Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1798-1803

 ตอนที่ 1798 ไม่มีถ้ำหลวง

 

ยอดหลักของนิกายนั้นอยู่ห่างไกลยอดรองไปมากมาย ตอนนี้เย่หยวนเพิ่งจะมาถึงยอดผู้กล้าสวรรค์ได้ผ่านทางค่ายกลเคลื่อนย้ายและรู้สึกราวกับว่าตัวเองได้เป็นเทพตกสวรรค์


เมื่อเทียบกับยอดหลักแล้ว สถานที่แห่งนี้มันช่างดูทรุดโทรมกว่ามาก


“เย่หยวน ข้าล่ะไม่อยากยอมรับจริงๆ! ด้วยฝีมือระดับเจ้าอย่างน้อยๆ ก็ควรได้ไปอยู่บนยอดรองสามลำดับแรกสิ ไอ้คนพวกนั้นมันใช้พลังอำนาจของตัวเองข่มเหงผู้คนเสียจริงถึงได้ส่งเจ้ามายังยอดผู้กล้าสวรรค์เช่นนี้” ข้างๆ เย่หยวนนั้นมีชายหนุ่มร่างผอมคนหนึ่งเดินมาด้วยท่าทางไม่พอใจ


ชายหนุ่มคนนี้มีนามว่าเซงโหยว เขาเองก็มาจากนิกายไร้ชื่อแห่งหนึ่ง


เขานั้นมีพลังฝีมือที่ไม่น้อย เป็นถึงยอดราชันพระเจ้าเจ็ดดาว ระหว่างการสอบรอบที่สองเขาเองก็ตียอดกลองจรัสไปได้ถึงระดับสอง


ในหมู่ศิษย์ที่มาจากนิกายเล็กนั้น เขานับได้ว่าเป็นคนในหมู่ยอดคนแล้ว


ให้พูดตามตรงแล้ว เขาไม่ควรจะได้มาอยู่ที่ยอดผู้กล้าสวรรค์นี้เลย แต่สุดท้ายเขากลับถูกโยนมายังยอดผู้กล้าสวรรค์แห่งนี้


คนที่เหลืออีกสี่สิบเอ็ดคนนั้นต่างได้ไปอยู่ยังยอดรองอีกแปดแห่ง


เรื่องการกระทำที่ไม่เท่าเทียมนี้ เซงโหยวย่อมไม่พอใจอยู่อย่างมากเป็นทุนเดิม


แต่ว่าเซงโหยวนั้นยิ่งเคารพเย่หยวนอย่างมาก การสะบัดมือน้อยๆ ของเขานั้นมันทำให้เซงโหยวประทับใจมาก


มาจากนิกายเล็กๆ เช่นเดียวกัน เย่หยวนกลับมีพรสวรรค์และความเป็นไปได้มากกว่าเขาหลายเท่าตัว


เย่หยวนแค่ยิ้มตอบกลับไป “หากเป็นทอง อยู่ที่ไหนก็ย่อมมีค่า ข้าได้ยินว่าผู้อาวุโสของยอดผู้กล้าสวรรค์เองก็มาจากนิกายเล็กเช่นกัน แต่เขาก็ยังสามารถพัฒนาตัวไปจนถึงอาณาจักรเทพถ่องแท้ได้ กลายเป็นผู้ปกครองแผ่นดิน”


เซงโหยวยิ้มออกมาอย่างขื่นขม “ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น ยอดผู้กล้าสวรรค์นี้ก็ยังเป็นสถานที่ที่ทรุดโทรมที่สุดในนิกายเงาจันทร์แล้ว ถูกอีกแปดยอดดูถูกเหยียดหยามมาตลอด!”


ในนิกายเงาจันทร์นี้ ยอดผู้กล้าสวรรค์นั้นนับได้ว่าเป็นแดนคนนอก ไม่มีใครคิดอยากที่จะมายังยอดแห่งนี้ด้วยตัวเอง


คนทั้งหลายที่ได้มายังที่แห่งนี้ล้วนแล้วแต่เป็นศิษย์ที่นิกายไม่ต้องการ หรือเป็นศิษย์ที่ไร้ค่ายสังกัด


เมื่อมาถึงมันก็เท่ากับว่าคนผู้นั้นต้องเสียอนาคตไป มันเป็นการยากมากที่จะลืมตาอ้าปากได้ในสถานที่แห่งนี้


เย่หยวนเดินเข้าไปตบไหล่ของเซงโหยวด้วยรอยยิ้ม “สหาย ได้เข้านิกายเงาจันทร์มาแค่นี้ ดูเหมือนเจ้าจะลืมไปแล้วว่าตัวเองเป็นใคร!”


พูดจบเย่หยวนก็เดินนำหน้าเขาโถงยอดผู้กล้าสวรรค์ไป


เซงโหยวมองดูหลังที่เดินนำไปนั้นของเย่หยวนด้วยร่างกายที่สั่นสะท้าน


ใช่แล้ว เขาเองก็มาจากนิกายระดับราชันพระเจ้าไร้ชื่อแห่งหนึ่ง ไม่มีทรัพยากรใดๆ มากมาย ขาดแคลนพลังวิญญาณในการบ่มเพาะพลังอย่างมาก


แต่เขาก็ยังดิ้นรนด้วยตัวเองจนเดินมาถึงจุดนี้ได้


เขาคิดว่าเมื่อเข้ามาในนิกายเงาจันทร์แล้วด้วยความสามารถพรสวรรค์ของตัวเอง เขาจะโผทะยานขึ้นฟ้าได้ในเวลาสั้นๆ


แต่สภาพตอนนี้มันต่างจากที่เขาวาดฝันมาก


เพราะฉะนั้นเขาจึงซึมเศร้า ไม่พอใจและคิดว่าอนาคตของตัวเองกำลังจบสิ้นลง


แต่เมื่อลองมองดูย้อนกลับไป ต่อให้ที่ที่เขาได้ร่วมจะเป็นยอดผู้กล้าสวรรค์นี้ มันก็ยังมีสภาพดีกว่านิกายเก่าของเขาอย่างมากมาย


เพราะฉะนั้นจะยังมาบ่นอะไรอีก?


ตราบเท่าที่เขายังคงพยายามอย่างไม่แพ้ในอดีต สักวันเขาต้องขึ้นลุกยืนเคียงบ่าเคียงไหล่คนอื่นๆ ได้แน่ จะได้ขึ้นไปตบหน้าคนที่เคยดูถูกเขาไว้


สำหรับนักยุทธแล้วแม้ว่าทรัพยากรจะสำคัญแค่ไหน แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือความต้องการที่จะเข้าถึงเต๋า


เมื่อเราหลงจากเส้นทางของตัวเองแล้วเท่านั้น ที่อนาคตของคนเราจะดับมืดลงได้


“ปลุกผู้หลับฝันให้ตื่นสู้ความจริง! เย่หยวนข้าขอขอบคุณ!”


สายตาของเซงโหยวที่มองตามแผ่นหลังของเย่หยวนไปในตอนนี้มันเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นอีกครั้งหนึ่ง



“ศิษย์พี่ เราเป็นศิษย์ใหม่มาเพื่อรับถ้ำหลวงบ่มเพาะ นี่เหรียญตราของข้า”


นิกายเงาจันทร์นั้นตั้งอยู่บนเส้นเลือดมังกร นิกายสร้างยอดและยอดรองมากมายก็เพื่อจะสร้างค่ายกลขนาดใหญ่เพื่อกักพลังวิญญาณให้ศิษย์ได้ฝึกฝนบ่มเพาะ


ยิ่งศิษย์มีความสามารถมาก พวกเขาก็จะได้ถ้ำหลวงบ่มเพาะที่ดีขึ้นเท่านั้น และแน่นอนว่ามันย่อมจะทำให้ความเร็วในการบ่มเพาะของพวกเขารวดเร็วขึ้นตาม


ยอดผู้กล้าสวรรค์นั้นคือสถานที่ที่เส้นเลือดมังกรอ่อนที่สุดในนิกาย มันย่อมหมายความว่าพวกเขามีพลังงานวิญญาณที่เบาบางที่สุดด้วย


ศิษย์คนนั้นมองดูเหรียญของคนทั้งสองและตกยักคิ้วขึ้นสูงก่อนจะโยนเหรียญนั้นกลับมาบนโต๊ะ “เจ้านามเซงโหยว? ตอนนี้ยอดผู้กล้าสวรรค์ยังมีถ้ำหลวงระดับต่ำขั้นสองอยู่ถ้ำหนึ่ง นี่ตราของถ้ำ เอาไป”


เซงโหยวรับตรานั้นมาด้วยท่าทางดีใจ “ขอบคุณศิษย์พี่! แล้วศิษย์พี่ ของเย่หยวนล่ะ?”


ศิษย์คนนั้นยักคิ้วสูงอีกครั้งก่อนจะกล่าวขึ้นมาด้วยรอยยิ้มชั่วๆ “เขาเรอะ? ยอดผู้กล้าสวรรค์เราไม่มีถ้ำหลวงเหลือแล้ว ศิษย์น้องท่านนี้คงต้องลำบากออกไปจากยอดและหาถ้ำของตัวเองเอาแล้วล่ะ”


พูดไปเขาก็หยิบธงค่ายกลออกมาวางไว้ต่อหน้าเย่หยวนด้วยรอยยิ้ม “นี่คือธงค่ายกลเก็บเกี่ยววิญญาณ ตอนนี้เจ้าจงไปที่ยอดเพลิงเมฆาเสีย เมื่อเจ้าสามารถหาตาล่มวิญญาณและเปิดถ้ำหลวงออกได้ ก็จงใช้มันตั้งค่ายกลเสีย เท่านั้นค่ายกลก็จะกักพลังวิญญาณทั้งหมดในและถ้ำนั้นย่อมกลายเป็นของเจ้าทันที”


เซงโหยวหน้าถอดสีทันที “เรื่องมันจะบังเอิญขนาดนั้นได้อย่างไร? ศิษย์พี่ท่าน ข้าได้ยินมาว่าการเปิดถ้ำเองนั้นมันอันตรายมาก ที่แห่งนั้นมันคือยอดเขาที่ไร้ผู้คนมีแต่สัตว์อสูรพลุกพล่าน ศิษย์หลายต่อหลายคนต้องฝากร่างไว้ในยอดเขานั้นมาแล้ว”


ศิษย์คนนั้นหันกลับมามองด้วยสายตาเย็นชา “อันตราย? การเปิดถ้ำหลวงนั้นอันตราย? ทั้งยอดหลัก ยอดรองทั้งเก้านี้รวมไปถึงยอดนอกอีกนับร้อย มันมีที่ไหนบ้างที่ไม่ได้ถูกบุกเบิกโดยศิษย์นิกายเงาจันทร์? ทำไมข้าต้องมายกเว้นให้เขาคนนี้ด้วย?”


เซงโหยวนั้นได้รับคำแนะนำจากเย่หยวนและรู้สึกขอบคุณอยู่ในใจ เขาจึงไม่อาจทนดูเย่หยวนรับความเสี่ยงและอดไม่ได้ที่จะพูดออกมา “ศิษย์พี่ท่าน ท่านลองดูอีกครั้งมิได้หรือว่ามันมีถ้ำหลวงที่พอว่างอีกหรือไม่?”


เมื่อศิษย์คนนั้นได้ยินเขาก็ตะโกนกลับมาอย่างไม่พอใจ “โอหัง! ข้าสั่งให้ไป เจ้าก็ไป ยังจะมาบ่นอะไรมากมาย? ข้าบอกว่าไม่มีก็ไม่มีสิ หรือว่าเจ้า… คิดอยากมาทำหน้าที่นี้แทนข้าล่ะ?”


เซงโหยวนั้นเป็นแค่ศิษย์ใหม่คนหนึ่ง มีหรือที่เขาจะกล้าเถียงกลับไป? เขาจึงพูดขึ้นอย่างรู้สึกผิด “ม-มิกล้า! ศิษย์พี่ท่าน งั้นเอาเช่นนี้ไหม ข้าจะมอบถ้ำของข้านี้ให้เย่หยวน ส่วนข้าจะออกไปเปิดมันใหม่เอง!”


