Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1780-1783
ตอนที่ 1780 หัวใจของมิติอนัตตา
“บอกเจ้า? ฮ่าๆ ฝันไปเถอะ! ต่อให้ข้าต้องตายข้าก็ไม่คิดจะบอกอะไรเจ้าแม้แต่สิ่งเดียว!”
สภาพของสีกงซิ่วในตอนนี้มันราวกับคนบ้า ศักดิ์ศรีใดๆ ที่เขาเคยมีมันก็หายไปจนสิ้น
ความเกลียดชังที่เขามีต่อเย่หยวนนั้นมันมากเหนือล้ำ
แต่เย่หยวนแค่ยิ้มตอบกลับไป “เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้คิดจะฟังจากปากของเจ้า เรื่องที่เจ้าพูดมาข้าจะเชื่อได้หรือเปล่าข้ายังไม่รู้เลย”
สีกงซิ่วนิ่งเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะหัวเราะขึ้นมา “เจ้าคิดจะใช้การตรวจสอบจิตข้า? ฮ่าๆๆ นิกายคุมวิญญาณเราเก่งกาจในด้านจิตศักดิ์สิทธิ์ ข้ามีพลังบ่มเพาะที่เหนือล้ำกว่าเจ้า แล้วคนอย่างเจ้ายังคิดมาพูดว่าจะตรวจสอบจิตข้าอีกรึ? เจ้าคนโอหัง!”
เย่หยวนมองดูสีกงซิ่วอย่างใจเย็นและตอบไปด้วยรอยยิ้มที่เย็นเยือก “เรอะ?”
ตุบ!
เท้าของเย่หยวนกระทืบลงบนร่างของสีกงซิ่วก่อนจะค่อยๆ ปล่อยพลังจิตศักด์สิทธิ์ของตนเข้าสู่ทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของอีกฝ่ายอย่างบ้าคลั่ง
สีกงซิ่วนั้นเสียพลังบ่มเพาะไปมาก แต่จิตศักดิ์สิทธิ์ของเขานั้นก็ยังแข็งแกร่งไม่ต่างจากเดิม
หากให้พูดตามหลักการแล้วเย่หยวนย่อมไม่สามารถจะตรวจสอบจิตของเขาได้เลย
สีกงซิ่วเองก็คิดเช่นนั้น เขาจึงปล่อยพลังจิตศักดิ์สิทธิ์ของตนออกมาอย่างบ้าคลั่ง เพื่อพยายามที่จะผลักดันเย่หยวนกลับออกไป
แต่ตอนนั้นเองที่มันมีพลังงานบางอย่างเข้ามาปกคลุมทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของเขาไว้
ตอนนี้จิตศักดิ์สิทธิ์ของเขานิ่งค้าง ไม่สามารถที่จะขยับใดๆ ได้
มันเป็นความรู้สึกที่ราวกับถูกมัดมือมันเท้า เขาได้แต่ปล่อยให้เย่หยวนจ้องมองเข้าไปในความคิดความทรงจำของเขา
สีกงซิ่วนั้นรู้สึกได้ถึงความอับอายและโกรธแค้นอย่างถึงที่สุด ตอนนี้ความลับใดๆ ที่เขามีก็ถูกเปิดเผยต่อเย่หยวนจนสิ้น
เมื่อศิษย์คนอื่นๆ ของนิกายคุมวิญญาณได้เห็นดังนั้น พวกเขาทุกผู้คนก็หน้าถอดสีไป
เย่หยวนทำสำเร็จ!
ชายหนุ่มคนนี้มันจะน่ากลัวเกินไปแล้ว! มันเป็นใครมาจากไหนกัน?
ไม่นานนักเย่หยวนก็ดึงจิตศักดิ์สิทธิ์ของตนกลับมา ด้วยสีหน้าท่าทางสุดขยะแขยง
“เย่หยวน ข้าจะฆ่าเจ้า! จะฆ่าเจ้าให้ได้!”
สีกงซิ่วตะโกนร้องต่อยออกมาใส่เย่หยวน แต่เป็นหนิงเทียนปิงที่เข้าไปซัดเขาจนปลิวไปด้วยฝ่ามือ
สภาพของสีกงซิ่วในตอนนี้มันไม่ต่างอะไรจากมีดที่หักบิ่น ด้วยพลังฝีมือของหนิงเทียนปิงในตอนนี้การจะจัดการกับเขานั้นมันยิ่งเสียกว่าง่าย
“ขยะเช่นเจ้าคิดจะทำร้ายนายใหญ่?” หนิงเทียนปิงบอกออกมาด้วยท่าทางเย้ยหยัน
เย่หยวนมองดูสีกงซิ่ว “นิกายคุมวิญญาณของเจ้านี้มันเลวร้ายเสียยิ่งกว่าสัตว์! อิ้งหมัวหู่ เทียนปิง หู่ชิง สังหารมันให้หมดอย่าให้เหลือรอด”
นิกายคุมวิญญาณนี้ได้ทำเรื่องราวชั่วร้ายมามากมายเกินกว่าที่จะเรียกพวกนี้ว่ามนุษย์ได้ลง
สีกงซิ่วคนนี้ยิ่งเลวร้าย ทั้งทำการปล้น ฆ่า ข่มขื่น ความชั่วร้ายที่ไม่ต่างอะไรกับโจรป่า
คนเช่นนี้หากเย่หยวนไม่ได้ไปเจอหน้าเข้าก็คงไม่มีอะไร
แต่ไหนๆ เย่หยวนก็ได้มาเจอแล้ว เขาย่อมไม่คิดที่จะใจอ่อนปล่อยไป
เหล่าศิษย์ของนิกายคุมวิญญาณนั้นอ่อนแอลงมากเพราะการอัญเชิญสัตว์เทวะผู้พิทักษ์ ทำให้พวกอิ้งหมัวหู่นั้นสามารถสังหารพวกเขาลงได้อย่างง่ายดาย
“พี่ใหญ่ ข้าไม่คิดเลยจริงๆ ว่าท่านจะเดินทางตามหาข้ามาจนถึงที่นี่! หากไม่ได้ท่าน ข้าคง…”
อิ้งหมัวหู่นั้นมีสีหน้าเศร้าโศก คิดถึงชีวิตที่ยิ่งเสียกว่าหมูกว่าหมา เขาจึงอดไม่ได้ที่จะหวาดกลัวขึ้นมาจับใจ
หนิงเทียนปิงอดไม่ได้จึงต้องบอก “น้องอิ้งหมัวหู่ท่านนั้นไม่รู้เลยว่านายใหญ่ท่านต้องลำบากมากมายแค่ไหนกว่าจะมาหาท่านเจอได้”
เย่หยวนหันไปมองหนิงเทียนปิงควับทันที “เจ้าพูดมากเกินไปแล้ว!”
