Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1808-1811
ตอนที่ 1808 ไม่มีตามองของดี
เมื่อเทพถ่องแท้ชี้นิ้วออกมาเช่นนั้นแม้มันจะเป็นเพียงแค่การยกชี้ธรรมดาแต่พลังที่ปล่อยออกมากลับแสนสุดน่ากลัว
เย่หยวนรู้สึกราวกับว่ามิติรอบกายถูกปิดแน่น ตอนนี้เขาไม่สามารถจะใช้งานแนวคิดแห่งห้วงมิติออกมาได้เลย
ยอดฝีมืออาณาจักรเทพถ่องแท้ ต่อให้พวกเขาจะไม่รู้แนวคิดแห่งห้วงมิติแต่พลังห้วงมิติของพวกเขามันก็เหนือล้ำจนทำให้ผู้คนต้องขนลุกชัน
นี่คือความห่างชั้นของอาณาจักร!
และนิ้วชี้นี้มันผ่านตัวไป่หลี่ชิงหยานที่ยืนบังหน้าและพุ่งเข้าหาเย่หยวนไปตรงๆ
“เย่หยวน!”
เมื่อไป่หลี่ชิงหยานเห็นภาพนี้นางจึงได้แต่ร้องออกมาด้วยสีหน้าซีดเผือด
เมื่อนางได้ยินว่าเย่หยวนยังไม่ตาย นางนั้นดีใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
แต่ตอนนี้ทั้งที่ได้เจอกันอีกครั้งแล้ว สุดท้ายกลับจะถูกความตายพรากจากกันอีกแล้วหรือ?
นางไม่ยอมรับ!
เชียนเย่และพวกที่เหลือต่างมีใบหน้าแสนพึงพอใจ ไอ้เจ้าหมอนี่มันจะตายลงสักทีสินะ?
แต่ตอนนั้นเองมิติข้างๆ กายเย่หยวนกลับเปิดออกขึ้นมาบังหน้าเย่หยวนไว้
พร้อมๆ กับขวานเก่าๆ ที่ปรากฏขึ้นมาจากความว่างเปล่า
พลังดัชนีนั้นจางหายไปในพริบตา
เทพถ่องแท้ผู้นั้นแสดงใบหน้าไม่พอใจออกมาทันที “เฉียวฟู เจ้าไม่ตัดไม้อยู่ที่ยอดผู้กล้าสวรรค์ของเจ้า มาทำอะไรที่ยอดดอกตูมสวรรค์ของข้ากัน?”
ได้ยินแบบนั้นก็ปรากฏร่างของคนตัดไม้ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ เดินออกมาจากความว่างเปล่านั้น “ที่นี่มิใช่ยอดผู้กล้าสวรรค์แต่เย่หยวนนั้นคือคนของยอดผู้กล้าสวรรค์ข้า เจียงหง หากเจ้าคิดอยากสังหารศิษย์จากยอดผู้กล้าสวรรค์ข้าแล้ว มีหรือที่ข้าจะปล่อยมันผ่านเลยไปง่ายๆ?”
เจียงหงตอบกลับมา “เขาทำผิดกฎนิกายและสมควรรับโทษตาย!”
คนตัดไม้คนนั้นใส่เสื้อแบบถกแขนขึ้นทั้งยังถกขากางเกงขึ้นด้วย สภาพเสื้อผ้าหน้าตาของเขานั้นแสนธรรมดามันดูไม่เหมือนผู้คนยอดฝีมือเลยแม้แต่น้อย
แต่การโจมตีเมื่อครู่นี้มันยังสดใหม่ในความทรงจำของทุกผู้คน
ชายคนนี้สามารถรับมันไว้ได้ง่ายๆ เขาต้องอยู่ในระดับเดียวกับเจียงหงแน่!
ได้ยินคำของเจียงหงทางเฉียวฟูก็ตอบกลับไป “กฎของนิกาย? หึๆ นิกายเงาจันทร์ของข้ามีกฎปล่อยให้ศิษย์มากพรสวรรค์ตายไปต่อหน้าหรือ?”
เจียงหงตอบกลับมาอย่างไม่พอใจ “เฉียวฟู เจ้านึกถึงฐานะตัวเองบ้าง! พูดจาอะไรระมัดระวังหน่อย!”
แต่เฉียวฟูกลับยกมือขึ้นมาโบกปัดตอบไปอย่างไม่ใยดี “ไม่ต้องมาพูดเรื่องตัวตนฐานะใดๆ กับเฒ่าคนนี้ ข้าคือคนตัดไม้เฉียวฟู! หากเจ้าคิดอยากสังหารคนจากยอดผู้กล้าสวรรค์ข้าเจ้าย่อมต้องถามขวานในมือข้าเสียก่อน!”
เจียงหงพ่นลมออกมาแรง “ไอ้คนเถื่อนที่พูดจาไม่ได้ด้วยเหตุผล! ไม่ว่าอย่างไรเด็กคนนั้นก็ต้องตาย! ไม่เช่นนั้นยอดดอกตูมสวรรค์ข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?”
เฉียวฟูไม่คิดสนใจคำขู่ของเจียงหงและหัวเราะลั่นขึ้น “มิใช่ว่าเย่หยวนนั้นกำลังคิดท้าทายเจ้าเด็กชื่อเชียนเย่คนนั้นหรือ? เรื่องของคนหนุ่มสาวก็ปล่อยให้คนหนุ่มสาวจัดการ คนเฒ่าอย่างเราย่อมไม่ควรไปยุ่งเกี่ยว”
คำพูดนี้ของเฉียวฟูทำให้ทุกคนแสดงท่าทีมึนงงออกมา
ไม่ใช่ว่าเขามาเพื่อช่วยเย่หยวนหรือ? ทำไมเขาถึงส่งเย่หยวนไปตายเช่นนั้นกัน?
บังคับให้เย่หยวนต้องไปปะทะกับยอดฝีมือนภาสวรรค์ เรื่องนี้มันเท่ากับส่งเขาไปตายชัดๆ
เจียงหงหัวเราะขึ้น “หากเจ้าอยากส่งมันลงนรกขนาดนั้นข้าก็ย่อมไม่คิดค้าน! เชียนเย่ เจ้าจัดการเสีย!”
นั่นทำให้เชียนเย่สั่นสะท้านขึ้นทันทีก่อนจะกัดฟันตอบรับไป “ขอรับผู้อาวุโสเจียงหง!”
เจียงหงมองดูเชียนเย่ด้วยความตกใจไม่น้อยและเริ่มรู้สึกไม่แน่ใจขึ้นมา
เพราะเชียนเย่คนนี้กลับดูไม่มั่นใจว่าจะชนะเย่หยวนได้!
หรือว่าเจ้าเย่หยวนคนนี้มันจะมีอะไรผิดแปลกไป?
แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรต่อหรือถามเชียนเย่ใดๆ เพราะเรื่องนั้นมันคงไม่ฉลาดนักที่จะทำ
ถึงเวลานี้แล้วทุกคนต่างพอเข้าใจได้ว่ายอดเทพถ่องแท้ทั้งสองนี้คือใครมาจากไหน
เก้าผู้อาวุโสถ่ายทอดนั้นไปไหนมาไหนไม่เคยมีใครได้เห็นเงา
แต่เรื่องราวในวันนี้มันแสนจะยิ่งใหญ่จนทำให้สองจากเก้าผู้อาวุโสถ่ายทอดต้องลงมาจัดการเรื่องเอง!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้อาวุโสถ่ายทอดของยอดผู้กล้าสวรรค์คนนี้ยิ่งเป็นตัวตนที่แสนลึกลับ
เพราะเรื่องราวในยอดผู้กล้าสวรรค์นั้นเขาไม่เคยคิดจะสนใจใดๆ มาก่อน
ไม่มีใครนึกใครฝันว่าวันนี้เพื่อเย่หยวนแล้วยอดคนท่านนั้นถึงกับปรากฏตัวออกมาเช่นนี้
ทุกคนต่างไม่คิดไม่ฝันเช่นกันว่าแท้จริงแล้วผู้อาวุโสถ่ายทอดของยอดผู้กล้าสวรรค์จะเป็นแค่คนตัดไม้!
