวนชี้นิ้วออกไปเป็นครั้งที่สามและทำให้กลองชั่งหยกเกิดเสียง!


กลองสามตัวนี้ถูกตีในคราเดียวทำให้เหล่าผู้อาวุโสถ่ายทอดทั้งหลายต้องหน้าถอดสี


“ไอ้เด็กคนนี้มันทำได้อย่างไรกัน? ต่อให้เป็นข้าก็คงไม่มีทางทำได้ง่ายดายเช่นที่มันทำแน่!”


“ก่อนนั้นเฒ่าคนนี้เองก็เคยทำได้สามครั้ง แต่ข้านั้นทำได้อย่างยากลำบากหลังต้องล้มเหลวไปหลายต่อหลายครั้ง เจ้าเด็กคนนี้มันทำได้ตั้งแต่ครั้งแรกได้อย่างไรกัน?”


เมื่อเฉียวฟูเห็นใบหน้านั้นของผู้อาวุโสคนอื่นๆ เขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะลั่นออกมา “เฒ่าคนนี้บอกพวกเจ้าแล้วว่าเขาต่างจากคนอื่นๆ! ว่าอย่างไรล่ะ? ตกใจมากไหม? ฮ่าๆๆ…”


เฉียวฟูนั้นเป็นฝ่ายถูกกดดันมาตลอดและไม่ค่อยจะสนิทกับผู้อาวุโสถ่ายทอดคนอื่นๆ นัก


ตอนนี้เมื่อเห็นพวกเขาทำหน้าตาเช่นนั้นออกมาเขาจึงรู้สึกยินดีอย่างมาก


แต่ตอนนั้นเองเย่หยวนก็เริ่มหันไปตีกลองลูกที่สี่!


แต่ครั้งนี้เขาไม่สำเร็จ


ตอนนี้ปากของเขากระอักเลือดออกมาคำโตพร้อมร่วงลอยลงมาจากบนท้องฟ้า เย่หยวนบาดเจ็บเพราะแรงสะท้อนจากกลองอำนาจสวรรค์


หน้าของเฉียวฟูถอดสีทันทีเขารีบปล่อยพลังโลกของตนออกมารับร่างเย่หยวนไว้


เมื่อเหล่าผู้อาวุโสคนอื่นเห็นภาพนี้พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจยาวออกมา


เพราะท่าทางอันแสนสุดยอดของเย่หยวนนี้ทำให้พวกเขากลัวขึ้นมาจับใจ


เหตุผลนั้นก็คือเย่หยวนสามารถตีกลองได้อย่างสบายๆ ราวกับว่ามันเป็นแค่ของเล่น


ในวินาทีก่อนหน้านี้พวกเขาคิดไปถึงขั้นว่าเย่หยวนจะสามารถตีกลองทั้งเจ็ดได้ในคราเดียวจริงๆ


จนได้เห็นว่าเย่หยวนนั้นร่วงลงมาพร้อมอาการบาดเจ็บพวกเขาทั้งหลายถึงได้รู้ว่ากลองนี้ก็ไม่ได้ง่ายนักสำหรับเย่หยวน


แม้ว่าเหล่าผู้อาวุโสถ่ายทอดนี้จะเป็นตัวตนที่อยู่เหนือผู้คนอย่างสูงส่งมีกำลังมากมายกว่าเย่หยวนไม่รู้กี่เท่าแต่พวกเขาก็ไม่อาจหลุดพ้นจากความรู้สึกทั้งเจ็ดและความต้องการทั้งหกได้


พวกเขาเองต่างก็เคยเป็นยอดอัจฉริยะที่ตอนนี้เติบโตมาเป็นยอดคน


เมื่อไม่เคยมีใครตีกลองเจ็ดดาวหมีใหญ่นี้ได้มาก่อน พวกเขาจึงต่างวางใจได้อย่างสบายตัว


แต่ตอนนี้กลับมีคนที่คิดอยากทำลายความสงบนี้และขึ้นมาเหยียบเหนือหัวพวกเขา เรื่องนี้ลึกๆ ในใจแล้วมันจึงไม่มีใครอยากยอมรับ


เฉียวฟูถามขึ้น “เจ้าไหวไหมเย่หยวน?”


เย่หยวนส่ายหัวตอบ “ดูเหมือนข้าจะประมาทกลองเจ็ดดาวหมีใหญ่ไปหน่อย! หึๆ สมชื่อสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์จริงๆ แข็งแกร่ง!”


เย่หยวนรับรู้ได้ว่ากลองเจ็ดดาวหมีใหญ่นั้นมิได้เป็นกลองแยกชิ้นกันเจ็ดลูก แต่พวกมันล้วนแล้วแต่ส่งคลื่นพลังไปต่อๆ กันยังลูกต่อไป


เมื่อเย่หยวนตีกลองเบิกตะวัน เขาก็รู้สึกได้ว่าคลื่นพลังยอดเต๋าที่ออกมาจากมันนั้นเหนือล้ำกว่าเก่านับสิบเท่า!


ส่วนกลองชั่งหยกนั่นมันยิ่งมีคลื่นพลังยอดเต๋าที่เหนือล้ำกว่ากลองเบิกตะวันไปอีกนับสิบเท่า


หมายความว่าตอนที่เย่หยวนตีกลองชั่งหยกนั้นมันส่งคลื่นสะท้อนกลับออกมาเหนือล้ำกว่ายอดกลองจรัสไปนับร้อยเท่า!


หมายความว่ากลองอำนาจสวรรค์นั้นมันคือพันเท่า!


ที่สำคัญพลังของกลองอำนาจสวรรค์นี้มันยังเหนือล้ำกว่ากลองอื่นมาก


มันเป็นพลังที่แสนน่ากลัวจนคนธรรมดาไม่มีทางต้านทานมันได้เลย


เฉียวฟูบอก “ดูเหมือนเจ้าจะรับรู้ได้แล้วสินะ กลองเจ็ดดาวหมีใหญ่นั้นเป็นหนึ่ง ยิ่งเจ้าตีมันก็จะยิ่งสะท้อนกลับมามากเท่านั้น เมื่อไปถึงกลองแก่นสวรรค์แล้วพลังที่สะท้อนกลับมามันคงมากกว่าที่ใครๆ จะสามารถจินตนาการได้ เย่หยวนเจ้าอย่าได้ฝืนตัวเองไปอีกเลย ตอนนี้เจ้าได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าเจ้าเก่งกาจแค่ไหน ต่อให้เจ้าจะถอนตัวตอนนี้มันก็คงไม่มีใครกล้าว่ากล่าวเจ้าแล้ว!”


เขานั้นเชื่อมั่นในตัวเย่หยวนมาก แต่ก็ไม่ได้เชื่อถึงขั้นที่ว่าเย่หยวนจะสามารถตีกลองเจ็ดดาวหมีใหญ่ได้ครบ


เรื่องเช่นนี้มันเหนือล้ำกว่าที่กำลังของมนุษย์จะเอื้อมถึง


บางทีวันหน้าเย่หยวนอาจจะทำได้จริง แต่ตอนนี้มันคงไม่มีทาง


เย่หยวนลุกขึ้นพร้อมส่ายหัวออกมา “ไม่ว่ากลองนี้มันจะตียากแค่ไหน วันนี้ข้าก็จะตีมันให้ได้!”


พูดจบเขาก็กระโดดขึ้นท้องฟ้าไปอีกครั้ง


หลังเตรียมตัวอยู่พักหนึ่งในที่สุดเย่หยวนก็เริ่มลงมือ!


ตึง!


ตึง!


ตึง!


หลังจากเสียงกลองสามครั้งร่างของเย่หยวนก็ร่วงลงมาอีก


แต่เขานั้นไม่ได้ยอมแพ้ หลังจากปรับคิดอยู่นิดหน่อยก็กลับขึ้นไปท้าทายมันอีกครั้ง!


พลาด ลองใหม่ พลาดอีก และลองใหม่วนซ้ำไปเรื่อย


ความหัวรั้นของเย่หยวนนี้ไม่ได้ทำให้ผู้อาวุโสปลื้มใจเลย


กลับกันมันยิ่งทำให้พวกเขาดูถูกความสามารถในการประเมินตัวเองของเย่หยวนยิ่งขึ้น


“ไอ้เด็กคนนี้มันร่างกายแข็งแรงจริงๆ หากเป็นคนอื่นคงได้ตายไปหลายรอบแล้ว”


“หึ เรื่องบางอย่างแค่พยายามมันก็ไม่พอหรอก”


“ไอ้เจ้าโง่ไม่รู้จักตัว เสียเวลาจริงๆ ไม่ตายๆ ไปสักทีเล่า!”


“เด็กคนนี้ตีได้สามครั้ง แต่กลับไม่ยอมแพ้เสียทีช่างเสียเวลาจริง”



ตึง!


ตึง!


ตึง!


ตึง!


ตึง!


เสียงของเหล่าผู้อาวุโสยังไม่ทันจางก็เกิดเสียงกลองครั้งที่สี่และห้าดังออกมาหลังผ่านความพยายามมาหลายต่อหลายครั้ง

 

 

 


ตอนที่ 1813 สั่งสอนคนเขลา!

 

บนเตียงนอนเชียนเย่ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาด้วยความยากลำบาก ในดวงตาที่ลืมขึ้นมานี้มันแฝงไปด้วยความตื่นเต้นดีใจไม่น้อย


“ข้า… ข้าไม่ตาย! ฮ่าๆๆ ข้าไม่ตายจริงๆ!”


ความรู้สึกตอนที่ถูกเศษดับนับร้อยนับพันนั้นพุ่งผ่านทะลุร่างไปยังคงชัดเจนอยู่ในความทรงจำ


ตอนนั้นเขาคิดว่าตัวเองคงต้องตายแน่แล้ว


เว้นเสียแต่ว่าตอนนี้เขาจะกลับรอดมาได้


ที่ด้านข้างผู้อาวุโสเถากล่าวขึ้น “ใจเย็นก่อน ครานี้ผู้อาวุโสเจียงหงออกมาจัดการเรื่องเองมันย่อมไม่มีใครสังหารเจ้าลงได้!”


