Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1762-1765
ตอนที่ 1762 ข้าเย่หยวนจะไม่ขอเป็นหมาก
“พวกเจ้าจะไปที่ใดกัน?”
“เจ้าไม่รู้เรื่องราวใหญ่โตเช่นนี้เลยหรือ? อัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งวิหาร เย่หยวนคนนั้นคิดที่จะท้าทาย ‘อย่าถาม’”
“หะ? นี่มันหาเรื่องใส่ตัวหรือ? ตอนนั้นกวงเฟยที่ว่าเก่งกาจไร้ผู้ใดต้านทานก็ยังแทบตายหลังจากท้าทาย ‘อย่าถาม’ ไป สุดท้ายเขาต้องใช้เวลากว่าร้อยปีถึงจะค่อยฟื้นฟูร่างกายกลับมาได้”
“หึ ‘อย่าถาม’ นั้นมันคือพิษชัดๆ ทุกคนรู้ดีว่ามันอันตราย แต่มันก็ย่อมมีคนที่อยากจะลองชิมมันดู ยิ่งเก่งกาจมากเท่าไหร่มันก็ยิ่งเป็นพิษมากเท่านั้น”
“เรื่องใหญ่ขนาดนี้ข้าย่อมต้องไปดูอยู่แล้ว!”
…
หนึ่งคนบอกต่อสิบ สิบคนบอกต่อร้อย
ข่าวเรื่องที่ว่าเย่หยวนคิดท้าทายเกมศักดิ์สิทธิ์ ‘อย่าถาม’ จึงได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งวิหารนักบวชอย่างรวดเร็ว
ในลานกว้าง ตอนนี้มีเหล่าผู้อาวุโสมากันพร้อมหน้า
นิคุนมองดูเย่หยวนด้วยสายตาที่มั่นใจกับวิบัติที่กำลังจะเกิด
เขานั้นรู้ดีว่าเหล่ายอดอัจฉริยะนั้นมักจะหยิ่งผยองกันทุกคน
เขาเองก็เคยเป็นเช่นกัน
นึกย้อนกลับไป เขาเองก็เป็นยอดคนมากพรสวรรค์คนหนึ่ง คิดว่าตนเองเป็นหนึ่งในฟ้าดิน เพราะฉะนั้นเขาถึงได้กล้าที่จะไปท้าทาย ‘อย่าถาม’
แน่นอนว่าผลลัพธ์มันชัดเจน
แล้วถามว่าสภาพเย่หยวนตอนนี้มันเหมือนกับสภาพตัวเขาในตอนนั้นมากแค่ไหนกัน?
ดี๋เชียวมองดูเย่หยวนและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบเครือ “เย่หยวน เจ้าต้องคิดดีๆ ก่อนนะ หากเข้าไปในหมากล้อมนี้แล้วความเป็นความตายไม่มีใครยืนยันได้แน่ชัด! ยอดอัจฉริยะที่ต้องตายเพราะมันมีมาแล้วมากมายไม่รู้กี่คน!”
เย่หยวนตอบกลับไป “ท่านเจ้าวิหารโปรดเริ่มเถอะ!”
ดี๋เชียวเห็นท่าทางแสนแน่วแน่ของเย่หยวนแล้วจึงไม่คิดที่จะพูดอะไรต่อไปอีก เขาเริ่มร่ายคำพูดบางอย่างออกมา
คาถานั้นทำให้กระดานหมากใหญ่โตขึ้นและลอยออกมาจากมือของดี๋เชียว ก่อนจะพุ่งลงตั้งยังใจกลางลานกว้าง
เย่หยวนมองดูกระดานเกมนี้และเขาก็ได้เห็นว่ามันเป็นกระดานหินขนาดใหญ่ ที่ดูไม่ต่างจากกระดานหมากปกติทั่วๆ ไป
บนกระดานนั้นมีหมากสีขาวดำตั้งวางอยู่สลับกันไปมา พร้อมๆ กับจิตสังหารที่ล่องลอยทำให้ผู้ที่จ้องมองรู้สึกราวกับจิตวิญญาณจะหลุดออกจากร่าง
เย่หยวนแค่มองครั้งเดียวเขาก็ไม่สามารถที่จะจากมันไปได้แล้ว
เย่หยวนนั้นเป็นยอดคนในด้านนี้เช่นกัน การโอสถนั้นมันน่าเบื่อหน่ายไม่น้อย เมื่อเย่หยวนมีเวลาว่างเขาจึงมักจะไป เล่นเกมหมากล้อมเพื่อบำรุงจิตใจ
อย่างที่ทุกคนรู้กัน แม่น้ำทุกสายย่อมไหลลงสู่ทะเล
กระดานหมากล้อมเล็กๆ นั้นมันแฝงไปด้วยแนวคิดจากยอดเต๋า
จุดศูนย์กลางเป็นความโกลาหล สลับไปมากทั้งแนวตั้งและแนวนอน แสดงให้เห็นถึงความเป็นมาของยอดเต๋า!
จริงๆ แล้วสิ่งนี้มันคือจักรวาลดีๆ นี่เอง!
เย่หยวนนั้นรู้ดีว่านี่คือเกมกระดานที่โอสถบรรพกาลและมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลประชันความรู้กัน
เย่หยวนรีบวิเคราะห์เกมตรงหน้าและได้เข้าใจว่าตอนนี้ฝ่ายดำกำลังเข้าตาจนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ไม่ว่าหมากต่อไปจะเดินวางไปทางใด มันก็เป็นรุกจน
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมตอนนั้นมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลจึงได้นั่งอยู่หน้ากระดานนี้เป็นเวลากว่าแสนปี
เมื่อไม่มีทางไปต่อ และไม่มีทางถอยกลับ โอสถบรรพกาลนั้นได้ทำให้มหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลต้องมายืนอยู่ปากเหวแล้ว
“เกมกระดานเช่นนี้มีคนผ่านไปได้ถึงสิบเอ็ดคนเลยหรือ?”
เย่หยวนนั้นตกตะลึงในหัวใจมาก เพราะแม้ว่านี่จะเป็นแค่ ‘อย่าถาม’ อย่างง่าย เย่หยวนก็บอกได้เลยว่านี่คือหมากที่เดินจนเข้าตาจนแล้ว
คนทั้งสิบเอ็ดที่ผ่านไปได้นั้นมันต้องมีความสามารถพรสวรรค์มากมายเพียงใดกัน?
“หึๆ กลัว? หากเจ้าคิดถอยตอนนี้มันยังทันนะ!” นิคุนบอกด้วยรอยยิ้ม
“เย่หยวน ยอมแพ้เสียเถอะ! อย่าได้ประเมินตัวเองสูงส่งจนเกินไปเลย!” ผู้อาวุโสหลี่พูดขึ้นตามด้วยท่าทางเย้ยเยาะ
เหล่าผู้อาวุโสต่างเหยียดหยามเขาออกมา เพราะการกระทำของเย่หยวนนั้นมันโอหังเหนือฟ้าดิน พวกเขาจึงไม่มีใครคิดที่จะรักชอบในตัวเย่หยวนเลย
เย่หยวนหัวเราะออกมาเมื่อได้ยิน “พวกเจ้าไม่มีปัญญา ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะไม่มีปัญญาด้วย! เมื่อมันมีคนที่ผ่านไปได้มันย่อมมีความหวัง! ผ่านไม่ได้มันก็คงได้แต่โทษตัวเองที่โง่คนเกินไป ไม่มีปัญญาที่จะมองแสงแห่งความหวังนั้นออก!”
