Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1766-1775

 ตอนที่ 1766 คนที่สิบสอง!

 

คำพูดเหล่านั้นมันช่างแสนโอหัง!


หากปล่อยให้คนภายนอกได้ยิน มันคงทำให้พวกเขาใจสั่นจนทำอะไรไม่ถูก


เพียงแค่ว่าตอนนี้เย่หยวนผิดหวังมากจริงๆ


ตั้งแต่ที่เขาได้รู้มาจากหวู่เฉินว่ามหาพิภพถงเทียนมันมียอดนักหลอมโอสถนามโอสถบรรพกาล เย่หยวนก็คิดที่อยากจะประลองกับเขาดูสักครั้งมานานแสนนาน


แต่การต่อสู้ในวันนี้มันไร้ซึ่งความสนุกใดๆ


เพราะแค่การวางหมากตาแรกมันก็กำหนดผลหมากกระดานนี้ไปแล้ว


นี่มันเป็นการปะทะของผู้ที่ไม่เท่าเทียม


แต่แน่นอนว่านี่เป็นเพราะว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้าเขาหาใช่โอสถบรรพกาลตัวจริงไม่ เพราะว่าพลังของโอสถบรรพกาลการใน ‘อย่าถาม’ ฉบับง่ายนี้มันอ่อนแอจนเกินไป


‘อย่าถาม’ ของจริงนั้นมันคงเป็นอะไรที่เย่หยวนในตอนนี้ไม่สามารถรับมือได้แน่


ถ้าเขาได้ลองเล่นเขาคงถูกลบหายไปตั้งแต่เริ่มเกม


แม้ว่าโอสถบรรพกาลตรงหน้าเขาจะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าความรู้ของเย่หยวนมันก็ยังไม่มากพอที่จะเก็บมาใส่ใจ


เพราะยังไงเสียเย่หยวนก็เป็นคนที่สำเร็จยันต์แปดทิศยอดเต๋า ความเข้าใจในเต๋าของเขานั้นมันเหนือล้ำกว่าที่นักหลอมโอสถทั่วๆ ไปจะมาเปรียบเทียบได้


เข้ามาด้วยความหวังสูงส่ง แต่กลับพบว่าศัตรูนั้นอ่อนแอเกินไป เย่หยวนย่อมผิดหวังเป็นธรรมดา


“เจ้าหนุ่มคนนี้ช่างโอหัง! ข้านั้นเป็นแค่เสี้ยวความรู้ของร่างจริงที่ถูกทิ้งไว้ใน ‘อย่าถาม’ พลังของตัวจริงข้านั้นเป็นสิ่งที่เจ้าไม่มีทางคาดเดาได้เลย” โอสถบรรพกาลบอก


เย่หยวนยิ้มตอบ “ข้าย่อมรู้ดี ข้ายังไม่ได้อวดดีจนถึงขั้นคิดจะไปชนะโอสถบรรพกาลตัวจริงท่านหรอก เพียงแค่วันข้างหน้าข้าอยากจะลองเล่นกับเขาดูสักเกม”


โอสถบรรพกาลบอก “ช่างเป็นเจ้าหนุ่มที่โอหังไม่รู้ที่ต่ำที่สูงจริงๆ! พลังของร่างจริงข้านั้นมันเหนือล้ำกว่าสิ่งใดๆ ต่อให้เป็นเจ้ายี่มันก็ไม่สามารถเทียบเคียงข้าได้ ในโลกใบนี้ไม่มีใครที่จะก้าวข้ามตัวจริงของข้าไปได้หรอก”


โอสถบรรพกาลที่ตรงหน้าเขานั้นเป็นได้แค่เสี้ยวความรู้ที่ไม่นับว่าเป็นร่างจำแลงเสียด้วยซ้ำ


แต่ความมั่นใจในตัวจริงของอีกฝ่ายนั้นมันช่างเหนือล้ำกว่าใครๆ


ในจิตใจของเขา โอสถบรรพกาลคือตัวตนที่อยู่สูงเหนือโลกหล้า เป็นตัวตนที่จะไม่มีทางถูกใครมาแทนที่ได้แน่ๆ


และนั่นก็คงเป็นความคิดที่ร่างจริงมีเช่นกัน


เย่หยวนได้แต่หัวเราะออกมาเมื่อได้ยิน “ยอดคนนั้นเกิดใหม่ขึ้นทุกยุคสมัย! ความคิดของท่านนี้มันช่างน่าขัน! โอสถบรรพกาลเองก็เป็นแค่ชื่อตำแหน่ง หาใช่เต๋าบรรพกาลที่แท้จริงไม่”


โอสถบรรพกาลนั้นมีท่าทางไม่พอใจอย่างมากเมื่อได้ยิน “เจ้าหนุ่ม เจ้ากล้ากล่าวว่าร่างจริงข้าเรอะ! อภัยให้ไม่ได้!”


เย่หยวนส่ายหัวออกมา “ข้าแค่พูดตามความจริง เดินหมากท่านเถอะ!”


โอสถบรรพกาลหัวเราะออกมา “เด็กไม่รู้ที่ต่ำที่สูง โอสถบรรพกาลผู้นี้ไม่ยอมเชื่อหรอกว่าจะต้องมาแพ้เจ้า!”


ตุบ!


หลังจากบ่นมานาน ในที่สุดโอสถบรรพกาลก็เริ่มวางหมากอีกครั้ง


เมื่อเกมเริ่มดำเนินไป มันก็ต้องมีการตัดสินแพ้ชนะ นี่คือกฎที่มหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลวางไว้


เย่หยวนใช้จิตของตัวเองเข้าคุมเกมกระดานนี้ไว้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาควบคุมเรื่องราวภายนอกเกมได้


เพราะยังไงเสีย ‘อย่าถาม’ กระดานนี้มันก็ถูกสร้างโดยมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล


ตุบ!


เย่หยวนเองก็วางหมากต่อไปอย่างไม่คิด


เช่นนี่ คนทั้งสองก็เริ่มเกมกระดานนี้ต่อไป


เพียงแค่ว่าตอนนี้สถานการณ์มันได้พลิกกลับจากหน้ามือเป็นหลังมือ


การรุกของเย่หยวนนั้นหนักแน่นราวขุนเขาและรุนแรงราวแม่น้ำ โอสถบรรพกาลนั้นไม่มีทางที่จะตั้งรับไว้ได้เลย



“กินทีละแถวใหญ่! พระเจ้าช่วย!”


“นี่มัน… จะไม่คิดเหลือหมากให้อีกฝ่ายเลยหรือ? เย่หยวนคนนี้จะโหดร้ายเกินไปแล้ว”


“น่ากลัว! ข้าเคยได้ยินมาก่อนนะว่าผู้ที่ชนะ ‘อย่าถาม’ นี้มาได้ล้วนแล้วแต่แค่ชนะโอสถบรรพกาลมาอย่างเส้นยาแดงผ่าแปด แต่เย่หยวนคนนี้…”


ที่ด้านนอกคนทั้งหลายต่างแสดงความตื่นตกใจออกมา


เพราะยิ่งเย่หยวนโจมตีหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ สังหารกินหมากสีขาวไปจนพวกมันต้องถอดหมวกโยนเกราะทิ้ง เสียกำลังไปอย่างมาก


ทั้งผู้อาวุโส นักบวช นักบวชฝึกหัดต่างตกตะลึง


ตอนแรกพวกเขาทั้งหลายนั้นต่างต่อว่าการเดินตาแรกของเย่หยวนว่าอ่อนหัด ไม่เคยคิดเคยฝันเลยว่าตาเดินที่อ่อนหัดนนั้นมันจะเป็นตัวทำให้เกมพลิกกลับมาได้ถึงขนาดนี้


ลานกว้างเงียบกริบไร้เสียงใดๆ มีเพียงตัวหมากที่ยังคงวางลงกระดานต่อไปอย่างไม่หยุดพัก


เคร้ง!


จู่ๆ เงาร่างของโอสถบรรพกาลก็ได้แตกสลายไปคล้ายกับที่เกิดขึ้นกับมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลก่อนหน้านี้ หายวับไปจากโลกหล้า


เป็นเสียงนั้นเองที่ปลุกทุกคนให้ตื่นจากภวังค์!


เย่หยวนชนะ!


ไม่มีหมากตาย ไม่มีการเสมอ


สิ่งที่อยู่ตรงหน้าพวกเขานั้นคือชัยชนะอย่างเด็ดขาด!


เมื่อจุดศูนย์กลางถูกเชื่อมต่อ ทุกอย่างมันก็ถูกกำหนดไว้จนสิ้นแล้ว


ฟุบ!


แสงจากหายไปพร้อมเสียงดังลั่น บนกระดานหมากล้อมปรากฏร่างจริงของเย่หยวนออกมาอีกครั้ง


ทุกคนมองดูมันด้วยสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อ


“คน… คนที่สิบสอง!”


ในหมู่คนมีเสียงร้องออกมา


“คนที่สิบสอง? สิบสองอะไร? อะ คนที่สิบสอง!”


ทีแรกทุกคนยังคิดตามไม่ทันว่าสิบสองอะไร


แต่ไม่นานพวกเขาก็ได้รู้ถึงความหมายของคำว่าคนที่สิบสองทันที


เย่หยวนได้กลายเป็นผู้ผ่าน ‘อย่าถาม’ คนที่สิบสองในรอบห้าสิบล้านปี!


ซิ่วมองดูเงาร่างของเย่หยวน “แปดล้านปี! ในที่สุดก็มียอดอัจฉริยะอีกคนที่สามารถผ่าน ‘อย่าถาม’ ปรากฏตัวขึ้น! ที่สำคัญความสามารถของเขายังเหนือล้ำกว่าผู้ที่ผ่านก่อนๆ นัก!”


คนทั้งสิบเอ็ดที่ผ่านก่อนหน้านี้เป็นได้แค่หมากบนกระดานของมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล


พวกเขาได้แต่ต้องทนรับจิตของมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลไว้และไม่สามารถขัดขืนใดๆ ได้


แต่จิตใจของเย่หยวนนั้นแข็งแกร่ง ไม่ใช่แค่เขาจะทำลายเสี้ยวจิตของมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล เขายังเก่งกาจพอที่จะชนะโอสถบรรพกาลได้อย่างไม่เห็นฝุ่น กองทัพแตกหนีกระจัดกระจาย!


พลังระดับนี้ ความสามารถระดับนี้ มันเป็นสิ่งที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์!


“ฮ่าๆๆ… เยี่ยม! เย่หยวนเจ้าช่างเยี่ยมยอด! เจ้าวิหารคนนี้มองเจ้าไม่ผิดจริงๆ! ไม่นึกเลยว่าเมืองจักรพรรดิต้นทรราชของข้าจะมียอดคนเช่นนี้เกิดขึ้นมาได้!”


จู่ๆ ดี๋เชียวก็หัวเราะลั่นออกมา


หลังจากแปดล้านปีมานี้ อาณาจักรเทพอสูรนั้นได้มีอัจฉริยะที่ผ่าน ‘อย่าถาม’ ขึ้นมาได้อีกคน ในฐานะเจ้าวิหารนักบวชแห่งเมืองจักรพรรดิต้นทรราชแล้วเขาย่อมต้องดีใจเป็นธรรมดา


ที่สำคัญเรื่องในครั้งนี้มันยังเป็นเกียรติอย่างมากด้วย


เพราะยังไงเวลากว่าแปดล้านปีมานี้มันก็มียอดอัจฉริยะที่เกิดขึ้นและดับลงไปจำนวนมากมาย


แต่แสงที่เย่หยวนเปล่งออกมาในครั้งนี้มันช่างเจิดจ้า!


นิคุนและผู้อาวุโสหลี่ได้แต่ทำหน้าเหยเกออกมาอย่างถึงที่สุด


พวกเขาคิดจะให้เย่หยวนไปท้าทาย ‘อย่าถาม’ ก็เพื่อจะทำร้ายเขา


ใครจะไปคิดว่าเย่หยวนจะผ่าน ‘อย่าถาม’ ไปได้อย่างสมบูรณ์แบบเช่นนี้?


เท่านี้สถานะของเย่หยวนก็จะพุ่งทะยานขึ้นฟ้า เป็นตัวตนเทียบเท่ากับศิษย์ของมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล


ตำแหน่งนี้ แค่คำพูดเดียวมันก็ตัดสินเป็นตายพวกเขาได้แล้ว!


คนทั้งสองได้แต่มองหน้ากันไปมาด้วยความรู้สึกที่อยากจะขุดดินมุดหน้าหนีหายไปจากโลกหล้า



ตอนนั้นเองในเขตแดนมนุษย์อันห่างไกล


โอสถบรรพกาลที่กำลังเก็บตัวบ่มเพาะก็ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมา


“เกิดอะไรขึ้น? ทำไม… ข้าถึงรู้สึกได้ถึงภัย?” โอสถบรรพกาลพูดขึ้นด้วยคิ้วขมวดแน่น


เพราะความรู้สึกที่จู่ๆ ก็แล่นเข้ามานี้มันทำให้โอสถบรรพกาลตื่นตกใจอย่างมาก


เมื่อพัฒนาตัวมาจนถึงระดับของเขาแล้ว นอกเสียจากเต๋าบรรพกาลมันก็ไม่มีอะไรที่จะเป็นภัยแก่เขาได้เลย


แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกเช่นนี้ขึ้นมา


เสี้ยวความรู้ที่หลงเหลืออยู่นั้นไม่ได้เชื่อมต่อกับร่างจริงเลยแม้แต่น้อย เขาย่อมไม่มีทางรู้ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นใน ‘อย่าถาม’ ไปได้


แต่ว่าเสี้ยวความรู้นั้นก็ยังเป็นจิตส่วนหนึ่งของเขาอยู่ดี เมื่อมีเสี้ยวจิตของตนถูกทำลาย เขาย่อมรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือน


เพียงแค่เขาไม่อาจจะคาดเดาได้เลยว่าทำไมตัวเขาจึงรู้สึกถึงภัยจากนักยุทธอาณาจักรราชันพระเจ้า


ขณะเดียวกัน ทางมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลก็ต้องลืมตาตื่นโพลงขึ้นมา ดวงตาของเขาเปี่ยมไปด้วยแสงเจิดจ้า


เขาเปิดปากขึ้นพูดด้วยรอยยิ้มกว้าง “ห้าสิบล้านปี ข้ารอมานาน! ไม่นึกเลยว่าจะมีคนที่สามารถกำจัดจิตของข้าและขึ้นไปชนะโอสถบรรพกาลด้วยตัวเองได้!”

 

 

 


ตอนที่ 1767 คู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่ง

 

“ยินดีด้วยท่านอาจารย์! หลังจากผ่านไปกว่าแปดล้านปี ในที่สุดก็มีคนผ่าน ‘อย่าถาม’ มาได้อีกครั้ง! ข้าล่ะสงสัยจริงๆ ว่าศิษย์น้องคนนี้มันจะมีความสามารถที่เหนือล้ำแค่ไหน!”


เบื้องหน้ามหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลนั้นมีร่างของชายวัยกลางคนปรากฏตัวขึ้นอย่างอ่อนน้อม


แต่ใบหน้าของเขานั้นเปี่ยมไปด้วยความยินดี


การผ่าน ‘อย่าถาม’ ได้นั้นมันเป็นเรื่องที่แสนน่ายินดีในอาณาจักรเทพอสูร


เพราะทุกคนรู้ดีว่าการผ่าน ‘อย่าถาม’ ได้นั้นมันหมายความว่ามหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลจะรับคนผู้นั้นเข้าเป็นศิษย์!


นี่มันคือเกียรติอันสูงสุดในโลกโอสถแห่งเผ่าอสูร!


มหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลค่อยเปิดปากพูดขึ้น “เจ้าคงยังมิได้ประกาศเรื่องราวนี้ออกไปใช่หรือไม่?”


ชายวัยกลางคนในชุดฟ้านิ่งเงียบไป เพราะท่าทางของอาจารย์เขามันดูแปลกๆ!


“ไม่ขอรับ เมื่อจีโมรู้เรื่องก็มารายงานอาจารย์ทันที โดยที่ยังไม่ได้บอกใครออกไปเลย”


ยี่กล่าวตอบ “เรื่องครั้งนี้ เจ้าอย่าได้ประกาศออกไป แค่ทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็พอ”


จีโมได้แต่มึนงงหลังจากได้ยินเช่นนั้นและถามออกมาอย่างสงสัย “ท่านอาจารย์ ทำไม… ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?”


ยี่ยิ้มตอบ “เขาต่างจากพวกเจ้า!”


จีโมนิ่งเงียบไปทันทีและถามขึ้นด้วยท่าทางไม่เข้าใจ “ต่าง?”


เขานั้นไม่เข้าใจเลย พวกเขาทั้งหลายนั้นผ่าน ‘อย่าถาม’ มาได้ทั้งสิ้น ทำไมถึงแตกต่างกัน?


อาจารย์ของเขานั้นเลือกศิษย์จาก ‘อย่าถาม’ เพื่อที่จะฝึกฝนบ่มเพาะยอดคนไปเทียบเคียงกับโอสถบรรพกาลให้ได้สักวัน


เรื่องนี้ทั้งอาณาจักรเทพอสูรต่างรู้ดี


ตอนนี้เมื่อมียอดคนปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง แต่ทำไมอาจารย์ของเขาจึงไม่คิดที่จะรับยอดคนผู้นี้เป็นศิษย์


เรื่องนี้มันทำเอาเขามึนหัว


ยี่ค่อยๆ ลุกขึ้นและเดินไปยังกระดานหมากล้อมใกล้ๆ “จีโม เจ้าคิดว่าข้าทำ ‘อย่าถาม’ ฉบับง่ายนี้ขึ้นมาเพื่อจะหาคนมีพรสวรรค์สินะ แล้วเจ้าเคยคิดไหมว่าข้าเจอเขาหรือยัง?”


จีโมสะดุ้งทันทีที่ได้ยิน


จู่ๆ เขาก็เปลี่ยนสีหน้าไปอย่างมาก “ท่านอาจารย์หมายความว่า… เราศิษย์ทั้งสิบเอ็ดนั้น… ไม่นับว่าผ่านการทดสอบของท่านหรือ?”


ยี่ค่อยๆ หันหน้ามามองจีโมด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้าทั้งสิบเอ็ดนั้นเป็นยอดอัจฉริยะแห่งเผ่าอสูรที่ล้านปีจะมีมาสักคนจริงๆ น่าเสียดายแค่ว่าด้วยพรสวรรค์ของพวกเจ้า พวกเจ้าทั้งหลายคงก้าวข้ามอาจารย์คนนี้ไปได้ยาก!”


จีโมตื่นตกใจขึ้นมาทันที ความเข้าใจในช่วงหลายล้านปีที่ผ่านมานี้ของเขามันกลับไม่ตรงความเป็นจริง


พวกเขาศิษย์พี่น้องทั้งสิบเอ็ดนั้นต่างมองอาจารย์ของตนเป็นเป้าหมาย


แต่กว่าห้าสิบล้านไปผ่านไป แม้แต่ศิษย์พี่ใหญ่ก็ยังไม่สามารถก้าวไปจนถึงระดับที่อาจารย์ยืนอยู่ได้!