ความตื่นตกใจปรากฏออกมาเต็มใบหน้าของเชียนเย่ เพื่อเขาแล้วผู้อาวุโสถ่ายทอดถึงกับออกมารับหน้าให้แทน


เรื่องนี้มันแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของเขาในสายตาของผู้อาวุโสถ่ายทอดอย่างมาก


ผู้อาวุโสถ่ายทอดนั้นปกติแล้วไปไหนมาไหนไม่มีใครรับรู้ได้ พวกเขาเหล่าศิษย์ทั้งหลายมิอาจติดต่อพวกท่านได้และย่อมไม่สามารถรู้ด้วยว่ายอดหลักกำลังต้องการอะไร


เรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นในยอดดอกตูมสวรรค์ปกติแล้วผู้อาวุโสเถา ผู้อาวุโสแห่งโถงหน้าคนนี้จะเป็นคนจัดการ


“มีเรื่องแบบนั้นด้วย! นี่มันโอกาสครั้งใหญ่ในชีวิตเลยนี่นา ข้าอยากจะขอบคุณผู้อาวุโสเจียงหงท่าน สงสัยเหลือเกินว่าจะมีโอกาสนั้นไหม” เชียนเย่บอกอย่างตื่นเต้น


แต่ผู้อาวุโสเถากลับทำหน้าไม่ค่อยสู้ดีตอบกลับมา “เจ้าอย่าเพิ่งดีใจไป วันนี้ยอดดอกตูมสวรรค์เราต้องเสียหน้าไปมาก เรื่องทั้งหมดทั้งสิ้นนี้มันเกิดเพราะคนนิกายบุปผาเหิน ที่ผู้อาวุโสเจียงหงออกมาจัดการเรื่องราวให้มันก็คงขัดใจตัวเขาเองอยู่ไม่น้อย ในวันหน้าเจ้าจงหมั่นพยายามฝึกฝนและกู้หน้ายอดดอกตูมสวรรค์เรากลับมาให้ได้ ทำเช่นนั้นได้ผู้อาวุโสเจียงหงก็คงพอใจเช่นกัน”


เมื่อเชียนเย่ได้ยินเช่นนั้นความตื่นเต้นดีใจใดๆ ที่เขาเคยมีมันก็จางหายไปสิ้น


“ไอ้เด็กเย่หยวนคนนั้น ต-ตายไหม?” เชียนเย่ถามขึ้น


“ตาย? หึๆ เรื่องของเจ้ามันยังไม่จบง่ายๆ หรอก!” ผู้อาวุโสเถาหัวเราะขึ้นมา


เชียนเย่สะดุ้งตัวขึ้นทันทีเมื่อได้ยิน “ยังไม่จบ?”


ผู้อาวุโสเถาบอกเล่าเรื่องที่เย่หยวนท้าทายกลองเจ็ดดาวหมีใหญ่ให้ฟัง เรื่องนั้นมันทำให้เชียนเย่อดหัวเราะลั่นออกมาไม่ได้


“ฮ่าๆ ไอ้เด็กคนนี้มันฉลาดดีจริงๆ ถึงขั้นคิดจะใช้วิธีนี้ในการสังหารข้า! ข้าขอยอมรับว่ามันนั้นมากพรสวรรค์ แต่ไม่ว่าจะมากพรสวรรค์แค่ไหนมันก็ยังเป็นแค่ราชันพระเจ้า มีหรือที่มันจะตีกลองเจ็ดดาวหมีใหญ่ได้?”


เมื่อเชียนเย่ได้ยินว่าเย่หยวนไป ‘ทำเรื่องโง่ๆ’ นั้นเขาก็กล่าวออกมาด้วยความดูถูกเหยียดหยาม


เรื่องเช่นนี้ใครมันจะไปทำได้?


ผู้อาวุโสเถาหัวเราะขึ้น “ไอ้เด็กคนนี้มันก็ช่างเป็นคนรั้นไม่ยอมฟังใคร เจ้าไม่รู้หรอกว่าตอนที่ผู้คนได้ยินมันบอกเช่นนั้น ทุกคนมองมันด้วยสายตาแบบไหน”


ผู้ดูแลเถาเองก็ไม่ชอบใจในตัวเย่หยวนผู้ดื้อรั้นมาก


เขาและเชียนเย่หันไปมองหน้าพร้อมหัวเราะลั่นขึ้นพร้อมๆ กัน


ตึง!


จู่ๆ ก็มีเสียงกลองหนึ่งดังลอยทะลุฟ้าออกมา


ผู้อาวุโสเถาและเชียนเย่นั้นกำลังหัวเราะกันอยู่ เมื่อพวกเขาได้ยินปากที่อ้าหัวเราะอยู่นั้นก็ได้แต่อ้าค้าง


โดยเฉพาะอย่างยิ่งเชียนเย่ที่ตอนนี้ดวงตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความตื่นตกใจ


“ผู้อาวุโสเถา นี่… นี่มัน… เสียงตีอะไร?”


น้ำเสียงของเชียนเย่เปี่ยมไปด้วยความสั่นกลัวอย่างที่ไม่อาจปกปิดได้


ผู้อาวุโสเถาเองก็ได้แต่ทำหน้าเหยเก ดวงตาของเขาเปี่ยมล้นไปด้วยความตื่นตกใจเช่นกัน “ไม่รู้ว่าในนิกายเงาจันทร์นี้มีคนตีกลองมากมายแค่ไหน แต่เสียงกลองที่ออกมาจากหุบเขาเจ็ดดารานั้นข้าย่อมจำมันได้แน่!”


เชียนเย่นั้นอายุน้อยและขาดประสบการณ์กว่าผู้อาวุโสเถามาก แต่เมื่อเขาได้ยินคำยืนยันจากผู้อาวุโสเถาใบหน้าของเขาก็ซีดเผือดลง


“เช่นนั้น… งั้นมัน… ไม่มี…”


เชียนเย่รู้สึกเหมือนปากคอร้อนเป็นไฟ ท่าทางยโสของเขาเมื่อสักครู่นั้นมันไม่มีให้เห็นอีกต่อไปแล้ว


ตึง!


เสียงแรงยังไม่ทันหาย เสียงที่สองก็ดังตามขึ้นมา


แถมเสียงนี้มันยังดังกว่าเสียงก่อนหน้ามาก


ขณะเดียวกันนั้นเหล่าคนในนิกายเงาจันทร์ทั้งหลายต่างก็ตื่นตกใจ


เพราะนี่คือครั้งแรกของพวกเขาเลยที่ได้ยินเสียงกลองลั่นดังเช่นนี้ออกมาจากหุบเขาเจ็ดดารา


เสียงกลองนี้มันดังสนั่นราวเสียงฟ้าร้อง ราวกับว่านี่มันคือเสียงคำรามของสวรรค์


เสียงของมันนี้สามารถทำให้ทุกผู้คนได้ยินมันจากทุกซอกมุมของนิกายเงาจันทร์


ทุกคนที่ยอดหลัก ยอดรองทั้งเก้า รวมไปถึงยอดร้างนับร้อยและดินแดนในเทือกเขาเงาจันทร์ทั้งหมดต่างได้ยินเสียงของกลองนี้


เหล่าคนเดินออกมาจากโถง ออกมาจากถ้ำหลวงของตน พวกเขาทั้งหลายต่างหันไปมองดูที่หุบเขาเจ็ดดารากันอย่างมิได้นัดหมาย


เมื่อเป็นศิษย์นิกายเงาจันทร์แล้วพวกเขาย่อมรู้ดีว่าเสียงกลองนี้มันคืออะไร


พวกเขาแค่สงสัยว่ากลองนี้มันจะดังขึ้นมากี่ครั้ง


เวลานี้ทุกผู้คนต่างปล่อยปราณเทวะของตนออกมาตามจังหวะคลื่นของเสียงกลอง


ราวกับว่าเสียงกลองนี้มันทำให้เลือดของพวกเขาไหลเวียนไปตามเสียงมัน


หลายต่อหลายคนเริ่มทำการบรรลุออกมาระหว่างที่เสียงของกลองยังไม่ขาดสายไป


ตึง!


เสียงกลองที่สามดังขึ้นทำให้ไป่หลี่ชิงหยานอดไม่ได้ที่จะแสดงใบหน้าอันตื่นเต้นและปลื้มใจ


“ศิษย์พี่ ข้าเคยบอกท่านแล้วว่าคนอย่างเขาไม่มีทางถูกหยุดได้ ท่านกลับไม่คิดเชื่อข้า!”


ไป่หลี่ชิงหยานไม่ต้องหันหน้ากลับไปนางก็รู้ได้ว่าเจียงเชอเหยียนมายืนอยู่ข้างหลัง


เจียงเชอเหยียนมีใบหน้าที่แสนจะอธิบายได้ยาก ในที่สุดนางก็ถอนหายใจยาวออกมา “นังเด็กโง่เอ้ย หากเขาได้เข้าร่วมชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่แล้วเขาจะต้องกลายเป็นศัตรูอันดับหนึ่งของเจ้าอย่างแน่นอน!”


ไป่หลี่ชิงหยานยิ้มออกมาอย่างสบายใจ “แล้ว? ชีวิตนี้สายพิณของข้าถูกเขาก่อกวนไปนานแล้ว!”


นั่นทำให้ดวงตาของเจียงเชอเหยียนสั่นคลอน ในที่สุดนางก็ตัดสินใจเดินจากไป


เดินไปได้หลายก้าวในที่สุดนางก็พูดขึ้นเบาๆ “เด็กโง่เอ้ย ความรู้สึกนั้นของเจ้ามันจะได้รับการตอบรับหรือ?”


พูดจบนางก็จากไป


ตึง!


เสียงที่สี่ดังขึ้นอย่างที่ทุกคนคาดคิด


ในมิติว่างเปล่าบนยอดหลักนั้นมีชายแก่คนหนึ่งค่อยๆ เปิดตาลืมขึ้นมาด้วยสายตาที่ล้ำลึก


“ไม่นึกเลยว่าในโลกนี้จะมีคนที่สามารถตีกลองเจ็ดดาวหมีใหญ่ได้จริงๆ!”


ตึง!


ตึง!


ครั้งที่ห้าและหกดังตามออกมา


ภายในหุบเขาเจ็ดดารานั้นเหล่าเก้ายอดผู้อาวุโสถ่ายทอดต่างกำลังมองภาพตรงหน้าอย่างตื่นตะลึงจนไม่อาจสงบสติอารมณ์ได้


พวกเขานั้นคือคนที่อยู่ใกล้กลองเจ็ดดาวหมีใหญ่ที่สุดและย่อมรู้สึกถึงคลื่นพลังจากมันได้มากที่สุด


คลื่นยอดเต๋าที่ส่งออกมานี้มันราวกับว่าเต๋าสวรรค์ได้ลงมาจุติตรงหน้า


ความรู้สึกนี้มันเหนือล้ำกว่าจะใช้คำพูดใดมาอธิบายได้


“นี่มัน… นี่หรือคือพลังของกลองเจ็ดดาวหมีใหญ่!”


“ข้านึกไม่ออกเลยว่าหากคนตีเป็นเทพถ่องแท้แล้วมันจะส่งพลังมากมายแค่ไหนออกมา!”


“แล้วทำไม… ไอ้เด็กคนนี้มันจึงทำได้? มันปล่อยพลังยอดเต๋าออกมาจากกลองเจ็ดดาวหมีใหญ่จนดังสะท้อนไปทั่วทั้งนิกายเงาจันทร์!”


