Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1776-1779
ตอนที่ 1776 ให้เจ้า
หู่ชิงร่างสั่นสะท้านและพุ่งตัวออกไปพร้อมเสียงระเบิดสนั่น
การบรรลุขึ้นระดับสี่ขั้นปลายมานั้นมันทำให้หู่ชิงมีความเร็วที่เพิ่มขึ้นไปหลายเท่าตัว มาถึงหน้าของเย่หยวนในเวลาแค่ชั่วพริบตาและยังรับตัวเย่หยวนก่อนจะวิ่งหนีออกไปได้ด้วย
แม้จะโดนการโจมตีแค่ครั้งเดียวนี้ เครื่องในของเย่หยวนกลับปั่นป่วนจนได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัส
แต่เวลานั้นเอง ฝั่งหนิงเทียนปิงกลับถูกกำลังล้อมอยู่อย่างหนักหน่วงและไม่สามารถที่จะหาทางหนีออกมาได้
เย่หยวนพยายามกดความเจ็บปวดอาการบาดเจ็บของตนไว้และปล่อยดาบแสงออกไปหลายครั้ง แทงทิ่มร่างของสัตว์อสูรที่ล้อมรอบหนิงเทียนปิงอยู่
“ไป!”
เย่หยวนตะโกนบอกพาหนิงเทียนปิงขึ้นมานั่งอยู่บนหลังหู่ชิงด้วยกัน
มารด้านหลังกลุ่มของสัตว์อสูรยังคงตามเขามาอย่างไม่พัก
โชคยังดีที่หู่ชิงนั้นมีความเร็วที่เหนือล้ำ ตอนนี้เหล่าสัตว์อสูรทั้งหลายไม่มีตัวไหนที่สามารถตามติดมาได้ทันเลย
“นายใหญ่ท่านเป็นอะไรมากไหม?” หนิงเทียนปิงถามด้วยความเป็นห่วง
เย่หยวนส่ายหัวออกมา “ข้ายังไม่ตายหรอก! ตอนนี้ขอรักษาตัวก่อน!”
พูดไปเย่หยวนก็ลืมโอสถลงท้องและเริ่มทำการรักษาอาการบาดเจ็บไปบนหลังของหู่ชิงทันที
การโจมตีนั้นของเจ้ากระทิงคลั่งอัสนีฟ้ามันแสนที่จะรุนแรง หากเป็นราชันพระเจ้าทั่วๆ ไปแล้วคงตายลงอย่างไม่มีทางฟื้นคืนกลับแน่
“ลายสักยอดเต๋านี้มันช่างแข็งแกร่ง ไม่เช่นนั้นต่อให้ข้ามีกายทองคำขั้นเก้าก็คงไม่สามารถที่จะรอดออกมาได้แน่” เย่หยวนพูดขึ้นด้วยอารมณ์ที่มากล้นในหัวใจ
ตั้งแต่เข้าไปในหมอกของเขาแห่งถงเทียนครานั้นได้และลายสักนี้มา เขาก็ได้รับประโยชน์จากมันอย่างมหาศาลมาหลายต่อหลายครั้ง
ไม่นานนักเย่หยวนก็เริ่มมีสีหน้ากลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
“นายท่านเจ้าพวกนั้นมันตามติดมาราวบ้าคลั่ง ตามเรามาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงเลย!” หู่ชิงบอก
เย่หยวนทำหน้าเครียดออกมา “เหมือนว่าเจ้าสัตว์อสูรพวกนี้มันคิดจะต้อนเราไปยังที่บางแห่ง! ข้าคิดว่าพวกมันน่าจะกำลังถูกอะไรบางอย่างควบคุมอยู่เป็นแน่”
เพราะตั้งแต่แรกที่เย่หยวนได้เห็นสภาพของเหล่าสัตว์อสูรเขาก็รู้ดีว่ามันไม่ปกติ
เมื่อคำพูดเหล่านั้นถูกกล่าวออกมา หู่ชิงและหนิงเทียนปิงก็หน้าถอดสีลงทันที
“นี่มัน… เช่นนั้นเราจะทำอย่างไรดี?” หนิงเทียนปิงถามขึ้นอย่างกังวล
เย่หยวนอมยิ้มออกมาด้วยสายตาที่หนักแน่น “หากมีคนอยากพบเจอเรา ก็ไปหามันหน่อย”
หนิงเทียนปิงและหู่ชิงนั้นกังวลมาก แต่เมื่อเย่หยวนตัดสินใจไปแล้วพวกเขาก็ได้แต่ต้องรับคำเท่านั้น
เย่หยวนย่อมไม่คิดอยากจะเดินทางเข้าหาอันตราย แต่หากอิ้งหมัวหู่เองก็ได้เจอสภาพเช่นนี้ เขาเองก็คงได้เจออันตรายที่ไม่แตกต่างกัน
หากเป็นเช่นนั้น เขาก็พร้อมที่จะเสี่ยงตามความอันตรายนี้ไป
ระหว่างที่ทั้งสองกำลังวิ่งไป พวกเขาก็พบว่าด้านหน้ามันมีถ้ำที่ดูผิดแปลกตั้งอยู่
ก่อนจะไปถึงพวกเขาก็สัมผัสได้ถึงลมเย็นหยินที่พัดออกมาอย่างรุนแรง ทำให้คนทั้งสามต้องหนาวจนจับขั้วหัวใจ
“นายใหญ่ มันช่างเป็นลมเย็นหยินที่รุนแรง ข้าว่าด้านในต้องมีอะไรบางอย่างที่แสนทรงพลังอาศัยอยู่เป็นแน่!” หนิงเทียนปิงบอก
เย่หยวนตอบกลับมา “เข้าไป!”