อย่างที่อาจารย์ของเขาว่ามา การที่จะให้พวกเขาศิษย์ทั้งหลายก้าวข้ามอาจารย์นั้น มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย


มันไม่ใช่เรื่องที่ว่าจะยอมทำหรือไม่ทำ แต่มันอยู่ที่ว่าจะทำได้หรือไม่ได้


ไม่มีปัญญาจะก้าวข้ามอาจารย์ก็อย่าไปพูดถึงเรื่องก้าวข้ามโอสถบรรพกาลที่อยู่เหนือทุกสรรพสิ่งเลย


“อาจารย์ ท่านหมายความว่า… เขาจะก้าวข้ามท่านได้?”


ยี่ยิ้มตอบ “ก้าวข้ามได้หรือไม่นั้นย่อมเป็นเรื่องที่ข้าไม่รู้แน่ เพราะยังไงเสียก็ไม่มีใครรู้อนาคตได้ แต่จนถึงจุดนี้ข้ามั่นใจได้ว่าเขานั้นเก่งกาจกว่าพวกเจ้าแน่ๆ”


เรื่องนี้มันทำให้จีโมตกตะลึงมาก


สายตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความไม่ยอมแพ้


เพราะยังไงเสียพวกเขาทั้งสิบเอ็ดนั้นก็เป็นคนที่มีความสามารถพรสวรรค์จะควบคุมโลกได้


เพราะยังไงในห้าสิบล้านปีมานี้ ก็มีคนอย่างพวกเขาเกิดมาแค่สิบเอ็ดคน


แต่น้ำเสียงของอาจารย์ในตอนนี้มันแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพวกเขาไม่มีค่าใดเมื่ออยู่ต่อหน้าเด็กคนนี้


ศักดิ์ศรีของยอดอัจฉริยะในตัวเขามันไม่ยอมรับ


“ท่านอาจารย์ เขาเก่งกาจด้านใดกัน?” จีโมถาม


ยี่ตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มน้อยๆ “ข้ารู้ดีว่าเจ้าคงไม่ยอมรับในใจ แต่เขานั้นได้ทำสิ่งที่ไม่มีพวกเจ้าคนใดสามารถทำได้!”


จีโมหน้าถอดสี “หรือว่าเขาจะรับจิตของท่านอาจารย์ไว้ได้ทั้งหมด?”


ยี่หัวเราะพร้อมกับส่ายหัวออกมาเป็นท่าทางปฏิเสธ “จิตทั้งหมดของข้า? นั่นมันไม่ใช่การทดสอบที่แท้จริงที่ข้าทิ้งไว้ให้เสียด้วยซ้ำ! ในคนทั้งสิบเอ็ดเจ้านั้นนับว่ามีพรสวรรค์มากที่สุด รับจิตของข้าไว้ได้กว่าเก้าในสิบและผ่าน ‘อย่าถาม’ มาได้! แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้นมันก็ยังมิใช่สิ่งที่ข้าต้องการ! เพราะสิ่งที่ข้าต้องการนั้นคือ… ล้างจิตของข้าและแทนที่มัน!”


“ล้างจิตของท่านอาจารย์? ใน… ในโลกหล้านอกจากโอสถบรรพกาลแล้วจะยังมีใครที่ทำเช่นนั้นได้อีกกัน?”


จีโมหน้าถอดสีจนขาวซีด เพราะคำพูดของอาจารย์นี้มันทำให้เขาใจสั่นรัว!


อาจารย์ของเขาคนนี้คือยอดนักหลอมโอสถอันดับหนึ่งแห่งเผ่าอสูร


การที่จะทำลายเสี้ยวจิตของเขาลงได้ คนผู้นั้นมันต้องมีพลังที่เหนือฟ้าระดับไหน?


นอกจากตัวโอสถบรรพกาลในวัยหนุ่มแล้ว ยังจะมีใครที่ทำเช่นนั้นได้อีก?


แต่ยี่กลับบอกขึ้น “หากเขาไม่สามารถจะล้างจิตของข้าได้ เขาจะมีปัญญาใดไปท้าทายโอสถบรรพกาลกัน? ในมหาพิภพถงเทียนนี้ตั้งแต่บรรพกาลมา มีเพียงแค่โอสถบรรพกาลปกครองมาจนทุกวันนี้ ข้าที่เก่งกาจเหนือนักหลอมโอสถมนุษย์คนใดก็ยังไม่สามารถที่จะก้าวผ่านโอสถบรรพกาลไปได้!”


คลื่นยักษ์ซัดถล่มจิตใจของจีโม!


เพราะเรื่องเช่นนี้เขานั้นไม่เคยคาดคิดถึงมันมาก่อน


จริงๆ ยิ่งเขาบ่มเพาะฝึกฝนตัว เขายิ่งรู้สึกว่าตัวตนของอาจารย์นั้นมันช่างห่างไกลเกินจะเอื้อม


แต่เรื่องที่ว่าอาจารย์ของเขาด้อยกว่าโอสถบรรพกาลนั้นมันก็เป็นความจริง


แล้วพลังฝีมือของโอสถบรรพกาลมันจะเหนือล้ำถึงขั้นใด?


หรือว่าในโลกใบนี้มันจะยังมีคนที่สามารถล้างทำลายเสี้ยวจิตของอาจารย์ลงได้?


“งั้นท่านอาจารย์จะหมายความว่า… เขาทำได้?” จีโมหายใจเข้าลึกก่อนถามออกมา


ยี่หรี่ตาลงทันทีด้วยรอยยิ้ม “ไม่ใช่แค่ทำได้ แต่เขาถึงกับชนะโอสถบรรพกาลลงได้ด้วย! แม้ว่าโอสถบรรพกาลใน ‘อย่าถาม’ ฉบับง่ายนั้นมันจะเทียบเคียงใดๆ กับตัวจริงไม่ได้ แต่ในเรื่องของพลังแล้วเขาก็ยังเป็นตัวตนที่เหนือล้ำ! แต่เขาคนนั้นกลับชนะมาได้!”


ยี่ไม่สนใจท่าทางตื่นตะลึงของจีโมและพูดขึ้นต่อ “สิ่งที่ข้าคอยตามหามานั้นไม่ใช่ศิษย์ แต่เป็น… คู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งมากพอจะยืนในระดับเดียวกับข้าได้! มีพลังเหนือฟ้าดูถูกคนทั้งโลกได้ แต่คนที่มาถึงระดับข้าได้นั้นมันกลับต้องพบแต่ความเจ็บใจ! ทำไมโอสถบรรพกาลถึงพูดว่า ‘อย่าถาม’ กับข้า? เพราะว่าคำพูดสองคำนี้มันคือช่องว่างระหว่างข้ากับตัวเขายังไงล่ะ! หากข้าสามารถเข้าใจ ‘อย่าถาม’ สองคำนี้ได้ ข้าก็อาจจะเป็นคู่มือให้เขาได้! แต่เรื่องนั้นพูดมันง่าย การลงมือทำกลับยากแสนยาก”


พูดถึงตรงนี้ยี่ก็เบิกตากว้างด้วยความตื่นเต้น มันเป็นวินาทีที่แสนเจิดจ้า!


“ความแข็งแกร่งคือความโดดเดี่ยวอย่างถึงที่สุด! ข้าคิดว่าโอสถบรรพกาลเองก็คงคิดเช่นเดียวกับข้าจริงไหม? เพราะฉะนั้นข้าจึงอยากเจอกับศัตรูที่แข็งแกร่ง! มีแค่ศัตรูที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะทำให้ข้าพัฒนาตัวไปได้มากกว่านี้ เข้าใจไหม?”


จีโมไม่รู้ว่าต้องอธิบายความรู้สึกในตอนนี้ออกมายังไง เพราะสถานที่แห่งนี้มันแสนจะบ้าคลั่ง!


โลกทั้งใบกำลังอิจฉาพวกเขาทั้งสิบเอ็ด แต่ใครจะไปคิดว่าพวกเขาทั้งสิบเอ็ดนั้นเป็นได้แค่หมากที่อาจารย์วางทิ้งขว้าง!


พวกเขาแค่พอจะมีปัญญาขึ้นมาเป็นศิษย์ของอาจารย์ได้


แต่สิ่งที่อาจารย์เขาต้องการนั้นคือคู่ต่อสู้!


จีโมนิ่งเงียบงันไปนาน ก่อนที่จะเผยรอยยิ้มแสนขมขื่นออกมา “ท่านอาจารย์ แล้วท่านเคยคิดถึงไหมว่า… หากท่านแพ้ล่ะ?”


ยี่ยิ้มออกมาอย่างเจิดจ้า “ข้าผู้นี้จะไม่มีวันแพ้อีก!”


จีโมมองดูยี่ด้วยความตื่นตกใจอย่างมาก เพราะอาจารย์ที่อยู่ตรงหน้าของเขาในตอนนี้มันแตกต่างจากอาจารย์ที่เขาคุ้นเคยอย่างสิ้นเชิง


อาจารย์ของเขานั้นเป็นตัวตนที่สูงส่งและยิ่งใหญ่เหนือสวรรค์


ไม่มีอะไรที่จะทำให้เขาขยับ


แต่ตอนนี้เขากลับทำตัวเหมือนเด็กหนุ่มเลือดร้อนผู้เปี่ยมไปด้วยพลังงาน


ตอนนี้จิตวิญญาณของอาจารย์เขากำลังลุกเป็นไฟ!

 

 

 


ตอนที่ 1768 ศาลาสวรรค์หลวงชั้นห้า!

 

“สรุปก็คือเรื่องนี้ปิดฉากลงแล้ว หากมีใครหน้าไหนกล้าไปป่าวประกาศโลกภายนอกอีกจะถูกสังหารอย่างไร้ปรานีทันที!”


ด้านในศาลาสวรรค์หลวงนั้นซิ่วกำลังพูดด้วยจิตสังหาร


ที่ตรงข้ามดี๋เชียวนั้นกลับมีท่าทางมึนงงและสับสนอย่างถึงที่สุด


เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมมันจึงมีคำสั่งเช่นนี้ออกมาได้


การผ่าน ‘อย่าถาม’ มันคือเรื่องยิ่งใหญ่ของเผ่าอสูร ทุกคนย่อมจะได้รับรู้ถึงมัน


แต่ทำไมเรื่องราวมันถึงได้เปลี่ยนไปเมื่อเย่หยวนผ่าน?


“นายท่าน ข้าขอถามเหตุผลได้หรือไม่?”


ซิ่วตอบมาด้วยรอยยิ้มขมขื่น “ความคิดของท่านมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลมีหรือที่คนอย่างเจ้าหรือข้าจะเข้าใจ? เรามีแต่ต้องทำตามคำสั่งเท่านั้น”


ดี๋เชียวรู้สึกหมดแรงและพยักหน้ารับออกมา “ขอรับ ดี๋เชียวรับทราบ!”


หลังจากดี๋เชียวจากไป ซิ่วก็ยกลูกแก้วแสงขึ้นมาถือด้วยใบหน้าท่าทางสับสน


หลังจากเขากดมือเข้าหากัน เจ้าลูกแก้วแสงนั้นมันจึงค่อยๆ จางหายผสานกลมกลืนไปกับอากาศ


ไม่นานนักเย่หยวนก็มาถึงศาลาสวรรค์หลวง


“ผู้อาวุโสท่านเรียกหาข้าหรือ?” เย่หยวนก้มหัวเคารพและถามขึ้น


ซิ่วพยักหน้า “หลายวันมานี้เจ้าเก็บตัวอยู่ตลอด เก็บเกี่ยวความรู้เป็นอย่างไรบ้าง?”


เย่หยวนส่ายหัวออกมา “ให้พูดตรงๆ การเก็บเกี่ยวครั้งนี้มัน… ไม่มาก”


เมื่อซิ่วได้ยินเช่นนั้นเขาก็แสดงท่าทีแปลกๆ ออกมา


เพราะไม่ว่าจะเป็นใครหน้าไหน หากไม่ตายใน ‘อย่าถาม’ แล้วมันย่อมได้ความรู้ใดๆ ติดตัวกลับมาบ้าง


บ้างหลังจากกลับออกมาพวกเขาก็พัฒนาความรู้ด้านโอสถของตัวเองไปอย่างก้าวกระโดดจนปกครองกลายเป็นยอดคนของเมืองไป


เรื่องนี้มันขึ้นอยู่กับพรสวรรค์


เหล่าผู้อาวุโสของเมืองจักรพรรดิต้นทรราชนั้นต่างเคยผ่าน ‘อย่าถาม’ กันมาทั้งสิ้นแล้ว


เพราะยังไงเสียภายใน ‘อย่าถาม’ มันก็คือสงครามความรู้ระหว่างโอสถบรรพกาลและมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล สองยอดนักหลอมโอสถแห่งมหาพิภพถงเทียน


แต่เย่หยวนกลับบอกว่าไม่ได้อะไรมาก


เรื่องนี้มันเกินกว่าจะทน!


เย่หยวนบอกว่าไม่ได้อะไรมากมันย่อมไม่ได้หมายความว่าความสามารถในการเรียนรู้ของเขาต่ำ แต่มันเป็นเพราะว่าความรู้ของเขานั้นสูงส่ง


ความรู้ในเต๋าที่หลงเหลือไว้ใน ‘อย่าถาม’ นั้นไม่สามารถช่วยอะไรเย่หยวนได้มากมาย


แต่ถึงยังไงเย่หยวนก็ได้ความรู้จาก ‘อย่าถาม’ มาบ้าง


เพราะยังไงเสียคนทั้งสองก็เป็นถึงยอดสูงสุดแห่งมหาพิภพถงเทียน


“ผู้อาวุโสซิ่ว อย่าใช้สายตาแบบนั้นมองข้าสิ ท่านเองก็น่าจะเข้าใจว่า ‘อย่าถาม’ มันจะไม่ส่งผลใดๆ ให้ข้ามากมาย” เย่หยวนเห็นสายตาที่ซิ่วใช้มองมาจึงพยายามอธิบายออกไป


หลังรู้จักกันมานานเย่หยวนก็พอจะเข้าใจว่าซิ่วนั้นมีความรู้ด้านโอสถมากมายแค่ไหน


แม้ว่าเจ้าตัวจะไม่เคยแสดงมันออกมาจริงๆ สักครั้ง แต่แค่ฟังจากความคิดที่เขาแสดงมันก็เห็นได้อย่างชัดเจนแล้วว่าเขาเหนือล้ำกว่าที่คนอื่นๆ จะเทียบเคียง


เย่หยวนบอกได้เลยว่าเขาคนนี้เองก็มีความรู้ความสามารถที่เหนือล้ำกว่า ‘อย่าถาม’ ไปแล้ว


ซิ่วถอนหายใจยาว “รู้ก็แค่รู้ แต่ได้ยินแบบนั้นแล้วมันก็ยังทำให้เฒ่าคนนี้อยากตบตีผู้คนเสียจริงๆ”


เย่หยวนยิ้มแห้งๆ ออกมา “ผู้อาวุโสท่านคงไม่ได้เรียกข้ามาลงโทษใช่หรือไม่?”


ซิ่วยิ้มตอบ “เจ้าผ่าน ‘อย่าถาม’ แล้ว ในวันข้างหน้าเจ้าจะสามารถเข้าศาลาสวรรค์หลวงได้ทุกเวลาที่ต้องการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนชั้นห้า ข้าว่ามันต้องมีสิ่งที่ทำให้เจ้าสนใจได้แน่ๆ!”


เมื่อเย่หยวนได้ยินเช่นนั้นเขาก็เบิกตากว้างทันทีด้วยความตื่นตกใจ “ผู้อาวุโสท่านพูดจริง?”


ครึ่งปีมานี้ เย่หยวนอยู่แค่ชั้นหนึ่งถึงสาม หนังสือของทั้งสามชั้นนี้เย่หยวนได้อ่านไปจนสิ้นแล้ว


แม้ว่าซิ่วจะแอบให้เย่หยวนขึ้นไปยังชั้นสามด้วยประตูหลังก็ตาม


เพราะชั้นนั้นมันเป็นชั้นเฉพาะสำหรับผู้อาวุโสเท่านั้น


ส่วนชั้นที่สี่ ต่อให้เย่หยวนจะสนิทกับซิ่วมากแค่ไหน เขาก็ไม่ยอมที่จะเปิดประตูไปยังชั้นนั้นให้


เย่หยวนไม่นึกไม่ฝันเลยว่าการผ่าน ‘อย่าถาม’ มันจะทำให้เขาได้สิทธิประโยชน์เช่นนี้


เพราะขนาดซิ่วยังไม่ยอมให้เขาขึ้นไป มันย่อมหมายความว่าหนังสือความรู้ทฤษฎีในนั้นมันล้ำค่ามาก


ของเช่นนั้น คงมีแต่เจ้าวิหารหรือคนระดับนั้นเท่านั้นที่จะได้เข้าไป


แต่เย่หยวนไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจริงๆ แล้วศาลาสวรรค์หลวงจะยังมีชั้นที่ห้าอยู่!


ตอนนี้ไม่ใช่แค่จะเข้าชั้นสี่ได้ แต่ถึงขั้นเข้าชั้นห้าที่ไม่เคยแม้แต่จะได้ยืน เรื่องเช่นนี้มีหรือที่เขาจะไม่ตื่นตกใจ?


ซิ่วยิ้มตอบ “ทำไมข้าจึงต้องโกหกเจ้าด้วย? ไปเถอะ!”


เย่หยวนไม่คิดจะพูดพร่ำทำเพลงและมุ่งหน้าตรงขึ้นไปยังชั้นสี่ทันที


เมื่อเห็นแผ่นหลังของเย่หยวนที่เดินจากไป ซิ่วก็ได้แต่ส่ายหัวออกมา “เด็กคนนี้มันปิดปากเงียบเรื่องอาจารย์เลย ในโลกใบนี้มันมีแต่คนอยากกราบมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลเป็นอาจารย์ แต่เขา… กลับดูไม่คิดจะสนใจแม้แต่น้อย!”



“โอสถจี้เมฆศรสุริยาสวรรค์! นี่มัน… โอสถยอดหยกโมฆะของเผ่าอสูรเรอะ?”


“แล้วเทคนิคการโอสถเหล่านี้มันช่างเป็นสมบัติที่ล้ำค่านัก!”


“แถมศาสตร์หลอมอสูรอันนี้ยังเหนือล้ำกว่าศาสตร์ใดๆ นัก!”