เฒ่าเหล่านี้ต่างสาปแช่งให้เขาตายลงในเกมกระดานนี้
การพูดเช่นนั้นออกมาก็แค่เพื่อจะผลักดันเขาเข้าไป ทำไมเขาจึงต้องไปเคารพคนเหล่านี้ด้วย?
“โอหัง! เย่หยวน เจ้าคิดว่าตัวเองกำลังพูดกับใครอยู่?” นิคุนตวาด
เย่หยวนหันไปมองนิคุนด้วยรอยยิ้ม “เจ้าวางแผนวันแล้ววันเล่าเพื่อให้ข้าจำต้องมาท้าทายและตายลงใน ‘อย่าถาม’ นี้มิใช่หรือ? หากข้าตาย กับคนที่กำลังจะตายแล้วแค่โอหังนิดๆ หน่อยๆ จะเป็นไรไป? แต่หากข้าผ่าน เรื่องด่าว่าพวกเจ้าไม่กี่ตัวนี้มันยิ่งเป็นเรื่องที่แสนเล็กน้อยเข้าไปใหญ่ ไม่คิดว่าเช่นนั้นบ้างหรือผู้อาวุโสนิ?”
นิคุนสะดุ้งทันทีที่ได้ยินเช่นนั้นแต่ก็ยิ้มออกมาได้ในที่สุด “บางทีเจ้าอาจจะกลับมาในสภาพปางตายก็ได้?”
เย่หยวนยิ้ม “เช่นนั่นมันคงถูกใจผู้อาวุโสนิล่ะมั้ง?”
นิคุนหัวเราะลั่นออกมาเมื่อได้ยิน “ข้าไม่นึกเลยว่าเจ้าจะเป็นคนมากอารมณ์ขันเช่นนี้”
เย่หยวนแค่ยิ้มตอบกลับไปและเดินขึ้นกระดานทันที
ซุบ!
จู่ๆ ภาพตรงหน้ามันก็เปลี่ยนแปลงไป!
ตอนนี้เหมือนกระดานหินนี้จะเริ่มทำงานแล้ว
คลื่นพลังอันหนาแน่นลอยขึ้นมาจากกระดาน ทำให้ทุกตัวหมากมันเหมือนกลับกลายมามีชีวิต
เบื้องหน้าของเย่หยวนนั้นเต็มไปด้วยกำลังพลและทหารม้ามากมาย สองทัพกำลังขับสู้กับอย่างใกล้ชิด เป็นภาพที่แสนรุนแรงและโหดร้าย
ต่อให้เย่หยวนจะเปิดใช้เนตรสุริยันจันทราเทวะมันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลยแม้แต่น้อย
ด้วยพลังของเขาในตอนนี้ตัวเขาไม่สามารถมองมันให้ทะลุได้เลย
จู่ๆ ก็ปรากฏสองขุมพลังขึ้นมาทำให้ผู้คนที่อยู่ใกล้ต้องแทบหายใจไม่ออก
พลังนี้ทำให้เย่หยวนหน้าซีดเซียวและต้องกระอักเลือดออกมาคำโต
เบื้องหน้าเย่หยวนนั้นคือร่างขนาดใหญ่ที่ปรากฏขึ้นมาจากพื้น สายตาคู่ยักษ์นั้นกำลังจ้องมองลงมายังร่างของเย่หยวน
ภาพขนาดยักษ์เบื้องหน้าเย่หยวนนี้ เย่หยวนไม่สามารถมองเห็นมันได้อย่างชัดเจนนัก
“นี่หรือคือมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล? แข็งแกร่ง!” เย่หยวนกล่าวออกมาด้วยท่าทางตื่นตกใจ
เย่หยวนรู้ดีว่านี่เป็นเพียงแค่จิตส่วนน้อยที่ถูกฝังไว้โดยมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล
แต่แค่เสี้ยวจิตนี้มันก็แข็งแกร่งอย่างถึงที่สุด มันเป็นความกดดันที่ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองไม่มีทางเทียบเคียงได้
“เด็กน้อย จัดการโอสถบรรพกาลด้วยจำนงของข้า! ข้าจะมอบโอกาสเสี่ยงโชคนี้ให้แก่เจ้า!”
ร่างใหญ่นั้นค่อยๆ เปิดปากพูด น้ำเสียงของเขาเองก็ฟังดูยิ่งใหญ่ไม่แพ้พลัง
พูดจบมือคู่ยักษ์ก็เลื่อนลงมาจากฟากฟ้า
นั่นทำให้สีหน้าของเย่หยวนเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน เขารู้สึกได้ว่าจิตของตัวเองกำลังถูกเขาลูกใหญ่กดทับจนแทบจะแหลกเละเป็นผุยผง
จิตที่ไม่อาจต้านทาน!
เย่หยวนกัดฟันแน่นและตอบกลับไปอย่างไม่พอใจ “ท่านอยากให้ข้ายอมรับและกลายเป็นหมากในกระดานของท่าน! เกมนี้ดูยังไงมันก็ตัดสินผลกันไปแล้ว สุดท้ายนี่มันก็แค่การท้าทายว่าผู้คนจะรับจิตของท่านไปหรือไม่เท่านั้น!”
ภาพยักษ์นั้นตอบกลับมาโดยไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ “แล้วมันทำไม? หากไม่มีปัญญาพอที่จะต้านทานจิตของข้าผู้นี้ เจ้าจะเอาปัญญาที่ไหนไปต้านทานตัวตนของโอสถบรรพกาลได้?”
เย่หยวนหน้าเปลี่ยนสีไปอีกครั้งแต่ก็ยังกัดฟันแน่น “ข้าเย่หยวนจะไม่ยอมเป็นหมากให้แก่ใคร!”
เย่หยวนนั้นเข้ามาท้าทายเพื่อทำลายอุปสรรคด้วยกำลังของตนเอง ไม่ใช่มาเพื่อพึ่งพาพลังของผู้อื่น!
เขานั้นไม่เคยที่จะยอมรับในจิตจำนงของใครผู้ใดมาก่อน!
ภาพร่างยักษ์นั้นตอบกลับมา “ยอดฝีมือย่อมเริ่มจากเป็นตัวหมาก! ในที่แห่งนี้เรื่องราวมันไม่ได้อยู่ในมือเจ้า! มันอยู่ในมือข้าผู้ยิ่งใหญ่คนนี้!”
เพราะยังไงเสีย ‘อย่าถาม’ ฉบับง่ายนั้นมันก็ถูกสร้างขึ้นมาจากน้ำมือของมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล
นี่เป็นเกมที่เขานั้นควบคุมหาใช่โอสถบรรพกาลไม่
มีเพียง ‘อย่าถาม’ ของจริงเท่านั้นที่โอสถบรรพกาลควบคุมอยู่
ในที่แห่งนี้หากมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลอยากให้รอด ก็จะรอด หากเขาอยากให้ตาย ก็จะตาย!
เย่หยวนพ่นลมออกมาจากจมูก “ชะตาของเย่หยวนคนนี้ล้วนอยู่ในมือของตัวข้าเอง! ตัวหมากนั้นต่อให้เป็นยังไงข้าก็จะไม่มีวันยอมรับ! ต่อให้ท่านจะเป็นมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลข้าก็ไม่ยอมเช่นกัน!”
ภาพร่างยักษ์นั้นตอบกลับมา “ช่างเป็นเด็กที่อวดดีและไม่รู้จักกาลเทศะเสียจริงๆ หากไม่รับจิตจำนงของข้าไปมันก็เท่ากับว่าเจ้าต้องตายสถานเดียว!”
น้ำเสียงของมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลนั้นมันแสนเย็นเยือก ราวกับว่าการสังหารเย่หยวนนั้นมันง่ายเพียงแค่พลิกฝ่ามือ
เย่หยวนหรี่ตาลงทันทีที่ได้ยินและตอบกลับไป “เช่นนั้นแล้วท่านก็ลองดูเถอะ!”