ศิษย์คนนั้นแสดงท่าทางไม่พอใจอย่างมากออกมาจนแทบจะลงมือ แต่เย่หยวนกลับหยิบธงค่ายกลขึ้นมาและบอก “เอาล่ะ ไม่ต้องมาต่อรองใดๆ กันแล้ว ไอ้หมอนี่มันถูกผู้คนติดสินบนให้ทำเช่นนี้มา โดนสั่งให้ส่งข้าไปยังยอดเพลิงเมฆาเพื่อเปิดถ้ำหลวง หวังให้ข้าถูกสัตว์อสูรสังหารตายลง เถียงไปมันก็ไม่ได้เรื่องใดๆ หรอก”


เซงโหยวหน้าถอดสีทันที เป็นเวลานั้นเองที่เขาเพิ่งนึกขึ้นมาได้


หน้าของศิษย์คนนั้นแดงขึ้นมาด้วยความไม่พอใจทันที “ไอ้เด็กนรก เจ้ากล้าพูดเช่นนี้ต่อหน้าศิษย์พี่เจ้า?”


เย่หยวนหันไปมองด้วยสายตาสุดดูถูก “เจ้าคิดอยากสังหารข้า มีหรือที่ข้ายังต้องมาเกรงใจเจ้า? ที่สำคัญ… เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหน ถึงกล้ามาอวดอ้างเรียกตัวเองว่าเป็นศิษย์พี่ข้า?”


ศิษย์ที่ดูแลการมอบถ้ำหลวงคนนี้เป็นแค่ราชันพระเจ้าเก้าดาว เย่หยวนจึงไม่คิดจะสนใจเขาแม้แต่น้อย


ศิษย์คนนั้นยิ้มออกมาอย่างชั่วร้ายทันที “ได้สิ ดูเหมือนว่าไอ้เด็กใหม่คนนี้มันจะโอหังนัก! ข้าจะสั่งสอนเจ้าเองว่าข้านั้นสมควรเป็นศิษย์พี่ของเจ้าหรือไม่!”


ภายในเขตนิกายเงาจันทร์ทั้งยอดหลักของเก้ายอดรองนั้นมันมีกฎห้ามศิษย์ฆ่าสังหารกันเองอยู่


แต่หากมีเหตุผลพอ การลงมือสั่งสอนกันมันก็ย่อมมิใช่ปัญหา


ศิษย์คนนั้นคิดว่าเย่หยวนเป็นแค่ราชันพระเจ้าหกดาวและกล้ามาอวดดีต่อหน้าเขา เขาจึงโกรธแค้นจนหน้าดำหน้าแดง


ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมศิษย์พี่เชียนเย่ถึงได้อยากสั่งสอนมันนัก ที่แท้ไอ้เด็กคนนี้มันก็ช่างแสนจะอวดดีนี่เอง


ระหว่างพูดไปศิษย์คนนั้นก็ปล่อยคลื่นพลังของราชันพระเจ้าเก้าดาวออกมา พร้อมตบฟาดฝ่ามือมาทางเย่หยวนอย่างรวดเร็วปานสายฟ้า


“เย่หยวนระวัง!”


เซงโหยวไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะกระโดดออกมาโจมตีหน้าตายเช่นนี้ ตอนนี้แม้เขาจะอยากห้ามมันก็ไม่ทันเสียแล้ว


แถมอีกฝ่ายนั้นยังเป็นถึงราชันพระเจ้าเก้าดาว แข็งแกร่งกว่าตัวเขาไปมากทีเดียว


เพี๊ยะ!


เสียงตบดังขึ้นสนั่นฟ้า ร่างของศิษย์คนนั้นลอยปลิวไปไกล

 

 

 


ตอนที่ 1799 ตาล่มวิญญาณบ่มเพาะปิดกั้น

 

“นี่มันบ้าอะไรกันเนี่ย? ตาข้าฝาดไปอย่างนั้นรึ? ราชันพระเจ้าหกดาวกลับตบราชันพระเจ้าเก้าดาวจนหน้าคว่ำไปด้วยฝ่ามือเดียวเช่นนี้?”


แม้ว่าในโถงนี้มันจะมีศิษย์อยู่แค่ไม่กี่คน แต่ภาพตรงหน้านี้มันก็ทำให้เกิดความตื่นตะลึงอย่างมหาศาล


ศิษย์คนนั้นยกมือขึ้นมาลูบหน้า ตอนนี้ฟันของเขาร่วงออกมาจากปากพร้อมเงยหน้ามองเย่หยวนด้วยความหวาดกลัว


เย่หยวนมองดูเขาด้วยใบหน้าเรียบเฉย “ไอ้คนที่สั่งให้เจ้าทำนั้นมันไม่ได้บอกหรือว่าอย่ามาคิดลงมือต่อหน้าข้า? เจ้าเป็นศิษย์ที่มีหน้าที่ดูแลถ้ำหลวงและจัดการดูแลว่าใครจะได้ไปที่ใด เดิมทีข้าก็ไม่ได้คิดจะปฏิเสธอยู่แล้ว ทั้งอย่างนั้นเจ้ากลับลุกมาหาเรื่องใส่ตัว เรื่องนี้คงโทษข้าไม่ได้หรอกนะ”


พูดจบเย่หยวนก็หยิบธงนั้นและหันหน้าเดินจากไป


“เดี๋ยวก่อน! เย่หยวนข้าขอไปกับเจ้าด้วย!” เซงโหยวพูดขึ้น


เขาหันหน้าไปหาศิษย์ที่ดูแลคนนั้น “ไอ้เจ้าถ้ำหมาๆ ของเจ้านั้นข้าไม่ต้องการมันอีกแล้ว! เจ้าเอาธงออกมาให้ข้า! ข้าจะไปที่ยอดเพลิงเมฆาด้วย!”


เย่หยวนได้แต่ขมวดคิ้ว “พวกมันอยากให้ข้าไปที่ยอดเพลิงเมฆาย่อมเป็นเพราะว่าที่เห็นนั้นมันแสนอันตราย เจ้าไม่ต้องตามข้ามาก็ได้”


แต่เซงโหยวกลับตอบไปด้วยรอยยิ้มแสนสบายใจ “แม้ฝีมือข้าจะต่ำกว่าเจ้าแต่มันก็ยังดีกว่าไม่มีใครคอยช่วย! ที่สำคัญการเปิดถ้ำหลวงออกนั้นข้าจะนับว่ามันเป็นบททดสอบหนึ่งแล้วกัน!”


เมื่อเย่หยวนได้ยินดังนั้นเขาก็เข้าใจได้ในทันที


เซงโหยวเองก็เป็นคนฉลาด แค่เย่หยวนบอกคำพูดไม่กี่คำเขาก็กลับมาตั้งหลักตั้งสติได้


การบ่มเพาะพลังนั้นเป็นการเดินสวนทางโลกมาแต่เดิมแล้ว หากเซงโหยวคิดจริงๆ ว่าแค่เข้านิกายเงาจันทร์มาได้แล้วตัวเองจะกลายเป็นยอดคนเหนือฟ้ามันก็คงบอกได้ว่าเสียดายพรสวรรค์เปล่า


เย่หยวนพยักหน้า “งั้นก็ไปด้วยกันเถอะ”


เมื่อเห็นแผ่นหลังของคนทั้งสองเดินจากไป ศิษย์คนนั้นก็พูดขึ้นมาด้วยใบหน้าคับแค้นใจ


“หึ ยอดเพลิงเมฆานั้นเป็นสถานที่รกร้างเต็มไปด้วยสัตว์อสูรระดับสี่ รวมไปถึงยังมีสัตว์อสูรระดับห้าอยู่ไม่น้อย ศิษย์ทั้งหลายที่ต้องการเปิดถ้ำหลวงได้เอาชีวิตไปฝากไว้ยังที่แห่งนั้นก็มีมากมาย ข้าไม่เชื่อหรอกว่าคนอย่างพวกเจ้าจะรอดกลับมาได้!”



บนยอดเพลิงเมฆานั้นมันมีแต่ความรกร้างป่าทึบ ร่องรอยการเดินของสัตว์อสูรมีให้เห็นตามทางอยู่ตลอด


ความน่าสะพรึงของภาพรอบกายนี้มันทำให้เซงโหยวหน้าซีดลงมาไม่น้อย


“เย่หยวน ยอดเพลิงเมฆานี้มันช่างเป็นสถานที่รกร้าง คนเหล่านั้นมันคิดอยากได้ชีวิตเจ้าจริงๆ!”


เซงโหยวเข้าใจได้ทันทีหลังมาถึงยอดเพลิงเมฆาว่าทำไมคนพวกนั้นถึงได้คิดส่งเย่หยวนมายังที่แห่งนี้


เขารู้มาก่อนแล้วว่าเย่หยวนนั้นมีเรื่องกับสามค่ายนิกายใหญ่ แต่ก็ไม่นึกไม่ฝันว่าคนพวกนั้นมันจะทำกันได้ถึงขั้นนี้


เย่หยวนยิ้มตอบ “ตราบเท่าที่ความเลวร้ายนั้นไม่ได้สังหารข้า มันก็ย่อมจะทำให้ข้าแข็งแกร่งขึ้น เรื่องนี้มันจะกลับไปเป็นฝันร้ายหลอกหลอนพวกมัน”


เซงโหยวเบิกตาออกกว้างในทันทีที่ได้ยิน ตอนนี้เขาได้รู้แน่แล้วว่าเย่หยวนนั้นมีจิตใจที่เปิดกว้างกว่าตัวเขามากมายแค่ไหน


ด้วยอิทธิพลจากเย่หยวนนี้มันทำให้ตัวเซงโหยวสงบจิตสงบใจลงได้ในที่สุด


“เราเอายังไงต่อดี?” เซงโหยวถาม


เย่หยวนคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะบอก “ก่อนอื่นก็ต้องทำความคุ้นเคยกับสภาพโดยรอบก่อน ตอนนี้เดินมุ่งหน้าไปยังที่ที่มีพลังวิญญาณหนาแน่นที่สุดกันเถอะ ในเมื่อมันเป็นยอดรกร้างไม่มีผู้คน เราก็ย่อมมีสิทธิที่จะเลือกตาล่มวิญญาณที่ดีที่สุดได้”


เซวโหยวพยักหน้ารับ “พลังวิญญาณทางตะวันตกเฉียงใต้ดูจะหนาแน่น ไปดูกันทางนั้นไหม?”


เย่หยวนพยักหน้ารับและเดินมุ่งไปยังทิศตะวันออกเฉียงใต้พร้อมๆ กับเซงโหยว


ระหว่างทางไป ความตื่นตะลึงในหัวใจของเซงโหยวมันก็ยิ่งเพิ่มพูน


เพราะพลังฝีมือของเย่หยวนที่ได้แสดงออกมานั้นมันทำเอาเขาไม่กล้าจ้องมองดูตรงๆ


สัตว์อสูรระดับสี่ทั่วๆ ไปมิอาจรับการโจมตีของเขาคนนี้ได้แม้แต่กระบวนท่า


ต่อให้เป็นสัตว์อสูรระดับสี่ขั้นปลายที่นับเทียบได้กับราชันพระเจ้าแปดดาวก็ยังมิอาจรับการโจมตีของเย่หยวนได้สักกระบวนท่า


มีเพียงเหล่ายอดสัตว์อสูรระดับสี่ขั้นปลายเท่านั้นที่พอจะรับกระบวนท่าโจมตีของเย่หยวนได้


เพียงแค่ว่าสุดท้ายพวกมันก็ต้องถูกสังหารลง


หลังจากแยกกับไป่หลี่ชิงหยานแล้วเย่หยวนก็ฝึกฝนตัวเองในเทือกเขาเงาจันทร์ ตอนนี้อาณาจักรพลังของเขาถูกตั้งอย่างมั่นคงและช่วยให้พลังการต่อสู้ของเขาพัฒนาขึ้นไปได้อีกขั้น


เดิมทีเซงโหยวคิดว่าที่เย่หยวนสามารถตบหน้าศิษย์ราชันพระเจ้าเก้าดาวคนนั้นได้มันอาจจะมีเรื่องของโชคมาช่วยอยู่บ้าง


แต่ตอนนี้เขาย่อมรู้แล้วว่าศิษย์ราชันพระเจ้าเก้าดาวคนนั้นมันอ่อนแอจนเกินไป!