เย่หยวนนั้นเดินดูตามชั้นสี่ ดูทฤษฎีหนังสือพื้นฐานพร้อมด้วยท่าทางตื่นเต้นชื่นชมอย่างไม่หยุดปาก


แม้ว่าหนังสือชั้นสี่นี้มันจะน้อยกว่าของในชั้นล่างไปมาก แต่คุณภาพของทฤษฎีแต่ละเรื่องนั้นมันเหนือล้ำกว่าจนเทียบไม่ได้


ด้วยสายตาของเย่หยวน เขาย่อมเข้าใจได้ทันทีว่านี่คือยอดทฤษฎีของเผ่าอสูรแล้ว


แม้ว่ามันจะเป็นของที่ใช้โดยระดับสี่หรือห้า แต่มันก็ยังเป็นยอดสมบัติล้ำค่าหาใดมาเปรียบ


หากของพวกนี้มันไปอยู่ในฝั่งมนุษย์ มันคงเป็นความลับที่ไม่เอามาเปิดให้ผู้คนได้อ่านดูแน่ๆ


การที่เย่หยวนพัฒนาตัวเองมาได้จนถึงทุกวันนี้ ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นเพราะสมบัติสืบทอดจากจอมเทพนิรันดร์


แม้ว่าเย่หยวนจะก้าวข้ามตัวของเขาไปได้แล้ว แต่สูตรโอสถที่จอมเทพนิรันดร์ทิ้งไว้ให้นั้น รวมไปถึงทักษะการโอสถต่างๆ นาๆ มันก็ยังเป็นประโยชน์แก่เย่หยวนมาจนถึงทุกวันนี้


และในเผ่าอสูร ของพวกนี้มันก็เทียบได้กับสมบัติที่เย่หยวนได้รับสือทอดมาเลย


เมื่อเปิดดูทฤษฎีบนชั้นสี่จนสิ้น เย่หยวนก็เดินเข้าไปยังชั้นห้าต่อทันที


เขาอยากจะรู้เหลือเกินว่ามันจะมีอะไรที่เหนือล้ำค่ามากกว่าทฤษฎีเหล่านี้ไปได้อีก!


ชั้นห้านั้นว่างเปล่าโดยมีแต่ลูกแก้วแสงลูกหนึ่งตั้งวางอยู่กลางอากาศ


เย่หยวนรู้สึกสงสัยมากจนอดไม่ได้ที่ต้องเอามือไปกดดู


ฟุบ!


ในวินาทีนั้น ข้อมูลจำนวนมหาศาลก็ไหลเข้ามาในสมองของเย่หยวน


“นี่มัน… มรดกสืบทอดจากมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล?”


จิตของเย่หยวนนั้นสั่นคลอน เขากลับมาตั้งสติและรับรู้ได้ทันทีว่าข้อมูลเหล่านี้มันมหาศาลเพียงใด


“แต่ว่า… มรดกนี้เหมือนจะไม่มีเรื่องที่เขาเรียนรู้ยอดเต๋าเลย มันกลับอัดแน่นไปด้วยความรู้เรื่องพื้นฐานของเผ่าอสูรแทน หรือว่า…”


ในมรดกพวกนี้มันมีอธิบายคุณประโยชน์ของสมุนไพรนาๆ ชนิด รายละเอียดจองการหลอมโอสถ รวมไปถึงยอดศาสตร์หลอมอสูรที่เหนือล้ำ


ทุกสิ่งอย่างที่มีในชั้นล่าง แก้วแสงนี้มีมันไว้อย่างอัดแน่น แต่มันกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง


นี่คือสิ่งที่นักหลอมโอสถใช้เวลาทั้งชีวิตทำความเข้าใจศาสตร์แห่งโอสถ!


สำหรับนักหลอมโอสถที่คิดจะเข้าใกล้ยอดเต๋า พวกเขาย่อมต้องเดินไปตามทางของตัวเองเท่านั้น


เหมือนเย่หยวน ที่แม้จะได้นับมรดกสืบทอดมาจากจอมเทพนิรันดร์ แต่เขาก็ยังเลือกที่จะเดินทางของตัวเอง


และมีมรดกสืบทอดของมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลนี้มันเหนือล้ำกว่ามรดกสืบทอดที่จอมเทพนิรันดร์ทิ้งไว้อย่างมากมาย


ทั้งสองอย่างนี้มันอยู่กันคนละระดับ


ในวินาทีนั้น เย่หยวนก็ได้เข้าใจอะไรบางอย่าง


รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเย่หยวน “มหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลนั้นช่างกล้า! เขาต้องการให้ข้าเติบโตขึ้นและไปเป็นคู่แข่งของเขา แล้วใช้การต่อสู้นั้นเพื่อบรรลุเพิ่มระดับตนเอง! ดูท่า ‘อย่าถาม’ นี้มันคงไม่ได้เป็นอย่างที่โลกหล้าคิดแน่! สิ่งที่เขาต้องการหานั้นคือผู้ที่ทำลายจิตของเขาลงได้ หาใช่ตัวหมากในมือ! หึ ดูท่าโอสถบรรพกาลเองก็คงไม่คิดว่ามหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลจะกล้ามากถึงขนาดนี้ใช่ไหม? บางทีวันข้างหน้าอาจจะได้มีโอสถบรรพกาลคนที่สองเกิดขึ้นมาก็ได้ ใครจะรู้!”

 

 

 


ตอนที่ 1769 ข่าวของอิ้งหมัวหู่

 

หลังได้รับมรดกความรู้สืบทอดมาจากมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล ความเข้าใจในศาสตร์โอสถอสูรของเย่หยวนก็เพิ่มพูนขึ้นอย่างก้าวกระโดด


มรดกนี้มันช่างมีค่ากับเย่หยวนเสียเหลือเกิน


หลังจากผ่านไปได้หลายปี ในที่สุดความรู้ของเย่หยวนในโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์ก็มาถึงจุดสุดยอด


ขณะเดียวกันความรู้โดยรวมในเส้นทางศาสตร์โอสถของเขาก็เพิ่มพูนขึ้นอย่างมาก


ในช่วงเวลานี้ทางวิหารจะหาสมุนไพรระดับแปดระดับก้าวมาให้ และเย่หยวนจะจัดการหลอมพวกมันขึ้นเป็นโอสถ


ยิ่งไปกว่านั้นคือโอสถที่เขาหลอมปรุงขึ้นมามันจะมีคุณภาพขั้นเทวะขึ้นไปทั้งสิ้น


ทางผู้ใหญ่ของวิหารนักบวชนั้นตื่นตะลึงกับเรื่องนี้มาก โดยเฉพาะตัวดี๋เชียวที่ตอนนั้นเขาไม่เชื่อในตัวเย่หยวนว่าเย่หยวนจะสามารถใช้เวลาแค่สามร้อยปีทำอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอันได้


แต่ตอนนี้เขาได้รู้แล้วว่าตัวเขานั้นคิดผิดไปแค่ไหน


วันนี้ดี๋เชียวจึงมาหาเย่หยวนเพื่อขอโทษเป็นการส่วนตัว


“ฮ่าๆ เย่หยวน เจ้าวิหารคนนี้อยากจะมาขอโทษเจ้าเรื่องในวันนั้น! เจ้านั้นทำได้ตามสัญญาอย่างดี ดูสภาพตอนนี้แล้วเป็นวิหารเราจริงๆ ที่ได้รับประโยชน์จากเจ้าอย่างมหาศาล” ดี๋เชียวหัวเราะลั่น


ดี๋เชียวนั้นมีนิสัยที่ตรงไปตรงมา ผิดก็ว่ายอมรับผิด ไม่คิดที่จะลังเลใดๆ ทั้งสิ้น


การที่คนระดับนี้จะมีนิสัยเช่นนี้ได้มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย


แม้ว่าวันนี้เขาถึงขั้นคิดจะสังหารเย่หยวน แต่เย่หยวนก็พอเข้าใจความคิดของดี๋เชียวในวันนั้นได้


เพราะยังไงเสียเขาก็เป็นผู้มีสายเลือดมนุษย์


กับนักหลอมโอสถที่ไม่เคยแตะต้องโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์แล้ว เวลาแค่สามร้อยปีมันช่างสั้นเสียเหลือเกิน


เพราะฉะนั้นเย่หยวนจึงยิ้มตอบ “ท่านเจ้าวิหารอย่าได้ทำเช่นนี้เลย เย่ผู้นี้รู้ดีว่าคำขอของตนในวันนั้นมันฟังดูไร้เหตุผลเพียงใด”


ดี๋เชียวยิ้มกว้าง “เป็นเด็กที่เยี่ยมจริงๆ ข้ารู้อยู่แล้วล่ะว่าเจ้านั้นไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อย! มีแค้นร้อยต้องตอบแทนพัน จริงๆ ที่ข้ามาวันนี้ก็เพราะได้เรื่องเกี่ยวกับที่เจ้าไหว้วานไว้ด้วย”


คำพูดนี้ทำให้ร่างของเย่หยวนสั่นสะท้าน “เขา… เขาปลอดภัยหรือไม่?”


แต่ดี๋เชียวกลับขมวดคิ้วแน่นทำให้หัวใจของเย่หยวนแทบจะหยุดเต้น


“ปลอดภัยหรือไม่นั้นข้าเองก็ไม่ทราบแน่ แต่… เรื่องราวมันดูจะเลวร้ายกับเขามากกว่าจะดี” ดี๋เชียวบอก


นั่นทำให้เย่หยวนหน้าซีดเผือดลง ดี๋เชียวไม่คิดจะปล่อยให้เขารอคอยใดๆ ค่อยเล่าเรื่องราวที่รับรู้ทั้งหมดออกมา


แม้ว่าการค้นหาคนในดินแดนอันแสนกว้างใหญ่เช่นนี้มันจะเหมือนงมเข็มในมหาสมุทร แต่แม้ในอาณาจักรเทพอสูรเองเผ่าพยัคฆ์ขาวมันก็เป็นเผ่าพันธุ์ที่หาได้ยากยิ่ง


วิหารนักบวชนั้นสมควรได้รับชื่อว่าเป็นองค์กรที่ใหญ่ที่สุดในเผ่าอสูรจริงๆ เพราะหลังจากได้รับคำของเย่หยวนมา พวกเขาก็ใช้เวลาแค่ไม่กี่ปีในการตามสืบข่าวจนเจอได้ในที่สุด


ดูเหมือนว่าหลายปีมานี้อิ้งหมัวหู่จะได้ไปอยู่ที่เมืองจักรพรรดิพยัคฆ์ใส


เมืองจักรพรรดิพยัคฆ์ใสนั้นเรียกได้ว่าเป็นแหล่งรวมเผ่าอสูรสายเลือดเสือ มันมีตระกูลเสือพยัคฆ์มากมายไปรวมตัวกันอยู่ยังเมืองแห่งนั้น


และสายเลือดตระกูลพยัคฆ์ขาว แม้แต่ในมหาพิภพถงเทียนนี้มันก็ยังนับได้ว่าเป็นสายเลือดชั้นสูง


เพราะฉะนั้นแม้จะขึ้นมาบนมหาพิภพถงเทียนแล้ว จริงๆ ความเร็วในการฝึกฝนบ่มเพาะของอิ้งหมัวหู่เองก็ไม่ได้ช้าเชื่องเลย


เพียงแค่ว่าหากเอาไปเทียบกับเย่หยวนแล้วมันยังห่างชั้นกันมาก


หลังจากมาถึงดินแดนอสูร มาถึงเมืองจักรพรรดิพยัคฆ์ใสเขาก็ใช้พลังแห่งสายเลือดออกมาได้เต็มที่และสามารถกลายเป็นยอดอัจฉริยะหนุ่มของเมืองจักรพรรดิพยัคฆ์ใสได้ในที่สุด


แต่ว่าเมืองจักรพรรดิพยัคฆ์ใสนั้นมันต่างจากเมืองจักรพรรดิต้นทรราช


เทือกเขาเทพอสูรใกล้เมืองจักรพรรดิพยัคฆ์ใสนั้นมันมีกลุ่มกองกำลังที่แข็งแกร่งอยู่ และทั้งสองฝ่ายก็มักจะเกิดการปะทะกันขึ้นเสมอๆ


ไม่นานมานี้ เมืองจักรพรรดิพยัคฆ์ใสและกลุ่มกองกำลังนั้นได้มีการปะทะกันอีกรอบ


และอิ้งหมัวหู่ก็เข้าร่วมการต่อสู้ในครั้งนั้นด้วย


อิ้งหมัวหู่จับคู่กับยอดอัจฉริยะอีกคนของเมืองจักรพรรดิพยัคฆ์ใสและทำร้ายผู้นำของอีกฝ่ายจนบาดเจ็บสาหัสปางตาย


แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าผู้ที่ถูกทำร้ายปางตายนั้นจะกลับกลายเป็นลูกชายของผู้นำกลุ่มกำลังนั้น ราชันพยัคฆ์สวรรค์


เมื่อเกิดเรื่องนี้ขึ้นมันจึงเหมือนมีคนไปแหย่รังแตน


ราชันพยัคฆ์สวรรค์นั้นโกรธแค้นและส่งกองกำลังสัตว์อสูรจำนวนมากในการควบคุมออกมาล้อมรอบเมืองจักรพรรดิพยัคฆ์ใสในระดับที่มดตัวเดียวก็ไม่ให้ผ่านเข้าออก


และพลังฝีมือของราชันพยัคฆ์สวรรค์ก็ยังแกร่งกว่าเจ้าเมืองจักรพรรดิพยัคฆ์ใสอีกด้วย


หลังทั้งสองฝ่ายเข้าปะทะกัน ราชันพยัคฆ์สวรรค์ก็ทำร้ายเจ้าเมืองจนสาหัสและข่มขู่ว่าหากไม่ส่งคนร้ายออกมา ตัวเขาจะเข้าทำลายเมืองให้สิ้นซาก


เพราะฉะนั้นอิ้งหมัวหู่จึงยอมมอบตัวเองออกมา


ราชันพยัคฆ์สวรรค์พาอิ้งหมัวหู่กลับไปพร้อมๆ กับฝูงสัตว์อสูรที่ออกมาด้วย


ดี๋เชียวได้แต่ถอนหายใจยาว “จะว่าไปพวกเจ้าพี่น้องนี่ก็ช่างเป็นผู้มีจิตใจดีงาม จริงๆ แล้วคนที่ลงมือทำร้ายลูกของราชันพยัคฆ์สวรรค์นั้นหาใช่อิ้งหมัวหู่ แต่เป็นเฮ่อตงพี่น้องที่เขาสนิทด้วย เขาจึงได้ยอมมอบตัวเองออกไปแทนรับผิดแทนเฮ่อตงไป”


เย่หยวนขมวดคิ้วแน่นเมื่อฟังจบ “เรื่องนี้มันเกิดขึ้นมานานหรือยัง?”


ดี๋เชียวบอก “เรื่องนี้มันเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่เดือนก่อน แต่… ข้าได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของราชันพยัคฆ์สวรรค์มาก่อนว่าเขาป่าเถื่อนและโหดร้ายมาก หากเขาไม่ได้อะไรกลับไปเขาอาจจะทำลายเมืองทั้งเมืองทิ้งจริงๆ น้องชายของเจ้าคนนี้ อิ้งหมัวหู่คงมีโอกาสรอดที่แสนริบหรี่!”


เย่หยวนหน้าถอดสีและหันไปยกมือบอกคารวะดี๋เชียว “ท่านเจ้าวิหารเรื่องนี้มันรอช้ามิได้ ข้าขอตัวออกเดินทางไปยังเมืองจักรพรรดิพยัคฆ์ใสก่อน!”


ดี๋เชียวไม่ได้คิดที่จะหยุดและบอก “แต่ละวิหารนักบวชมันจะติดตั้งค่ายกลเคลื่อนย้ายไว้ เจ้าไปด้วยค่ายกลเคลื่อนย้ายเถอะ”


เย่หยวนเบิกตากว้างและยกมือขึ้นมาคารวะอีกครั้ง “เช่นนั้นแล้วคงต้องขอบคุณท่านมากท่านเจ้าวิหาร!”


เมืองจักรพรรดินั้นเรียกได้ว่าเป็นเมืองที่มีเอกราชของตัวเอง โดยปกติแล้วพวกเขาทั้งหลายจะไม่มีทางติดตั้งค่ายกลเคลื่อนย้ายไว้เลย


เหมือนเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์และเมืองจักรพรรดิยอดสันติเมื่อครานั้น หากมันมีค่ายกลเคลื่อนย้ายติดตั้งในเมืองมันคงเท่ากับเป็นการเปิดประตูให้ข้าศึกเดินเข้าบ้าน


แต่วิหารนักบวชของเผ่าอสูรนั้นกระจายตัวไปทั่วแทบทุกเมืองจักรพรรดิ และยังได้รับการยอมรับให้สามารถติดตั้งค่ายกลเคลื่อนย้ายขนาดเล็กไว้ในวิหารได้


แน่นอนว่าการใช้ค่ายกลนี้มันต้องมีกฎที่เข้มงวด คนนอกที่ไม่ได้สังกัดวิหารนักบวชย่อมไม่มีทางจะได้ใช้มัน



เมื่อเดินทางด้วยค่ายกลเคลื่อนย้าย จากการเดินทางที่ควรใช้เวลาหลายปีมันก็กลับเป็นเวลาแค่ครึ่งเดือน เย่หยวนก็สามารถมาถึงเมืองจักรพรรดิพยัคฆ์ใสได้ในที่สุด


“เย่หยวนคารวะท่านเจ้าวิหารจินหัว!”


เมื่อออกมาจากค่ายกลเคลื่อนย้ายเย่หยวนก็ได้พบกับชายในชุดเจ้าวิหารเดินออกมาต้อนรับ


เย่หยวนย่อมรู้ดีว่านี่คือใครและก้มหัวลงคารวะอีกฝ่าย


แม้ว่าดี๋เชียวจะไม่ได้เล่าบอกว่าเย่หยวนผ่าน ‘อย่าถาม’ มาได้ แต่คำพูดที่เขาติดต่อมาก่อนหน้ามันก็เปี่ยมไปด้วยคำชื่นชมความสามารถของเย่หยวน


จินหัวเองก็ไม่ใช่คนโง่ เขาย่อมเข้าใจความหมายในคำพูดนี้ดี


เพราะฉะนั้นเขาจึงออกมาต้อนรับเย่หยวนด้วยตัวเอง


เย่หยวนนั้นไม่คุ้นชินกับสถานที่แห่งนี้ ที่พึ่งเดียวของเขาคือวิหารนักบวชเพราะฉะนั้นเขาจึงต้องเคารพจินหัวที่มีศักดิ์สูงสุดในที่แห่งนี้


เมื่อจินหัวเห็นเย่หยวนเขาก็อดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าตื่นตกใจออกมา ก่อนจะพยักหน้า “เจ้าคือสหายหนุ่มเย่หยวน? ได้ยินว่าเจ้ามีความสามารถที่เหนือล้ำและสามารถหลอมโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์ความยากแปดหรือเก้าได้?”


เย่หยวนเข้าใจในทันทีและพยักหน้าตอบกลับไป “นั่นคือคำกล่าวชมจากปากของท่านเจ้าวิหารดี๋เชียว หากท่านเจ้าวิหารจินหัวต้องการให้เย่ผู้นี้แสดงฝีมือใดๆ เย่ผู้นี้ย่อมพร้อมที่จะทำอย่างไม่ปริปากบ่น!”