ตอนที่ 1763 แทนที่
ในขณะนั้นเองที่โลกด้านนอกกำลังมองเห็นอีกภาพตรงหน้าไปอีกอย่าง
เมื่อเกมเริ่มขึ้น ทุกสิ่งอย่างภายในมันก็จะถูกปกปิด
กระดานเกมจะส่องแสงจ้า ส่องภาพขึ้นไปบนฟ้ากว้างเป็นภาพของกระดานอันใหญ่ยักษ์
และพร้อมๆ กันนั้นมันก็จะมีภาพของสองยักษ์ใหญ่กำลังนั่งหันหน้าเข้าหากันบนท้องฟ้าเป็นภาพที่แสนน่าอัศจรรย์
ตอนนี้เกมได้เริ่มไปนานมากแล้ว แต่ทั้งสองฝ่ายก็ยังไม่มีใครขยับใดๆ
ฉีหยูขมวดคิ้วแน่น “เกิดอะไรขึ้น? ทำไมมันจึงยังไม่เริ่มอีก?”
นิคุนบอกด้วยหน้าตาได้ใจ “ไอ้เด็กคนนั้นมันคงไม่สามารถจะทานทนจิตของมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลได้ใช่ไหม? ดูท่ามันจะมีพรสวรรค์มหาศาลแต่จิตใจอ่อนแอ!”
สิ่งที่เจ้า ‘อย่าถาม’ นี้ทดสอบมันคือพลังจิตใจของนักบวชที่เข้าทดสอบ
ยิ่งคนผู้นั้นมีจิตใจใฝ่หาความรู้มากเท่าไหร่ พวกเขาก็จะยิ่งก้าวไปได้ไกลกว่าเก่า
ตอนนี้เย่หยวนกลับไม่สามารถจะก้าวไปได้แม้แต่ก้าว มันแสดงออกมาอย่างชัดเจนว่าพลังจิตของเขานั้นอ่อนแอและไม่สามารถทนทานจิตของมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลได้เลย
ในฝูงชนที่มองดูอยู่ ซิ่วกำลังมองภาพตรงหน้าด้วยคิ้วที่ขมวดจนติดกัน
“เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าเด็กคนนี้กัน? หรือว่ามันจะไม่สามารถทนจิตแรกของมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลได้เลย? หรือว่าข้า… จะมองเขาผิดไป?”
ดูแล้วเขาก็กำลังกังวลเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างมากเช่นกัน
แต่คงหยุนกลับหัวเราะลั่นออกมา “ไอ้เด็กคนนี้มันคงไม่ได้โดนจิตของท่านมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลทำลายไปแล้วหรอกใช่ไหม? อัจฉริยะ? น่าขันสิ้นดี!”
ฉีเฟิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ยิ้มตอบขึ้น “หากมันถูกบดทับไปจริงๆ มันคงได้กลายเป็นเรื่องตลกที่สุดในเผ่าอสูรเราแน่! อัจฉริยะที่ไม่มีปัญญาจะทนทานจิตแรกได้ มันคงเป็นเรื่องที่ไม่มีใครคิดและคาดว่าจะเกิดขึ้นหรอกใช่ไหม?”
ที่ด้านนอกคนทั้งหลายกำลังรุมว่าความโชคร้ายนี้อยู่
แต่ด้านใน ‘อย่าถาม’ นั้นเย่หยวนกลับมีใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ พร้อมปะทะกับภาพร่างอันยิ่งใหญ่นี้
“หากไม่ยอมเป็นหมากให้ผู้คน คนผู้นั้นก็ต้องมีพลังฝีมือที่พร้อมจะทำลายทุกชีวิต! เจ้ายังไม่เก่งพอ! หากเจ้าคิดที่จะรับมันไว้อย่างนั้น ก็จงรับความพิโรธของข้าผู้นี้เสีย!”
เมื่อเสียงของร่างยักษ์นั้นจางหายไป มันก็มีพลังที่ราวกับโลกจะถล่มลงตรงหน้าปล่อยออกมา
พลังจิตที่แสนรุนแรงพุ่งเข้ามาหาเย่หยวนในทันที
คลื่นพลังจิตอันรุนแรงนี้มันถล่มลงมาราวกับฟ้าดินจะพังทลาย ทำลายทุกสิ่งอย่างที่ขวางทางมัน
ตอนนั้นไข่มุกสยบวิญญาณก็ค่อยๆ ปล่อยพลังบางๆ ออกมาคลุมจิตศักดิ์สิทธิ์ของเย่หยวนไว้
แม้ว่าพลังจิตนี้มันจะรุนแรงแค่ไหนมันก็ยังไม่ใช่ ‘อย่าถาม’ ของจริง
ด้วยพลังของหวู่เฉินในตอนนี้ เขาสามารถที่จะตั้งรับพลังระดับนี้ได้ไม่ยาก
แต่กลับเป็นเย่หยวนที่กล่าวออกมา “ผู้อาวุโสท่านไม่ต้องลงมือหรอก! ในเรื่องความแน่วแน่ของจิตแล้วข้าเย่หยวนไม่มีทางพ่ายแพ้แก่ใครแน่! ต่อให้เป็นมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลก็ตาม!”
เมื่อคำพูดเหล่านั้นถูกกล่าวออกมาไข่มุกสยบวิญญาณก็ดึงพลังกลับไปในทันทีทันใด
พลังจิตนี้ที่เรียกได้ว่าสามารถถล่มภูเขาทำลายแม่น้ำ พุ่งตรงลงมายังจิตศักดิ์สิทธิ์ของเย่หยวนอย่างรุนแรง
ฟุบ!
เย่หยวนรู้สึกว่าสติของตัวเองเลื่อนลอยไปชั่ววินาที ร่างของเขารู้สึกราวกับถูกฟ้าฝ่าลงกลางหัวจนต้องกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง
“คุกเข่า!” เสียงสนั่นลงมาถึงจิตศักดิ์สิทธิ์ของเย่หยวน
แต่ว่าเย่หยวนนั้นกลับยังอยู่แน่วแน่เหมือนหินที่ตั้งขวางน้ำตก ไม่ว่าพลังจิตนี้มันจะรุนแรงแค่ไหนเขาก็ยังยืนนิ่งอย่างไม่คิดจะไหวติง
“หึ ข้าเย่หยวน แม้แต่สวรรค์ข้าก็ไม่คิดจะคุกเข่าให้ ทำไมต้องมาคุกเข่าให้เจ้าด้วย? หากแค่เสี้ยววิญญาณของเจ้าข้ายังไม่มีปัญญาต้านทานข้าจะไปช่วยเหลือผู้ที่เป็นที่รักของข้าได้อย่างไร?!”
เย่หยวนกัดฟันแน่น คลื่นพลังจิตอันแสนดื้อด้านพุ่งขึ้นสูงทะลุฟ้า!
จากนั้นพลังในร่างของเย่หยวนก็ค่อยๆ เพิ่มสูงขึ้นและแข็งแกร่งขึ้น จนสามารถที่จะเริ่มต่อต้านจิตของมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลได้ในที่สุด
นี่คือการปะทะกันของจิต!
เย่หยวนมายังมหาพิภพถงเทียนนี้ก็เพื่อที่จะช่วยมู่หลินเสวีย
เพื่อการนี้แล้วเขาจึงต้องเดินทางขึ้นไปยังยอดเขาแห่งถงเทียน และต้องมีพลังที่เหนือล้ำไร้ผู้ต่อต้าน
ชีวิตที่ใช้มาถึงครั้งที่สอง เดินทางบนเส้นทางแสนลำบากมากมาย เย่หยวนย่อมไม่คิดที่จะพึ่งพาเต๋าบรรพกาลคนใด
เย่หยวนเข้าใจดีว่าคนที่จะช่วยมู่หลินเสวียได้จริงๆ แล้วมันมีแค่ตัวเขาเท่านั้น!