“หลังออกไปครั้งนี้เฒ่าคนนี้คงต้องไปหาที่เก็บตัวเสียแล้ว! เสียงกลองนี้มันชี้ทางสว่างให้ข้านัก!”



เสียงกลองนี้เหมือนมีพลังเวทมนตร์ทำให้ผู้คนที่ได้ยินได้ฟังต่างรับความรู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่


เฉียวฟูเองก็ตกใจไม่น้อยไปกว่าคนอื่นๆ เลยเช่นกัน


เขามองดูแผ่นหลังนั้นของเย่หยวนด้วยความรู้สึกราวกับว่ามันช่างสูงใหญ่


เขารู้ดีว่าเย่หยวนนั้นมากพรสวรรค์ ความเป็นไปได้ของเขานั้นไร้สิ้นสุด แต่ไม่นึกไม่ฝันว่าเย่หยวนจะแข็งแกร่งได้มากมายถึงขั้นนี้


แข็งแกร่งจนทำให้เขากลัวขึ้นมาหน่อยๆ!


กลองเจ็ดดาวหมีใหญ่ที่ไม่เคยมีใครตีได้ครบกำลังส่งเสียงดังลั่นไปทั่วทั้งนิกายเงาจันทร์ในขณะนี้


เสียงกลองแรกยังไม่ทันขาด เสียงกลองที่สองก็จะดังตามมา


ครั้งที่สองเองก็เช่นกัน


ตอนนี้กลองทั้งหกครั้งมันดังขึ้นมาอย่างชัดเจนไร้ข้อกังขาใดๆ


ตึง!


ในที่สุดเสียงสุดท้ายก็ดังขึ้น!


มันทำให้นิกายเงาจันทร์ทั้งหมดสั่นสะเทือน


เสียงกลองทั้งเจ็ดนี้มันราวกับสายฟ้าที่วิ่งผ่านเหนือนิกายเงาจันทร์ไป


ตอนนี้มันไม่เพียงแค่ไม่จางหายไป แต่เสียงที่วิ่งวนอยู่นี้มันกลับดังขึ้นและดังขึ้นเรื่อยๆ


ทุกคนต่างเฝ้าฟังมันอย่างแน่วแน่ ทุกคนใช้หัวใจสัมผัสมันและทุกคนก็ใช้สติที่มีทั้งหมดในการพยายามทำความเข้าใจมัน


เสียงกลองนี้มันช่างเหนือล้ำ!

 

 

 


ตอนที่ 1814 รู้แจ้งทั้งนิกาย

 

เชียนเย่นั้นร่วงลงไปกองกับพื้นด้วยใบหน้าซีดเผือด สายตาของเขานั้นเปี่ยมไปด้วยความสิ้นหวัง


สำหรับคนอื่นแล้วเสียงกลองนี้คือประโยชน์อันมหาศาล


แต่กับเขาแล้วมันเหมือนเป็นคำสั่งตาย


“ผ-ผู้อาวุโสเถา ช-ช่วยข้าด้วย!”


เชียนเย่ดึงแขนของผู้อาวุโสเถาไว้ด้วยสีหน้าหมดหวัง


ก่อนหน้านี้ทุกคนต่างรอดูความผิดพลาดล้มเหลวของเย่หยวน ไม่มีใครคิดยึดเอาความรั้นของเย่หยวนมาเป็นจริงเป็นจัง


แต่ใครจะไปรู้ว่าไม่นานต่อมาเสียงกลองเจ็ดดาวหมีใหญ่กลับจะดังสนั่นไปทั่วฟ้านิกายเงาจันทร์


ผู้อาวุโสเถานั้นอยู่ในสภาวะตื่นตกใจอย่างมากและยังไม่สามารถตั้งสติกลับมาได้


เชียนเย่ได้แต่ดึงแขนเขาติดๆ กันจนในที่สุดเขาก็สามารถกลับมาสู่โลกความจริงได้อีกครั้ง


“เจ้าว่าอย่างไรนะ?” ผู้อาวุโสเถาหันไปถามราวกับคนเพิ่งตื่นจากภวังค์


เชียนเย่ก้มตัวลงต่อหน้าผู้อาวุโสเถาบอกร้องบอก “ช-ช่วยข้าด้วย! ผู้อาวุโสเถาข้าไม่อยากตาย!”


เมื่อเสียงกลองทั้งเจ็ดดังขึ้น ร่างกายของเขาก็หมดแรงได้แต่ลงไปนอนกอง


สิ่งเดียวที่เขาสามารถคิดได้ในสมองตอนนี้คือการมีชีวิตอยู่ต่อไป


ผู้อาวุโสเถายกเท้าขึ้นเตะเชียนเย่ไปในทันทีที่ได้ยิน “เจ้าโง่ เจ้าไปท้าทายหาเรื่องตัวตนระดับใดมากัน?!”


เชียนเย่นั้นร้องไห้จนน้ำตาท่วมหน้า “ข้า… ข้าจะรู้ได้เช่นไรว่า… มันกลับตีกลองเจ็ดดาวหมีใหญ่ได้จริงๆ?”


ตอนนี้เขานั้นเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปจนแทบขาดอากาศตาย หากเขารู้ว่าสุดท้ายมันจะกลายเป็นเช่นนี้เขาก็คงไม่ยื่นหน้าออกไปให้ถูกตบหรอก


เพราะคนที่มีเรื่องกับเย่หยวนนั้นมันไม่ใช่แค่เชียนเย่แต่รวมไปถึงคนของนิกายดาบเมฆาและนิกายเหย้าอมตะด้วย


แต่มีเพียงเขาเท่านั้นที่ยื่นหน้าออกไปคิดสังหารเย่หยวนหลายต่อหลายครั้ง


โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลอบโจมตีครั้งแรก เขานั้นเกือบสังหารเย่หยวนลง


เรื่องนี้มันคงทำให้เย่หยวนโกรธแค้นมาก


เชียนเย่ย่อมไม่คิดว่าเย่หยวนจะทำอะไรเขาได้ ด้วยแค่ราชันพระเจ้าหกดาวต่อให้เป็นอัจฉริยะมาจากที่ไหนมันก็ต้องใช้เวลาในการเติบโตทั้งสิ้น


แต่เขาไม่นึกไม่ฝันว่าเย่หยวนกลับใช้เวลาแค่สองร้อยปีก็อาจหาญพอจะสังหารเขาได้แล้ว


ที่สำคัญหลังจากเจียงหงออกหน้าแล้วเย่หยวนกลับยังดื้นรั้นจะไปตีกลองเจ็ดดาวหมีใหญ่ให้ได้อีก


และผลก็คือ… เขาตีได้…


เขาตีมันได้ครบจริง!


มีหรือที่ผู้อาวุโสเถาตอนนี้จะยังทำหน้าตาเป็นห่วงเป็นใย? ตอนนี้ใบหน้าของเขาเปี่ยมไปด้วยความโกรธแค้น


เขายกนิ้วขึ้นมาชี้ด่าเชียนเย่ “ไอ้เจ้าโง่! เจ้าไปสร้างยอดศัตรูให้แก่นิกายบุปผาเหินทั้งหมด! เจ้ารู้ไหมว่าการตีกลองเจ็ดดาวหมีใหญ่มันหมายถึงอะไร? มันหมายถึงว่าจากนี้ไปเขาคือยอดอัจฉริยะอันดับหนึ่งคนแรกของนิกายเงาจันทร์ตั้งแต่บรรพกาลมา! มันหมายความว่าวันหน้าเขาจะเหนือล้ำกว่าทุกผู้คน! การคิดจะสังหารเจ้ามันคงเหนือแค่ต้องเอ่ยปากเท่านั้น! ถึงเวลานี้มันจะยังมีใครกล้ามาปกป้องเจ้าอีก? หา? ใครจะมาปกป้องเจ้า?”


ผู้อาวุโสเถานั้นต่างจากก่อนหน้าไปอย่างสิ้นเชิง


เดิมทีเขาเห็นความดื้อรั้นของเย่หยวนเป็นแค่เรื่องตลก


แต่ตอนนี้เย่หยวนกลับพิสูจน์แล้วว่าตัวเองนั้นมีความสามารถแค่ไหน ตอนนี้มันเท่ากับว่านิกายบุปผาเหินได้สร้างยอดศัตรูที่แสนทรงพลังขึ้นมาแล้ว


นิกายบุปผาเหินนั้นคงถูกกดทับจากผู้อื่นจดไม่อาจโงหัวขึ้นได้ในวันหน้า


สถานการณ์ที่สามนิกายใหญ่แย่งชิงอำนาจกันมันคงต้องจบลงในไม่ช้านี้


เดิมทีแค่การปรากฏตัวของไป่หลี่ชิงหยานจากนิกายกายเหย้าอมตะมันก็สร้างความกดดันมหาศาลให้แก่นิกายบุปผาเหินแล้ว


ตอนนี้มันยิ่งเจอกับหายนะซ้ำซ้อนกันเข้ามาอีก


เชียนเย่ได้แต่ทรุดตัวลงกับพื้นราวกับว่าร่างกายของเขาทั้งหมดไร้เรี่ยวแรงใดๆ


ผู้อาวุโสเถาหันไปมองเขาด้วยสายตาสงสารก่อนจะค่อยๆ ออกมาอย่างแผ่วเบา “ใจเย็นก่อน เรื่องราวของกลองเจ็ดดาวหมีใหญ่นั้นมันยิ่งใหญ่ มันหมายความว่าคนทั้งนิกายจากหัวจรดหางนั้นติดค้างเขาอยู่หนึ่งเรื่อง การมาใช้มันเพื่อสังหารคนนั้น ข้าว่าเจ้าเด็กคนนั้นมันคงไม่โง่ขนาดนั้นหรอก”



หลังจากเสียงกลองทั้งเจ็ดดังขึ้นแล้วมันก็ไม่ได้หายไปไหน เสียงสะท้อนนั้นยังคงดังก้องไปทั่วทั้งนิกายเงาจันทร์อย่างไม่หยุดพัก


ตอนนี้เหล่าศิษย์นิกายเงาจันทร์แทบทั้งหมดเริ่มเข้าทำการเก็บตัวหลังจากได้ยินเสียงกลองนี้


ยอดเต๋าที่เสียงกลองนี้ส่งออกมามันผสานไปด้วยวรยุทธบ่มเพาะและเป็นประโยชน์แก่พวกเขามาก


เพราะอย่างไรเสียนี่ก็เป็นครั้งแรกที่กลองเจ็ดดาวหมีใหญ่ถูกตีขึ้นหลังจากก่อตั้งนิกายเงาจันทร์มานับหมื่นๆ ปี