หนิงเทียนปิงหุบปากลงทันทีที่ได้ยิน
อิ้งหมัวหู่นั้นสั่นสะท้านอยู่ภายใน เพราะเรื่องที่หนิงเทียนปิงบอกมานั้นเขาย่อมรู้ดีอยู่ในใจแล้ว
“เอาล่ะ อย่าไปฟังมันพูดไร้สาระอีกเลย แค่เจ้าปลอดภัยก็ดีมากแล้ว” เย่หยวนเข้ามาตบบ่าอิ้งหมัวหู่
อิ้งหมัวหู่เองก็พยักหน้าและไม่กล่าวใดๆ อีก
ระหว่างเขากับเย่หยวนนั้นมันไม่ต้องมีคำขอบคุณใดๆ ให้มากมาย
หากเย่หยวนเจอปัญหาใด เขาเองก็คงละทิ้งทุกสิ่งอย่างออกไปช่วยเหลือเย่หยวนเช่นกัน
หลังจากคุยกันไปได้สักพักเย่หยวนถึงได้รู้ว่าอิ้งหมัวหู่ไม่ได้ตั้งใจมาที่อาณาจักรเทพอสูรด้วยตนเอง แต่เป็นเพราะความบังเอิญที่น่าเหลือเชื่อ
ตอนนั้นหลังอิ้งหมัวหู่เดินทางออกมาจากเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์เขาก็ได้ไปเจอถ้ำหนึ่งเข้า
อิ้งหมัวหู่ได้รับมรดกสืบทอดของเผ่าพยัคฆ์จากภายในถ้ำ แต่เขาก็ต้องติดอยู่ในนั้นนานหลายร้อยปี
จากนั้นอิ้งหมัวหู่ก็แข็งแกร่งขึ้นอย่างมากจนสามารถออกมาจากภายในถ้ำได้
แต่ใครจะไปรู้ว่าเมื่อออกมาแล้ว เขากลับมาถึงอาณาจักรเทพอสูรแทน
จากนั้นก็เป็นอย่างที่เย่หยวนได้ยินมา
เมื่ออิ้งหมัวหู่ได้รู้เรื่องราวทั้งหมดแล้ว ร่างของเขาก็สั่นสะท้านขึ้น
เขาไม่เคยคิดเลยว่าเขาคิดกับเฮ่อตงเหมือนเป็นพี่น้อง แต่เฮ่อตงกลับคิดว่าเขาเป็นแค่ไอ้โง่
แต่หลังจากได้ยินว่าเฮ่อตงถูกราชันพยัคฆ์สวรรค์ทรมานจนตายแล้วอิ้งหมัวหู่ก็รู้สึกโล่งขึ้นมาก
ไม่ว่าอย่างไรเสียพี่ใหญ่ของเขาคนนี้ก็จะมาแก้แค้นให้เขาได้เสมอ
“พี่ใหญ่ เราจะทำอย่างไรต่อดี? ท่านได้รู้เรื่องใดจากความทรงจำของสีกงซิ่วมันบ้างไหม?” อิ้งหมัวหู่ถาม
เพราะเรื่องใหญ่ในตอนนี้คือหาทางกลับไป
เย่หยวนพยักหน้าบอก “มิติอนัตตากอไผ่นี้มีหัวใจของมิติอนัตตาอยู่ หัวใจของมิติอนัตตานั้นคือจุดพลิกผันที่เชื่อมโยงมิตินี้เข้ากับมหาพิภพถงเทียน ทั้งมันยังทำหน้าที่ดูดกลืนพลังจากมหาพิภพถงเทียนเพื่อมาหล่อเลี้ยงมิติอนัตตาอย่างไม่มีพัก ฉะนั้นตราบเท่าที่เราสามารถหาหัวใจของมิติอนัตตานี้เจอ พวกเราก็ย่อมสามารถหาทางกลับไปได้”
อิ้งหมัวหู่ขมวดคิ้วแน่น “เจ้าหัวใจของมิติอนัตตานี้มันดูสำคัญมาก คงไม่ได้หาเจอกันง่ายๆ หรอกใช่ไหม?”
เย่หยวนยิ้มออกมาอย่างขื่นขม “มิติอนัตตากอไผ่นี้เป็นมิติระดับเทพสวรรค์ หลายค่ายสำนักใหญ่ล้วนมียอดฝีมือระดับเทพถ่องแท้อยู่ หากอยากบุกเข้าไปยังหัวใจของมิติอนัตตานั้นมันคงเป็นเรื่องที่ทำได้แค่เพ้อฝัน”
คนทั้งสามได้แต่ถอนหายใจยาวออกมาเมื่อได้ยิน เจ้าหัวใจของมิติอนัตตานี้มันสำคัญมาก ย่อมเป็นเรื่องปกติที่จะมียอดฝีมือคอยดูแลอยู่ไม่ห่าง
ยอดฝีมือระดับเทพสวรรค์ แค่ลมหายใจของคนเหล่านั้นมันก็มากพอจะเป่าให้พวกเขากลายเป็นธุลี การที่จะบุกเข้าไปยังหัวใจของมิติอนัตตานั้นมันเป็นเรื่องที่ไม่มีทางเป็นไปได้เลย
“นายใหญ่ นี่มัน… หรือว่าเรามีแต่ต้องรออยู่ในมิตินี้?” หนิงเทียนปิงบอกมาด้วยสีหน้าสุดกังวล
เย่หยวนตอบ “ไม่จำเป็น! ค่ายสำนักที่ควบคุมดูแลหัวใจแห่งมิติอนัตตานั้นมีชื่อว่าวิหารศักดิ์สิทธิ์กอไผ่ พวกเขามีกองกำลังระดับเทพถ่องแท้อยู่มาก ทุกๆ หนึ่งพันปีพวกเขาจะมาทำการชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่ ยอดฝีมือห้าคนที่อยู่ห้าอันดับแรกของการชุมนุมนี้จะได้รับสิทธิ์เข้าเป็นศิษย์ของวิหารศักดิ์สิทธิ์กอไผ่ และคนทั้งห้ายังจะได้รับสิทธิ์ในการเข้าไปศึกษาเต๋าในหัวใจของมิติอนัตตาด้วย!”
ในหัวใจของมิติอนัตตานั้นย่อมมีความรู้ประสบการณ์ชีวิตของผู้สร้างมิติอนัตตานี้หลงเหลือทิ้งไว้
เพราะฉะนั้นมันจึงไม่ใช่แค่จุดสำคัญในการรักษามิตินี้ให้คงอยู่ แต่มันยังเป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การศึกษาความรู้อย่างมากมาย
“พี่ใหญ่ ท่านจะบอกว่าพวกเราต้องเข้าร่วมสำนักนิกายนี้และเข้าร่วมงานชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่?” อิ้งหมัวหู่ถาม
เย่หยวนยิ้ม “ไม่ใช่เรา แต่เป็นข้า! การฝึกฝนบ่มเพาะของมิติอนัตตากอำไผ่นี้มันแสนที่จะโบราณ การฝึกฝนปราณเทวะของพวกเขาเองก็แตกต่างจากบนมหาพิภพถงเทียนมาก หากให้พวกเจ้าไปถึงนิกายแล้ว เมื่อพวกเจ้าได้ใช้ปราณเทวะออกมาพวกเขาเหล่านั้นคงรับรู้กันหมดว่าเรามาจากมหาพิภพถงเทียน เพราะฉะนั้นพวกเจ้าจงรออยู่ในโถงบัลลังก์ม่วงและฝึกฝนตัวไป ข้าจะเป็นคนพาพวกเจ้ากลับไปยังมหาพิภพถงเทียนเอง”
อิ้งหมัวหู่ยักไหล่ตอบ “ย่อมได้พี่ใหญ่ ท่านนั้นมีวรยุทธบ่มเพาะที่แปลกประหลาด เรื่องเช่นนี้ให้ท่านเป็นคนจัดการน่าจะเหมาะที่สุดแล้ว”
เขารู้ดีว่าวรยุทธการบ่มเพาะของเย่หยวนนั้นสามารถปรับแต่งให้มันคล้ายปราณของพวกเผ่าปีศาจได้ เพราะฉะนั้นปราณของมิติอนัตตาก่อไผ่นี้เองก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาแน่
เย่หยวนตรวจความทรงจำของสีกงซิ่วมาและย่อมรู้แน่ว่าทางออกเขตแดนตัดขาดนี้มันตั้งอยู่ที่ใด
เขาปล่อยให้พวกอิ้งหมัวหู่เข้าไปพักในโถงบัลลังก์ม่วงและเริ่มออกเดินทางตรงไปยังทางออกของเขตแดนตัดขาด มุ่งหน้าสู่มิติอนัตตาก่อไผ่
ตอนที่ 1781 สองทางเลือก
บนถนนเส้นใหญ่ ตอนนี้เย่หยวนกำลังค่อยๆ เดินไปข้างหน้าอย่างไม่เร่งรีบ
บนถนนเส้นนี้มีนักยุทธที่ทั้งมาคนเดียวและมาเป็นกลุ่มอยู่หลากหลาย
คลื่นพลังของคนเหล่านี้ไม่ได้อ่อนแอเลย พวกเขาแท้จริงแล้วเป็นถึงราชันพระเจ้ากันทั้งสิ้น!
