Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1756-1761
ตอนที่ 1756 นักบวช
ที่นั่งตรงหน้าของเขานั้นคือชายชราผมสีทองปกปิดใบหน้า ดูท่าทางดุร้ายและป่าเถื่อน
สภาพท่าทางแบบนี้มันคือราชสีห์ขนทองอย่างแท้จริง
เย่หยวนนั้นตื่นตกใจไม่น้อย คนท่าทางดุร้ายป่าเถื่อนเช่นนี้หรือที่จะหลอมโอสถขั้นสูงได้?
ชายแก่เองก็หันมามองเย่หยวน สายตาของเขานั้นมันลึกลับจนไม่รู้เลยว่ากำลังคิดอะไรรู้
หลังจากผ่านไปนานแสนนาน ในที่สุดชายแก่ก็เป็นฝ่ายเปิดปากพูดขึ้นมาก่อนด้วยเสียงที่สนั่นราวระฆังยักษ์ “เจ้าหนุ่ม เจ้าเข้าวิหารนักบวชมาเพื่อสิ่งใด?”
เย่หยวนยกมือขึ้นมาความคารวะ “ผู้น้อยนั้นหลงใหลในโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์ ที่มาครั้งนี้ก็เพื่อหวังจะเรียนรู้วิชาโอสถของเผ่าอสูร ให้ศาสตร์การโอสถของข้าน้อยได้พัฒนายิ่งๆ ขึ้นไป!”
ชายแก่หัวเราะลั่นกลับมา “ฮ่าๆ เฒ่าคนนี้ย่อมเชื่อในเรื่องนั้น เจ้าและข้านั้นเป็นคนประเภทเดียวกัน! เพื่อการโอสถแล้วเราไม่กลัวที่จะต้องเล่นกับไฟ! แต่ว่าเจ้าน่าจะมีเป้าหมายอื่นอีกใช่ไหมหรือ?”
เย่หยวนได้รู้ว่าชายแก่คนตรงหน้านี้มีนิสัยที่หนักแน่นและตรงไปตรงมา พูดอะไรไม่มีอ้อมค้อมเข้าเรื่องอย่างทันที เมื่อเป็นเช่นนี้เขาย่อมไม่ต้องปกปิดใดๆ อีกต่อไป “จริงๆ แล้วข้ามาเพื่อตามหาน้องชายด้วย!”
เย่หยวนไม่ได้ปกปิดเรื่องราวใดๆ อีกต่อไป บอกไปอย่างตรงๆ ว่าเขาต้องการกำลังของวิหารนักบวชเพื่อให้ช่วยตามหาอิ้งหมัวหู่
หลังจากชายแก่ได้ยินเขาก็หัวเราะลั่นออกมา “ไม่รู้เลยว่าเจ้าเป็นคนที่ยึดถือสายสัมพันธ์ด้วย! แต่ว่าเจ้าจะไม่คิดว่าเราฝ่ายวิหารจะเสียเปรียบไปหน่อยรึ? เจ้าได้เรียนรู้ศาสตร์โอสถของเผ่าอสูร แถมยังจะใช้อำนาจของวิหารนักบวชเราตามหาน้องชายอีก สุดท้ายแล้วเฒ่าคนนี้จะได้อะไรคืนจากเจ้ากันเล่า?”
เย่หยวนเข้าใจแล้วว่าตอนนี้อีกฝ่ายกำลังอยากจะเจรจาต่อรองกับเขา
หากข้อตกลงไม่ลงตัว เขาคงตกอยู่ในอันตรายแน่
เย่หยวนยักไหล่ตอบไป “ที่ข้าจะให้ได้ย่อมเป็นทักษะการโอสถของข้า เหตุผลที่ท่านผู้อาวุโสคิดเจรจากับข้าในวันนี้ย่อมเป็นเพราะท่านเล็งเห็นถึงเรื่องนี้ด้วยใช่หรือไม่?”
ชายแก่หัวเราะลั่น “เจ้าหนุ่ม เจ้าช่างฉลาดเสียจริงๆ ข้าดี๋เชียวไม่ชอบที่จะพูดจาอ้อมค้อมเช่นกัน เจ้าอยู่ในวิหารนักบวชเราห้าพันปีแล้วข้าจะช่วยเรื่องนี้เอง!”
เย่หยวนย่อมเข้าใจได้ทันทีว่าเวลาห้าพันปีนี้มันเท่ากับว่าเขาต้องขายชีวิตของตัวเองให้วิหารนักบวช
เรื่องเช่นนี้เขาย่อมไม่คิดที่จะตอบตกลง
เย่หยวนส่ายหัวออกมา “ท่านเจ้าวิหาร เย่ผู้นี้มีธุระอื่นต้องจัดการอีกมากและคงอยู่ในวิหารนักบวชนี้เป็นเวลานานขนาดนั้นไม่ได้ หากท่านเจ้าวิหารยืนยันที่จะให้ข้าอยู่ต่อไปจริงๆ เย่คนนี้คงยอมได้อย่างนานที่สุดคือสามร้อยปี!”
สามร้อยปีนั้นคือเวลาที่มากที่สุดเท่าที่เย่หยวนจะให้ได้แล้ว
หากเย่หยวนไม่มีความผูกพันใดๆ กับโลกภายนอก การจะอยู่ที่นี่ถึงห้าพันปีมันก็คงไม่เป็นปัญหาเลย
เพราะที่เห็นนี้ติดกับเทือกเขาเทพอสูร เป็นแหล่งรวมสมุนไพรที่แสนจะอุดมสมบูรณ์
สำหรับเย่หยวนแล้ว ที่แห่งนี้มันคือสรวงสวรรค์ดีๆ นี่เอง
แต่เย่หยวนย่อมรู้ว่าการที่เขาจะอยู่ที่นี่นานถึงห้าพันปีนั้นมันเป็นไปไม่ได้เลย
และตามคาด เมื่อคำพูดนั้นของเย่หยวนถูกเปล่งออกมา ดี๋เชียวก็หน้าดำคล้ำลง “เจ้าหนุ่ม เจ้าล้อข้าเล่นรึไง? สามร้อยปีเราจะเอาเจ้ามาทำอะไร?”
แต่เย่หยวนก็ยังตอบกลับไปอย่างมั่นใจ “สามร้อยปีมันก็มากพอที่ข้าจะชดใช้หนี้นี้ให้วิหารนักบวชแล้ว!”
“หึๆ ช่างเป็นเด็กที่อวดดีเสียจริงๆ! สำหรับเหล่านักบวชแล้วสามร้อยปีมันเป็นได้แค่ชั่วพริบตา เจ้านั้นมีพรสวรรค์ที่เหนือล้ำจริง แต่แค่สามร้อยปีเจ้าจะทำประโยชน์อันใดให้แก่วิหารนักบวชได้? หรือจริงๆ แล้วเจ้าแค่มาก่อกวนเฒ่าคนนี้?”
ดี๋เชียวจ้องมองมาพร้อมด้วยคลื่นพลังอันแสนน่ากลัว
ในวินาทีนั้นเย่หยวนก็รู้สึกราวกับว่ามีเขาลูกใหญ่ตกลงตรงหน้า ตอนนี้แม้แต่จะหายใจยังยากลำบาก
นี่มันไม่ใช่พลังการกดดัน แต่เป็นพลังโจมตีแท้จริง!
ดูท่าแล้วดี๋เชียวคงโกรธจริงๆ
เขารู้สึกเหมือนว่าเย่หยวนเข้ามาแค่จะก่อกวนเขา
สามร้อยปีนั้น ในสายตาของคนทั่วไปแล้วมันเป็นอะไรที่ไม่มีค่าเลย
ภายใต้คลื่นพลังอันรุนแรงนี้ กระดูกทั่วร่างของเย่หยวนเริ่มส่งเสียงร้าวขึ้น สีหน้าของเขานั้นซีดเซียวอย่างถึงที่สุด
แต่เขาก็ยังฝืนพูดออกมา “สามร้อยปีนี้ข้าจะสร้างยอดฝีมือจำนวนมหาศาลให้วิหารนักบวช! หากท่านไม่เชื่อข้าพร้อมที่จะสาบานต่อยอดเต๋าให้โดยมีกำหนดเวลาสามร้อยปี!”
ดี๋เชียวนั้นเหมือนจะสนใจขึ้นมาทันที “เรื่องนั้นย่อมได้ หลังจากสามร้อยปีแล้วหากข้าเห็นว่าเจ้าทำประโยชน์ได้จริง ข้าจะช่วยเจ้าตามหาน้องชายให้!”