หู่ชิงไม่คิดที่จะลังเลและกระโดดเข้าไปในทันที
“นายท่าน สัตว์อสูรพวกนั้น… มันไม่ตามเรามาแล้ว!” หู่ชิงบอก
เย่หยวนพยักหน้า “ดูเหมือนว่าจะมีใครต้องการให้เราเข้ามายังที่แห่งนี้! มา เข้าไปกัน ข้าอยากรู้เสียจริงว่าที่แห่งนี้มันคืออะไรกันแน่”
…
หลังจากพวกเย่หยวนเข้าไปแล้วก็ปรากฏเงาร่างสี่ถึงห้าเงาตามมายังหน้าทางเข้าถ้ำ
คนทั้งหลายนี้ต่างมีสัตว์ขี่เป็นพาหนะ
“หึ เจ้าผีร้ายระดับห้าที่ด้านในนั้นมันช่างยุ่งยากเกินกว่าจะจัดการได้ ไม่นึกเลยว่าเราจะโชคดีมาเจอเจ้าขยะสองคนนี้เดินผ่านมาพอดี” ชายชุดเทาคนหนึ่งพูดขึ้น
ชายชุดเทานั้นขี่เสือขาว คลื่นพลังที่ปล่อยออกมาจากตัวนั้นมันแสนที่จะแข็งแกร่ง
“เป็นพี่ใหญ่ท่านที่ฉลาดหลักแหลม! เจ้าผีร้ายนั้นมันชอบสิงร่างมนุษย์นัก หากมันเข้าสิงร่างเจ้าสองคนนั้นแล้วมันก็คงมีสภาพอ่อนแอไปพักใหญ่ ถึงตอนนั้นเราก็จะสามารถตักตวงผลประโยชน์ได้โดยไม่ต้องเปลืองแรง ศิลาวิญญาณหยินและหญ้ากินหยินเก้าวิญญาณในถ้ำวิญญาณดำนี้จะตกกลายเป็นของเรา!” หญิงสาวในชุดสีแดงเพลิงข้างๆ ชายชุดเทาพูดขึ้น
“ฮ่าๆ ตราบเท่าที่เราได้ของสองสิ่งนี้มา นิกายคุมวิญญาณของเราต้องสามารถขึ้นเป็นอันดับหนึ่งในการทดสอบนี้ได้แน่” อีกคนพูดตาม
ชายชุดเทาบอกต่อ “จะว่าไปเจ้านักยุทธอาณาจักรราชันพระเจ้าห้าดาวคนนั้นมันช่างแข็งแกร่งนัก! ทั้งที่ถูกฝูงสัตว์อสูรจำนวนมากมายล้อมเช่นนั้นมันกลับสามารถถอยหนีออกมาได้ หากมันมีการบ่มเพาะที่สูงกว่านี้หน่อย เราคงไม่มีทางเป็นคู่มือของมันได้แน่”
พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาทุกผู้คนก็แสดงสีหน้าท่าทางวิตกขึ้น
แท้จริงแล้วการลงมือทุกสิ่งอย่างของพวกเย่หยวนนั้นมันถูกจับตามองไว้สิ้น
เพียงแค่ว่าพลังฝีมือที่เย่หยวนแสดงออกมามันเหนือล้ำกว่าที่พวกเขาทั้งหลายจะคาดคิด
ราชันพระเจ้าห้าดาวกลับสามารถถอยกลับมาได้ทั้งๆ ที่ต้องเจอการล้อมของฝูงสัตว์อสูรระดับสี่ขั้นปลาย
แถมหนึ่งในสัตว์อสูรที่ไปล้อมนั้นมันยังมียอดสัตว์อสูรระดับสี่ขั้นปลายอยู่ด้วย
ตอนแรกพวกเขานั้นคิดแค่ที่จะขับไล่ให้เย่หยวนกลัวหนีไป
เรื่องชีวิตของหู่ชิงนั้นไม่อยู่ในสายตาของคนพวกนี้เลย
แต่ใครจะไปคิดว่าสุดท้ายเย่หยวนเลือกที่จะไม่ถอยหนีและยังมุ่งหน้าเข้าไปกลางวงล้อมของสัตว์อสูรแทน
โชคยังดีที่เจ้าสัตว์อสูรระดับสี่ขั้นปลายเหล่านี้มันมีพลังที่แข็งแกร่งและพอที่จะกดดันเย่หยวนไว้ได้
ไม่เช่นนั้นคงเป็นพวกเขาเองที่ต้องลำบาก
ถึงจะเป็นเช่นนั้น พวกเขาก็ยังตื่นตะลึงในฝีมือที่เย่หยวนแสดงออกมา
ใบหน้าของหญิงสาวชุดแดงนั้นเปี่ยมไปด้วยความตื่นตกใจและบอก “การบ่มเพาะของเจ้าหมอนั่นมันต่างจากพวกเราทั้งหลายนัก ดูท่าคงเป็นคนจากมหาพิภพถงเทียน หรือว่า… นักยุทธในมหาพิภพถงเทียนจะแข็งแกร่งปานนั้นกันหมด?”
ชายชุดเทาส่ายหัวออกมา “ไม่มีทาง! เจ้าเด็กคนนี้มันต้องเป็นยอดอัจฉริยะแม้แต่บนมหาพิภพถงเทียนแน่ๆ การผสานแนวคิดแห่งดาบและแนวคิดแห่งห้วงมิติเข้าด้วยกันเช่นนี้มันเป็นพรสวรรค์ที่ยากตัวจับยาก ต่อให้เป็นมหาพิภพถงเทียนมันก็น่าจะเป็นคนมีชื่อเสียงไม่เบา น่าจะเป็นยอดศิษย์จากค่ายสำนักใหญ่ แต่ว่าเรื่องนั้นมันไม่เกี่ยวกับพวกเราทั้งหลาย ยังไงมันก็คงตายแน่แล้ว ไปกันเถอะ ข้าว่าปานนี้เจ้าเด็กคนนั้นมันคงโดนสิงแล้ว ปล่อยไปนานกว่านี้เดี๋ยวจะลำบากเราเปล่าๆ”
พูดจบคนทั้งหลายก็เดินเข้าไปในถ้ำด้วยกัน
ถ้ำนี้มีลักษณะคล้ายถ้ำลมหยินที่เย่หยวนเคยเข้าไป แต่วิญญาณร้ายภายในนี้มันมีพลังที่เหนือล้ำเกินกว่าจะเอาไปเทียบกับถ้ำลมหยินได้
แต่ว่าพลังของนิกายคุมวิญญาณนั้นมันก็แข็งแกร่งไม่น้อย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งชายชุดเทาคนนั้น ตัวเขานั้นขึ้นไปถึงอาณาจักรนภาสวรรค์ครึ่งก้าวแล้ว เป็นตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่คนที่มา
วิญญาณร้ายทั่วๆ ไปคงทำอะไรเขาไม่ได้เลย
ยิ่งกลุ่มคนเดินเข้าไปลึก พวกเขาทั้งหลายก็ยิ่งระมัดระวังตัวมากขึ้น
จู่ๆ พวกเขาก็เห็นสองเงาร่างอยู่ด้านหน้า ชายชุดเทาหรี่ตามองดูและอีกฝ่ายจะเป็นใครไปได้นอกจากเย่หยวนและหนิงเทียนปิง?
ชายชุดเทาหันไปมองรอบๆ ถ้ำและพบว่าตอนนี้มันไม่มีวิญญาณร้ายระดับห้าใดๆ อีกแล้ว จึงตื่นเต้นดีใจขึ้นมาทันที
“ฮ่าๆๆ ไอ้พวกโง่ มันเข้าสิงมนุษย์สองคนนี้จริงๆ! ข้าจะส่งพวกเจ้าไปตามทางที่ถูกต้องเอง! ศิลาวิญญาณหยินและหญ้ากินหยินเก้าวิญญาณนี้ตกเป็นของเรานิกายคุมวิญญาณแล้ว!” ชายชุดเทาหัวเราะลั่น
ตอนนั้นเองที่คลื่นพลังอันเย็นเฉียบถูกปล่อยออกมาจากร่างของเย่หยวน
เขาเปิดปากพูดขึ้นพร้อมจ้องมองดูชายชุดเทา “เจ้าสมควรตาย!”
ชายชุดเทานั้นตอบกลับไปอย่างไม่คิดสนใจ “ข้าสมควรตาย? ฮ่าๆๆ หากเป็นเจ้าตอนสมบูรณ์พร้อมข้าคงยังกลัวอยู่บ้าง แต่สภาพของเจ้าตอนนี้มีหรือที่จะยังกล่าวข่มขู่ผู้คนได้อีก?!”
เย่หยวนนั้นมีสายตาที่แสนเย็นยา ร่างกายของเขาปล่อยคลื่นพลังอันเย็นเหยียบออกมา
จู่ๆ ก็มีเงาร่างหนึ่งลอยออกมาจากตัวเย่หยวน
ชายชุดเทาหน้าถอดสีและกล่าวขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อสายตา “นี่มัน… เป็นไปได้อย่างไร? เจ้า… เจ้าไม่ได้ถูกสิง?”
เย่หยวนหัวเราะเย้ย “ชอบการสิงนักหรือ? งั้นข้าให้เจ้าแล้วกัน!”
ตอนที่ 1777 พี่ใหญ่มารับเจ้าแล้ว
ชายชุดเทาได้แต่ทำหน้าตาตื่นตกใจ เขาไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าเหตุใดราชันพระเจ้าห้าดาวจึงจะสามารถหลบรอดจากการถูกสิงมาได้
ที่สำคัญดูจากภาพตรงหน้านี้ เจ้าวิญญาณผีร้ายกลับจะถูกเย่หยวนควบคุมอยู่เสียด้วยซ้ำ!