เย่หยวนรู้ได้ทันทีว่าคนเหล่านี้มาเพื่อเข้าร่วมการทดสอบของนิกายเงาจันทร์ เพราะเขาเองก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน
เย่หยวนได้รู้จากทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของสีกงซิ่วว่าในหมู่นิกายระดับเทพถ่องแท้ทั้งหลาย ตอนนี้มีเพียงนิกายเงาจันทร์เท่านั้นที่กำลังเปิดรับศิษย์อยู่
และตอนนี้มันก็ยังเหลือเวลาอีกประมาณสองร้อยปีกว่าจะถึงงานชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่ครั้งหน้า
เย่หยวนต้องใช้เวลาสองร้อยปีนี้ในการบรรลุสู่อาณาจักรนภาสวรรค์ให้ได้อย่างรวดเร็วที่สุด
เพราะคนที่จะมีสิทธิ์เข้าร่วมชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่นั้นจำเป็นต้องมีพลังบ่มเพาะอาณาจักรนภาสวรรค์ขึ้นไป
และเย่หยวนนั้นก็ยังห่างไกลจากอาณาจักรนภาสวรรค์ไปมากทีเดียว
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้เย่หยวนเอาแต่เก็บตัวเฝ้าศึกษาวิชาโอสถของเผ่าอสูรจนไม่ได้มีเวลาไปฝึกฝนวิชาฝีมือด้านอื่นๆ เลย
ช่วงสองร้อยกว่าปีที่เหลือนี้เย่หยวนจะต้องทำการบ่มเพาะด้วยทุกอย่างที่มีและรีบบรรลุอาณาจักรนภาสวรรค์ให้ได้รวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
“นี่ น้องชาย เจ้ามาจากนิกายใดกัน? ดูท่าจะเป็นหน้าใหม่สินะ!”
บางทีชายร่างกำยำคนนี้อาจจะเบื่อเลยเดินเข้ามาชวนเย่หยวนคุย
เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “ข้ามาจากนิกายระดับราชันพระเจ้าน้อยๆ แห่งหนึ่ง ไม่มีชื่อเสียงมากมายหรอก”
ชายร่างกำลังยิ้มตอบ “แบบนี้นี่เอง ไม่แปลกใจเลยว่าเจ้าถึงได้อ่อนแอปานนี้ ด้วยพลังฝีมือของเจ้าในตอนนี้มันคงยากที่จะผ่านการสอบเข้านิกายเงาจันทร์ไปได้!”
เย่หยวนยิ้มออกมาในใจ ดูท่าแล้วชายคนนี้คงเป็นคนนิสัยตรงๆ
เย่หยวนมองออกได้เลยว่าเขาเป็นคนที่ตรงถึงขั้นว่ามีอะไรคิดอยู่ในหัวก็ไม่กลัวที่จะต้องพูดออกมาตรงนั้น โดยไม่คิดจะไตร่ตรองมันผ่านสมองเลย
เย่หยวนยิ้มรับ “ข้าแค่มาลอง เพราะยังไงเสียในนิกายเก่าของข้าก็ไม่มีอะไรที่ข้าจะสามารถเรียนรู้ได้อีกแล้ว”
ชายร่างกำยำบอก “ก็นั่นสินะ สำหรับเจ้าที่อยู่ในนิกายเล็กๆ แบบนั้นแต่สามารถบ่มเพาะมาจนถึงระดับนี้ได้ มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แล้ว แต่ว่าอัจฉริยะที่จะเข้านิกายเงาจันทร์ได้นั้นมันมีจำนวนแค่หนึ่งในล้าน หากเจ้าอยากผ่านการสอบเข้านี้ไปเจ้าคงต้องใช้เวลาอีกหลายร้อยปีทีเดียว”
เย่หยวนพยักหน้ารับ “อืม หากมันไม่ผ่านข้าก็คงต้องทำในทั่วๆ ไปในนิกายเงาจันทร์แทนล่ะ เมื่อพลังฝีมือของข้าพัฒนาถึงระดับเมื่อใดข้าค่อยกลับไปทำการสอบเข้าเป็นศิษย์อีกครั้ง”
มิติอนัตตาก่อไผ่นั้นมีพื้นที่กว้างใหญ่ นิกายค่ายสำนักต่างๆ ตั้งกันกระจัดกระจาย และเหล่านิกายระดับเทพถ่องแท้นั้นก็คือผู้ปกครองที่แท้จริง
แต่นิกายระดับนภาสวรรค์และระดับราชันพระเจ้านั้นก็ยังมีอยู่มากมาย หลังจากศิษย์ในนิกายเหล่านั้นประสบความสำเร็จ พวกเขาทั้งหลายก็จะพยายามหาทางเข้าสู่นิกายระดับสูงขึ้น
อย่างแรกเลยก็เพราะว่านิกายเก่านั้นมันไม่มีอะไรที่จะสามารถสั่งสอนให้พวกเขาพัฒนาตัวไปได้อีกแล้ว อยู่ไปก็รังแต่จะเสียเวลาเปล่าๆ
อย่างที่สองคือหลังจากศิษย์เหล่านั้นเข้านิกายระดับเทพถ่องแท้ได้ พวกเขาก็จะสามารถช่วยกลับมาดูแลนิกายเดิมให้ดียิ่งๆ ขึ้นไปได้
เพราะฉะนั้นเหล่าคนที่มาเข้าร่วมการสอบของนิกายเงาจันทร์นี้ล้วนเป็นยอดศิษย์ที่เทียบได้กับศิษย์ของนิกายระดับเทพถ่องแท้แล้ว
แน่นอนว่าเหล่าศิษย์จากนิกายเล็กๆ เองก็คิดจะมาเข้าร่วมไม่น้อย แต่ส่วนมากก็ไม่มีทางที่จะผ่านการสอบครั้งนี้ไปได้
คำพูดของชายร่างกำยำคนนี้ไม่ได้ผิดเลย
เพียงแค่ว่าเขาไม่ได้รู้เลยว่าเย่หยวนนั้นมีพลังการต่อสู้ที่เหนือล้ำกว่าใครๆ ในระดับเดียวกันไปมาก
ชายร่างกำยำบอก “ฮ่าๆ ข้าเองมาจากนิกายเมฆาสายฟ้านามว่าฮันยอง ในวันหน้าหากมีใครกล้ามารังแกเจ้า เจ้าจดชื่อพวกมันมาบอกข้าได้เลย”
เย่หยวนยิ้มรับ “ขอบพระคุณพี่ฮัน ข้านามเย่หยวน”
ระหว่างที่คนทั้งสองกำลังคุยกันอยู่นั้นก็มีน้ำเสียงเย้ยหยันดังมาจากด้านข้าง
“ฮ่าๆๆ ฮันยอง เจ้าไม่ลองชะโงกหน้าลงน้ำส่องดูตัวเองบ้างเล่า แค่คนอย่างเจ้านี่หรือจะไปเป็นผู้ปกป้องใครได้? ข้าจะรังแกมันเดี๋ยวนี้ล่ะ เจ้ามีปัญญาปกป้องมันหรือไม่?”
