Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1794-1797
ตอนที่ 1794 วิธีตีที่ไม่เหมือนใคร
“เจ่าชู ระดับสาม! ผ่านการทดสอบ!”
“เจ่าเจา ระดับสี่! ผ่านการทดสอบ!”
เมื่อสิ้นเสียงของผู้ดูแลหงมันก็ทำให้เกิดเสียงฮือฮาขึ้นมาในทันที
“เจ่าเจากลับไปถึงระดับสี่ได้ สมชื่อที่ถูกเรียกขานว่าเป็นยอดอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งนิกายคชสารมารจริงๆ”
“เทียบกันแล้วฮันยองของนิกายเมฆาสายฟ้านั้นมันช่างอ่อนแอนัก”
“ยอดอัจฉริยะที่นิกายเมฆาสายฟ้าส่งมาคราวนี้มันช่างอ่อนแอนัก!”
…
ความแค้นเคืองของนิกายระดับนภาสวรรค์นั้นมันย่อมมิใช่เรื่องปิดลับใดๆ
ทุกคนในที่นี้ต่างจากมานิกายระดับนภาสวรรค์ทั้งสิ้น เรื่องความสัมพันธ์ของนิกายเมฆาสายฟ้าและนิกายคชสารมารพวกเขาจึงต่างรู้ดีแก่ใจ
ฮันยองหน้าเสียอย่างมาก เขาคิดว่าอย่างมากเจ่าเจาก็น่าจะอยู่แค่ที่ยอดระดับสาม ไม่นึกไม่ฝันว่าแท้จริงแล้วเจ่าเจาคนนี้กลับขึ้นไปถึงระดับสี่ได้
เช่นนี้แล้วความกดดันที่ตัวเขามีจึงเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล
มันไม่สำคัญว่าเขาจะแก้ยังไง แต่สุดท้ายหากเขาแพ้มันก็จะหมายความว่านิกายเมฆาสายฟ้านั้นต่ำต้อยกว่านิกายคชสารมาร
ในความเป็นจริงแล้วทั้งสองฝ่ายต่างยืนเคียงกันมาตลอด เพียงแค่ว่าช่วงหลายปีมานี้นิกายคชสารมารนั้นได้พัฒนาไปอย่างมากโข ทำให้มันเริ่มยิ่งใหญ่จนบดบังอำนาจของนิกายเมฆาสายฟ้าไป
นั่นทำให้ฮันยองยิ่งไม่อยากจะแพ้เข้าไปใหญ่
เจ่าเจาลงมาจากกลางอากาศและจงใจเดินผ่านหน้าฮันยองมาพร้อมคำถากถาง “ฮันยอง ข้าทำได้ถึงระดับสี่ ข้ารู้ดีว่าเจ้าคงไม่ยอมง่ายๆ เพราะฉะนั้นจงอย่าได้ต่ำกว่าระดับนี้ไปล่ะ!”
ฮันยองหน้าแดงขึ้นมาด้วยความโกรธ ปากอยากเถียงกลับในสมองกลับคิดคำเถียงใดๆ ไม่ออกเลย
เพราะต่อให้อวดอ้างตัวเองไปตอนนี้ หากถึงตาแล้วไม่สามารถทำได้จริงมันก็ย่อมเป็นเขาเองก็ต้องเสียหน้า
เวลานั้นเองที่เย่หยวนกลับพูดขึ้นแทน “เจ้าวางใจเถอะ เมื่อถึงตาพี่ฮันคนนี้ เขาจะได้ระดับสูงกว่าเจ้าและไม่มีทางต่ำตมไปกว่าเจ้าได้แน่”
สามพี่น้องเจ่าและฮันยองนั้นเป็นศัตรูแค้นกันมานาน เขาแค่คิดลงมาหาเรื่องศัตรูเก่าแก่ ไม่นึกไม่ฝันว่าข้างๆ ฮันยองจะมีเย่หยวนอยู่ด้วย
ได้ยินคำพูดนั้นของเย่หยวนเจ่าเจาก็หน้าถอดสีลงทันทีด้วยดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความหวาดกลัว
“หึ! ค-แค่คนอย่างมันน่ะหรือ? หรือว่าข้าจะยังไม่รู้ถึงความสามารถของมันอีก?” เจ่าเจายืนคอตอบกลับมาด้วยท่าทางฝืนๆ
เขานั้นเกรงกลัวเย่หยวน แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะกลัวฮันยอง
เพราะพวกเขาสู้กันมาเกือบครึ่งชีวิต มีหรือที่เขาจะยังไม่รู้ถึงฝีมือของฮันยอง?
เย่หยวนตอบกลับไป “สิ่งที่ยอดกลองจรัสทดสอบนั้นคือความเป็นไปได้หาใช่พลังฝีมือ ตอนนี้เจ้ามีพลังฝีมือที่เหนือกว่าเขาจริง แต่มันไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะมีความเป็นไปได้มากกว่าตัวเขา”
เมื่อเจ่าเจาได้ยินเขาก็ตอบกลับมาด้วยท่าทางเย้ยหยัน “แค่มันเนี่ยนะ? หากมันก้าวผ่านข้าไปได้จริงข้าจะมุดหัวให้มันเตะเล่นเป็นลูกบอลเลย!”
เย่หยวนยิ้มตอบ “ไม่ต้องหรอก หากเขาก้าวข้ามเจ้าไปได้เจ้าไปตะโกนต่อหน้าผู้คนว่านิกายคชสารมารมันขยะสามครั้ง! เจ้ากล้าเดิมพันไหม?”
เมื่อเจ่าเจาได้ยินคำของเย่หยวนใบหน้าของเขาก็แข็งทื่อขึ้นทันที
นี่คือการเดิมพันด้วยชื่อเสียงของนิกาย มิใช่เรื่องที่เขาจะเอามาล้อเล่นได้
เมื่อเย่หยวนเห็นท่าทางนั้นเขาก็บอกออกมา “ดูท่าเจ้าจะไม่ได้มั่นใจขนาดนั้นนะ ฉะนั้นเวลาคนยังไม่ทันยได้ขึ้นสนามก็อย่าเพิ่งมาอวดอ้างตัว คนที่แข็งแกร่งกว่าเจ้ามันมีอีกมากมายก่ายกอง!”
เมื่อเห็นเย่หยวนหยุดเจ่าเจาไว้ด้วยคำพูดเหล่านั้น ฮันยองก็ตื่นเต้นดีใจขึ้นมาตาม
เขาย่อมรู้ดีว่าตัวเองไม่อาจจะเทียบเคียงเจ่าเจาได้ แต่การทำให้อีกฝ่ายอึดอัดได้เช่นนั้นมันก็ทำให้เขาดีใจมากพอแล้ว
เจ่าเจายิ้มตอบกลับมา “เจ้ายั่วข้า? คิดว่าข้าจะตกหลุมพรางง่ายๆ ขนาดนั้นเลย?”
เย่หยวนยิ้มตอบ “ไม่ว่าข้าจะยั่วใดๆ หรือไม่ เจ้ามันก็เป็นได้แค่ไอ้ขยะแสนขี้ขลาด! เจ้าไม่กล้าที่จะรับคำท้าเพราะเจ้าไม่มีความมั่นใจล่ะมั้ง? เอางี้ไหม ข้าขอท้า หากตัวข้าแพ้ให้แก่เจ้าข้าจะยอมฆ่าตัวตายต่อหน้าเทือกเขาเงาจันทร์นี้เลย! เจ้าว่ายังไง กล้าไหม?”
เจ่าเจาได้แต่ทำหน้าเหยเกออกมา แน่นอนสิว่าเจ้าต้องกล้าท้า!