เย่หยวนหน้าถอดสีทันที ชายแก่คนนี้เป็นพวกที่ไม่ยอมลงมือทำอะไรหากไม่ได้ค่าตอบแทนมาก่อน
หากไม่ให้ประโยชน์ใดๆ เขาก่อน เขาก็จะไม่มีทางยอมรับเลย
แต่ด้วยพลังของเย่หยวนในตอนนี้ เขาทำอะไรกับมันไม่ได้
อึดอัดเสียจริง!
ดูท่าเย่หยวนจะประเมินความอดทนของเจ้าวิหารไว้สูงไปหน่อย
เวลาสามร้อยปีนั้นสำหรับคนที่เคยยุ่งเกี่ยวกับโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์แล้วมันช่างเป็นเวลาแค่ชั่วพริบตาอย่างแท้จริง
แม้ว่าเย่หยวนจะได้แสดงความสามารถไปมากมาย แต่ดี๋เชียวก็ยังไม่เชื่อว่าเย่หยวนจะสามารถทำอะไรได้ในเวลาแค่สามร้อยปี
“ผู้อาวุโส เรื่องนี้ตกลงกันต่อได้หรือไม่?” เย่หยวนพยายามบอกด้วยสีหน้าซีดเซียว
ดี๋เชียวยิ้ม “เจ้าว่าอย่างไร?”
จู่ๆ ดี๋เชียวก็เปลี่ยนสีหน้าไป ท่าทางกดดันเมื่อสักครู่หายไปและเปลี่ยนกลับมายิ้มในทันที “จริงๆ แล้ว…มันก็ยังพอตกลงกันเพิ่มได้!”
แรงกดทับบนร่างของเย่หยวนจากหายไปอย่างไร้ร่องรอย ทำให้เขาต้องรู้สึกมึนงงขึ้นมา
เมื่อไม่กี่วินาทีก่อนชายแก่คนนี้ยังข่มขู่และกดดันเขาอย่างมากแท้ๆ ทำไมจู่ๆ เขาถึงได้เปลี่ยนท่าทางไปกะทันหันเช่นนี้?
ดี๋เชียวมองดูเย่หยวนด้วยรอยยิ้ม “เช่นนี้เล่าว่าไง? เราจะถอยกันคนละก้าว! ข้าไม่ต้องการให้เจ้าอยู่ในวิหารถึงห้าพันปี แต่เจ้าต้องสาบานต่อยอดเต๋าว่าต่อจากนี้ไปชั่วชีวิตเจ้าจะรักษาตำแหน่งนักบวชของวิหารนักบวชเราไว้ หากวิหารต้องการให้เจ้าช่วยหลอมโอสถให้ เจ้าย่อมต้องทำ หากวิหารอยู่ในอันตราย เจ้าย่อมต้องมาช่วยเหลือ!”
เย่หยวนนั้นมึนงงไปในทันทีที่ได้ยิน และก็เริ่มเข้าใจบางอย่างได้
ดี๋เชียวคนนี้เป็นคนที่เถรตรงและไม่สามารถคิดอะไรที่ซับซ้อนยุ่งยากได้
การทำเช่นนี้มันหมายความว่าเย่หยวนจะถูกผูกติดกับวิหารไปชั่วชีวิต มันเป็นอะไรที่คุ้มค่ากว่าการให้อยู่ด้วยแค่ห้าพันปีมาก
ที่สำคัญตัวเลือกนี้มันยังทำให้เย่หยวนได้มีอิสระอย่างมากด้วย
เรื่องเช่นนี้ดี๋เชียวไม่น่าจะสามารถคิดขึ้นได้เอง เมื่อสักครู่นี้มันต้องมียอดคนคอยช่วยบอกกระซิบอะไรให้แน่ๆ เพียงแค่เย่หยวนไม่สามารถที่จะตรวจจับร่องรอยของคนผู้นั้นได้เลย
ในวิหารนักบวชนี้มันเปี่ยมไปด้วยยอดคนที่เก็บซ่อนตัวอยู่จริงๆ!
แต่ด้วยข้อเสนอนี้ เย่หยวนก็คิดพอที่จะยอมรับมันไว้ได้
เย่หยวนนั้นมีพลังเหมือนครึ่งเผ่าอสูรและไม่ได้มีความคิดร้ายใดๆ ต่อเผ่าอสูรด้วย
ที่สำคัญหากเขาได้เรียนรู้ศาสตร์หลอมโอสถของอสูรมันจะต้องช่วยเสริมความเข้าใจในวิถีแห่งโอสถของเขาอย่างมากแน่
เรื่องนี้เย่หยวนคงต้องติดหนี้บุญคุณวิหารนักบวชอย่างมากแน่ๆ และการเป็นผู้ปกป้องวิหารไปชั่วชีวิตก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่หนักหนากับเขาขนาดนั้น
เย่หยวนคิดและยิ้มรับ “ได้ ข้าสัญญา! แต่หากวิหารนักบวชคิดร้ายต่อข้า ถึงตอนนั้นข้าคงไม่ยอมนิ่งเฉยแน่ๆ!”
เย่หยวนไม่ได้เป็นพระเป็นเจ้ามาจากที่ไหน วิหารนักบวชนั้นเป็นระบบที่แสนยิ่งใหญ่ เย่หยวนไม่มีทางมั่นใจได้เลยว่าตัวเองจะสามารถเป็นสหายกับวิหารนักบวชได้ตลอดกาล
หากมีใครคิดที่จะทำร้ายเขา มีหรือที่เขาจะไม่คิดต่อสู้กลับ?
เพราะฉะนั้นก่อนที่จะสาบานต่อยอดเต๋าเย่หยวนจึงต้องตัดเรื่องอันตรายเหล่านี้ออกไปก่อน
ดี๋เชียวเองก็ตอบรับมาด้วยรอยยิ้มกว้าง “แต่ว่าเรื่องสัญญาสามร้อยปีนั้นเจ้ายังต้องทำตาม!”
เย่หยวนพยักหน้าและสาบานต่อยอดเต๋าต่อหน้าดี๋เชียว
การลงทัณฑ์จากยอดเต๋านั้นมันเป็นอะไรที่นักยุทธไม่สามารถทานทนได้ หากไม่ใช่ฟางเส้นสุดท้ายจริงๆ คงไม่มีใครยอดที่จะสาบานแน่ๆ
แต่เย่หยวนนั้นไม่มีทางเลือกอื่นแล้วในการหาข่าวของอิ้งหมัวหู่
อย่าว่าแต่เรื่องสาบานต่อยอดเต๋า ต่อให้ต้องสู้จนตัวตายกระดูกแหลกเป็นผง เย่หยวนก็ไม่คิดที่จะถอยแม้แต่ก้าวเดียว
เมื่อดี๋เชียวเห็นว่าเย่หยวนสาบานต่อยอดเต๋าเสร็จสิ้น เขาก็ได้แต่หัวเราะลั่นออกมา “เอาล่ะจากวันนี้ไปเจ้าจะเป็นนักบวชของวิหารเราอย่างเต็มตัว! สามร้อยปีจากนี้ เฒ่าคนนี้หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ผิดหวัง!”
ตอนที่ 1757 นักบวชคนนี้มันจะเกินไปแล้ว
“ผู้อาวุโสหลี่ ข้ามีคำถาม!”
บนเวทีแท่นยกระดับตอนนี้กำลังมีชายชราสั่งสอนบรรยายความรู้ให้เหล่านักบวชฟัง ก่อนที่จู่ๆ จะมีเสียงหนึ่งพูดแทรกขึ้น
นักบวชที่มานั่งอยู่ด้านล่างตอนนี้มีจำนวนกว่าร้อยคน พวกเขาทั้งหมดต้องหันหน้ามามองที่ต้นเสียงเป็นตาเดียว
คนต้นเสียงนี้เป็นนักบวชในชุดยาว สี่ดาวประดับอยู่ที่อก จะเป็นใครไปได้นอกเสียจากเย่หยวน?
เมื่อได้เห็นเช่นนี้แล้วพวกนักบวชทั้งหลายก็แอบยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย
หนังหัวของผู้อาวุโสหลี่บนเวทีกระตุกขึ้นมาทันทีที่ได้ยิน “หากมีคำถามใดเจ้าจงรอให้จบการบรรยายก่อนค่อยพูด ตอนนี้เงียบปากไปก่อน”
หลายปีมานี้เย่หยวนได้กลายเป็นนักเรียนเจ้าปัญญาที่สุดไปแล้วในสายตาเหล่าผู้อาวุโส
เพราะทุกๆ การบรรยายเย่หยวนจะพูดขัดขึ้นมาหลายต่อหลายครั้งเวลามีเรื่องที่สงสัย
และที่บอกว่าหลายครั้งนี้มันมากถึงสิบยี่สิบครั้ง!