จินหัวยิ้วกว้าง ดูท่าจะพอใจกับเย่หยวนมาก


คนฉลาดมันคุยด้วยง่ายจริงๆ


แต่ว่าเขานั้นก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงอยู่ในหัวใจ


เขาคิดไปเสียว่าเย่หยวนน่าจะเป็นยอดฝีมือระดับสี่ขั้นปลาย ไม่นึกไม่ฝันว่าเย่หยวนจะเป็นแค่ราชันพระเจ้าห้าดาว


พลังเพียงแค่นี้มันพอหรือที่จะหลอมโอสถจี้เมฆศรสุริยาสวรรค์?


ดี๋เชียวนั้นเป็นคนตรงและไม่ระวัง แต่สุดท้ายเขาก็ย่อมไม่ได้โง่เหมือนท่าทางที่เขาแสดงออกมา


แม้ว่าสายสัมพันธ์ของวิหารนักบวชแต่ละแห่งมันจะใกล้ชิดกันมากกว่าเมืองจักรพรรดิ แต่การจะขอให้คนอื่นช่วยเหลือเรื่องใดมันก็ย่อมต้องมีค่าตอบแทนเสมอ


และเย่หยวนนี้คือค่าตอบแทนที่แสนยิ่งใหญ่


เขาแอบแฝงความนัยมาก่อนแล้วว่าเย่หยวนคนนี้จะสามารถหลอมโอสถระดับความยากเก้าได้


“หึๆ เช่นนั้นคงต้องขอรบกวนสหายหนุ่มเย่หยวนแล้ว ข้าได้ยินดี๋เชียวบอกมาว่าเจ้าและอิ้งหมัวหู่นั้นเป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน?” จินหัวถาม


เย่หยวนพยักหน้ารับ “เรานั้นเป็นพี่น้องที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมานาน! ท่านเจ้าวิหาร ข้าได้ยินมาว่าที่เมืองจักรพรรดิพยัคฆ์ใสแห่งนี้เขาได้มีพี่น้องเพิ่มขึ้นมาอีกคนนามเฮ่อตง ท่านพอจะแนะนำข้าให้รู้จักกับคนผู้นี้หน่อยได้หรือไม่?”

 

 

 


ตอนที่ 1770 จัดฉาก

 

“ฮ่าๆๆ น้องเย่ช่างฝีมือในการหลอมโอสถอันสูงส่ง! ในสายตาของข้าแล้วด้วยพลังฝีมือของเจ้ามันคงไม่ยากเลยที่จะผ่าน ‘อย่าถาม’ ไป!”


ในร้านอาหารหนึ่ง เย่หยวนกำลังพบเจอกับอสูรหนุ่มคนหนึ่งที่มีใบหน้าซาบซึ้งเต็มที


เย่หยวนหยิบเหล้ายกขึ้นจิบและตอบ “คำพูดของพี่เฮ่อตงจะกล่าวชมข้าเกินไปแล้ว กว่าห้าสิบล้านปีมานี้มันมีคนที่ผ่าน ‘อย่าถาม’ ไปได้แค่สิบเอ็ดคน คำพูดของท่านนี้มันเหมือนจะผลักดันข้าลงเหวไฟเลยนะ!”


เฮ่อตงทำหน้าเหยเกออกมาและหัวเราะแห้งๆ กลบเกลื่อน “ฮ่าๆ แต่ไม่ว่ายังไงความสามารถด้านโอสถของน้องเย่ก็ช่างเหนือล้ำจริงๆ เฮ่อตงคนนี้ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยพบเจอใครที่เก่งกาจเท่านี้มาก่อน! หากไม่ใช่เพราะเจ้าแล้วข้าคงไม่มีทางจะบรรลุขึ้นระดับสี่ขั้นปลายมาได้ด้วยเวลาสั้นๆ แค่นี้แน่!”


เย่หยวนยิ้ม “พี่เฮ่อตงก็ถ่อมตนไป ด้วยพรสวรรค์ของท่านข้านั้นมันก็เป็นได้แค่ดอกไม้ประดับข้างทางเท่านั้น”


เย่หยวนกล่าวชมออกมาอย่างไม่หยุดยั้งทำให้เฮ่อตงนั้นพึงพอใจอย่างมาก


“หึ หากพูดถึงเรื่องพรสวรรค์แล้ว ข้าเฮ่อตงนั้นเป็นที่หนึ่งไม่มีเป็นสองรองใครอย่างแน่นอน! เฮ่อตงตอบกลับมาพร้อมยืดอก


เย่หยวนพยักหน้ารับด้วยความเห็นด้วย “เย่คนนี้เพิ่งจะมาถึงเมืองไม่นานแต่ก็ได้ยินมาว่าในเมืองนี้มันมียอดอัจฉริยะอีกคนนี้? เขามีนามว่าอะไรนะ?”


เฮ่อตงหน้าเปลี่ยนสีไป “อิ้งหมัวหู่!”


“ใช่ๆ มันมีนามว่าอิ้งหมัวหู่! ข้าได้ยินว่าเจ้าเด็กคนนี้มันประเมินตัวเองสูงเกินและถึงขั้นอยากจะมาเทียบเคียงกับพี่เฮ่อตง!” เย่หยวนพูดออกมาอย่างไม่พอใจ


เฮ่อตงมีใบหน้าที่แปลกประหลาดไปไม่น้อยและส่ายหัวออกมา “น้องเย่ว่ากล่าวเช่นนี้ได้อย่างไร? อิ้งหมัวหู่นั้นเป็นพี่น้องคนสนิทของข้า! ตอนนี้เขาถูกจับไปขังไว้มันทำให้ข้าบาดเจ็บหัวใจมากนัก!”


เมื่อเย่หยวนได้ยินเช่นนั้นเขาก็แสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา “หึ พี่เฮ่อตงคงคิดว่าข้าเป็นคนนอกเสียแล้ว! ช่างเถอะ ไม่ต้องคุยกันแล้ว เหล้าก็ดื่มกันจนมากพอแล้ว วันนี้เย่ของตัวลาก่อน”


พูดจบเย่หยวนก็ทำท่าจะลุกขึ้นทันที


เฮ่อตงสะดุ้งและลุกขึ้นมาตามดึงตัวเย่หยวนไว้ทันที “อย่าเพิ่ง! น้องเย่เรื่องนี้มันเป็นความผิดของเฮ่อตงผู้นี้เอง มานั่งต่อก่อนค่อยๆ คุยกันก่อน!”


เย่หยวนกลับมานั่งลงด้วยท่าทางไม่พอใจนัก “เฮ่อตง ข้ารู้สึกได้ว่าท่านนั้นมีพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดาถึงได้คิดมาผูกมิตรด้วย เจ้าคิดว่าใครๆ ก็สามารถที่จะมาเป็นสหายของข้าคนนี้ได้เช่นนั้นหรือ?”


ก่อนจะมาเย่หยวนัน้นได้ขอให้จินหัวช่วยป่าวประกาศออกไปว่าตัวเขาสามารถหลอมโอสถความยากระดับเก้าได้


ก่อนหน้านี้เย่หยวนได้หลอมโอสถและช่วยให้เฮ่อตงบรรลุผ่านคอขวดขึ้นขั้นปลายระดับสี่มาได้


เพราะจริงๆ แล้วตอนที่เย่หยวนได้ยินเรื่องราว เขาก็รู้สึกว่ามันมีอะไรแปลกๆ มาตั้งแต่ต้น


หากพวกเขาเป็นพพี่น้องที่รักสนิทกันจริงๆ มีหรือที่จะปล่อยให้อิ้งหมัวหู่ถูกราชันพยัคฆ์สวรรค์จับตัวไปง่ายๆ เช่นนั้น?


หากเป็นเย่หยวนเขาคงยอมตายแทนจะปล่อยให้ราชันพยัคฆ์สวรรค์พาตัวอิ้งหมัวหู่ไป


เรื่องราวในครั้งนี้มันถูกป่าวประกาศออกมาสู่โลกภายนอกว่าเป็นเรื่องที่อิ้งหมัวหู่ตัดสินใจทำเอง


แต่ข่าวสารในวิหารนักบวชมันไม่ได้ตื่นเหมือนข่าวในโลกภายนอก


แม้ว่าทางวิหารจะไม่ได้สนใจการแย่งชิงอำนาจในเมืองต่างๆ พวกเขาก็ยังจำเป็นต้องตามสืบข่าวไว้เพื่อรักษาจุดยืนของตนให้มั่นคง!


เพราะฉะนั้นเมื่อเย่หยวนออกมาจากค่ายกลเคลื่อนย้าย เขาจึงได้ถามออกไป


การจัดฉากในวันนี้ย่อมเป็นเพื่อล่อให้เขาแสดงธาตุแท้ออกมา


เพราะหากพูดถึงความเจ้าเล่ห์แล้วต่อให้มีเฮ่อตงสิบคนก็มาเทียบเย่หยวนไม่ได้


ด้วยคำพูดไม่กี่คำ ตอนนี้เฮ่อตงก็เริ่มมองว่าเย่หยวนเป็นสหายที่แท้และยอมที่จะบอกเล่าเรื่องราวจริงๆ ออกมา


บวกกับตัวตนของเย่หยวนที่สูงส่งของเย่หยวนที่บอกว่าจะช่วยเฮ่อตงหลอมโอสถจี้เมฆศรสุริยาสวรรค์ เขาย่อมแสดงท่าทางยอมรับและซื่อตรงต่อเย่หยวนกว่าเก่า


แต่ว่าเย่หยวนนั้นไม่เคยจะพูดถึงเรื่องของอิ้งหมัวหู่มาก่อนเลยจนวันนี้เป็นครั้งแรกที่เขาได้พูดถึงขึ้นมา


หากเฮ่อตงนับอิ้งหมัวหู่เป็นพี่น้องจริงๆ แล้วเย่หยวนก็คงต้องเป็นฝ่ายยอมรับผิด อิ้งหมัวหู่ยอมสละตัวเพื่อพี่น้อง เขาย่อมไม่มีอะไรจะว่ากล่าวได้


แต่หากว่ามันมีเรื่องราวใดๆ เกิดขึ้นลับหลัง เขาย่อมไม่คิดจะปล่อยมันผ่านไป


เฮ่อตงนั้นรู้ดีว่าเย่หยวนมีความสามารถมากพอจะหลอมโอสถจี้เมฆศรสุริยาสวรรค์ได้และคิดที่จะผูกมิตรกับเย่หยวนอย่างเต็มที่


แต่ต่อให้จะเป็นสหายกันไม่ได้ เขาก็ยังไม่ใช่คนที่จะไปลบหลู่ได้!


เพราะโอสถเม็ดเดียวของเย่หยวนนั้นมันจะช่วยให้เขาสามารถบรรลุระดับห้าได้


คนเช่นนี้เขาจะกล้าไปทำเรื่องเสียมารยาทด้วยได้อย่างไร?


และแล้วไม่นานเฮ่อตงก็ทำหน้าตาเหนื่อยหน่ายออกมา “น้องเย่ใจเย็นก่อน แค่มองทีเดียวก็รู้แล้วว่าเจ้าเป็นคนฉลาด! ไม่ว่าจะยังไงเจ้าเด็กนั่นมันก็ตายไปแล้ว ไม่มีอะไรต้องมาว่ามากล่าวกันอีก ไอ้เด็กคนนั้นมันไม่รู้จักสำนึกบุญคุณ เพราะเช่นนั้นข้าจึงได้วางแผนเล็กๆ น้อยๆ เพื่อจัดการมัน”


เมื่อเย่หยวนได้ยินเขาก็อดไม่ได้ที่จะตอบกลับมาอย่างสนอกสนใจ “โอ้? เช่นนั้นคนที่ทำร้ายลูกชายของราชันพยัคฆ์สวรรค์จนบาดเจ็บสาหัสก็เป็นท่าน?”


เฮ่อตงยิ้มตอบ “เรื่องนั้นแน่นอน! เดิมทีข้าคิดจะสังหารมันด้วยซ้ำ ใครจะไปคิดว่ามันจะหนังหนาตายยากกลับไม่ยอมตายลง! เจ้าโง่อิ้งหมัวหู่มันกลับลุกขึ้นยอมรับผิดแทนข้าในเรื่องนี้”


ระหว่างที่คุยไปเฮ่อตงก็มีใบหน้าอันดูถูกเย้ยหยันอยู่เต็มเปี่ยม


เย่หยวนย่อมรู้เรื่องราวมาก่อน ปกติเวลาแล้วเฮ่อตงจะเรียกอิ้งหมัวหู่เป็นพี่เป็นน้อง และเอาของมีค่าหลายอย่างไปจากอิ้งหมัวหู่


มีอสูรหลายคนในเมืองมองว่าอิ้งหมัวหู่เป็นตัวเกะกะและเมื่อเฮ่อตงไปเจอคนพวกนั้นทีไรเขาก็จะเข้าไปไล่พวกนั้นจนแตกกระเจิง


หากมองจากตอนนี้แล้ว เรื่องราวทั้งหมดมันคงเป็นการจัดฉากของเฮ่อตง


เย่หยวนยิ้มออกมาอย่างเยือกเย็น “พี่เฮ่อตง ท่านปฏิบัติกับน้องของท่านเช่นนี้ วันหน้าท่านคงไม่คิดจะมาแทงข้างหลังข้าบ้างใช่หรือไม่?”


เมื่อเฮ่อตงได้ยินเขาก็รีบปฏิเสธออกมา “น้องเย่ว่ากล่าวเช่นนี้ได้อย่างไร? เฒ่าตงคนนี้ไม่ใช่คนเช่นนั้น! จริงๆ ข้าได้ส่งสัญญาณบอกอิ้งหมัวหู่มันไปหลายครั้งแล้วว่าให้มันไปจากเมืองจักรพรรดิพยัคฆ์ใสเสียและอย่าได้มาคิดแย่งตำแหน่งยอดอัจฉริยะจากข้าไปแต่มันกลับไม่คิดจะรับฟัง! ข้าจึงต้องจำใจใช้แผนการนี้เพราะไม่มีทางเลือกอื่น! น้องเย่เจ้าเปิดใจกับข้าแล้ว ข้าเฮ่อตงย่อมจะมองเจ้าเป็นสหายไปชั่วชีวิต!”


รอยยิ้มบนใบหน้าของเย่หยวนยิ่งกว้างมากขึ้น ทำให้เฮ่อตงต้องเสียวสันหลังวาบ


“น-น้องเย่ ทำหน้าแบบนั้นมีเรื่องใดหรือ?”


เย่หยวนพ่นลมออกมาจากจมูก “เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าข้ากับอิ้งหมัวหู่นั้นเป็นพี่น้องร่วมสาบานมีทุกข์ร่วมสู้มีสุขร่วมเสพ?”


เฮ่อตงทำหน้าเหยเกออกมาทันทีที่ได้ยิน “นี่มัน… เป็นไปได้อย่างไร?”


เย่หยวนกลับมามีใบหน้าสงบเช่นเดิม “อิ้งหมัวหู่นั้นอยู่กับข้ามาตั้งแต่เล็ก เราช่วยเหลือกันมาตลอด! แต่วันนี้เจ้ากลับแทงข้างหลังเขา เจ้าคิดว่า… ข้าควรทำเช่นไรดี?”


เฮ่อตงแสดงท่าทีไม่พอใจออกมา “เจ้า… เจ้ากล้ามาหลอกลวงข้า?”


เย่หยวนบอก “เจ้าเองก็ยังไม่ได้ถึงว่าโง่ขนาดนั้นนี่! อิ้งหมัวหู่นั้นมันเป็นคนจิตใจบริสุทธิ์จนไปเลือกที่จะนับอสรพิษอย่างเจ้าเป็นสหาย แต่มีหรือที่ข้า พี่ชายของเขาจะปล่อยให้เจ้าได้กลับไปเปล่าๆ?”


เฮ่อตงเปลี่ยนสีหน้าไปมาหลายครั้งด้วยท่าทางคิดหนัก ก่อนที่สุดท้ายจะยิ้มออกมาอย่างเยือกเย็น “ด้วยพลังเช่นเจ้า? เจ้ามันก็โง่ไม่ต่างจากน้องของเจ้าหรอก! ทั้งๆ ที่เจ้าสงสัยข้ามาแต่ต้นแต่ก็ยังกล้าหลอมโอสถช่วยข้าบรรลุขั้น! หึ ตายเสีย!”


พูดจบคลื่นพลังของเฮ่อตงก็พุ่งสูง พลังของระดับสี่ขั้นปลายถูกใส่มาอย่างเต็มที่ในหมัดที่ต่อยลงมาหาเย่หยวน


เย่หยวนแค่ยืนรับอยู่ตรงนั้นพร้อมยกนิ้วขึ้นมาชี้


ปัง!


ร่างของเฮ่อตงนั้นเหมือนถูกสายฟ้าผ่าเข้ากลางตัว กระเด็นลอยออกไปพร้อมเลือดที่สาดกระเซ็น


เมื่อตกลงถึงพื้นเขาก็หันมามองเย่หยวนด้วยความหวาดกลัว ก่อนจะถามขึ้นมาอย่างไม่อยากเชื่อ “มัน… เป็นไปได้อย่างไรกัน?”


เย่หยวนมองดูที่เฮ่อตง “อิ้งหมัวหู่มันไม่ชอบพูดคุยเรื่องราวอวดตัว เขาจึงไม่น่าจะได้บอกเจ้าใช่ไหมว่าทำไมเขาจึงต้องเดินจากไกลมาถึงเมืองจักรพรรดิพยัคฆ์ใสนี้ พลังฝีมือที่เจ้ามั่นใจหนักหนามันไม่มีค่าในสายตาของข้าหรอก!”

 

 

 


ตอนที่ 1771 สู่เขาพยัคฆ์สวรรค์ด้วยตัวเอง

 

ใบหน้าของเฮ่อตงนั้นเปลี่ยนไปมาอยู่หลายที จู่ๆ ร่างของเขาก็ขยับและหายไปในความว่างเปล่า


เย่หยวนนั้นคาดเดามาก่อนแล้วและก้าวเท้าขึ้นสูงก่อนจะยกนิ้วชี้ออกมาอีกครั้ง


เป็นตอนนั้นเองที่อากาศที่ว่างเปล่าเกิดปริแตกและส่งร่างของเฮ่อตงร่วงลงมา


เฮ่อตงเบิกตากว้างและกล่าวออกมาอย่างตื่นกลัว “น-แนวคิดแห่งห้วงมิติ!”


เย่หยวนหันไปมองเขา “อย่าได้กังวลไป ข้าไม่สังหารเจ้าหรอก ข้าจะพาเจ้าเดินทางไปด้วย”


เฮ่อตงหน้าซีดลงทันที “จ-เจ้าจะพาข้าไปที่ใดกัน?”


“เขาพยัคฆ์สวรรค์”


คำพูดนี้ทำให้เฮ่อตงตื่นตะลึงอย่างถึงที่สุด “ข้า… ข้าไม่ไป! เจ้า… เจ้ารนหาที่ตายแล้ว! อิ้งหมัวหู่มันตายไปแล้ว จะทำเช่นนี้ไปเพื่ออะไร?”