มีหรือที่ยอดอัจฉริยะผู้ผสานแนวคิดแห่งห้วงมิติและแนวคิดแห่งดาบเข้าด้วยกันได้จะแพ้พ่ายให้คนอย่างเขา?
ไอเจ้าหมอนี่มันแข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าต้วนชิงหงและจงฮันหลินรวมกัน!
“ฮ่าๆๆ… เจ้านี่มันขี้ขลาดจริงๆ ไม่กล้าที่จะรับคำท้าแค่นี้! หากเจ้าไม่กล้าก็ไปไกลๆ อย่าได้มาทำอะไรขัดหูขัดตาแถวนี้! ระดับสี่มันเก่งมากหรือ?” ฮันยองหัวเราะเสริมเข้ามา
การโดนเย่หยวนดูถูกยังพอว่า เขาไม่มีทางใดไปตอบโต้
แต่การโดนคนอย่างฮันยองดูถูกตามเช่นนี้ เขาย่อมไม่มีทางทนทานได้
“ฮันยอง ข้ากล้าท้า เจ้ากล้ารับไหม? หากเจ้าแพ้เจ้าต้องไปตะโกนต่อหน้าผู้คนว่านิกายเมฆาสวรรค์มันขยะบ้างสามครา! เจ้ากล้ารับไหมล่ะ?” เจ่าเจายิ้มตอบกลับไปอย่างชั่วร้าย
ฮันยองหน้าถอดสีทันทีที่ได้ยิน ตอนนี้มันราวกับว่ามีใครเอาอะไรมารัดคอเขาไว้จนหายใจแทบไม่ออก
เมื่อเจ่าเจาเห็นภาพนั้นเขาก็หันหน้าไปบอกเย่หยวน “เห็นไหม? มันต่างหากที่ไม่กล้า มิใช่ข้าเสียหน่อย!”
เมื่อฮันยองได้ยินเขาก็เงยหน้าขึ้นทันที “เอาก็เอาสิ ใครกลัววะ?”
เจ่าเจานั้นสะดุ้งตกใจอย่างมาก แต่เมื่อได้มาคิดอีกทียังไงเสียเขาก็ไม่มีทางพ่ายให้ฮันยองได้แน่เขาจึงตอบกลับมาด้วยใบหน้าที่ดำมืด “ได้สิ ข้าล่ะอยากรู้จริงๆ ว่าไก่น้อยอย่างเจ้าจะกลายเป็นหงส์ได้ด้วยเวลาแค่นี้ไหม! ข้าจะทำให้นิกายเมฆาสายฟ้าของเจ้าต้องเสียหน้าต่อหน้าทุกผู้คน”
เมื่อเรื่องกลายเป็นเช่นนี้หัวใจของฮันยองจึงยิ่งสั่นเต้นรัว
เขานั้นไม่มั่นใจเลยว่าตัวเองจะชนะเจ่าเจาได้
“เย่หยวน เจ้าทำเกินไปแล้ว! หากฮันยองแพ้วันหน้าเขาคงไม่มีโอกาสลืมตาอ้าปากในนิกายเงาจันทร์แน่! เขาคงได้กลายเป็นที่น่าหัวร่อของผู้คนแทน!” หยางฝานเข้ามากล่าวว่า
ดูท่าแล้วเขาคงไม่พอใจมาก
หยางฝานนั้นสนิทกับฮันยองมาก เมื่อได้เห็นเย่หยวนไปสร้างสงครามให้เขาเช่นนี้ความโกรธจึงบังเกิดขึ้นมาในหัวใจ
หากฮันยองแพ้ นิกายเมฆาสายฟ้าคงทอดทิ้งเขาและมองเขาว่าไม่ภักดีต่อนิกาย วันหน้าเขาเองก็จะอยู่อย่างเดียวดายในนิกายเงาจันทร์ มันไม่ได้จบง่ายๆ แค่การตะโกนสามคำพูด
การเดิมพันอนาคตนี้มันมากเกินไป
แค่พูดอะไรพล่อยๆ ออกมามันอาจจะทำร้ายอนาคตทั้งหมดชีวิตของฮันยองไปได้
ที่สำคัญหยางฝานยังไม่เห็นทางใดที่ฮันยองจะชนะได้เลยด้วย
เรื่องที่เย่หยวนบอกสอนมานั้น หยางฝานย่อมไม่คิดที่จะหวังพึ่งพามันสักเท่าไหร่
หากแค่สอนไม่กี่คำคนเราจะเก่งกาจขึ้นได้ขนาดนั้นมันก็คงไม่มีต้องสำนักนิกายกันแล้วใช่ไหม?
เย่หยวนยิ้มตอบกลับไปเมื่อได้ยิน “ท่านลองมองมุมกลับสิ หากฮันยองชนะพวกเจ่าเจามันจะไม่มีทางโงหัวขึ้นมาในนิกายเงาจันทร์ได้อีกเลยนะ”
ตอนนั้นเองที่ศิษย์ทั่วไปก็เรียกประกาศชื่อขึ้น “ต่อไปฮันยอง!”
ฮันยองหน้าซีดลงทันที ขาสองข้างของเขานั้นเหมือนมีรากงอกไม่สามารถยกมันขึ้นมาเดินได้
เมื่อเจ่าเจาเห็นภาพนี้เขายิ่งมั่นใจหนักกว่าเก่าว่าฉันยองไม่มีทางชนะได้แน่!
เดิมทีมันเป็นฮันยองที่ด้อยกว่าเขาอยู่แล้ว
เย่หยวนตบบ่าของฮันยองเบาๆ ด้วยรอยยิ้ม “อย่าลืม ใช้วิธีที่ข้าบอกไปในการตี ท่านไม่แพ้แน่”
ฮันยองใจเต้นรัวขึ้น “นี่มัน… จะได้ผลจริงหรือ?”
เย่หยวนพยักหน้าตอบกลับไปด้วยความมั่นใจ
ตอนนี้ขึ้นหลังเสือมาแล้วมันคงลงยาก ฮันยองมีแต่ต้องทำตามเย่หยวนไปให้สุด เขากลั้นใจกระโดดขึ้นไปหากลองยักษ์บนอากาศ
จู่ๆ ฮันยองก็หันหน้ากลับจากยอดกลองจรัสและเริ่มสูดหายใจเข้าช่องท้องไปเรื่อยๆ
เมื่อทุกคนได้เห็นภาพนี้ พวกเขาต่างยืนงงนิ่งเป็นไก่ตาแตก
เจ่าเจาหน้าแดงขึ้นมาด้วยอาการหัวเราะที่หยุดไม่ได้ “ฮ่าๆๆ! เจ้าจะทำให้ข้าขำจนตายแล้ว! ไอ้หมอนี่มันคงไม่ได้ติดจะลั่นยอดกลองจรัสด้วยลมตดหรอกนะ?”
ไป่หลี่ชิงหยานเองก็มีใบหน้าแดงฉานด้วยความอับอายต่อภาพตรงหน้าจนอดไม่ได้ที่ต้องหันหัวหนี
ที่ด้านล่างมันเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะหยอกล้อ
หยางฝานเองก็โกรธจนควันแทบพุ่งออกหูก่อนจะหันมาหาเย่หยวน “นี่หรือคือสิ่งที่เจ้าบอกให้เขาทำ? เจ้าคิดอยากให้เขากลายเป็นตัวตลกของผู้คนหรืออย่างไร?”
ปูดดด…
หยางฝานยังพูดไม่ทันขาดคำก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาลั่นลาน
แต่ว่ารอยยิ้มหัวเราะของผู้คนยังไม่ทันจางหายมันกลับเกิดเสียงกลองสนั่นดังขึ้นมาตาม!