หากเป็นแค่การสร้างปัญญาเฉยๆ ผู้อาวุโสทั้งหลายคนแค่ตบตีสั่งสอนให้มันจบๆ ไป
แต่เรื่องของเรื่องก็คือปัญญาที่เย่หยวนก่อขึ้นมานั้นมันมีขึ้นพร้อมข้อสงสัยที่เป็นเหตุเป็นผล!
แต่ละครั้งที่มีปัญหามันจะทำให้ผู้อาวุโสได้แต่ยืนนิ่งเงียบตอบอะไรกลับไปไม่ถูก
ตอนแรกมันก็ยังพอมีผู้อาวุโสที่ไม่ยอมแพ้และพยายามที่จะใช้เหตุผลและความรู้มาถกเถียงกับเย่หยวน
แต่สุดท้ายพวกเขาก็ต้องพ่ายแพ้ต่อเย่หยวนจนพูดอะไรไม่ออก
ด้วยเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นหลายครั้งเข้า ตอนนี้เวลามีผู้อาวุโสมาทำการสอนพวกเขาจะหวาดกลัวมากว่าเย่หยวนจะเข้าฟังด้วย
ตราบเท่าที่พวกเขาเห็นหน้าเย่หยวน พวกเขาก็จะทำหน้าตาเหมือนหนูที่เห็นแมวจนใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่มทันที
เย่หยวนไม่สนใจคำพูดนั้นของผู้อาวุโสหลี่และถามขึ้นต่อ “โอสถชวดไขมังกรแทรกนั้นมีอุณหภูมิตามธรรมชาติ เมื่อหลอมมันเราย่อมต้องควบคุมอุณหภูมินั้นให้ดีโดยใช้กฎแห่งธาตุทั้งห้าในโอสถเป็นพื้นฐาน…ผู้อาวุโสหลี่ท่านไม่คิดว่ามันควรเป็นเช่นนั้นรึ?”
เย่หยวนพูดอกมาอย่างรวดเร็วเป็นสายน้ำ แสดงปัญญาที่ผู้อาวุโสหลี่เพิ่งสอนออกมา
เมื่อเหล่านักบวชคนอื่นๆ ได้ยินคำของเย่หยวนพวกเขาต่างก็แสดงสีหน้าคิดหนักตามออกมา
เพราะเหล่านักบวชทั้งหลายนี้ย่อมมีประสบการณ์กันมาทั้งสิ้น เดิมทีตอนแรกๆ พวกเขานั้นไม่พอใจมากที่เห็นว่าเย่หยวนพูดขึ้นแทรกการสอนของผู้อาวุโสเช่นนี้
แต่หลังจากนั้น พวกเขาก็พบว่าคำพูดที่เย่หยวนว่ามามันเปี่ยมไปด้วยเหตุและผล
หลังจากกลับไปลองทดสอบดูตาม พวกเขาก็พบว่าคุณภาพโอสถที่หลอมออกมาได้มันพัฒนาขึ้นอย่างมาก
เพราะฉะนั้นหลังๆ มาเมื่อเย่หยวนเปิดปากออกพูดทีไร พวกเขาทั้งหลายก็จะหันมาตั้งใจฟังและได้รับประโยชน์ไปอย่างมากมาย
ผู้อาวุโสหลี่ตอบกลับมาอย่างไม่พอใจ “เย่หยวน! นี่เจ้าหรือข้ากันแน่ที่เป็นผู้อาวุโส?”
เย่หยวนยิ้มตอบ “ย่อมเป็นท่านผู้อาวุโสอยู่แล้ว!”
ผู้อาวุโสหลี่ตอบ “เจ้ายังเห็นว่าข้าเป็นผู้อาวุโส? ข้ากำลังสอนแต่เจ้ากลับมาสร้างปัญญา รู้จักกาลเทศะบ้างหรือไม่?”
แต่เย่หยวนก็ตอบกลับไป “ผู้อาวุโสหลี่อย่ากล่าวเช่นนั้น ความรู้ยิ่งถกเถียงกันมากเท่าไหร่มันก็ยิ่งชัดเจนมาขึ้นเท่านั้น เมื่อมันมีปัญหาข้าย่อมต้องชี้มันออกมา หรือว่าท่านคิดอยากให้ทุกผู้คนหลอมโอสถด้วยวิธีผิดๆ ต่อไปกันเล่า?”
ผู้อาวุโสหลี่นั้นโกรธจนหน้าเปลี่ยนสี “ทำไมเจ้าไม่ขึ้นมาสอนพวกเขาแทนข้าเสียเลยล่ะ?”
เย่หยวนยกมือขึ้นโบกปัดด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่มีความสามารถขนาดนั้น! ข้าแค่มาเพื่อเรียนรู้และตั้งคำถามที่ตนเองมีออกมา ฮ่าๆ ผู้อาวุโสหลี่ท่านสอนต่อเถอะ!”
ผู้อาวุโสหลี่ไม่อาจอดทนต่อไปไหว ยกแขนเสื้อขึ้นเชิดหน้าหนีไป “ไม่สอนมันแล้ว!”
พูดจบเขาก็จากไปด้วยท่าทางกระฟัดกระเฟียด
ตั้งแต่ได้เป็นนักบวชมาเย่หยวนก็ใช้วันเวลาไปกับการเรียนรู้เรื่องโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์ในโถงหลักของวิหารนักบวช
แม้ว่าในใจของเขาจะเป็นห่วงอิ้งหมัวหู่อย่างมากเขาก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรไปได้มากกว่าการรอ
และสิ่งที่ทำให้เย่หยวนได้มีที่ยืนในวิหารนักบวชนี้มันก็คือความสามารถทางโอสถของเขา เพราะฉะนั้นเขาจึงต้องพัฒนาตัวเองให้มากพอที่จะได้รับอำนาจนั้น
ตอนที่เข้าศาลาสวรรค์หลวงครั้งแรกไป เย่หยวนได้เรียนรู้เรื่องราวของโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์มาอย่างมากมาย
แต่เรื่องการหลอมโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์จริงๆ นั้นเย่หยวนยังขาดความรู้ไปมาก
นั่นทำให้ทุกวันนี้เขาพยายามที่จะดูดซับความรู้ต่างๆ ด้วยความเร็วที่แสนจะบ้าคลั่ง
เย่หยวนนั้นย่อไม่ได้คิดที่จะสร้างปัญหาใดๆ แต่การสอนของเหล่าผู้อาวุโสนั้นมันมักจะมีเรื่องราวที่ผิดพลาดไปเสมอๆ
การที่เย่หยวนจะแทรกคำถามขึ้นมามันก็คงเลี่ยงไม่ได้
เพียงแค่ว่าบางคำถามของเขานั้นมันยากเย็นเกินไปจนแม้แต่เหล่าผู้อาวุโสนั้นก็ตอบกลับมาไม่ได้ มันจึงกลายเป็นทำให้อีกฝ่ายโกรธไม่พอใจขึ้นมาแทน
“เย่หยวน เจ้านี่เก่งดีจริง! ตอนนี้เจ้าไปทำให้ผู้อาวุโสหลี่ท่านโกรธจนหนีไปเช่นนี้แล้ว เจ้าพอใจรึยัง?”
ตอนนั้นเองก็มีนักบวชคนหนึ่งหันมาพูดว่าเย่หยวน แล้วจะเป็นใครไปได้นอกจากฉีเฟิง?
เย่หยวนยักไหล่ตอบ “งั้นเจ้าลองบอกมาสิว่าข้าถามถูกหรือไม่?”
ฉีเฟิงแทบสำลักเมื่อได้ยินเช่นนั้น เพราะสิ่งที่เย่หยวนพูดออกมานั้นมันเปี่ยมไปด้วยเหตุผล เขาไม่มีทางจะเถียงกลับใดๆ ไปได้เลย
เพราะหากมันมีช่องให้โต้เถียงได้ผู้อาวุโสหลี่ก็คงไม่เดินหนีไปด้วยความโกรธเช่นนั้น
แม้แต่ผู้อาวุโสหลี่ยังไม่มีปัญญาตอบ มีหรือที่ฉีเฟิงคนนี้จะมีปัญญาได้!
“ฮึ่ม! ต่อให้เรื่องที่เจ้าพูดมามันจะถูก แต่เจ้าก็ต้องสนใจกาลเทศะและวิธีพูดเสียบ้าง! เจ้าทำเสียเรื่องเช่นนี้ทุกคนก็ไม่ได้เรียนกันต่อพอดี!” ฉีเฟิงบอก
แน่นอนว่าด้วยการจุดประกายของเขานี้ คนอื่นๆ ก็เริ่มแสดงความไม่พอใจออกมา
เพราะแม้เย่หยวนจะพูดถูก แต่ตอนนี้ผู้อาวุโสท่านโกรธจนหนีหายไปแล้วใครจะมาสั่งสอนวิชาความรู้ให้พวกเขาต่ออีก?