เย่หยวนในตอนนี้มีใบหน้านที่นิ่งเฉยมาก แต่คนที่รู้จักเขาดีจะย่อมรู้ว่านี่คือใบหน้าตอนที่เขาโกรธอย่างถึงที่สุด


จู่ๆ เย่หยวนก็ยกนิ้วขึ้นมาอีกครั้ง


“อ้าก! เจ้า… เจ้าทำลายการบ่มเพาะของข้า! เจ้าไม่ได้ตายดีแน่!”


เสียงร้องนั้นออกมาจากปากของเฮ่อตง เพราะนิ้วที่เย่หยวนชี้ไปเมื่อสักครู่นี้มันคือการโจมตีทำลายโลกภายในของเขาลง


สภาพของเฮ่อตงตอนนี้มันไม่ได้ต่างจากคนธรรมดาๆ เลย


เย่หยวนมองดูเขาด้วยใบหน้าจริงจัง “ชีวิตน้องข้านั้นแสนสำคัญ เขาจะตายไม่ได้ หากเขาตายลงจริงๆ ข้านี่แหละจะทำให้ทั้งเขาพยัคฆ์สวรรค์ต้องถูกกลบฝันตามเขาไป! ส่วนเจ้านั้น ไม่มีทางใดที่จะมีโชคอีกแน่”


เฮ่อตงนั้นมีใบหน้าที่แสนสิ้นหวัง ร่างกายสั่นสะท้าน


แต่จู่ๆ เขาก็หัวเราะเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ “แค่คนอย่างเจ้ามีหรือที่จะกลบฝังทั้งเขาพยัคฆ์สวรรค์ได้? เจ้ามีปัญญาขนาดนั้น?”


เย่หยวนค่อยๆ เดินเข้ามายกร่างของเฮ่อตงขึ้นและก้าวเท้าออกไป ไม่กี่ก้าวก็ออกมาจากเขตเมืองจักรพรรดิพยัคฆ์ใส


“เจ้าส่งข่าวไปด้วยวิชาลับสินะ? อย่าไปหวังลมๆ แล้งๆ อีกเลย ไม่มีใครจะมาช่วยเจ้าได้หรอก” เย่หยวนวิ่งไปก็พูดไป


เฮ่อตงหน้าถอดสีออกมาอย่างไม่อยากเชื่อ “เจ้าอยากขู่ข้าเรอะ? ปู่ข้านั้นคือยอดผู้อาวุโสของเมืองจักรพรรดิพยัคฆ์ใส ยอดยุทธระดับห้าขั้นปลาย! เจ้าทำลายการบ่มเพาะของข้า เขาจะต้องทำฉีกร่างเจ้าเป็นชิ้นๆ แน่”


เย่หยวนหันไปมอง “งั้นก็มารอดูว่าจะมีใครมาช่วยเจ้าหรือไม่กัน”


เวลาค่อยๆ ผ่านไป คนทั้งสองยิ่งเดินทางมาจากใกล้เขาพยัคฆ์สวรรค์ขึ้นทุกที


แต่ว่ามันกลับยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ จากเบื้องหลัง


เรื่องนี้ทำให้เฮ่อตงใจเสียเป็นอย่างมาก


เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมปู่ของเขาถึงไม่ยอมออกมาช่วยเขาเสียที


และเย่หยวนคนนี้ไปเอาความมั่นใจขนาดนั้นมาจากไหน


เมื่อคิดไปเย่หยวนก็มาหยุดเท้าที่ตีนเทือกเขาเทพอสูรแล้ว เป็นตอนนั้นเองที่เฮ่อตงได้รู้ว่าเย่หยวนไม่ได้ขู่ แต่เขามีความมั่นใจจริงๆ!


แต่ทำไมกัน?


เขาเป็นแค่ราชันพระเจ้าห้าดาว ทำไมปู่ของเขาจึงไม่กล้าที่จะออกมา?


“ทำไม? ทำไมกัน?!” เฮ่อตงตะโกนร้อง


เย่หยวนบอก “เจ้าบอกว่าด้วยฝีมือของข้า ข้าน่าจะผ่าน ‘อย่าถาม’ ได้ใช่ไหม?”


นั่นทำให้เฮ่อตงเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ “เจ้า… เจ้าผ่าน ‘อย่าถาม’ แล้ว? เป็นไปได้อย่างไร! หากเจ้าผ่าน ‘อย่าถาม’ จริงทำไมมันจึงไม่มีข่าวใดๆ ประกาศออกมาเลย?”


เย่หยวนบอก “เพราะข้าต่างจากคนก่อนหน้ายังไงล่ะ!”


เฮ่อตงสั่นสะท้านไปทั้งร่าง ตอนนี้สมองของเขาคิดอะไรไม่ได้แล้ว


เดิมทีเขาแค่คิดพูดประจบเย่หยวนเท่านั้น


ไม่มีใครสามารถผ่าน ‘อย่าถาม’ มาได้กว่าแปดล้านปี และแม้ว่าเย่หยวนจะเก่งกาจมันก็ยังไม่น่าจะถึงขั้นที่ผ่านได้จริงๆ


แต่ตอนนี้แม้แต่ปู่ของเขายังไม่กล้าจะออกมา ย่อมหมายความว่ามีสุดยอดขุมพลังกำลังกดดันเขาอยู่


อย่างน้อยๆ ท่านเจ้าเมืองก็ไม่มีปัญญาจะทำได้ถึงขั้นนี้!


เช่นนั้น… มันเป็นท่านศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล?


ความหวาดกลัวอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเกิดขึ้นในจิตใจของเฮ่อตง!


ยิ่งเฮ่อตงคิดมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งสิ้นหวังมากเท่านั้น



“ข้ามีนามว่าเย่หยวนมาเพื่อขอพบราชันพยัคฆ์สวรรค์!”


เย่หยวนยืนอยู่กลางอากาศและตะโกนลั่นไปทั้งป่าเขาพยัคฆ์สวรรค์


เฮ่อตงนั้นกลัวจนขาหมดแรงจะสั่น เจ้าหมอนี่มันช่างมีความกล้าที่เหนือล้ำจริงๆ


จู่ๆ ก็มีคลื่นพลังรุนแรงหลายคลื่นกระโดดออกมาต่อยใส่พวกเย่หยวนทั้งสอง


สัตว์อสูรเจ็ดถึงแปดตัวกำลังพุ่งเข้ามาโจมตีอย่างรุนแรงโดยไม่สนใจใดๆ


เฮ่อตงนั้นกลัวจนหน้าซีดเผือด สัตว์อสูรทั้งเจ็ดแปดตัวนี้แต่ละตัวแข็งแกร่งกว่าเขามาก ตอนนี้ทั้งเขาทั้งเย่หยวนคงไม่รอดแล้วแน่ๆ


สมองของเจ้าหมอนี่คงมีปัญหาจริงๆ ถึงกล้ามาทำตัวกร่างในอาณาเขตของราชันพยัคฆ์สวรรค์เช่นนี้ มันจะเรียกว่าอะไรได้นอกจากเบื่อโลก?


เย่หยวนทำหน้าเหนื่อยหน่ายออกมา ก่อนที่ร่างของเขาจะดูมัวจางลงพุ่งเข้าใส่ฝูงสัตว์อสูรอย่างแรง


ปัง! ปัง! ปัง!


เฮ่อตงรู้สึกว่าปราณเทวะรอบๆ ตัวเขากำลังคลื่นไหวอย่างบ้าคลั่ง


แม้ว่าเย่หยวนจะต้องปะทะสัตว์อสูรเจ็ดถึงแปดตัวด้วยตัวคนเดียว เขากลับไม่ได้เสียเปรียบพวกมันเลยแม้แต่น้อย


เจ้าหมอนี่มันสัตว์ประหลาดหรือ?


พลังฝีมือการต่อสู้ของเขานั้นเหนือล้ำ!


พี่ชายของอิ้งหมัวหู่มันเป็นสัตว์ประหลาดพันธุ์ใดกัน!


จู่ๆ เขาก็รู้สึกได้ถึงความเสียใจอย่างหนักหน่วง เขาได้รู้แล้วว่าตัวเองได้ทำเรื่องแสนโง่เง่าลงไป ไปลบหลู่ผู้ที่ไม่สมควรจะยุ่งด้วยที่สุด


“เทพมังกรเหยียบสวรรค์!”


“ตรานิพพาน!”


กระบวนท่าแสนรุนแรงถูกใช้ออกมาอย่างต่อเนื่อง เย่หยวนค่อยๆ ส่งร่างของสัตว์อสูรพวกนั้นกลับเข้าไปยังเขาพยัคฆ์สวรรค์


จนสุดท้ายเย่หยวนก็ยืนอยู่กลางอากาศพูดด้วยเสียงดังแจ่มชัดอีกครั้ง “ข้าเย่หยวนขอพบราชันพยัคฆ์สวรรค์!”


ตอนนี้ไม่มีสัตว์อสูรใดๆ ปรากฏกายออกมาอีกแล้ว


ไม่นานนักก็มีเสือดำตัวหนึ่งพุ่งขึ้นฟ้ามา


คลื่นพลังอันรุนแรงกดทับเย่หยวนและเฮ่อตงในทันที


“เด็กน้อย เจ้าเป็นใคร? ถึงกล้ามาทำตัวเช่นนี้ในเขาพยัคฆ์สวรรค์?” เสือดำถามออกมาด้วยภาษาคน


เย่หยวนตอบกลับไป “ข้ามาเพื่อพบราชันพยัคฆ์สวรรค์!”


เสือดำตัวนั้นหัวเราะลั่นออกมาเมื่อได้ยิน ก่อนจะกล่าวขึ้นอย่างดูแคลน “เด็กน้อยเจ้านั้นมีพลังฝีมือไม่เลว แต่ทำไมราชันพยัคฆ์สวรรค์ท่านต้องมาเจอเจ้าด้วย?”


เย่หยวนบอก “ข้ารักษาหู่ชิงได้!”


เสือดำนั้นหัวเราะลั่นตอบกลับมาเมื่อได้ยิน “เมืองจักรพรรดิพยัคฆ์ใสส่งนักบวชห้าดาวออกมาก็ยังไม่อาจรักษาอะไรได้ แล้วเด็กน้อยเช่นเจ้านี่หรือที่จะสามารถรักษาอาการของหู่ชิงได้?”


แน่นอนว่าเรื่องที่ราชันพยัคฆ์สวรรค์สั่งมานั้นไม่ใช่เพียงแค่มอบตัวอิ้งหมัวหู่ให้แต่ยังบอกให้นักบวชจากวิหารไปทำการรักษาลูกชายของเขาหู่ชิงให้ด้วย


สุดท้ายหู่ชิงกลับมีอาการที่สาหัสจนเกินไป แม้แต่นักบวชจากวิหารก็ช่วยอะไรไม่ได้


เย่หยวนตอบกลับไป “พวกนั้นมันอ่อนแอกว่าข้า! รักษาม้าตายราวมันมีชีวิต ไม่ว่ายังไงพวกเจ้าก็ไม่มีทางเลือกอื่นอยู่แล้ว”


เมื่อเสือดำตัวนั้นได้ยินมันก็ตอบกลับมาอย่างไม่พอใจ “เด็กน้อยเจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าพูดอะไรออกมา?”


โกรธก็คือโกรธ แต่เสือดำตัวนั้นก็ไม่ได้ลงมือใดๆ ออกมา


เพราะเขารู้ดีว่าคำพูดนี้ของเย่หยวนมันคือความจริงที่แสนโหดร้าย


เด็กคนนี้จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นและมาพูดจาใหญ่โต เขาย่อมไม่ออกมาพูดส่งเดชแน่ๆ


ใครจะไปทำเหมือนชีวิตตัวเองเป็นของเล่นเช่นนั้น?


เมื่อได้เห็นว่าเย่หยวนไม่ตอบกลับใดๆ มาเสือดำจึงกล่าวขึ้นอย่างไม่พอใจนัก “ไหนๆ เจ้าก็มาเพื่อรักษาหู่ชิงแล้วจะยังรออะไรอยู่อีก? มากับข้า!”


แต่เย่หยวนไม่คิดที่จะขยับ “ข้าต้องการพบราชันพยัคฆ์สวรรค์! ไม่เช่นนั้นข้าก็จะไม่รักษา”


เมื่อเสือดำได้ยินเขาก็หัวกลับมาตอบอย่างโกรธเคือง “เด็กน้อยเจ้ามาแล้วยังคิดว่าตัวเองมีหน้าที่ตัดสินใดๆ ได้อีกหรือ”


เย่หยวนตอบกลับไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เจ้าลองสิ! หากข้าสามารถรักษาหู่ชิงได้ ข้าย่อมสามารถทำให้เขาอยู่ในสภาพเหมือนตายแต่ไม่ตายได้เช่นกัน! หากไม่เชื่อข้าจะลองทำดูให้ก็ได้”


เสือดำได้แต่ตอบกลับมาด้วยท่าทางที่ยังไม่พอใจ “เด็กน้อยเจ้ากล้า?”


แต่เย่หยวนกลับไม่ตอบใดๆ กลับไป ทำให้เจ้าเสือดำได้แต่ต้องพ่นลมออกมาแรงและบอก “เด็กน้อย เจ้ารออยู่ตรงนี้ ข้าจะเอาเรื่องนี้ไปคุยกับท่านราชันพยัคฆ์สวรรค์ก่อน!”

 

 

 


ตอนที่ 1772 ข่าวร้าย

 

“มนุษย์ เจ้าอยากพบข้ารึ?”


เบื้องหน้าของเขาตอนนี้มีเสือร่างใหญ่สูงเกือบเท่าตัวคนยืนอยู่ มันพูดในภาษามนุษย์สายตาจ้องมองมายังเย่หยวนด้วยคลื่นพลังที่แสนรุนแรง


ตุบ!


เย่หยวนไม่คิดที่จะกลัวใดๆ เขายื่นมือโยนออกมา ส่งร่างของเฮ่อตงไปให้แก่ราชันพยัคฆ์สวรรค์


“นี่คือคนร้ายที่ทำร้ายหู่ชิงของท่าน! ข้าช่วยท่านรักษาหู่ชิงได้แต่ข้าต้องขอพบอิ้งหมัวหู่ก่อน” เย่หยวนบอก


นั่นทำให้ราชันพยัคฆ์สวรรค์ต้องหรี่ตาลงมองด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เด็กน้อย เจ้าคิดจะมาต่อรองกับข้าหรือ? เจ้าคิดว่าเจ้ามีปัญญาที่จะมาต่อรองต่อหน้าข้าหรือ?”


เย่หยวนหันไปมองเขาด้วยท่าทางสงบนิ่ง “ข้าไม่ได้มาเพื่อต่อรอง ข้ามาเพื่อให้โอกาสท่าน หวังว่าอิ้งหมัวหู่จะยังปลอดภัย ไม่เช่นนั้น… เขาพยัคฆ์สวรรค์ทั้งลูกจะถูกกลบฝังเพราะความโง่เง่าของท่าน!”


ตอนนั้นมีสัตว์อสูรระดับห้าขั้นปลายอยู่ข้างกายราชันพยัคฆ์สวรรค์ถึงเจ็ดแปดตัว


ในเขาพยัคฆ์สวรรค์นี้มันมีสัตว์อสูรระดับห้าอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว


เมื่อเหล่าสัตว์อสูรได้ยินคำพูดของเย่หยวน พวกมันก็แต่ได้หันไปมองหน้ากันด้วยท่าทางแสนขบขัน


เด็กมนุษย์กลับกล้าที่จะมาข่มขู่ราชันพยัคฆ์สวรรค์?


ไอ้เด็กคนนี้สมองมันคงเพี้ยนไปแล้วแน่ๆ


“ฮ่าๆๆ! ข้าราชันพยัคฆ์สวรรค์ปกครองเขาพยัคฆ์สวรรค์มานานหลายหมื่นปี แม้แต่เจ้าเมืองจักรพรรดิพยัคฆ์ใสข้ายังเคยสังหารมาก่อนคนหนึ่ง แต่มันยังไม่เคยมีใครเลยที่กล้าพูดจาเช่นนี้ต่อหน้าข้ามาก่อน! เจ้าเด็กคนนี้มันช่างกล้ามากเสียจริงๆ”


ราชันพยัคฆ์สวรรค์หัวเราะลั่นฟ้า ดูท่าแล้วคำพูดของเย่หยวนนั้นมันคงเป็นอะไรไปไม่ได้มากกว่ามุกตลก


หากเย่หยวนไม่พูดว่าจะรักษาหู่ชิง เขาคงถูกตบจนตายไปด้วยฝ่ามือเดียวแล้ว


แต่เย่หยวนก็ยังมีใบหน้าที่จริงจัง “อิ้งหมัวหู่เป็นอย่างไรบ้าง?”


ราชันพยัคฆ์สวรรค์ยกขาหน้าขึ้นมาโบกปัด “ไม่ต้องกังวลไป ตอนนี้เขาถูกข้าคุมขังไว้และบาดเจ็บเพียงไม่มาก ไม่เป็นไรหรอก เจ้าแค่รักษาหู่ชิงให้หายก่อนแล้วข้าพร้อมจะปล่อยตัวเขาทันที!”


ได้ยินเช่นนั้นเย่หยวนก็สบายใจขึ้นมาอย่างมาก “ตราบเท่าที่อิ้งหมัวหู่ยังไม่ตาย เรื่องราวใดๆ มันก็ล้วนย่อมคุยตกลงกันได้ นำทางไป!”


ด้วยการนำทางของราชันพยัคฆ์สวรรค์ เย่หยวนก็เดินมาจนถึงถ้ำหนึ่ง


ในนั้นมีเตียงหินอย่างง่ายตั้งอยู่พร้อมเสือสีจัดที่นอนอยู่บนนั้น กำลังนอนหายใจรวยรินอย่างมาก


ราชันพยัคฆ์สวรรค์พูดขึ้นด้วยท่าทางเคร่งเครียด “เด็กน้อย อย่าได้คิดเล่นตุกติกกับข้า ไม่เช่นนั้นเจ้าจะไม่ได้ตายดี”


เพราะจริงๆ แล้วเขาก็ไม่ได้หวังกับเย่หยวนมากมาย


ยังไงเสียเย่หยวนก็เป็นแค่ราชันพระเจ้าคนหนึ่ง


นักบวชชั้นสูงของเมืองจักรพรรดิพยัคฆ์ใสล้วนแล้วแต่มาดูอาการแต่สุดท้ายพวกเขาทั้งหลายก็ยอมแพ้ต่อสภาพนี้และบอกเขาแค่ว่าให้รอเก็บศพไป


เขานั้นรักลูกอย่างมาก เมื่อเย่หยวนบอกว่าทำได้ เขาก็ได้แต่ต้องให้เย่หยวนลองทำ


เย่หยวนไม่คิดที่จะสนใจราชันพยัคฆ์สวรรค์และมุ่งหน้าเข้าไปยังขอบเตียงหินก่อนจะกดมือลงบนร่างของหู่ชิง และค่อยๆ ปล่อยปราณเทวะอันเข้มข้นเข้าไปในร่างของหู่ชิง


เย่หยวนขมวดคิ้วแน่นขึ้นและแน่นขึ้น ตอนนี้ความเกลียดชังที่มีต่อเฮ่อตงมันยิ่งเพิ่มทวี


เจ้าหมอนี่มันโจมตีได้อย่างชั่วร้ายจริงๆ!