แม้แต่เจียงหงยังดูถูกดูแคลนเฉียวฟูผู้นี้เพราะเขานั้นมีท่าทางป่าเถื่อนเกินไป
เพราะหากให้พูดตามตรง หากไม่เห็นว่าเฉียวฟูทำการป้องกันการโจมตีของเจียงหงไว้ได้เมื่อสักครู่ มันก็คงไม่มีใครคิดว่าคนตัดไม้คนนี้จะเป็นยอดฝีมืออาณาจักรเทพถ่องแท้ไปได้
ชายคนนี้มันดูธรรมดาเกินไป!
ธรรมดาจนถึงขั้นที่ว่าเดินเข้าฝูงชนแล้วจะหายไปอย่างแนบเนียนไม่มีใครแยกแยะเขาออกได้
แต่เย่หยวนนั้นกลับมองเห็นพลังของเฉียวฟูผู้นี้!
เจียงหงนั้นระแวงพลังของเฉียวฟูผู้นี้อย่างมาก
ตอนนี้จู่ๆ เฉียวฟูก็หันมาหาเย่หยวนและมองดูอย่างใกล้ชิด ใบหน้าของเขานั้นมันไม่ได้ต่างอะไรจากคนตัดไม้ที่พบเจอได้ตามป่าเขาทั่วๆ ไปเลยแม้แต่น้อย
ใบหน้าท่าทางแบบนี้มันทำให้ผู้คนเข้าใจผิดได้อย่างง่ายดาย ทำให้ผู้คนไม่มีทางเชื่อว่าเขาคือยอดฝีมือไปได้เลย
เย่หยวนมองดูที่เฉียวฟูด้วยความตื่นตกใจอย่างมาก
แต่ความรู้สึกนั้นมันไม่ได้มาจากความธรรมดาของเฉียวฟูคนนี้ แต่เป็นเพราะเขาผิดธรรมดาไปมากต่างหาก
นี่คือจุดสุดยอดที่ความเหนือล้ำกลับกลายเป็นความธรรมดา สูงสุดคืนสู่สามัญระดับที่คนทั่วๆ ไปไม่มีทางเข้าถึงได้!
“หึๆ เด็กน้อย เจ้าอย่าได้ทำให้ยอดผู้กล้าสวรรค์เราเสียหน้า! ไปจัดการมันให้เละเลย!” เฉียวฟูบอกเย่หยวน
เย่หยวนพยักหน้ารับ “ขอบพระคุณผู้อาวุโสที่ช่วยเหลือ เย่หยวนผู้นี้จะไม่ทำให้ท่านต้องผิดหวัง!”
เฉียวฟูนั้นตบบ่าของเย่หยวนด้วยรอยยิ้ม “ตั้งแต่วันที่เจ้าเดินขึ้นยอดผู้กล้าสวรรค์มาข้าก็เฝ้าดูเจ้ามาตลอด ไอ้พวกโง่เง่าที่มันรู้จักแต่จับพรรคจับพวกมีตาไม่รู้จักมองของดี! ยอดฝีมือท้ายสุดแล้วก็คือคนที่มีฝีมือเก่งกาจ! ไม่ว่าพรรคพวกฝ่ายไหนจะแข็งแกร่งปานใด มันก็มิใช่พลังของตน! ตอนนี้จงแสดงพลังของเจ้าออกมาและทำให้เจ้าโง่พวกนี้มันได้นึกเสียใจบ้างเถอะ!”
เย่หยวนเบิกตากว้าง เขาไม่นึกไม่ฝันว่าเฉียวฟูจะสนใจเฝ้าดูเขามานานแสนนานแล้ว
ดูท่าเขาคงเฝ้าจับตาและรู้ทุกการเคลื่อนไหวของเย่หยวนเป็นแน่
เพราะฉะนั้นเขาจึงมั่นใจในตัวเย่หยวนมาก
ที่สำคัญคำพูดของเขานั้นมันยังตรงกับความคิดของเย่หยวนอีกด้วย
การที่มีพรรคพวกนิกายแข็งแกร่งคอยหนุนหลังมันย่อมช่วยอะไรได้หลายๆ อย่าง แต่มันก็ทำให้ขาดอะไรไปมาก
จะบอกว่าใครดีกว่าใคร ฝั่งไหนดีกว่ากันมันคงเป็นเรื่องที่พูดได้ยาก
แต่สิ่งหนึ่งที่นักยุทธต่างทำคือการที่พวกเขาต้องพึ่งพากำลังของตัวเอง
สักวันหนึ่งมันต้องมีเวลาที่ค่ายนิกายพรรคพวกไม่สามารถให้ความช่วยเหลือเขาได้
…
เดินขึ้นมากลางสังเวียนเย่หยวนก็ยืนเอามือไขว้หลังไว้อย่างสง่างาม
เชียนเย่ได้แต่ยิ้มออกมา “ไอ้โง่เอ้ย เจ้าคิดว่าแค่บรรลุขึ้นมาเป็นราชันพระเจ้าเก้าดาวแล้วจะพอสู้กับอาณาจักรนภาสวรรค์ได้หรือ? ข้าจะแสดงให้เห็นเองว่าความแตกต่างของอาณาจักรราชันพระเจ้าและอาณาจักรนภาสวรรค์มันห่างชั้นกันเพียงใด!”
เชียนเย่ในตอนนี้เองก็ไม่ใช่เชียนเย่คนก่อนแล้ว
แม้ว่าเขาจะไม่อาจบรรลุขึ้นอาณาจักรนภาสวรรค์สองดาวได้แต่เขาก็แข็งแกร่งขึ้นกว่าเมื่อสองร้อยปีก่อนอย่างมาก
ต่อให้เชียนเย่จะไม่อาจเทียบเคียงพรสวรรค์กับสัตว์ประหลาดอย่างไป่หลี่ชิงหยานได้แต่เขาเองก็ไม่มีทางแพ้ให้กับใครหน้าไหนง่ายๆ
เพราะในความเป็นจริงแล้วเขาเองก็เป็นยอดคนของรุ่นเดียวกัน
เพราะฉะนั้นในสายตาของทุกผู้คนแล้วการกระทำของเย่หยวนมันจึงเหมือนแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ
ต่อให้เฉียวฟูคนนั้นจะดูท่ามั่นใจในเย่หยวนมากแค่ไหนก็ตาม
แต่ความแตกต่างระหว่างอาณาจักรนภาสวรรค์และอาณาจักรราชันพระเจ้ามันก็แตกต่างกัยจนเกินไป แม้แต่ยอดอัจฉริยะอย่างไป่หลี่ชิงหยานก็ไม่มีทางจะกระโดดข้ามไปต่อสู้ได้
อย่าว่าแต่ราชันพระเจ้าเก้าดาว ต่อให้เป็นไป่หลี่ชิงหยานตอนที่ยังอยู่อาณาจักรนภาสวรรค์ครึ่งก้าวนางเองก็ไม่อาจจะทำได้เช่นกัน!
อาณาจักรนภาสวรรค์นั้นคือช่วงที่โลกภายในของพวกเขาเริ่มให้กำเนิดชีวิตนับไม่ถ้วน พลังโลกของพวกเขาทั้งหลายนั้นมันจึงเหนือล้ำกว่าราชันพระเจ้าไปอย่างมากมายมหาศาล
เมื่อผสานกับปราณเทวะที่มากมายแล้ว ต่อให้เป็นการโจมตีเบาๆ มันก็มากพอที่จะสังหารราชันพระเจ้าได้ง่ายๆ
แล้วเย่หยวนจะเอาอะไรมาชนะ?