ศิษย์ราชันพระเจ้าเก้าดาวคนนั้นมันอ่อนแอจนไม่อาจเทียบกับเหล่ายอดสัตว์อสูรระดับสี่ขั้นปลายพวกนี้ได้


และยอดสัตว์อสูรระดับสี่ขั้นปลายเหล่านี้กลับถูกเย่หยวนสังหารลงได้ในพริบตา


เมื่อลองเทียบแบบนี้แล้ว ระดับพลังของเขาจึงต่างกันอย่างสิ้นเชิง


จู่ๆ เซงโหยวก็นึกถึงเรื่องตอนการสอบเข้าขึ้นมาได้อีกครั้ง ทำให้ใบหน้าของเขาในตอนนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยความตื่นตะลึง


ทุกคนนั้นกล่าวว่าเย่หยวน คิดว่าเย่หยวนได้ที่หนึ่งมาเพราะเกาะไป่หลี่ชิงหยานกิน


เมื่อลองคิดดูตอนนี้ ที่แท้เป็นไป่หลี่ชิงหยานต่างหากที่เกาะเย่หยวนกิน!


เซงโหยวย่อมรู้ดีว่าไป่หลี่ชิงหยานเก่งกาจแค่ไหน แต่เขาก็ไม่มีทางเชื่อว่าไป่หลี่ชิงหยานจะสามารถจัดการยอดสัตว์อสูรระดับสี่ขั้นปลายได้อย่างง่ายดายปานนี้


หลายวันที่ผ่านมานี้ เขาได้เห็นเย่หยวนทำการสังหารยอดสัตว์อสูรระดับสี่ขั้นปลายมาแล้วถึงสามตัว


พลังระดับนี้มันมากเกินกว่าราชันพระเจ้าเก้าดาวทั่วๆ ไปเสียอีก!


กลายเป็นว่าแท้จริงแล้วคนที่เป็นที่หนึ่งในการสอบมันกลับกลายเป็นเย่หยวน!


และชื่อเสียงนี้กลับถูกนิกายเหย้าอมตะและไป่หลี่ชิงหยานแย่งชิงไปอย่างหน้าด้านๆ


แต่ทำไมเย่หยวนไม่คิดจะเถียงว่าเลย?


เซงโหยวยิ่งคิดหนักเข้าไปใหญ่ คิดถึงเรื่องราวความเป็นไปได้ต่างๆ นาๆ


“เอ๋ ดูพลังวิญญาณตรงหน้ามันแปลกๆ ไปนะ” เย่หยวนพูดขึ้นมาขัด


เซงโหยวตอบกลับไปด้วยความตื่นตกใจ “แปลก?”


เย่หยวนพยักหน้ารับ “พลังวิญญาณในที่แห่งนี้มันน่าจะหนาแน่นที่สุดในยอดเพลิงเมฆาแล้ว แต่ในบริเวณนี้มันกลับมีพลังวิญญาณอ่อนเบาบางเหลือเกิน”


เซงโหยวสะดุ้งตัวขึ้นทันที “ระยะตั้งขนาดนั้นเจ้ารู้สึกได้?”


เย่หยวนยิ้ม “ไปดูกันหน่อยเถอะ เราอาจจะได้เจออะไรที่ไม่คาดฝัน”


คนทั้งสองเดินเข้าไปเรื่อยๆ และไม่ผิด เพราะตอนนี้เซงโหยวเองก็เริ่มรู้สึกแล้วว่าพลังวิญญาณในบริเวณนี้มันเบาบางลงอย่างมาก


“เกิดอะไรขึ้นกัน? หากให้พูดตามความเป็นจริงแล้วที่ตรงนี้มันน่าจะเป็นตาล่มวิญญาณเลยนะ ทำไมมันจึงมีพลังวิญญาณเบาบางปานนี้?” เซงโหยวขมวดคิ้วแน่น


เขาไม่ได้เห็นเลยว่าดวงตาของเย่หยวนเบิกโพลงด้วยความตื่นเต้น


“หึ ไม่รู้หรอกนะว่าเป็นฝีมือของนิกายดาบเมฆาหรือนิกายบุปผาเหิน แต่พวกมันได้มอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้เราเสียแล้ว!” เย่หยวนบอก


เซงโหยวทำหน้าตามึนงงสงสัยออกมา “ของขวัญชิ้นใหญ่? พลังวิญญาณในที่แห่งนี้มันแสนเบาบาง ทำไมจึงนับมันว่าเป็นของขวัญชิ้นใหญ่กัน?”


เย่หยวนยิ้มตอบ “เจ้าเคยได้ยินชื่อตาล่มวิญญาณบ่มเพาะปิดกั้นหรือไม่?”


เซงโหยวสั่นสะท้านไปทั้งร่างในทันที “เจ้า… เจ้าพูดถึงตาล่มวิญญาณบ่มเพาะปิดกั้นที่มีพลังวิญญาณหนาแน่นกว่าถ้ำหลวงระดับเก้าน่ะหรือ?”


เย่หยวนยิ้มตอบ “ใช่แล้ว!”


ในเส้นเลือดมังกรนั้นจะมีตาล่มวิญญาณหลากหลายรูปแบบ


พวกมันถูกจับแบ่งออกเป็นเก้าระดับตามความหนาแน่นของพลังวิญญาณที่ไหลอยู่ภายใน


แต่เหนือกว่าระดับเก้าขึ้นไปนั้นมันนับว่าเป็นตาล่มวิญญาณที่สุดแสนหายาก ตาล่มวิญญาณบ่มเพาะปิดกั้นคือหนึ่งในสิ่งเหล่านั้น


ตาล่มวิญญาณประเภทนี้มันต้องมีสภาพภูมิประเทศโดยรอบที่ซับซ้อนจึงจะก่อตัวขึ้นมาได้ ที่สำคัญมันยังเป็นตาล่มวิญญาณหนึ่งแยกแยะได้ยากมาก


ต่อให้คนจะพบเจอมัน ก็ไม่แน่ว่าพวกเขาจะสามารถรู้ว่ามันคือตาล่มวิญญาณบ่มเพาะปิดกั้น


แน่นอนว่าเรื่องนี้มันหยุดหวู่เฉินไม่ได้


“ตาล่มวิญญาณบ่มเพาะปิดกั้นนั้นคือตาล่มที่ถูกพื้นที่พิเศษปิดกั้นพลังวิญญาณไว้ เมื่อเวลาผ่านไปเนิ่นนานมันก็จะยิ่งทำให้พลังวิญญาณที่มีหนาแน่นมากขึ้น หากเปิดมันออกพลังวิญญาณที่ได้ก็จะเหนือล้ำเสียยิ่งกว่าระดับเก้า หึๆ เจ้าไม่คิดว่าเราเจอของดีบ้างหรือ?” เย่หยวนยิ้มกว้าง


เมื่อได้เจอตาล่มวิญญาณบ่มเพาะปิดกั้นเช่นนี้ เย่หยวนย่อมดีใจเป็นอย่างมาก


เพราะตอนนี้เขาเองก็คิดอยากเพิ่มพลังฝีมืออย่างมาก การได้มาเจอตาล่มวิญญาณบ่มเพาะปิดกั้นเช่นนี้มันจะช่วยให้เขาบ่มเพาะได้เร็วกว่าปกตินับสิบเท่า โชคชะตาของเขานั้นมิใช่สิ่งที่จะเอาไปเทียบกับคนทั่วไปได้เลยจริงๆ

 

 

 


ตอนที่ 1800 พอเฝ้าประตูได้

 

ตู้ม!


เมื่อเย่หยวนวางผลึกปราณเทวะสุดท้ายลงไป พลังวิญญาณที่เดิมทีแสนเบาบางนั้นมันก็กลับปะทุออกมาอย่างบ้าคลั่งราวภูเขาไฟระเบิด


คลื่นพลังวิญญาณในตอนนี้มันหนาแน่นมากจนแทบมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า


เซงโหยวหัวเราะลั่นออกมาด้วยความยินดี “ฮ่าๆๆ… เย่หยวน ครั้งนี้มันต้องขอบคุณเจ้าเลยจริงๆ! ข้าไม่นึกเลยว่าเราจะได้มาพบเจอกับตาล่มวิญญาณบ่มเพาะปิดกั้นเช่นนี้ พลังวิญญาณที่บ้าคลั่งขนาดนี้การที่ข้าจะบรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้าแปดดาวก็คงไม่ใช่เรื่องยากแล้ว!”


เดิมทีเขาคิดว่าให้เย่หยวนมาเปิดถ้ำหลวงด้วยตัวคนเดียวมันจะอันตรายจนเกินไป จึงคิดติดตามมาช่วยเหลือ


สุดท้ายนอกจากเขาแทบจะไม่ได้ช่วยอะไรแล้ว เขายังได้รับขุมทรัพย์มาด้วย


เย่หยวนยิ้ม “ด้วยความหนาแน่นของพลังวิญญาณที่มากขนาดนี้การบ่มเพาะของเราน่าจะราบรื่นไปอีกนับพันปี แต่ว่าตอนนี้เราต้องปิดกั้นการปะทุนี้เสียก่อน ไม่เช่นนั้นมันอาจจะเป็นการดึงดูดความสนใจของผู้คนจากรอบทิศให้มาติดตามดูก็เป็นได้”


เซงโหยวรู้สึกเช่นเดียวกันจึงพยักหน้ารับ “ที่เจ้าว่ามาก็ถูก! แต่พลังวิญญาณที่บ้าคลั่งขนาดนี้เราจะปิดกั้นมันคงไม่ง่ายนัก!”


เย่หยวนยิ้มและเริ่มลงมืออีกครั้ง


หลังผ่านไปได้หลายชั่วโมง ในที่สุดพลังวิญญาณในพื้นที่แถบนี้ก็เริ่มสงบลง หากมองจากภายนอกมันจะไม่ดูต่างจากส่วนอื่นๆ ของยอดเขาเลย


แต่ภายใต้ความสงบนี้มันเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังวิญญาณที่แสนบ้าคลั่งจนทำให้ขนลุกซู่


เมื่อเห็นท่าทางของเย่หยวนที่ยังคงง่วนทำอะไรไปไม่หยุดมือ หัวใจของเซงโหยวก็สั่นสะท้านขึ้นอีกครั้ง


ชายคนนี้ช่างเหนือล้ำจินตนาการ!


ระหว่างที่พวกเขากำลังง่วนจัดเตรียมพื้นที่อยู่นั้นเซงโหยวก็รู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมา


เพราะตอนนี้กำลังมีคลื่นพลังอันแข็งแกร่งหลายจุดเดินเข้ามายังที่แห่งนี้จากทุกทิศ


จากนั้นก็พบว่ามีสามสัตว์อสูรกำลังค่อยๆ เดินเข้ามา ปรากฏร่างกายจากป่าทึบ


สัตว์อสูรรูปร่างคล้ายกวางพูดขึ้นด้วยภาษามนุษย์ “หึ ไม่นึกเลยว่าในที่แบบนี้บนยอดเพลิงเมฆาจะยังมีตาล่มวิญญาณที่เปี่ยมไปด้วยพลังวิญญาณขนาดนี้!”


ดูแล้วสัตว์อสูรทั้งสามนี้คงสามารถปลดสติสัมปชัญญะได้แล้ว


“เย่หยวน! นี่มัน… สามสัตว์อสูรระดับห้า!”


เซงโหยวหน้าซีดเผือดลงทันที ความดีใจใดๆ ที่เคยมีตอนพบเจอตาล่มวิญญาณบ่มเพาะปิดกั้นนั้นมันได้หายไปจนสิ้น


เย่หยวนนั้นยังคงง่วนมือเตรียมการไปเรื่อยๆ โดยไม่มีทีท่าจะสนใจสัตว์อสูรทั้งสามตัวนี้เลย


สัตว์อสูรรูปร่างคล้ายหมูป่าพูดขึ้นตาม “เด็กน้อย เพื่อเป็นการตอบแทน เฒ่าหมูคนนี้จะกินพวกเจ้าให้เอง!”