แบบนี้มันไม่เท่ากับว่าเย่หยวนเป็นตัวจัญไรหรอกหรือ?
“เย่หยวน เจ้านี่มันอัจฉริยะจริงๆ แต่พวกข้ามันคนธรรมดาเข้าใจไหม?”
“เจ้านั้นมีความสามารถ อย่าได้มาฟังการบรรยายของผู้อาวุโสร่วมกับเราอีกเลย!”
“ตอนนี้ท่านผู้อาวุโสก็ไปแล้ว เจ้าจะช่วยสอนเราแทนไหมล่ะ?”
…
ทุกคนต่างแสดงความไม่พอใจออกมา ด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจเย่หยวนเป็นอย่างมาก
เย่หยวนยิ้มตอบ “อ่า หากมันแค่ระดับของผู้อาวุโสหลี่แล้วข้าก็พอที่จะสอนพวกเจ้าแทนได้!”
คำพูดเดียวนี้มันทำให้ทุกผู้คนต่างเปิดปากอ้าค้างด้วยความตกตะลึง
เจ้าหมอนี่มันจะอวดอ้างตัวเกินไปไหม?
เมื่อฉีเฟิงได้ยินเขาก็ยิ้มตอบกลับมา “เอาล่ะงั้นเจ้าลองสอนดู! ทุกคนมาช่วยกันฟังหน่อยว่ายอดอัจฉริยะอันดับหนึ่งของวิหารเราจะพูดอธิบายเรื่องราวแสนลึกล้ำได้หรือไม่!”
ความรู้พื้นฐานตื้นเขินทั่วไปพวกเขาต่างรู้ถึงมันดี
ต่อให้มันจะมีช่องว่างระหว่างนักบวชที่นั่งอยู่ตอนนี้มากแค่ไหน มันก็ไม่มีทางจะทิ้งห่างกันไปได้ไกลนัก
เพราะฉะนั้นฉีเฟิงจึงไม่มีทางเชื่อเลยว่าเย่หยวนคนนี้จะสามารถบอกสอนเรื่องราวที่ลึกล้ำได้
การตั้งคำถามได้ ไม่ได้หมายความว่าจะสั่งสอนคนอื่นได้!
พวกเขานั้นล้วนแต่เป็นนักบวชสี่ดาว ใครจะไปเก่งกาจกว่าคนอื่นได้ปานนั้น?
เย่หยวนยิ้มและเดินขึ้นไปบนเวทีสูงก่อนจะพูดขึ้นอย่างชัดเจน “ต่อไป ข้าจะเริ่มสอนต่อจากที่ท่านผู้อาวุโสหลี่หยุดไว้…”
จากนั้นเย่หยวนก็เริ่มพูดออกมาอย่างไม่มีหยุดพัก
แรกเริ่มทุกคนต่างเริ่มฟังด้วยหน้าตาดูถูก
แต่ยิ่งฟังไป สีหน้าของทุกคนก็ยิ่งจริงจังมากขึ้นและมากขึ้น
ในที่สุดตอนนี้พวกเขาก็ได้รู้แล้วว่าเย่หยวนไม่ได้โม้!
สิ่งที่เย่หยวนอธิบายออกมานั้นมันชัดเจนและเข้าใจง่ายเสียยิ่งกว่าที่ผู้อาวุโสหลี่สอน และยังเข้าเรื่องตรงๆ ไม่มีการอ้อมค้อมด้วย
ดูแล้วความเข้าใจในโอสถชวดไขมังกรแทรกของเย่หยวนนั้นมันจะเหนือล้ำกว่าที่พวกเขาจะเทียบชั้นได้เลย
แม้ว่าเย่หยวนจะยังไม่ชำนาญในการหลอมโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์ แต่หากให้พูดถึงความเข้าใจในสูตรโอสถแล้วต่อให้มีผู้อาวุโสหลี่ร้อยคนก็ไม่มีทางเทียบเคียงเย่หยวนได้
เพราะไม่ว่าอย่างไรแค่โอสถระดับความยากสี่มันก็ไม่ใช่เรื่องยากแก่เย่หยวนเลย
ไม่เช่นนั้นตอนนั้นเขาคงไม่มีทางหลอมโอสถแปดเขาฟ้าคำรามได้ถึงขั้นสูงยอดเยี่ยมเช่นนั้นอย่างง่ายดาย
มันเพียงแค่ว่ารายละเอียดบางอย่างในวิธีการหลอม รวมไปถึงทักษะในการใช้ศาสตร์หลอมอสูรเล็กๆ น้อยๆ นั้นเย่หยวนยังขาดแคลนไป
ของที่ยากจริงๆ นั้นย่อมเป็นโอสถความยากระดับเจ็ดขึ้นไปเท่านั้น!
เหล่านักบวชทั้งหลายต่างฟังอย่างจริงจัง ตอนนี้ดวงตาของพวกเขายิ่งเบิกกว้าง ดูแล้วคงได้รับความรู้ไปอย่างมหาศาลจริงๆ
ตอนนี้แม้แต่ฉีเฟิงเองก็ลืมเรื่องราวอื่นๆ ไปจนสิ้นและตั้งใจฟังการสอนของเย่หยวนอย่างมาก
“อ่า ก็ประมาณนี้ นี่คือเรื่องง่ายๆ ที่มักจะพลาดกันที่ข้าสรุปออกมาเอง ตราบเท่าที่พวกเจ้าฝึกฝนมากพอ เจ้าย่อมสามารถพัฒนาคุณภาพของโอสถไปได้อย่างมากมายแน่” เย่หยวนบอกด้วยรอยยิ้ม
ตอนที่ 1758 ภารกิจขยะ
“มันจะไปสอนอย่างไรได้อีกเนี่ย! เจ้าเย่หยวนนั้นมันรังแกผู้คนจนเกินไปจริงๆ! เกินจะทน!”
เมื่อผู้อาวุโสหลี่เข้ามา เขาก็บ่นออกมาชุดใหญ่
ตอนนี้มีผู้อาวุโสหลายคนกำลังนั่งพักผ่อนกันอยู่ ทั้งฉีหยู นิคุน คูมู่ต่างอยู่กันพร้อม
เมื่อเหล่าผู้อาวุโสคนอื่นได้ยินคำบ่นกร้าวของผู้อาวุโสหลี่ พวกเขาต่างก็เข้าใจได้ทันทีว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น
“ผู้อาวุโสหลี่ ไอ้เด็กคนนั้นมันก่อเรื่องอีกแล้ว?” นิคุนกล่าวถามขึ้น
ผู้อาวุโสหลี่ยิ้มเยาะออกมา “จะเป็นอะไรไปได้อีก? เฒ่าคนนี้ยังสอนไปได้ไม่ถึงครึ่งไอ้เด็กคนนั้นมันก็ถามขึ้นมาถึงสิบครา! สิบ! ยังจะสอนได้อย่างไรกัน?”
ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ก็เข้าใจอารมณ์นั้นอย่างดีและร่วมกันว่ากล่าวเย่หยวน
“เจ้าเย่หยวนคนนี้มันช่างไม่เคารพผู้หลักผู้ใหญ่เสียจริงๆ! ตอนครั้งก่อนที่ข้าสอนมันก็ขัดข้าจนไม่รู้จะสอนต่ออย่างไร!”
“ใช่ไหม? ตั้งแต่ที่ไอ้เด็กคนนั้นมันขึ้นมาเป็นนักบวชเต็มตัว วิหารเราก็ไม่ได้มีความสงบสุขใดๆ เลย!”
“เหมือนราวกับว่ามันมีอะไรไม่พอใจเหล่าผู้อาวุโสเรา ไปสอนทีไรมันก็จะถามอะไรแปลกๆ และนอกเหนือกฎเกณฑ์ ทำเอาข้าจะช้ำใจตาย!”
…
เหล่าผู้อาวุโสทุกๆ คนต่างแสดงความไม่พอใจออกมาอย่างมาก แต่คำพูดที่พวกเขาบอกออกมามันกลับแสดงได้ถึงความหมดสิ้นปัญญาอย่างถึงที่สุด
เพราะว่าคำถามของเย่หยวนนั้นมันล้วนแล้วแต่เป็นคำถามที่พวกเขาไม่มีปัญญาตอบ
จุดบกพร่องที่เย่หยวนพบเจอ มันถูกต้องและแม่นยำ
เพราะว่าเช่นนี้นี่เองพวกเขาทั้งหลายจึงได้แต่กัดฟันด่าว่าเย่หยวนด้วยความเกลียดชัง แต่ไม่สามารถที่จะทำอะไรต่อเย่หยวนได้จริงๆ
เพราะว่าเขาคนนั้นมันช่างเก่งกาจ!