เพราะฉะนั้นเขาจะแพ้พ่ายต่อใครไม่ได้อีก!
คนที่อยู่ต่ำกว่าเต๋าบรรพกาลนั้นล้วนแล้วแต่เป็นมดปลวก!
คนที่เก่งกาจระดับมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลนั้นมันเป็นได้แค่ตัวหมากเท่านั้น
ที่สำคัญเย่หยวนยังมีเขาน้อยถงเทียน สร้างวรยุทธบ่มเพาะของตัวเอง สายตาของเขาย่อมเหนือล้ำกว่าที่จะเอานักยุทธคนไหนมาเปรียบเทียบได้
เขารู้สึกได้ลึกๆ ว่าจริงๆ แล้วเต๋าบรรพกาลเองก็จะอาจจะเป็นได้แค่ตัวหมากหนึ่งของมหาพิภพนี้!
ตัวเขา เย่หยวนคนนี้จะไม่ยอมเป็นหมากให้ใคร!
เขาอยากจะสร้างชะตาของตัวเอง ด้วยมือของตัวเอง!
การปะทะกันของจิตนี้ สิ่งที่ยากที่สุดมันก็คือตอนแรก
หลังผ่านช่วงแรกมาได้ที่เหลือมันก็ไม่ได้ยากเย็นแล้ว
“เอ๋?”
เสียงร้องเบาๆ ดังออกมาจากปากของร่างยักษ์นั้น ดูท่าแล้วเขาคงตกตะลึงที่เย่หยวนยังไม่ถูกบดแหลกเป็นชิ้นๆ ไปอีก
“ดูท่าข้าผู้นี้จะดูถูกเจ้าไปหน่อย! หากเป็นเช่นนี้ก็จงรับความพิโรธไปอีกที!”
ร่างยักษ์นั้นชี้นิ้วอันใหญ่ที่แฝงพลังจากยอดเต๋าและพลังจิตใจเข้ามาปะทะกับร่างของเย่หยวนอีกครั้งหนึ่ง
เย่หยวนหรี่ตาเล็ก มุมปากของเขาค่อยๆ เผยอออกมาเป็นรอยยิ้มขึ้นมา “นี่หรือคือเต๋าของเจ้า? รุนแรงเสียจริงๆ! น่าเสียดายที่เมื่อมาเจอข้ามันก็คงทำได้แค่นี้!”
เย่หยวนยกมือสองข้างขึ้นมาและส่งให้ยันต์แปดทิศอันใหญ่ปรากฏขึ้น!
“ยันต์แปดทิศยอดเต๋า! เป็นไปได้อย่างไรกัน?!”
นี่เป็นครั้งแรกที่ร่างยักษ์นี้แสดงความตื่นตกใจออกมา
เขานั้นไม่สามารถเข้าใจได้ว่าเด็กน้อยที่เพิ่งอยู่อาณาจักรราชันพระเจ้าจะสามารถบ่มเพาะยันต์แปดทิศยยอดเต๋าได้อย่างไร!
ปัง!
ยอดเต๋าของมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลและยันต์แปดทิศยอดเต๋าของเย่หยวนปะทะกันจนทำให้ห้วงมิติเกิดความบิดเบี้ยว
มันทำให้พื้นแผ่นดินและเทือกเขาสั่นสะเทือน!
ตอนนั้นเองทางโลกภายนอกก็รับรู้ได้ถึงแรงสั่นสะเทือนอันนี้
มันราวกับว่ากระดานหมากนี้กำลังจะพังทลายลง
ซิ่วมีใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความผิดหวังและกล่าวออกมา “นี่มัน… เขาจะไม่สามารถขยับหมากได้แม้แต่ตัวเดียวเลยจริงๆ หรือ?”
“ฮ่าๆๆ ไอ้เด็กคนนี้มันเอาแต่อวดอ้างตัวอยากท้าทาย ‘อย่าถาม’ สุดท้ายกลับไม่สามารถขยับหมากได้แม้สักตัว น่าขันเสียจริง!” นิคุนหัวเราะลั่น
ผู้อาวุโสคนอื่นๆ เองก็ส่ายหัวออกมาตามๆ กันดูท่าแล้วพวกเขาเองก็คงทนดูสภาพตรงหน้านี้ไม่ไหว
คงหยุนนั้นมีรอยยิ้มเย้ยหยันอยู่เต็มใบหน้า “อะไรคือสิ่งที่เรียกว่าประเมินตัวเองสูงเกินไป? นี่แหละสิ่งที่เรียกว่าประเมินตัวเองสูงเกินไป! ไม่มีปัญญาวางหมากแม้สักตัวและถูกจิตของมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลทำลายจนสิ้น ครานี้… มันช่างเป็นเรื่องที่เหนือคาดทุกผู้คนนัก!”
ฉีเฟิงเองก็หัวเราะจนท้องแข็ง “เมืองจักรพรรดิต้นทรราชของเราเองก็คงต้องปิดบังเรื่องนี้ไว้ ไม่เช่นนั้นมันคงขายขี้หน้าเขาไปทั่ว”
ปัง!
ตอนนั้นเองที่เงาร่างของมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลบนฟ้าแตกสลายหายไป กลายเป็นแค่ก้อนแสงน้อยๆ ลอยร่วงลงมาจากสรวงสวรรค์
ซิ่วหน้าถอดสีทันที “นี่มัน… เกิดอะไรขึ้น? ตามหลักเกมมันน่าจะจบแล้วนี่ ทำไม… ทำไมเงาของโอสถบรรพกาลยังอยู่แต่เงาของท่านมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลกลับแตกสลายลงกัน?”
ฝีมือของเขานั้นเหนือล้ำ มันจึงทำให้เขามองเห็นภาพได้ชัดเจนกว่าที่คนอื่นๆ จะคาดคิด
ภาพตรงหน้านี้มันต่างจากที่เขาคาดเดาไปมาก
มันเป็นอะไรที่ผิดแปลก!
จู่ๆ ดวงตาของเขาก็ต้องเบิกโพลง มองจ้องไปยังความว่างเปล่านั้นอย่างตกตะลึง
เพราะในที่ๆ เงาของมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลเคยอยู่นั้นมันกลับค่อยๆ มีเงาอีกร่างก่อตัวขึ้นมาแทน!
“นี่มัน… เป็นไปได้อย่างไร?”
ซิ่วมองดูที่ท้องฟ้าอย่างตื่นตระหนก รอให้ร่างนั้นค่อยๆ ก่อตัวชัดเจนขึ้น
ดูจากเงาตอนนี้แล้ว มันย่อมเป็นเงาร่างของเย่หยวนไม่ผิดแน่!
ตอนนี้สองฝั่งของกระดานยักษ์มันกลายเป็นเงาร่างของเย่หยวนและโอสถบรรพกาล!
และนั่นทำให้สีหน้าของทุกผู้คนที่มองดูอยู่ต้องเปลี่ยนไปไม่ต่างจากซิ่วนัก พวกเขาต่างตกตะลึงกับภาพที่จู่ๆ ก็เกิดขึ้นตรงหน้า!