ตอนที่ 1809 ประลองเชียนเย่
“ช่องว่างความห่างของอาณาจักรนภาสวรรค์และอาณาจักรราชันพระเจ้านั้นข้าย่อมรู้ถึงมันดี ข้ารู้ดีว่าตัวเองกำลังทำอะไร ยิ่งเจ้าพูดมากมันก็ยิ่งแสดงความไม่มั่นใจของตัวเองออกมามากเท่านั้น” เย่หยวนบอกออกมาต่อหน้าเชียนเย่
เชียนเย่นั้นผงะไปนิดหน่อยและเย่หยวนก็ย่อมสามารถมองเห็นถึงความไม่มั่นใจนั้นได้
ราชันพระเจ้าท้าทายนภาสวรรค์ การรนหาที่ตายเช่นนี้หากเชียนเย่มีความมั่นใจในตัวเองจริงๆ เขาก็คงไม่แสดงท่าทางผงะแบบนั้นออกมา
แต่ทว่าเขาลังเล
นี่แสดงออกมาอย่างชัดเจนได้ว่าพลังฝีมือที่เย่หยวนแสดงออกมาก่อนหน้าในตอนนั้นมันทำให้เชียนเย่หวั่นกลัวมากแค่ไหน
เมื่ออีกฝ่ายเพิ่มขั้นบ่มเพาะขึ้นอย่างมาก ความไม่มั่นใจของเชียนเย่ก็ยิ่งเพิ่มขึ้นมากตาม
เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่กล้าที่จะรับคำท้าใดๆ
เพราะการปล่อยให้เย่หยวนโดนลงโทษไปตามระเบียบมันปลอดภัยกว่ามาก
เชียนเย่ยิ้มตอบ “หึ แค่คนอย่างเจ้า? ข้าแค่ไม่อยากลดตัวลงมือก็เท่านั้น แต่ไหนๆ เจ้าก็มารนหาที่ตายถึงเบื้องหน้าข้าแล้วข้าก็ย่อมจะแก้แค้นเรื่องฮันหลินให้เขาเอง!”
เย่หยวนยิ้มด้วยความเหยียดหยาม “พูดมากปากเหม็นจริงๆ! อะไรที่มันจบได้ง่ายๆ จะยังมาลังเลอะไรอีก?”
เจียงหงได้แต่ขมวดคิ้วแน่นและได้ต้องมองเย่หยวนใหม่
เพราะด้วยสายตาของเขา เขาย่อมสังเกตได้ว่าเชียนเย่กำลังกังวล!
แม้ว่าคนทั้งสองนี้จะมีพลังบ่มเพาะที่ห่างกันหนึ่งอาณาจักรแต่กลับเป็นเย่หยวนที่เป็นฝ่ายกดดัน
หากศัตรูมีพลังฝีมือเทียบเคียงกันความผิดพลาดเช่นนี้มันอาจส่งผลถึงตายได้!
เย่หยวนนั้นมีพลังฝีมือมากถึงขนาดนั้นหรือว่าแท้จริงแล้วเขาแค่อวดอ้างเกินตัว?
“เฉียวฟู เจ้ามั่นใจในตัวเด็กคนนี้?” เจียงหงหันไปถามอย่างอดไม่ได้
เฉียวฟูยิ้มกลับมา “หึๆ ข้ารู้ว่าเจ้าอยากถามอะไร แต่ข้าก็ไม่รู้ บางทีคนแพ้มันอาจจะเป็นเย่หยวนก็ได้! แต่ที่ข้ารู้คือถึงแม้เย่หยวนจะแพ้ มันก็คงไม่ใช่งานง่ายหากเชียนเย่อยากจัดการเขาลง”
เจียงหงได้แต่ทำหน้ามึนงงออกมาอย่างถึงที่สุด ได้แต่คิดในหัวว่าเจ้าหมอนี่ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าคนของตัวจะชนะแต่ยังปล่อยให้เด็กมันขึ้นสู้?
ช่างเป็นคนบ้าคลั่งป่าเถื่อนที่อธิบายด้วยเหตุผลไม่ได้เสียจริง!
เย่หยวนบอกขึ้นพร้อมชักดาบจักรพรรดิล้ำฟ้าออกมา “เมื่อเจ้าไม่ลงมือ เช่นนั้นข้าจะขอลงมือก่อนแล้ว!”
พูดจบเย่หยวนก็ยกดาบและก้าวเท้าออกไป
ความรุนแรงของการฟาดฟันดาบนี้มันทำให้ทุกคนหน้าถอดสี
“แนวคิดแห่งดาบระดับห้า นี่หรือคือความมั่นใจของมัน? โง่เง่าสิ้นดี!”
เมื่อผู้อาวุโสเถาเห็นภาพนั้นเขาก็ผงะไปไม่น้อยแต่ปากกลับยังสามารถพ่นพูดคำถูกดูเหยียดหยามออกมาได้
ราชันพระเจ้าที่สามารถบรรลุแนวคิดแห่งดาบระดับห้าได้ มันคือยอดของยอดอัจฉริยะ
เว้นเสียแต่ว่าเมื่อต้องมาเจอกับนภาสวรรค์แล้วมันยังไม่มากพอ
แต่เชียนเย่นั้นรู้สึกราวกับได้เจอศัตรูคู่แค้นแสนแข็งแกร่งและกัดฟันแน่นพูดขึ้น “ใครจะไปสนเรื่องแนวคิดของเจ้า? ข้าจะใช้นภาสวรรค์ของข้าบดทำลายเจ้าทิ้งเสีย!”
พูดจบเชียนเย่ก็ปล่อยคลื่นพลังออกมาอย่างเต็มที่ทำให้ภายในสังเวียนเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังโลกของเขา
เวลานี้มันราวกับว่าสังเวียนนี้ได้กลายเป็นโลกของเชียนเย่ไปแล้ว
เย่หยวนได้แต่หรี่ตามอง ตอนนี้เขาได้เข้าใจพลังที่แท้จริงของยอดฝีมือนภาสวรรค์แล้ว
หากพลังโลกของราชันพระเจ้านั้นเป็นหยดน้ำ พลังโลกของนภาสวรรค์ก็คงเป็นดั่งแม่น้ำทั้งสาย
พลังโลกคือพลังที่ได้มาจากการปกครองโลกของนักยุทธ!
อาณาจักรนภาสวรรค์นั้นคือตอนที่พวกเขาสามารถปกครองโลกได้อย่างละเอียดอ่อนและพิถีพิถันไปแล้ว
คนที่จะต้านทานอาณาจักรนภาสวรรค์ได้ก็คือคนที่อยู่อาณาจักรนภาสวรรค์ขึ้นไป!
แน่นอนว่าเย่หยวนย่อมไม่ได้อยู่ภายใต้กฎข้อนี้
ร่างของเย่หยวนเริ่มเบลอขึ้น พื้นที่รอบๆ กายเขาเองก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นความไม่แน่นอน
หากพลังโลกของเชียนเย่คือโล่ที่แสนแข็งแกร่ง เช่นนั้นเย่หยวนก็จะเป็นดาบสุดคม
นี่คือการปะทะกันระหว่างหอกและโล่ที่แท้จริง!
ภายใต้สายตาของทุกผู้คนเย่หยวนได้ทะลุพลังโลกอันหนาแน่นนั้นและเข้าไปถึงตัวเชียนเย่ได้ในที่สุด
เมื่อเชียนเย่ได้เห็นเช่นนั้นเขาก็ได้แต่เบิกตากว้าง
ราชันพระเจ้าสามารถฝ่าเข้ามาถึงตัวนภาสวรรค์ได้?
เพราะอย่างไรพลังโลกของอาณาจักรนภาสวรรค์มันก็เหนือล้ำกว่าอาณาจักรราชันพระเจ้านับสิบนับร้อยเท่า!
“ไอ้หมอนี่มันมีแนวคิดแห่งห้วงมิติที่แข็งแกร่งขึ้นมาก!”