ตึง!
ตอนที่ 1795 ตดสะท้านฟ้า
ตึง!
เสียงกล้องสั่นสะท้านฟ้าดังขึ้นทั่วจนทำให้ผู้คนที่อยู่ใกล้ๆ มันต้องแก้วหูสั่น
ทุกคนที่ยังหัวเราะกันอยู่เมื่อวินาทีที่แล้วกลับหน้าถอดสีไปทันทีที่ได้ยินเสียงกลองนี้
เพราะหากไม่ใช่คนที่โง่ไร้สมองจริงๆ พวกเขาย่อมฟังออกว่านี่คือเสียงกลองที่ดังที่สุดแล้วตั้งแต่เริ่มทดสอบมา!
ทุกคนได้แต่ยืนนิ่งอย่างที่ไม่มีใครคาดคิดว่าตดของฮันยองจะสามารถทำให้ยอดกลองจรัสดังสนั่นขึ้นมาได้ขนาดนี้
“อะ!”
ฮันยองร้องและไม่อาจจะทนยืนต่อไปได้จนร่วงหล่นลงมาจากอากาศ
แต่เขานั้นไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดใดๆ ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นอย่างถึงที่สุด
เขาวิ่งเข้ามาหาเย่หยวนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “มันได้ผลจริง! เจ้าไม่ได้หลอกข้าจริงๆ ด้วย!”
เย่หยวนตอบกลับไปด้วยท่าทางไม่ค่อยพอใจนัก “ที่แท้ท่านก็ยังคิดว่าข้าหลอกจนวินาทีสุดท้าย!”
ฮันยองแทบสำลักเมื่อได้ยินก่อนจะกล่าวแก้ตัวขึ้นด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ “ข้าไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น”
“หึๆ จะสงสัยก็ไม่แปลกหรอก เพราะยังไงเสียวิธีที่ข้าบอกไปมันก็เหนือล้ำกว่าจินตนาการ” เย่หยวนยิ้มรับ
ที่ด้านข้างหยางฝานนั้นตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก ตอนนี้ดวงตาที่เขามองดูเย่หยวนตรงหน้านั้นแทบจะหลุดออกมาจากเบ้า
การชี้นำของเด็กคนนี้มันได้ผล!
ผู้ดูแลหงที่เห็นภาพนี้เองก็มองดูอย่างมึนงงไม่แพ้กัน นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขาได้เห็นคนใช้วิธีแสนบ้าบออย่างนี้ในการผ่านการทดสอบ
“ฮันยอง ระดับห้า! ผ่านการทดสอบ!”
คำพูดชุดนี้มันเหมือนค้อนใหญ่ทุบลงกลางหัวเจ่าเจา
เขาได้แต่กัดฟันแน่นตอบสวนกลับไป “ผู้ดูแลหง ข้า… ข้าไม่ยอมรับ! คนเราจะผ่านการทดสอบด้วยวิธีการเช่นนั้นได้อย่างไร?”
ผู้ดูแลหงหันมามองดู “เจ้าสงสัยในคำตัดสินของเฒ่าคนนี้?”
เจ่าเจาสะดุ้งตกใจทันที แต่เขาก็ยังเลือกที่จะหาข้ออ้างขึ้นมาปกป้องตัวเองเพิ่ม “ผู้ดูแลหง หากปล่อยให้มันตดผ่านเช้านี้วันหน้านิกายเงาจันทร์เราจะไม่กลายเป็นที่หัวเราะของผู้คนไปทั่วหล้าหรือ?”
ผู้ดูแลหงขมวดคิ้วแน่น “ผ่านก็คือผ่าน ยอดกลองจรัสไม่หลอกลวงผู้คน! ยังบ่นมากความอีกข้านี่แหละจะถอนเจ้าทิ้งจากรายชื่อให้!”
เจ่าเจาหน้าถอดสีทันที มีหรือที่ได้ยินขนาดนั้นแล้วเขายังจะกล้าว่าอะไรต่อ
ฮันยองพูดขึ้นด้วยท่าทางแสนภูมิใจ “เจ่าเจา เมื่อกี้ยังมั่นใจสุดเปี่ยมอยู่เลยนี่? ไหนว่าข้าจะก้าวข้ามเจ้าไปไม่ได้ไง? หึๆ เอาล่ะ ยอมแพ้เสีย!”
เจ่าเจาทำหน้าดำคร่ำเครียดออกมาทันที เขากัดฟันตอบมา “เจ้าตีกลองด้วยวิธีสุดทุเรศ ยังจะมีหน้ามากล่าวถึงการท้าทายใดอีก?”
ฮันยองเดาคำตอบนี้มาก่อนหน้าและกล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางเย้ยหยัน “สิ่งที่แม้แต่ผู้ดูแลหงยังยอมรับมิใช่หน้าที่ของเจ้ามาตัดสิน! ข้าจะผ่านการทดสอบหรือไม่ธงผืนน้อยนั้นย่อมบอกได้ดีที่สุด! แล้วตอนนี้เจ้าคิดจะมากลับคำพูดอย่างนั้นหรือ?”
เจ่าเจารู้สึกว่าตัวเองถูกต้อนจนมุมทันที
คนรอบๆ เองก็หันหน้ามามองเจ่าเจาเป็นตาเดียวด้วยความดูถูกเหยียดหยาม
ตอนที่คนทั้งสองท้าทายกัน ผู้คนมากมายได้ยินมัน
ตอนนี้เจ่าเจากลับเลือกจะกลับคำเสียอย่างนั้น
เจ่าเจากัดฟันแน่น “ข้ากลับคำไง เจ้าจะทำอะไรข้าได้?”
แต่ฮันยองกลับยิ้มออกมากว้างกว่าเก่า “ข้าทำอะไรเจ้าได้? หึๆ ดูเถอะทุกคน นี่แหละคนจากนิกายคชสารมารพูดอะไรไม่มีหลักแน่นอน ไม่มีปัญญาพอท้าข้าแต่กลับมาท้าทาย ตอนนี้แพ้แล้วกลับไม่ยอมรับความพ่ายแพ้! ช่างเป็นเรื่องน่าขันเสียจริงๆ!”
“เจ่าเจาคนนี้ ไม่นึกเลยว่าจะหน้าไม่อายขนาดนี้!”
“นิกายคชสารมารเสียหน้าเพราะมันคนเดียว”
“หึ แพ้แล้วไม่ยอมแพ้ วันหน้าใครจะไปอยากอยู่ด้วยคนอย่างนี้?”
…
คำพูดเดียวของฮันยองทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นทันที
เจ่าเจานั้นทำหน้าตาออกมาไม่ถูก ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนตัวเองได้ขึ้นมาขี่หลังเสือที่กำลังวิ่งลงเหว เพราะไม่ว่าจะอยู่หรือไป จะยอมหรือหรือปฏิเสธ สุดท้ายนิกายก็ต้องเสียหน้าเพราะเขาอยู่ดี
ระหว่างที่เขากำลังทำอะไรไม่ถูกอยู่นั้นก็มีเงาร่างหนึ่งพุ่งมาถึงตัวเขา
เพียะ!
เสียงตบหน้าเจ่าเจาดังสนั่นไปทั่วบริเวณ
ซ่งถิงมองดูเจ่าเจาด้วยใบหน้าแสนผิดหวังและกล่าวออกมาอย่างโกรธเคือง “เจ้าโง่ บ้าไปแล้วเรอะ? ถึงได้ไปรับคำท้าโง่ๆ เช่นนี้!”
เจ่าเจานั้นเศร้าโศกอยู่เต็มหัวใจ แต่ใครจะไปรู้ได้ว่าฮันยองจะใช้ตดเอาชนะเขาได้?