ไม่เชื่อก็ให้ลองไปโต้วาทีกับเขาดู!
เหล่าผู้อาวุโสนั้นล้วนแต่มีตำแหน่งหน้าตาสูงส่งเหนือผู้คน ได้รับการยอมรับและเคารพนับถือจากทั้งนักบวชและนักบวชฝึกหัด
แต่เย่หยวนคนนี้เข้ามาอยู่ได้ไม่นานกลับทำให้เรื่องราวเหล่านั้นล่มพังไม่เป็นท่า
เหล่าผู้อาวุโสนั้นต่างรู้สึกว่าตัวเองไม่มีหน้าจะเอาไปไว้ที่ไหนแล้ว
นิคุนบอก “ไอ้เด็กคนนี้มันเกินทนจริงๆ! มันคิดว่าตัวเองเป็นใครกันแน่? แบบนี้วิหารนักบวชเราคงได้เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือแน่ๆ!”
ดูท่าแล้วการสอนของนิคุนเองก็คงโดยเย่หยวนสาดคำถามใส่เช่นกัน ที่สำคัญคำถามนั้นมันคงไม่น้อยเลยทีเดียว
นิคุนนั้นไม่ค่อยชอบเย่หยวนมาตั้งแต่ต้นแล้ว ตอนนี้เขายิ่งไม่สามารถอดทนอยู่กับเย่หยวนได้ไปใหญ่
เมื่อผู้อาวุโสหลี่ได้ยินเขาก็บอก “ผู้อาวุโสนิ ไอ้เด็กคนนี้มันต้องโดนสั่งสอนเสียบ้าง! ไม่เช่นนั้นมันจะยิ่งได้ใจไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมใดๆ!”
“แล้วจะสั่งสอนมันอย่างไร? ธรรมเนียมการถามคำถามระหว่างฟังการเทศน์บรรยายนี้มีมาตั้งแต่โบราณกาล หรือเราจะห้ามไม่ให้มันพูด? ทำเช่นนั้นหากเรื่องราวแพร่กระจายออกไปมันยิ่งมีแต่ทำให้เราไม่มีหน้าไปพบผู้คนเอาไม่ใช่หรือ?” คูมู่บอก
นิคุนยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย “เฒ่าคนนี้หาทางจะจัดการกับไอ้เด็กนี่มานานแสนนานแล้ว!”
คำพูดนี้ของนิคุนทำให้ทุกผู้คนหันมาสนใจทันที
“ผู้อาวุโสนิ ท่านมีทาง?”
นิคุนยิ้ม “หมากล้อมนิรันดร์ ‘อย่าถาม’ หรือพวกท่านจะลืมมันไปหมดแล้ว?”
เมื่อเหล่าผู้อาวุโสได้ยินพวกเขาก็ยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัยทันที
ผู้อาวุโสหลี่นั้นหัวเราะลั่น “เยี่ยมยอด ผู้อาวุโสนิ! ช่างเยี่ยมยอดจริงๆ!”
…
เย่หยวนนั้นย่อมไม่รู้เลยว่าเหล่าผู้อาวุโสกำลังวางแผนอะไรบางอย่างอยู่ หลังจากฟังบรรยายแล้วเขาก็เดินออกมารับภารกิจ
ในวิหารนักบวชนี้ หากอยากได้แต้มความดีพวกเขาทั้งหลายย่อมต้องรับภารกิจในการหลอมโอสถ
ในภารกิจการหลอมโอสถเดียวกัน ผู้ที่สามารถหลอมได้คุณภาพสูงกว่าจะได้แต้มความดีที่มากกว่าตามไปด้วย
ครึ่งปีมานี้ เย่หยวนมักจะมาเพื่อรับภารกิจหลอมโอสถเรื่อยๆ ทำให้ตอนนี้เขาคุ้นชินกับการหลอมโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์มากขึ้นไม่น้อย
แต่การหลอมโอสถของเย่หยวนนั้นมันแตกต่างจากนักบวชคนอื่นๆ
สำหรับนักบวชคนอื่นๆ แล้วพวกเขาจะไม่หันมาสนใจพวกภารกิจความยากต่ำๆ เลย แต่เย่หยวนกลับใช้เวลากว่าครึ่งปีมานี้ทำเพียงแค่ภารกิจความยากระดับต่ำ
ในหมู่พวกมันนั้น บ้างถึงขั้นไม่มีรางวัลแต้มความดีให้ เพราะว่ามันง่ายเสียจนเกินไป
ภารกิจเหล่านี้ บางอันนั้นมันสามารถส่งไปให้เมืองหลวงหรือแม้แต่เมืองเล็กๆ จัดการได้
เมื่อมันมาถึงเมืองจักรพรรดิเช่นนี้ ภารกิจความยากแค่นี้ย่อมไม่มีใครคิดที่จะสนใจ
แต่เย่หยวนนั้นกลับเฝ้าทำมันอย่างเต็มที่
“หึๆ ท่านเย่หยวนมาอีกแล้ว ครานี้ท่านอยากได้ภารกิจความยากระดับใดกันขอรับ?”
คนที่เฝ้าสถานที่รับภารกิจนั้นเป็นนักบวชฝึกหัดหลายคน พวกเขานั้นเข้าใจนิสัยการทำงานของเย่หยวนแล้ว
แม้ว่าพวกเขาจะดูถูกนิสัยนี้อยู่ในใจแต่พวกเขาก็ยังเป็นแค่นักบวชฝึกหัด ไม่กล้าที่จะลบหลู่ตัวตนที่ยิ่งใหญ่อย่างเย่หยวนแม้แต่น้อย
เย่หยวนบอก “อืม…คราวนี้เอาความยากระดับสองสักสิบภารกิจแล้วกัน”
พูดไปเย่หยวนก็เดินไปดูภารกิจความยากระดับสองที่เขาต้องการจากรายชื่อภารกิจ
ภารกิจทั้งหลายนี้เย่หยวนย่อมเลือกมันอย่างตั้งใจไม่ใช่แค่สุ่มเลือกไปมั่วๆ
หากมันเป็นภารกิจที่ไม่ช่วยพัฒนาตัวเองแล้วเย่าหยวนย่อมไม่คิดที่จะหยิบเลือกมา
ระหว่างที่เย่หยวนกำลังเลือกไป ก็มีเสียงหัวเราะลั่นดังขึ้นมาจากด้านหลัง
“หึ มาทำภารกิจขยะที่ไม่มีใครสนใจจริงๆ ด้วย! อัจฉริยะอันดับหนึ่งของวิหารมาทำอะไรแบบนี้? ดูอย่างไรเจ้านี่มันก็ของปลอมชัดๆ”
เย่หยวนหันหน้าไปมองชายชุดเทาคนนั้นและได้แต่กลอกตากลับอย่างไม่คิดสนใจ “ข้าจะเลือกภารกิจใดย่อมมิใช่ธุระกงการของเจ้า! เจ้าคนสอดรู้ที่ไม่ได้เข้าใจเรื่องราวใดๆ!”
ชายชุดเทาหน้าเปลี่ยนสีและตอบไป “เด็กน้อย เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร? ถึงกล้ามาว่ากล่าวเช่นนี้ต่อหน้าข้า?”
เย่หยวนแทบพูดอะไรไม่ออก “เจ้าเป็นใครข้าจะเกี่ยวอะไรด้วย? เจ้าคิดว่าข้าจะเป็นเหมือนเจ้า ไปสอดรู้เรื่องชาวบ้านเขาไปทั่วโดยไม่รู้อะไรอย่างนั้นหรือ?”
เมื่อคนอื่นๆ ได้ยินคำของเย่หยวน พวกเขาก็นิ่งเงียบไปราวกับเป็นจักจั่นในฤดูหนาว
ช่างอหังการโดยแท้!