เย่หยวนมองดูที่ด้านข้างและพบว่ามีชายหนุ่มสามคนในชุดสีจัดกำลังมองดูฮันยองด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมความดูถูก
คนทั้งสามนี้มีใบหน้าที่คล้ายคลึงกันมาก แค่มองปราดเดียวก็พอรู้ได้ว่าพวกเขาเป็นพี่น้อง
เมื่อฮันยองเห็นพวกเขาทั้งสามสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปในทันที ก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยท่าทางไม่พอใจ “เจ่าซี เจ้าจะมาวางท่าอวดเก่งเพื่อ? หากเจ้ามีปัญญาก็มาด้วยตัวเองสิ ข้ารับรองให้เลยว่าข้าไม่เอาถึงตายหรอก!”
ฮันยองหันหน้ากลับไปกระซิบบอกเย่หยวน “นี่คือสามพี่น้องเจ่า เจ่าเจา เจ่าชู เจ่าซี มันเป็นคนจากนิกายคชสารมารศัตรูคู่แค้นของนิกายเมฆาสายฟ้าข้า”
เมื่อเย่หยวนได้ยินเขาก็เข้าใจเรื่องราวในทันที
เจ่าซีตอบกลับมาด้วยท่าทางแสนดูถูก “เจ้าแกร่งกว่าข้าแค่เส้นผม แถมยังเทียบเคียงกับพี่รองข้าไม่ได้ด้วยซ้ำยังจะมากล้าปากดีต่อหน้าพวกเราสามพี่น้องอีกหรือ? นิกายเมฆาสายฟ้าเจ้าเองก็เป็นได้แค่ขยะที่ส่งคนไร้ความสามารถเช่นเจ้ามา อย่างเจ้ามันไปอวดอ้างตัวได้แค่ต่อหน้านิกายเล็กๆ เท่านั้นแหละ”
คำพูดนี้มันทำให้ฮันยองโกรธจนหน้าดำหน้าแดง
สามพี่น้องเจ่านั้นเป็นผู้มีความสามารถ พวกเขาทั้งสามนั้นมักจะพัฒนาตัวเองได้ในระดับที่เท่าเทียมกันเสมอๆ
แม้เจ่าซีจะอ่อนแอที่สุดในกลุ่มแต่เขาก็เป็นถึงราชันพระเจ้าเจ็ดดาว
ส่วนอีกสองคนนั้นเป็นถึงราชันพระเจ้าแปดดาว!
ฮันยองเองแท้จริงแล้วก็มีพรสวรรค์ไม่น้อย ตอนนี้เขาเพิ่งจะขึ้นมาเป็นราชันพระเจ้าแปดดาวได้ เพียงแค่ว่าเมื่อต้องมาอยู่ต่อหน้าสามพี่น้องนี้มันยังเทียบกันไม่ได้
“เจ่าซี เจ้ากล้าว่านิกายเมฆาสายฟ้าของข้า? หากเจ้ามีปัญญาก็มาสู้ตัวต่อตัวกับข้าสิ!” ฮันยองไม่ได้กล้าถึงขั้นท้าพวกเขาทั้งสามรพร้อมๆ กันจึงพูดท้าเจ่าซีแค่คนเดียวออกมา
แต่เจ่าซียยิ้มตอบ “หลังจากเข้านิกายเงาจันทร์ไปแล้วเรายังมีเวลาให้สู้กันอีกมาก ตอนนี้… หึๆ เจ้าบอกว่าจะปกป้องเจ้าเด็กคนนี้ใช่ไหม? ตอนนี้ข้าจะรังแกมันแล้ว อยากรู้จริงๆ ว่าเจ้าจะปกป้องมันได้ยังไง ข้าจะให้ทุกผู้คนได้รู้ถึงความขยะของนิกายเมฆาสายฟ้าของเจ้า เจ้ามีพลังแค่ไหนเจ้ายังไม่รู้ตัวเอง ยังไม่ทันได้เข้านิกายก็กลับมาคิดปกป้องผู้คนเสียแล้ว!”
ฮันยองเปลี่ยนสีหน้าหันกลับมาบอกเย่หยวน “เย่หยวนเรื่องนี้เป็นความผิดของข้าเอง เจ้ารีบไป! ข้าจะปิดทางมันไว้!”
แต่เจ่าชูกลับหัวเราะขึ้น “สายไปแล้วมั้ง? ศัตรูของเจ้าคือข้า!”
เจ่าชูขยับร่างออกมาปิดทมางฮันยองไว้
ฮันยองนั้นมีพลังฝีมือที่ต่ำกว่าเจ่าชูไปขั้น เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมรับศัตรูคนนี้ไว้
หากเขาอยากหนี เขาย่อมหนีได้ แต่เย่หยวนนั้นจะต้องปะทะกับสามพี่น้องเจ่าด้วยตัวเอง ผลที่ตามมามันมากเกินกว่าที่เขาจะคาดเดาได้
เจ่าซีค่อยๆ เดินเข้ามาหาเย่หยวนและบอกด้วยท่าทางเย้ยหยัน “เด็กน้อยเจ้ากลับไม่คิดจะหนี คงกลัวจนขาสั่นแล้วล่ะสิ? หึๆ อย่าหาว่าข้ารังแกผู้คนเลย หากอยากโทษใครก็ไปโทษฮันยองเถอะ ใครใช้ให้มันผู้นั้นอวดอ้างตัวตนกัน?”
เย่หยวนเองก็มึนงงอย่างมาก เดินถนนมาดีๆ ก็เจอเรื่องเดินเข้ามาหาเสียอย่างนั้น
แต่ว่าด้วยพลังฝีมือของเจ่าซีนั้นเย่หยวนไม่คิดจะคิดถึงมันให้เสียเวลา
หากพวกเขาเหล่านี้แค่มาถากถางฮันยองและไม่ได้ทำอะไรเขา เย่หยวนก็ย่อมไม่คิดจะเอาตัวไปยุ่งเกี่ยวด้วย ทั้งๆ อย่างนั้นคนเหล่านี้มันกลับเดินเข้ามาหาเรื่องเขาเสียอย่างนั้น
เย่หยวนได้แต่ถอนหายใจยาวในใจ ไม่รนหาที่ก็คงไม่ตาย
“ทุกคนจะเข้าร่วมการสอบของนิกายเงาจันทร์ด้วยกันแท้ๆ อีกไม่นานคงได้เป็นศิษย์ร่วมนิกายกัน มีประโยชน์อันใดต้องมาแตกแยกเสียแต่ตรงนี้ด้วย?” เย่หยวนตอบกลับไปด้วยท่าทางเหนื่อยๆ
เพราะการต่อสู้ครั้งนี้เย่หยวนนั้นไม่สนใจคิดที่จะเข้าร่วมอย่างมาก
ตราบเท่าที่เจ่าซีถอย เขาก็ไม่คิดจะห้ามอีกฝ่าย
เจ่าซีหัวเราะออกมาเมื่อได้ยิน “ศิษย์ร่วมนิกาย? ฮ่าๆๆ ไอ้เด็กคนนี้เจ้าประเมินตัวเองสูงเกินไปแล้ว! แค่พลังฝีมือระดับเจ้านี้หรือจะผ่านการสอบของนิกายเงาจันทร์ได้? ข้าและเจ้าไม่เคยอยู่ในระดับเดียวกัน! เพราะฉะนั้นเราย่อมไม่มีทางไปเป็นศิษย์ร่วมสำนักกันได้!”
เย่หยวนได้แต่ยักไหล่ “แล้ว?”