“ข้า…”
เจ่าเจานั้นกำลังจะพูดปกป้องตัวเองขึ้นแต่ซ่งถิงกลับกล่าวขึ้นก่อน “เจ้ารู้อะไรไหม? จากนี้ไปเจ้ามิใช่คนของนิกายคชสารมารอีกต่อไปแล้ว!”
เจ่าเจาหน้าซีดเผือดลงทันทีก่อนจะกล่าวขึ้นอย่างตระหนก “นี่มัน… ท่านจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร?”
หากถูกไล่ออกจากกลุ่มอำนาจนิกายคชสารมารแล้ว เขาย่อมไม่มีทางหาใครมาคุ้มกะลาหัวในนิกายเงาจันทร์ได้ในวันหน้า
ในนิกายนั้นมันเต็มเปี่ยมไปด้วยยอดอัจฉริยะมากมาย การที่คนอยากเขาจะลืมตาอ้าปากเองได้นั้นมันเป็นเรื่องแสนยาก
ซ่งถิงนั้นพ่นลมออกมาแรง “เช่นนั้นแล้วเจ้ามีวิธีแก้ไขเรื่องนี้?”
เจ่าเจาแทบสำลักเมื่อได้ยิน ดูท่าตอนนี้วิธีนี้มันคงเป็นการดีที่สุดที่จะแก้ไขปัญหาตรงหน้า
เจ่าเจานั้นหน้าซีดเผือด เขาได้รู้ตัวแล้วว่าอนาคตของเขาคงไม่สดใสอีกต่อไปแล้ว
และคนร้ายก็คือการท้าทายนั้น!
การท้าทายที่ตอนแรกดูยังไงก็ชนะ แต่สุดท้ายกลับเป็นเขาที่แพ้!
ฮันยองมองดูเรื่องนี้อยู่ไกลๆ ด้วยใบหน้าแสนสุข
หลายต่อหลายปีเจ่าเจาเอาแต่กดขี่เขามาตลอด ทำให้เขาแทบไม่ได้มีโอกาสพักหายใจ
ไม่นึกไม่ฝันว่าแค่โอกาสเอาคืนครั้งเดียวนี้มันจะกลบฝังฝ่ายตรงข้ามได้จนมิดหัว
เมื่อไม่มีการสนับสนุนจากนิกายคชสารมารแล้ว สามพี่น้องเจ่ามันก็คงต้องเจอชะตากรรมที่ยากลำบากแน่
เหมือนอย่างที่เจียงเชอเหยียนบอกเย่หยวนไว้ ขนาดคนเก่งกาจอย่างเย่หยวนยังหาที่อยู่ในนิกายยาก คนธรรมดาๆ อย่างเจ่าเจาย่อมไม่มีทางทำอะไรได้
ตอนนั้นเองที่ฮันยองรู้สึกเหมือนได้ยกเขาออกจากอก ดวงตาที่เขามองดูเย่หยวนนั้นเปี่ยมไปด้วยคำขอบคุณ
จริงๆ แล้วสิ่งที่เย่หยวนสอนเขานั้นมันง่ายดายมาก มันคือการให้เขาโคจรพลังโลกในร่างไปเรื่อยๆ และจมมันลงยังจุดตันเถียน
เมื่อมันเก็บรวมไว้จนถึงขีดจำกัดก็ให้ปล่อยมันออกมาในคราเดียว
แม้ว่าฮันยองจะไม่เข้าใจว่าทำไม แต่สุดท้ายเขาก็ทำตาม
เรื่องที่เขาเคยสงสัยวิธีการนี้ของเย่หยวนนั้น เขาอับอายในหัวใจอย่างมาก
เย่หยวนแค่คิดจะช่วยเขาเอาคืนเจ่าเจา แต่เขากลับไปสงสัยความคิดของเย่หยวนแทน
หยางฝานเปิดปากบอกต่อเย่หยวน “เย่หยวนข้าต้องขออภัย!”
เย่หยวนหันมามองเขาด้วยรอยยิ้ม “ท่านเป็นห่วงพี่น้องท่านจึงได้ว่ากล่าวเช่นนั้นออกมา มีหรือที่ข้าจะยังแยกความดีความชั่วออกจากกันไม่ได้อีก? ไม่ต้องขอโทษใดๆ หรอก”
หยางฝานมองดูเย่หยวนด้วยความตื่นตะลึง
เด็กคนนี้ช่างมีจิตใจแยกแยะผิดถูกอย่างชัดเจน!
“เย่หยวน ข้าเห็นว่าตอนที่เจ่าเจามันมาพูดกับเจ้าเมื่อสักครู่นี้มันดูกลัวๆ เจ้าหรือไม่?”
หยางฝานนั้นรู้สึกแปลกๆ เพราะตอนที่เจ่าเจาเห็นเย่หยวนเขากลับทำหน้าเหยเกออกมาในเสี้ยววินาทีหนึ่ง ราวกับว่าเย่หยวนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดมาจากที่ไหน
ความรู้สึกนี้มันจึงยิ่งทำให้เขารู้สึกผิดปกติ
ต่อให้เย่หยวนจะบรรลุมาได้ เจ่าเจาก็ไม่น่าจะต้องกลัวถึงขั้นนั้นใช่ไหม?
“ไอหมอนั่นมันถูกข้าและแม่นางไป่หลี่สั่งสอนตอนอยู่ในเขาเงาจันทร์น่ะ คงเป็นเพราะเรื่องนั้น” เย่หยวนตอบกลับมา
หยางฝานยอมรับมันได้ในทันที แต่คำพูดนี้ของเย่หยวนมันกลับยิ่งทำให้เขามึนงงอีกเรื่องหนักเข้าไปใหญ่
หรือว่าแท้จริงแล้วสายสัมพันธ์ระหว่างเย่หยวนและไป่หลี่ชิงหยานมันจะมีอะไรมากกว่าที่เห็น?
การทดสอบดำเนินต่อไป จนตอนนี้ผู้ที่เหลืออยู่นั้นมีแต่ยอดฝีมือระดับแนวหน้า หลายคนได้ถึงระดับสาม บ้างถึงระดับสี่
เพียงแค่ว่ามันยังไม่มีใครไปถึงระดับห้า
จนถึงตาของต้วนชิงหงที่เขาสามารถลั่นกลองระดับห้าออกมาได้ในที่สุด
จงฮันหลินและต้วนชิงหงนั้นฝีมือเทียบเท่ากัน ทำให้เขาเองก็สามารถลั่นกลองระดับห้าได้
เรื่องนี้มันก็เท่ากับว่าฮันยองอยู่ในอันดับสามของการทดสอบนี้แล้ว เรื่องนี้มันเป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน
“ต่อไป เย่หยวน!”
ตอนนี้เป็นตาของเย่หยวนบ้างแล้ว แต่เขากลับไม่คิดขยับตัวและหันไปบอกผู้ดูแลหงพร้อมยกมือคารวะ “ผู้ดูแลหง ศิษย์ขอทำการทดสอบเป็นคนสุดท้ายจะได้หรือไม่?”
ตอนที่ 1796 เสียงกลองกะทันหัน
“นี่ล้อกันเล่น? ไอ้เด็กคนนี้มันจะอวดอ้างตัวเองจนเกินไปหน่อยไหม? ถึงคิดอยากจะมาแย่งตำแหน่งผู้ขึ้นสนามคนสุดท้ายไปจากไป่หลี่ชิงหยานเช่นนี้!”
“หึ อวดเก่งอย่างไม่รู้จักฟ้าดิน! มันคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน?”