คนอื่นๆ นั้นย่อมจำได้ทันทีว่าชายชุดเทาตรงหน้าเย่หยวนนี้มีนามว่าคงหยุนผู้ได้รับฉายาว่าเป็นนักบวชอันดับหนึ่ง
หลังจากถูกเย่หยวนต่อว่าติดๆ กันคงหยุนก็ตอบกลับมาด้วยท่าทางโกรธเคือง “ช่างเป็นเด็กที่ปากดีจริง! หึ ยอดอัจฉริยะที่ขึ้นชื่อว่าเป็นอันดับหนึ่งแห่งวิหารกลับมาทำภารกิจขยะๆ เช่นนี้ ผู้คนได้ยินเข้าคงหัวเราะจนขาดอากาศตาย! ข้าคนนี้เข้าเก็บตัวไปไม่กี่ปี ไม่นึกเลยว่าโลกภายนอกมันจะเกิดเรื่องราวสุดบ้าบอเช่นนี้ขึ้นมาได้”
เพราะเดิมทีก่อนที่เย่หยวนจะปรากฏตัว ตำแหน่งยอดอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งวิหารนั้นมันเป็นของคงหยุนมาก่อน
แต่คราวก่อนเย่หยวนได้ชนะฉีเฟิงทั้งๆ ที่เป็นครั้งที่สองที่ได้ลองหลอมโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์ เรื่องราวเช่นนี้มันย่อมทำให้ตำแหน่งฉายานั้นเปลี่ยนมือไปอย่างง่ายดาย
คงหยุนเองก็เก็บตัวมาตลอดหลายปี ใครจะไปคิดว่าเมื่อเขาออกมาตำแหน่งอันดับหนึ่งของเขาจะหายไปกับสายลมเช่นนี้
เมื่อตรวจสอบดูเขาจึงพบว่ามีเด็กน้อยนามเย่หยวนปรากฏตัวขึ้น
วันนี้คงหยุนคิดจะมารับภารกิจ แต่ไม่นึกว่าจะบังเอิญได้มาเจอเย่หยวนเข้าพอดี
เย่หยวนหันไปมองคงหยุนด้วยท่าทางเย็นชา “เจ้าสามารถทำภารกิจระดับใดได้บ้าง?”
เมื่อคงหยุนได้ยินเขาก็รู้ทันทีว่าเด็กคนนี้มันคิดจะท้าทายตัวเขา!
หึๆ น่าสนใจ!
คงหยุนบอกอย่างมั่นใจ “ด้วยพลังของนักบวชผู้นี้แล้วข้าสามารถทำภารกิจระดับห้าดาวได้อย่างง่ายดาย หรือว่าเจ้าคิดอยากท้าทายข้ากัน? ด้วยแค่…ภารกิจขยะของเจ้าน่ะนะ? ฮ่าๆๆ”
ในเรื่องนี้คงหยุนย่อมมั่นใจเป็นอย่างมาก
เขานั้นเก็บตัวฝึกฝนมานาน ความเข้าใจในศาสตร์โอสถของเขาย่อมพัฒนาไปอย่างมาก
ภารกิจระดับห้าดาวนั้นเป็นภารกิจที่มีโอสถความยากระดับห้าอยู่รวมไปถึงโอสถความยากระดับหกต้นๆ ด้วย
ด้วยพลังฝีมือของเขาในตอนนี้ การทำภารกิจห้าดาวนั้นมันง่ายดาย
ในด้านนี้ไม่มีนักบวชคนอื่นๆ ที่จะสามารถทำได้เลย
เย่หยวนหันไปมองดูคงหยุนราวกับเขาเป็นไอ้โง่คนหนึ่ง ก่อนจะหันไปบอกนักบวชฝึกหัดที่เฝ้าการรับภารกิจ “ขอภารกิจความยากระดับเจ็ดดาวมาให้ข้าหน่อย!”
คงหยุนต้องสะดุ้งตกใจทันทีที่ได้ยิน แต่เขาก็รีบหัวเราะออกมาตามทันที “ข้าได้ยินมาว่าครึ่งปีมานี้เจ้าไม่เคยทำภารกิจเกินสามดาวนี่ วันนี้กลับคิดอยากทำภารกิจเจ็ดดาว? นี่เจ้าจะข่มข้าหรือ? ฮ่าๆ จะข่มอะไรมันก็ต้องมีฝีมือด้วยนะ!”
เย่หยวนไม่คิดที่จะสนใจเขาอีกต่อไปและเลือกภารกิจเจ็ดดาวที่ยากที่สุดมา “วันพรุ่งนี้บ่าย ข้าจะมาส่งภารกิจ หากตอนนั้นเจ้าทำภารกิจเสร็จสิ้นแล้วค่อยมาข่มอะไรกับข้า ตอนนี้ไปไกลๆ ให้พ้นหน้าข้าไป!”
ตอนที่ 1759 ตรวจสอบและยอมรับ
เมื่อเห็นหลังเย่หยวนเดินจากไป คงหยุนก็ได้แต่แสดงสีหน้าโกรธแค้นจนแดงก่ำ
ส่วนนักบวชและนักบวชฝึกหัดคนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ นั้นได้แต่ยืนนิ่งปิดปากเงียบกริบ
“ไอ้เด็กเวร กล้ามาทำตัวอวดดีต่อหน้าข้าได้! ภารกิจเจ็ดดาว หึ ข้าล่ะอยากรู้จริงๆ ว่าเจ้าจะเอาปัญญาที่ไหนมาทำสำเร็จ!” คงหยุนยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย
“เย่หยวนคนนี้มันคงบ้าใช่ไหม? ถึงกล้าไปท้าทายภารกิจเจ็ดดาวเช่นนี้!”
“ภารกิจเจ็ดดาวนั้นคือภารกิจที่แม้แต่ผู้อาวุโสยังทำไม่ค่อยผ่าน ไอ้หมอนั่นมันจะอวดอ้างใดก็ควรมีขอบเขตบ้างใช่ไหม?”
“นั่นสินะ? มันคงได้ใจที่ได้ฉายาอัจฉริยะอันดับหนึ่งของวิหารมาครองล่ะมั้ง?”
“ครึ่งปีมานี้เขาเคยทำแค่ภารกิจสามดาวลงมา จู่ๆ จะกระโดดไปทำภารกิจเจ็ดดาวเช่นนี้แทนมันจะไม่น่าตลกเกินไปหน่อยหรือ?”
…
การกระทำในครั้งนี้ของเย่หยวนนั้นไม่มีใครคิดที่จะสนับสนุนเลย
จากสามดาวไปเจ็ดดาว นี่มันเป็นช่องว่างที่แสนจะห่างไกล
ภารกิจเจ็ดดาวนั้นเป็นภารกิจที่นานๆ ทีจะมีผู้อาวุโสมารับไปทำ
คงหยุนเดินมาที่นักบวชฝึกหัดคนที่จ่ายภารกิจออกไปและถามด้วยหน้าตาจริงจัง “ให้ข้าดูหน่อยว่ามันรับภารกิจใดไป”
แน่นอนว่านักบวชฝึกหัดคนนั้นย่อมไม่มีทางปฏิเสธคงหยุนได้และยื่นสมุดรายชื่อภารกิจออกมา
เมื่อคงหยุนได้เห็นใบหน้าของเขาก็กระตุกขึ้นและหัวเราะลั่นออกมาทันที “ไอ้เด็กคนนี้มันโง่มากเลยใช่ไหม? ภารกิจเหล่านี้หากมันมีปัญญาจะทำจริง ข้า คงหยุนผู้คนนี้จะยื่นหัวให้มันเตะเล่นเหมือนลูกบอลเลย!”
การกระทำนี้ของเย่หยวนมันโอหังเกินไป ทำให้หน้าตาชื่อเสียงของคงหยุนนั้นเสียไปไม่น้อย
เสียงหัวเราะลั่นนี้มันก็เพื่อที่จะกู้หน้าคืนมาบ้าง
ทุกคนที่ได้ยินต่างสงสัยว่าเย่หยวนรับภารกิจเจ็ดดาวแบบไหนไปกันแน่
เพราะภารกิจเจ็ดดาวนั้นมันมีมากมาย มีทั้งที่ง่ายและทั้งที่ยาก
ที่ง่ายๆ ก็แทบไม่ได้ต่างอะไรจากภารกิจหกดาวเลย
ส่วนที่ยากๆ นั้นเปรียบเทียบได้กับภารกิจแปดดาวทีเดียว
ตอนนี้เย่หยวนที่เพิ่งเดินไปถึงประตูหน้าได้ยินคำของคงหยุนเข้าและหยุดเท้าลง ก่อนที่เย่หยวนจะหันกลับมาบอก “ข้าจำคำพูดนี้ของเจ้าไว้แล้ว หวังว่าวันพรุ่งนี้เจ้ายังจะกล้าย้ำคำเดิมของเจ้านี้”
คงหยุนหัวเราะลั่น “เจ้าวางใจได้ วันพรุ่งนี้ข้าก็จะกล่าวมันอีกแน่! เพราะว่าสิบภารกิจนี้มันไม่มีทางเลยที่คนอย่างเจ้าจะทำมันได้สำเร็จ!”
เย่หยวนยิ้มและเดินก้าวออกไป
เหล่าผู้คนทั้งหลายก็ต่างสงสัยกันในใจ นักบวชบางคนที่มีพลังฝีมือบ้างถึงขั้นเดินออกมาถาม “พี่คงหยุน เย่หยวนมันเลือกภารกิจเช่นใดไปกัน?”