เพราะตอนนี้เครื่องในของหู่ชิงนั้นถูกทุบทำลายจนไม่เหลือชิ้นดี พลังชีวิตของร่างกายนี้มันแทบจะสูญสิ้นไปแล้ว


ต่อให้ใช้โอสถใด มันก็ไม่มีทางที่จะรักษาหู่ชิงได้เลย


ไม่แปลกใจที่นักบวชห้าดาวเหล่านั้นจะไม่สามารถทำอะไรได้


สถานการณ์เช่นนี้ กับคนธรรมดาๆ แล้วมันคงได้แต่รอให้ความตายมาเยือน


ราชันพยัคฆ์สวรรค์ถามขึ้นมาอย่างกังวล “เป็นเช่นไรบ้าง? มัน… พอมีความหวังไหม?”


เย่หยวนพยักหน้า “เจ้าหมอนี่เองก็ถึกใช่ย่อย ถึงขั้นอดทนมาได้จนป่านนี้ ท่านวางใจ ตราบเท่าที่เขายังไม่ตายข้าย่อมหาทางรักษาเขาได้!”


ได้ยินคำของเย่หยวนราชันพยัคฆ์สวรรค์ก็รู้สึกสบายขึ้นมาในจิตใจ


เย่หยวนหยิบเม็ดโอสถสีม่วงดำออกมาถือไว้ด้วยฝ่ามือ ตอนนี้โอสถเม็ดนั้นกำลังลอยอยู่เหนือร่างของหู่ชิงพอดิบพอดี


เย่หยวนปล่อยปราณเทวะออกมาเป็นเส้นยาว นำพาโอสถสีม่วงดำนี้ค่อยๆ เข้าไปสู่ร่างของหู่ชิง


เมื่อราชันพยัคฆ์สวรรค์ได้เห็นเช่นนั้นเขาก็ได้แต่เบิกตามองกว้าง “เด็กคนนี้มันช่างมีการควบคุมที่ยอดเยี่ยม!”


ราชันพยัคฆ์สวรรค์นั้นมีพลังมากแค่ไหน? เขากล่าวเช่นนี้ออกมาเย่หยวนจะต้องมีพลังการควบคุมปราณที่เหลือล้ำมากอย่างไม่ต้องสงสัย


อย่าว่าแต่เขา แม้แต่เหล่านักบวชชั้นสูงในวิหารนักบวชก็ไม่มีปัญญาที่จะทำตามแบบเย่หยวนได้


หู่ชิงนั้นอยู่มาโดยอาการกึ่งเป็นกึ่งตาย ไม่มีพลังใดๆ ที่จะหลอมดูดซับโอสถด้วยตัวเองได้อย่างเด็ดขาด


หากเขายังพอมีแรงดูดซับโอสถ นักบวชห้าดาวก็คงไม่คิดที่จะถอดใจ


เพราะอย่างน้อยๆ มันก็ยังพอที่จะยื้อชีวิตเขาต่อไปได้


เดิมทีที่นักบวชชั้นสูงบอกว่าหู่ชิงไม่มีโอกาสรอดแล้วนั้นมันเป็นเพราะว่าไม่มีใครที่สามารถจะควบคุมปราณได้อย่างละเอียดพอที่จะแทรกมันเข้าไปในร่างของหู่ชิงตรงๆ


แม้แต่เจ้าวิหารจินหัวก็ไม่มีปัญญาจะทำ!


ตอนนี้มันกลับมีนักยุทธระดับสี่ลุกขึ้นมาทำได้เสียอย่างนั้น!


“เด็กคนนี้มันมีความสามารถจริง! การควบคุมปราณเทวะของมันนั้นช่างเหนือล้ำกว่าสิ่งใดๆ ที่เคยมีมา” เสือดำในตอนแรกกล่าวชื่นชมอย่างจริงใจ


ราชันพยัคฆ์สวรรค์เองก็ตอบกลับมาอย่างตื่นเต้น “ฮ่าๆ สวรรค์มีตาจริงๆ พวกเขาไม่อยากเห็นลูกข้าตาย!”


เสือดำตัวนั้นบอกมาด้วยท่าทางกังวล “นายท่าน เรื่องเด็กอิ้งหมัวหู่คนนั้นเรา…”


ราชันพยัคฆ์สวรรค์ทำหน้าเข้มขึ้นมาทันที สองตาจ้องมองมาอย่างไม่ขยับ “รอให้เขารักษาเสร็จค่อยพูดกัน! มาพูดตอนนี้เจ้าคิดอยากตายหรือ?”


เสือดำนั้นสะดุ้งตัวและรีบถอยหลังกลับไปทันที ไม่กล้าที่จะพูดใดๆ ขึ้นมาอีก


การรักษาของเย่หยวนนั้นกินเวลาไปถึงสามวันสามคืน


ภายใต้สายตาอันตื่นตะลึงของทุกผู้คน ตอนนี้อาการลมหายใจของหู่ชิงจากที่อ่อนแอสุดจะหยั่งมันเริ่มกลับมาแข็งแรงได้อีกครั้ง


แม้ว่าการรักษาจะเป็นไปอย่างช้าเชื่อง แต่คนที่มุงดูอยู่รอบๆ ก็ย่อมสังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในลมหายใจของหู่ชิง


รอยยิ้มค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าดุร้ายของราชันพยัคฆ์สวรรค์


แต่จู่ๆ มือของเย่หยวนก็ดึงกลับมา หยุดการรักษาลงอย่างกะทันหัน


ราชันพยัคฆ์สวรรค์ถามขึ้นมา “เด็กน้อย เจ้าทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”


เย่หยวนค่อยๆ ลุกและเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก


การรักษาเช่นนี้มันเป็นการรักษาที่กินแรงและเวลามาก ถึงจะเป็นเย่หยวนก็ยังต้องรู้สึกเหนื่อยหลังต้องรักษาติดต่อกันมาถึงสามวันสามคืน


แต่เหตุผลที่เขาหยุดนั้นมันไม่ใช่เพราะว่าเขาเหนื่อย


เย่หยวนหันไปมองราชันพยัคฆ์สวรรค์ “สภาพของหู่ชิงในตอนนี้คงอยู่ได้อีกหลายเดือนอย่างไม่ยากเย็น ข้าจะรักษาเขาต่อให้ก็ได้ แต่ท่านต้องให้ข้าพบอิ้งหมัวหู่ก่อน!”


เหตุผลที่เขารักษาหู่ชิงแต่เดิมทีนั้นมันก็เพื่อจะแสดงว่าเขานั้นมีฝีมือพอที่จะรักษาจริงๆ


แต่เป้าหมายสุดท้ายของเขาก็ยังเป็นอิ้งหมัวหู่


ไม่ได้เจออิ้งหมัวหู่ ย่อมไม่คิดที่รักษาใดๆ ต่อ


เรื่องที่ราชันพยัคฆ์สวรรค์ทำ เย่หยวนย่อมสงสัยมันอยู่ในใจ


คำพูดของราชันพยัคฆ์สวรรค์นั้นมันไม่มีทางเลยที่เขาจะเชื่อได้สนิทใจ


ราชันพยัคฆ์สวรรค์หน้าถอดสีและบอก “ราชันผู้นี้บอกแล้วว่าตราบเท่าที่เจ้ารักษาหู่ชิงข้าย่อมปล่อยเขาแน่นอน”


เย่หยวนส่ายหัว “ข้าอยากพบอิ้งหมัวหู่ก่อน!”


นั่นทำให้ราชันพยัคฆ์สวรรค์ทำหน้าตาหนักใจออกมาอย่างถึงที่สุดก่อนจะหันหน้าไปหาเจ้าเสือดำ


เย่หยวนหน้าเสียทันที รู้สึกว่ามันมีลางร้ายเกิดขึ้นตรงหน้าและถามออกมาอีกครั้ง “อิ้งหมัวหู่เป็นอย่างไร? หากเจ้ากล้าหลอกลวงข้า ก็ลืมเรื่องที่ลูกเจ้าจะหายดีไปได้เลย!”


ราชันพยัคฆ์สวรรค์รู้ดีว่าถึงตอนนี้คงปกปิดไว้ไม่ได้แล้วและบอกออกมา “เขาตายแล้ว!”


วึบ!


เย่หยวนหน้ามืดลงทันทีจนแทบร่วงลงไปกองกับพื้น


สมองความคิดของเขาสับสน ความโศกเศร้าอันไม่รู้ที่มาต่างหลั่งไหลเข้ามาไม่หยุด


“อ่อก!”


ความกังวลที่สั่งสมเข้าปะทะจิตใจจนสุดท้ายเขาต้องกระอักเลือดออกมาคำโต

 

 

 


ตอนที่ 1773 ถ้ำเนตรวิเศษ

 

ดวงตาของเย่หยวนกลายเป็นสีแดงฉานคุ้มคลั่งได้ด้วยจิตสังหาร แผ่กระจายไปทั่วทุกทิศทาง


“เจ้าสังหารเขาลงจริง?” เย่หยวนถามขึ้นด้วยน้ำเสียงอันเยือกเย็น


จิตสังหารของเย่หยวนในตอนนี้มันไม่ได้เป็นพิษเป็นภัยกับราชันพยัคฆ์สวรรค์เลยแม้แต่น้อย


จริงๆ แล้วเมื่อพวกเขาได้เห็นมัน ความโกรธของเย่หยวนเมื่ออยู่ต่อหน้าพวกเขามันก็เป็นได้แค่เรื่องตลก


ราชันพยัคฆ์สวรรค์หัวเราะออกมา “ดูท่าเจ้าจะสนิทสนมกับเสือขาวตัวนั้นมากนะ! แต่ความโกรธแค้นของเจ้ามันไร้ค่าเมื่ออยู่ต่อหน้าข้าผู้นี้ นี่คือโลกที่ปลาใหญ่กินปลาเล็ก หากเจ้าไม่มีพลังฝีมือ ต่อให้จะโกรธแค้นมากมายเพียงใดเจ้าก็มีแต่ต้องกดเก็บมันไว้ในหัวใจเท่านั้น!”


ร่างของเย่หยวนสั่นสะท้าน สายตาอันเย็นเยือกนั้นจ้องมองออกมา “ข้าถามเจ้าว่าเจ้าได้สังหารเขาลงจริงไหม?”


“ฮ่าๆ ไอ้เด็กคนนี้มันคงโง่เกินเยียวยา ถึงขั้นยังไม่เห็นสภาพการณ์ตอนนี้อย่างชัดเจนอีก?”


“แค่เด็กระดับสี่คิดมาข่มขู่เขาพยัคฆ์สวรรค์เรา แถมยังทำท่าพูดจาใหญ่โต!”


“ไอ้เด็กที่ชื่ออิ้งหมัวหู่มันกล้ามาทำร้ายหู่ชิงจนบาดเจ็บสาหัส มันย่อมสมควรที่จะตายลงแล้ว!”



เหล่าสัตว์อสูรที่ติดตามราชันพยัคฆ์สวรรค์ต่างแสดงสีหน้าท่าทางเย้ยหยันออกมา


สำหรับพวกเขาแล้ว สำหรับยอดฝีมือแล้วการได้หยอกล้อเหล่าผู้อ่อนแอนั้นมันก็นับว่าเป็นความบันเทิงรูปแบบหนึ่ง


ราชันพยัคฆ์สวรรค์หัวเราะลั่น “ทำไมเล่า ฆ่าก็ฆ่าสิ หรือว่าเจ้าคิดจะกลบฝังเขาพยัคฆ์สวรรค์ของเราลงได้จริง? เด็กน้อย ข้าไม่ได้บอกว่าเจ้าอ่อนแอหรอกนะ แต่ด้วยคนเช่นเจ้านี้? ไปรักษาหู่ชิงให้หายเสีย หากเจ้าคิดที่จะทำอะไรไม่เข้าท่ารับรองได้เลยว่าราชันผู้นี้จะทำให้เจ้าได้อยู่ในสภาพอยู่ไม่ได้ ตายไม่ดี!”


จู่ๆ ร่างของเย่หยวนก็กลับเป็นความสงบนิ่ง อาการสั่นเทาใดๆ จางหายไป ดวงตาที่มองไปยังราชันพยัคฆ์สวรรค์นั้นไม่เหลือเศษเสี้ยวความรู้สึกใดๆ


สภาพนี้ของเย่หยวนนั้นคือเวลาที่เขาโกรธแค้นจนไม่สามารถจะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้


นัยน์ตาของเขาเบิกกว้างและชักดาบจักรพรรดิล้ำฟ้าออกมาไว้ในมือ


เขาค่อยๆ เดินเข้าไปหาราชันพยัคฆ์สวรรค์


ราชันพยัคฆ์สวรรค์นั้นรู้สึกขำขันอย่างเปี่ยมหัวใจ “เด็กน้อย หากวันนี้เจ้าไม่ยอมรักษาหู่ชิง เรื่องราวที่จะติดตามมามันคงเหนือกว่าที่เจ้าจะคาดคิดได้แน่!”


ปัง!


จู่ๆ ราชันพยัคฆ์สวรรค์ก็ปล่อยคลื่นพลังออกมาจนทะลุฟ้า มันเป็นคลื่นพลังที่แสนรุนแรงจนทำให้เขาทั้งลูกต้องสั่นสะเทือน


ตอนนี้แม้แต่เหล่าลูกน้องของเขาเองก็ยังต้องทิ้งระยะห่างออกมาจากตัวเจ้านาย


ราชันพยัคฆ์สวรรค์นั้นเหยียบขึ้นไปถึงระดับหกได้แล้ว พลังในร่างของเขาจึงแสนที่จะรุนแรงเหนือกว่าที่นักยุทธทั่วๆ ไปจะต้านรับได้


แม้แต่เจ้าเมืองจักรพรรดิพยัคฆ์ใสก็ยังไม่พอที่จะต้านทานเขา แค่นั้นมันก็แสดงได้อย่างดีแล้วว่าตัวเขาเก่งกาจเพียงใด


แต่ทว่าคลื่นพลังนั้นยังไม่ทันไปถึงตัวเย่หยวนราชันพยัคฆ์สวรรค์ก็ต้องเบิกตากว้างออกมาด้วยความหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด


เพราะตอนนี้คลื่นพลังของเขากำลังถูกกดดันกลับมา


ร่างของเขาแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น


“ใคร… ท่านยอดฝีมือผู้ใดกัน? โปรดแสดงตัวด้วย!”


ไม่มีใครตอบกลับมา!


ราชันพยัคฆ์สวรรค์ตื่นตะลึงอยู่เต็มหัวใจ เขาไม่สามารถสัมผัสได้ถึงพลังใดๆ แต่ตอนนี้กลับไม่สามารถขยับร่างได้แม้แต่น้อย


เขาได้แต่มองดูเย่หยวนค่อยๆ เดินเข้ามาหาอย่างไร้ทางสู้


เช่นเดียวกัน ตอนนี้เหล่าสัตว์อสูรลูกน้องของราชันพยัคฆ์สวรรค์ก็ไม่สามารถที่จะขยับร่างกายได้


จู่ๆ ราชันพยัคฆ์สวรรค์ก็สะดุ้งตัวขึ้นมา เขานึกถึงคำพูดของเย่หยวนที่บอกในตอนแรกขึ้นมาได้


เขาบอกว่าจะกลบฝังเขาพยัคฆ์สวรรค์ไปพร้อมๆ กับอิ้งหมัวหู่!


เดิมทีเขามองมันเป็นแค่เรื่องตลก ไม่คิดไม่ฝันว่าเด็กราชันพระเจ้าคนนี้จะสามารถมีผู้ช่วยที่แข็งแกร่งปานนี้ได้!


เมื่อเห็นเย่หยวนค่อยๆ ก้าวเดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ราชันพยัคฆ์สวรรค์ก็รู้สึกราวกับว่านั้นคือความตายที่กำลังคืบคลาน


ตอนนี้เขาไม่สามารถที่จะปล่อยปราณอสูรเทวะออกมาปกป้องร่างกายได้ด้วยซ้ำ


มันง่ายเสียยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือหากเย่หยวนคิดที่จะสังหารเขาลง!


เมื่อมองดูนัยน์ตาอันเย็นชาของเย่หยวน ราชันพยัคฆ์สวรรค์ก็รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายมิใช่คนที่มากเมตตาแน่


“ด-เดี๋ยวก่อน! บางที… บางทีอิ้งหมัวหู่อาจจะยังไม่ตายก็ได้!” ราชันพยัคฆ์สวรรค์บอก


นั่นทำให้เย่หยวนหยุดเท้าเดินทันที แต่ใบหน้าก็ยังไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ และถามขึ้นมา “เจ้ามีเวลาสามอึดใจ หากเรื่องที่เล่าไม่น่าฟังพอเจ้าตาย!”


เหงื่อเย็นเหยียบของราชันพยัคฆ์สวรรค์ไหลพลั่ก เขาไม่เคยรู้สึกถึงแรงกดดันที่มหาศาลขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต


“จ-จริงๆ แล้วหลังจากเราจับตัวอิ้งหมัวหู่ได้เราก็ได้โยนมันเข้าไปยังถ้ำเนตรวิเศษ! ที่แห่งนั้นคือสถานที่ต้องห้ามในเทือกเขาเทพอสูร หากมีใครได้เข้าไปพวกเขาก็จะไม่มีทางกลับออกมาได้ ฉะนั้น… ข้าว่า… เขาอาจจะ… ยังพอรอด… ได้อยู่ตอนนี้”


ยิ่งพูดไปเสียงของราชันพยัคฆ์สวรรค์ยิ่งแผ่วเบาลง


เพราะการพูดว่าอิ้งหมัวหู่ยังรอดอยู่นั้น แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่เชื่อมัน


หากอิ้งหมัวหู่ยังมีโอกาสที่จะรอดชีวิตเขาก็ย่อมไม่คิดที่จะปกปิดเย่หยวนมาตั้งแต่แรก ถึงกับต้องโกหกไปว่าเขาขังอิ้งหมัวหู่ไว้


แต่ว่าสายตาอันเย็นเยือกของเย่หยวนนั้นกลับค่อยๆ เบาบางลงอย่างเห็นได้ชัด


เพราะตอนนี้ตรงหน้าเย่หยวนได้มีแสงแห่งความหวังบังเกิดขึ้นแล้ว


ตราบเท่าที่ราชันพยัคฆ์สวรรค์ไม่ได้สังหารเขาลงกับมือ มันก็ยังไม่แน่ว่าเขาจะตายหรือไม่


เย่หยวนเชื่อว่าอิ้งหมัวหู่ไม่ได้เป็นคนที่มีดวงอาภัพถึงขนาดนั้น!