คำขอนี้ของเย่หยวนทำให้เกิดเสียงโห่ไล่ขึ้นมาทันที
เพราะยิ่งได้ขึ้นไปช้ามันยิ่งแสดงว่าเป็นคนที่เก่งกาจ เย่หยวนนั้นเป็นได้แค่ตัวเกาะของไป่หลี่ชิงหยานมีหรือที่เขายังขอเอาตำแหน่งคนสุดท้ายไปได้อีก?
เจียงเชอเหยียนขมวดคิ้วแน่น “ไอ้หมอนี่มันคิดจะทำอะไร? คิดจะใช้วิธีแบบนี้พิสูจน์ตัว? มันจะไม่โง่เกินไปหน่อยหรือ?”
ไป่หลี่ชิงหยานเองก็มึนงงไม่แพ้คนอื่นๆ ไม่เข้าใจว่าเย่หยวนต้องการทำอะไรกันแน่
ผู้ดูแลหงขมวดคิ้วแน่น “เจ้าและไป่หลี่ชิงหยานนั้นได้อันดับหนึ่งมาด้วยกัน ตราบเท่าที่อีกฝ่ายไม่ขัดมันก็ย่อมไม่มีปัญหาล่ะนะ”
พูดจบสายตาทุกคู่ก็ต่างหันไปจ้องมองดูไป่หลี่ชิงหยาน
เจียงเชอเหยียนนั้นกำลังจะเปิดปากพูดออกมาแทน แต่เป็นไป่หลี่ชิงหยานที่พูดยอมรับขึ้นมาเสียก่อน “ไม่มีปัญหา ข้าไปก่อนได้!”
เจียงเชอเหยียนกระทืบเท้าออกมาอย่างไม่พอใจคิดในหัวว่าเด็กคนนี้มันช่างน่าเป็นห่วงนัก
นี่มันใช่เวลามายอมเพราะมารยาทหรือ?
ไป่หลี่ชิงหยานเดินออกมากระโดดขึ้นจนถึงเบื้องหน้ากลองราวกับนางสวรรค์ที่ลงมาจุติยังโลก ความงามเหนือล้ำ
เหล่าศิษย์ทั้งหลายต่างแสดงใบหน้าท่าทางราวกับกำลังเลื่อมใสภาพตรงหน้า
หันไปมองเย่หยวนด้วยใบหน้าที่แฝงไปด้วยอารมณ์มากมายแต่นางกลับพบว่าเย่หยวนแค่ยืนอยู่ตรงนั้นและยิ้มอย่างสบายใจ เรื่องนี้มันทำให้นางมึนงงไม่น้อย
ไอ้เจ้าหมอนี่มันคิดอะไรอยู่กันแน่?
แต่เรื่องราวมันกลับไม่ถูกรับรู้ไปเช่นนั้นในสายตาของทุกผู้คน
ไป่หลี่ชิงหยานตั้งสติกับตัวเองและปล่อยปราณเทวะออกมาจากร่าง ทันใดนั้นก็ปรากฏเชือกไหมพุ่งตรงไปยังยอดกลองจรัสอย่างรวดเร็ว
ตึง!
นี่เป็นเสียงที่ดังสนั่นที่สุดเท่าที่เคยมีมาในการสอบครั้งนี้
คลื่นเสียงที่ออกมาจากยอดกลองจรัสนั้นมันราวกับเสียงที่ฟื้นคืนชีวิตให้ปฐพี ทำให้ต้นไม้ในระยะหลายกิโลเมตรเริ่มแตกดอกออกผล
เรื่องราวแสนใหญ่โตแบบนั้นมันย่อมทำให้ท่าทางของทุกผู้คนเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
นี่มันเหนือล้ำกว่าพวกต้วนชิงหงเสียอีก!
ผู้ดูแลหงแสดงใบหน้าสุดแสนพอใจออกมา “ไม่เลว! ไม่เลวเลย ไป่หลี่ชิงหยาน ยอดระดับหก! ผ่านการทดสอบ!”
เจียงเชอเหยียนแสดงรอยยิ้มออกมาเต็มใบหน้า เท่านี้นิกายเหย้าอมตะของนางก็จะสามารถกดทับอีกสองนิกายได้อย่างที่พวกนั้นไม่มีทางโงหัวขึ้น
ที่สำคัญด้วยฝีมือนี้ของไป่หลี่ชิงหยานมันจะช่วยเป็นเครื่องยืนยันคำกล่าวอ้างในตอนสอบรอบแรกได้อย่างดีด้วย!
ตอนนี้ยังจะมีใครสงสัยอีกว่าไม่ใช่ไป่หลี่ชิงหยาน?
บางทีพวกต้วนชิงหงเองก็คงไม่น่าคิดสงสัยอีกแล้วใช่ไหม?
ทางหันไปมองดูทางเย่หยวนพร้อมหัวเราะเยาะในใจ
“ไอ้เด็กโง่เอ้ย คิดว่าจะมาช่วงชิงสายตาไปจากชิงหยานได้หรือ? ต่อให้เจ้าจะสำเร็จแนวคิดแห่งห้วงมิติเจ้านั้นก็มีพลังบ่มเพาะที่ต่ำตม! การจะตียอดกลองจรัสได้นั้นมันต้องใช้พลังบ่มเพาะที่สูงส่ง!”
แม้ว่านางจะเห็นความเก่งกาจของเย่หยวนมาแล้ว เจียงเชอเหยียนก็ไม่ได้คิดว่าเย่หยวนจะทำออกมาได้ดีนัก
นางในฐานะศิษย์ของนิกายเงาจันทร์นั้นย่อมรู้ถึงพลังของยอดกลองจรัสดี
ยิ่งมีพลังบ่มเพาะสูง ก็จะยิ่งเข้าใจเต๋าได้ลึกซึ้ง ทำให้เสียงที่ออกมาจากกลองมันดังขึ้นด้วย
แม้ว่าเย่หยวนจะมีฝีมือเก่งกาจ แต่เขานั้นมีพลังบ่มเพาะที่ต่ำต้อย!
หากเขาใช้พลังโจมตีกลองไปอย่างเต็มที่ ผลที่ได้มันจะยิ่งกลับกลายเป็นการสะท้อนที่แสนรุนแรงแทน!
เพราะฉะนั้นมันจึงไม่มีใครมาเทียบเคียงไป่หลี่ชิงหยานได้แล้ว
เย่หยวนอยากขึ้นเป็นคนสุดท้าย เรื่องนี้มันมีแต่จะทำให้เขากลายเป็นที่น่าหัวร่อของผู้คน
ฝีมือของไป่หลี่ชิงหยานทำให้ทุกผู้คนต่างมองดูนางด้วยความเลื่อมใส และมันก็ทำให้ต้วนชิงหงและจงฮันหลินรู้สึกอับอายกับความไร้ค่าของตนไปด้วย
พวกเขานั้นตามตื้อไป่หลี่ชิงหยานมานาน แต่ตอนนี้พวกเขาได้รู้แล้วว่านางนั้นมีพรสวรรค์เหนือล้ำกว่าพวกเขามาก
ไป่หลี่ชิงหยานหันไปบอกผู้ดูแลหงพร้อมยกมือคารวะ “ขอบคุณผู้ดูแลหง!”
ผู้ดูแลหงพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ไป่หลี่น้อยเจ้าเก่งกาจสมชื่อจริง! ยอดระดับหกนั้นแม้จะนับรวมการสอบครั้งก่อนๆ ไปด้วยมันก็ยังนับได้ว่าเป็นยอดของยอด เสียดายที่เจ้ายังขาดไปนิดและไม่อาจบรรลุสู่ระดับเจ็ดได้”
ไป่หลี่ชิงหยานบอก “ชิงหยานจะตั้งใจบ่มเพาะให้มากขึ้น วันหน้าจะไม่ทำให้นิกายผิดหวังแน่!”