เห็นเช่นนั้นแล้วเชียนเย่ยังจะประมาทได้อีกหรือ? ตอนนี้เขารีบยกอาวุธขึ้นมารับการโจมตีของเย่หยวนได้อย่างทันท่วงที
หอกแสงดาบเงา เมื่อเริ่มเข้าปะทะกันแล้วคนทั้งสองกลับมีพลังฝีมือที่เท่าเทียมกัน
ผู้คนที่มามุงดูรอบๆ นั้นทุกๆ คนต่างรู้สึกขนลุกชันไปตามๆ กัน พวกเขาได้แต่มองดูภาพตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
เจียงหงอ้าปากค้างอย่างไม่อยากเชื่อสายตา “แนวคิดแห่งดาบระดับห้าผสานกับแนวคิดแห่งห้วงมิติระดับสาม! ไอ้เจ้าเด็กคนนี้… มันทำได้อย่างไรกัน?”
ในเวลานั้นเขาได้รู้แล้วว่าเย่หยวนไปเอาความมั่นใจมาจากไหนมากมาย
ตัวตนที่แสนบ้าคลั่งขนาดนี้เข้านิกายมาได้กว่าสองร้อยปีแต่กลับไม่มีใครรับรู้ถึงตัวเขาเลย
เรื่องนี้มันล้อเล่นกันชัดๆ!
เมื่อเทียบกับเย่หยวนแล้วไป่หลี่ชิงหยานนั้นดูธรรมดาไปเลย
ยอดอัจฉริยะแบบนี้กลับได้ไปอยู่ที่ยอดผู้กล้าสวรรค์ ไอ้หมูหมาตัวไหนมันเป็นคนทำกัน?
เจียงหงได้แต่ร่ำร้องอยู่ในหัวใจ พวกเขาเหล่าเก้าผู้อาวุโสถ่ายทอดนั้นย่อมไม่ได้อยู่กับค่ายพรรคนิกายใดๆ
หากคนระดับพวกเขายังไปอยู่กับค่ายพรรคใด นิกายเงาจันทร์ก็คงไม่ใช่นิกายเงาจันทร์อีกต่อไปแล้ว
เพราะฉะนั้นเมื่อเขาเห็นความสามารถอันน่ากลัวนี้ของเย่หยวน เจียงหงจึงได้แต่ด่าว่าร่ำร้องอยู่ในใจ!
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เขาก็รู้ได้เลยว่าเย่หยวนถูกอิจฉาที่มีความสามารถพรสวรรค์จึงโดนเล่นเล่ห์ส่งไปอยู่ยังยอดผู้กล้าสวรรค์
ไม่แปลกใจเลยที่เย่หยวนจะโกรธแค้นมากถึงขั้นนี้ เป็นใครก็คงไม่มีใครทนได้
เวลาสองร้อยปีมานี้เย่หยวนมิใช่แค่บรรลุดาวพลังบ่มเพาะ เขายังได้ต่อสู้กับตัวเองในมิติบ่มเพาะมรณา
ตอนนี้แนวคิดแห่งห้วงมิติของเขานั้นบรรลุไปถึงระดับห้า แนวคิดแห่งห้วงมิติบรรลุไปถึงระดับสามขั้นสุด
เมื่อรวมสองแนวคิดนี้เข้าด้วยกัน เย่หยวนจึงมีพลังฝีมือการต่อสู้ที่เหนือล้ำกว่าตอนก่อนเก็บตัวมากมาย
แม้ว่านภาสวรรค์จะแข็งแกร่งแต่เย่หยวนก็มีวรยุทธบ่มเพาะที่เหนือล้ำ แม้จะคล้ายกับราชันพระเจ้าเก้าดาวแต่เขานั้นแข็งแกร่งกว่าคนทั้งหลายในระดับเดียวกันมาก
วรยุทธบ่มเพาะที่แข็งแกร่งผสานกับพลังแนวคิดที่เหนือล้ำ ความแตกต่างของเย่หยวนและนภาสวรรค์หนึ่งดาวมันจึงไม่ได้มากอย่างที่ใครหลายๆ คนคิด
แน่นอนว่ามันก็ไม่ได้เป็นเรื่องง่ายเลย
เชียนเย่นั้นไม่ได้เป็นนภาสวรรค์ทั่วๆ ไปเช่นกัน พลังแนวคิดของเขาเองก็สูงส่งมากรวมมาด้วยพลังโลกของเขานั้นเขาจึงสามารถกดดันเย่หยวนกลับมาได้อย่างไม่อยากเย็น
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นผู้คนก็ยังตื่นตะลึงในฝีมือของเย่หยวน
“ฮ่าๆๆ ต่อสู้ข้ามระดับได้แล้วทำไม? สุดท้ายเจ้าก็ถูกข้ากดดันได้อยู่ดีไม่ใช่เรอะ? ไอ้โง่เง่าเอ้ย เจ้าคิดจริงหรือว่าตัวเองจะท้าทายสวรรค์ได้? ข้าไม่ขอเสียเวลากับเจ้าอีกแล้ว จงเบิกตามองดูพลังที่แท้จริงของข้าพร้อมๆ กับไปยังโลกหน้าเสีย!”
เชียนเย่ขยับหอกยาวออกมาพร้อมด้วยพลังที่แสนน่ากลัวพุ่งตรงใส่เย่หยวนทันที
“หอกเขี้ยวมังกรสวรรค์คำราม!”
พลังโลกอันบ้าคลั่งพุ่งติดออกมาอยู่ที่ปลายหอกนั้น
ราวกับว่าที่ปลายหอกนี้มันมีโลกทั้งใบติดมาด้วย
ตอนนี้เองที่ผู้คนได้รับรู้ถึงพลังแท้จริงของเชียนเย่
หอกนี้มันราวกับได้กลายร่างเป็นมังกรพุ่งตัวออกมา ทำให้ผู้คนที่มองดูได้แต่จ้องมันอย่างลืมหายใจ
“ไม่ดีแล้ว พลังหอกนี้มันรุนแรงเกินไป เย่หยวนอันตราย!”
เมื่อไป่หลี่ชิงหยานเห็นหอกนี้นางก็อดไม่ได้ที่จะร้องออกมาด้วยสีหน้าที่ซีดเผือด
แต่เฉียวฟูกลับหัวเราะออกมา “ไม่ต้องห่วงไป เชียนเย่ปล่อยไพ่ตายออกมาแล้ว แต่เย่หยวนยังไม่ได้ปล่อยไพ่ตายของตัวเองออกมาเลย!”
เขายังพูดไม่ทันขาดคำพลังบนร่างของเย่หยวนก็เพิ่มพูนขึ้นอย่างมากมายมหาศาล
นี่คือพลังโกลาหลที่ถูกปล่อยออกมาอย่างไม่มีการเก็บปิดใดๆ
พลังดาบที่รุนแรงดุร้ายพุ่งขึ้นสูงพร้อมๆ กันนั้นพื้นที่มิติรอบๆ ก็เริ่มแปรปรวน
“ดาบวิญญาณลับ!”
คลื่นพลังอันแข็งแกร่งทั้งสองเข้าปะทะกันอย่างรุนแรงบ้าคลั่ง
ตอนนี้ห้วงมิติรอบๆ แตกกระจายพลังปราณเทวะพุ่งพวยออกมาอย่างบ้าคลั่งทำให้คนที่ดูอยู่ต้องหน้าถอดสีไป
เคร้ง!
จู่ๆ ดาบจักรพรรดิล้ำฟ้าในมือของเย่หยวนก็ไม่อาจต้านทานพลังนั้นได้และแตกหักลงคามือเย่หยวน!
ตอนที่ 1810 กลองเจ็ดดาวหมีใหญ่
“ไม่ได้การแล้ว อาวุธของเย่หยวนมันเสียเปรียบจนเกินไป!”