สัตว์อสูรรูปร่างคล้ายหมีอีกตัวบอก “ไอ้หมู เฒ่ากวาง ที่แห่งนี้มันไม่เกี่ยวข้องใดกับพวกเจ้า ไปไกลๆ เสีย!”


“ไอ้หมีดำ เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร? คิดว่าเฒ่าหมูคนนี้จะกลัวเจ้าหรือ?”


สามสัตว์อสูรนั้นไม่คิดจะสนใจเย่หยวนและเซงโหยวแม้แต่น้อยและกำลังถกเถียงกันเรื่องดินแดนพื้นที่ของกัน


เวลานั้นเองที่เย่หยวนค่อยๆ ลุกขึ้นยืนมาด้วยท่าทางโล่งอก “เสร็จเสียที!”


หมียักษ์ตัวนั้นบอก “หึๆ ไอ้เด็กคนนี้มันมีฝีมือ ถึงขั้นปิดกั้นตาล่มวิญญาณนี้ได้ ดูจากภายนอกคงไม่มีทางรู้ได้เลย เอาล่ะเด็กน้อย รีบหนีไปเสีย เฒ่าหมีคนนี้ให้เวลาเจ้าสิบอึดใจ หากเจ้าหนีได้ก็ถือว่าดวงชะตาของเจ้ายังไม่ขาด”


เย่หยวนไม่คิดสนใจคำพูดนั้นและหันไปบอกเซงโหยวด้วยรอยยิ้ม “ที่เหลือก็แค่ทำการเปิดถ้ำหลวง เลิกยืนนิ่งแล้วมาช่วยกันทำงานเร็ว”


เซงโหยวแทบจะบ้าตาย เจ้าหมอนี่ทำไมมันถึงได้ด้านชาขนาดนี้? ไม่เห็นหรือว่ามีสัตว์อสูรระดับห้ากำลังพยายามคุยด้วยอยู่?


กวางเฒ่าตัวนั้นหัวเราะลั่น “ฮ่าๆๆ ไอ้หมี เจ้าโดนเด็กมนุษย์ระดับสี่เมินใส่ ช่างน่าอับอายแท้!”


หมียักษ์นั้นโกรธจนควันออกหูเมื่อได้ยิน “ไอ้เด็กคนนี้ เฒ่าหมีคนนี้พูดกับเจ้าอยู่ เจ้าได้ยินไหม?”


เย่หยวนหันมาชายตามอง “ไอ้หมีดำนี่หรือที่พูดกับข้า?”


หมีดำตัวนั้นโกรธจนขึ้นหน้า ไอ้เด็กคนนี้มันไม่รู้จักความหวาดกลัวเสียแล้ว!


“เด็กน้อย เจ้ากล้าล้อเลียนเฒ่าหมีคนนี้ เตรียมตัวตายไปด้วยการตะปบเดียวของเฒ่าหมีนี้เสียเถอะ!” หมียักษ์นั้นโกรธอย่างมาก มันยกกรงเล็บขึ้นมาด้วยท่าทางพร้อมพาดลงยังร่างของเย่หยวน


เย่หยวนยิ้มบอก “พวกเจ้าทั้งสามชอบตาล่มวิญญาณบ่มเพาะปิดกั้น? หากเจ้าอยากบ่มเพาะที่นี่มันย่อมได้ เจ้าแค่ต้องปกป้องดูแลถ้ำหลวงให้ข้าก็พอ ไม่เช่นนั้นข้าจะเตะก้นพวกเจ้าออกไปให้หมด”


คำพูดของเย่หยวนมันทำให้สามสัตว์อสูรนั้นมึนงงอย่างมาก


เซงโหยวได้ยินเช่นนั้นก็เกิดขนลุกขึ้นมา เย่หยวนนี่บ้าไปแล้ว? ถึงขั้นกล้าไปท้าทายราชันสัตว์อสูรระดับห้าเช่นนี้!


“ฮ่าๆๆ ไอ้เด็กคนนี้มันอยากให้เราเฝ้าประตู! ดูท่ามันคงไม่มีสมองจริงๆ! เฒ่าหมีจะส่งเจ้าไปโลกหน้าเอง!”


หมียักษ์หัวเราะลั่นพร้อมตะปบกรงเล็บลงมายังร่างเย่หยวน


การตะปบนี้มันแฝงไปด้วยพลังที่มหาศาล


พลังของอาณาจักรนภาสวรรค์นั้นไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลย!


แต่เวลานั้นเองที่เกิดคลื่นพลังอันเย็นเยือกหนึ่งปรากฏออกมา


เมื่อคลื่นพลังนี้ปรากฏ มันกลับรุนแรงเสียยิ่งกว่ากรงเล็บของเจ้าหมีดำ!


ปัง!


ร่างยักษ์ใหญ่ของเจ้าหมีลอยลิ่วไปไกล


เมื่อสัตว์อสูรทั้งสองเห็นดังนั้นพวกมันก็ได้แต่ยืนมองด้วยความตื่นตะลึง


มีหรือที่พวกมันจะคาดเดาได้ว่าเย่หยวนมีผีร้ายอันทรงพลังขนาดนี้ตามติด?


เซงโหยวเองก็มองดูที่ผีร้ายนั้นด้วยขนที่ลุกชัน


เขาไม่คิดไม่ฝันว่านอกจากเย่หยวนจะแข็งแกร่งมากแล้ว แต่เขายังมีผีร้ายที่แข็งแกร่งกว่าติดตามมาด้วยเช่นนี้


“โฮ่ก!”


เจ้าหมีร้องลั่นออกมาด้วยความโกรธแค้น “ไอ้เด็กนรก เจ้ากล้าลอบโจมตีข้า! เจ้าตายแน่! แค่ผีร้ายตัวเดียว เจ้าคิดว่ามันจะช่วยให้เจ้ารอดไปได้หรือ?”


เย่หยวนยิ้มรับ “ไอ้หมีโง่ เจ้าคนเดียวไม่พอมือมันหรอก พาอีกสองตัวเข้ามาด้วยพร้อมๆ กันเลย แม้ว่าพวกเจ้าทั้งสามจะอ่อนแอไปหน่อยแต่ก็พอจะเป็นสัตว์เฝ้าประตูข้าได้”


คำพูดนี้ของเย่หยวนมันทำให้เจ้าหมียิ่งไม่พอใจ


“ไอ้เด็กคนนี้ เฒ่าหมีจะฉีกร่างเจ้าเป็นชิ้นๆ!


พูดจบเจ้าหมีก็พุ่งร่างเข้ามาพร้อมกรงเล็บอันใหญ่ ปะทะใส่เจ้าผีร้ายทันที


ครานี้มันนั้นใช้พลังทั้งหมดที่มี!


แต่ว่าเจ้าหมีกลับได้รู้ตัวในไม่ช้าว่ามันคิดผิดไป


ผิดไปอย่างมหาศาล!


คำพูดของเย่หยวนนั้นมันมิใช่คำอวดอ้างเลย


เจ้าผีร้ายตัวนี้มันแข็งแกร่งเกินไป!


แค่ไม่กี่กระบวนท่าเจ้าหมีก็ถูกกระทืบจนไม่เหลือชิ้นดีได้แต่ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด


เจ้าหมีตะโกนลั่น “พวกเจ้าสองตัวยังจะยืนมองอะไรอีก? ไม่อยากบ่มเพาะที่นี่แล้วหรือ?”


เมื่อเจ้าหมูป่าและเจ้ากวางได้ยิน มันก็หันหน้ามองกันและเข้ามาร่วมต่อสู้ทันที


เมื่อสัตว์อสูรทั้งสามนี้รวมพลังกัน สถานการณ์มันจึงดีขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด


แต่ว่ายังไงเสียผีร้ายที่ถูกหวู่เฉินควบคุมอยู่ตัวนี้มันก็แสนจะแข็งแกร่ง


ผีเต๋าร้อยยันต์ของเขานั้นมันถูกใช้มาจนถึงที่สุด เพิ่มพลังการต่อสู้ของเจ้าผีร้ายไปหลายเท่าตัว


ตอนนี้สัตว์อสูรระดับห้าสามตัวกลับกำลังเสียเปรียบแก่เจ้าผีร้ายนั้น


ที่ด้านข้างเซงโหยวได้แต่มองดูภาพนั้นอย่างตื่นตะลึง


เพราะให้พูดตามตรงๆ คลื่นพลังจากร่างของผีร้ายตัวนี้มันไม่ได้แข็งแกร่งมากมายเลย แต่พลังการต่อสู้ของมันกลับเหนือล้ำจนคาดเดาไม่ได้


รอบตัวยอดคนมันย่อมเต็มไปด้วยยอดคน!


เขาไม่เข้าใจเพียงอย่างเดียวว่าทำไมผีร้ายที่แข็งแกร่งขนาดนี้ต้องมาติดตามเย่หยวนด้วย?


สามสัตว์อสูรนั้นต่อสู้กับเจ้าผีร้ายนานราวสองชั่วโมงได้ เป็นการต่อสู้ที่ทำให้ยอดเพลิงเมฆาทั้งยอดนั้นแทบลุกเป็นไฟ


บนยอดเพลิงเมฆาตอนนี้มันมีเสียงร้องของสัตว์อสูรดังออกมาเป็นครั้งคราว


เจ้าหมียักษ์ตะโกนบอก “ไม่สู้แล้ว! ไม่ขอสู้อีกแล้ว! เรา… เรายอมแพ้!”


สัตว์อสูรทั้งสามนั้นได้รับบาดเจ็บทั่วร่าง ใบหน้าปูดช้ำ เสียไหลออกหูออกตา คลื่นพลังลดอ่อนแอลงมาก จนสุดท้ายพวกมันทั้งสามก็ยอมจำนนต่อหวู่เฉิน


เย่หยวนยิ้มบอก “ว่าไง? ยอมเฝ้าประตูให้ข้าไหม?”


สัตว์อสูรทั้งสามได้แต่หันไปมองหน้ากันโดยไม่สามารถตัดสินใจได้ไประยะหนึ่ง


เพราะพวกมันทั้งสามคือราชันของยอดเพลิงเมฆา การไปเฝ้าประตูให้มนุษย์มันจะน่าอับอายไปหน่อย


แต่พวกมันเองก็ไม่อาจต้านทานความต้องการที่อยากฝึกฝนบ่มเพาะในตาล่มวิญญาณบ่มเพาะปิดกั้นไปได้


น่าเจ็บใจนัก!

 

 

 


ตอนที่ 1801 พลังที่แท้ของสามสัตว์อสูร

 

ที่ด้านนอกยอดเพลิงเมฆาตอนนี้มีสามเงาร่างกำลังยืนมองดูอยู่


คนที่เดินนำหน้ามานั้นใส่ชุดสีฟ้าครามเปี่ยมไปคลื่นพลังสุดแข็งแกร่ง เขานั้นเป็นถึงยอดฝีมือนภาสวรรค์


หากเย่หยวนอยู่ตรงนี้เขาคงบอกได้ทันทีว่านี่คือเชียนเย่


และคนทั้งสองที่ด้านหลังนั้นหนึ่งคือจงฮันหลินที่เพิ่งเข้านิกายมาได้ไม่นาน ส่วนอีกคนนั้นคือศิษย์ที่จัดการส่งเย่หยวนเข้ามาเปิดถ้ำหลวงในยอดเพลิงเมฆาแห่งนี้


“หวังเฉียน ครั้งนี้เจ้าทำได้ดีมาก จากวันนี้ไปเจ้าเป็นผู้ติดตามชั้นนอกของนิกายบุปผาเหินเราแล้ว เอาโอสถนี่ไปเป็นรางวัลของเจ้า”


เชียนเย่โยนเม็ดโอสถออกมาด้วยท่าทางสุดหยิ่งผยอง


แต่ว่าทางหวังเฉียนนั้นไม่ได้ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้ภายในใจของเขากลับตื่นเต้นดีใจอย่างมาก


“ขอบพระคุณศิษย์พี่เชียนเย่! ในวันหน้าหากศิษย์พี่เชียนเย่มีเรื่องราวใดต้องการให้ข้ารับใช้ขอให้บอกหวังเฉียนผู้นี้มาได้เลย หวังเฉียนผู้นี้พร้อมที่จะทำการอันตรายทุกสิ่งอย่างเพื่อหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย!”