“น-น้องชาย ข้าแค่… จริงๆ แล้วมันล้วนเป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน!” ชายชุดเทาบอกด้วยสีหน้าสุดเหยเก
เขาไม่เคยคิดเคยฝันเลยว่าแผนการที่ตัวเขาวางไว้มันกลับจะมาทำร้ายตัวเขาเองเช่นนี้ได้
ไม่เพียงแค่เด็กคนนี้จะไม่ถูกสิง เขากลับควบคุมและใช้งานเจ้าวิญญาณร้ายนี้ได้แทน
แม้ว่าตอนนี้เขาจะมีพลังบ่มเพาะถึงอาณาจักรนภาสวรรค์ครึ่งก้าว แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าวิญญาณร้ายระดับห้าจริงๆ แล้วมันก็ยังไม่มากพอที่จะต่อต้าน
นี่คือตัวตนที่สามารถปะทะกับนักยุทธอาณาจักรนภาสวรรค์ที่แท้จริงได้!
“เข้าใจผิด? เหล่าสัตว์อสูรที่ภายนอกนั้นก็ล้วนถูกเจ้าควบคุมมาใช่หรือไม่? ไล่ต้อนเราเข้ามาในนี้หวังให้เราถูกวิญญาณร้ายสิงสู่ อย่ามาบอกว่ามันไม่ใช่ฝีมือเจ้า!” เย่หยวนบอก
ชายชุดเทาหน้าเสียไปอย่างมาก เขาไม่นึกไม่ฝันว่าเย่หยวนจะสามารถมองแผนการทั้งหมดของเขาออกได้เช่นนี้
“น้องชาย พวกเจ้าคงมาจากมหาพิภพถงเทียนใช่หรือไม่? มิติอนัตตากอไผ่เราไม่ต้อนรับคนจากมหาพิภพถงเทียน เราทุกคนในที่นี้เป็นศิษย์จากนิกายคุมวิญญาณมารับการทดสอบในเขตแดนตัดขาดนี้เพื่อที่จะเอาศิลาวิญญาณหยินและหญ้ากินหยินเก้าวิญญาณภายในถ้ำนี้ เพราะเช่นนั้นเราจึงคิดก่อแผนนี้ขึ้นมา นิกายคุมวิญญาณของเรานั้นมีฐานะสูงส่งในมิติอนัตตากอไผ่ ตราบเท่าที่น้องชายปล่อยเราไปวันนี้ นิกายคุมวิญญาณเราย่อมสามารถช่วยดูแลให้น้องชายปลอดภัยได้!” ชายชุดเทากลอกตาไปมาพร้อมบอกกล่าวข้อมูลสำคัญ
เขามั่นใจมากว่าเย่หยวนนั้นเป็นแค่ยอดอัจฉริยะที่ไม่รู้จักโลก ครานี้คงเดินทางออกมาฝึกตัวและได้หลงเข้ามาในเขตแดนตัดขาด
คนเช่นนี้แค่ข่มขู่และเสนอผลประโยชน์เล็กๆ น้อยก็ย่อมสามารถที่จะจัดการได้อย่างอยู่หมัด
เพราะไม่ว่ายังไงเสียเย่หยวนก็ไม่ได้รู้จักเรื่องราวภายในการเป็นไปของมิติอนัตตากอไผ่
และเมื่อเย่หยวนได้ยินคำของชายชุดเทา สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนจะบอก “หากอยากให้ข้าปล่อยพวกเจ้าไป มันย่อมได้ แต่เจ้าต้องสัญญากับข้ามาอย่างหนึ่งก่อน!”
เมื่อชายชุดเทาได้ยินเขาก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นดีใจ คิดอยู่ในใจว่าเด็กคนนี้มันช่างรับมือง่ายตามคาด
เขารีบกล่าวออกมา “ไม่ว่าน้องชายจะมีข้อแม้ใดๆ ก็ย่อมพูดมาได้เลย นับว่าเป็นคำขอโทษที่เราล่วงเกินน้องชายไปก่อนหน้า”
เย่หยวนบอก “สัตว์ขี่เจ้ามันดูดีนี่นา ข้าอยากได้มัน!”
ชายชุดเทาหน้าเสียไปทันที ตอนนี้ใบหน้าของเขานั้นแสดงความไม่เต็มใจออกมาอย่างเต็มที่
เมื่อเย่หยวนเห็นใบหน้าแบบนั้นเขาก็เปลี่ยนท่าทีไป “ทำไม? ทำใจจากมันไม่ได้หรือ?”
ชายชุดเทามีใบหน้าท่าทางเหยเก สายพันธุ์ของเจ้าเสือขาวตัวนี้มันบริสุทธิ์มาก มีช่องว่างให้พัฒนาไปมาก ไม่เหมือนกับสัตว์ขี่อื่นๆ ของเขาแม้แต่น้อย
เพื่อการนี้เขาต้องลงแรงไปอย่างมหาศาล
ชายชุดเทาหยุดคิดไปนิดหน่อย เขาคิดว่าเด็กคนนี้ช่างมีดวงตาที่เฉียบแหลม ถึงคิดอยากได้เสือขาวของเขาตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็นมัน! ช่างมันเถอะ ตอนนี้ต้องให้ให้อีกฝ่ายพอใจก่อนค่อยพูดคุย หากสามารถพาเขากลับไปถึงนิกายได้เรื่องเจ้าเสือขาวนี้มันยังจะเป็นของเด็กน้อยคนนี้อีกหรือ?
“ฮ-ฮ่าๆ ข้าไม่ขอปกปิดจากน้องชาย แต่ข้านั้นทำใจลำบากจริงๆ ที่ต้องแยกจากมัน แต่เรื่องที่ผ่านมานี้ล้วนย่อมเป็นความผิดของเรา ข้าจะยอมรับผิดและมอบมันให้น้องชาย!”
ชายชุดเทานั้นยังแสดงท่าทางไม่เต็มใจออกมา ลูบหลังเจ้าเสือขาวน้อยๆ ก่อนที่เจ้าเสือขาวจะเดินเข้ามาหาเย่หยวนอย่างว่าง่าย
เห็นแบบนี้เย่หยวนก็แทบอยากจะสังหารผู้คนลงตรงนี้
เพียงแค่ว่าเขาปกปิดจิตสังหารนี้ไว้อย่างแนบเนียน
เพราะว่าเสือขาวตัวนี้มันมิใช่ใครอื่นนอกไปเสียจากอิ้งหมัวหู่!
เหตุผลที่เขายังไม่ยอมลงมือตั้งแต่แรกที่พบหน้าก็เป็นเพราะว่าเขาเห็นถึงอิ้งหมัวหู่นั่นเอง
เย่หยวนจำน้องคนนี้ได้ในวินาทีแรกที่มองเห็น
แต่ดูท่าแล้วอิ้งหมัวหู่คงจดจำเขาไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
หรือจะบอกว่าอิ้งหมัวหู่ไม่สามารถจะจดจำเย่หยวนได้!