ผ่านจุดนี้ไปมันคงไม่มีโอกาสอีกแล้ว


ตอนนี้แม้แต่เก้ายอดผู้อาวุโสถ่ายทอดก็ยังเริ่มเข้าสู่สภาวะเก็บตัวเช่นกัน


กลองเจ็ดดาวหมีใหญ่นั้นคือสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์ ยอดเต๋าที่มันสะสมอยู่ภายในนั้นเหนือล้ำกว่าที่สมบัติล้ำค่าใดๆ จะมี


แต่ตอนนี้เป็นเย่หยวนที่ได้แต่อยู่อย่างเบื่อหน่าย


ร่างกายของเขานั้นเปี่ยมไปด้วยหยาดเหงื่อเพราะการตีกลองนั้นมันไม่ได้ง่ายดายเลย


สมบัติวิญญาณเทพสวรรค์ ต่อให้เป็นเทพถ่องแท้ก็ไม่อาจจะตีมันได้ หากเย่หยวนไม่ได้มีเขาน้อยแห่งถงเทียนแล้วเขาเองก็คงไม่อาจจะตีมันได้เช่นกัน


แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นเย่หยวนก็ยังต้องใช้กำลังไปอย่างมากมายมหาศาลในการตีเจ้ากลองเจ็ดดาวหมีใหญ่


หลังนั่งพักอยู่นานในที่สุดเย่หยวนก็เริ่มรู้สึกเบื่อหน่าย


เพราะเขารับรู้ได้ว่าตอนนี้นิกายเงาจันทร์ทั้งหมดคงกำลังเข้าสู่สภาวะเก็บตัวทำความเข้าใจเสียงกลองนี้ คงไม่มีใครมาเพื่อหาตัวว่าเขาคือใครแน่


ส่วนเรื่องเชียนเย่ เขานั้นไม่ได้กังวลมากมาย


เขารู้ดีว่าด้วยเรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่ว่านิกายบุปผาเหินมันจะโง่เง่าเพียงใดพวกเขาก็คงไม่มีทางปล่อยให้เชียนเย่หนีรอดออกไปที่ไหนได้


เพราะฉะนั้นเย่หยวนจึงเริ่มนั่งลงทำการบ่มเพาะปราณ


เสียงกลองนี้มันลั่นดังสะท้อนอยู่นานราวหนึ่งเดือน


ในเวลาหนึ่งเดือนนี้มีศิษย์นิกายเงาจันทร์ทั้งหลายตั้งแต่หัวจรดหางได้รับประโยชน์กันไปไม่มากก็น้อย


หลายต่อหลายคนถึงขั้นบรรลุได้หลังจากได้ยินเสียงกลองนั้น


จนในที่สุดเสียงกลองก็จางหายไป ทำให้เหล่าเก้ายอดผู้อาวุโสถ่ายทอดเริ่มลืมตาตื่นขึ้นมา


แต่สายตาที่พวกเขาใช้มองเย่หยวนนั้นมันแตกต่างจากเดิมไปอย่างสิ้นเชิง


พวกเขารู้ดีว่านิกายเงาจันทร์ทั้งหมดนั้นติดหนี้บุญคุณเย่หยวนครั้งใหญ่


เรื่องที่ว่านั้นก็คือการที่เขาช่วยส่งคำสอนของบรรพบุรุษออกมาให้ฟัง


ประโยชน์ที่เสียงกลองนี้ก่อให้แก่นิกายเงาจันทร์นั้นมันเหนือล้ำ!


เจียงหงหรี่ตาลงทันทีที่สัมผัสได้ “เฉียวฟู เจ้ารู้แจ้งอีกแล้วรึ?”


เมื่อทุกคนได้ยินพวกเขาต่างก็หันไปมองเฉียวฟูเป็นตาเดียวด้วยใบหน้าที่ซีดเผือด


เฉียวฟูนั้นมีคลื่นพลังที่รุนแรงกว่าเก่าเมื่อตอนเดือนก่อนมาก


ดูท่าแล้วประโยชน์ที่เขาได้รับจากเสียงกลองนั้นมันจะเหนือล้ำว่าคนอื่นๆ


เพราะเมื่อก้าวมาถึงจุดที่พวกเขาทั้งหลายยืนอยู่นี้ การจะพัฒนาตัวเองไปข้างหน้านั้นมันช่างเป็นเรื่องที่แสนยากเย็น


เฉียวฟูหัวเราะลั่น “โอกาสดีๆ เช่นนี้มีหรือที่เฒ่าคนนี้จะปล่อยไป? หากเทียบเรื่องพรสวรรค์แล้วข้าอาจไม่สามารถเทียบเคียงเย่หยวนได้ แต่หากเทียบกับพวกเจ้าแล้วมันก็ยังเหนือกว่าหลายขุม”


ผู้อาวุโสคนอื่นรู้สึกว่าคำพูดนี้ของเฉียวฟูมันช่างโอหัง ทำให้ทุกๆ คนต่างมีใบหน้าดำคร่ำเครียดไม่พอใจอย่างมาก


เวลานั้นเองกลับปรากฏร่างของชายวัยกลางคนค่อยๆ เดินออกมาจากความว่างเปล่า


เมื่อเห็นผู้มาเยือนคนนี้เหล่าเก้ายอดผู้อาวุโสถ่ายทอดก็รีบจัดแจงเสื้อผ้ายกมือขึ้นคำนับทันที


“ขอคารวะท่านเจ้านิกาย!” คนทั้งเก้าพูดออกมาพร้อมกัน


ชายวัยกลางคนคนนั้นพยักหน้ารับ “อืม พวกเจ้าทั้งหลายทำดีมาก!”


คนทั้งเก้ารีบตอบกลับไป “มิกล้า!”


ชายวัยกลางคนหันหน้ามองผ่านคนทั้งเก้าและไปหยุดสายตาอยู่ที่เย่หยวน


เย่หยวนเองก็ก้มหัวลงคารวะเช่นกัน “เย่หยวนขอคารวะท่านเจ้านิกาย!”


เย่หยวนนั้นย่อมรู้สึกได้ทันทีว่าคลื่นพลังจากชายวัยกลางคนคนนี้มันเหนือล้ำกว่าเก้ายอดผู้อาวุโสถ่ายทอด


ดูท่านิกายเงาจันทร์นั้นจะมีรากฐานที่ลึกล้ำจริงๆ!


ชายวัยกลางคนยิ้มตอบกลับมา “ตั้งแต่ที่นิกายเงาจันทร์ข้าตั้งขึ้นมีคนมากมายคิดอยากตีกลองเจ็ดดาวหมีใหญ่ แต่มันกลับไม่เคยมีใครที่ทำสำเร็จมาก่อน ไม่นึกเลยว่าคนผู้แรกที่ทำได้สำเร็จมันกลับกลายเป็นแค่เด็กหนุ่มอาณาจักรราชันพระเจ้าคนหนึ่ง เย่หยวน คำสั่งของเหล่าบรรพบุรุษนั้นเรามิกล้าขัด ตอนนี้เจ้าจงกล่าวออกมาเถอะว่าเจ้าต้องการสิ่งใด แน่นอนว่าหากเจ้ายังไม่ได้คิดถึงมันเจ้าจะมาบอกข้าทีหลังก็ย่อมได้”


เย่หยวนยิ้มตอบ “ไม่จำเป็น เรื่องนั้นข้าได้คิดมานานแสนนาน คำขอของเย่หยวนผู้นี้มิใช่เรื่องอื่นใด ข้าแค่ต้องการสังหารเชียนเย่เท่านั้น!”

 

 

 


ตอนที่ 1815 ตาต่อตา

 

คำพูดนี้ของเย่หยวนมันทำให้เจ้านิกายต้องตะลึง


ตอนนี้สายตาของผู้อาวุโสทั้งเก้าต่างมองดูเย่หยวนราวกับเขาเป็นแค่คนโง่


ไอ้หมอนี่มันดื้อด้านเสียจริงๆ!


“เย่หยวน เจ้ารู้หรือไม่ว่าการตีกลองเจ็ดดาวหมีใหญ่มันยิ่งใหญ่แค่ไหน? ทั้งนิกายตั้งแต่หัวจรดหางไม่ว่าจะเป็นวรยุทธบ่มเพาะ วรยุทธต่อสู้หรือโอสถใดที่เจ้าต้องการ ต่อให้เจ้าจะอยากขอให้ข้าผู้นี้ช่วยลงมือออกหน้าเองข้าก็ไม่คิดจะขัด ตราบเท่าที่มันเป็นเรื่องราวที่นิกายทำให้ได้ เจ้านิกายคนนี้ย่อมจะไม่ปฏิเสธแน่นอน!”


เจ้านิกายคิดว่าเย่หยวนไม่ได้รู้ความสำคัญของการตีกลองเจ็ดดาวหมีใหญ่เขาจึงบอกเล่ากล่าวออกมาว่ามันยิ่งใหญ่เพียงใด


เก้ายอดผู้อาวุโสถ่ายทอดเองก็หันไปมองดูเย่หยวนและคิดว่าท่านเจ้านิกายคงอธิบายได้อย่างชัดแจ้งแล้ว


พวกเขาคิดในใจว่าเย่หยวนคงไม่คิดใช้คุณประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้กับเรื่องโง่เง่า


แต่ว่าเย่หยวนกลับตอบ “ขอบคุณท่านเจ้านิกายที่เตือนบอก แต่เย่หยวนผู้นี้มีคำขอแค่อย่างเดียวคือการสังหารเอาชีวิตเชียนเย่!”


นั่นทำให้เจ้านิกายขมวดคิ้วแน่นก่อนจะหันไปหาเจียงหง


เจียงหงเข้าใจท่าทางนั้นได้ทันทีและเริ่มเล่าเรื่องราวระหว่างเชียนเย่และเย่หยวนออกมาด้วยท่าทางลำบากใจ


หลังจากเจ้านิกายฟังไปแล้วเขานิ่งเงียบไปนาน


เย่หยวนนั้นไม่ได้รีบอะไรเขาจึงยืนรอคำตอบของเจ้านิกายไป


ไม่นานจากนั้นเจ้านิกายก็เปิดปากพูดขึ้น “เย่หยวนทำไมเจ้า… ไม่ลองคิดดูอีกทีล่ะ นี่คือโอกาสหนึ่งเดียวในชีวิตของเจ้าเลยนะ แค่ขยะข้างทางอย่างเชียนเย่นั้นไม่อาจขวางทางสู่การเป็นใหญ่ของเจ้าได้ การใช้เรื่องนี้เพื่อแลกกับการสังหารมันจะไม่คุ้มค่าเอานะ”


พูดจบเจ้านิกายก็หันไปมองดูเย่หยวนด้วยสายตากดดัน เขารู้ว่าเย่หยวนไม่ใช่คนโง่ เขาต้องรู้ตัวดีว่าควรตัดสินใจอย่างไรแทน


แต่ว่าเย่หยวนกลับทำให้เขาผิดหวัง


เพราะเย่หยวนนั้นยิ้มออกมาอย่างเบื่อหน่าย “ท่านเจ้านิกาย อย่ามาใช้คำพูดจาสวยหรูหลบเลี่ยงมันเลย ให้พูดตรงๆ ก็คือท่านไม่อาจตัดใจทำลายศิษย์อัจฉริยะเชียนเย่คนนี้ทิ้งไปได้แค่นั้น ท่านเจ้านิกาย ท่านไม่มีทาง… จะเหยียบเรือสองแคมได้”


เมื่อคำพูดเหล่านี้ถูกกล่าวเหล่าเก้ายอดผู้อาวุโสถ่ายทอดต่างหน้าถอดสีทันที


เจียงหงรีบพูดขึ้นทันที “โอหัง! เด็กน้อยเจ้ารู้ตัวไหมว่ากำลังพูดอยู่กับใคร?”