เชียนเย่ได้ยินเช่นนั้นจึงตอบกลับมา “เจ้าแน่ใจนะว่ามันเข้าไปในยอดเพลิงเมฆาแล้ว?”


หวังเฉียนตอบ “ศิษย์พี่ท่านโปรดวางใจ วันนั้นข้าเฝ้ามองดูพวกมันจนมันเดินเข้าไปในยอดเพลิงเมฆากับตา”


เชียนเย่ตอบกลับไป “พลังวิญญาณบนยอดเพลิงเมฆานี้มันช่างเบาบาง ที่สำคัญมันยังเป็นถิ่นของสัตว์อสูรระดับห้าด้วย ไอ้เด็กคนนั้นมันมั่นใจในตัวเองมากถึงยอมทำตามมาง่ายๆ คิดว่าการมายังที่แห่งนี้จะช่วยฝึกฝนตัวเองได้ แต่หากมันไปเจอสัตว์อสูรระดับห้าเข้ามันย่อมไม่มีทางรอดชีวิต ไปดูมันหน่อยแล้วกัน”


เชียนเย่นั้นมั่นใจในพลังฝีมือของตัวเองมาก ต่อให้เขาจะเจอเข้ากับสัตว์อสูรระดับห้าเขาก็มั่นใจว่าตัวเองจะสามารถถอยหนีกลับมาได้อย่างปลอดภัย


เวลานั้นเองก็มีอีกหลายเงาร่างรีบมุ่งหน้ามายังจุดหมายเดียวกันนี้


ผู้ที่กำลังมานั้นแบ่งได้เป็นสามกลุ่ม พวกเขามุ่งหน้ามาพร้อมๆ กันราวกับว่าได้นัดกันมาก่อนล่วงหน้าแล้วว่าจะมายังยอดเพลิงเมฆาแห่งนี้ด้วยกัน


เชียนเย่ขมวดคิ้วแน่นก่อนจะพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย “พวกเจ้านี่มันชุบมือเปิบเก่งกันจริงๆ!”


ชายชุดขาวข้างๆ ต้วนชิงหงพูดขึ้น “หึ เชียนเย่ เจ้าต่างหากที่เร็วกว่าใครเพื่อน”


ชายคนนี้เองก็มีคลื่นพลังที่ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเชียนเย่เลย หมายความว่าเขาเองก็เป็นยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์


แน่นอนว่าพวกเขานั้นเป็นคนจากนิกายดาบเมฆา


อีกสองกลุ่มคนนั้นหนึ่งคือเจียงเชอเหยียนจากนิกายเหย้าอมตะ ส่วนอีกด้านเป็นคนจากนิกายคชสารมาร แน่นอนว่ามันคงไม่มีใครนำมาได้นอกจากซ่งถิง


“หึ เจ้าว่าเช่นนั้นมันก็ไม่ถูก การสังหารชีวิตน้อยๆ ของเย่หยวนมันไม่ได้ยากเย็นใดๆ เจ้าเองก็เคยคิดสังหารมันด้วยเล่ห์กลเล็กๆ น้อยๆ เช่นกันนี่?” เจียงเชอเหยียนบอกขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม


เชียนเย่กล่าวสวนกลับมาด้วยท่าทางเย้ยหยัน “ตอนที่เราเจอกันในเทือกเขาเงาจันทร์ เจ้ามาอวดอ้างตัวและคิดจะหยุดข้าให้ได้ ตอนนี้กลับกลายเป็นเจ้าเองที่คิดสังหารมัน”


เจียงเชอเหยียนยิ้มตอบ “เวลามันเปลี่ยนไปแล้ว ตอนนั้นเจ้าคิดจะลงมือต่อไป่หลี่นี่!”


เชียนเย่หันไปมองด้วยหางตา “เลิกไร้สาระสักที! ไหนๆ ทุกคนก็มาด้วยกันแล้วทำไมเราไม่เข้าไปในยอดเพลิงเมฆาพร้อมๆ กันเลยล่ะ ข้าเชื่อว่าด้วยพลังฝีมือของพวกเราแล้วการเข้าไปสำรวจดูครั้งนี้มันคงมิใช่ปัญหาใดๆ”


เมื่อทุกคนได้ยินดังนั้น พวกเขาทั้งหลายก็พยักหน้าออกมาพร้อมๆ กัน


เมื่อศิษย์ระดับนภาสวรรค์หลายต่อหลายคนลงมือพร้อมกันเช่นนี้ ต่อให้อีกฝ่ายจะเป็นสัตว์อสูรระดับห้ามันก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นเกินจัดการ


กลุ่มคนนี้เดินขึ้นไปบนยอดเพลิงเมฆาและเริ่มตามหาร่องรอยของพวกเย่หยวนทั้งสองคน


รอยที่เย่หยวนทิ้งไว้นั้นมันแสนชัดเจน บนภูเขานั้นมีหลายจุดที่เกิดร่องรอยการต่อสู้ขึ้นเพราะฉะนั้นการตามหามันจึงไม่ยากเลย


เชียนเย่และพวกไม่ได้ใช้เวลานานมากนักก่อนจะมาพบศพของสัตว์อสูรถูกฟาดฟันกระจัดกระจาย


เมื่อพวกเขาได้เห็นศพของสัตว์อสูรระดับสี่ขั้นปลายทั้งสามตัวนี้ สีหน้าของพวกเขาก็เริ่มซีดลงอย่างทันตาเห็น


“ไอ้เด็กคนนี้มันช่างมีพลังฝีมือที่เหนือล้ำ! แค่ราชันพระเจ้าหกดาวกลับสามารถสังหารสัตว์อสูรระดับสี่ขั้นปลายได้! ที่สำคัญดูแล้วการต่อสู้ไม่น่าจะกินเวลานานมากด้วย!” เชียนเย่บอก


แต่เขียงเชอเหยียนกลับตอบขึ้น “มันแปลกอะไร? เจ้าคิดว่ามันได้รับอันดับหนึ่งในการสอบเข้ามาได้อย่างไร? เพราะอย่างนั้นแหละมันถึงต้องตาย!”


ทุกคนพยักหน้าออกมาเมื่อได้ยิน การปรากฏตัวของยอดอัจฉริยะขนาดนี้มันย่อมจะทำให้อำนาจของสามนิกายใหญ่สั่นคลอน


เรื่องราวแบบนั้นมันพวกเขาไม่มีทางปล่อยให้เกิดขึ้น


การที่เย่หยวนถูกส่งไปยังยอดผู้กล้าสวรรค์นั้นสามนิกายใหญ่ย่อมมีส่วนเกี่ยวข้องทั้งสิ้น


ไม่เช่นนั้นด้วยพลังฝีมือที่เย่หยวนแสดงออกมา ต่อให้เขาไม่มีพลังอำนาจใหญ่ใดๆ หนุนหลังเขาก็ไม่น่าจะตกต่ำจนถูกโดยนมายังยอดผู้กล้าสวรรค์นี้


ศิษย์ระดับนภาสวรรค์ของนิกายดาบเมฆา อี้ชิงเซียงบอกขึ้นมาด้วยรอยยิ้มที่แสนเย็นเยือก “พลังงานวิญญาณตรงหน้ามันหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ ดูท่าที่นั่นคงเป็นที่ๆ มันเลือกจะเปิดถ้ำหลวงขึ้น แต่พื้นที่แถบนี้เองมันก็ใกล้กับเขตแดนของสัตว์อสูรระดับห้าแล้วใช่ไหม?”


ได้ยินคำพูดนั้นของอี้ชิงเซียงทุกคนก็ยิ้มออกมาพร้อมๆ กัน


ต่อให้เย่หยวนจะเก่งกาจขนาดไหน เมื่อต้องไปเจอกับสัตว์อสูรระดับห้ามันก็ย่อมเท่ากับความตายอยู่ดี


ทุกคนตามรอยเท้าของเย่หยวนมาจนใกล้ถึงตาล่มวิญญาณบ่มเพาะปิดกั้นมาขึ้นเรื่อยๆ


“ยอดเพลิงเมฆานี้มันช่างเป็นดินแดนรกร้างห่างไกล! ที่ๆ มีพลังวิญญาณหนาแน่นที่สุดกลับไม่อาจจะเทียบเท่าถ้ำหลวงระดับสามได้ด้วยซ้ำ”


เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณรอบๆ เชียนเย่ก็บอกขึ้นมาด้วยสีหน้าท่าทางเหนื่อยหน่าย


คนอื่นๆ เองก็แสดงท่าทางเห็นด้วยออกมาอย่างถึงที่สุด


ถ้ำหลวงที่พวกเขาได้ทำการบ่มเพาะนั้นคือถ้ำบนตาล่มวิญญาณระดับสูงทั้งสิ้น เมื่อมาเห็นสภาพของยอดเพลิงเมฆาที่แห้งเหือดนี้พวกเขาย่อมดูถูกเหยียดหยามมัน


เดิมทียอดผู้กล้าสวรรค์นั้นก็เป็นยอดที่มีพลังวิญญาณเหือดแห้งที่สุดอยู่แล้ว ยอดเพลิงเมฆานี้เองก็เป็นยอดที่อยู่ในระยะไม่ไกลจากยอดผู้กล้าสวรรค์นัก พลังวิญญาณของยอดเขาในที่แบบนี้มันย่อมไม่มีทางจะหนาแน่นไปได้


“โฮ่ก!”


“โฮ่ก!”


“โฮ่ก!”


จู่ๆ ก็เกิดเสียงสัตว์คำรามขึ้น


คลื่นพลังอันรุนแรงมหาศาลนั้นพุ่งพวยออกมาจากรอบทิศ


เมื่อเหล่าศิษย์ได้ยินพวกเขาก็รีบเข้ามารวมกลุ่มกันในทันที


คลื่นพลังของสัตว์อสูรที่กำลังมาล้อมพวกเขาอยู่นั้นมันแสนทรงพลัง ในหมู่พวกมันนั้นมีสัตว์อสูรที่ถึงระดับห้าอยู่หลายตัว


“ไม่ดีแล้ว! ทำไมจู่ๆ จึงมีสัตว์อสูรมากมายขนาดนี้ปรากฏขึ้น? รีบหนีเร็ว! ที่แบบนี้เราอยู่ต่อไม่ได้แน่!” เจียงเชอเหยียนบอกด้วยใบหน้าซีดเผือด


แต่ว่านางยังพูดไม่ทันขาดคำก็มีเงาร่างของสัตว์อสูรสามตัวพุ่งออกมาจากป่าทึบทั้งสามด้าน ล้อมรอบกลุ่มคนไว้ตรงกลางอย่างพอเหมาะพอดี


“หมีเมฆาแล้งบรรพกาล! กวางอสูรทองสายรุ้ง! หมูป่ามังกรสายฟ้า!”


เมื่อเชียนเย่ได้เห็นสัตว์อสูรทั้งสามเขาก็กลับจนขาแทบสั่น


แม้ว่าสัตว์อสูรพวกนี้มันจะยังอยู่แค่ระดับห้าขั้นต้น แต่พลังของพวกมันนั้นก็เหนือกว่านภาสวรรค์หนึ่งดาวอย่างพวกเขาแน่นอน


หากพวกมันมาแค่ตัวเดียว พวกเขาอาจจะยังพอล้อมต่อสู้เอาชนะได้


แต่การที่มันทั้งสามตัวปรากฏขึ้นพร้อมกันนั้นมันเท่ากับความตาย!