คงหยุนหัวเราะเย้ย “เจ้าลองดูเองสิ!”
เมื่อทุกคนได้เห็นมันก็เกิดความแตกตื่นขึ้นทันที!
“ภารกิจหมายเลขเจ็ดสิบห้านี้ เหมือนว่าผู้อาวุโสนิจะเคยรับไปใช่ไหม? แล้วท่าน…ก็น่าจะทำได้ไม่สำเร็จด้วย!”
“แล้วภารกิจหมายเลขสามร้อยหกสิบเจ็ดนี้ ข้าได้ยินว่ามีผู้อาวุโสหลายคนมารับมันไป แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครที่จะสามารถทำมันให้สำเร็จได้!”
“ภารกิจทั้งสิบนี้แต่ละอันมันเป็นภารกิจที่ยากเกินจะทำสำเร็จได้ เขาบ้าไปแล้วหรือ?”
…
ภารกิจทั้งสิบที่เย่หยวนรับไปนั้นล้วนแล้วแต่มีผู้อาวุโสเคยทำมาก่อน ไม่มากก็น้อย
ที่สำคัญคือพวกเขาทั้งหลายนั้นทำไม่สำเร็จด้วย
ภารกิจเช่นนี้ คนที่เพิ่งเรียนรู้ศาสตร์การหลอมโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์มาได้แค่ครึ่งปีจะมีปัญญาหลอมมันได้หรือ?
ที่สำคัญเย่หยวนยังไม่เคยทำภารกิจเหนือกว่าระดับสามดาวขึ้นไปเลยสักครั้ง มาทำภารกิจเจ็ดดาวเช่นนี้มันจะไม่บ้าบอเกินไปหน่อยหรือ?
คงหยุนยิ้ม “ไอ้โง่ที่ประเมินตัวเองจนสูงส่ง แม้ว่ามันจะอยากโอ้อวดแค่ไหนมันก็ต้องมีขอบเขตกันบ้าง!”
ทุกคนนั้นพยักหน้าตาม เห็นด้วยกับคงหยุนอย่างหมดหัวใจ
การโอ้อวดในครั้งนี้มันเกินกว่าที่จะเป็นไปได้!
…
ช่วงบ่ายวันต่อมา คงหยุนก็มาถึงยังโถงรับภารกิจ
เช่นเดียวกันกับเขา ตอนนี้มีผู้คนมากมายหลากหลายกำลังมารออยู่ที่นี่
“คงหยุน ได้ยินว่าเมื่อวานเจ้ามาดูเย่หยวนมัน?”
คงหยุนหันไปมองและก็พบกับฉีเฟิง
ฉีเฟิงคนนี้เองก็ได้ยินมาว่าเย่หยวนรับภารกิจที่เป็นไปไม่ได้ไป และแน่นอนว่าคนอย่างเขาต้องไม่พลาดที่จะมาดู
การได้เห็นเย่หยวนในสภาพดูไม่จืดนั้นมันคงเป็นอะไรที่แสนจะปลอดโปร่งต่อตัวเขา
คงหยุนยิ้มเยาะออกมา “ได้รับฉายานามว่าเป็นอันดับหนึ่งแห่งวิหาร ข้าก็นึกว่ามันจะเป็นคนที่เก่งกาจใด ที่แท้มันก็เป็นได้แค่คนโง่คนหนึ่ง!”
ฉีเฟิงยิ้ม “อาจจะไม่โง่ แต่คนที่บังคับมันได้ถึงขั้นนี้ก็คงมีแต่เจ้าเท่านั้นแหละ”
ได้ยินคำของฉีเฟิง คงหยุนก็รู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก
“หากมันเลือกภารกิจหกดาวข้าอาจจะยังกังวลอยู่ไม่น้อย แต่มันกลับไปเลือกภารกิจเจ็ดดาว และไม่ใช่แค่เลือกภารกิจเจ็ดดาวแต่มันยังเลือกภารกิจเจ็ดดาวที่ไม่มีใครทำสำเร็จได้ ถึงขั้นนี้แล้วมันจะยังไม่โง่อีกหรือ?” คงหยุนบอกออกมา
ฉีเฟิงย่อมไม่คิดว่าเย่หยวนเป็นคนโง่อย่างแน่นอน แต่เขาเองก็คิดว่าภารกิจในครั้งนี้เย่หยวนก็ไม่น่าจะสามารถทำมันได้เช่นกัน
“ให้ข้าเดาแล้ว วันนี้มันคงไม่คิดจะมา ภารกิจเหล่านั้นมันเป็นภารกิจที่ไม่มีทางทำสำเร็จได้ แต่ว่าภารกิจระดับเจ็ดขึ้นไปนั้นมันต้องให้ผู้อาวุโสเป็นคนมาตรวจรับ ตอนนี้ผู้อาวุโสฉีหยูมาถึงแล้ว ข้าอยากรู้จริงๆ ว่ามันจะอ้างเรื่องใดได้!” ฉีเฟิงยิ้มเยาะ
ได้ยินเช่นนั้นคงหยุนเองก็ยิ้มออกมาตาม
จากวันนี้ไป ตำแหน่งอันดับหนึ่งแห่งวิหารย่อมจะหวนกลับคืนมาสู่มือของเขาอีกครั้งแน่
“มา มาแล้ว! ไม่นึกเลยว่าเย่หยวนจะกล้ามาจริงๆ!”
“หึๆ มาหรือไม่มันก็คงได้กลายเป็นที่หัวเราะเยาะของคนทั้งวิหารอยู่ดี!”
จู่ๆ ก็เกิดเสียงพูดคุยดังขึ้นในหมู่ผู้คนเมื่อเย่หยวนค่อยๆ เดินเข้ามาด้านใน
เย่หยวนย่อมไม่คิดที่จะสนใจและเดินตรงไปยังโต๊ะส่งภารกิจ
“ข้ามาส่งภารกิจ” เย่หยวนบอก
นักบวชฝึกหัดคนนั้นตอบกลับมา “ท่านเย่หยวนโปรดรอสักครู่ ข้าจะไปเรียกผู้อาวุโสฉีหยูออกมาให้!”
เย่หยวนพยักหน้ารับและปล่อยให้นักบวชฝึกหัดคนนั้นหันหลังเดินจากไป
“หึๆ ยังจะมาวางท่า! ภารกิจเหล่านี้หากเจ้าทำมันได้แม้แต่ภารกิจเดียวข้าคงหยุนจะขอเขียนชื่อตัวเองกลับหัวไปตลอดเลย!” คงหยุนหัวเราะออกมา
เย่หยวนหันไปมองเขาด้วยท่าทางไม่รู้จักพูดอะไร “เมื่อวานเจ้าว่าจะยื่นหัวให้ข้าเตะเล่น วันนี้มาบอกว่าจะเขียนชื่อกลับหัว ชื่อที่พ่อแม่เจ้าตั้งให้มา เจ้าไม่คิดที่จะรักษามันหน่อยหรือ?”
คงหยุนแทบสำลักเมื่อได้ยินและตอบกลับมาด้วยอาการกลั้นขำ “ไม่ต้องมาวางท่าแล้ว! ข้าอยากรู้จริงๆ ว่าเจ้าจะวางท่าไปได้นานแค่ไหน”
ตอนนั้นเองที่ฉีหยูก็เดินออกมาถึง
เขามองดูเย่หยวนด้วยความตื่นตกใจไม่น้อย
เพราะเจ้าเด็กคนนี้มันกล้าจะท้าทายภารกิจเจ็ดดาวพร้อมกันหลายภารกิจ แถมแต่ละภารกิจยังเป็นภารกิจที่แสนจะยากเย็น ดูอย่างไรมันก็เป็นการหาเรื่องใส่ตัวชัดๆ!
“ผู้อาวุโสฉีหยู!” เย่หยวนยกมือขึ้นมาคารวะฉีหยู
ฉีหยูพยักหน้า “ได้ยินว่าเจ้าเลือกสิบภารกิจเจ็ดดาวที่ยากที่สุดไป?”
เย่หยวนพยักหน้า “ใช่แล้วขอรับ ผู้อาวุโสฉีหยูโปรดตรวจสอบและรองรับมันด้วย”
เมื่อเขาพูดไป เย่หยวนก็ยื่นแหวนออกมาวางไว้บนโต๊ะ
นั่นทำให้ฉีหยูต้องหรี่ตามองทันที “สิบภารกิจนี้…เจ้าทำมันได้หมดแล้ว?”
เย่หยวนยิ้ม “เมื่อเย่หยวนคนนี้กล้าจะรับมัน ย่อมหมายความว่าเย่หยวนคนนี้มีปัญญาพอที่จะทำมัน ผู้อาวุโสโปรดตรวจสอบ!”