ตอนที่ 1764 ตาเดินที่อ่อนหัด
เมื่อเห็นร่างที่ก่อตัวขึ้นมาจนเสร็จแล้วทุกผู้คนก็ต้องตกตะลึงไปจนถึงแก่นวิญญาณ
ร่างนี้มันต่างจากเงาร่างของโอสถบรรพกาลที่มืดมัวไม่ชัดเจน ร่างของเย่หยวนในตอนนี้มันชัดเจนและมั่นคงแน่นอนมาก
แค่มองผ่านๆ ก็แยกออกได้ทันทีว่านี่คือเย่หยวน!
“นี่มัน… เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมคนที่ขึ้นมาเล่นกับโอสถบรรพกาลจึงได้กลายเป็นเย่หยวน?”
“เจ้าล้อข้าเล่นเรอะ? เย่หยวนกลับสามารถขึ้นมาแทนที่มหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลและเล่นกับโอสถบรรพกาลได้หรือ?”
“ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าใครจะขึ้นมาแทนที่มหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลได้ ด้านในมันเกิดเรื่องบ้าบออะไรขึ้นกันแน่? ทำไมจึงได้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นกัน?”
…
ตอนนี้ทั้งวิหารนักบวชนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความตกตะลึง
มหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลและโอสถบรรพกาลนั้นเล่นเกมนี้มากว่าห้าสิบล้านปี ในประวัติศาสตร์อันยาวนานนี้มียอดอัจฉริยะจำนวนนับไม่ถ้วนที่คิดเข้ามาท้าทาย ‘อย่าถาม’ นี้
แต่คนที่ผ่านไปได้นั้นกลับมีจำนวนแค่สิบเอ็ดคนเท่านั้น
แต่มันก็ยังไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่จะมีคนขึ้นไปนั่งแทนที่มหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลและเล่นกับโอสถบรรพกาลเช่นนี้
เรื่องแบบนี้ ต่อให้พูดออกไปก็คงไม่มีใครจะเชื่อ
แต่วันนี้เรื่องราวที่สุดน่าเหลือเชื่อนี้มันกลับเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาพวกเขาทั้งหลาย
เรื่องเช่นนี้มีหรือที่ผู้คนจะยังใจเย็นได้?
แต่ว่ามันยังไม่จบแค่นั้น!
อีกด้านหนึ่งคลื่นพลังของโอสถบรรพกาลนั้นพุ่งขึ้นสูงทะลุฟ้า พลังแห่งยอดเต๋าแพร่กระจายไปจนทั่วฟ้าดิน
เมื่อทุกคนได้เห็นภาพนี้ พวกเขาก็ห้ามตัวเองไม่ได้หน้าถอดสีไม่ได้
ซิ่วมองดูภาพตรงหน้าด้วยความตื่นตกใจ “นี่มัน… เมื่อไม่มีการกดทับจากมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลแล้วโอสถบรรพกาลจึงปล่อยพลังออกมาได้เต็มที่! นี่เป็นศึกตัดสินระหว่างเย่หยวนและโอสถบรรพกาลอย่างแท้จริง! เจ้าเด็กคนนี้มันทำไปได้อย่างไรกัน?”
ซิ่วนั้นย่อมรู้ดีว่านี่คือ ‘อย่าถาม’ ฉบับง่าย
พลังความรู้ของโอสถบรรพกาลนั้นมันน้อยกว่าหนึ่งในร้อยจาก ‘อย่าถาม’ ของจริง!
แต่ถึงจะแค่หนึ่งในร้อย มันก็มากเกินกว่าที่คนธรรมดาทั่วๆ ไปจะจินตนาการได้แล้ว
ไม่เช่นนั้นคนที่ผ่านการทดสอบนี้ในช่วงเวลากว่าห้าสิบล้านปีมันคงไม่ได้มีแค่สิบเอ็ดคนแน่ๆ
แต่ว่าการทดสอบที่ผ่านๆ มานั้นมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลจะปล่อยพลังออกมากดเสี้ยวความรู้ของโอสถบรรพกาลไว้ไม่ให้ปล่อยพลังอันเหนือล้ำของเขาออกมาได้
อย่างที่เย่หยวนว่าไปหมากล้อมนิรันดร์ ‘อย่าถาม’ กระดานนี้มันเป็นกระดานที่ชนะแน่นอน
ปัญหาเดียวที่ผู้ท้าทายต้องเจอก็คือพวกเขาจะสามารถทนรับจิตที่กดทับลงมาได้หรือไม่
แต่เมื่อพลังที่กดดันโอสถบรรพกาลได้หายไปจนสิ้นแล้ว ตอนนี้พลังที่ออกมามันจึงเป็นพลังของโอสถบรรพกาลอย่างแท้จริง!
แม้ว่ามันจะเป็นแค่เศษเสี้ยวจากพลังของโอสถบรรพกาลตัวจริงก็ตาม
ทุกคนไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่เรื่องที่ว่าเย่หยวนขึ้นไปแทนที่มหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลนั้นมันเป็นเรื่องที่คนธรรมดาไม่มีทางทำได้อย่างไม่ต้องสงสัย
“หรือว่าเย่หยวนจะทำลายเสี้ยวจิตของมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล?”
นิคุนเผลอพูดความคิดออกมาแต่ก็ต้องรีบลุกขึ้นปฏิเสธความคิดนี้ของตัวเองทันที
เพราะเรื่องเช่นนั้นมันไม่มีทางเป็นไปได้!
ตอนนั้นเขาเองก็ได้เข้าไปพบเจอกับพลังเสี้ยวจิตของมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลมากับตัว
พลังเช่นนั้นมันทำให้ผู้คนได้แต่ยอมแพ้โดยที่ไม่สามารถขัดขืนใดๆ ได้เลย
หากจิตของเขานั้นเป็นมด จิตของมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลก็คงเปรียบได้ดั่งขุนเขา!
ระหว่างจิตของทั้งสองนั้นมันไม่มีการต่อต้านใดๆ ทั้งสิ้น
มันมีแต่ความยอมแพ้!
แถมตอนนี้พลังบ่มเพาะของเย่หยวนยังอ่อนด้อยกว่าตัวเขาในตอนนั้น มีหรือที่เย่หยวนจะสามารถทำลายเสี้ยวจิตของมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลลงได้?
แต่ในใจของนิคุนกลับมีเสียงค้านอีกเสียงดังออกมาอย่างไม่ขาดสาย
…
ภายในกระดานเกมนั้นตรงข้ามของเย่หยวนราวกับมีหอคอยสูงนับแสนๆ เมตรตั้งตระหง่านอยู่
แถมคลื่นพลังที่อีกฝ่ายมีมันยังแข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านี้มาก!
“น่าสนใจ ไม่นึกเลยว่าในโลกนี้จะยังมีคนที่สามารถปลดปล่อยเสี้ยวความรู้ของข้าคนนี้ที่ถูกเจ้ายี่กดทับให้เป็นอิสระได้! เจ้าคงเป็นคนแรกในรอบห้าสิบล้านปีล่ะมั้ง?”
เหนือท้องฟ้านั้นดวงตาคู่สีดำสนิทจ้องมองมายังเย่หยวน
นั่นคือดวงตาที่มองดูโลกทั้งใบ!
ต่อให้นี่จะเป็นแค่เสี้ยวความรู้ที่ไม่นับว่าเป็นเสี้ยวจิตเสียด้วยซ้ำ
แต่ดวงตาที่เหมือนจ้องมองดูมดปลวกนั้นมันย่อมทำให้เย่หยวนรู้สึกไม่ดีขึ้นมา
เย่หยวนตอบกลับไป “ข้าได้ยินมานานแล้วว่าความรู้ด้านการโอสถของโอสถบรรพกาลนั้นเหนือล้ำฟ้าดิน วันนี้เย่ผู้นี้ขอคำแนะนำด้วย!”