เจ่าซีบอก “เด็กน้อย ข้าล่ะนับถือความกล้าของเจ้าจริงๆ ตอนนี้ข้าให้เจ้าเลือกสองทาง หนึ่งคือก้มลงกราบและตะโกนว่า ‘นิกายเมฆาสายฟ้ามันช่างสวะเสียจริง’ สามครา หรือสองข้าจะทำลายการบ่มเพาะของเจ้าและหักขาทั้งสองของเจ้าทิ้งเสีย ให้เจ้าได้คลานไปยังการสอบของนิกายเงาจันทร์”
ตอนที่ 1782 เข้าใจได้
“ไอ้เด็กคนนี้มันช่างน่าสงสาร ไปทำให้สามพี่น้องเจ่าไม่พอใจเช่นนั้น”
“ใช่ไหมล่ะ? สามพี่น้องเจ่ามันเป็นถึงศิษย์ชื่อดังของนิกายระดับนภาสวรรค์!”
“ไอ้เด็กคนนั้นมันแค่ราชันพระเจ้าห้าดาว เจ้าคิดว่ามันจะเลือกก้มหัวหรือยอมโดนหักขา?”
“มันย่อมต้องก้มหัวอยู่แล้ว! ต่อให้มันจะต้องลบหลู่นิกายเมฆาสายฟ้า แต่ตราบเท่าที่มันยังอยู่ใต้การดูแลของนิกายเงาจันทร์ ทำงานเก็บตัวไปเรื่อยๆ สักวันมันคงได้มีโอกาสเชิดหน้าชูตากลับมาอีกครั้ง”
…
เมื่อมีเรื่องให้ดู ก็ย่อมมีคนเข้ามามุง
และพวกเขาที่มามุงดูทั้งหลายนี้ต่างก็กำลังคาดเดากันไปว่าเย่หยวนจะเลือกอะไร
แน่นอนว่าคนส่วนมากย่อมคิดว่าเย่หยวนต้องก้มหัว
เพราะยังไงเสียในสายตาของพวกเขาแล้วเย่หยวนก็ไม่มีทางต่อสู้ใดๆ กับเจ่าซีที่มีพลังบ่มเพาะระดับยอดราชันพระเจ้าเจ็ดดาวได้
แต่คำพูดนี้ของเจ่าซีมันทำให้เย่หยวนไม่พอใจขึ้นมา
เขาและเจ่าซีไม่เคยรู้จัก ไม่เคยมีเรื่องใดๆ กันมาก่อน แต่เจ้าหมอนี่กลับคิดจะมาระบายความโกรธแค้นของตัวเองใส่คนที่ไม่ได้รู้เรื่องด้วยอย่างเขา
“หากข้าไม่เลือกล่ะ?” เย่หยวนบอก
“เจ่าซียิ้มรับ “เจ้าต้องเลือก! ไม่เช่นนั้นข้าจะเป็นคนบังคับให้เจ้าต้องเลือกอย่างที่สองเอง”
เย่หยวนบอก “เช่นนั้น… ข้าขอเลือกอย่างที่สาม”
เจ่าซีตอบกลับมาอย่างโกรธแค้น “ข้าไม่ได้ให้ทางเลือกที่สามแก่เจ้า! หากยังไม่เลือกอีก? ข้าจะช่วยเจ้าเลือกเอง!”
เย่หยวนยิ้ม “อย่างที่สามนั้นเป็นสิ่งที่ข้าเพิ่มขึ้นมาเอง ตอนนี้ทุกคนไปยังนิกายเงาจันทร์ด้วยกันและเข้าร่วมการสอบพร้อมๆ กัน แบบนั้นจะดีกว่าไหม?”
เจ่าซีทำหน้าจริงจังขึ้นมาทันที “เจ้าล้อข้าเล่นรึ?”
เย่หยวนบอก “ข้าอยากรักษาหน้าให้เจ้าต่างหาก ดูท่าเจ้าเองก็ยังมีชื่อเสียงอยู่บ้าง หากเจ้ามาถูกข้าจัดการลงง่ายๆ ต่อหน้าผู้คนเช่นนี้มันจะไม่เป็นการน่าอับอายหรือ?”
เมื่อเจ่าซีได้ยินเขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะลั่นออกมา “เจ้า? จัดการข้า? ฮ่าๆๆ นี่มันมุกที่ตลกที่สุดเท่าที่ข้าเคยได้ยินมาเลย! ไอ้เด็กเวร ข้าเปลี่ยนใจแล้ว ตอนนี้ข้าจะทั้งหักขาและแขนของเจ้าทิ้งเสีย! ไม่ให้เจ้ามีแรงแม้แต่จะคลานไปยังนิกายเงาจันทร์!”
เหล่าผู้คนที่มองดูอยู่ต่างมองดูเย่หยวนราวกับกำลังมองดูคนโง่เง่า ราชันพระเจ้าห้าดาวกลับไปท้าทายราชันพระเจ้าเจ็ดดาว มันจะยังเป็นอะไรได้อีกนอกจากมุกตลก?
เพราะทั้งสองนั้นต่างกันถึงหนึ่งขั้น!
คนโง่เช่นนี้กลับคิดจะเข้าร่วมการสอบของนิกายเงาจันทร์มันได้แต่ทำให้ผู้คนมึนงงสับสนไปตามๆ กัน
เจ่าซีนั้นโกรธเย่หยวนจนหน้าดำหน้าแดง มือของเขากางกรงเล็บออกมาด้วยพลังโลกของราชันพระเจ้าเจ็ดดาวที่ถูกปล่อยออกมาอย่างบ้าคลั่ง พุ่งเข้าไปจับคว้าท่อนแขนของเย่หยวนไว้
เจ่าซีนั้นกระทำการออกมาอย่างรุนแรงและดูท่าคงคว้าจับไว้ได้แน่นอน
เพียงแค่ว่าในวินาทีนั้นเย่หยวนกลับซัดฝ่ามือออกมาอย่างรวดเร็วปานสายฟ้า!
กร๊อบ!
เย่หยวนโจมตีกลับไปอย่างแม่นยำ ปะทะเข้ากับพลังโลกของเจ่าซีตรงๆ พร้อมจับคว้านิ้วโป้งและชี้ของเขาไว้แทน ก่อนจะหักมันลงอย่างไร้ปรานีจนนิ้วของเขาหักดังลั่น
“อ้ากกก!”
เสียงกรีดร้องดังขึ้นจนทำให้เจ่าชูและเจ่าเจาหน้าถอดสี
เจ่าชูนั้นตื่นตกใจมาก จนต้องพลักดันฮันยองถอยไปพร้อมจ้องมองดูเย่หยวน “ไอ้เด็กคนนี้ เจ้าปล่อยน้องข้า! ไม่เช่นนั้นเจ้าไม่ได้ตายดีแน่!”
ทุกคนต่างมองภาพนั้นอย่างตื่นตกใจ คิดว่ามันช่างเป็นภาพที่น่าเหลือเชื่อจนเกินทน
เป็นการจัดการศัตรูลงด้วยกระบวนท่าเดียวจริง!
เพียงแค่ว่าผลลัพธ์ที่ออกมามันกลับฝั่งก็เท่านั้น
ยอดฝีมืออย่างเจ่าซีกลับถูกจัดการลงได้ด้วยกระบวนท่าเดียว
เย่หยวนรอง ‘อ่า’ ก่อนจะปล่อยนิ้วทั้งห้าออก ส่งร่างของเจ่าซีออกจากการควบคุม
นิ้วทั้งห้านั้นเป็นจุดเชื่อมโยงหัวใจ เมื่อมันถูกโจมตีจนหักเจ่าซีย่อมเจ็บปวดจนเหงื่อไหลท่วมกาย
เขาไม่นึกไม่ฝันว่าตัวเองจะพลาดในงานง่ายๆ เช่นนี้ ความโกรธแค้นในหัวใจของเขานั้นมันเหนือทะลุฟ้า
วินาทีที่เย่หยวนปล่อย เขาก็ใช้มือซ้ายที่ยังไม่บาดเจ็บพุ่งเข้าโจมตีลำคอของเย่หยวนในทันที
เขาต้องการเอาชีวิตเย่หยวน!