“วรยุทธระดับนภาสวรรค์ปะทะกับวรยุทธระดับราชันพระเจ้า ที่สำคัญคนทั้งสองยังมีพลังฝีมือที่เหนือล้ำจนตอนนี้อาวุธของเย่หยวนมันไม่อาจทนแรงปะทะนั้นได้ไหวอีกต่อไปแล้ว!”
ดาบจักรพรรดิล้ำฟ้าที่แตกหักลงนั้นทำให้ทุกผู้คนเกิดกังวลแทนเย่หยวน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งไป่หลี่ชิงหยาน ตอนนี้ใบหน้างามๆ ของนางนั้นซีดเผือดราวกับเป็นไก่ต้มไปแล้ว
“ฮ่าๆๆ ขอดูหน่อยเถอะว่าจะยังไม่ตายอีกไหม!”
เมื่อเชียนเย่เห็นเช่นนั้นใบหน้าของเขาก็แสดงความตื่นเต้นดีใจออกมาอย่างถึงที่สุด หอกยาวๆ ของเขายกขึ้นสูงพลังที่ปล่อยออกมารุนแรงกว่าเก่าอย่างมาก
เวลานี้แรงของหอกนั้นมันเหมือนถูกพุ่งเร่งขึ้นด้วยเครื่องยนต์จนพุ่งเข้าใส่เย่หยวนอย่างรุนแรงเทียบก่อนหน้าไม่ติด
หอกนี้โจมตีมาจนถึงเบื้องหน้าของเย่หยวน
เย่หยวนทนรับการโจมตีสุดรุนแรงนี้ไว้ด้วยใบหน้าไม่สู้ดีแต่เขาก็ยังหัวเราะเย้ยกลับไปได้ “เจ้าจะดีใจเร็วเกินไปแล้ว!”
พูดไปก็มีคลื่นดาบพุ่งออกมาจากร่างกายของเย่หยวน
ในวินาทีนั้นราวกับว่าเศษดาบจักรพรรดิล้ำฟ้าที่หักไปมันกลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง
กลางอากาศนั้นเศษดาบนับร้อยพุ่งขึ้นปิดท้องฟ้าจนมืดมัวพร้อมส่องแสงที่ทำให้ผู้คนมึนงง
“เจตดาบในเส้นไหม!”
เจียงหงและเฉียวฟูร้องออกมาพร้อมๆ กันด้วยท่าทางแสนตื่นตกใจ
ดูท่าแล้วเรื่องนี้มันคงเหนือการคาดเดาของพวกเขาไปมาก
“ตาย!”
เย่หยวนร้องบอกพร้อมส่งเศษดาบนับไม่ถ้วนนั้นพุ่งเข้าใส่เชียนเย่
เชียนเย่หน้าถอดสีทันทีเพราะพลังโลกของเขานั้นไม่อาจหยุดเหล่าเศษดาบทั้งหลายนี้ได้เลย
ในวินาทีนั้นเชียนเย่รู้สึกราวกับว่ามีดาบนับล้านเล่มวิ่งพุ่งผ่านตัวเขาไปจากทุกทิศทาง
แม้ว่าหอกของเขาอาจจะปัดป้องพวกมันได้แต่หอกของเขาก็ใช้ทำการโจมตีออกไปอย่างรุนแรงและไม่อาจดึงกลับมาป้องกันได้อีกแล้ว
เชียนเย่กัดฟันแน่นและร้องบอก “หากอยากสังหารข้าเจ้าก็ต้องตายตกไปตามกัน! อ้า…”
ความเปลี่ยนแปลงที่กะทันหันนี้มันเหนือล้ำความคาดหมายของทุกผู้คนรวมไปถึงเชียนเย่ด้วย
เขานั้นรู้ดีว่าตัวเองไม่อาจถอยได้และคิดจะตายตกตามกันไปกับเย่หยวน
ปัง!
ฉึก! ฉึก! ฉึก!
หอกยาวของเชียนเย่พุ่งผ่านสะท้อนเศษดาบนับพันไปได้แต่มันยังมีเศษดาบอีกนับไม่ถ้วนที่พุ่งเข้าใส่ร่างของเขาทำให้ร่างของเขานั้นพรุนจนแทบไม่เหลือสภาพคน
แต่ว่าเย่หยวนก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันนักเพราะพลังหอกนั้นมันแสนรุนแรงทำให้สุดท้ายเย่หยวนก็มิอาจป้องกันมันไว้ได้ทั้งหมด
แสงสีทองส่องออกมาจากร่างของเย่หยวนพร้อมด้วยลายสีฟ้า แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นเขาก็ยังปลิวลอยถอยไปไกล
หลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดในที่สุดคนทั้งสองก็ร่วงลงไปกองกับพื้นพร้อมๆ กันอย่างไม่รู้เป็นรู้ตาย
“เจตดาบในเส้นไหม เด็กคนนี้… มันกลับเก่งกาจถึงขั้นนี้!” เจียงหงมองดูเย่หยวนด้วยความตื่นตะลึง
เจตดาบในเส้นไหมนั้นมิใช่กระบวนท่าพิเศษใด แต่มันเป็นแนวคิดในเรื่องของเจตจำนงดาบ
หลังจากวิชาดาบเดินทางมาถึงแดนหลุดพ้น แท้จริงแล้วมันไม่ได้จบแค่ตรงนั้น
เมื่อนักยุทธทำการพัฒนาเจตจำนงดาบไปอีกขั้นหลังจากนั้นมันจะขึ้นไปถึงเจตดาบในเส้นไหม
ตำนานกล่าวกันว่าผู้ที่ฝึกวิชาดาบจนถึงขั้นสูงสุดนั้นแม้แต่ใบหญ้าก็กลายเป็นดาบที่คมกริบได้ พวกเขาเหล่านั้นไม่ต้องใช้สมบัติสวรรค์ใดๆ เลย
แค่ขยับมือมันก็มีคลื่นดาบออกมา
และเย่หยวนก็เดินมาถึงเจตดาบในเส้นไหมและใกล้เข้าสู่ยอดเต๋าแห่งดาบได้แล้ว
ความตื่นตกใจของเฉียวฟูก็ไม่ได้น้อยไปกว่าเจียงหงเลย
เขาเองก็ไม่คิดว่าเวลาแค่สองร้อยปีนี้เย่หยวนกลับสามารถพัฒนาฝีมือตัวเองไปได้อย่างเหนือล้ำขนาดนี้
อัจฉริยะรับนี้มันหาได้ยากในโลกหล้าจริงๆ!
บนสังเวียน เชียนเย่เริ่มแสดงอาการกระตุกขึ้น
ตอนนี้ร่างของเขานั้นเต็มไปด้วยรูแต่เพราะความเป็นยอดฝีมือนภาสวรรค์อาการบาดเจ็บแค่นี้มันคงไม่อาจสังหารเขาลงได้
ส่วนอีกด้านเย่หยวนก็ขยับนิ้วและเริ่มยันตัวลุกขึ้นมาได้ ก่อนจะค่อยๆ เดินเข้าไปหาเชียนเย่ในที่สุด
นั่นทำให้เจียงหงหน้าถอดสีทันทีเพราะเย่หยวนดูท่าคิดจะสังหารเต็มที่!