เย่หยวนย่อมไม่มีทางเข้าใจวิธีการของนิกายคุมวิญญาณและไม่คิดที่จะแสดงเรื่องนั้นออกมาอย่างง่ายดาย
สภาพของอิ้งหมัวหู่ในตอนนี้มันเหมือนแมวน้อยว่าง่าย หากชายชุดเทาบอกให้ไปซ้ายเขาก็คงเลือกที่จะเดินไปทางซ้ายจนสุดโลก
ไม่ต้องถามก็รู้เลยว่าเขาถูกศิษย์ของนิกายคุมวิญญาณนี้ควบคุมจิตใจอยู่ด้วยวิธีการใดสักอย่าง
เมื่อคิดว่าน้องชายตนต้องตกไปอยู่ใต้เท้าผู้อื่นเช่นนี้ จิตสังหารที่เย่หยวนเคยมีก็ยิ่งพุ่งสูงจนแทบจะระเบิดออกมาจากร่างของเขา
เย่หยวนไม่รู้จักมิติอนัตตากอไผ่นี้ หากว่านิกายคุมวิญญาณนั้นมีเทคนิควิชาที่ลับเฉพาะตัวแล้ว การวู่วามของเขามันอาจจะเป็นการทำร้ายอิ้งหมัวหู่แทนที่จะช่วย
แม้ว่าเย่หยวนจะมีความมั่นใจในตัวเอง แต่มันก็ยังไม่ถึงขั้นที่ว่าเขาไม่เกรงกลัวหน้าใด
เขาไม่มั่นใจว่าลำพังแค่ตัวเองจะสามารถทำลายวิชาควบคุมสัตว์อสูรนี้ได้
เย่หยวนค่อยๆ ลูบขนของอิ้งหมัวหู่ด้วยท่าทางสบายอกสบายใจ
“อืม เยี่ยมจริงๆ! เจ้าควรทำอย่างไรคงไม่ต้องให้ข้าสั่งใช่ไหม?” เย่หยวนขมวดคิ้วแน่น
ชายชุดเทาหัวเราะออกมาและบอก “น้องชายอย่าได้โทษกล่าว เจ้าสัตว์อสูรตัวนี้มันเป็นสัตว์อสูรที่แปลงกายได้และไม่ยอมฟังคำสั่งใดๆ ข้าจึงต้องใช้ไข่มุกวิญญาณนิลควบคุมวิญญาณอสูรของมันไว้ เดิมทีข้าคิดที่จะพามันกลับไปยังนิกายคุมวิญญาณและฝึกฝนมันตามเรื่องราว ทำให้มันกลายเป็นสัตว์วิญญาณในสัญญากับข้า แต่หากน้องชายคิดอยากได้มัน ข้าก็ย่อมจะมอบไข่มุกวิญญาณนิลให้น้องชายด้วย”
ชายชุดเทายิ้มออกมาราวกับว่าคำพูดนั้นเปี่ยมไปด้วยความจริงใจ
เพราะเมื่อทำความดี เราย่อมต้องทำให้ถึงที่สุด เพราะไม่ว่ายังไงสุดท้ายไข่มุกวิญญาณนิลก็จะกลับมาตกอยู่ในมือเขาอยู่แล้ว
เมื่อเย่หยวนได้ยินเขาก็ถามขึ้นมาอย่างสนใจ “โอ้? นิกายคุมวิญญาณของเจ้านั้นช่างน่าสนใจนัก วิธีการเช่นนี้เราคงหาเจอไม่ได้ง่ายๆ ในมหาพิภพถงเทียน ข้าสงสัยจริงๆ ว่าเจ้าคิดจะฝึกมันยังไง?”
ชายชุดเทาหัวเราะขึ้นมาและบอก “เหล่าสัตว์อสูรพวกนี้มันล้วนเป็นสัตว์ชั้นต่ำ หากอยากฝึกเราก็แค่ต้องสั่งสอนมัน กดดันวิญญาณอสูรของมันด้วยศาสตร์ของนิกายคุมวิญญาณเรา ต่อให้มันจะเคยเป็นสัตว์รับใช้พระโพธิสัตว์มันก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมจำนน”
เมื่อเย่หยวนได้ยิน ไฟแค้นในร่างของเขาก็ยิ่งพุ่งพวยมากขึ้นกว่าเก่า
ตอนนี้เขาต้องใช้พลังที่มีทั้งหมดเพื่อกดเก็บความโกรธแค้นนี้ไว้
“โอ้? เช่นนี้นี่เอง เช่นนั้นเจ้าไข่มุกวิญญาณนิลนี่เล่า? เราจะใช้มันได้อย่างไร?”
เย่หยวนนั้นถามเหมือนเด็กน้อยขี้สงสัย ถามทุกสิ่งอย่างเกี่ยวกับศาสตร์วิชาของนิกายคุมวิญญาณจนสิ้น
ชายชุดเทานั้นก็ยังใจเย็น ตอบกลับมาพร้อมร่ายคาถา ปล่อยคลื่นวิญญาณกดทับออกมาจากทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของอิ้งหมัวหู่
จากนั้นเย่หยวนก็เห็นเจ้าไข่มุกวิญญาณนิลลอยออกมาตาม
ณ เวลานี้นี่เองที่ดวงตาของอิ้งหมัวหู่กลับมาแจ่มใสได้อีกครั้ง
เมื่อเห็นเย่หยวนอยู่ตรงหน้า ร่างของเขาก็สั่นเครือ น้ำตาหลั่งไหลออกมาเป็นสายน้ำ
“พ-พี่ใหญ่!”
เย่หยวนนั้นยิ้มกว้างออกมาค่อยๆ ลูบขนของอิ้งหมัวหู่อย่างแผ่วเบาด้วยรอยยิ้มที่แสนอ่อนโยน “เอาล่ะ ไม่เป็นไรแล้วนะ พี่ใหญ่มารับเจ้ากลับแล้ว!”
เมื่อคนของนิกายคุมวิญญาณเห็น พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าตื่นตะลึงออกมา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งชายชุดเทาคนนั้นที่ตอนนี้เขามีใบหน้าสุดแสนจะเหยเก
“เด็กน้อย กลายเป็นว่าพวกเจ้ารู้จักกัน! เจ้า… เจ้าหลอกข้า?”
ถึงขนาดนี้แล้วยังมีหรือที่ชายชุดเทาจะไม่รู้ถึงเป้าหมายที่แท้จริงของเย่หยวน?
เพียงแค่ว่าเขาไม่เคยคิดเคยฝันว่าเย่หยวนจะกลับเป็นคนรู้จักของเจ้าเสือขาว!
และเขาก็ไม่ได้รู้ด้วยว่าเป้าหมายของเด็กคนนี้มันคือเสือขาวมาตั้งแต่แรกแล้ว!
เขาคิดว่าตัวเองหลอกเย่หยวนได้ แต่ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าตนเองนั้นต่างหากที่กำลังตกเป็นฝ่ายถูกหลอกโดยเย่หยวน
เขาเสียใจอยู่อย่างมาก!
กลายเป็นว่าเขามีไพ่ตายอยู่ในมือมาตลอด แต่กลับปล่อยมันออกให้อีกฝ่ายได้ไปง่ายๆ!
“พี่ใหญ่ ข้า… ข้า…”
ระหว่างทางมานั้นอิ้งหมัวหู่ได้พบเจอเรื่องราวยากลำบากมากมาย ตอนนี้เมื่อถูกความเศร้าเข้าครอบงำเขาจึงห้ามตัวเองไม่ให้เข้าไปกอดเย่หยวนราวกับเป็นแค่เด็กตัวน้อยไม่ได้อีก น้ำตาไหลลงมาดั่งสายน้ำใหญ่
เย่หยวนเองก็กอดอิ้งหมัวหู่ไว้อย่างแนบแน่น “พี่รู้ดีว่าเจ้านั้นต้องพบเจอความลำบากมาแค่ไหน เจ้าวางใจเถอะ พี่ใหญ่ของเจ้าคนนี้จะช่วยเจ้าขจัดมันให้สิ้น เริ่มจากตรงนี้ก่อนเลย!”
ตอนที่ 1778 ผีสวรรค์จุติ
“เจ้าบอกว่าเผ่าอสูรมันเป็นได้แค่พวกชั้นต่ำสินะ?”
เย่หยวนหรี่ตาลงทันที สายตาที่เขาใช้จ้องมองชายชุดเทานั้นแสนจะเย็นชา
ชายชุดเทาเองก็เปลี่ยนสีหน้าไปเมื่อเห็นเช่นนั้น? “ทำไมเล่า? หากเจ้ากล้าสังหารข้าเจ้าคงไม่มีทางออกจากเขตแดนตัดขาดนี้ไปได้แน่! ข้าสีกงซิ่วเป็นศิษย์หลักของนิกายคุมวิญญาณ! หากเจ้ากล้าสังหารข้านิกายคุมวิญญาณคงไม่ปล่อยเจ้าให้มีชีวิตรอดต่อไปแน่!”