เย่หยวนตอบ “ข้าแค่พูดความจริง!”


ตอนนี้เจ้านิกายนั้นมีใบหน้าที่ไม่ค่อยพอใจ แม้ว่าเจ้าเด็กคนนี้จะมากพรสวรรค์แต่มันก็ช่างอวดดี


เขาได้แต่ต้องยอมรับว่าเย่หยวนคนนี้จัดการไม่ได้ง่ายๆ


อย่างที่เย่หยวนว่ามา เขานั้นไม่อาจตัดใจสังหารเชียนเย่ลงได้


เพราะในสายตาของเขานั้น ยิ่งมีอัจฉริยะมากมันยิ่งเป็นประโยชน์ต่อนิกาย


แม้เย่หยวนยอดอัจฉริยะที่ไม่เคยปรากฏตัวออกมาก่อนจะมีประโยชน์และคุณค่าต่อนิกายอย่างมาก เชียนเย่เองก็เป็นยอดอัจฉริยะที่หาตัวจับยาก


ทุกๆ อัจฉริยะล้วนแล้วแต่เป็นอนาคตของนิกาย เขาจึงอยากให้ทั้งสองอยู่ในนิกายต่อไป


เพียงแค่ว่าเขาไม่นึกไม่ฝันว่าเย่หยวนนั้นจะจัดการหว่านล้อมได้ยากกว่าที่เขาคาดมาก แค่พูดคำเดียวก็มองเจตนาของเขาออกได้


เวลาตอนนี้มันจึงมีแต่ความอึดอัด


เจ้านิกายบอกมาด้วยใบหน้าไม่พอใจ “แล้วหากข้าบอกว่าไม่?”


ราวกับว่าเย่หยวนคาดคิดถึงคำตอบนี้มาก่อนแล้วจึงยักไหล่ออกมา “เช่นนั้นนิกายนี้คงพูดอะไรเหมือนการผายลม นิกายเช่นนี้มันย่อมไม่มีประโยชน์ใดต่อข้าอีก”


เจ้านิกายปล่อยคลื่นพลังออกมาอย่างหนักหน่วงพร้อมถาม “หมายความว่าหากข้าปฏิเสธ เจ้าจะคิดทรยศนิกาย?”


มันไม่ใช่ว่าเขาไม่สามารถสังหารเชียนเย่ แต่คำพูดนี้ของเย่หยวนมันทำให้เขาเสียหน้าไม่น้อย


ในนิกายเงาจันทร์นี้เขาควบคุมได้ทุกสิ่งอย่าง แต่การปรากฏตัวของเย่หยวนในครั้งนี้กลับทำให้เขารู้สึกราวกับตัวเองไม่อาจควบคุมอะไรได้เลย


ความรู้สึกนี้มันรบกวนเขาอย่างมาก


แม้จะเป็นอย่างนั้นเย่หยวนก็เป็นคนที่ตีกลองเจ็ดดาวหมีใหญ่


เย่หยวนยิ้มเมื่อได้ยิน “คำพูดนี้ของท่านเจ้านิกายไม่ถูกนัก! ข้าไม่ได้ต้องการทรยศนิกาย แต่เป็นนิกายต่างหากที่ทอดทิ้งข้า เชียนเย่คิดสังหารข้ามานับครั้งไม่ถ้วน แต่นิกายกลับไม่คิดจะลงโทษมัน ข้าชนะการต่อสู้ได้อย่างตรงไปตรงมาแต่กลับถูกผู้อาวุโสถ่ายทอดเข้ามาขัดขวาง ข้าตีกลองเจ็ดดาวหมีใหญ่ได้แต่จนสุดท้ายก็ยังไม่อาจได้รับความยุติธรรม! ท่านลองบอกข้ามาหน่อยเถอะท่านเจ้านิกาย นิกายเช่นนี้มันจะมีประโยชน์ใดๆ ให้ข้าอยู่ต่อกัน?”


เย่หยวนพูดอย่างมีเหตุผลจนทำให้เจ้านิกายไม่อาจตอบโต้


เฉียวฟูที่เห็นสภาพนั้นว่าท่านเจ้านิกายเริ่มหน้าเสียขึ้นเรื่อยๆ จึงอดไม่ได้ที่จะเข้าไปห้ามเย่หยวน “เย่หยวน อย่าได้พูดจาไร้สาระ! ท่านเจ้านิกายนั้นล้วนคิดถึงอนาคตวันหน้าของนิกายเรา!”


เย่หยวนตอบกลับไปด้วยท่าทางเคารพ “ท่านผู้อาวุโสช่วยชีวิตข้าไว้เย่หยวนจะไม่มีทางลืมได้ แต่เรื่องนี้เย่ผู้นี้คิดว่าตนได้สร้างประโยชน์แก่นิกายอย่างมหาศาลมากกว่าที่เชียนเย่จะทำได้ทั้งชีวิต ข้าเพียงแค่ขอให้ได้รับความยุติธรรม! เย่หยวนผู้นี้รู้ดีว่าคำพูดของผู้น้อยนั้นมันไร้ซึ่งน้ำหนักใดๆ หากท่านเจ้านิกายไม่คิดรับมันก็จงสังหารข้าทิ้งเถอะ!”


คำพูดนี้ของเย่หยวนทำให้เหล่าเก้ายอดผู้อาวุโสถ่ายทอดต้องอ้าปากค้าง


ไอ้เด็กคนนี้มันจะป่าเถื่อนเกินไปแล้ว!


เจ้านิกายเองก็ยิ่งหน้าเสียขึ้นเรื่อยๆ จนตอนนี้เขาต้องพูดออกมา “เจ้าคิดว่าด้วยพรสวรรค์ที่เหนือล้ำของเจ้าแล้วเจ้านิกายคนนี้จะไม่กล้าสังหารเจ้า?”


เย่หยวนไม่คิดตอบและทำเพียงแค่มองจ้องตาเจ้านิกายกลับไป


เขานั้นแสดงจุดยืนของตนออกมาอย่างเด่นชัด


เจ้านิกายกัดฟันแน่น “ดี ดีมาก! นิกายเงาจันทร์ข้าได้สร้างศิษย์ที่เก่งกาจขึ้นมาจริงๆ! เจ้านิกายคนนี้อยากรู้เหลือเกินว่ากระดูกเจ้ามันจะแข็งสักแค่ไหน!”


จู่ๆ ร่างของเย่หยวนก็เหมือนถูกเสาน้ำแข็งเสียบแทง คลื่นพลังอันหนักหน่วงถูกกดทับลงมาบนร่างของเขาทำให้เขาไม่อาจแม้แต่จะหายใจ


แต่เย่หยวนกลับยังยืนนิ่งอย่างมั่นคง ดวงตาจ้องมองไปยังเจ้านิกายพร้อมกัดฟันแน่น


เมื่อเห็นดวงตานั้นของเย่หยวนท่านเจ้านิกายก็ยิ่งไม่พอใจหนักเข้าไปอีก


ตอนที่เขากำลังคิดจะปล่อยพลังออกมาจริงๆ นั้นมันกลับมีความมืดตกลงมาปกคลุมทำให้คลื่นพลังอันน่าเกรงกลัวของเจ้านิกายนั้นหายเข้าไปในความมืดนี้


เย่หยวนรู้สึกได้ว่าร่างกายของตัวเองนั้นเบาขึ้นมาก ราวกับคนจมน้ำที่ได้พุ่งขึ้นมาหายใจ


เรื่องราวนี้มันทำให้เจ้านิกายหน้าถอดสีทันที “อ-อาจารย์ลุง!”


เสียงหัวเราะหนึ่งดังขึ้นมาจากความว่างเปล่า “โจวชิง เจ้าในฐานะเจ้านิกายมันจะตกต่ำลงทุกวันแล้ว! เจ้าคิดจะกลับคำที่บรรพบุรุษได้ให้ไว้หรือ?”


เจ้านิกายหน้าถอดสีทันทีพร้อมยกมือขึ้นคารวะ “โจวชิงมิกล้า!”


“หึ! กล้าที่จะผิดคำสัญญาที่บรรพบุรุษให้ไว้เช่นนี้จะยังมามิกล้าเรื่องใดอีก?” เสียงหัวเราะดังขึ้นมาจากความว่างเปล่าอีกครั้ง ดูท่าแล้วอีกฝ่ายคงไม่พอใจการกระทำของโจวชิงมาก


โจวชิงนั้นเหงื่อไหลท่วมกาย เขาไม่นึกไม่ฝันว่าเรื่องราวในครั้งนี้จะไปเข้าตาของอาจารย์ลุงเข้า


เขาคนนี้คือไพ่ตายสุดท้ายของนิกายเงาจันทร์ ปกติแล้วเขาจะเก็บตัวอยู่ตลอดชั่วตานาปีไม่คิดออกมาสู่โลกภายนอกและไม่เคยคิดไถ่ถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นด้วย


แต่วันนี้เพื่อเย่หยวนแล้วเขากลับออกมา!


เก้ายอดผู้อาวุโสถ่ายทอดได้แต่หันไปมองหน้ากัน เพราะพวกเขาทั้งหลายนั้นไม่ได้รู้เลยว่านิกายเงาจันทร์ยังมีตัวตนที่แสนทรงพลังขนาดนี้อยู่ด้วย


โจวชิงนั้นรู้ดีถึงความน่ากลัวของอาจารย์ลุงคนนี้และย่อมไม่กล้าเถียงใดๆ กลับไป เขาได้แต่พยายามอธิบายตัวเอง “โจวชิงนั้น… แค่คิดถึงอนาคตของนิกาย!”


เสียงหัวเราะดังขึ้นมาอีกครั้ง “โจวชิง เจ้ามันช่างตกต่ำลงทุกวันเสียจริงๆ! เจ้าลองนึกถึงตัวก่อนเมื่อก่อนสิว่าเจ้าเหยียบย่ำผ่านศพคนที่เรียกตัวเองว่าอัจฉริยะมาเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่? ยอดคนของนิกายนั้นมีแค่คนเดียวมันก็มากพอ! เขาคือยอดอัจฉริยะที่สามารถตีกลองเจ็ดดาวหมีใหญ่ได้ แต่เจ้ากลับคิดสังหารเขาลง? เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ?”