เจียงหงขยับร่างกายไปบังหน้าเย่หยวนไว้และบอก “พอแล้ว วันนี้เจ้าได้สร้างเรื่องราวมามากพอแล้ว หยุดแค่นี้แหละ! เรื่องความผิดที่เจ้าสังหารจงฮันหลินข้าจะไปพูดกับทางนิกายให้ ด้วยความสามารถระดับเจ้าทางนิกายเองก็คงไม่ลงโทษอะไรมากมาย”
เชียนเย่นั้นเป็นยอดอัจฉริยะอีกคนหนึ่งของยอดดอกตูมสวรรค์ เป็นผู้ที่อาจจะบรรลุขึ้นไปได้ถึงอาณาจักรเทพถ่องแท้ เขาจะยอมให้เชียนเย่ต้องมาตายลงเพราะเย่หยวนไม่ได้
จงฮันหลินเองก็ได้ตายไปแล้ว หากวันนี้เชียนเย่ตายไปอีกยอดดอกตูมสวรรค์นั้นคงขาดอัจฉริยะไปหนึ่งรุ่นทีเดียว
แม้ว่าพรสวรรค์ความสามารถของเย่หยวนมันจะทำให้เจียงหงต้องอ้าปากค้างแต่เจียงหงเองก็เข้าใจได้ว่าถึงตอนนี้แล้วการจะให้เขาย้ายมายังยอดดอกตูมสวรรค์มันคงเป็นไปไม่ได้แล้ว
หากเย่หยวนยอมที่จะมา อย่าว่าแต่เชียนเย่ ต่อให้เป็นสิบเชียนเย่เขาก็ยอมแลกอย่าไม่สะทกสะท้าน
เย่หยวนนั้นบาดเจ็บทั่วไปทั้งร่างตอนนี้แม้จะยกแขนยังยกไม่ขึ้น
แต่เขานั้นกลับยืนกรานตอบกลับไป “ข้าบอกแล้วว่าวันนี้มันต้องตาย!”
เจียงหงขมวดคิ้วแน่น “ไอ้เด็กคนนี้อย่าได้ใจให้มันมาก! ความอดทนของข้ามันมีขีดจำกัด!”
เย่หยวนไม่คิดจะยอมแพ้และมองเข้าไปในดวงตาของเจียงหงนั้นด้วยรอยยิ้ม “ผู้อาวุโสเจียงนั้นคือผู้อาวุโสถ่ายทอด ท่านบอกข้าหน่อยได้ไหมว่าอะไรคือโทษของการทำร้ายศิษย์คนอื่นระหว่างการสอบเข้าทั้งๆ ที่ตนเป็นผู้คุมสอบ? แถมยังส่งข้าไปยอดเพลิงเมฆาเพื่อหวังให้ข้าตายอีก มันมีโทษเช่นใด?”
เจียงหงแทบสำลักออกมาเมื่อได้ยิน “แต่ตอนนี้เจ้าก็ยังยืนอยู่ตรงนี้ได้ดี! ที่สำคัญเจ้าก็สังหารจงฮันหลินไปแล้ว เรื่องในคราวนี้… มันควรจบลงได้แล้ว!”
เย่หยวนส่ายหัวออกมา “จงฮันหลินนั้นเป็นแค่ตัวหมากที่เต้นบนฝ่ามือของเชียนเย่! หากไม่ใช่เพราะเชียนเย่เข้าโจมตีข้าตอนนั้นข้าคงสังหารมันไปตั้งแต่บนเทือกเขาเงาจันทร์แล้ว คนร้ายที่แท้จริงมันคือเชียนเย่คนนี้!”
เจียงหงนั้นรู้สึกได้ว่าเย่หยวนไม่คิดจะยอมง่ายๆ จึงตะคอกกลับมาด้วยความโกรธ “พอ! วันนี้ข้ามาอยู่ตรงนี้แล้วเจ้ายังคิดว่าตัวเองจะคิดสังหารใครก็ได้อย่างนั้นหรือ?”
เย่หยวนยิ้มออกมาอย่างสิ้นแรง “หากข้าไม่แสดงฝีมือออกมาข้าก็ควรถูกเชียนเย่ส่งไปตาย เช่นนั้นหรือ? ชีวิตของพวกมันมีค่ากว่าข้า?”
เจียงหงบอก “แล้วทำไม? โลกนี้คือโลกที่ผู้แข็งแกร่งเป็นใหญ่ เมื่อไม่มีพลังย่อมถูกกำจัดลง! ถอยไป วันนี้เจ้าไม่มีทางสังหารเขาลงได้แล้ว!”
เฉียวฟูเองก็หันมาบอกเย่หยวนพร้อมถอนหายใจยาว “เย่หยวนช่างมันเถอะ เชียนเย่นั้นเป็นความหวังสุดท้ายของยอดดอกตูมสวรรค์ เจียงหงคงไม่ยอมให้เจ้าสังหารมันแล้ว”
เฉียวฟูนั้นย่อมมองออกทันทีว่าเจียงหงนั้นจะไม่ยอมให้เย่หยวนลงมือและพร้อมปกป้องเชียวเย่อย่างสุดตัว
ต่อให้ตัวเฉียวฟูจะช่วยอย่างไรมันก็ไม่มีทางได้ผล
ที่สำคัญต่อให้นำเรื่องนี้ขึ้นไปยังพูดคุยกับทางนิกาย สุดท้ายมันก็เป็นความผิดของเย่หยวน
เย่หยวนสังการจงฮันหลินนั้นมันก็เป็นความผิดพอแล้ว ไปสังหารเชียนเย่อีกมันคงเกินไป
เย่หยวนมองดูเจียงหงด้วยรอยยิ้มแปลกๆ
เมื่อเจียงหงเห็นรอยยิ้มนี้เขาก็รู้สึกขนลุกขึ้นมา
เย่หยวนพูดขึ้นมาด้วยจิตสังหารที่ไม่สั่นคลอน “หึๆ ข้าเย่หยวนพูดสิ่งใดไว้ย่อมต้องทำให้ได้เสมอ! หากข้าอยากสังหารมัน มันก็ต้องตาย!”
เจียงหงขมวดคิ้วแน่นด้วยความรู้สึกว่าเย่หยวนนั้นช่างไร้เหตุผล
เขาขยับแขนเสื้อหนึ่งครั้งและส่งร่างของเชียนเย่ไปหาผู้อาวุโสเถา “พามันไปรักษา!”
ทุกคนต่างหันมามองเย่หยวนด้วยท่าทางเสียดายในใจ
เขาทำไปตั้งมากมาย แต่สุดท้ายเย่หยวนก็ยังไม่อาจสังหารเชียนเย่ลงได้
มันช่วยไม่ได้ เพราะอย่างไรเสียอีกฝ่ายก็เป็นถึงเทพถ่องแท้ ไม่ว่าเย่หยวนจะเก่งกาจแค่ไหนเขาก็ไม่อาจเปลี่ยนผลลัพธ์ที่ออกมาได้
เจียงหงมองดูเย่หยวนด้วยรอยยิ้มที่เย็นชา “เรื่องสังหารเชียนเย่เจ้ายอมแพ้เสียเถอะ! ด้วยท่าทางนี้ของเจ้าหากวันนี้เฉียวฟูไม่อยู่ด้วยข้าก็คงไม่สนหรอกว่าเจ้าจะมีพรสวรรค์ที่มากมายแค่ไหน ข้าจะสังหารเจ้าลงแน่!”
เย่หยวนหรี่ตาลงทันที “ข้าได้ยินว่าตราบเท่าที่ศิษย์สามารถตีกลองเจ็ดดาวหมีใหญ่ได้ พวกเขาจะสามารถขออะไรก็ได้จากทางสำนักหนึ่งอย่าง ผู้อาวุโสเจียง ท่านคิดว่า… ข้าจะขอให้นิกายสังหารมันลงไปทั้งๆ แบบนั้นเลยได้ไหม?”
ตอนที่ 1811 เก้ายอดผู้อาวุโสถ่ายทอด
คำพูดนี้ของเย่หยวนมันทำให้ทุกคนตื่นตะลึง
เจียงหงนั้นตอบสนองกลับมาได้รวดเร็วที่สุดด้วยการหัวเราะ “กลองเจ็ดดาวหมีใหญ่? เจ้าคิดว่ากลองเจ็ดดาวหมีใหญ่มันเหมือนกับยอดกลองจรัสที่พวกเจ้าตีตอนเข้านิกายมาหรือ? ข้าขอบอกเลยนะว่ายอดกลองจรัสนั้นมันถูกลดระดับลงไปมากพวกเจ้าจึงสามารถตีมันให้เกิดเสียงได้! ไม่เช่นนั้นพวกเจ้าทั้งหลายมันคงไม่มีใครเข้านิกายมาได้แน่ อย่าหวังว่าจะตีมันให้เกิดเสียงได้เลย!”