ตอนนั้นเองที่ชายชุดเทาหมดหวังที่จะต่อรองและคิดใช้แผนการข่มขู่เย่หยวนแทน
เย่หยวนบอก “ใครสนกันว่าเจ้าเป็นใคร? เจ้ากล้ามาลบหลู่น้องชายข้า ผลลัพธ์ของมันนั้นมีแค่ความตาย!”
ระหว่างพูดไปเย่หยวนก็คิดและเรียกให้เจ้าผีร้ายปรากฏร่างออกมาอีกครั้ง
ความเย็นเยือกที่ทิ่มแทงกระดูกผู้แผ่กระจายทำให้พื้นที่รอบๆ ค่อยๆ เย็นลงจงเกือบถึงจุดเยือกแข็ง
“เจ้าหนู เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าเราจะเป็นได้แค่แกะนั่งรอให้เชือด? นิกายคุมวิญญาณของเราเก่งกาจกว่าที่เจ้าจะคิดถึงมากนัก!”
สีกงซิ่วหัวเราะลั่นพร้อมปล่อยพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งออกมา
เมื่อเหล่าศิษย์คนอื่นๆ เห็นเช่นนั้นพวกเขาก็ทำหน้าเหยเกออกมาในทันที
“พี่ใหญ่สีกง เราจะใช้วิชานั้นกันจริงๆ หรือ?”
“ใช่แล้วพี่ใหญ่สีกง หากใช้วิชานั้นพลังบ่มเพาะเราคงต้องถดถอยไปมากแน่!”
ดูท่าแล้วผลกระทบจากวิชานี้มันจะรุนแรงไม่น้อย ไม่เช่นนั้นสีกงซิ่วก็คงไม่รอให้ถึงตอนนี้ถึงค่อยคิดใช้ออกมา
สีกงซิ่วหัวเราะ “หากพลังบ่มเพาะหายไปก็ปล่อยมันหายไป ทีหลังย่อมสามารถบ่มเพาะขึ้นมาใหม่ได้ แต่หากเจ้าเสียชีวิตไปวันนี้เจ้ายังจะกลับมามีชีวิตได้อีกไหม? ถึงเวลานี้เรายังมีทางเลือกอื่นอีกหรือ?”
มันไม่ใช่ว่าคนที่เหลือไม่เข้าใจจุดนี้ เพียงแค่ว่าการบ่มเพาะของพวกเขานั้นต้องใช้เวลาอย่างมาก หากมันตกลงไปแล้วพวกเขาไม่รู้ต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไหร่กว่าจะกลับมายืนยังจุดเดิมได้
เรื่องนี้มันต้องใช้ความกล้าอย่างมหาศาลในการลงมือ
แต่สภาพในตอนนี้มันย่อมไม่มีทางเลือกอื่นให้พวกเขาทั้งหลายแล้ว
กลุ่มคนจากนิกายคุมวิญญาณปล่อยพลังวิญญาณออกมาพร้อมๆ กัน พลังวิญญาณเหล่านั้นจึงค่อยๆ ไหลมารวมกันในจุดเดียวอย่างพร้อมเพรียง
เย่หยวนมองดูที่ภาพตรงหน้าและสั่งออกมา “สังหาร!”
เจ้าผีร้ายส่งเสียงร้องแสบแก้วหูและพุ่งตัวเข้าไปหาเหล่าศิษย์นิกายคุมวิญญาณทันที
รอยยิ้มชั่วร้ายปรากฏขึ้นบนใบหน้าของสีกงซิ่ว “มีหรือที่วิชาของนิกายคุมวิญญาณเรามันจะเป็นสิ่งที่เจ้าคาดเดาได้? แค่ผีวิญญาณร้ายตัวเดียวเจ้าคิดว่ามันจะสังหารเราได้จริง? โอ้ ผู้พิทักษ์แห่งนิกายคุมวิญญาณเรา ศิษย์แห่งนิกายนามสีกงซิ่วขอมอบพลังวิญญาณเหล่านี้และปราณเทวะของเราเพื่อเป็นเครื่องอัญเชิญแก่สัตว์เทวะ!”
เหล่าศิษย์คนอื่นๆ เองก็ว่าออกมาพร้อมๆ กัน
เมื่อพลังวิญญาณเหล่านั้นจากหายไปมันก็เกิดเรื่องราวสุดประหลาดขึ้นมา
เพราะตอนนี้มีกรงเล็บขนาดใหญ่กำลังแหวกฝ่าช่องว่างในอากาศออกมา!
กรงเล็บนี้มันแฝงไปด้วยพลังสุดแข็งแกร่ง หากให้เทียบแล้วมันแข็งแกร่งกว่าเจ้าผีร้ายเสียอีก!
ตู้ม!
ยอดฝีมือระดับห้าสองตัวตนเข้าปะทะกันอย่างแรง
แต่เจ้ากรงเล็บนั้นมันกลับแข็งแกร่งมากกว่าระดับหนึ่งและส่งร่างของเจ้าผีร้ายระดับห้าลอยลิ่วกลับมาไกล
นั่นทำให้ผีร้ายสูญเสียพลังงานไปอย่างมาก
จากนั้นก็มีร่างของสัตว์ตัวหนึ่งในเกล็ดสีเงินค่อยๆ ปรากฏตัวออกมาจากช่องว่างนั้น
ร่างอันใหญ่โตนี้มันให้ความรู้สึกที่เหนือล้ำ
หนิงเทียนปิงหน้าถอดสีทันที “นี่มัน… เจ้าสัตว์ตนนี้คืออสูรเกล็ดเงินเขาเดียว! ช่างเป็นวิญญาณอสูรที่แข็งแกร่งนัก!”
คลื่นพลังจากร่างของพวกสีกงซิ่วนั้นอ่อนแอลงย่างเห็นได้ชัดหลังจากเจ้าสัตว์ตัวยักษ์นี้ปรากฏตัวออกมา
แต่สีกงซิ่วนั้นกลับหัวเราะร่าด้วยความยินดี “เจ้าหนู เจ้าบังคับข้าเองนะ! นี่คืออสูรเกล็ดเงินเขาเดียว เป็นสัตว์เทวะผู้พิทักษ์ประจำนิกายเรา เดิมทีเป็นถึงตัวตนระดับเจ็ด! ทีนี้ล่ะจงรับความพิโรธของเราไป!”
หู่ชิงนั้นตัวสั่นอย่างมากเมื่อต้องมาอยู่ต่อหน้าวิญญาณของอสูรเกล็ดเงินเขาเดียว
ตอนนี้แม้แต่อิ้งหมัวหู่ก็หน้าซีดเผือด ราวกับตัวเองได้มาเจอศัตรูที่แข็งแกร่งเกินไปเข้า
“นายท่าน เจ้านี่… อสูรเกล็ดเงินเขาเดียวตัวนี้มันแข็งแกร่งเกินไป เราไม่สามารถจะต่อต้านมันได้เลย!” หู่ชิงบอก
เย่หยวนมองดูที่วิญญาณอสูรนั้นและยิ้มตอบกลับไป “สัตว์เทวะผู้พิทักษ์? ตัวตนระดับเจ็ดเช่นนี้แต่พวกเจ้ากลับจองจำวิญญาณของสัตว์เทวะตัวนี้ไว้และขังเขาไว้ภายในนิกาย ทำให้เขาไม่สามารถกลับชาติมาเกิดได้ชั่วกับชั่วกัลป์ เฝ้าพิทักษ์นิกายรุ่นต่อรุ่น ช่างเป็นนิกายที่น่ารังเกียจนัก!”