ผู้ดูแลหงยิ้มรับ “อืม บ่มเพาะให้ดี! งานชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่ครั้งนี้ข้าหวังว่าเจ้าจะได้มีสิทธิ์เข้าไปร่วมด้วย!”
ไป่หลี่ชิงหยานพยักหน้ารับและร่อนกลับลงมา
เจียงเชอเหยียนนั้นเข้ามาต้อนรับนางไว้ด้วยรอยยิ้ม “ไป่หลี่ เจ้าช่างไม่ทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ!”
แต่ไป่หลี่ชิงหยานกลับยังมีท่าทางเย็นชาตอบกลับมา “ศิษย์พี่มันยังมีคนที่ไม่ได้ขึ้นสนาม ท่านอย่าเพิ่งรีบดีใจไปเลย”
เจียงเชอเหยียนตอบกลับมาด้วยท่าทางไม่แยแส “แม้ว่าไอ้เด็กคนนั้นมันจะมีพรสวรรค์มาก แต่พลังบ่มเพาะของมันก็ต้อยต่ำ ต่อให้มันจะเก่งกาจกว่าพวกต้วนชิงหงได้มันก็ไม่มีทางเหนือล้ำกว่าเจ้าไปได้!”
ไป่หลี่ชิงหยานส่ายหัวออกมาแต่ก็ไม่ได้เถียงออกไป
นางรู้สึกได้แปลกๆ ว่าเย่หยวนทำเช่นนี้มันย่อมมีความหมายใดลึกซึ้ง
บางทีเรื่องราวมันคงไม่จบง่ายๆ เช่นนั้น
ที่สำคัญรอบก่อนหน้ามันไม่มีทางเลยที่ฮันยองคนนั้นจะเหนือล้ำกว่าเจ่าเจาได้ แต่เขากลับทำออกมาได้ถึงระดับห้า
และฮันยองนั้นสนิทกับเย่หยวน เรื่องนี้มันจะยังเป็นความบังเอิญได้อีก?
“สุดท้าย เย่หยวน!”
หลังจากเรียกมาหลายครั้ง ในที่สุดมันก็ถึงตาของเย่หยวนขึ้นสังเวียน
แต่ทว่าเขากลับยังไม่พุ่งตัวออกมาและทำให้เกิดเสียงโห่ร้องขึ้นอีกครั้ง
ดูท่าคนดูทั้งหลายคงกำลังดูถูกคนที่ประเมินตัวเองอย่างสูงส่งจนเกินไป
“ไอ้หมอนี่มันหน้าไม่อายจริงๆ พลังฝีมือแค่นั้นก็กล้าจะมาแย่งตำแหน่งผู้สอบคนสุดท้ายไป!”
“หึ แม่นางไป่หลี่เองก็ใจกว้างและไม่คิดจะลดตัวไปเถียงกับมัน ดันทำให้หมอนี่เป็นจากเลวเป็นร้าย”
“ราชันพระเจ้าหกดาว จะตีได้หรือไม่ยังไม่รู้กลับมีหน้ามาขอตำแหน่งสุดท้ายเช่นนี้”
…
เดิมทีไป่หลี่ชิงหยานนั้นเป็นยอดอัจฉริยะในระดับเดียวกับต้วนชิงหงและจงฮันหลินในสายตาของทุกผู้คน
แต่ตอนนี้ไป่หลี่ชิงหยานกลับผงาดขึ้นมาเหนือหัวอีกสองคนลิบลับ
ตัวตนของไป่หลี่ชิงหยานมันเหนือล้ำกว่าคนทั้งหลาย
เมื่อมารวมกับความงามอันเหนือล้ำของนางแล้ว นางก็ได้กลายเป็นนางฟ้าในใจของใครหลายๆ คนไป
นางฟ้าที่อย่าได้ไปลบหลู่!
แต่เย่หยวนคนนี้กลับลบหลู่นางฟ้าคนนั้นด้วยการแย่งตำแหน่งสุดท้ายมาแทน
เสียงโห่ร้องราวสัตว์ป่าเหล่านี้ เย่หยวนย่อมไม่มีทางคิดสนใจมัน
เขาค่อยๆ เดินผ่านฝูงชนเข้าไปและไม่คิดบินเหินขึ้น
จากนั้นเขาแค่สะบัดเบาๆ เป่าลมไปยังยอดกลองจรัส
ท่าทางนี้มันเหมือนกับการปัดฝุ่นจากเศษผ้า อ่อนแอและแสนสบายใจ
การกระทำนี้มันทำให้ทุกผู้คนต่างมึนงงไปพร้อมๆ กัน
ตอนนี้แม้แต่ผู้ดูแลหงเองก็แสดงสีหน้าท่าทางสุดสงสัยออกมา
“ไอ้หมอนี่มันทำอะไร? ต้องขอชมเลยว่ามันช่างเป็นคนที่สร้างชื่อให้ตัวเองในทางเสียๆ ได้เก่งแท้!”
“ที่มันทำนั้นคือจะตีกลองแล้ว?”
“ไม่มีปราณเทวะเลย! ไอ้หมอนี่มันเดินออกมายอมรับความพ่ายแพ้ของตัวเองแล้วหรือ?”
…
ตึง!
ระหว่างที่กำลังด่าว่าไปอย่างไม่ขาดปากมันก็เกิดเสียงกลองหนึ่งดังสนั่นลั่นฟ้าขึ้นมา กลบทับเสียงอื่นๆ ที่เคยมีในลานไปจนสิ้น
ตอนนี้เสียงเดียวที่ผู้คนได้ยินมันคือเสียงยอดกลองจรัสที่ดังสนั่นนี้
นั่นทำให้สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปทันควัน
เสียงนี้มันฟังดูแล้วไม่ได้ด้อยไปกว่าไป่หลี่ชิงหยานเลย!
มันพลังคือพลังเสียงที่สะท้อนไปไกลหลายกิโลเมตร!
ทุกคนต่างหันมามองเย่หยวนเป็นตาเดียวด้วยใบหน้าที่มีทั้งหวาดกลัวและมึนงง
เสียงกลองนี้เย่หยวนเป็นคนตีจริงๆ?
แต่ท่าทางสบายๆ เช่นนั้นมันจะสร้างเสียงที่กระหึ่มฟ้าขนาดนี้ได้อย่างไร?
ตอนที่ 1797 เฒ่าแต่อายุ
แม้เสียงกลองค่อยๆ เบาบางลงแต่ความตื่นตกใจของผู้คนยังไม่จางหายไปตาม
เพราะมันไม่มีใครคาดคิดว่าเย่หยวนจะสามารถทำผลลัพธ์ออกมาได้ในระดับเดียวกับไป่หลี่ชิงหยาน!
ในหมู่คนที่คาดไม่ถึงนั้นรวมไปถึงพวกเจียนเชอเหยียนและต้วนชิงหงด้วย
ผู้ดูแลหงหรี่ตาลงทันทีราวกับว่าเขาได้เข้าใจอะไรบางอย่าง
“เย่หยวน ยอดระดับหก! ผ่านการทดสอบ!”