แต่ว่าแม้เขาจะเร็วแค่ไหน เย่หยวนยังสามารถเร็วได้กว่า!
กร๊อบ!
เสียงกระดูกหักดังขึ้นมาอีกครั้ง นิ้วทั้งห้าของมือซ้ายเจ่าซีหักลงด้วยน้ำมือของเย่หยวนอีกครั้ง
“อ้ากกก!”
เจ่าซีร้องออกมาอย่างโหยหวนราวกับหมูที่กำลังอยู่ในโรงเชือด
เย่หยวนลงมือครั้งนี้อย่างเรียบเนียนไม่มีท่าทางเงอะงะใดๆ
เจ่าชูและเจ่าเจาโกรธจนหน้าแดง “เด็กเวรนี่ เจ้าไม่เข้าใจคำของพวกข้าหรือ?”
เย่หยวนยิ้มตอบ “ข้าย่อมเข้าใจ ข้าก็ปล่อยไปแล้วนี่? แต่เป็นมันเองที่กลับมารนหาที่ตายด้วยการคิดสังหารข้าอีก นี่ข้าแค่หักนิ้วของมันลงก็ถือว่าเป็นการเมตตาอย่างมากแล้วนะ”
เจ่าเจาตอบกลับมาอย่างแค้นเคือง “ไอ้เด็กเวรนี่ เจ้าช่างมีเมตตามากจริงๆ ถึงขั้นกล้าหักนิ้วทั้งสิบของน้องชายข้าลงได้! หากวันนี้เจ้ารอดกลับไปได้ข้าจะขอเขียนนามเจ่าเจากลับหัวตลอดไป!”
ปัง!
เสียงยังไม่ทันขาดหายเย่หยวนก็ยกเท้าและเตะเข่าของเจ่าซีจนมันหักลงเป็นสองท่อน
อาการบาดเจ็บที่ส่งผลต่อเส้นประสาทอีกจุดสะท้อนเข้าสู่สมองของเขาจนในที่สุดเจ่าซีก็ล้มพับหมดสติลงไป
เมื่อเย่หยวนได้ยินดังนั้นเขาก็ยิ้มตอบ “เจ้าหมายความว่าข้าต้องยืนให้มันสังหารโง่ๆ รึ? หึๆ เอาล่ะทีนี้เจ้ายังมีอะไรจะว่าอีกไหม?”
ทุกคนรอบๆ ต่างแทบลืมหายใจ
พวกเขานั้นตื่นตะลึงกับฝีมือของเย่หยวนมาก แต่วิธีการของเย่หยวนมันกลับทำให้ผู้คนลืมหายใจ!
เพราะเขานั้นหักแขนขาของเจ่าซีต่อหน้าเจ่าเจา!
ในสายตาของพวกเขาแล้วเจ่าซีนั้นประมาทจนพลาดท่า เพราะฉะนั้นจึงถูกเย่หยวนเล่นงานเข้าให้
แต่เจ่าเจานั้นเป็นถึงราชันพระเจ้าแปดดาว!
การกระทำนี้ของเย่หยวนมันคือการรนหาที่ตายชัดๆ
เมื่อเจ่าเจาได้เห็นสภาพอันน่าสมเพชของเจ่าซี ใบหน้าของเขาก็กระตุกแรงขึ้นทันที
มันเพียงแค่ว่าความโหดร้ายไร้ปรานีของเย่หยวนมันทำให้เขาเกิดกลัวขึ้นมาในใจ
สีหน้าของเจ่าเจาเปลี่ยนไปมาหลายครั้งก่อนจะบอก “เด็กน้อย เจ้าปล่อยเจ่าซีมาแล้วข้าจะปล่อยเจ้าไป!”
ที่ด้านข้าฮันยองได้แต่มองดูเรื่องราวอย่างมึนงง เขาคิดว่าครานี้เย่หยวนคงตายแน่แล้ว แต่ไม่นึกไม่ฝันว่านอกจากเย่หยวนจะไม่ตายแล้วเขากลับเป็นฝ่ายคืนคำพูดของเจ่าซีให้เจ้าตัว หักแขนหักขาของเขาทิ้งอย่างไม่มีชิ้นดี
เมื่อได้ยินคำของเจ่าเจาฮันยองก็สะดุ้งตัวขึ้นทันที “เย่หยวนอย่าไปเชื่อมัน!”
แต่เย่หยวนแต่ยิ้มออกมาด้วยท่าทางสบายๆ “ทุกคนย่อมจะได้เป็นศิษย์ร่วมนิกายกันในวันหน้า มีโอกาสต้องพบหน้ากันอีกหลายครา มาเสียใครไปตอนนี้มันก็คงไม่ดี”
พูดจบเย่หยวนก็โยนร่างของเจ่าซีออกไปด้านหน้า
เจ่าชูรีบมารับร่างของเขาไว้อย่างทันท่วงที
แต่เวลานั้นเองที่เจ่าเจาก็เริ่มขยับตัว!
คลื่นพลังของเขาในตอนนั้นมันเหนือล้ำกว่าของเจ่าซีนับสิบเท่า!
ฮันยองวิ่งเข้ามาบังหน้าเย่หยวนไว้อย่าไม่ทันคิด
ปัง!
คนทั้งสองปะทะกันอย่างแรงจนร่างของฮันยองลอยปลิวไปไกลจนแทบยืนไม่อยู่
ส่วนเจ่าเจานั้นยังคงยึดมั่นอยู่ในจุดเดิม
เมื่อโจมตีฮันยองจนปลิวไปเช่นนั้นเจ่าเจาก็ไม่คิดจะหยุดและมุ่งหน้าเข้ามาหาเย่หยวนทันที
แต่จู่ๆ ก็มีชายในชุดขาวเดิมออกมาบอกเจ่าเจา “เอาล่ะ เจ่าเจาวันนี้ถือว่าเห็นแก่หน้าข้าและปล่อยเรื่องนี้ผ่านไปเถอะ!”
เมื่อเจ่าเจาเห็นชายคนนี้สีหน้าของเขาก็ซีดลงทันที “หยางฝานเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า! ไอ้เด็กคนนี้มันลงมือกับน้องสามข้าจนถึงขั้นนี้ เจ้ากลับจะบอกให้ข้ากลืนความแค้นนี้ลงคอและปล่อยให้เรื่องมันผ่านไปหรือ?”
หยางฝานบอก “เจ้าย่อมรู้ถึงสายสัมพันธ์ที่ข้ามีกับฮันยอง หากเจ้าไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีแล้วข้าก็คงได้แต่ต้องลงมือ!”
เย่หยวนมองดูที่ชายคนนี้อย่างตื่นตกใจ เดิมทีเขานั้นคิดที่จะสั่งสอนเจ่าเจาให้หลาบจำเสียหน่อย ไม่คิดว่าจะมีใครเข้ามาขัดขวางเรื่องราว
แต่คลื่นพลังที่ปล่อยออกมาจากร่างของหยางฝานนั้นมันช่างรุนแรง ดูท่าแล้วคงอยู่ไม่ห่างจากราชันพระเจ้าเก้าดาวมากนัก
และเจ่าเจาก็คงเกรงชายคนนี้มากเช่นกัน
เจ่าเจาหน้าเปลี่ยนสีไปมาหลายครั้งก่อนที่จะกัดฟันพูด “ได้ วันนี้ข้าจะเห็นแก่หน้าเจ้า! แต่หากไอ้เด็กคนนี้มันไม่ผ่านการสอบแล้วข้าจะมาทวงเอาชีวิตมันแน่!”
หยางฝานบอก “ถึงเวลานั้นย่อมไม่มีใครคิดห้าม!”