หวู่เฉินย่อมเห็นและรู้ได้ทันทีว่าวิญญาณที่ถูกเชิญออกมาตรงหน้านี้มันเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของร่างหลัก
ดูแล้วด้วยพลังของศัตรูที่อยู่ตรงหน้านี้ มันคงทำการอัญเชิญออกมาได้เพียงแค่นี้เท่านั้น
แต่ว่าคลื่นพลังที่วิญญาณอสูรนี้ปล่อยออกมามันก็ยังแสนรุนแรง แม้ว่ามันจะไม่ได้อยากปกป้องนิกายด้วยตัวเองแต่ทางนิกายคุมวิญญาณกลับขังมันไว้ด้วยวิธีการพิเศษบางอย่าง ทำให้สุดท้ายมันต้องทำตามคำสั่งของศิษย์ในนิกายนั้น
วิธีการเช่นนี้มันสุดแสนจะโหดร้าย ทำให้วิญญาณของสัตว์เทวะตัวนี้ไม่ได้สามารถกลับไปเกิดได้อีกตลอดกาล!
สัตว์เทวะระดับเจ็ด มันเทียบเท่าได้กับยอดฝีมืออาณาจักรเทพสวรรค์ แต่ละตัวตนในระดับนั้นย่อมเป็นผู้มีศักดิ์ศรีในตัวอย่างสูงส่ง แต่กลับต้องมาถูกขยะพวกนี้สั่งนู่นสั่งนี่
มันช่างเป็นการทำลายศักดิ์ศรีของสัตว์เทวะระดับเจ็ดนัก
สีกงซิ่วหัวเราะ “ทำไมเล่า? ในสายตาของนิกายคุมวิญญาณแล้ว จะสัตว์อสูรหรือสัตว์เทวะมันก็เป็นได้แค่เครื่องมือสำหรับให้นักยุทธใช้เท่านั้น! พวกมันแค่ต้องทำตามคำสั่งอย่างเชื่อฟัง! จะเป็นสัตว์เทวะระดับเจ็ดแล้วทำไม? สุดท้ายก็เป็นได้แค่สัตว์หน้าขนอยู่ดี!”
สีกงซิ่วนั้นไม่คิดจะละอายและตอบกลับมาอย่างภูมิใจแทน
สัตว์เทวะระดับเจ็ด มันต้องเป็นตัวตนที่ยิ่งใหญ่แค่ไหน? แต่เมื่อชายคนนี้พูดถึงมันกลับเป็นได้แค่สัตว์หน้าขน
เย่หยวนหรี่ตาลงทันทีพร้อมพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นเหยียบ “ปลาใหญ่กินปลาเล็กนั้นเป็นกฎของธรรมชาติ เรื่องนั้นมันไม่มีอะไรให้ต้องว่ากล่าวกันได้ แต่นิกายคุมวิญญาณของเจ้านั้นมีวิธีการที่โหดเหี้ยมจนเกินไป ฝืนกฎแห่งธรรมชาติและสวรรค์ ต่ำต้อยเสียยิ่งกว่าสัตว์หน้าขน! เจ้าสมควรตาย!”
สีกงซิ่วหัวเราะลั่นเมื่อได้ยินเช่นนั้น “น่าเสียดายที่เจ้าคงสังหารข้าไม่ได้! เพราะผีร้ายของเจ้านั้นมันอ่อนแอจนเกินไป!”
เย่หยวนขยับมุมปากด้วยท่าทางเย้ยหยัน “แม้ว่าเดิมทีสัตว์เทวะตนนี้จะทรงพลัง แต่ด้วยน้ำยาอย่างพวกเจ้าแล้ว การอัญเชิญวิญญาณในครั้งนี้มันก็ทำได้แค่อัญเชิญวิญญาณระดับห้าขั้นต้น!”
สีกงซิ่วยิ้มตอบ “หึ แค่รับมือกับผีร้ายขยะของเจ้ามันก็มากพอแล้ว! สัตว์เทวะผู้พิทักษ์ ฉีกร่างเจ้าเด็กคนนี้ทิ้งให้ข้าหน่อย”
“โฮ่ก!”
เสียงคำรามสนั่นฟ้าดังขึ้น เจ้าอสูรเกล็ดเงินเขาเดียวยกกรงเล็บขึ้นสูงและฟาดมันลงมายังร่างของเย่หยวน
กรงเล็บนี้มันแฝงมาด้วยพลังกดดันวิญญาณที่แสนแข็งแกร่งจนน่ากลัว
แม้ว่าร่างตรงหน้าจะเป็นแค่ระดับห้าขั้นต้น แต่เดิมทีแล้วมันก็เป็นถึงตัวตนระดับเจ็ด
ความกดดันที่ออกมาจากก้นบึ้งของวิญญาณนั้นมันมากพอที่จะทำให้ผู้คนต้องสั่นกลัว
ต่อให้เป็นนักยุทธอาณาจักรนภาสวรรค์หนึ่งดาวก็คงไม่สามารถหลบรอดจากกรงเล็บนี้ไปได้แน่นอน!
เทียบกันแล้วผีร้ายของเย่หยวนนั้นมันอ่อนแอกว่ามาก
“ฮ่าๆๆ ไปตายเสีย! ไอ้โง่ที่ประเมินตัวเองสูงเกินไป!”
เย่หยวนมองดูภาพตรงหน้าอย่างนิ่งเฉย ไม่คิดที่จะแสดงความตื่นเต้นตกใจใดๆ ออกมาแม้แต่น้อย
ตอนนั้นเองที่มีพลังวิญญาณที่เหนือล้ำกว่าของอสูรเกล็ดเงินเขาเดียวปะทุขึ้นมา
“ผีเต๋าร้อยยันต์ วิถีที่ยี่สิบเอ็ด ผีสวรรค์จุติ!”
ร่างของเจ้าผีร้ายจู่ๆ ก็ขยายขึ้นนับสิบเท่า ยกมือของมันขึ้นปะทะกับอสูรเกล็ดเงินเขาเดียวอย่าไงไม่คิดเกรงกลัว
ปัง!
สีกงซิ่วหน้าถอดสีทันที มองภาพตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อสายตา
ตอนนี้เขาเห็นว่ากลับเป็นฝ่ายอสูรเกล็ดเงินเขาเดียวที่ได้รับบาดเจ็บอย่างมากจากการปะทะกันเมื่อสักครู่นี้!
จู่ๆ เจ้าผีร้ายนั้นมันก็แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมนับสิบๆ เท่า!
“อ่อก อึ่ก เอือก!”
เมื่อสัตว์เทวะผู้พิทักษ์ถูกล้มลง เหล่าศิษย์ของนิกายคุมวิญญาณก็เป็นฝ่ายได้รับบาดเจ็บไปด้วยจนต้องกระอักเลือด ร่างปลิวกระเด็นไปด้านหลังตามๆ กัน
สีกงซิ่วนั้นได้แต่ยืนมึนงงอยู่ตรงนั้นอย่างไม่อยากเชื่อสายตา “นี่มัน… เป็นไปไม่ได้! ทำไมเจ้าผีร้ายนี้มันถึงได้แข็งแกร่งนัก?!”
ตอนที่ 1779 อัปยศอดสู
“สัตว์เทวะผู้พิทักษ์เราแพ้พ่ายแล้ว!”
การต่อยวิญญาณอสูรระดับห้าขั้นต้นจนปลิวได้ด้วยหมัดเดียวนี้มันเป็นอะไรที่ทำให้ผู้คนตื่นตะลึงจนลืมหายใจ
เพราะยังไงเสียเจ้าผีร้ายตัวนี้มันก็ไม่ได้นับว่าเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งมากมาย
ต่อให้เป็นมนุษย์อาณาจักรนภาสวรรค์หนึ่งดาวก็เพียงพอที่จะจัดการกับมัน
แต่เจ้าสัตว์เทวะผู้พิทักษ์นั้นกลับถูกทำลายลงได้ในหมัดเดียว!