เย่หยวนได้ยินหลังจากเข้านิกายมาแล้วว่ากลองเจ็ดดาวหมีใหญ่นั้นคือสมบัติศักดิ์สิทธิ์สุดล้ำค่าของนิกายเงาจันทร์
กลองทั้งเจ็ดลูกนี้เมื่อมารวมกันมันเทียบเท่าได้กับยอดฝีมือระดับเทพสวรรค์!
สมบัติชิ้นนี้มิใช่แค่สมบัติเทพถ่องแท้เลิศล้ำ แต่เป็นถึงสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์!
กลองทั้งเจ็ดลูกนี้ต่างล้วนเป็นสมบัติเทพถ่องแท้เลิศล้ำขั้นสูง แต่เมื่อนำมันมารวมกันเป็นชุดมันกลับกลายเป็นสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์อย่างแท้จริง!
แน่นอนว่าเงื่อนไขของมันคือการที่ต้องมีใครสักคนตีมันให้ได้ทุกลูก
กลองเจ็ดดาวหมีใหญ่นั้นคือสมบัติที่ถูกทิ้งไว้ให้โดยผู้ก่อตั้งนิกายเงาจันทร์และเขายังเป็นผู้ตั้งกฎนี้ด้วย กฎที่ว่าใครก็ตามที่สามารถตีกลองเจ็ดดาวหมีใหญ่ทั้งเจ็ดให้เกิดเสียงได้คนทั้งนิกายจะต้องช่วยเรื่องราวหนึ่งอย่างของเขาผู้นั้นให้ลุล่วง
แต่ทว่าตั้งแต่เริ่มก่อตั้งนิกายมานับล้านปีมันยังไม่เคยมีใครสามารถทำเรื่องราวนั้นได้เลย
ตอนนี้เย่หยวนกลับพูดเรื่องนี้ออกมาจากปาก บอกว่าตัวเองจะตีกลองเจ็ดดาวหมีใหญ่ ทำแบบนี้มันจะไม่เป็นการทำให้ผู้คนหัวเราะเยาะหรือ?
“ไอ้หมอนี่มันคิดว่าตัวเองมากพรสวรรค์แต่จะประเมินตัวเองสูงเกินไปแล้ว!”
“หึ ตั้งแต่บรรพกาลมามียอดคนมากมายแค่ไหนที่คิดอยากตีกลองเจ็ดดาวหมีใหญ่แต่มันกลับไม่มีใครทำได้ ไอ้หมอนี่มันไปเอาความมั่นใจมาจากไหน?”
“ไอ้คนโง่อวดดี ไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่ากลองเจ็ดดาวหมีใหญ่นั้นคือสิ่งของที่เหนือล้ำเพียงใดแต่กลับกล้าพูดจาเช่นนั้นออกมา”
…
เมื่อเย่หยวนเอ่ยปากบอกทุกคนต่างก็มองกลับมาด้วยท่าทางดูถูกเหยียดหยาม
กลองเจ็ดดาวหมีใหญ่นั้นคือสมบัติศักดิ์สิทธิ์ของนิกายเงาจันทร์ ตั้งแต่บรรพกาลมาไม่เคยมีใครอวดอ้างตัวเองจนคิดจะเข้าไปตีมัน
แต่ตอนนี้กลับมีชายคนหนึ่งที่พูดเรื่องนี้ออกมาอย่างง่ายดาย บอกว่าตัวเองจะไปตีกลองเจ็ดดาวหมีใหญ่
เฉียวฟูรีบเดินขึ้นมาบนสังเวียนและบอกเย่หยวน “เจ้าหนูเลิกล้อเล่นได้แล้ว กลองเจ็ดดาวหมีใหญ่นั้นแม้แต่ท่านเจ้านิกายก็ไม่อาจตีได้ มัน… ไม่มีทางที่เจ้าจะตีมันได้หรอก ตราบเท่าที่ขุนเขายังเป็นสีเขียว ตราบเท่าที่ฟืนไฟยังอุดม เรื่องราวนี้มันย่อมสามารถหาทางแก้แค้นกันได้ในวันหน้า”
ไป่หลี่ชิงหยานเองก็เดินขึ้นมาบนสังเวียนเช่นกัน “ใช่แล้วเย่หยวน เจ้าได้แสดงความสามารถออกมาแล้วตอนนี้ทางนิกายย่อมต้องมองเจ้าใหม่แน่ ด้วยพรสวรรค์ของเจ้าการแก้แค้นสิบปีมันยังไม่สาย ที่สำคัญไปตีกลองเจ็ดดาวหมีใหญ่เพื่อสังหารขยะอย่างมันนั้นมันช่างเป็นการขี่ช้างจับตั๊กแตนอย่างแท้จริง”
ตอนนี้ไม่ว่าใครก็คิดว่าเย่หยวนนั้นพูดเรื่องนี้ออกมาด้วยความโกรธแค้น
เมื่อกลองเจ็ดดาวหมีใหญ่ถูกตีขึ้นได้มันจะเท่ากับว่าคนของนิกายทั้งหมดทั้งสิ้นนี้จะช่วยกันเพื่อทำให้ความหวังหนึ่งอย่างของผู้ตีบรรลุผล
เรื่องราวใหญ่โตขนาดนั้นหากเอามาแค่เพื่อใช้สังหารเชียนเย่มันจะเกินกว่าคำว่าน่าเสียดายไปมากทีเดียว ราวกับการยิงปืนใหญ่เพื่อสังหารยุงเล็กๆ ตัวเดียว
แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าเย่หยวนกลับบอก “ข้าไม่ได้ล้อเล่น! ข้าบอกว่าจะสังหารมัน ก็หมายความว่ามันต้องตาย! ปรานีศัตรูคือความโหดร้ายต่อตัวเอง! กลองนี้ข้าจะตีมันให้ได้แน่นอน!”