สัตว์อสูรทั้งสามตัวนี้ย่อมเป็นสัตว์อสูรที่ยอมจำนนให้แก่เย่หยวนไปก่อนหน้า


เพราะสุดท้ายอย่างไรพวกมันก็ไม่อาจต้านทานความเย้ายวนของตาล่มวิญญาณบ่มเพาะปิดกั้นได้และเลือกที่จะยอมจำนนแก่เย่หยวน


เพราะอย่างไรเสียในยอดเพลิงเมฆานี้มันก็เป็นยอดเขาที่ขาดแคลนพลังวิญญาณอย่างมาก


“ไอ้พวกโง่เง่าตาบอด กล้ามาขัดจังหวะการบ่มเพาะของเฒ่าหมีนี้ สมควรตายเสีย!”


หมูป่ามังกรสายฟ้าตอบ “ไอ้หมีดำ จะไปพูดกับมันทำไมอีก? รีบๆ สังหารพวกมันเสียเถอะ”


กวางอสูรทองสายรุ้งพูดขึ้นบ้าง “สังหารมัน! เฒ่ากวางนี้ยังต้องเอาเวลาไปบ่มเพาะอีก!”


สัตว์อสูรทั้งสามนั้นไม่คิดจะพูดจาให้มากความ พวกมันพุ่งตัวเข้าโจมตีพวกเชียนเย่ในทันที


ในวินาทีนั้น คนทั้งหลายต่างต้องทนรับมือการโจมตีที่แสนดุร้ายของยอดสัตว์อสูรทั้งสามตัว


“ไอ้พวกนี้มันมีสติปัญญาแล้ว เราสู้ไม่ได้แน่! ตอนนี้ต้องรีบหนีก่อนแล้ว!” เจียงเชอเหยียนบอก


แล้วมีหรือที่พวกเขาจะยังกล้าทนรับมือต่อ? ตอนนี้พวกเขาทั้งหลายพยายามอย่างถึงที่สุดที่จะแหวกฝ่าวงล้อมกลับออกไป


แต่ว่ามีหรือที่สัตว์อสูรทั้งสามจะปล่อยไปง่ายๆ? หากอยากหนีมันก็มิใช่เรื่องง่ายดายนัก


ระหว่างทางนั้นพวกเชียนเย่จึงต้องทนรับการต่อสู้อันขมขื่น


หวังเฉียนนั้นเป็นแค่ราชันพระเจ้าเก้าดาว เมื่อถูกพลังตะปบของหมีเมฆาแล้งบรรพกาลร่างกายของเขาจึงแหลกสลายอย่างไม่สามารถต่อกลับมาเป็นตัวคนได้


น่าเสียดายที่เขาเพิ่งจะได้เป็นผู้ติดตามนิกายบุปผาเหินไปไม่ถึงครึ่งวัน แต่กลับต้องมาตายลง จิตวิญญาณเต๋าแหลกสลายไม่มีชิ้นดี


กลุ่มคนยังคงถอยต่อไปพร้อมๆ กับป้องกันตัวจากการโจมตีที่แสนรุนแรง ในหัวของพวกเขาคิดแค่ว่าจะต้องออกไปจากยอดเพลิงเมฆานี้ให้ได้


ถึงเวลานั้นไม่ว่าสัตว์อสูรพวกนี้มันจะแข็งแกร่งปานใด มันก็คงไม่กล้าจะตามติดพวกเขาออกไปถึงโลกภายนอกแน่

 

 

 


ตอนที่ 1802 บรรเลงพิณ

 

เงาร่างหลายคนพุ่งตัวออกมาจากยอดเพลิงเมฆา ทุกผู้คนนั้นต่างมีท่าทางรีบร้อนอย่างมาก


เชียนเย่ อี้ชิงเซียง เจียงเชอเหยียนและพวกต่างกลับออกมาด้วยสภาพรุ่งริ่งราวกับเป็นขอทานที่เดินทางมาจากเดินไกล


ซ่งถิง ต้วนชิงหง จงฮันหลินและพวกนั้นกลับยิ่งมีสภาพที่น่าสมเพชเสียยิ่งกว่า ตอนนี้พวกเขาบาดเจ็บอย่างสาหัสจนอาจถึงแก่ความตายได้ในไม่ช้า


แม้ต้องเผชิญการล้อมจากสามยอดสัตว์อสูรนั้นคนกลุ่มนี้กลับสามารถฝ่ามันกลับออกมาได้ในที่สุด แม้ว่าจะต้องบาดเจ็บเสียหายกันไปถ้วนหน้าก็ตามที


เชียนเย่นั้นได้แต่กัดฟันแน่นด้วยความโกรธแค้น “นรกเสียจริง! สัตว์อสูรระดับห้านั้นเป็นตัวตนที่แสนหยิ่งยโส เหตุใดพวกมันจึงได้มารวมตัวกันอยู่เช่นนี้ได้?”


ตอนนี้เจียงเชอเหยียนนั้นไม่เหลือสภาพของนางงามนางฟ้าใดๆ แล้วนางนั้นมีสภาพเหมือนกับคนบ้าก็ไม่ปาน


ได้ยินคำของเชียนเย่ นางจึงตอบกลับมาด้วยลมหายใจหนักๆ “ไอ้สัตว์อสูรพวกนั้นมันน่าจะเป็นถึงราชันของยอดเพลิงเมฆาแท้ๆ เหตุใดมันจึงออกมาในพื้นที่เดียวกันได้เช่นนี้?”


เชียนเย่หันไปหัวเราะ “ช่างมันเถอะ เมื่อสามสัตว์อสูรนี้มันปรากฏตัวออกมาพร้อมกันแล้วไอ้เด็กคนนี้ก็ย่อมไม่มีทางรอดเหลือซากร่างไปได้แน่ๆ”


คนทั้งหลายได้แต่พยักหน้ารับเมื่อได้ยินเช่นนั้น


เพราะถึงแม้พวกเขาจะติดใจสงสัยปรากฏการณ์นี้มากแค่ไหนมันก็ไม่มากพอจะทำให้พวกเขาอยากเข้ายอดเพลิงเมฆาอีกครั้ง


ไม่ว่าอย่างไรดูจากร่องรอยแล้ว เย่หยวนย่อมต้องเข้าไปในบริเวณนั้นเองผลที่ตามมามันก็คงไม่มีทางเป็นอื่นใดไปได้


เมื่อยืนยันได้แน่ชัดว่าเย่หยวนตายลงแล้วพวกเขาก็ย่อมไม่มีสนใจเรื่องราวใดๆ ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ห่างไกลนี้อีกต่อไปแล้ว


อี้ชิงเซียงพูดขึ้นมาด้วยท่าทางไม่พอใจ “หากไอ้เด็กคนนั้นมันจะตาย มันก็ตายไป นึกไม่ถึงว่าพวกเราจะต้องมาบาดเจ็บเจอความยากลำบากเช่นนี้เพราะมันอีก!”


เจียงเชอเหยียนบอก “เอาล่ะ เลิกบ่นสักที! หากไอ้เด็กนั้นมันยังอยู่มันคงเป็นภัยต่อเราสามนิกายใหญ่อย่างมาก! ตอนนี้พวกเจ้ารีบพาเจ้าสองคนนั้นกลับไปก่อนเถอะ ไม่เช่นนั้นมันคงได้ตายจริงๆ แน่!”


เชียนเย่และอี้ชิงเซียงหน้าถอดสีทันที พวกเขาพ่นลมออกมาจากจมูกและมุ่งหน้ากลับไปยังยอดผู้กล้าสวรรค์ทันที



หลังผ่านไปได้อีกหลายปี ตอนนี้ปรากฏเงาร่างหนึ่งมาถึงยังยอดผู้กล้าสวรรค์ ทำให้สายตาหลายๆ คู่ของศิษย์ในยอดนี้ต้องหันมามอง


“เอ๋ นั่นมันไป่หลี่ชิงหยานแห่งยอดพรรณสวรรค์นี่? ทำไมนางถึงได้มายังยอดผู้กล้าสวรรค์เรากัน?”


“สวยงามแท้! ที่สำคัญกว่าก็คือนางมีพรสวรรค์ที่เหนือล้ำอย่างมาก ข้าได้ยินว่านางเข้านิกายมาได้ไม่กี่ปีก่อน แต่ตอนนี้กลับสามารถบรรลุขึ้นมาถึงอาณาจักรนภาสวรรค์ครึ่งก้าวได้แล้ว”


“ช่างเป็นสัตว์ประหลาดโดยแท้ ตอนนี้ทางนิกายต่างเร่งผลักดันให้นางฝึกฝนอย่างเต็มที่ คิดจะให้นางเข้าร่วมชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่ครานี้”



เวลาหลายปีที่ผ่านมานี้ เรียกได้ว่าไป่หลี่ชิงหยานกลายเป็นดาวเด่นอย่างที่ไม่มีใครเทียบเคียงได้ในนิกายเงาจันทร์เลย


นางนั้นมีพรสวรรค์ที่เหนือกว่าคนรุ่นเดียวกันไปมาก แม้แต่ศิษย์เก่าก่อนหลายๆ คนยังต้องถูกนางก้าวข้ามไปได้อย่างง่ายดาย


กฎในการเข้าร่วมชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่นั้นคือต้องมีอายุขัยไม่เกินสองพันปี และยังต้องเป็นผู้ที่มีพลังบ่มเพาะอาณาจักรนภาสวรรค์ขึ้นไป


ในนิกายเงาจันทร์ทั้งสิ้นนั้นมีศิษย์อยู่หลายคนที่ผ่านเงื่อนไขนี้ได้


อย่างเช่นนั้นเจียงเชอเหยียนและเชียนเย่ พวกเขาต่างเป็นตัวเต็งของการไปร่วมชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่


เพียงแค่ว่าหากเอาพรสวรรค์ของพวกเขามาเทียบกับไป่หลี่ชิงหยานแล้วมันยังห่างชั้นกันไปมาก


ไป่หลี่ชิงหยานนั้นเริ่มแสดงผลงานออกมาได้ตั้งแต่ตอนสอบเข้า แถมด้วยอำนาจที่แข็งแกร่งของนิกายเหย้าอมตะแล้ว ทางนิกายจึงลำเอียงและเพิ่มทรัพยากรบ่มเพาะให้นางอย่างมากมาย


เมื่อมีทั้งพรสวรรค์และทรัพยากร ไป่หลี่ชิงหยานจึงพัฒนาฝีมือของตนได้อย่างก้าวกระโดดจนไม่มีใครตามหลังนางได้ทัน


ช่วงหลายปีมานี้ ไป่หลี่ชิงหยานแทบจะบรรลุขึ้นอาณาจักรนภาสวรรค์ได้แล้วด้วยซ้ำ


สำหรับศิษย์ทั่วๆ ไปแล้วการทำเช่นนี้ได้มันมิใช่เรื่องราวพลิกฟ้าดินใดๆ แต่มันก็ย่อมมิใช่เรื่องที่จะทำได้ในเวลาอันแสนสั้น


“ศิษย์น้องท่านนี้ ข้าขอถามหน่อยได้ไหมว่าเย่หยวนอยู่ที่ใด?”


ไป่หลี่ชิงหยานหยุดศิษย์ราชันพระเจ้าเก้าดาวคนหนึ่งไว้ถาม ทำให้ศิษย์คนนั้นแทบจะสิ้นลมไปเพราะความตื่นเต้นดีใจ


เว้นเสียแต่ว่าคำถามนี้ เขาเองก็ไม่รู้ถึงคำตอบเช่นกัน


หลังถามคนมากมายไปได้แล้ว นางกลับพบว่าไม่มีใครรู้จักเย่หยวนเลย เรื่องนี้มันทำให้ไป่หลี่ชิงหยานมึนงงมาก


“บ้าน่า! ด้วยพรสวรรค์ความสามารถของเขาแล้วมีหรือที่เขาจะไร้ชื่อในยอดผู้กล้าสวรรค์นี้ได้?”