เจ่าเจาหันหน้าไปบอกเจ่าชู “พาน้องสามไป! กลับกัน!”
ตอนที่ 1783 ร่วมกลุ่มกับข้า
หยางฝานเดินเข้าไปหาเย่หยวนด้วยท่าทางสงสัยอย่างเต็มที่
แต่เป็นฮันยองที่หัวเราะขึ้นมาก่อน “ฮ่าๆ โชคยังดีที่เฒ่าหยางมาทันเวลาพอดี ไม่เช่นนั้นเราทั้งสองคงได้ตายลงแล้ววันนี้ เจ้าเจ่าเจาคนนี้สักวันข้าจะทำให้มันได้ชดใช้!”
หยางฝานหันมามองเขา “เจ้านี่ชอบสร้างปัญหาจริงๆ นะ!”
ฮันยองร้องบอกออมาอย่างซื่อตรง “เรื่องนี้ข้าไม่ได้ก่อเสียหน่อย! ข้าแค่กำลังคุยกับน้องเย่อยู่ดีๆ แต่พวกมันก็เจ้ามาหาเรื่อง จะว่าไปน้องเย่เองก็ช่างยอดเยี่ยมนัก! ข้าชอบคนเช่นนี้! อ่า ถึงแม้ข้าจะปกป้องใดๆ เจ้าไม่ได้แต่เฒ่าหยางปกป้องเจ้าได้แน่!”
หยางฝานหันมามอง “เรื่องนี้มันยังไม่จบ! อย่าได้ลืมสิว่าพวกคชสารมารมันมีเส้นสายในนิกายเงาจันทร์มากมายแค่ไหน บางคนแม้จะเป็นข้าก็ไม่อาจไปลบหลู่ได้หรอกนะ!”
ฮันยองหน้าเปลี่ยนสีไป ท่าทางยิ้มตื่นเต้นของเขาหายไปสิ้น
เมื่อเย่หยวนได้ยินเขาก็เข้าใจได้ว่าในนิกายเงาจันทร์เองก็ดูท่าจะมีพรรคพวกต่างๆ มากมาย
เรื่องนี้มันไม่แปลก เพราะด้วยระบบในมิติอนัตตากอไผ่นี้หลายต่อหลายคนต่างเปลี่ยนถ่ายย้ายจากนิกายระดับล่างขึ้นมาอยู่นิกายระดับบน แน่นอนว่าพวกเขาย่อมต้องมีการสร้างพรรคสร้างพวก พวกเขาพวกเราเป็นเรื่องปกติ
การไปยั่วยุสามพี่น้องเจ่า หากผิดพลาดไปแม้แต่น้อยมันก็จะเป็นการหาเรื่องกับพวกคชสารมารทั้งหมด
“หึ! ยังไงเสียน้องเย่ก็จะเป็นน้องชายของข้าฮันยองคนนี้ ในวันหน้า! หากมีใครกล้ามาข่มเหงเขา พวกมันจะต้องข้ามศพข้าไปก่อน!” ฮันยองบอก
เย่หยวนยิ้มตอบกลับมาเมื่อได้ยิน “เช่นนั้นข้าคงต้องขอบคุณพี่ฮันก่อนแล้ว”
ฮันยองยิ้มรับ “จะว่าไปน้องเย่ เจ้ามีพลังฝีมือที่ทำให้ข้าต้องมองเจ้าใหม่เลย ไม่แน่บางทีเจ้าอาจจะสามารถผ่านการทดสอบไปก็ได้”
…
เบื้องหน้าประตูเขายักษ์กำลังมีนักยุทธราชันพระเจ้ามากมายมารวมตัวกันอยู่
ตอนนี้สายตาทุกคู่ต่างจับจ้องไปที่จุดๆ เดียว
เป้าสายตาคนนั้นคือนางงามในชุดสีม่วงสดพร้อมผิวที่ขาวนวล คิ้วคมได้รูป ปากสีแดงอวบอิ่ม จัดได้ว่าเป็นสาวงามแห่งยุคเลยทีเดียว
“นั่นมันไป่หลี่ชิงหยานจากนิกายเหย้าอมตะรึเปล่า? ช่างสวยงามแท้!”
“ข้าได้ยินว่านางเป็นถึงราชันพระเจ้าเก้าดาวได้ตั้งแต่อายุยังไม่ถึงแปดร้อย ช่างเป็นยอดอัจฉริยะอย่างแท้จริง!”
“การที่นางมารวมงานทดสอบเข้านิกายเงาจันทร์เช่นนี้มันคงเพื่อเข้าวิหารศักดิ์สิทธิ์กอไผ่ใช่ไหม?”
…
เย่หยวนเองก็ตื่นตกใจไม่น้อยเพราะแม่นางไป่หลี่ชิงหยานคนนี้มีพรสวรรค์ที่เหนือล้ำระดับเดียวกับเล้งชิวหลิงที่เขาเคยพบเจอตอนขึ้นเขาแห่งถงเทียนบนมหาพิภพถงเทียน
ดูท่ายอดอัจฉริยะมันจะมีอยู่ทุกที่จริงๆ
ที่ด้านข้างไป่หลี่ชิงหยานนั้นมันยังมีชายหนุ่มอยู่อีกสองคน คลื่นพลังที่ออกมาจากร่างของพวกเขาเองนั้นมันก็ไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าไป่หลี่ชิงหยานเลย
“สองคนนั้น หนึ่งคือต้วนชิงหงจากนิกายดาบเมฆา อีกคนนามจงฮันหลินจากนิกายบุปผาเหิน เมื่อรวมเข้ากับนิกายเหย้าอมตะแล้วสามยอดนิกายนี้ก็เป็นนิกายแนวหน้าของนิกายระดับนภาสวรรค์! เมื่อพวกเขาทั้งสามคิดมาร่วมนิกายเงาจันทร์ในครั้งนี้แล้วมันก็คงเพื่อร่วมวิหารศักดิ์สิทธิ์กอไผ่เป็นแน่ เฮ้อ แค่มองก็ไม่เท่าไหร่หรอก แต่นางไป่หลี่ชิงหยานนั้นเป็นสาวงามที่เราทำได้แค่มอง เจ้าไม่มีโอกาสใดๆ แน่ แม้ว่าเจ้าเองก็จะรูปงามไม่น้อยแต่พลังฝีมือของเจ้ามันต่ำจนเกินไป”
เมื่อฮันยองเห็นเย่หยวนมองดูนาง เขาก็เข้ามาบอกเสริมและแซะเย่หยวนอย่างไม่คิดยั้งปาก
เย่หยวนได้แต่หลอกตาไปมา เขาไปสนใจในตัวไป่หลี่ชิงหยานนางนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
ระหว่างที่คุยไปก็มีศิษย์ในชุดของนิกายเงาจันทร์ชั้นนอกเดินเข้ามาหาเย่หยวน
ฮันยองที่เห็นผู้มาใหม่นี้ถึงกับหน้าถอดสีไปทันที เขาบอกขึ้นมา “ซ่งถิง มันเป็นศิษย์พี่ของสามพี่น้องเจ่า!”
ซ่งถิงนัน้มีใบหน้าไม่รับแขกอย่างถึงที่สุด “เด็กน้อย ได้ยินว่าเจ้าลอบทำร้ายเจ่าซีจนขาแขนหักไม่สามารถมาเข้าร่วมการสอบครั้งนี้ได้?”