ไม่มีใครคาดคิดว่าเย่หยวนจะหนักแน่นในคำพูดได้ถึงขนาดนี้
…
หุบเขาเจ็ดดารา ที่แห่งนี้คือดินแดนต้องห้ามของนิกายเงาจันทร์และยังเป็นสถานที่ที่ใช้เก็บกลองเจ็ดดาวหมีใหญ่ไว้ด้วย
ตอนนี้เก้ายอดผู้อาวุโสถ่ายทอดนั้นต่างมารวมกันที่โถงหนึ่ง
หลายต่อหลายคนในกลุ่มนั้นหันมามองชายหนุ่มเบื้องหน้าด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตรสักเท่าไหร่
“หึ! ไอ้เด็กไม่ประมาณตน คิดอยากตีกลองเจ็ดดาวหมีใหญ่!” ยอดผู้อาวุโสถ่ายทอดประจำยอดหทัยสวรรค์บอกกล่าวอย่างไม่พอใจ
“ไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมกลับกล้ามาสร้างเรื่องให้เก้ายอดผู้อาวุโสถ่ายทอดต้องมารวมตัวกัน ช่างไม่รู้จักประมาณตัว!” ยอดผู้อาวุโสถ่ายทอดประจำยอดพลันสวรรค์บอกตาม
“เฉียวฟู เจ้าแน่ใจหรือว่าอยากช่วยเจ้าเด็กบ้าคนนี้จริงๆ? หากมันตีได้ไม่ถึงสามครั้งมันจะไม่จบแค่ตัวมันถูกไล่ไปอยู่ยอดเขาห่างไกลแต่เข้าเองก็จะต้องได้รับการลงโทษที่หนักหนาด้วยนะ!” ยอดผู้อาวุโสถ่ายทอดประจำยอดเสาสวรรค์บอกเฉียวฟู
การจะเปิดหุบเขาเจ็ดดารานั้นมันต้องให้เก้ายอดผู้อาวุโสถ่ายทอดมารวมตัวกัน
พวกเขาแค่ละคนนั้นจะได้รับส่วนหนึ่งของคาถาไว้ เมื่อคนทั้งเก้ามารวมกันเท่านั้นมันจึงจะสามารถเปิดหุบเขาเจ็ดดาราออกได้
การที่ต้องทำให้ยุ่งยากขนาดนี้ย่อมเพื่อป้องกันการบุกรุกจากภายนอก
แต่เพื่อเป็นการป้องกันเหล่าศิษย์บ้ามาท้าทายเล่นอะไรแผลงๆ กันทางนิกายจึงได้กำหนดกฎและบทลงโทษไว้อย่างเข้มงวดเช่นกัน
หากศิษย์ที่ท้าทายไม่อาจตีกลองได้ถึงสามครั้งมันจะไม่ใช่แค่พวกเขาเท่านั้นที่จะถูกลงโทษอย่างหนัก แต่รวมไปถึงยอดผู้อาวุโสที่ดูแลยอดของพวกเขาเหล่านั้นอยู่ด้วยที่จะโดนลงโทษตาม
เพราะฉะนั้นก่อนที่ศิษย์คนใดจะเข้าหุบเขาเจ็ดดาราได้ พวกเขานั้นต้องได้รับการยอมรับจากยอดผู้อาวุโสถ่ายทอดประจำยอดของตัวเองด้วย
ส่วนความสามารถของเย่หยวนนั้นย่อมไม่ต้องพูดถึง เฉียวฟูย่อมยอมรับในตัวเขามานานแสนนานแล้ว
เพียงแค่ว่าตีกลองสามครั้งนี้มันไม่ได้ง่ายดายเลยในสายตาคนอื่น
เฉียวฟูตอบกลับไป “เจ้าไม่ต้องห่วงไป! ด้วยความสามารถของเย่หยวนแล้วต่อให้มันจะดังไม่ถึงเจ็ดครั้งแต่สามครั้งนั้นมันมิใช่ปัญหาอย่างแน่นอน”
ยอดผู้อาวุโสถ่ายทอดประจำยอดเสาสวรรค์กล่าวเย้ยออกมา “เจ้าเองก็จะไม่มั่นใจในตัวเด็กคนนี้มันเกินไปหน่อยหรือ หลายต่อหลายปีมานี้มันไม่เคยมีศิษย์คนไหนตีได้ถึงสามครั้งสักที!”
เฉียวฟูหัวเราะออกมา “เย่หยวนต่างจากคนพวกนั้น! เลิกไร้สาระได้แล้ว รีบๆ เปิดหุบเขาเจ็ดดาราเถอะ!”
เมื่อเหล่าเทพถ่องแท้ทั้งเก้าปล่อยคลื่นพลังออกมา เย่หยวนก็รู้สึกได้ถึงแรงดันอันมหาศาลนั้นจนทำให้หน้าซีดไป
เทพถ่องแท้มันช่างแข็งแกร่ง!
แสงเก้าลำพุ่งขึ้นจากผืนดินและตรงเข้าไปยังจุดทั้งเก้า
ตูม!
ผนึกที่ปิดหุบเขาเจ็ดดาราไว้ค่อยๆ คลายออกด้วยลำแสงทั้งเก้านั้น
เย่หยวนหันไปมองดูร่างของเฉียวฟูด้วยความขอบคุณอย่างสุดใจ
เรื่องราวในครั้งนี้มันเหนือล้ำกว่าความคาดการณ์ของเขาไปมาก
หากไม่ใช่เพราะเฉียวฟูคนนี้เขาก็คงได้ตายลงอย่างแน่นอน
เย่หยวนหายใจเข้าลึกและเดินเข้าไปยังหุบเขาเจ็ดดาราพร้อมๆ กับมีเก้ายอดผู้อาวุโสถ่ายทอดตามมาติดๆ
เมื่อเข้ามาในหุบเขาเจ็ดดาราแล้วเขาก็พบว่ามีลมเย็นพัดออกมาอย่างรุนแรง
เย่หยวนไม่ทันตั้งตัวจนแทบโดนลมนี้พัดปลิวไป
ภาพนี้เหล่ายอดผู้อาวุโสถ่ายทอดทั้งเก้าย่อมเห็นมันและยิ่งทำให้พวกเขาดูถูกเย่หยวนในใจกันมากขึ้น
“หึ ศิษย์ชั้นนอกคิดอยากตีกลองเจ็ดดาวหมีใหญ่ นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์นิกายเลยล่ะมั้ง หากให้พูดถึงการไม่ประเมินตัวเองแล้วข้าขอยอมแพ้เจ้าเด็กคนนี้เลยจริงๆ!” เจียงหงมองดูเย่หยวนด้วยความดูถูก
เพราะเป้าหมายของการมาตีกลองนี้ของเย่หยวนมันเพื่อสังหารเชียนเย่
ในหมู่เก้ายอดผู้อาวุโสถ่ายทอดแล้ว คนที่ไม่ชอบการกระทำนี้ของเย่หยวนที่สุดย่อมเป็นตัวเขา
แม้ว่าเย่หยวนจะมีพรสวรรค์ที่เหนือล้ำเพียงใด แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะเห็นภาพของเย่หยวนถูกกลองเจ็ดดาวหมีใหญ่สะท้อนจนตัวตายไป
เฉียวฟูบอกขึ้น “เจียงหง ข้ารู้ดีว่าตอนนี้เจ้าคงไม่พอใจเย่หยวนมาก หึๆ พวกเจ้าผู้มาจากนิกายใหญ่มันก็เป็นเช่นนี้กันเสียหมด ล้วนแล้วแต่มองข้ามดูถูกคนที่มาจากนิกายเล็กๆ ล้วนแล้วแต่ดูถูกยอดผู้กล้าสวรรค์ข้า แต่พวกเจ้าคงไม่รู้หรอกว่าแท้จริงแล้วยอดอัจฉริยะนั้นย่อมมาจากนิกายเล็กน้อยเหล่านั้น! ดังเช่นข้า ตอนนั้นข้าใช้ขวานตบหน้าพวกคนชอบดูถูกทั้งหลายจนมาถึงวันนี้ได้ ส่วนวันนี้เย่หยวนก็จะใช้กำลังของเขาทำให้พวกเจ้าต้องเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปเหมือนเมื่อตอนนั้น!”
คำพูดนี้ของเฉียวฟูมันทำให้ยอดผู้อาวุโสอีกเก้าคนต้องหน้าดำคร่ำเครียด
เฉียวฟูนั้นคือตำนานประจำนิกายเงาจันทร์จริงๆ
เขานั้นมาจากนิกายเล็กๆ ไร้ชื่อเสียง ถือขวานเข้ามาตบหน้าเหล่าผู้ถูกเรียกว่ายอดอัจฉริยะสวรรค์ส่ง
จากนั้นเฉียวฟูก็เป็นเหมือนเย่หยวน เขาถูกขับไล่จนออกมาอยู่ที่ยอดผู้กล้าสวรรค์
แต่เขานั้นไม่ได้บ่นว่าใดๆ และยังถือขวานขึ้นไปตัดไม้บนยอดเขาอยู่ทุกวัน
เมื่อตัดไปเรื่อยทุกวัน ผ่านเป็นเดือน ผ่านเป็นปี
เขาถูกคนหัวเราะเยาะเย้ยจำนวนนับไม่ถ้วน ไม่มีใครคิดที่จะยอมรับตัวเขา
จนในวันหนึ่งกลับมีคลื่นพลังอันมหาศาลระเบิดขึ้นที่เส้นขอบฟ้า
นั่นคือวันที่เฉียวฟูบรรลุขึ้นสู่อาณาจักรเทพถ่องแท้!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น