ไป่หลี่ชิงหยานเดินมาหาศิษย์ที่ดูแลเรื่องถ้ำหลวงด้วยความสงสัยอย่างมาก


“ศิษย์น้องท่านนี้ ข้าไป่หลี่ชิงหยานจากยอดพรรณสวรรค์ ข้าขอถามถึงที่อยู่ของเย่หยวนหน่อย”


ตอนนี้ไป่หลี่ชิงหยานนั้นมีคลื่นพลังของยอดคนอยู่เต็มเปี่ยมแล้ว


เมื่อพูดคุยกับศิษย์ธรรมดาๆ นางนั้นเป็นดั่งนางงามนางสวรรค์เหนือชั้นฟ้า ทำให้ผู้คนมิอาจกล้ามองจ้องตานางกลับมาได้


แต่มีเพียงเรื่องของเย่หยวนนี้เท่านั้นที่นางมิอาจสลัดมันไปจากใจได้


หวังเฉียนนั้นตายไปได้หลายปีแล้ว ศิษย์ที่ดูแลหน้าที่นี้ย่อมกลายเป็นคนใหม่ แต่ต่อให้ไป่หลี่ชิงหยานไม่ต้องแนะนำตัวเขาก็รู้จักนางมาแต่ไกล และแน่นอนว่าเขาย่อมไม่คิดจะปฏิเสธ


เขาเปิดดูในบันทึกและไม่นานก็พบชื่อเย่หยวนเข้า แต่มันกลับทำให้ใบหน้าของเขาซีดเผือดลงไปทันที “ศิษย์น้อยเย่ท่านนี้ถูกส่งไปยังยอดเพลิงเมฆา ดูท่า…”


ไป่หลี่ชิงหยานสะดุ้งตกใจทันที นางรีบพุ่งตัวเข้าไปถามด้วยความกังวลอย่างถึงที่สุด “ดูท่าอะไร?”


ศิษย์คนนั้นตอบกลับ “ยอดเพลิงเมฆานั้นเป็นยอดรกร้างมีสัตว์อสูรอยู่ทุกหนแห่ง แถมยังมีถึงราชันสัตว์อสูรระดับห้าอยู่ด้วย ศิษย์ที่คิดขึ้นไปเปิดถ้ำหลวงบนนั้นไม่เคยมีใครกลับมาได้ เรื่องของศิษย์น้อยเย่คนนี้ มันไม่มีข่าวใดมาหลายต่อหลายปีแล้ว ดูท่า… เขาคงสิ้นชีพลงในยอดเพลิงเมฆาแล้ว”


ไป่หลี่ชิงหยานผงะกลับมาด้วยท่าทางไม่ยอมรับ “บ้าบอ! ด้วยพลังฝีมือของเย่หยวนมีหรือที่เขาจะตายด้วยน้ำมือของสัตว์อสูรได้?”


นางรู้ดีว่าเย่หยวนนั้นไปที่ใดมาบ้าง มีหรือที่นางจะยังคิดว่าเขาจะตายลงได้?


ศิษย์คนนั้นเห็นท่าทางโกรธสุดตัวของไป่หลี่ชิงหยานเขาจึงมิกล้าแม้แต่จะหายใจ ได้แต่นั่งนิ่งไม่กล้าเปิดปากพูดใดๆ ต่อ


ระหว่างนั้นเขาก็สงสัยอยู่อย่างเต็มหัวใจว่าเย่หยวนคนนี้เป็นใครกันแน่ ถึงทำให้นางฟ้าท่านนี้โกรธเกรี้ยวได้ปานนั้น?


เมื่อเห็นว่าศิษย์คนนั้นไม่คิดพูดอะไรอีก ไป่หลี่ชิงหยานจึงได้แต่เม้มปากแน่นและหันหลังพุ่งตัวออกจากยอดผู้กล้าสวรรค์ไปหาเจียงเชอเหยียน


“ศิษย์พี่ เรื่องเย่หยวนท่านเป็นคนทำหรือ?” ไป่หลี่ชิงหยานถามขึ้นมาด้วยใบหน้าที่แสนเย็นเยือก


เจียงเชอเหยียนเองก็รู้ดีว่าเรื่องเช่นนี้มันคงปกปิดได้ไม่นานและยิ้มตอบกลับไป “เรื่องนี้ข้าไม่เกี่ยว ทุกอย่างมันเป็นฝีมือของเชียนเย่ หากเจ้าอยากแก้แค้นก็ไปจัดการกับเขาเลย”


ไป่หลี่ชิงหยานหน้าถอดสีลงทันที “แก้แค้น? เย่หยวนเขา… ตายลงแล้วจริงๆ?”


เจียงเชอเหยียนเล่าเรื่องที่นางเจอในวันนั้นออกมาด้วยรอยยิ้ม ทำให้ใบหน้างามๆ ของไป่หลี่ชิงหยานซีดเผือดลงในทันทีพร้อมด้วยอารมณ์ที่สุดแสนยากจะอธิบาย


“ข้า… ข้าเป็นอะไรไป? ข้านั้น… เกลียดชังเขามากแท้ๆ! ทำไมกัน… ทำไมข้าจึงรู้สึกอยากร้องไห้ขึ้นมาได้?”


เมื่อเจียงเชอเหยียนเห็นภาพตรงหน้านางก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจยาว “เด็กคนนั้นมันยิ่งยโสและโอหังในฝีมือของตัวเองจนเกินไป มันไม่รู้จักการควบคุมตัวเอง สักวันไม่ช้านานมันก็คงต้องตายลงในนิกายเงาจันทร์เราอยู่ดี เท่านี้ก็ดีแล้วนี่? เจ้าจะได้ตั้งใจทำการบ่มเพาะและมุ่งหน้าขึ้นอาณาจักรนภาสวรรค์ให้เร็วที่สุด จากนั้นเจ้าจะได้เป็นตัวแทนเข้าร่วมงานชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่”


ไป่หลี่ชิงหยานไม่คิดสนใจคำพูดนั้นและกลับออกมาด้วยท่าทางซึมๆ


หลายวันต่อมา ไป่หลี่ชิงหยานในชุดสีขาวสะอาดตาก็เดินมาจนถึงยอดเพลิงเมฆา


ไป่หลี่ชิงหยานที่มิได้แต่งหน้าตาใดๆ ในชุดสีขาวสะอาด มันราวกับว่านางนั้นเป็นหญิงสาวที่หลุดออกมาจากเทพนิยาย


เบื้องหน้านางนั้นมีพิณเจ็ดสายวางอยู่


“เจ้าคนชั่วช้า! พิณของไป่หลี่ชิงหยานคนนี้จะถูกเล่นให้คนที่รักฟังเท่านั้น! แต่เจ้ากลับใช้วิธีสกปรกบังคับข้าและตามข้าไปในเทือกเขาเงาจันทร์! ข้าเกลียดชังเจ้า! ตอนนี้เจ้าและข้าอยู่ห่างกันคนละโลก คำสัญญาในวันนั้นข้าย่อมไม่มีทางรักษามันไว้ได้แล้ว วันนี้ข้าจะขอบรรเลงพิณของข้าเพื่อหวังว่าเจ้าที่อยู่ยังโลกหน้าจะได้ยินเสียงของมันบ้าง”


นิ้วทั้งสิบของนางดีดลงไปบนพิณเจ็ดสาย เสียงของเครื่องสายขนาดใหญ่ถูกส่งออกมาดังสะท้อนไปทั่วทั้งยอดเพลิงเมฆา


หลุมศพที่อยู่ห่างไกลนับหมื่นพัน มิมีคำพูดหอมหวานใดๆ เอ่ยต่อกัน


ในเสียงของพิณนั้นเปี่ยมไปด้วยความเศร้าและอ่อนโยนอย่างเจ็บปวดดังสะท้อนไปทุกหนแห่ง


เมื่อสิ้นเสียงพิณลง ไป่หลี่ชิงหยานกลับพบว่าใบหน้าของตนนั้นเต็มไปด้วยคราบของน้ำตา


“ที่แท้สายพิณของข้าก็ถูกเจ้าปั่นป่วนมาตั้งแต่แรกแล้ว” ไป่หลี่ชิงหยานพูดขึ้นมาส่งท้าย

 

 

 


ตอนที่ 1803 โกรธ

 

ด้านในถ้ำหลวงนั้นมันราวกับว่าไม่มีวันเวลา เวลาสองร้อยปีผ่านไปได้ในพริบตา


ที่ยอดเพลิงเมฆา จนทุกวันนี้มันก็ยังคงเป็นสถานที่รกร้าง


แต่ในวันนี้มันกลับมีหลายเงาร่างกำลังเดินขึ้นมาบนยอดเขานี้


หนึ่งในคนที่มานั้นมองดูรอบๆ ด้วยความหวาดกลัวและกังวล “ข้าได้ยินว่าที่ยอดเพลิงเมฆานี้มีสัตว์อสูรระดับห้าอยู่หลายตัว หวังว่าเราจะไม่ไปเจอมันเข้านะ!”


คนที่นำหน้าหันกลับมาบอก “จะกลัวอะไร? ยอดเพลิงเมฆามันแสนกว้างใหญ่ สัตว์อสูรระดับห้าเองก็มีแค่ไม่กี่ตัวหรอก มีหรือที่เราจะบังเอิญไปเจอมันเข้า? วันนี้ขอแค่เราหาหญ้าหางชาดเจอเราก็ย่อมสามารถทำภารกิจที่นิกายให้มาให้ลุล่วงได้!”


อีกคนหนึ่งบ่นตามออกมา “บ้าจริงๆ! ทำไมเจ้าหญ้าหางชาดมันต้องมาขึ้นบนยอดเพลิงเมฆานี้ด้วยนะ? ยอดเพลิงเมฆานี้มันอันตรายมากกว่าสถานที่ใดๆ ในเทือกเขาเงาจันทร์เลยนะ!”


จู่ๆ ดวงตาของคนผู้หนึ่งในกลุ่มก็เบิกกว้างพร้อมร้องออกมา “หญ้าหางชาด!”


นั่นทำให้ทุกผู้คนหันไปมองตามและพบว่ามีหญ้าสมุนไพรนั้นขึ้นอยู่ไม่ไกล ตัวต้นมันมีสีแดงชาดพร้อมใบที่ยาวเหยียดออกมาราวกับเป็นหางของสัตว์


คนทั้งหลายนี้ต่างตื่นเต้นดีใจและวิ่งเข้าไปหามันทันที


แต่เวลานั้นเองมันกลับมีคลื่นพลังอันแสนรุนแรงที่ทำให้พวกเขาแทบหายใจไม่ออก


จากนั้นก็ปรากฏร่างของหมียักษ์ตัวหนึ่งขึ้นมาตรงหน้า


“หมีเมฆาแล้งบรรพกาล! ส-สัตว์อสูรระดับห้า! ม-มันจะไม่บังเอิญไปหน่อยหรือ?”


เมื่อคนที่นำหน้ามาเห็นร่างของหมีเฒ่าสีหน้าของเขาก็ซีดเผือดลงทันที ขาทั้งสองของเขาสั่นจนมิอาจควบคุมได้


เขานั้นเป็นถึงราชันพระเจ้าเก้าดาว แต่เมื่อต้องมาอยู่ตรงหน้าหมีตัวนี้พลังของเขานั้นมันกลับไม่มีค่าใดเลย


หมีเมฆาแล้งบรรพกาลมองดูกลับมาด้วยท่าทางโกรธเคืองแทบอยากสังหารพวกเขาลง “แมลงน้อยมารบกวนเวลาบ่มเพาะของเฒ่าหมีผู้นี้อีกแล้ว! พวกเจ้าสมควรตาย!”


พูดจบมันก็ตะปบฝ่าเท้าลงมา


ด้วยพลังกดดันอันมหาศาลนี้เหล่าศิษย์นิกายเงาจันทร์ทั้งหลายจึงไม่สามารถจะต้านทานใดๆ ได้เลย ตอนนี้พวกเขาทั้งหลายได้แต่หลับตารอให้ความตายมาเยือน


“หมีเฒ่า อย่าทำร้ายพวกเขา”


จู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากในป่าทำให้เจ้าหมีทำหน้าตาน้อยใจออกมาทันที แต่คลื่นพลังของมันกลับหดเล็กลงจนหายไปกับสายลม


เหล่าศิษย์ทั้งหลายนั้นได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกด้วยความยินดีที่รอดพ้นภัย


“ศิษย์หลินฟ่านขอขอบคุณท่านผู้อาวุโสที่ช่วยชีวิตข้าน้อยไว้!”