ยิ่งโดนว่าโจวชิงยิ่งหน้าเสีย จนสุดท้ายเขาจึงตัดสินใจก้มหัวลงบอก “ขอรับอาจารย์ลุง โจวชิงผิดไปแล้ว! โจวชิงรู้แล้วว่าเรื่องนี้ต้องจัดการอย่างไร!”


“แม้เฒ่าคนนี้จะไม่ชอบยุ่งเรื่องทางโลกนักแต่ข้าก็พอรู้เรื่องของนิกายอยู่บ้าง เดิมทีการปะทะกับของพรรคพวกค่ายกลุ่มคนนั้นมันเป็นผลดี แต่ตอนนี้ทั้งนิกายต่างแยกแตกเป็นพวก ปล่อยบรรยากาศสุดน่าสมเพชออกมาทั่วทุกหนแห่ง แต่เจ้านั้นก็ยังปล่อยให้เรื่องราวมันดำเนินต่อไป! โจวชิงเจ้านี่มัน… ยอดเยี่ยมจริงๆ!”


พูดจบเสียงนั้นก็หายไปพร้อมเงามืด

 

 

 


ตอนที่ 1816 บรรลุ

 

“เย่หยวนใช้โอกาสนี้เพื่อสังหารเชียนเย่ลงจริงๆ! พระเจ้าช่วย น่าเสียดายแท้!”


“ใช่ไหมล่ะ? มันเป็นคำขอที่ทำให้ท่านเจ้านิกายต้องลงมือเองได้ ต่อให้เป็นการสังหารเทพถ่องแท้มันก็คงเป็นไปได้ แต่กลับมาใช้มันเพื่อสังหารนภาสวรรค์หนึ่งดาวเช่นนี้”


“ไม่เข้าใจจริงๆ! ความคิดของพวกยอดอัจฉริยะมันมิใช่อะไรที่คนธรรมดาอย่างเราๆ จะไปเข้าใจได้หรอก”



ในที่สุดเชียนเย่ก็ตายลงภายใต้คำสั่งของโจวชิง


เพื่อแค่ว่าเรื่องนี้มันทำให้ศิษย์ทั้งหลายรู้สึกเสียดายแทนอย่างมาก


ดังเช่นคนธรรมดาสามัญที่ได้สิทธิ์ขอทองสิบเกวียนรถ แต่กลับขอเหรียญทองแดงกลับมาแค่เหรียญเดียว


โอกาสที่ยิ่งใหญ่แบบนี้ทุกผู้คนต่างได้แค่ฝันถึง แต่เย่หยวนกลับไม่คิดจะให้ค่าสนใจมันแม้แต่น้อย


เว้นเสียแต่ว่าพวกเขาทั้งหลายนั้นไม่ได้รู้เลยว่าในสายตาของเย่หยวนแล้วเรื่องครั้งนี้มันไม่ได้มีค่าใหญ่โตใดๆ เลย


ไม่ว่าจะเป็นวรยุทธบ่มเพาะ วิชาฝีมือหรือโอสถใดๆ มันล้วนแล้วแต่ไร้ค่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเย่หยวน


นับแต่วันนั้นมาทุกอย่างในนิกายเงาจันทร์เริ่มกลับมาสู่ความสงบอีกครั้ง


เจ้านิกายโจวชิงและเหล่าเก้ายอดผู้อาวุโสต่างเริ่มเข้าสู่การเก็บตัว เสียงกลองในครั้งนี้มันจุดประกายชีวิตและความรู้ให้แก่พวกเขาอย่างมากมาย พวกเขาจึงต้องใช้เวลาอีกมากในการที่จะวิเคราะห์และนำความรู้เหล่านี้มาพัฒนาตน


ตอนนี้ศิษย์อีกหลายต่อหลายคนก็เริ่มเข้าสู่การเก็บตัวเช่นกัน


หลังจากวันนั้นมานิกายเงาจันทร์มันจึงดูเงียบเหงากว่าเก่าไปมาก


แต่วันนี้กลับมีเสียงพิณเจ็ดสายเล่นบรรเลงขึ้นมาบนยอดเพลิงเมฆาด้วยท่วงทำนองที่อ่อนไหวและนุ่มนวล


เสียงพิณที่บรรเลงนี้มันเปี่ยมไปด้วยความรักใครอย่างไม่ต้องสงสัย แตกต่างจากเสียงเพลงบรรเลงแห่งความโศกเศร้าและเสียใจในครั้งก่อนมาก


เสียงพิณนั้นเล่นออกมาด้วยใจของนักดนตรี หากคนเล่นมีอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลง เสียงที่พิณส่งออกมามันก็ย่อมเปลี่ยนตาม


เหล่าผู้คนที่ถูกเสียงพิณนั้นดึงดูดกำลังค่อยๆ เดินขึ้นยอดเพลิงเมฆาไปอย่างลืมตัว


เมื่อเพลงบรรเลงจบลง ไป่หลี่ชิงหยานก็พูดขึ้นด้วยท่าทางน่ารักน่าชัง “นี่คือเพลงที่ข้าติดเจ้าไว้ ตอนนี้ถือว่าข้าใช้คืนมันแล้ว”


เย่หยวนยิ้มตอบ “แม่นางไป่หลี่ช่างมีวิชาพิณที่เหนือล้ำ ดูท่าเรื่องที่ติดค้างกันไว้ครานั้นมันจะคุ้มค่ากับเพลงนี้จริงๆ”


ไป่หลี่ชิงหยานเม้มปากออกมาเบาๆ ด้วยใบหน้าแดงอมชมพู “เจ้าคนชั่วร้าย ยังคงน่าเกลียดชังเหมือนเดิม!”


เย่หยวนที่ได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกมึนงงขึ้นมา “ทำไมคำชมของข้ามันจึงเป็นความชั่วร้ายกัน? หรือข้าต้องบอกว่าแม่นางไป่หลี่นั้นช่างเล่นได้ห่วยแตก?”


ไป่หลี่ชิงหยานเบิกตาถลนกลับมา “เจ้ากล้า?!”


เย่หยวนได้แต่ยืนนิ่งพร้อมยกมือขึ้นมาโบกปัด “เอาล่ะๆ ถือว่าข้าไม่ได้พูดแล้วกัน ในเมื่อข้าได้ฟังเสียงพิณของแม่นางแล้วพวกเราก็ควรกลับไปฝึกฝนตัวต่อ”


คำพูดนี้ทำให้ใบหน้าของไป่หลี่ชิงหยานแสดงความเสียดายออกมาในทันที “เจ้าตีกลองเจ็ดดาวหมีใหญ่ได้แท้ๆ แต่ทำไมเจ้าต้องใช้มันเพื่อสังหารเชียนเย่ด้วย? เจ้าไม่รู้หรือว่าคุณประโยชน์ที่เจ้าอาจได้รับมันยิ่งใหญ่แค่ไหน?”


เย่หยวนยิ้มตอบ “นิกายนั้นไม่มีอะไรที่จะมอบให้ข้าได้ สำหรับข้ามันจึงเหมาะสมแล้วที่จะใช้เรื่องราวนี้ในการสังหารเชียนเย่เสีย”


ไป่หลี่ชิงหยานผงะไปทันทีที่ได้ยิน นางอดไม่ได้ที่จะมองดูใบหน้าของเย่หยวนด้วยความมึนงงสงสัย


ไอ้หมอนี่มันช่างอวดอ้างตัวเองได้เก่งเกินใครจริงๆ!


นิกายเงาจันทร์นั้นคือนิกายระดับเทพถ่องแท้ คนตั้งมากมายคิดอยากเข้านิกายแต่ไม่อาจเข้ามาได้ แต่เย่หยวนกลับบอกว่านิกายนั้นไม่มีอะไรที่จะมอบให้เขาได้


“หากนิกายไม่มีอะไรให้เจ้าจริงเจ้าจะเข้านิกายมาทำไมกัน?” ไป่หลี่ชิงหยานอดไม่ได้ที่จะถาม


เย่หยวนตอบ “ข้าเข้านิกายมาย่อมเพื่อสิทธิ์เข้าร่วมชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่”


คำพูดนี้ทำให้ไป่หลี่ชิงหยานต้องเลิกคิ้วสูง “ข้าไป่หลี่ชิงหยานต้องมีพลังบ่มเพาะอาณาจักรราชันพระเจ้าก่อนจึงได้สิทธิ์มา เจ้านั้นเป็นแค่ราชันพระเจ้าเก้าดาว ครานี้มันคงไม่ทันแน่ๆ แล้ว”


ในใจจริงๆ ไป่หลี่ชิงหยานเองก็สงสารเย่หยวนไม่น้อย เพราะเย่หยวนนั้นมีพลังความสามารถที่เพียงพอแล้วแท้ๆ แต่กลับไม่มีสิทธิ์ในการเข้าร่วมงานเพราะพลังบ่มเพาะยังไม่ถึงเกณฑ์ เขาจึงไม่อาจจะที่จะเข้าร่วมได้อย่างเด็ดขาด


ในเวลาสิบปีต่อจากนี้ การจะบรรลุอาณาจักรนภาสวรรค์มันคงเป็นได้แค่เรื่องเพ้อฝัน


หากตอนนี้เย่หยวนอยู่ในอาณาจักรนภาสวรรค์ครึ่งก้าวมันก็ยังพอทำเนา


แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้เขายังเป็นแค่ราชันพระเจ้าเก้าดาว


แต่เย่หยวนกลับยิ้มตอบกลับมา “การบรรลุอาณาจักรนภาสวรรค์นั้นไม่ใช่เรื่องยากสำหรับข้าหรอก”


ไป่หลี่ชิงหยานพูดอะไรไม่ออก นางแค่รู้สึกว่าเย่หยวนนั้นช่างโอ้อวดเก่งเสียจริง


“เอาล่ะ งั้นข้าจะรอดูว่าเจ้าจะบรรลุขึ้นอาณาจักรนภาสวรรค์ได้ไหมในเวลาแค่สิบปีนี้” ไป่หลี่ชิงหยานไม่คิดที่จะต่อล้อต่อเถียงใดๆ และแค่บอกว่าจะรอดู


นางรู้ว่าเย่หยวนนั้นมีพรสวรรค์ที่เหนือล้ำเพียงใดแต่ความเร็วในการบ่มเพาะของเย่หยวนนั้นมันไม่ได้นับว่ารวดเร็วมากนัก


เมื่อเทียบกับตัวนางแล้วเขานั้นมีความเร็วที่ไม่ต่างจากอัจฉริยะทั่วไปคนอื่นๆ


เพราะต่อให้เป็นนาง ตัวไป่หลี่ชิงหยานเองก็ไม่อาจะจะบรรลุจากราชันพระเจ้าเก้าดาวขึ้นอาณาจักรนภาสวรรค์ได้ด้วยเวลาแค่สิบปี