ร่างเงาตรงหน้านั้นแสดงใบหน้าที่ตกใจไม่น้อยออกมาด้วยรอยยิ้มบางๆ “ขอคำแนะนำ? หึๆ เจ้านั้นยังไม่มีคุณสมบัติพอที่จะมาขอคำแนะนำจากข้าหรอก!”
คำพูดนี้มันเปี่ยมไปด้วยความเหยียดหยาม
โอสถบรรพกาลนั้นเป็นโอสถบรรพกาลผู้ทรงเกียรติ
แม้ว่านี่จะเป็นแค่เสี้ยวความรู้ของเขาจากเมื่อห้าสิบล้านปีก่อนมันก็ยังมีเกียรติและศักดิ์ที่มากกว่าผู้ใดจะเทียบเคียง
เพราะยังไงเสียเขาก็คือชายผู้ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของศาสตร์แห่งโอสถ
หากให้พูดจริงๆ คนที่เขาคิดจะดูถูกนั้นมันคงไม่ได้มีแค่เย่หยวน
แม้แต่มหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลเมื่อห้าสิบล้านปีก่อนที่จะท้าทาย เขาก็คงไม่คิดจะมองอีกฝ่ายอยู่ในสายตาแน่
‘อย่าถาม’ แค่สองคำนี้มันก็บอกถึงความหยิ่งยโสอย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว
และดูท่าเหตุผลที่ทำให้มหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลต้องกลับมาคิดหนักอยู่นานแสนนานนี้ก็คงเป็นเพราะว่าเขาอยากจะก้าวข้ามโอสถบรรพกาล
ความอับอายเช่นนี้ สำหรับมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลที่เป็นยอดฝีมือสูงสุดของเผ่าอสูรแล้วมันคงเป็นอะไรที่เหนือล้ำเกินกว่าที่จะทนแบกรับไว้ได้
แต่เย่หยวนในตอนนี้ก็ได้รับรู้ถึงความเก่งกาจของโอสถบรรพกาลกับตาตัวเองแล้ว!
เมื่อไม่มีการกดดันของมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล โอสถบรรพกาลตรงหน้าเขาก็จึงยิ่งแข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าตัวมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลเมื่อสักครู่อีก
แม้จะเห็นท่าทางแบบนี้เย่หยวนก็ย่อมไม่คิดจะเก็บมันมาใส่ใจ “ยังไม่ได้ลองเลยท่านจะรู้ได้อย่างไรว่าข้าไม่มีคุณสมบัติพอ?”
พูดจบเขาก็ไม่รอให้โอสถบรรพกาลตอบใดๆ กลับมาและชี้นิ้วออกไป ปล่อยหมากสีดำพุ่งออกมาจากความว่างเปล่า
ตุบ!
เสียงดังสนั่นพื้นลั่นก้องไปทั่วพิภพ!
คลื่นแห่งยอดเต๋ากระจายตัวออก!
เมื่อหมากตัวนั้นถูกวางลง ทั้งกระดานหมากก็เกิดแสงสว่างจ้า
พลังแสนรุนแรงสองเส้นพุ่งตรงขึ้นสู่ท้องฟ้า ราวกับว่าหมากทั้งหมดมันกำลังค่อยๆ กลายมามีชีวิต
ทั้งกระดานนั้นกลายเป็นทหารม้าทหารเท้าเดินไปมาภายใต้ลมอันรุนแรง
สองคลื่นยอดเต๋าเข้าปะทะกันอย่างใกล้ชิดโดยไม่มีใครยอมใคร
ในพื้นที่เล็กๆ นี้มันกลับเกิดทำนองแห่งยอดเต๋าบรรเลงขึ้นมา
โอสถบรรพกาลหรี่ตาลงทันทีด้วยความตื่นตกใจ “จุดศูนย์กลาง! เจ้าหนุ่มเจ้าช่างกล้า! นี่มันขุดหลุมฝังตัวเองชัดๆ!”
ตุบ!
บนท้องฟ้าอันว่างเปล่านั้นเกิดแสงจ้าขึ้น!
ร่างเงาของเย่หยวนขยับมือส่งหมากลงไปยังจุดศูนย์กลางทันที
ที่ด้านนอกทุกคนต่างร้องออกมาอย่างตกตะลึง “จุดศูนย์กลาง!”
เมื่อนิคุนได้เห็นภาพนี้ เขาก็ยิ้มออกมา “ไอ้เด็กคนนี้มันอ่อนหัดจริงๆ! เล่นจุดศูนย์กลางตอนท้ายเกมเช่นนี้! นี่มันต่างอะไรจากเข้าไปรนหาที่ตายกัน?”
ดี๋เชียวเองก็ได้แต่ส่ายหัวออกมา “เข้าสังเวียนอย่างดุเดือด ข้าก็สงสัยว่าเจ้าเด็กคนนี้มันจะเก่งกาจแค่ไหน ไม่นึกเลยว่ามันจะอ่อนหัดปานนี้ ด้วยหมากตานี้มันคงยากที่จะรอดแล้ว!”
การวางหมากนี้ของเย่หยวนมันทำให้ทุกคนมองว่าเขาเดินพลาด
‘อย่าถาม’ กระดานนี้มันถูกตั้งขึ้นโดยมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลเองหลังจากย้อนตาไปหลายต่อหลายตา
แต่ละการเดินมันจะมีเส้นทางเป็นของตัวเอง
หากให้พูดง่ายๆ มันก็คือการย้อนตาที่เดินพลาดนั่นเอง!
ตราบเท่าที่ผู้ท้าทายอดทนรับแรงจิตของมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลไว้ได้ พวกเขาก็จะสามารถกลายเป็นหมากในมือของมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลและค่อยๆ เดินไปทีละก้าวจนชนะ
เว้นเสียแต่ว่ามันมีคนไม่มากที่จะทนพลังจิตได้หลายตาขนาดนั้น
แต่ตอนนี้เย่หยวนกลับเดินหมากออกมาอย่างเหนือความคาดหมายทุกผู้คน
แน่นอนว่าคนที่มาดูนี้ มีหลายคนที่เล่นหมากล้อม
การเดินนี้ในสายตาของพวกเขานั้นมันคือความผิดพลาด
ทุกคนต่างรู้ว่ามหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลนั้นมีทักษะการเล่นหมากและทักษะความรู้มากแค่ไหน การเดินแต่ละก้าวของเขานั้นนับได้ว่าเป็นการเดินที่สมบูรณ์แบบที่สุด
แต่ตอนนี้เย่หยวนกลับคิดที่จะเดินออกนอกเส้นทางนั้น
ที่สำคัญเขายังเดินออกมาได้แสนห่วยแตก มีหรือที่คนอื่นๆ จะยังชื่นชม
ขาวและดำ จุดศูนย์กลางนั้นมันคือจุดยุทธศาสตร์!
เกมนี้มันคือการปะทะกับรอบๆ จุดศูนย์กลางของกระดานนี้
แต่ไม่มีใครกล้าที่จะลงหมากไปยังจุดศูนย์กลางแต่แรก!
แม้แต่โอสถบรรพกาลเองก็ไม่กล้า!
เพราะหากทำเช่นนั้นพวกเขาก็จะไม่มีทางถอยได้
แต่เย่หยวนกลับลงมือทำออกมาอย่างไม่มีการลังเลใดๆ ทั้งสิ้น!