ศิษย์ที่นำกลุ่มมาหันไปก้มหัวให้ทางต้นเสียง ทำให้ศิษย์คนอื่นๆ เองก็กล่าวตามออกมา


ในสายตาของหลินฟ่านแล้วการที่ใครจะสามารถหยุดเจ้าหมีเมฆาแล้งบรรพกาลได้ด้วยแค่คำพูด คนผู้นั้นอย่างน้อยๆ ก็ต้องเป็นถึงระดับผู้ดูแล


ไม่เช่นนั้นด้วยนิสัยอันดุร้ายของเจ้าสัตว์อสูร มีหรือที่มันจะยอมฟังใครง่ายๆ?


หมีเฒ่าตัวนั้นพูดขึ้นด้วยท่าทางไม่ค่อยพอใจ “ไอ้เด็กคนนี้ กว่าเจ้าจะออกมาจากการเก็บตัวได้!”


ในป่าทึบนั้นพวกเขาได้เห็นเงาร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งเดินออกมา มันจะเป็นใครไปได้อีกนอกจากเย่หยวน?


เมื่อกลุ่มศิษย์เห็นเย่หยวนดวงตาของพวกเขาก็เบิกโพลงจนแทบถลนออกจากเบ้า


พวกเขาคิดไปเสียแล้วว่าอีกฝ่ายเป็นผู้อาวุโสยอดฝีมือมาจากที่ไหน นั่งคิดกันอยู่นานแต่สุดท้ายเขาเองกลับกลายเป็นแค่ศิษย์อาณาจักรราชันพระเจ้าอีกคนหนึ่งเหมือนๆ กับพวกเขาทั้งหลาย!


เว้นเสียแต่ว่าทำไมเจ้าสัตว์อสูรถึงได้ฟังคำสั่งจากเขา?


เย่หยวนมองดูที่เจ้าหมีเมฆาแล้งบรรพกาลด้วยรอยยิ้ม “หมีเฒ่า เจ้าไม่ต้องออกมาทำหน้าตาเหมือนไปโกรธไปแค้นใครมาจากชาติปางก่อนเช่นนั้นก็ได้ เวลาสองร้อยปีมานี้เจ้าเองก็พัฒนาตัวเองขึ้นไปมาก เรื่องทั้งหลายนั้นมิใช่เพราะข้าหรอกหรือ?”


เย่หยวนนั้นเข้าเก็บตัวนานถึงสองร้อยปี


ตาล่มวิญญาณบ่มเพาะปิดกั้นนั้นมันช่วยเสริมพลังวิญญาณให้เย่หยวนและทำให้เขาบรรลุดาวขึ้นมาติดๆ กันหลายดาว ในช่วงเวลาสองร้อยปีมานี้ในที่สุดเย่หยวนก็บรรลุขึ้นมาถึงอาณาจักรวายุพระเจ้าเก้าดาว


สัตว์อสูรทั้งสามเองก็ได้พัฒนาพลังฝีมือของพวกมันไปอย่างมหาศาลด้วยคลื่นพลังวิญญาณที่บ้าคลั่งนี้


ตอนนี้พลังของพวกมันแต่ละตัวนั้นเทียบเคียงได้กับมนุษย์นภาสวรรค์สองดาว


เมื่อเย่หยวนพูดเช่นนั้นขึ้นมา ทางเจ้าหมีเองก็ได้แต่ยิ้มๆ ตอบกลับไป “หึๆ เรื่องทั้งหลายก็เพราะเจ้าไง”


เย่หยวนตอบกลับไป “เข้าใจก็ดี!”


เมื่อเหล่าศิษย์ทั้งหลายได้ยินคำพูดของเย่หยวนและหมีเมฆาแล้งบรรพกาล พวกเขาทุกคนต่างก็แสดงสีหน้าตกตะลึงอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ออกมา


ทำไมมนุษย์ถึงอยู่กับสัตว์อสูรได้อย่างสงบสุขขนาดนี้?


ที่สำคัญเย่หยวนยังเป็นแค่ราชันพระเจ้าเก้าดาวด้วย!


เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ มันจึงทำให้พวกเขาเชื่อได้ว่าเย่หยวนอาศัยอยู่ในยอดเพลิงเมฆานี้


ไม่ใช่ว่ายอดเพลิงเมฆานี้มันเป็นสถานที่รกร้าง ทุกผู้คนที่คิดมาเปิดถ้ำหลวงตรงนี้ต้องตายกันหมดหรอกหรือ?


งั้น… ภาพตรงหน้านี้มันคืออะไรกัน?


เย่หยวนหันไปมองเห็นหญ้าหางชาดขึ้นอยู่ไม่ไกลจึงบอกออกมา “พวกเจ้ามาเพื่อหาหญ้าหางชาด?”


หลินฟ่านหายใจเข้าลึกก่อนจะตอบกลับไป “ใช่แล้ว ศิษย์น้องเจ้านั้น… หรือว่าที่นี่คือถ้ำหลวงของเจ้า?”


เย่หยวนพยักหน้าออกมาเป็นการยอมรับและตอบกลับไปด้วยคำถามแทน “พวกเจ้าทั้งหลายมาจากยอดรองใด?”


หลินฟ่านเองก็ไม่คิดจะปิดบังใดๆ “พวกเราทั้งหลายนั้นมาจากยอดหทัยสวรรค์ เพราะว่าครั้งนี้เราได้รับภารกิจจากนิกายให้มาเก็บหญ้าหางชาดไปเราจึงต้องมาที่ยอดเพลิงเมฆาแห่งนี้ ไม่นึกเลยว่าเราจะมารบกวนการบ่มเพาะเก็บตัวศิษย์น้อง”


เย่หยวนยกมือขึ้นมาโบกปัด “ข้าเองก็บังเอิญออกจากการเก็บตัวมาวันนี้เหมือนกัน ไม่เช่นนั้นหมีเฒ่านี้คงไม่ปล่อยพวกเจ้ารอดกลับไปแน่”


คำพูดนี้ทำให้ทุกผู้คนสะท้านตัวขึ้น คิดในหัวแค่ว่าวันนี้พวกเขาช่างโชคดีจริงๆ


การตะปบของเจ้าหมีเมื่อสักครู่นี้ พวกเขาไม่มีทางหลบรอดไปได้แน่!


แต่สิ่งที่พวกเขาตื่นตะลึงมากกว่าก็คือการที่เจ้าสัตว์อสูรระดับห้าตัวนี้กลับเฝ้ายามให้แก่เย่หยวน


ไอ้หมอนี่มันเป็นใครกันแน่?


การมาเปิดถ้ำหลวงในยอดเพลิงเมฆา หมายความว่าเด็กคนนี้น่าจะมาจากยอดผู้กล้าสวรรค์ แต่ยอดผู้กล้าสวรรค์ไปมียอดคนระดับนี้อยู่ตั้งแต่เมื่อใดกัน?


เย่หยวนคิดอะไรขึ้นมาได้จึงหันไปถามหลินฟ่านอีกครั้ง “อ่า จริงด้วย ข้ามีพี่ชายอยู่คนหนึ่งนามฮันยอง เขาเองก็ได้ไปอยู่ที่ยอดหทัยสวรรค์ ไม่ได้เจอกันมาตั้งสองร้อยกว่าปี ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”


เพราะหลังจากการสอบเข้าครั้งนั้น เย่หยวน ฮันยอง หยางฝานต่างแยกย้ายกันไปอยู่กับยอดของตัวเอง


ฮันยองและหยางฝานนั้นมีนิกายของตัวเองเป็นคนหนุนหลัง พวกเขาย่อมได้ไปอยู่ยอดรองที่ไม่เลวร้ายนัก


ยอดหทัยสวรรค์นั้นนับได้ว่าเป็นยอดที่อยู่ในระดับกลางระหว่างยอดทั้งเก้า ทรัพยากรที่ได้ก็ค่อนข้างสมบูรณ์


เมื่อพูดถึงชื่อฮันยองออกมา หลินฟ่านก็หน้าซีดลงทันที


เรื่องนี้ทำให้เย่หยวนสะดุ้งตัวขึ้นทันที รู้สึกแปลกๆ ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก


ตอนนี้ใบหน้าของเย่หยวนเย็นเยือกลง คลื่นพลังอันน่าขนลุกขนพองค่อยๆ ถูกปล่อยออกมาจากร่างนั้น


“เกิดอะไรขึ้นกันเขา?”


เมื่อสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังของเย่หยวน หลินฟ่านและพวกจึงแทบหายใจไม่ออก


นี่มันคลื่นแห่งความตายที่แท้!


เป็นตอนนี้นี่เองที่เขาได้รู้ว่าแม้เย่หยวนจะเป็นราชันพระเจ้าเก้าดาวเหมือนๆ กับตัวเขา แต่เย่หยวนนั้นแข็งแกร่งกว่าเขาอย่างไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า!


“หลังจากฮันยองเข้านิกายมาเขาก็พัฒนาตัวเองไปอย่างรวดเร็วจนได้กลายเป็นศิษย์ชั้นนอกระดับต้นๆ แต่ในการแข่งขันเก้ายอดครั้งก่อนฮันยองได้เข้าปะทะกับจงฮันหลินจากยอดดอกตูมสวรรค์ สุดท้ายเขาจึงถูกจงฮันหลินเล่นงานจนเกือบตายบนเวที ตอนนี้… ตอนนี้เขาพิการและถูกเลื่อนลงไปเป็นศิษย์ทั่วไปช่วยงานเบ็ดเตล็ดแทน”


เมื่อหลินฟ่านพูดจบเขาก็บนว่าใบหน้าของเย่หยวนนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความเย็นเยือก ตอนนี้หัวใจของหลินฟ่านเองแทบจะเต้นไม่เป็นจังหวะแล้ว


ราวกับว่าเขาจะสัมผัสได้ถึงความโกรธแค้นที่ก่อตัวขึ้นในร่างเย่หยวน


นี่คืออาการโกรธสินะ?


“พวกเจ้าเก็บหญ้าหางชาดแล้วไปเถอะ” เย่หยวนบอก


หลินฟ่านและพวกราวกับว่าเป็นนักโทษที่พ้นโทษมาได้ พวกเขาแสดงความขอบคุณต่อเย่หยวนอีกหลายครั้งก่อนจะรีบเก็บสมุนไพรและจากหายไป


หลังจากคนทั้งหลายไปแล้วเย่หยวนก็กัดฟันแน่นพูดขึ้น “เชียนเย่ จงฮันหลิน พวกเจ้านี่มันกล้าไม่เบา!”


เย่หยวนย่อมเข้าใจได้ดีว่าฮันยองนั้นถูกจงฮันหลินหมายตาไว้ตั้งแต่ก่อนหน้า เพราะฉะนั้นจงฉันหลินจึงได้ลงมือเล่นงานเขาหนักขนาดนั้น


ความโกรธแค้นที่เขามีต่อนิกายบุปผาเหินมันยิ่งเพิ่มทวีคูณ


ฮันยองนั้นเป็นคนห่ามๆ แต่ก็มีนิสัยตรงไปตรงมาทำอะไรอย่างซื่อสัตย์ เขาสมควรจะได้รับชื่อว่าเป็นพี่น้องจริงๆ


“เฒ่าหมี พวกเจ้าเฝ้าดูถ้ำหลวงไว้ให้ดี ข้ามีเรื่องต้องออกไปจัดการเสียหน่อย” เย่หยวนบอกหมีเฒ่า


หมีเฒ่าพยักหน้ารับ “วางใจเถอะ ด้วยพลังของพวกเราทั้งสามแล้วเว้นเสียแต่ว่ามันจะเป็นระดับผู้ดูแลมาเอง พวกเราย่อมไม่มีทางพ่ายแพ้ให้แก่ใครแน่!”


เย่หยวนพยักหน้าและกระทืบเท้าส่งร่างหายไปจากยอดเพลิงเมฆาทันที

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)