เขามองดูที่เย่หยวนด้วยสายตาที่ปนความสงสัยมาไม่น้อย
ผู้ดูแลหงได้แต่คิดในใจว่าเจ้าเด็กคนนี้มันแตกต่างจากคนอื่นๆ และสามารถมองเห็นถึงความเป็นจริงของยอดกลองตรัสได้แล้ว จึงทำการอย่างง่ายดายตัดเรื่องที่ไม่จำเป็นทิ้ง ทำให้ยอดกลองจรัสส่งเสียงออกมาด้วยพลังแห่งยอดเต๋าล้วนๆ! แม้จะดูง่ายแต่แท้จริงมันกลับยากกว่าวิธีการที่ผู้อื่นใช้นับไม่รู้กี่เท่า! คนอื่นๆ เห็นด้านหน้าแค่พันก้าว แต่เขานั้นเห็นไปไกลกว่าหมื่นก้าว! เว้นเสียแต่ว่าเขายังดูเหมือนจะออมมือไว้บ้าง ซึ่งนั่นคือเหตุผลที่ทำให้ผู้ดูแลหงมึนงงสงสัย
เมื่อเย่หยวนไม่ได้แสดงพลังฝีมือที่มีทั้งหมดออกมา เขาเองก็ย่อมไม่สามารถประเมินขีดจำกัดที่แท้ของเย่หยวนได้
แต่เย่หยวนนั้นต้องเป็นยอดอัจฉริยะเช่นกันไม่ผิดแน่!
อย่างน้อยๆ เขาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าไป่หลี่ชิงหยาน
เดิมทีเขานั้นคิดว่าเย่หยวนเป็นแค่ตัวประกอบที่ยืมมือของไป่หลี่ชิงหยานในการไต่เต้าขึ้นมาถึงอันดับหนึ่ง
หากลองนึกดูตอนนี้ เรื่องนั้นมันช่างผิดอย่างมหัน!
“ส-สุดยอด!” ฮันยองกล่าวขึ้นด้วยความตื่นตะลึง
แม้ว่าหลังจากเขาทำเสียงได้ถึงระดับห้า สายตาของเขาที่มองเย่หยวนจะเปลี่ยนไปบ้างแล้วก็ตาม
แต่เมื่อเขาได้เห็นเย่หยวนขึ้นไปได้ถึงยอดระดับหก อยู่ในระดับเดียวกับไป่หลี่ชิงหยานเขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะตื่นตกใจ
หยางฝานเองก็ทำหน้าตาแปลกๆ ออกมา เดิมทีเขาคิดว่าเย่หยวนนั้นเป็นคนขี้โม้โอ้อวดอย่างไม่มีหลักแหล่ง เป็นคนประเภทที่อยู่ใกล้แล้วเป็นภัย
แต่เมื่อเห็นแบบนี้ มันคงเป็นเขาเองที่ตามืดบอด
เย่หยวนบอกว่าเขาสามารถผ่านการทดสอบนี้ได้อย่างง่ายดาย และก็สามารถทำมันได้ด้วยท่าทางแสนง่ายดายนั้นจริงๆ!
ง่ายจนเกินไป!
แค่สะบัดมือก็มากพอทำให้เกิดเสียงยอดระดับหก มันช่างเป็นความเรียบง่ายที่ทรงพลัง
เย่หยวนค่อยๆ หันหน้ากลับไปหาเจียงเชอเหยียนอย่างมีนัยแฝง
เจียงเชอเหยียนร่างสั่นสะท้านขึ้นทันทีเพราะท่าทางที่สง่าของเย่หยวนนั้น
เขียงเชอเหยียนหน้าร้อนผ่าวขึ้นมา
การสะบัดมือน้อยๆ นี่ของเย่หยวนมันกลับทำให้นางรู้สึกเหมือนโดนตบหน้าเข้าฉาดใหญ่
ไม่ว่าจะเป็นคนโง่แค่ไหนก็พอบอกได้ว่าเย่หยวนนั้นยังออมมือไว้มาก!
แต่ทั้งๆ อย่างนั้นเขากลับได้ยอดระดับหก
การกระทำนี้ของเย่หยวนมันเปี่ยมไปด้วยความหมาย!
หนึ่งเลยคือเย่หยวนช่วยให้ไป่หลี่ชิงหยานได้ตำแหน่งอันดับหนึ่งไป เป็นการตอบแทนความช่วยเหลือแค่ความซื่อสัตย์ที่ไป่หลี่ชิงหยานมี
อย่างที่สองคือเย่หยวนใช้การสะบัดมือนี้บอกทุกผู้คนว่าตัวเขา เย่หยวนนั้นไม่ต้องให้ไป่หลี่ชิงหยานมาช่วยก็แข็งแกร่งมากพอแล้ว!
อย่างที่สามคือเย่หยวนนั้นบอกนาง บอกเจียงเชอเหยียนว่าเจ้าไม่อาจมาสกัดกั้นข้าได้! ตราบเท่าที่เย่หยวนคนนี้ต้องการ เขาก็สามารถที่จะผงาดขึ้นได้เหนือหัวทุกผู้คน!
นี่มันคือการประกาศสงครามดีๆ นี่เอง!
“การสอบจบลงเท่านี้ จากนี้เป็นต้นไปพวกเจ้าทั้งหลายจะได้เป็นศิษย์นิกายเงาจันทร์เรา! ไม่ว่าก่อนหน้าพวกเจ้าจะมาจากค่ายนิกายใด ตอนนี้เจ้าทั้งหลายมีตัวตนเพียงวหนึ่งเดียว นั่นคือการเป็นศิษย์นิกายเงาจันทร์! เมื่อเข้านิกายมาแล้วต้องนับผลประโยชน์ของนิกายเป็นที่ตั้ง! หากมีการกระทำใดส่อถึงการทรยศต่อนิกาย เจ้าจะถูกสังหารอย่าไร้ปรานี! ตอนนี้พวกเจ้าลงเขาไปได้ ต่อไปจะมีคนมาจัดแจงแยกย้ายพวกเจ้าไปอีกที!”