ตอนที่ 1765 ผีเสื้อจากรังไหม
“ขุดหลุมฝังตัวเอง? หากท่านมีปัญญาก็ลองมาฝังข้าดูสิ”
เย่หยวนจ้องมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ที่มุมปากนั้นเผยให้เห็นรอยยิ้มแห่งความเย้ยหยัน
อีกด้านนั้นเป็นแค่เสี้ยวความรู้ ไม่รู้ว่าไปเอาความมั่นใจขนาดนั้นมาจากไหน
“หึ! เจ้าหนุ่มอวดดี หากเจ้าคิดจะรนหาที่ตายอย่างเต็มที่แล้วผู้เฒ่าก็ย่อมสนองให้ได้!”
เสียงของโอสถบรรพกาลตอบกลับมาด้วยอารมณ์ไม่พอใจ
ตุบ!
หมากสีขาววางลง เปลี่ยนสถานการณ์ของเกมทั้งกระดานไป!
ตอนนี้หมากสีขาวตัวนั้นได้เปลี่ยนกลายเป็นนักยุทธนับร้อยนับพันวิ่งพุ่งตรงลงมา
ด้านเย่หยวน หมากสีดำเองก็ได้เปลี่ยนกลายเป็นนักยุทธชุดสีดำจำนวนมากมายเช่นกัน
ทั้งสองฝั่งเข้าปะทะกันอย่างรุนแรง
เว้นเสียแต่ว่าฝั่งโอสถบรรพกาลนั้นจะทำได้สมชื่อโอสถบรรพกาล หมากสีขาวของเขากำลังค่อยๆ ได้เปรียบขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อหมากตัวนี้ถูกวางลงมันก็ลงมาล้อมจุดศูนย์กลางของเย่หยวนในทันที เปลี่ยนสถานการณ์ให้กลับมาสู่ความชนะได้ในเวลาไม่มากนัก
ตุบ!
เย่หยวนวางหมากลงอีกตัวหนึ่งอย่างไม่คิดลังเล ราวกับว่าเขาไม่ได้คิดอะไรเลยก่อนที่จะวางมันลง
แต่หมากตัวนี้กลับไม่ได้อยู่ใกล้จุดศูนย์กลางกระดาน มันวางอยู่ห่างจากกลางกระดานไกลแสนไกล
มันเป็นการวางหมากที่ไม่เกี่ยวใดๆ กับจุดศูนย์กลางเลย
“อวดดี! ที่นี้เจ้าคงรู้แล้วสินะว่าการวางหมากแรกของเจ้ามันโง่เง่าแค่ไหน? ต่อให้เจ้ามีโอสถชะล้างความเสียใจ แต่เมื่อหมากมันวางลงแล้วตาเดินก็ไม่มีทางหวนกลับได้!”
โอสถบรรพกาลพูดออกมาด้วยท่าทางดูถูกเย้ยหยันอย่างเต็มที่
ระหว่างพูดไป หมากอีกตัวก็ถูกวาง
นักยุทธชุดขาวเริ่มได้เปรียบขึ้นอย่างมากและทำการต่อสู้อย่างดุเดือดอีกครั้ง กระจายตัวไปทั่วฟ้าดิน ตอนนี้ทั้งกระดานมันเต็มไปด้วยหมากตัวสีขาว ความเร็วของหมากเหล่านี้มันเหนือเกินกว่าที่ใครจะคาดคิด
ตุบ!
เย่หยวนวางหมากลงอีกตัวด้วยรอยยิ้ม “ในชีวิตของข้าไม่มีคำว่า ‘เสียใจภายหลัง!’ รอให้ชนะก่อนเถอะท่านค่อยมาโอ้อวด!”
…
บนท้องฟ้าคนทั้งสองกำลังเล่นกันไป
ยิ่งเล่นไป หมากฝั่งสีขาวก็ยิ่งมีโอกาสชนะมากขึ้น ส่วนหมากฝั่งสีดำก็ยิ่งเสียเปรียบลงไปเรื่อยๆ จนตอนนี้มันถูกหมากสีขาวล้อมไว้แทบจะสิ้นแล้ว
เมื่อเหล่านักบวชเห็นภาพนี้พวกเขาต่างก็แสดงสีหน้าท่าทางดูถูกออกมา
“เย่หยวนคนนี้มันจะอ่อนหัดเกินไปแล้ว! ปัญญาของมันไม่มีทางเทียบเคียงใดๆ กับโอสถบรรพกาลได้เลย!”
“อืม นี่สินะคือการประเมินตัวเองจนสูงเกินไป? โอสถบรรพกาลนั้นคือใคร? ขนาดมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลก็ยังไม่มีปัญญาชนะ ไอ้คนเช่นนี่มันจะไปเอาอะไรมาสู้!”
โอสถบรรพกาลนั้นแม้แต่ในเผ่าอสูรก็มีชื่อเสียงว่าเป็นยอดคนผู้ปกครองโลกหล้า
คนที่จะท้าทายเขาคนนั้นได้มันต้องมีระดับประมาณมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลขึ้นไปเท่านั้น ไม่เช่นนั้นก็คงเป็นได้แค่มดปลวกในสายตาของเขา
เกมกระดานนี้ความแข็งแกร่งทางร่างกายมันไม่ได้ช่วยอะไร มีเพียงความรู้เท่านั้นที่ช่วย
แต่ในโลกใบนี้จะยังมีใครที่เข้าใจศาสตร์โอสถได้เทียบเคียงกับโอสถบรรพกาลอีก?
เพราะฉะนั้นเย่หยวนจึงประเมินตัวเองไว้สูงเกินไป
นิคุนมอบดูหมากสีดำที่กำลังแพ้พ่ายด้วยรอยยิ้มแสนเย็นชา “นี่คือการปะทะของเต๋า ยิ่งเสียหมากมาก มันก็จะยิ่งโดนพลังความรู้ของโอสถบรรพกาลรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น จากกระแสเกมในตอนนี้มันคงเรียกได้ว่าเป็นการชนะอย่างราบคาบ! ไอ้เด็กคนนี้ได้ตายแน่!”
“ไม่รนหาที่ก็คงไม่ตาย! กระดานหมากที่มหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลสร้างไว้นั้นมันจะยังมีใครทำได้ดีกว่าท่าน? ทั้งอย่างนั้นมันกลับทำอะไรไม่เข้าเรื่อง ฝืนจะขึ้นไปเล่นกับโอสถบรรพกาลด้วยตัวเอง เรื่องนี้ดูยังไงมันก็รนหาที่ตายเอง เจ้าดูการเดินหมากของมันสิ ไม่ใช่แค่มันมองอะไรไม่ออก แต่มันเป็นการเดินที่ไม่มีแผนการใดๆ เลยด้วยซ้ำ ดูยังไงก็แค่วางมั่วๆ” ผู้อาวุโสหลี่พูดขึ้นด้วยใบหน้าเย้ยหยัน
นิคุนยิ้มตอบ “เหล่าอัจฉริยะนั้นล้วนโอหัง แต่มันคนนี้กลับไม่ประเมินเลยว่าศัตรูเป็นใคร!”
บนกระดานหมากเย่หยวนวางหมากของเขาอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่ได้คิดอะไรเลย
ดำปะทะขาว การวางหมากแต่ละตัวมันต้องระวังและคิดให้รอบคอบ
ตอนนั้นที่มหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลได้เล่นกับโอสถบรรพกาล พวกเขาใช้เวลาเล่นไปถึงหนึ่งร้อยปี
จนหมากตาสุดท้ายมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลก็ต้องหยุดนิ่งคิดอยู่ถึงแสนปี!
เวลานี้มันยาวนานกว่าช่วงชีวิตของผู้คนธรรมดาๆ มากนัก
ซิ่วมองดูหมากกระดานตรงหน้าและอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวออกมาอย่างไม่หยุดยั้ง “เด็กคนนี้มันอวดดีเกินไป ไม่ยอมที่จะตกเป็นหมากเบี้ยของผู้คน หักได้แต่ไม่ยอมงอ!”