“นี่หรือคือไม้ตายของพวกเจ้า? น่าขันสิ้นดี!”
คำพูดของเย่หยวนนั้นเปี่ยมไปด้วยความเย้ยหยัน
เจ้าวิญญาณอสูรตัวนี้มันแข็งแกร่งมากจริงๆ แต่เมื่อมาอยู่ต่อหน้าหวู่เฉินแล้วมันก็ย่อมไม่มีค่าใดๆ
หลังจากที่เย่หยวนพัฒนาตัว แข็งแกร่งขึ้นมาเรื่อยๆ ไข่มุกสยบวิญญาณเองก็ค่อยๆ ฟื้นคืนพลังกลับมาดังเดิม
แม้ว่าเจ้าผีร้ายระดับห้านั้นมันจะเก่งกาจแต่มันกลับไม่มีความคิด
หลังจากหวู่เฉินปรากฏตัวออกมา เขาก็สามารถควบคุมมันได้ในทันที
ก่อนหน้านี้ทุกสิ่งอย่างเป็นการโจมตีโดยสัญชาตญาณของเจ้าผีร้าย
แต่เมื่อสักครู่นี้เป็นหวู่เฉินที่ออกมาควบคุมเจ้าผีร้ายผ่านไข่มุกสยบวิญญาณ
ด้วยเต๋าวิญญาณระดับเขา พลังของหมัดนี้มันย่อมรุนแรงจนแม้แต่ยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์สองดาวก็ยังไม่อาจทนต้านรับไว้ได้ ไม่ต้องไปพูดถึงเสี้ยววิญญาณที่พวกสีกงซิ่วเชิญออกมาตนนี้เลย
ตอนนี้ใบหน้าของเหล่านิกายคุมวิญญาณนั้นเปี่ยมไปด้วยความสิ้นหวัง เป็นตอนนี้นี่เองที่พวกเขาได้รู้ถึงความเก่งกาจที่แท้จริงของเย่หยวน
สีกงซิ่วเองก็หน้าซีดเผือด ตอนนี้พวกเขาได้ใช้ไม้ตายสุดท้ายออกมาแล้ว แต่นอกจากจะสังหารเย่หยวนลงไม่ได้ พวกเขากลับต้องรับผลกระทบพลังบ่มเพาะตกต่ำไปอีกด้วย
สภาพของสีกงซิ่วในตอนนี้ เขามีพลังบ่มเพาะเพียงแค่ระดับอาณาจักรราชันพระเจ้าเจ็ดดาว
ต่อให้ไม่ต้องขอความช่วยเหลือจากผีร้าย ตอนนี้เย่หยวนก็สามารถสังหารเขาลงได้ง่ายๆ
“อิ้งหมัวหู่ พี่ยกหมอนี่ให้ ความอัปยศที่มันมอบให้เจ้า จงทำให้มันได้รับคืนไปเป็นพันเท่า!” เย่หยวนหันไปบอกอิ้งหมัวหู่ด้วยรอยยิ้ม
สภาพของอิ้งหมัวหู่ในตอนนี้ได้กลับคืนร่างมนุษย์แล้วและจ้องมองไปยังสีกงซิ่วด้วยตาที่เปี่ยมเพลิงแค้น
ตั้งแต่เดินทางมาจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เขายังไม่เคยต้องพบเจอกับความอัปยศที่น่าอดสูถึงขั้นนี้มาก่อน
เมื่อได้ยินคำของเย่หยวน เขาจึงกัดฟันแน่นและบอก “ขอบคุณมากพี่ใหญ่! ชีวิตของมันนั้นข้าขอรับไปล่ะ!”
สีกงซิ่วนั้นรู้ดีว่าตัวเองคงไม่สามารถหนีไปได้แล้ว ได้ยินดังนั้นเขากลับหัวเราะออกมา “สัตว์หน้าขน! แค่เปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์มันไม่ได้ช่วยทำให้เจ้าสูงส่งขึ้นหรอก! แค่สวะเช่นเจ้าน่ะหรือจะมาเอาชีวิตข้า?”
อิ้งหมัวหู่ตอบกลับไปด้วยใบหน้าที่เปี่ยมความโกรธแค้น “พี่ใหญ่ทำให้ข้าถึงขั้นนี้แล้ว หากข้ายังสังหารเจ้าไม่ได้ ข้าเองก็คงไม่เหมาะสมจะเป็นน้องของเขาอีก! เจ้าชั่วสีกง เตรียมตัวตาย!”
ความกดดันในสายเลือดของอิ้งหมัวหู่เปลี่ยนแปลงจนแทบปรากฏตัว จากนั้นจุดที่ร่างของเขาเคยยืนอยู่ก็เหลือเพียงแค่เงา ร่างจริงของอิ้งหมัวหู่นั้นพุ่งเข้าไปหาสีกงซิ่วอย่างรวดเร็ว
สีกงซิ่วหัวเราะออกมาและหยิบไข่มุกวิญญาณนิลขึ้น “ไอ้เจ้าโง่เง่าไม่รู้จักจำ อย่าลืมสิว่าในมือข้าตอนนี้ยังมีไข่มุกวิญญาณนิลอยู่”
วุบ!
เสียงพูดยังไม่ทันขาดคำก็มีดาบแสงพุ่งลงมาผ่านช่องว่างมิติ เข้าโจมตีไข่มุกวิญญาณนิล
ตุบ!
พลังของดาบนี้มันแสนรุนแรง ส่งไข่มุกวิญญาณนิลนั้นลอยลิ่วไปหลุดออกจากฝ่ามือของสีกงซิ่ว
ตอนนั้นเอง ร่างของอิ้งหมัวหู่ก็มาถึงตรงหน้าของสีกงซิ่วแล้ว!
ผัวะ!
หมัดของอิ้งหมัวหู่ต่อยเจ้าที่หน้าซีกขวาของสีกงซิ่วอย่างจัง ส่งร่างของเขาลงกระแทกกับพื้น ครึ่งใบหน้านั้นบิดเบี้ยวจนไม่ได้รูป
เพราะตอนนี้ตัวอิ้งหมัวหู่เองก็มีพลังถึงระดับสี่ขั้นปลายแล้วเช่นกัน
หมัดนี้ถูกต่อยออกมาด้วยความโกรธแค้น พลังมันจะรุนแรงได้ถึงขั้นไหน?
สีกงซิ่วหน้ามืดไปทันที ดูท่าแล้วคงเมาหมัดนั้นไม่น้อย
อิ้งหมัวหู่ย่อมรู้ดีว่าสีกงซิ่วนั้นมีไข่มุกวิญญาณนิลอยู่ในมือ แต่เขาก็รู้ดีด้วยว่าเย่หยวนย่อมไม่คิดจะปล่อยให้สีกงซิ่วได้มีโอกาสใช้มัน
ความเชื่อใจที่อิ้งหมัวหู่มีต่อเย่หยวนนั้นมันมากเสียยิ่งกว่าอะไร
การมีเย่หยวนคอยระวังหลังให้นั้นมันเป็นความรู้สึกที่ปลอดภัยเหมือนแนบหลังกับขุนเขา
อิ้งหมัวหู่ไม่หยุด เขาเข้าไปตามซ้ำอย่างดุเดือด ต่อยหน้าของสีกงซิ่วอย่างไม่หยุดยั้ง
เมื่อถูกโจมตีก่อนแบบไม่ทันตั้งตัวเช่นนี้มีหรือที่สีกงซิ่วจะยังมีแรงใดไปต่อต้านอิ้งหมัวหู่ในตอนนี้อีก?