แน่นอนว่าเย่หยวนเองก็ย่อมไม่มีทางทำได้



หลังจากไป่หลี่ชิงหยานจากไปเย่หยวนก็เริ่มเข้าสู่การเก็บตัวเพื่อโจมตีฐานอาณาจักรนภาสวรรค์ในทันที


เวลาสองร้อยปีมานี้เย่หยวนได้ทำเรื่องราวมากมายหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือการร่างบัญญัติเทพแห่งถงเทียนระดับห้าไว้ในหัว


จริงๆ แล้วตั้งแต่ตอนที่เริ่มบรรลุอาณาจักรวายุพระเจ้ามาได้เย่หยวนก็ได้เริ่มวางแบบแผนการบ่มเพาะของบัญญัติเทพแห่งถงเทียนมาเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ทำสำเร็จในช่วงสองร้อยปีที่ผ่านมา


เมื่อผ่านระดับสี่ที่แสนยากเย็นนั้นมาได้ การบ่มเพาะระดับห้ามันจึงเป็นเรื่องที่ง่ายดายกว่ากันมาก


การสร้างแนวทางการบ่มเพาะระดับห้าได้ง่ายๆ เช่นนี้มันแสดงให้เห็นว่าเย่หยวนเข้าใจในอาณาจักรนภาสวรรค์มากแค่ไหน


การบรรลุนั้นมันก็แค่ขึ้นอยู่กับว่ามีพลังวิญญาณจะทำเมื่อไหร่


อาณาจักรนภาสวรรค์ที่แสนยากเย็นของคนอื่นมันไม่ได้เป็นเรื่องยากเย็นขนาดนั้นกับเย่หยวนเลย


เมื่อมีตาล่มวิญญาณบ่มเพาะปิดกั้นอยู่เช่นนี้แล้วเย่หยวนจึงยิ่งไม่ต้องกังวลเรื่องจะขาดพลังวิญญาณและย่อมไม่ต้องใช้โอสถใดๆ มาช่วยเหลือเลย


เวลาสิบปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว


ในวันนี้ระหว่างที่สามสัตว์อสูรกำลังเก็บตัวบ่มเพาะอยู่นั้นพวกเขาก็รับรู้ได้ถึงคลื่นพลังอันรุนแรงจากทางด้านถ้ำหลวงของเย่หยวน


“มาสร้างปัญหากันอีกแล้ว? ครานี้เป็นแค่นภาสวรรค์หนึ่งดาว ไปจัดการมันกันหน่อยเถอะ” หมีเฒ่าบอก


“หึ เพราะเจ้าเด็กคนนั้นตอนนี้พวกเราจึงมีพลังฝีมือเหนือล้ำขึ้นมา! ต้องเฝ้าที่นี่ไว้ให้ดีไม่เช่นนั้นหากเจ้าเด็กคนนั้นมันไล่เราไป เราคงไม่ได้ที่ดีๆ แบบนี้อีกแน่” เฒ่ากวางบอก


สัตว์อสูรทั้งสามหันคุยกันอยู่นิดหน่อยก่อนจะพุ่งตัวออกมา


ฟุบ!


ฟุบ!


ฟุบ!


สามสัตว์อสูรย้ำเท้าลงด้วยความตื่นตกใจอย่างถึงที่สุด


พวกเขาคิดว่ามีคนนอกนักยุทธนภาสวรรค์หนึ่งดาวบุกเข้ามา แต่ไม่นึกไม่ฝันว่าคลื่นพลังที่สัมผัสได้นี้จะกลับกลายเป็นเย่หยวนแทน!


“เด็กน้อย… เจ้าบรรลุอาณาจักรนภาสวรรค์แล้ว!” เฒ่าหมีเบิกตาโพลงด้วยความตื่นตะลึง


สิบปีก่อนเย่หยวนยังเป็นแค่ราชันพระเจ้าเก้าดาว


สิบปีต่อมาเย่หยวนกลับกลายเป็นเทพนภาสวรรค์หนึ่งดาว!


อาณาจักรนภาสวรรค์มันจะง่ายเกินไปไหม?


เย่หยวนพยักหน้าบอกด้วยรอยยิ้ม “อืม เพิ่งบรรลุได้เลย พวกเจ้าทั้งสามเฝ้าตรวจดูที่แห่งนี้อย่างดีมาหลายปี ข้าจึงใช้เวลาที่เหลือน้อยนิดนี้หลอมโอสถมาให้ พวกเจ้าจงรับมันไปเป็นรางวัลเถอะ”


เฒ่าหมียกเท้าขึ้นมาโบกปัด “ไม่ต้องหรอก โอสถของมนุษย์มันไม่มีประโยชน์แก่เรา เราใช้มันไม่ได้”


เย่หยวนยิ้มออกมา “นี่คือโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์”


เฒ่าหมีตะโกนร้องขึ้น “เจ้าที่เป็นมนุษย์กลับรู้วิธีหลอมโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์หรือ?”


เย่หยวนโยนโอสถเหล่านั้นออกมาให้สัตว์อสูรทั้งสามมองดู และภาพตรงหน้านั้นมันทำให้พวกเขาแทบต้องกรีดร้องออกมาด้วยความตื่นตกใจ


เฒ่าหมีร้องบอก “โอสถสิบหทัยขั้นเทวะ! นี่มัน… เจ้าหลอมโอสถนี้ขึ้นมาจริง?”


เย่หยวนหัวเราะออกมา “หากข้าไม่หลอม แล้วใครจะเป็นคนหลอม? ข้าแค่บังเอิญมีสมุนไพรสิบหทัยติดตัวมาด้วยจึงคิดจะนำมันมาหลอมให้พวกเจ้าได้กินกัน”


ตอนที่เขาอยู่ในเมืองจักรพรรดิต้นทรราชนั้นเย่หยวนแทบจะสามารถชี้สั่งได้ทุกอย่าง เขาย่อมมีสมุนไพรระดับห้าติดตัวมาไม่น้อย


แม้ว่าพวกมันจะไม่ได้เป็นสมุนไพรที่หายากนักแต่การหลอมโอสถสิบหทัยนั้นก็ไม่ได้ง่ายเลย

 

 

 


ตอนที่ 1817 สิทธิ์

 

“หึ ซ่งถิงมันช่างมีโชคเสียจริงๆ เชียนเย่ตายลงด้วยมือของเย่หยวนทำให้มันได้รับสิทธิ์เข้าร่วมงานชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่อย่างไม่ต้องลงมือใดๆ”


“พลังฝีมือของมันแสนจะอ่อนแอไปแล้วก็คงทำอะไรไม่ได้มากมาย ข้าว่าให้เย่หยวนไปทั้งๆ อย่างนี้มันยังจะดีกว่าเสียอีก!”


“น่าเสียดาย พลังฝีมือของเย่หยวนนั้นมันสามารถเข้าร่วมชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่ได้แล้วแท้ๆ แต่เขากลับยังไม่อาจบรรลุอาณาจักรนภาสวรรค์ขึ้นไปได้”



บนลานกว้างหน้าโถงใหญ่ของยอดหลัก ตอนนี้เหล่าศิษย์อาจารย์ทั้งหลายของนิกายต่างมาเพื่อส่งเหล่าศิษย์ที่จะได้ไปเข้าร่วมชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่


ศิษย์ที่จะได้เข้าร่วมงานในครั้งนี้มันมีทั้งหมดสี่คนประกอบไปด้วยไป่หลี่ชิงหยาน เจียงเชอเหยียน อี้ชิงเซียงและซ่งถิง


เดิมทีซ่งถิงย่อมไม่มีโอกาสใดๆ ที่จะได้เข้าร่วมงานชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่ แต่เมื่อเชียนเย่ตายลงไปมันจึงเกิดช่องว่างขึ้นมา


ด้วยข้อกำหนดด้านอายุแล้วทางนิกายจึงต้องเลือกคนที่เหมาะสมที่สุดรองลงมา และตัวเลือกนั้นมันก็มีเพียงแค่ซ่งถิงเท่านั้น


ซ่งถิงบรรลุขึ้นอาณาจักรนภาสวรรค์หนึ่งดาวได้เมื่อประมาณร้อยปีก่อน ตอนนี้พลังฝีมือของเขาจึงพัฒนาไปอย่างที่ตัวเขาคนก่อนเทียบไม่ติดฝุ่น


ซ่งถิงในตอนนี้มีท่าทางยโสและร่าเริงมาก เพราะไม่ว่าอย่างไรการได้เข้าร่วมชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่มันก็เป็นเรื่องที่แสนยิ่งใหญ่


อย่างน้อยๆ มันก็จะช่วยนิกายคชสารมารได้บ้าง


“หึ เย่หยวนจะเก่งกาจมากมายแล้วทำไม? อย่างน้อยๆ ในครั้งนี้มันก็ไม่มีโอกาสเข้าร่วมชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่!”


ซ่งถิงนั้นกล่าวขึ้นมาในใจ


เขารู้ดีว่าการที่ตัวเองได้เข้าร่วมชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่นั้นมันขัดใจผู้คนมากแค่ไหน แต่เป็นเย่หยวนเองที่ไม่มีปัญญาบรรลุขึ้นมา จะไปโทษใครได้?


อีกด้านตอนนี้ไป่หลี่ชิงหยานกำลังกวาดสายตามองไปทั่วฝูงชนที่มาส่ง


เจียงเชอเหยียนยิ้มออกมาทันทีที่เห็นสภาพนั้น “เลิกมองเถอะ ไอ้เด็กคนนั้นมันคงไม่มากหรอก การบรรลุอาณาจักรนภาสวรรค์ด้วยเวลาเพียงสิบปีนั้นมันไม่ใช่เรื่องที่สามารถทำได้ไม่ว่าจะเป็นใคร หรือว่าเจ้าคิดว่าเขาจะมาส่งเจ้ากัน?”


ไป่หลี่ชิงหยานตอบเบาๆ กลับมา “ก็เขาบอกว่าเขาจะบรรลุนี่!”


ไม่รู้ว่าทำไม แม้แต่ตัวไป่หลี่ชิงหยานเองก็ไม่เชื่อว่าเย่หยวนจะทำได้แต่สายตาของนางก็ยังคงเฝ้ามองหาเย่หยวน


บางทีความคิดสมองของคนเรามันก็ช่างแปลกประหลาด


เจียงเชอเหยียนยิ้มออกมาด้วยท่าทางเย้ยหยัน “แม้ว่าไอ้เด็กคนนั้นมันจะมีแนวคิดที่แข็งแกร่งแต่ความเร็วในการบ่มเพาะของมันก็ไม่ได้รวดเร็วมาก มันย่อมไม่มีทางบรรลุจากอาณาจักรราชันพระเจ้าเก้าดาวขึ้นอาณาจักรนภาสวรรค์มาได้ด้วยเวลาแค่แน่ เจ้าไม่คิดว่าอย่างนั้นหรือ?”