เย่หยวนนั้นโจมตีเขาไปอย่างหนักหน่วง ต่อให้เขาจะกินโอสถรักษาใดๆ มันก็คงไม่มีทางหายทันมาทดสอบในครั้งนี้
ด้วยสภาพของเจ่าซีในตอนนี้ เขาย่อมไม่มีทางที่จะเข้าร่วมการทดสอบใดๆ ได้
คนที่มาในครั้งนี้มีเพียงเจ่าเจาและเจ่าชู
เย่หยวนยิ้มเมื่อได้ยินดังนั้น “ศิษย์พี่ท่านเข้าใจผิดแล้ว”
ซ่งถิงตอบกลับมาด้วยท่าทางไม่พอใจ “เจ้าคิดจะปฏิเสธ?”
เย่หยวนส่ายหัว “ข้าไม่ได้ลอบทำร้ายเขา ข้าทำร้ายเขาอย่างตรงไปตรงมาต่อหน้าเลยต่างหาก”
ซ่งถิงถึงกับผงะก่อนจะตอบกลับมาอย่างโกรธแค้น “ไอ้เด็กคนนี้เจ้ากล้าเล่นลิ้นกับข้า?”
เย่หยวนบอก “ข้าแค่แก้คำให้มันถูก ทำไม? หรือว่าท่านศิษย์พี่คิดจะลุกขึ้นมาสู้แทนเจ่าซี?”
เย่หยวนรู้ดีว่าตอนนี้พวกเขาได้ขึ้นเขามาแล้ว และต่อให้เป็นซ่งถิงก็คงไม่กล้าจะลงมือในสถานที่แห่งนี้แน่
“หึ ไอ้เด็กโง่ เจ้าคิดว่ามีคนหนุนหลังแล้วจะสบายสินะ! อย่าได้ลืมไปเชียวว่าในรอบแรกของการทดสอบ มันไม่ได้ห้ามการสังหารไว้!” ซ่งถิงยิ้มบอก
เย่หยวนหันไปมองเจ่าเจาและเจ่าชูที่ยืนอยู่หลังซ่งถิงก่อนจะถามขึ้นด้วยท่าทางเย้ยหยัน “ด้วยลำพังไอ้ขยะสองตัวนี้?”
เจ่าเจาและเจ่าชูโกรธจนแทบจะลงมือโจมตีตรงนั้นแต่เป็นซ่งถิงที่ห้ามไว้เสียก่อน
“เด็กน้อย เจ้าช่างกล้า! ข้าได้ยินว่าเจ้ามาจากนิกายเล็ก เจ้าคงไม่รู้สินะว่าคชสารมารเรามีเส้นสายในนิกายเงาจันทร์มากแค่ไหน? แต่เจ้าไม่ต้องรู้หรอก เพราะยังไงเสียเจ้าก็กลับออกไปจากเทือกเขาเงาจันทร์นี้ไม่ได้แน่” ซ่งถิงบอกด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย
เย่หยวนได้แต่ตอบกลับไปอย่างหน่ายๆ “ศิษย์พี่ท่านมาหาข้าเพื่อพูดเรื่องไร้สาระเช่นนี้หรือ? หน่อมแน้มดีจริง”
ซ่งถิงนั้นเดินทางมาเพื่ออยากเห็นเย่หยวนก้มหัวและร้องเมตตา
ไม่คิดไม่ฝันว่าเย่หยวนกลับจะตอกกลับเขามาจนเขายืนแทบไม่อยู่เช่นนี้
เจ้าหมอนี่มันไม่รู้แน่ๆ ว่าคชสารมารนั้นน่ากลัวเพียงใด มันจึงกล้าที่จะทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้
แต่ว่าเรื่องนั้นมันไม่ได้สำคัญอีกต่อไปแล้ว เด็กคนนี้มันต้องตาย!
ซ่งถิงเปลี่ยนสีหน้าและตอบกลับมา “ดี ดีมาก! ไอ้เด็กคนนี้ เจ้าเตรียมตัวรับความพิโรธของข้าไว้เลย!”
เมื่อคนอื่นๆ เห็นภาพนั้นพวกเขาก็ได้แต่ตื่นตกใจจนอ้าปากค้าง
นอกจากสามนิกายใหญ่แล้ว นิกายคชสารมารนั้นก็นับว่ามีพลังเหนือกว่าใครๆ
ยอดฝีมือที่พวกเขาส่งมายังนิกายเงาจันทร์นั้นมีมากมายมหาศาล เส้นสายและอำนาจของพวกเขาเหล่านี้นับได้ว่าเหนือล้ำกว่าใครๆ
แต่ตอนนี้เย่หยวน ราชันพระเจ้าห้าดาวคนนี้กลับคิดไปท้าทายคชสารมารเสียอย่างนั้น
ไอ้เจ้าหมอนี่มันคงไม่สมองที่ไม่ปกติสักเท่าไหร่ใช่ไหม?
ฉันยองยกนิ้วโป้งขึ้นบอก “เป็นคนที่ยอดเยี่ยมจริงๆ! น้องเย่เจ้าช่างกล้า! ซ่งถิงนั้นเป็นถึงยอดยุทธอาณาจักรนภาสวรรค์ครึ่งก้าว เขานั้นแทบจะได้เข้าไปเป็นศิษย์ชั้นในของนิกายแล้ว แต่ตอนนี้เขาคงคิดที่จะใช้เส้นสายของนิกายคชสารมารทั้งหมดออกมาในการสอบครั้งนี้และพยายามสังหารเจ้าลงเป็นแน่”
หยางฝานได้แค่ขมวดคิ้วแน่น “เจ้าเด็กคนนี้ช่างชอบก่อเรื่องนัก! ยอมๆ ไปหน่อยจะเป็นไรไป? ผู้ที่มาร่วมการสอบในครั้งนี้หลายคนมีพลังฝีมือไม่ได้ด้อยไปกว่าข้าเลย ที่สำคัญนิกายบุปผาเหินนั้นมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับนิกายคชสารมาร บางทีพวกมันอาจจะถึงขั้นบอกให้จงฮันหลินออกมาจัดการเจ้าเองเลยก็ได้ ถึงตอนนั้นต่อให้เป็นข้า ข้าก็คงไม่อาจต้านทานได้!”
เย่หยวนยิ้มตอบ “ข้าขอยอมยืนตายดีกว่าต้องก้มหัวให้ใคร หากอยากให้ข้ายอมมันย่อมไม่มีทาง หากอยากสังหารข้าก็จงมาพร้อมกับกำลังทั้งหมดที่มี! อ่า… เรื่องการสอบในครั้งนี้พี่ฮันกับพี่หยางไม่ต้องมารวมกลุ่มกับข้าหรอก ข้าจะขออยู่คนเดียวเอง”
เมื่อฮันยองได้ยินเขาก็ตอบกลับมาด้วยท่าทางสุดไม่พอใจ “เจ้าว่ายังไงนะ? ให้พูดไปเรื่องทั้งหมดนี้มันล้วนแล้วแต่เป็นความผิดข้า มีหรือที่ข้าจะทิ้งเจ้าลง? หากเจ้ายังพูดจาเช่นนี้อีกอย่าได้หาว่าข้าไม่เตือนเชียว!”
เย่หยวนรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาในหัวใจแต่ก่อนที่เขาจะทันได้พูดอะไร ก็มีเสียงนุ่มนวลเสียงหนึ่งลอยดังมา
“เจ้าไม่มีคนร่วมกลุ่มด้วยหรือ? หากไม่มีมาร่วมกลุ่มกับข้าไหม?”
เย่หยวนหันไปมองที่ต้นเสียและมันจะยังเป็นใครไปได้นอกจากไป่หลี่ชิงหยาน?
ทุกคนได้แต่อ้าปากค้างเมื่อได้ยิน มองดูภาพตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อสายตา
“ฮ-ฮ่าๆ เช่นนั้น… ตามเจ้าไปคงอันตรายเกินพอดี ข้าขอทิ้งเจ้าล่ะ” ฮันยองกระแอมไอออกมาพร้อมพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มที่ดูมีเลศนัย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น