เย่หยวนนั้นแค่อยากให้อิ้งหมัวหู่ได้ระบายความแค้นในใจออกมา เขาย่อมไม่คิดจะให้สีกงซิ่วได้มีโอกาสต่อสู้กลับ
เย่หยวนหยิบไข่มุกวิญญาณนิลขึ้นมาและเก็บมันไว้กับตัว
“ผู้อาวุโส ของสิ่งนี้ดูเหมือนจะเป็นสมบัติราชันพระเจ้าเลิศล้ำประเภทวิญญาณ น่าสนใจจริง!” เย่หยวนสนทนากับหวู่เฉินในใจ
หวู่เฉินเองก็คิดเห็นด้วย “ของสิ่งนี้ถูกหลอมมาเพื่อให้ใช้กับจิตอสูร มันมีพลังการกดที่แสนรุนแรงทำให้เผ่าอสูรไม่สามารถส่งผ่านความคิดที่มีออกมายังร่างของตนได้เลย”
เย่หยวนเล่นมองดูมันไปพักหนึ่งก่อนจะคิด “ผู้อาวุโส ของสิ่งนี้มันเป็นสมบัติราชันพระเจ้าเลิศล้ำประเภทวิญญาณ เช่นนั้นท่านจะ… ปรับแต่งมันได้หรือไม่?”
เมื่อหวู่เฉินได้ยินเขาก็เข้าใจเจตนาของเย่หยวนได้ในทันที ก่อนจะตอบรับกลับมาด้วยรอยยิ้ม “แม้ว่าจิตอสูรแลฃะจิตศักดิ์สิทธิ์นั้นมันจะเป็นสองสิ่งที่แตกต่าง แต่มันก็คล้ายกันมากทีเดียว เฒ่าคนนี้ย่อมสามารถปรับแต่งมันนิดๆ หน่อยๆ ให้สามารถใช้การได้”
เมื่อเย่หยวนได้ยินเขาก็ยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย
“อิ้งหมัวหู่ พอก่อน!”
เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของเย่หยวน อิ้งหมัวหู่ย่อมหยุดมือลง
“พี่ใหญ่!”
เย่หยวนยิ้ม “พอจะหายโกรธแค้นบ้างหรือยัง?”
อิ้งหมัวหู่ยิ้ม “ดีขึ้นมาก!”
เย่หยวนหัวเราะ “ข้าจะให้เจ้าดูอะไรดีๆ เจ้าจะยิ่งสบายใจขึ้นอีก”
อิ้งหมัวหู่เบิกตากว้าง ทำท่าทางตั้งหน้าตั้งตาคอย
เย่หยวนกลับมาหาสีกงซิ่วที่มีสภาพปางตายก่อนจะยกมือขึ้นและส่งไข่มุกวิญญาณนิลลงไปในจิตศักดิ์สิทธิ์ของเขา
ตอนนั้นเองก็มีพลังประหลาดบางอย่างแทรกเข้ามาในจิตศักดิ์สิทธิ์ของเขาด้วย
วินาทีต่อมาดวงตาของสีกงซิ่วก็กลับกลายเป็นความว่างเปล่า
เมื่อเหล่าศิษย์คนอื่นๆ ได้เห็นภาพนั้น พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะหน้าถอดสี
หญิงสาวชุดแดงบอก “นี่มัน… เป็นไปได้อย่างไร? ไข่มุกวิญญาณนิลนั้นมันส่งผลต่อจิตของมนุษย์น้อยมากแท้ๆ ศิษย์พี่สีกงซิ่วมีพลังจิตถึงขั้นปลายราชันพระเจ้า ทำไมจึงได้โดนผลของไข่มุกวิญญาณนิลไปได้?”
นางย่อมไม่มีทางรู้ได้ว่าพลังกดดันของไข่มุกสยบวิญญาณนั้นมันเหนือล้ำกว่าไข่มุกวิญญาณนิลมากแค่ไหน
ด้วยฝีมือของหวู่เฉิน เขาย่อมสามารถปรับเสริมเติมแต่งได้ไม่ยาก
เย่หยวนยิ้มออกมา “นอนลง!”
สีกงซิ่วเหมือนจะลืมความเจ็บปวดที่มีและทิ้งตัวลงนอนบนพื้นเหมือนเป็นสุนัขก็ไม่ปาน
“ไปเลียรองเท้าอิ้งหมัวหู่ให้สะอาด เลียจนอย่าให้เหลือคราบใดๆ!” เย่หยวนสั่ง
สภาพของสีกงซิ่วในตอนนี้มันไม่ต่างจากอิ้งหมัวหู่เมื่อก่อนหน้า ทำตายคำสั่งของเย่หยวนอย่างไม่มีข้อแม้ใดๆ
ที่สำคัญเจ้าไข่มุกวิญญาณนิลนี้ยังกดปิดไว้แค่จิตศักดิ์สิทธิ์ เพราะฉะนั้นเรื่องใดที่เขาทำลงไป เขาย่อมรู้ดีได้ถึงมัน
ไม่เช่นนั้นอิ้งหมัวหู่ก็คงไม่คับแค้นใจขนาดนั้นหลังหลุดจากการควบคุมมาได้
สีกงซิ้วคลานเข้ามาหาอิ้งหมัวหู่ราวกับสุนัขและเริ่มเลียรองเท้าของอิ้งหมัวหู่
ไม่นานนักรองเท้าของอิ้งหมัวหู่ก็สะอาดจนเงาวับ
เย่หยวนเอื้อมมือออกไปและดึงไข่มุกวิญญาณนิลกลับมา ทำให้ดวงตาของสีกงซิ่วกลับมามีชีวิตอีกครั้ง
เขามองดูใบหน้าของเย่หยวนด้วยดวงตาแดงเลือด “ไอ้เด็กนรก เจ้ากล้าทำให้ข้าอับอายถึงเพียงนี้?! ข้าขอสู้กับเจ้าจนตัวตาย!”
อิ้งหมัวหู่ยกเท้าของเขาถึงและเตะสีกงซิ่วจนปลิวไป
เย่หยวนมองดูที่เขาและเปิดปากออกพูด “เอาล่ะ อับอายบ้างไหม? เจ้ารู้หรือยังว่าน้องชายข้าต้องผ่านอะไรมา?”
สีกงซิ่วได้แต่กัดฟันอย่างคับแค้น “อ้า! มีหรือที่มัน แค่สัตว์หน้าขนจะมาเทียบเคียงกับข้าผู้นี้ได้?”
เย่หยวนตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย “เรอะ? แล้วเมื่อกี้เจ้าต่างกับสัตว์หน้าขนยังไงกัน? ตราบเท่าที่ข้าอยาก ข้าก็สามารถทำให้เจ้ากลายเป็นสัตว์หน้าขนได้! เจ้าอยากลองดูไหมล่ะ?”
สีกงซิ่วหน้าถอดสีทันที ดวงตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความหวาดกลัว
ชายคนนี้มันเป็นปีศาจชัดๆ!
เมื่อเห็นว่าสีกงซิ่วได้แต่ก้มหน้าก้มตา เย่หยวนจึงยิ้มออกมา “เจ้าสบายใจได้ ข้าไม่อยากจะหายใจร่วมอากาศกับสัตว์นรกเช่นเจ้านานนักหรอก! ที่ข้าทำไปย่อมทำเพื่อสร้างความอัปยศแก่เจ้า! ให้เจ้าได้รู้ไว้ว่ามาทำน้องข้าแล้วเจ้าจะต้องเจออะไรบ้าง! ตอนนี้เจ้าไร้ประโยชน์ใดๆ กับข้าแล้ว จงบอกทุกสิ่งอย่างที่เจ้ารู้เกี่ยวกับมิติอนัตตากอไผ่นี้ออกมาเสีย!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น