แต่ไป่หลี่ชิงหยานก็ยังยืนกราน “คนอื่นทำไม่ได้ แต่เขานั้น… อาจจะทำได้?”


เจียงเชอเหยียนอดไม่ได้ที่จะหันหน้าหนี “นังเด็กโง่คนนี้นี่!”


การไปร่วมงานชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่ครั้งนี้จะถูกนำไปโดยผู้อาวุโสถ่ายทอดประจำยอดพรรณสวรรค์นามซู่เหยียน


เพราะครานี้ยอดพรรณสวรรค์นั้นได้มีศิษย์เข้าร่วมงานชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่ถึงสองคน เขาในฐานะผู้อาวุโสถ่ายทอดประจำยอดย่อมต้องรู้สึกภูมิใจ


เขากล่าวคำปลุกใจนิดหน่อยก่อนจะสะบัดแขนบอก “ออกเดินทาง!”


ไป่หลี่ชิงหยานหน้าเสียลงและถอนหายใจยาว “สุดท้ายก็ไม่มีจริงๆ!”


พูดจบนางก็ตามซู่เหยียนบินขึ้นฟ้าไป


“รอก่อน!”


เวลานั้นเองที่มีร่างหนึ่งพุ่งตัวออกมากลางอากาศปิดทางของผู้คนทั้งหลายไว้


“เย่หยวน! เขา… เขาบรรลุอาณาจักรนภาสวรรค์ได้จริง!”


“น่าเหลือเชื่อ! เวลาแค่สิบปีเขากลับบรรลุขึ้นสองขั้นมาได้จนถึงอาณาจักรนภาสวรรค์!”


“หึๆ ซ่งถิงมันคงเจ็บใจมากสิใช่ไหม? เรื่องราวที่แน่นอนอยู่ตรงหน้าจู่ๆ ก็หายวับไปกับตา”


“สมน้ำหน้ามัน! ไอ้หมอนี่มันดูโอหังอวดดีขึ้นมากตั้งแต่วันที่มันรู้ตัวว่าตัวเองได้สิทธิ์เข้าร่วมชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่”



ตอนนี้ใบหน้าของซ่งถิงนั้นแข็งทื่อจนทำอะไรไม่ถูก เขาไม่นึกไม่ฝันว่าเย่หยวนจะสามารถบรรลุขึ้นมาได้ในวินาทีสุดท้ายเช่นนี้!


เท่านี้สิทธิ์เข้าร่วมชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่ของเขาก็คงปลิวหายไปกับสายลมแล้ว


เรื่องเช่นนี้มันยากที่จะยอมรับได้เสียจริง


เจียงเชอเหยียนเองก็มีสีหน้าที่ดูไม่จืดไม่แพ้ซ่งถิง


เพราะนางเพิ่งพูดว่าเย่หยวนไปหยกๆ บอกว่าเขาไม่มีทางบรรลุขึ้นอาณาจักรนภาสวรรค์มาได้


แต่สุดท้ายพูดยังไม่ทันขาดคำ ตดยังไม่ทันหายเหม็นเย่หยวนกลับปรากฏตัวออกมาด้วยคลื่นพลังของอาณาจักรนภาสวรรค์


ไป่หลี่ชิงหยานเองก็ตื่นตกใจอย่างมาก นางไม่นึกเช่นกันว่าเย่หยวนจะสามารถทำได้จริงๆ


สิบปีก่อนตอนที่เย่หยวนบอกนางว่าจะบรรลุอาณาจักรนภาสวรรค์ นางไม่ได้รู้สึกเชื่อในคำพูดนั้นแม้แต่น้อย


ไอ้เจ้าหมอนี่มันสัตว์ประหลาดชัดๆ!


จากอาณาจักรราชันพระเจ้าสู่อาณาจักรนภาสวรรค์ ความยากเย็นนี้คนทั่วๆ ไปต้องใช้เวลากว่าหมื่นๆ ปีถึงจะก้าวผ่านมันไปได้


แต่เย่หยวนนั้นต่างออกไป เขาทำได้ด้วยเวลาแค่สิบปี


เย่หยวนหันหาซู่เหยียนและกล่าว “ผู้อาวุโสซู่ ข้าเองก็ต้องการเข้าร่วมชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่”


ซู่เหยียนมองดูเย่หยวนด้วยใบหน้าแสนตกตะลึงก่อนจะพยักหน้ารับ “ไม่นึกเลยว่าเข้าจะสามารถบรรลุมาได้ในวินาทีสุดท้ายเช่นนี้ เจ้าทำให้เฒ่าคนนี้ต้องตกใจจริงๆ! ในเมื่อเจ้าสามารถบรรลุอาณาจักรนภาสวรรค์มาได้แล้วทุกสิ่งอย่างย่อมสามารถจัดวางกันใหม่ได้ ด้วยพลังฝีมือของเจ้า เจ้าย่อมมีสิทธิ์ได้ร่วมงาน”


ได้ยินเช่นนั้นใบหน้าของซ่งถิงก็แข็งค้าง


เขานั้นต่อสู้และกำจัดยอดคนในรุ่นเดียวกันไปมากมายกว่าจะได้ตำแหน่งนี้มา


สุดท้ายคำพูดเดียวของซู่เหยียนนี้กลับทำลายสิทธิ์ของเขาจนสิ้น


ตอนนี้เขาที่พุ่งตัวขึ้นมาบนฟ้าแล้วแต่กลับต้องร่อนลงไปยังยอดหลักอีกครั้ง คนที่เฝ้ามองดูอยู่ด้านล่างคงหัวเราะกันท้องแข็งตายเลยใช่ไหม?


เสียหน้าจริงๆ!


เย่หยวนยิ้มพร้อมยกมือขึ้นคารวะ “ขอบพระคุณผู้อาวุโสซู่ แต่ศิษย์นั้นแท้จริงบรรลุมาได้นานแล้วข้าเพียงแค่เดินทางไปยังโถงหลอมโอสถ มันจึงเสียเวลาไปหน่อย”


ซู่เหยียนนั้นตื่นตกใจไม่น้อยพร้อมถามออกมา “เจ้าเพิ่งบรรลุได้ไม่จำเป็นต้องใช้โอสถใด จะเดินทางไปยังโถงหลอมโอสถด้วยเหตุใดกัน?”


เย่หยวนยิ้มบอก “ข้าได้ยินว่างานชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่ครั้งนี้มันเป็นแหล่งชุมนุมของยอดคนทั่วสารทิศ ศิษย์ของบางสำนักถึงขั้นบรรลุอาณาจักรนภาสวรรค์สองดาวได้แล้ว ข้าจึงเดินทางไปยังโถงหลอมโอสถเพื่อหลอมโอสถให้แก่ศิษย์พี่ไป่หลี่”


ไป่หลี่ชิงหยานเบิกตากว้างด้วยความตื่นตกใจทันทีที่ได้ยิน เย่หยวนไปเพื่อหลอมโอสถให้แก่นาง!


ซู่เหยียนถามขึ้นด้วยความสงสัย “เจ้ารู้ศาสตร์การหลอมโอสถ?”


เย่หยวนยิ้ม “ก็พอรู้อยู่บ้าง”


พูดไปเย่หยวนก็ยื่นขวดโอสถไปให้แก่ไป่หลี่ชิงหยาน “ด้วยความสามารถของศิษย์พี่หญิงแล้วโอสถใจม่วงหยกนี้มันน่าจะช่วยให้ท่านบรรลุอาณาจักรนภาสวรรค์สองดาวได้ไม่ยาก”


เมื่อคำพูดเหล่านี้ถูกกล่าวคนทั้งหลายก็แตกตื่นกันทันที!


แม้ว่าไป่หลี่ชิงหยานจะเก่งกาจมากพรสวรรค์แค่ไหน แต่หลังขึ้นอาณาจักรนภาสวรรค์มาได้ความเร็วการบ่มเพาะของนางเองก็ไม่ได้รวดเร็วเหมือนแต่ก่อนแล้ว


เวลาสองร้อยปีมานี้นางทำได้แค่มาถึงอาณาจักรนภาสวรรค์ขั้นปลาย ยังห่างไกลจากขั้นสุดมาก


แต่โอสถของเย่หยวนนี้กลับจะทำให้ไป่หลี่ชิงหยานบรรลุขึ้นอาณาจักรนภาสวรรค์สองดาวได้


มันจะเป็นโอสถวิเศษประเภทใดกัน?


ไป่หลี่ชิงหยานเปิดขวดนั้นออกมาทำให้กลิ่นโอสถสมุนไพรหอมฟุ้งไปทั่วฟ้า นางได้แต่อ้าปากค้างด้วยความตกใจ “โอสถใจม่วงหยกขั้นเทวะ!”


เย่หยวนยิ้ม “รีบๆ กินมันเถอะ ขืนยังจ้องมองมันแบบนั้นฤทธิ์โอสถจะได้จางลงหมดพอดี!”


ไป่หลี่ชิงหยานผงะไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินก่อนจะรีบกลืนโอสถนั้นลงไป


ซู่เหยียนมองดูเย่หยวนด้วยความตื่นตกใจอย่างมาก อารมณ์ความรู้สึกของเขาในตอนนี้มันสับสนจนไม่อาจอธิบายออกมาได้


เด็กคนนี้ไม่ได้มีดีแค่พลังฝีมือที่เยี่ยมยอดเหนือล้ำผู้อื่น แต่เขายังมีวิชาหลอมโอสถที่เก่งกาจไม่แพ้ใครด้วย!


ไม่นานหลังจากไป่หลี่ชิงหยานกลืนโอสถลงไปคลื่นพลังจากร่างของนางก็พุ่งสูงขึ้นจนบรรลุเข้าสู่อาณาจักรนภาสวรรค์ไป


“บรรลุแล้ว! บรรลุได้จริงๆ ด้วย! พระเจ้าช่วยโอสถนี้มันจะมีฤทธิ์แรงเกินไปไหมเนี่ย?”


“เท่านี้ศิษย์พี่ไป่หลี่ชิงหยานก็คงแข็งแกร่งขึ้นไปอีกมาก ความหวังของนิกายเงาจันทร์เราเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลแล้ว!”


“ครั้งนี้เย่หยวนทำให้เราตื่นตกใจกันมากจริงๆ! ไอ้หมอนี่มันจะเก่งกาจจนเกินไปแล้ว!”


ภายใต้สายตาของคนทั้งหลายนั้นไป่หลี่ชิงหยานสามารถบรรลุขึ้นสู่อาณาจักรนภาสวรรค์สองดาวได้สำเร็จ!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)