ซิ่วนั้นมากด้วยประสบการณ์ชีวิต แม้ว่าจะเห็นแค่กระดานหมากของเย่หยวนเขาก็พอมองอะไรออกได้หลายๆ อย่าง
เย่หยวนไม่ยอมเป็นหมากให้ใคร เพราะฉะนั้นเขาจึงเลือกที่จะขึ้นมาควบคุมกระดานเอง
ตอนนี้เมื่อต้องเผชิญกับโอสถบรรพกาล ตัวตนที่สูงส่งล้ำโลกเช่นนี้ มีหรือที่เขาจะยังต่อต้านไม่พ่ายแพ้ไปได้?
ตุบ!
ตอนนั้นเองที่เย่หยวนวางหมากลงอีกตัว!
ร่างของซิ่วต้องสั่นสะท้านทันที ดวงตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความไม่อยากเชื่อ
“หืม? นี่มัน… เกิดอะไรขึ้นกัน? หมากจุดศูนย์กลางนั้นมัน… มัน… กลับมามีชีวิตแล้ว!”
ซิ่วมองดูกระดานหมากนี้ด้วยสายตาที่ไม่อยากเชื่อภาพตรงกำลังเกิดขึ้น
ตอนนี้เขาได้เห็นเลยว่าหมากอ่อนหัดตาแรกของเย่หยวนนั้นมันกำลังทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมทั้งกระดานเข้าด้วยกันตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบได้!
การเดินอันแสนอ่อนหัดตาแรกของเย่หยวนกลับกลายมาเป็นตัวพลิกเกมไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบได้
หลังจากผ่านไปหลายต่อหลายรอบ โอสถบรรพกาลก็ได้ล้อมเย่หยวนจนเรียกได้ว่าไม่มีที่ให้หายใจ เป็นสภาพที่แสนสับสน
บนกระดานนั้น หมากสีดำกำลังอยู่ในจุดตายไปทั่วกระดาน
แต่เมื่อเย่หยวนวางหมากตานี้ลง
ทุกสิ่งอย่างมันกลับมามีชีวิต!
หลังจากวางหมากตายมาหลายต่อหลายตา ในที่สุดมันก็ครอบจุดศูนย์กลางกระดานไว้ได้และเชื่อมต่อกันออกไปราวมหาสมุทรกว้างใหญ่
มันเปลี่ยนสถานการณ์ไปในทันที!
มือของโอสถบรรพกาลหยุดชะงัก!
นิ้วของโอสถบรรพกาลนั้นยังหยิบหมากไว้อยู่ แต่มันกลับไม่ได้ถูกวางลงเสียที
“หืม? เกิดอะไรขึ้นกัน? ทำไมโอสถบรรพกาลถึงได้หยุดมือไป?”
“แค่อีกไม่กี่ตาเดินก็น่าจะจัดการเย่หยวนได้เด็ดขาดแล้วใช่ไหม?”
“หมากขาวกำลังได้เปรียบอย่างถึงที่สุด มันคงไม่มีอะไรให้ต้องคิดมากแล้วใช่ไหม?”
…
ตอนนี้นักบวชและนักบวชฝึกหัดจำนวนมากกำลังมองดูเกมกระดานนี้อยู่ แต่พวกเขานั้นขาดความรู้มากพอที่จะมองสภาพเกมที่แท้จริงออก
แต่ดี๋เชียวและเหล่าผู้อาวุโสนั้นต่างมองดูภาพตรงหน้าด้วยความตื่นตะลึงอย่างถึงที่สุด ตอนนี้สายตาที่มองดูหมากสีดำบนกระดานนั้นมันเปี่ยมไปด้วยความตกตะลึง
ตอนนี้หมากสีดำตรงกลางกระดานนั้นมันเปรียบได้เสมอพระอาทิตย์ที่ส่องแสงจ้าท่ามกลางความมือของอวกาศ เป็นความสว่างที่ไม่อาจเทียบเคียงได้
ไม่มีใครคาดคิดว่าการเดินหมากห่วยๆ แรกของเย่หยวนมันจะกลับมาส่องสว่างได้อย่างเจิดจ้าเช่นนี้!
นิคุนหน้าซีดจนขาวสนิท “เขา… ทำได้อย่างไรกัน?”
ทุกคนต่างมีคำถามนี้เกิดขึ้นมาในจิตใจ เย่หยวนทำเช่นนี้ได้อย่างไร?
…
“เจ้า… เจ้าทำได้อย่างไรกัน?”
บนกระดานนั้นโอสถบรรพกาลได้เป็นคนถามออกมาแทนทุกผู้คน
จากน้ำเสียงของโอสถบรรพกาลแล้ว ความตื่นตกใจที่เขามีมันย่อมไม่น้อยไปกว่าผู้คนที่มองดูการปะทะครั้งนี้อยู่เลย
เขานั้นมีความรู้ที่เหนือล้ำ แต่ละตานั้นมันแฝงไปด้วยความรู้จากเต๋า
แม้จะด้วยความสำเร็จที่เขามี เขากลับตกลงหลุมพรางของเย่หยวนอย่างไม่ทันรู้ตัวเลยแม้แต่น้อย
วิธีการเช่นนี้ มีหรือที่เขาจะยังทำใจเย็นอยู่ได้?
นี่คือเกมหมากล้อม แต่มันก็ยังเป็นการประชันความรู้ด้วย
นักเล่นหมากล้อมเข้าใจกฎของสวรรค์และแผ่นดิน พัฒนาไปสู่ยอดเต๋า
แต่ละก้าวเดินที่พวกเขาวางมันแฝงไปด้วยความลับแห่งสวรรค์
เขานั้นคือโอสถบรรพกาล การจะทำเช่นนี้ได้มันย่อมไม่แปลกประหลาดใดๆ
แต่เย่หยวนนั้นเป็นแค่เด็กน้อยอาณาจักรราชันพระเจ้า ต่างไกลจากคำว่ายอดเต๋าอย่างลิบลับ
เขาจะเอาปัญญาที่ไหนมาทำการเล่นเช่นนี้ได้?
แต่ดูแล้วตอนนี้ความเข้าใจในเต๋าของเย่หยวนมันกลับจะดูลึกล้ำกว่าของตัวเขาเสียอีก
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เขาก็รู้ได้ทันทีว่าก่อนเย่หยวนจะวางหมากตาแรก เขาคงสามารถอ่านกระดานนี้ออกได้อย่างเด็ดขาดไปแล้ว
เพราะเช่นนั้นเขาจึงกล้าวางหมากลงกลางกระดานอย่างไม่คิดลังเล
เพราะหมากจุดกลางนี้เองที่มันทำให้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปและทำให้ความพยายามทั้งหมดของเขาทั้งสูญเปล่า!
หมากตานี้มันสุดยอดจนเกินไป!
จากการเดินหมากที่แสนอ่อนหัดกลับกลายเป็นหมากพลิกกระดาน การวางจุดศูนย์กลางนี้มันเปลี่ยนแปลงไปราวกับผีเสื้อที่ออกจากรังไหม
เขาได้แต่ต้องยอมทำใจ!
เพราะเย่หยวนนั้นมองเห็นสีที่เขามองไม่เห็น!
เย่หยวนมองดูโอสถบรรพกาลและกล่าวออกมา “นี่คือการปะทะของความรู้ การที่ข้าทำได้มันย่อมหมายความว่าข้ายืนอยู่เหนือท่าน และมองเห็นได้ไกลกว่าท่าน! ให้พูดตรงๆ ตอนนี้คือข้าผิดหวังไม่น้อยเลย!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น