ผู้ดูแลหงพูดออกมาด้วยเสียงที่ก้องสะท้านไปทั่วทั้งเขา
คำพูดของผู้ดูแลหงนี้มันทำให้เหล่าศิษย์มีสีหน้าหวาดกลัวขึ้นมาไม่น้อย
เย่หยวนนั้นไม่ได้สนใจมากมายและยังคงทำสีหน้าเรียบเฉยต่อไป
นิกายเงาจันทร์นั้นดูเหมือนจะมีหลายค่ายอำนาจอยู่ภายใน แย่งชิงดีชิงเด่นกันอย่างดุเดือดรุนแรง
แต่แท้จริงแล้วนั้นคือแผนในการปล่อยให้ศิษย์ทั้งหลายแข่งขันกันพัฒนาตัวเอง เพื่อที่จะสามารถเพิ่มความเร็วในการพัฒนาฝีมือไปได้อีกมาก
แต่หากมีใครที่ทำให้นิกายเสียหาย ทางนิกายย่อมพร้อมที่จะกำจัดคนผู้นั้นอย่างไม่ปรานี
นิกายเงาจันทร์นั้นไม่ได้เลี้ยงดูอัจฉริยะเพื่อนิกายอื่น
ตอนนี้มีศิษย์แท้สี่สิบสามคนที่ผ่านการสอบเข้ามาได้ และศิษย์ทั่วไปอีกหนึ่งร้อยสองคน และตอนนี้คนทั้งหลายก็ได้เข้ามายังพื้นที่นิกายด้วยการนำของเชียนเย่
…
นิกายเงาจันทร์นั้นมียอดเขาหนึ่งที่ตั้งสูงตระหง่านจนไม่สามารถมองเห็นยอดได้
เย่หยวนเดินขึ้นทางลาดมากับศิษย์คนอื่นๆ และรู้สึกราวกับว่าตัวเองได้เข้ามาในดินแดนวิเศษ
ความหนาแน่นของพลังวิญญาณในที่แห่งนี้มันหนักแน่นเสียงยิ่งกว่าภูเขาทั้งลูก
แค่พลังงานวิญญาณระหว่างทางไปนี้มันก็หนาแน่นกว่าพวกเมืองจักรพรรดิชั้นสูงไปไม่รู้กี่เท่าแล้ว
นิกายเงาจันทร์นั้นจะมีหนึ่งยอดเขาหลักและเก้ายอดเขารอง แต่ละยอดนั้นแสดงถึงดาวเก้าดวงที่เป็นบริวารดวงจันทร์ ทั้งสูงส่งและสง่างาม
เย่หยวนรู้สึกได้เลยว่าที่แห่งนี้คือสถานที่สุดอุดมสมบูรณ์ที่สามารถชุบเลี้ยงยอดคนได้มากมาย
ยอดเขารองทั้งเก้านั้นอยู่ภายใต้การดูแลของเก้าผู้อาวุโสถ่ายทอด ศิษย์ที่ถูกส่งไปยังยอดนั้นๆ จะถูกจัดว่าอยู่ในการดูแลของเก้าผู้อาวุโสถ่ายทอด
แต่แน่นอนว่าแค่อยู่ภายใต้ชื่อนั้น
เก้าผู้อาวุโสถ่ายทอดนั้นคือตัวตนระดับเทพถ่องแท้ ศิษย์ธรรมดาๆ ย่อมไม่มีบุญจะได้เห็นตัวจริงของพวกเขา
แต่ทว่าผู้อาวุโสถ่ายทอดแต่ละคนนั้นก็ล้วนมีวรยุทธบ่มเพาะระดับหกในการครอบครองทั้งสิ้น
หากศิษย์คนใดสามารถทำผลงานได้โดดเด่น พวกเขาเหล่านั้นก็มีโอกาสจะได้เป็นศิษย์โดยตรงของผู้อาวุโสถ่ายทอด
ถึงตอนนั้นพวกเขาก็จะได้มีโอกาสเรียนรู้วรยุทธบ่มเพาะระดับเทพถ่องแท้รวมไปถึงวรยุทธการต่อสู้ด้วย
เรื่องนั้นคือสิ่งที่เหล่าศิษย์ต่างใฝ่ฝัน
แน่นอนว่าในนิกายระดับเทพถ่องแท้ที่ใหญ่ขนาดนี้ มีศิษย์ไปมานับหมื่นๆ หากอยากเข้าไปเป็นศิษย์โดยตรงของผู้อาวุโส มันย่อมมิใช่เรื่องง่ายดาย
“นี่เหรียญประจำตัวเจ้า! ไอ้เด็กเวร ข้าต้องยอมรับเลยจริงๆ ก่อนจะทันเข้านิกายเจ้าก็ไปลบหลู่สามนิกายใหญ่และยังมาหาเรื่องนิกายคชสารมารเราอีก เจ้าไม่รู้หรือว่าผู้อาวุโสและผู้ดูแลในนิกายเงาจันทร์มากมายแค่ไหนก็มาจากสามค่ายนิกายใหญ่?”
ซ่งถิงโยนเหรียญประจำตัวมาให้เย่หยวนด้วยท่าทางดูถูก
เย่หยวนรับมันมาและได้เห็นว่าบนเหรียญนั้นเขียนว่า ‘ผู้กล้าสวรรค์’ อยู่ด้านหลัง น่าจะหมายความว่าเขานั้นได้ถูกจัดให้ไปอยู่ยอดผู้กล้าสวรรค์
ตามที่ฮันยองเล่าบอกมา ยอดผู้กล้าสวรรค์นั้นคือยอดเขารองที่อ่อนแอที่สุด ศิษย์ที่ได้ไปที่นั่นล้วนมีแต่ผู้อ่อนแอ ได้รับทรัพยากรใดๆ น้อยนิดที่สุด แถมยังขาดแคลนวรยุทธบ่มเพาะและวรยุทธต่อสู้ที่สุดด้วย
ดูท่าเขาคงโดนหมายหัวจริงๆ!
นิกายเงาจันทร์นั้นไม่ได้ขาดแคลนอัจฉริยะ ผลสอบของเขามันไม่โดดเด่นพอที่จะทำให้ทางนิกายหันมาสนใจเขาได้ เรื่องเช่นนี้เย่หยวนจึงพอที่จะคาดเดามาได้ก่อนแล้ว
เพียงแค่ว่า ไม่ว่าจะได้ไปอยู่ยอดที่อ่อนแอแค่ไหนมันก็ไม่มีผลใดๆ กับเย่หยวน
เย่หยวนเก็บเหรียญลงและบอก “เรื่องนั้นเกี่ยวอะไรกับข้า? มีแต่ศิษย์ชั้นรองอย่างเจ้าเท่านั้นแหละที่จะมาสนใจเรื่องแบบนี้ ใช่ไหมล่ะ?”
“ชั้นรอง? หึ เจ้ากล้าบอกว่าศิษย์ยอดเสาสวรรค์เป็นศิษย์ชั้นรอง?”
ซ่งถิงจงใจพูดเรื่องนี้ให้เสียงดังดึงดูดสายตาคนรอบข้างให้มองดูมาทันที
เย่หยวนได้แต่ส่ายหัวและถอนหายใจยาว “ที่ข้าจะบอกก็คือการที่เจ้ามาทำแบบนี้กับศิษย์ใหม่ มันย่อมหมายความว่าเจ้านั้นคือศิษย์ชั้นรองในนิกาย เจ้าไม่คิดเช่นนั้นหรือ… ศิษย์พี่ซ่ง? เจ้าเองก็ไม่ใช่เด็กๆ แล้วแต่กลับยังไม่มีปัญญาบรรลุอาณาจักรนภาสวรรค์เสียที ได้แต่ย้ำอยู่กับศิษย์ชั้นนอก ข้าไม่ได้กล่าวว่ายอดเสาสวรรค์เป็นยอดชั้นสอง แต่เจ้าต่างหากที่เป็นตัวอับอายแห่งยอดเสาสวรรค์!”
ยิ่งเย่หยวนพูด ใบหน้าของซ่งถิงก็ยิ่งกระตุกแรง
สายตาดุร้ายที่มองมาเมื่อสักครู่ตอนนี้มันเปลี่ยนกลายเป็นสายตาเย้ยหยันแทน
เมื่อคิดดู ซ่งถิงเองก็คงเรียกได้ว่าไม่เด็กแล้วจริงๆ
ด้วยพรสวรรค์ระดับเขา ต่อให้เขาจะบรรลุอาณาจักรนภาสวรรค์ได้ตอนนี้ มันก็คงยังเป็นเรื่องยากที่จะได้เข้าเป็นศิษย์ชั้นใน
คำพูดของเย่หยวนนั้นมันไปจี้ใจดำของซ่งถิงเข้าพอดิบพอดี
เย่หยวนนั้นถูกจัดให้ไปอยู่ยอดผู้กล้าสวรรค์ เดิมทีเขาคิดอยากจะมาว่ากล่าวดูถูกเย่หยวนแต่กลับเป็นตนเองที่ถูกตบหน้าสวนมา
เขาไม่นึกไม่คิดว่าตัวเองจะต้องมาเสียหน้าเพราะเรื่องง่ายๆ แค่นี้
ไอ้เด็กคนนี้มันปากเก่งดีจริงๆ!
“ไอ้เด็กเวร อย่าเพิ่งได้ใจไป! ไปลบหลู่สามนิกายใหญ่เข้าพร้อมๆ กัน ข้าหวังว่าเจ้าจะอยู่รอดไปได้ถึงเดือนนะ!” ซ่งถิงกัดฟันว่าออกมา
เย่หยวนยิ้มบางๆ ตอบสวน “ศิษย์พี่ซ่งมิต้องเป็นห่วงข้าหรอก ข้าอยู่สุขสบายแน่”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น