เย่หยวนค่อยๆ เก็บดาบจักรพรรดิล้ำฟ้าลง จิตสังหารที่มีจางหายไปพร้อมๆ กับคลื่นความกดดันที่พวกราชันพยัคฆ์สวรรค์ต้องทนรับ


ตอนนี้ราชันพยัคฆ์สวรรค์นั้นตกตะลึงมาก เขาไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายนั้นแข็งแกร่งถึงขั้นไหนที่ทำให้เขาไม่สามารถจะปล่อยปราณอสูรเทวะออกมาได้แม้แต่น้อยเช่นนี้!


เย่หยวนมองดูราชันพยัคฆ์สวรรค์และบอก “พูดต่อ เรื่องของไอ้ถ้ำเนตรวิเศษที่ว่านี้มันเป็นอย่างไร! เจ้าน่าจะเข้าใจนะว่าตัวเองไม่มีโอกาสที่สองแล้ว!”


“มิกล้าๆ! ราชันพยัคฆ์สวรรค์ผู้นี้พร้อมจะบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่ข้ารู้มาอย่างไม่ปิดบัง!”


ตอนนี้ราชันพยัคฆ์สวรรค์จะยังมีท่าทางของผู้ปกครองใดๆ หลงเหลืออีก?


ต่อหน้าเย่หยวนเขาทำท่าทางสุดนอบน้อมราวกับลูกแมว


เขารู้ดีว่ายอดฝีมือที่หลบซ่อนอยู่นั้นแค่ใช้ลมหายใจก็มากพอจะสังหารเขาลงได้ในพริบตา!


ราชันพยัคฆ์สวรรค์ค่อยๆ หดร่างลงเหลือแค่ไม่ถึงครึ่งตัวเย่หยวน เขาพูดจาออกมาอย่างระมัดระวังกลัวว่าจะเป็นการไม่สุภาพ “เทือกเขาเทพอสูรภายใต้การปกครองของเทพสวรรค์หยุนหลิงเรานั้นมีดินแดนต้องห้ามอยู่สามแห่ง ยอดม่วงโมฆะ ป่าไผ่ทะเลหมอกและถ้ำเนตรวิเศษ ยอดม่วงโมฆะนั้นคือสถานที่อาศัยของท่านเทพสวรรค์หยุนหลิง ส่วนอีกสองแห่งนั้นเรียกว่าเป็นดินแดนแห่งความตาย! ไม่มีใครทราบว่าภายในถ้ำเนตรวิเศษนั้นมีอะไร แต่ข้าได้ยินว่าเคยมียอดฝีมือระดับหกเข้าไปภายในแต่ก็ไม่สามารถกลับออกมาได้ ตั้งแต่นั้นก็ไม่มีใครกล้าที่จะย่างเท้าเข้าไปยังที่แห่งนั้นอีก”


พูดถึงตรงนี้ราชันพยัคฆ์สวรรค์ก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองดูเย่หยวน แต่กลับพบว่าเย่หยวนยังทำหน้านิ่งไร้อารมณ์ใดๆ ไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่


จู่ๆ เย่หยวนก็หันหลังเดินกลับไปยังหู่ชิงอีกครั้ง


ราชันพยัคฆ์สวรรค์มองดูเย่หยวนอย่างตื่นตกใจและพบว่าตอนนี้เขากำลังเริ่มปล่อยปราณเทวะออกมารักษาหู่ชิงอีกครั้ง!


ด้วยความสามารถที่เหนือล้ำของเย่หยวน หู่ชิงก็เริ่มกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง


หลังจากผ่านไปได้ห้าวัน หู่ชิงก็กลับมามีสภาพแข็งแรงสมบูรณ์ด้วยพลังชีวิตและความสมบูรณ์


จนถึงตอนนี้ราชันพยัคฆ์สวรรค์ก็ยังไม่อยากจะเชื่อ แต่ดูท่าว่าเย่หยวนจะมีปัญญาพอที่จะรักษาจริงๆ “ขอบพระคุณนายท่าน!”


เย่หยวนยังมีใบหน้าที่นิ่งเรียบและชี้ไปยังหู่ชิง “อย่าเพิ่งมาขอบคุณ เขาต้องเข้าไปยังถ้ำเนตรวิเศษกับข้าด้วย!”


ราชันพยัคฆ์สวรรค์ยังดีใจได้ไม่ทันไรร่างกายของเขาก็ต้องสั่นสะท้านและร้องออกมาอย่างตื่นตกใจ “นี่มัน… จะทำได้อย่างไร?”


เย่หยวนบอก “หากข้าไม่สามารถออกมาได้ ท่านผู้นั้นก็ย่อมไม่ทำลายเขาพยัคฆ์สวรรค์ของเจ้า แต่ลูกชายของเจ้าจะต้องตายไปพร้อมกับข้าและน้องชาย! นี่คือเรื่องที่เจ้าก่อขึ้นทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นก็จงเตรียมตัวรับมันไปเองเถอะ!”


เย่หยวนนั้นเข้าใจดีมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลยี่นั้นต้องการคนที่ขึ้นมาเป็นคู่ปรับ ไม่ได้ต้องการชุบเลี้ยงให้เขาเป็นคุณชายไร้ความสามารถ


หากไม่ใช่เพราะต้องการช่วยอิ้งหมัวหู่เย่หยวนก็คงไม่คิดที่จะส่งยอดฝีมือของวิหารไปบอกแน่ๆ


ส่วนเรื่องการเข้าถ้ำเนตรวิเศษ มันย่อมจะไม่มีความช่วยเหลือใดๆ


หากเย่หยวนตายลงในถ้ำเนตรวิเศษ ทุกสิ่งอย่างย่อมจบสิ้นลงแค่นั้น!

 

 

 


ตอนที่ 1774 มิติอนัตตา เขตแดนตัดขาด

 

ราชันพยัคฆ์สวรรค์มีสีหน้าสุดช้ำใจ ตอนนี้เขาเสียใจกับเรื่องที่ทำลงไปอย่างมาก


หากเขารู้ว่าวันนี้จะมาถึง มีหรือที่เขาจะไม่รอคอยก่อน?


อย่างน้อยๆ หู่ชิงก็ยังไม่ได้ตายไปจริงๆ นี่?


แต่การเข้าไปยังถ้ำเนตรวิเศษนั้นมันเป็นอะไรที่ผู้คนหรืออสูรใดๆ ไม่สามารถรอดชีวิตกลับมาได้


มันเป็นสถานที่ที่แม้แต่เทพสวรรค์หยุนหลิงก็ยังไม่กล้าที่จะเข้าไปด้านใน!


ตอนนั้นเองที่หู่ชิงกลับเปิดปากพูดออกมา “ท่านพ่อให้ข้าไปเถอะ!”


ราชันพยัคฆ์สวรรค์ตกใจจนตัวสั่นสะท้าน เขาหันไปถามหู่ชิง “หากเจ้าไปแล้วมันย่อมไม่มีโอกาสออกมาอีก!”


หู่ชิงถอนหายใจยาว “ท่านพ่อ หู่ชิงได้มีโอกาสใช้ชีวิตที่สองนี้ด้วยอารมณ์ที่มากมายหลากหลาย! เรื่องครั้งนี้เป็นพวกเราเองที่ลงโทษผู้บริสุทธิ์มาแต่ต้น เราเป็นฝ่ายผิดท่านพ่อ แต่ท่านเย่หยวนกลับเป็นคนที่รักยึดมั่นในสายสัมพันธ์ กล้าที่จะเข้าถ้ำเนตรวิเศษไปช่วยเหลือน้องชายอย่างไม่เกรงกลัว แล้วมีหรือที่หู่ชิงคนนี้จะยังต้องกลัว? หากนายท่านตายไปภายใน ข้าก็จะตามติดท่านไป! พวกเราพ่อลูกติดค้างหนี้เขามากขนาดนั้น!”


ในวินาทีนั้นพวกสัตว์อสูรลูกน้องราชันพยัคฆ์สวรรค์ต่างมองมายังหู่ชิงราวกับเป็นคนแปลกหน้า


ตลอดเวลาที่ผ่านมานั้นหู่ชิงเป็นอสูรที่ยิ่งยโสโอหัง ดูถูกดูแคลนทุกสิ่งอย่างเหมือนดั่งเด็กน้อยที่ไม่รู้จักโต


แต่เมื่อได้เจอประสบการณ์เฉียดเป็นเฉียดตาย มันกลับทำให้ตัวเขาคนนี้เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ


เย่หยวนหันไปมองหู่ชิงด้วยท่าทางตกใจไม่น้อยเช่นกัน ไม่นึกไม่ฝันว่าอีกฝ่ายจะเป็นผู้อาสาตามติดเขาเข้าไปด้านในแทน


แต่ไม่นานนักเขาก็พอเข้าใจได้


ระหว่างเส้นความเป็นและความตายมันมักจะสั่งสอนบทเรียนให้ผู้คนได้อย่างมาก


สภาพของหู่ชิงในตอนนี้ก็เหมือนเขาเมื่อก่อน


การเข้าถ้ำเนตรวิเศษในครานี้ หากเขาไม่ตายไปหู่ชิงย่อมสามารถที่จะประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ได้ในวันหน้า


ราชันพยัคฆ์สวรรค์ได้แต่ทำหน้าตาลังเลไม่รู้ว่าต้องตัดสินอย่างไร จนสุดท้ายเขาก็ถอนหายใจยาว “ช่างเถอะ เจ้าไปกับเขาเสีย!”



เมื่อมาถึงหน้าถ้ำเนตรวิเศษเย่หยวนก็ได้พบว่ามันเหมือนเป็นปากที่อ้าออกมากลืนกินทุกสิ่ง แทบจะกลืนกินเขาทั้งลูกลงไปในถ้ำ


แสงที่ด้านนอกนั้นมันสุดจะสว่างชัด แต่ภายในถ้ำที่ใหญ่ขนาดนั้นมันกลับมืดมิดจนไม่สามารถมองเข้าไปด้านในได้เลย!


ในถ้ำนี้มันคือความมืดมิดไร้จุดจบ


ราชันพยัคฆ์สวรรค์มองดูที่หน้าปากถ้ำด้วยท่าทางสั่นกลัว “นี่แหละคือถ้ำเนตรวิเศษ ไม่มีใครรู้ว่าด้านในเป็นอะไรและไม่มีใครกล้าที่จะเข้าไปเช่นกัน”


ดูท่าแล้วเขาก็คงกลัวถ้ำเนตรวิเศษนี้อย่างมาก


เย่หยวนพยักหน้ารับและค่อยๆ เดินไปสู่ปากถ้ำเนตรวิเศษ


หู่ชิงจึงหันมาค้อมตัวแก่ราชันพยัคฆ์สวรรค์ “ลูกขอตัวลา ท่านพ่อรักษาตัวด้วย!”


พูดจบหู่ชิงก็เดินตามหลังเย่หยวนไปติดๆ


เมื่อมาถึงถ้ำเนตรวิเศษ ร่างของหนึ่งคนหนึ่งเสือก็เหมือนถูกดูดหายเข้าไปในปากยักษ์ หายไปจนไม่เหลือร่องรอยใดๆ


เย่หยวนรู้สึกถึงความมืดมัวที่เบื้องหน้าเล็กน้อยก่อนที่จะเปิดตามองอีกครั้ง ตอนนี้มันจะยังเหลือเงาของเทือกเขาเทพอสูรอยู่อีกหรือ?


“นายท่าน เรา… เหมือนเข้ามาอีกมิติหนึ่งเลย!” หู่ชิงบอก


เย่หยวนพยักหน้า “ดูท่าเจ้าถ้ำที่เรียกว่าถ้ำเนตรวิเศษนี้แท้จริงแล้วจะเป็นทางเข้าสู่อีกห้วงมิติหนึ่ง ที่สำคัญมันยังเป็นทางเข้าแบบด้านเดียว เราไม่สามารถกลับออกไปทางนี้ได้แล้ว”


หู่ชิงอดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นดีใจขึ้นทันทีที่ได้ยิน “เช่นนั้นแล้วที่แห่งนี้ก็หาใช่ดินแดนแห่งความตาย บางทีอิ้งหมัวหู่นั้นอาจจะยังมีชีวิตรอดอยู่ก็ได้?”


แต่เย่หยวนไม่ได้มีท่าทางดีใจใดๆ เพราะเขาดูท่าจะไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องดีเหมือนหู่ชิง


“ที่แห่งนี้ไม่ใช่สรวงสวรรค์ แต่อย่างน้อยมันก็ยังมีความหวัง หวังว่าจะสามารถหาเขาให้พบเจอได้ ตอนนี้เจ้ากินมันแล้วบรรลุสู่ระดับสี่ขั้นปลายก่อนเถอะ หลังจากเจ้าบรรลุได้แล้วเราค่อยเดินทางกันต่อ”


พูดจบเย่หยวนก็โยนโอสถหนึ่งไปให้แก่หู่ชิง


หู่ชิงกล่าวขึ้นอย่างตื่นตกใจ “นี่มัน… โอสถสุริยันคลั่งนภาเพลิงขั้นเทวะโมฆะ! หรือว่าโอสถเม็ดนี้นายท่านจะเป็นคนหลอมมันขึ้นมากัน?”


เย่หยวนหันกลับมามอง “หากข้าไม่มีปัญญาจะหลอมโอสถระดับนี้มีหรือที่ข้าจะรักษาเจ้าให้ฟื้นจากสภาพปางตายนั้นได้?”


เมื่อหู่ชิงได้ยินเขาก็ต้องตอบกลับมาด้วยท่าทางอายๆ “ฮ่าๆ ก็จริง แต่ว่านายท่านไม่โทษข้าหรือเรื่องที่อิ้งหมัวหู่ต้องมาเจอเคราะห์ร้ายเช่นนี้?”


เย่หยวนตอบ “เรื่องนี้แต่เดิมมันก็ไม่ใช่ความผิดเจ้า ข้านั้นโกรธพ่อเจ้าที่ทำอะไรพลการ ลงโทษผู้บริสุทธิ์อย่างไม่คิดตรวจสอบ แต่ว่าทุกความเลวร้ายมันก็ย่อมมีผู้กระทำ หนี้ทุกหนี้ก็มีลูกหนี้เป็นของตัวเอง เรื่องเช่นนี้จะมาโทษเจ้าคงไม่ได้”


เมื่อหู่ชิงได้ยินเขาก็อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น “จริงๆ แล้วพ่อข้า…”


เย่หยวนยกมือขึ้นมาโบกปัด “เจ้าไม่ต้องอธิบาย หากอิ้งหมัวหู่ยังปลอดภัยเรื่องราวมันย่อมคลี่คลายได้ไม่ยาก”


หู่ชิงไม่กล้าที่จะพูดใดๆ ต่อไปอีก และได้แต่หวังในใจว่าอิ้งหมัวหู่จะปลอดภัย


เขากินเม็ดโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์นั้นไปและเริ่มทำการนั่งบรรลุทันที


สำหรับเผ่าอสูรแล้ว การจะบรรลุจากระดับสี่ขั้นกลางไปขั้นปลายนั้นมันเป็นคอขวดที่แสนยากเย็นกว่าของมนุษย์มาก


เพราะฉะนั้นในเผ่าอสูรนี้นักบวชจึงมีจุดยืนที่สูงมาก


เพราะแม้แต่ราชันพยัคฆ์สวรรค์ที่คิดจะสังหารล้างเมืองจักรพรรดิพยัคฆ์ใส เขาก็ไม่คิดที่จะลงมือทำอะไรต่อวิหารนักบวชแม้แต่น้อย


ไม่เช่นนั้นเขาคงได้รับรู้ถึงรสชาติแห่งความตายอย่างแท้จริง


หู่ชิงนั้นมีพลังเทียบเท่ากับเฮ่อตงและอิ้งหมัวหู่ ตอนนี้อิ้งหมัวหู่ได้พัฒนาตนเองมาจนมีพลังบ่มเพาะระดับสี่ขั้นกลางแล้ว


ช่องว่างนี้มันไม่สามารถจะเอาสมบัติที่ได้รับมาช่วยผ่านไปได้ง่ายๆ


แต่ตอนนี้เมื่อเย่หยวนมอบโอสถสุริยันคลั่งนภาเพลิงขั้นเทวะโมฆะเพื่อช่วยให้หู่ชิงได้บรรลุมันย่อมกลับกลายเป็นเรื่องง่ายดายที่สามารถทำได้อย่างไม่ยากเย็น


หลังจากหู่ชิงเข้าสู่การเก็บตัวแล้วเย่หยวนก็เริ่มกางค่ายกลและสำรวจพื้นที่รอบๆ ทันที


ที่แห่งนี้มันเป็นสถานที่ว่างเปล่าและตัดขาดจากโลกภายนอก พื้นดินเต็มไปด้วยหินดินทราย


ที่สำคัญมันยังถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิด ไม่สามารถที่จะมองเห็นได้แม้แต่นิ้วมือของตัวเอง


“ผู้อาวุโส ที่แห่งนี้มันคืออะไรกัน?”


หวู่เฉินนั้นมีประสบการณ์และความรู้อันมากมายมหาศาล เมื่อต้องมาเจอกับสถานที่แปลกหูแปลกตาเช่นนี้เย่หยวนย่อมเลือกที่จะพึ่งพาความรู้ของเขา


หวู่เฉินส่ายหัวออกมา “ข้าเองก็ไม่เคยพบเจอสถานที่เช่นนี้มาก่อน แต่หากมองดูแล้วมันก็คล้ายจะเป็นเขตแดนตัดขาดที่เชื่อมระหว่างมหาพิภพถงเทียนและมิติอนัตตา”


“มิติอนัตตา? เขตแดนตัดขาด?” เย่หยวนนั้นเพิ่งจะเคยได้ยินคำเหล่านี้และย่อมไม่สามารถรู้ได้ว่ามันคืออะไร


หวู่เฉินบอก “มหาพิภพถงเทียนนั้นมันตั้งอยู่มานานไม่รู้กี่ล้านต่อกี่ล้านปี โลกใบเล็กที่ถูกทิ้งไว้นั้นมีจำนวนมากมายมหาศาล แต่โลกใบเล็กเหล่านั้นมันก็จะค่อยๆ จางหายไปตามกาลเวลา แต่ยอดฝีมือบางคนที่สามารถเชื่อมต่อโลกใบเล็กของตัวเองกับมหาพิภพได้ก็จะสามารถรวมตัวกับมหาพิภพถงเทียน พร้อมๆ กันนั้นมันก็จะแยกตัวเป็นอิสระจากมหาพิภพถงเทียนด้วย โลกใบเล็กเหล่านี้มันค่อนข้างจะมั่นคงและไม่จางหายไปตามกาลเวลา พวกเขาที่ทิ้งมรดกไว้เบื้องหลังก็จะกลับไปจุติลงยังโลกเหล่านั้น ใช้ชีวิตสืบตระกูลไปตามปกติ สถานที่เช่นนั้นเราเรียกมันว่ามิติอนัตตา และสถานที่ที่เชื่อมต่อระหว่างมิติอนัตตาและมหาพิภพถงเทียนเราจะเรียกมันว่าเขตแดนตัดขาด! สถานที่เช่นนี้มันจะมีเอกลักษณ์ของตนและมักจะให้กำเนิดตัวตนสุดแสนทรงพลังขึ้นมา”


เย่หยวนนั้นตื่นตกใจไม่น้อย ไม่นึกไม่ฝันว่ามหาพิภพถงเทียนจะยังมีมถานที่เช่นนี้อยู่


โลกใบนี้มันช่างเต็มไปด้วยเรื่องราวมหัศจรรย์จนเกินกว่าที่จะคาดคิดจริงๆ!


แต่ว่าเขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วออกมา “ไม่แปลกใจเลยที่ข้ารู้สึกได้ว่าที่แห่งนี้มันปกคลุมไปด้วยอันตราย ดูท่าในเขตแดนตัดขาดนี้จะมีตัวตนบางอย่างที่แสนทรงพลังอยู่!”


หวู่เฉินพยักหน้าบอก “ข้าเกรงว่าจะเป็นเช่นนั้น!”


จู่ๆ เย่หยวนก็หน้าเปลี่ยนสีไป เพราะมีเงาร่างสีดำขนาดใหญ่กำลังพุ่งตรงฝ่าความมืดเข้ามาหาหู่ชิงที่นั่งบรรลุอยู่


โดยไม่คิดจะลังเล เย่หยวนได้พุ่งตัวเข้าไปพร้อมดาบยาวในมือและกลับเป็นฝ่ายเข้าถึงก่อนทั้งๆ ที่ออกตัวทีหลัง แทงเข้าใส่เงาร่างสีดำนั้นอย่างแรง


ปึก!


เงาร่างสีดำนั้นถูกเย่หยวนซัดกระเด็นไปในดาบเดียว


“เอ๋ง! เอ๋ง!”


ร่างสีดำนั้นร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด


แต่เย่หยวนก็ต้องทำหน้าเครียดทันที เพราะตอนนี้เขาสัมผัสได้แล้วว่ามันคือหมาป่าสีดำ


เป็นหมาป่าสีดำที่มีพลังถึงระดับสี่ขั้นปลาย


ที่สำคัญสิ่งที่ทำให้เย่หยวนตื่นตกใจที่สุดก็คือการที่มันรับดาบไปเต็มๆ แต่กลับไม่มีบาดแผลใดๆ เลย!


เย่หยวนจ้องมองออกไป เจ้าหมาป่าตัวนี้มันหิวกระหายมีตาสีแดงเลือด น้ำลายยืดย้อยลงมาจากปากของมันและกำลังอยู่ในสภาพคุ้มคลั่ง


ตอนนั้นเองที่มีเงาดำตัวอื่นๆ ค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้นมาตามๆ กัน


เย่หยวนหรี่ตามองดูรอบๆ ตัวและพบว่าเขากับหู่ชิงได้ตกอยู่ในวงล้อมของสัตว์อสูรนับร้อยไปเสียแล้ว


และเหล่าสัตว์อสูรทุกตัวนี้มันก็มีสภาพไม่ต่างไปจากเจ้าหมาป่าดำสักเท่าไหร่

 

 

 


ตอนที่ 1775 การต่อสู้อันดุเดือดกับสัต...

 

เย่หยวนได้แต่ขมวดคิ้วแน่น!


ในหมู่ฝูงสัตว์อสูรจำนวนมากมายที่ดูแสนน่าขนลุกขนพองนั้นมันกลับมีสัตว์อสูรที่อยู่ในยอดของระดับสี่ขั้นปลายด้วย


พลังของมันนั้นเทียบเท่าได้กับราชันพระเจ้าเก้าดาวเลยทีเดียว


ตอนนี้เย่หยวนอยู่ในอาณาจักรวายุพระเจ้าห้าดาว ต่อให้ต้องเผชิญกับราชันพระเจ้าแปดดาวเขาก็ไม่หวานหวั่นแม้แต่น้อย


แต่ตอนนี้เจ้ากระทิงคลั่งอัสนีฟ้าที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงวัวกระทิงกลับมีคลื่นพลังที่เทียบได้กับราชันพระเจ้าเก้าดาว


ด้วยทักษะการเคลื่อนที่ของเย่หยวนแล้ว หากเขาคิดอยากหนีต่อให้เป็นเจ้ากระทิงคลั่งอัสนีฟ้าก็คงติดตามไปไม่ทัน


เพียงแค่ว่าตอนนี้หู่ชิงกำลังทำการโจมตีบรรลุขั้นอยู่ในจุดสำคัญ หากเขาหนีไปเสียแล้วสัตว์อสูรตัวอื่นๆ ก็คงเจ้ามารุมทำร้ายเจ้าเสือตัวนี้จนไม่เหลือซากร่างให้เก็บกลับไปแน่


หากเป็นคนอื่นพวกเขาคงเลือกที่จะหนีกันอย่างไม่คิด


แต่นี่คือเย่หยวน!


เมื่อรู้สึกได้ว่ามีคลื่นพลังรุนแรงห้อมล้อมอยู่รอบตัวคลื่นพลังของหู่ชิงก็เริ่มเกิดอาการสั่นไหวขึ้นมา


การบรรลุของเขากำลังมาถึงช่วงวิกฤต หากตอนนี้มีอะไรผิดพลาดไปอย่างน้อยๆ เขาต้องเสียการบ่มเพาะลงไปขั้นหนึ่ง แต่หากมันกลายเป็นเรื่องใหญ่เขาอาจจะต้องสูญเสียฐานบ่มเพาะไปทั้งหมดและคงเป็นการยากที่จะกลับมายืนอยู่ยังจุดเดิมได้อีก


“ตอนนี้เจ้าไม่ต้องไปคิดเรื่องอื่นใด ตั้งใจทำการบรรลุไปก็พอ ปล่อยที่เหลือให้ข้าจัดการ! ยิ่งเจ้าบรรลุได้เร็วเท่าใดเราก็จะยิ่งสามารถหนีออกไปได้เร็วเท่านั้น”


คำพูดของเย่หยวนนั้นส่งไปถึงหูของหู่ชิง ไม่นานนักพลังของเขาก็กลับมาสงบลงอีกครั้ง


เย่หยวนมองดูที่ฝูงสัตว์อสูรที่ด้านหน้าและถอนหายใจยาว “ดูท่าข้าคงมีแต่ต้องเสี่ยงและรอให้หู่ชิงบรรลุจนสำเร็จก่อนสินะ!”


จู่ๆ ก็มีเงาร่างอีกหนึ่งร่างปรากฏออกมาข้างๆ เย่หยวน แน่นอนว่าเขาย่อมคือหนิงเทียนปิง


ด้วยการพัฒนาพลังฝีมือที่เหนือล้ำของเย่หยวน ตอนนี้เรื่องที่หนิงเทียนปิงจะสามารถช่วยเขาได้มันจึงมีไม่มากมายนัก


เวลาหลายปีมานี้ เขาได้แต่เก็บตัวฝึกฝนบ่มเพาะอยู่ในโถงบัลลังก์ม่วง


ด้วยการชี้นำของโม่ลี่เฟยและโอสถที่ได้มาจากเย่หยวน ทำให้ตอนนี้เขาสามารถบรรลุคอขวดใหญ่และกลายมาเป็นยอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้าเจ็ดดาว


“นายใหญ่ นี่มัน…”


เมื่อหนิงเทียนปิงออกมาพบภาพที่น่าสะพรึงตรงหน้าเขาก็อดไม่ได้ที่จะหน้าซีดเผือดลง


เย่หยวนตอบ “เจ้าเฝ้าหมอนี่ไว้! อย่าให้สัตว์อสูรตัวใดเข้ามาใกล้ที่เหลือปล่อยข้าจัดการเอง!”


หนิงเทียนปิงเปลี่ยนสีหน้าไปทันที “แต่นายใหญ่ เจ้าสัตว์อสูรตัวนั้นมันแข็งแกร่งเกินไป!”


เย่หยวนบอก “ข้าไม่ได้คิดจะไปเสี่ยงชีวิตกับมันเสียหน่อย จะกลัวอะไรอีก?”


“ขอรับนายใหญ่!” หนิงเทียนปิงได้แต่กัดฟันตอบไป


แม้จะต้องเจอสถานการณ์สุดเลวร้ายเช่นนี้ ตัวเขากลับสามารถทำได้แค่ช่วยอยู่ไกลๆ มันช่างเจ็บปวดหัวใจ!


เย่หยวนชักดาบยาวออกมาและยิงร่างตัวเองออกไปราวสายฟ้า หายวับไปกับร่องอากาศ


เมื่อเขาเริ่มลงมือ เขาก็โจมตีออกมาด้วยกระบวนท่าปลิดชีพ ดาบวิญญาณลับ!


ฉัวะ!


ร่างของเจ้าหมาป่าดำตัวก่อนหน้าถูกผ่าออกเป็นสองซีกทันทีด้วยดาบของเย่หยวน ตายจนไม่สามารถหาชีวิตใดๆ ได้จากตัวมันอีก


และการโจมตีในครั้งนี้มันก็เรียกให้สัตว์อสูรตัวอื่นๆ หันมาสนใจทันที


“โฮ่ก!”


ในความเงียบงันนั้นมันมีแต่เสียงคำรามร้องของสัตว์อสูรที่บ้าคลั่ง เป็นภาพที่แสนน่าขนลุกขนพอง


เย่หยวนเรียกความสนใจของเหล่าสัตว์อสูรทั้งหมดมาพร้อมๆ กัน


ในหมู่ฝูงสัตว์อสูรนั้น เย่หยวนขยับร่างไปมาหน้าหลังด้วยมิติอย่างไม่มีหยุด


เมื่อเขาลงมือ มันก็สามารถสังหารสัตว์อสูรได้ทุกครั้ง


แต่ตอนนี้เองที่เจ้าสัตว์อสูรยอดระดับสี่ขั้นปลายตัวนั้นโจมตีออกมา


“โฮ่ก!”


เมื่อเจ้ากระทิงคลั่งอัสนีฟ้าคำรามร้องออกมา พื้นที่รอบๆ ตัวเย่หยวนก็เปลี่ยนกลายเป็นทะเลสายฟ้าไปทันที


เย่หยวนหน้าถอดสี เจ้าสายฟ้าเหล่านี้มันช่างรุนแรงและมีฤทธิ์ในการหยุดมิติไว้ ทำให้เย่หยวนไม่สามารถใช้แนวคิดแห่งห้วงมิติออกมาได้ดีนัก


เพราะยังไงเสียวิชาหลักหนึ่งของเย่หยวนก็คือแนวคิดแห่งห้วงมิติ


หากวิชาการเคลื่อนไหวของเขาถูกผนึกลง เขาย่อมไม่มีทางที่จะรอดออกไปได้


เจ้ากระทิงคลั่งอัสนีฟ้าตัวนี้มันไม่ได้โง่


“โฮ่ก!”


ด้วยเสียงคำรามอีกครั้งเจ้ากระทิงคลั่งอัสนีฟ้าตัวนั้นก็ก้าวออกมาด้วยความเร็วที่ปานสายฟ้า พุ่งเข้าชนใส่เย่หยวนอย่างเต็มแรง


เจ้าสัตว์อสูรตัวนี้มันช่างรวดเร็วจนเกินบรรยาย เพียงพริบตาก็สามารถขยับร่างมาถึงตรงหน้าเย่หยวนได้


ฉัวะ!


เขาแหลมๆ นั้นแทงรูสองรูเข้าใส่ร่างของสัตว์อสูรระดับสี่ขั้นปลายตัวหนึ่ง


เพราะในวินาทีเฉียดตายนั้นเย่หยวนสามารถปลดตัวเองออกจากพันธนาการและหลบเข้าไปยังช่องว่างแห่งมิติได้ทัน


ไกลออกไปหนิงเทียนปิงที่เห็นภาพเมื่อสักครู่ก็ได้แต่ยืนหน้าซีด


เมื่อเขาเห็นว่าเย่หยวนสามารถหลบได้แล้วเท่านั้นเขาถึงกล้าที่จะถอนหายใจออกมา


“อ่อก!”


เย่หยวนกระอักเลือดออกมาคำโต ดูท่าการโจมตีเมื่อสักครู่มันน่าจะแฝงพลังแห่งแนวคิดมาด้วยจึงทำให้เขาบาดเจ็บ


เย่หยวนไม่คิดที่จะหยุดอยู่ตรงหน้า วิ่งสู้ฝ่าฝูงสัตว์อสูรออกมาจากวงล้อมของสายฟ้า


เขาเชื่อว่าพลังที่รุนแรงและน่ากลัวขนาดนี้เจ้ากระทิงคลั่งอัสนีฟ้าย่อมไม่สามารถที่จะปล่อยออกมาติดๆ กันได้แน่


หนิงเทียนปิงนั้นหน้าซีดขาวหัวใจแทบร่วงลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม


เพราะเขาไม่ได้เห็นเย่หยวนลงมือมานานแสนนาน เวลาหลายปีผ่านไปเย่หยวนกลับมีพลังฝีมือที่พัฒนาเหนือล้ำขึ้นอย่างน่ากลัว


ราชันพระเจ้าที่สามารถต่อสู้กลางดงฝูงสัตว์อสูรเช่นนี้ได้ หากคิดจะหาคนที่สองมันก็คงไม่มีอีกแล้ว


จู่ๆ เขาก็ต้องขมวดคิ้วแน่นเพราะตอนนี้กำลังมีฝูงสัตว์อสูรจำนวนไม่ต้องมุ่งหน้ามาหาเขาเช่นกัน


จากนั้นหนิงเทียนปิงก็เริ่มยกดาบยาวขึ้นทำการป้องปกหู่ชิงทันที


โชคยังดีที่เย่หยวนนั้นล่อฝูงสัตว์อสูรไว้จำนวนมาก ทำให้พวกที่มุ่งหน้ามาหาเขานั้นมันเป็นแค่สัตว์อสูรจำนวนน้อยนิด


ตอนนี้ด้วยการชี้นำของโม่ลี่เฟยพลังฝีมือของหนิงเทียนปิงเองก็ไม่ได้พัฒนาช้าไปนักเลย


แค่ฝูงสัตว์อสูรไม่กี่ตัว หนิงเทียนปิงนั้นไม่คิดจะกลัวพวกมันเลยแม้แต่น้อย


แม้ว่าเขาจะไม่สามารถสังหารได้มากมายเช่นเย่หยวน แต่แค่สัตว์อสูรทั่วๆ ไปนั้นก็ไม่สามารถที่จะเข้ามาใกล้เขาได้เลยเช่นกัน


ที่ด้านเย่หยวน ตอนนี้มีเหลือแค่พวกสัตว์อสูรที่เขาสังหารลงไม่ได้ง่ายๆ


พวกที่เขาสามารถสังหารลงได้ด้วยดาบเดียวนั้นล้วนแต่เป็นสัตว์อสูรที่อ่อนแอ


พวกสัตว์อสูรที่มีพลังผ่านระดับสี่ขั้นปลายขึ้นไปนั้นเย่หยวนเองก็ไม่สามารถจะสังหารฆ่ามันลงได้ง่ายๆ เช่นกัน


แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น มันก็ยังมีสัตว์อสูรระดับสี่ขั้นปลายเจ็ดถึงแปดตัวนอนตายอยู่แถวๆ นั้น


ส่วนพวกศพของสัตว์อสูรที่อ่อนแอนั้นยิ่งกองกันมากเป็นภูเขา


เมื่อถูกล้อมอย่างหนักเช่นนี้ เย่หยวนเองก็รู้สึกได้ถึงความกดดันอันมหาศาลเช่นกัน


จู่ๆ เย่หยวนก็ได้เห็นว่ามีสัตว์อสูรระดับสี่ขั้นปลายสองตัวกำลังมุ่งหน้าเข้าไปทางด้านหนิงเทียนปิง


เย่หยวนนั้นตกตื่นอย่างมาก เพราะด้วยพลังฝีมือของหนิงเทียนปิงในตอนนี้มันเป็นเรื่องยากมากที่จะสามารถทนรับการโจมตีของสัตว์อสูรระดับสี่ขั้นปลายถึงสองตัวพร้อมๆ กัน


ที่สำคัญตอนนี้เขาก็ต้องรับมือกับสัตว์อสูรอื่นอยู่หลายตัว


ฟุบ!


สองดาบแสงพุ่งตรงแหวกอากาศไป ฟันทำลายร่างของสัตว์อสูรทั้งสองตัวนั้นจนลงไปกองแน่นิ่งกับพื้น


แต่ตอนนั้นเองทางด้านเจ้ากระทิงคลั่งอัสนีฟ้าเองก็ปล่อยลูกสายฟ้าออกมาจากปากของมัน


เพื่อที่จะสังหารเจ้าสัตว์อสูรทั้งสองตัวนั้น เย่หยวนได้เปิดช่องว่างขนาดใหญ่ขึ้นมา และหากคิดจะหลบตอนนี้มันก็คงสายไปเสียแล้ว


แต่เรื่องนี้เย่หยวนก็เข้าใจมันดีมาตั้งแต่แรก


ลายสีฟ้าครามปรากฏขึ้นบนร่างของเย่หยวนพร้อมแสงสีทองเจิดจ้า


ปัง!


เย่หยวนฝืนรับการโจมตีนี้ไว้โดยตรง ร่างของเขาถูกสายฟ้ากระแทกเข้าอย่างแรงจนต้องกระอักเลือดสาดกระเซ็นออกมาทั่วฟ้าพร้อมปลิวถอยไปไกลลิบ


ตอนนั้นเองที่หู่ชิงก็บรรลุได้สำเร็จ!


เมื่อได้เห็นภูเขาสัตว์อสูรตรงหน้านี้หู่ชิงก็ตื่นตระหนกขึ้นอย่างรุนแรง


“นี่มัน… ฝีมือของท่านเย่หยวนหรือ? เขามีพลังที่น่ากลัวถึงขนาดไหนกันแน่เนี่ย?!”


หู่ชิงไม่เคยคาดคิดว่ามนุษย์จะมีพลังที่น่าเกรงขามได้มากมายถึงขั้นนี้


การต้องถูกสัตว์อสูรยอดระดับสี่ขั้นปลายและยังมีฝูงสัตว์อสูรอีกจำนวนมากล้อม เขากลับสามารถสังหารอีกฝ่ายลงได้อย่างมากมายถึงขั้นนี้


พลังของเย่หยวนนี้แข็งแกร่งจนเขาอดไม่ได้ที่จะขนลุก


เพราะยังไงเสียในสายตาของเขาเย่หยวนก็เป็นแค่ราชันพระเจ้าห้าดาว!


“เจ้าเสือโง่ จะยังยืนนิ่งทำอะไรอีก? รีบไปช่วยนายใหญ่เร็ว!”


ดวงตาของหนิงเทียนปิงนั้นกลายเป็นสีแดงเลือดทันทีที่ได้เห็นว่าเย่หยวนได้รับบาดเจ็บ


เมื่อได้เห็นว่าหู่ชิงที่บรรลุสำเร็จแล้วกลับเอาแต่ยืนนิ่ง เขาจึงอดไม่ได้ที่จะตะโกนว่าออกมา

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)