ฉีหยูเองก็ตื่นตกใจไม่น้อย เขาหยิบแหวนนั้นขึ้นมาและส่งจิตศักดิ์สิทธิ์ของตัวเองลงไปในแหวนเพื่อเริ่มทำการตรวจสอบ
เมื่อคงหยุน ฉีเฟิงและคนอื่นๆ ได้เห็นภาพนั้นพวกเขาต่างก็แสดงใบหน้าเยาะเย้ยออกมาตามๆ กัน
แต่จู่ๆ สีหน้าของฉีหยูก็เปลี่ยนไปอย่างมากและหันมาถามเย่หยวนด้วยความตื่นตกใจ “นี่มัน…โอสถเทียนแท้นิรันดร์นี่เจ้าหลอมเอง?”
เย่หยวนยิ้มตอบ “ผู้อาวุโสฉีหยูคงล้อเล่นแล้ว หากไม่ใช่ข้ามันจะยังมีใครมาหลอมให้ข้าได้อีก?”
เมื่อทุกคนเห็นภาพนั้นพวกเขาต่างก็แสดงท่าทางตื่นตกใจออกมาตามๆ กัน
หรือว่าเย่หยวนคนนี้จะทำสำเร็จได้หนึ่งภารกิจ?
เมื่อพยายามฝืนกลั้นความตกตะลึงนั้นไปได้ ฉีหยูก็หยิบแหวนวงที่สองและเริ่มส่องดูภายในแหวนอีกครั้ง
จากนั้นก็เป็นวงที่สาม ที่สี่…ไปเรื่อยจนถึงวงที่สิบ!
ใบหน้าของฉีหยูนั้นมีแต่จะตื่นตกใจเพิ่มมากขึ้นทุกครั้งที่ตรวจสอบดู
ตอนนี้สายตาของเขาที่มองมายังเย่หยวนนั้นราวกับว่าเขาได้เห็นผี
เมื่อทุกคนเห็นสภาพนั้นของฉีหยู พวกเขาต่างก็แสดงท่าทางตื่นตกใจออกมาตามๆ กัน
เย่หยวนทำอะไรลงไปถึงได้ทำให้ผู้อาวุโสฉีหยูเหวอได้ถึงขนาดนี้?
ตอนที่ 1760 ลองว่าอีกที
“ผู้อาวุโสฉีหยู นี่มัน…”
คงหยุนไม่อาจจะทนใจเย็นได้อีกต่อไป
ฉีหยู นักบวชห้าดาวยังต้องทำท่าตื่นตกใจออกมาขนาดนี้ เรื่องเช่นนี้มันจะน่าประหลาดจนเกินไป
ฉีหยูยกมือขึ้นมาโบกปัด “อย่าเพิ่งพูด ให้ข้าได้สงบจิตใจก่อน!”
เขาหยิบแหวนทั้งสิบขึ้นมาตรวจดูซ้ำแล้วซ้ำเล่า มองดูมันหนึ่งวง วางอีกวงลง และยกอีกวงขึ้นมาตรวจดูอย่างละเอียดถี่ถ้วน
เมื่อทุกคนเห็นภาพนี้ พวกเขาต่างได้แต่นึกสงสัยอยู่ในใจ
แต่ถึงจะแค่สงสัย สายตาที่พวกเขาใช้มองเย่หยวนมันก็ได้แต่ต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงแล้ว
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ แต่ในที่สุดฉีหยูก็หายจากอาการตื่นตกใจนั้นได้
เขาถอนหายใจยาวออกมาเพื่อสงบจิตของตัวเอง ก่อนจะหันไปบอกเย่หยวน “ข้าได้ยินว่าเจ้าไม่เคยทำภารกิจเหนือกว่าสามดาวมาก่อนเลยในช่วงครึ่งปีมานี้ ทำไมจู่ๆ เจ้าถึงสามารถทำภารกิจเจ็ดดาวสำเร็จได้กัน?”
เพราะตอนนี้ฉีหยูเองก็ตื่นตกใจไม่ต่างจากทุกผู้คน
เขารู้ดีว่าเย่หยวนนั้นมีพื้นฐานการโอสถและพรสวรรค์ที่เหนือล้ำ เขาคงเรียนรู้ศาสตร์แห่งโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์ได้ในเวลาไม่นานนัก
แต่เขานั้นก็ยังไม่คิดไม่ฝันว่ามันจะรวดเร็วได้อย่างน่ากลัวเช่นนี้
เมื่อเขาลองตรวจดูแหวนทั้งสิบเมื่อสักครู่ ฉีหยูก็ได้พบว่ามันล้วนแล้วแต่เป็นโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์ความยากระดับเจ็ดทั้งสิ้น!
ที่สำคัญพวกมันยังเป็นโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์ความยากระดับเจ็ดขั้นสูงด้วย!
โอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในความยากระดับนี้ แม้แต่ผู้อาวุโสก็ไม่มั่นใจว่าจะสามารถหลอมมันออกมาได้ในการหลอมแค่ครั้งหรือสองครั้ง
แต่เย่หยวนไม่ได้แค่หลอมสำเร็จ เขายังหลอมมันออกมาได้อย่างสมบูรณ์ด้วย
เพราะโอสถแต่ละตัวนั้นมีคุณภาพถึงขั้นเทวะ!
การหลอมโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์ความยากระดับเจ็ดให้ถึงขั้นเทวะได้นั้นมันเป็นได้แค่เรื่องเล่าในตำนาน
ต่อให้เป็นพวกเขา นักบวชห้าดาวก็ยังไม่มีใครเก่งกล้าพอที่จะทำได้
เพราะแบบนี้เองฉีหยูถึงได้ตื่นตกใจอย่างมาก
เย่หยวนตอบกลับไป “เมื่อเข้าใจด้านหนึ่งก็ย่อมนำไปสู่ความเข้าใจทุกด้าน! การหลอมโอสถความยากสูงนั้นมันไม่จำเป็นต้องค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นไป ตราบเท่าที่เราสามารถวางพื้นฐานการหลอมของตัวเองให้แน่นหนาพอ เราก็ย่อมสามารถเข้าใจเรื่องราวต่างๆ ได้อย่างถ่องแท้”
ฉีหยูหรี่ตาลงทันทีที่ได้ยิน “เมื่อเข้าใจด้านหนึ่งก็ย่อมนำไปสู่ความเข้าใจทุกด้าน แต่เรื่องเช่นนั้นมันจะมีสักกี่คนที่ทำได้? เย่หยวน เจ้าไม่ทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ!”
เย่หยวนยิ้ม “ขอบพระคุณผู้อาวุโสฉีหยู!”
ฉีหยูพยักหน้ารับและหันไปบอกนักบวชฝึกหัดคนนั้น “ภารกิจทั้งสิบนี้ของเย่หยวน จงมอบแต้มให้เขาภารกิจละสามหมื่นแต้ม!”
“ส-สามหมื่นแต้ม! ผู้อาวุโสฉีหยู นี่มัน…มันมีอะไรผิดพลาดหรือเปล่า?” คงหยุนบอกออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ
แต้มสามหมื่นแต้มนี้มันหมายความว่าอย่างไร?
คงหยุนนั้นต่อให้เขาทำภารกิจห้าดาวไปมากมายแค่ไหนมันก็ไม่มีทางที่จะขึ้นไปถึงระดับนั้นได้เลย!
แค่เราเห็นว่าฉีเฟิงหยิบแต้มออกมาวางพนันกับเย่หยวนเป็นพันๆ แต้มเมื่อครานั้น มันไม่ได้หมายความว่านั่นเป็นจำนวนแต้มที่น้อยเลย
การรับภารกิจสี่ดาวและทำมันให้สำเร็จ ส่วนมากก็จะได้แต้มความดีกันแค่ไม่กี่ร้อยแต้ม
การที่ฉีเฟิงมีแต้มหลายพันแต้มติดตัวนั้นมันย่อมต้องมาจากภารกิจสี่ดาวนับไม่ถ้วนที่เขาทำ
ส่วนความดีสองพันแต้มนั้น ฉีเฟิงต้องคอยเก็บเล็กผสมน้อยนับปี!
ตอนนี้ภารกิจเดียวของเย่หยวนกลับจะได้รับคะแนนความดีถึงสามหมื่นแต้ม มันเป็นอะไรที่เหนือเกินกว่าที่จะทำใจเชื่อลงได้!
ท่าทางของคงหยุนในตอนนี้คือสิ่งที่ฉีหยูต้องการให้เกิดขึ้น เพราะเขาอยากจะใช้ความสำเร็จของเย่หยวนในครั้งนี้เป็นตัวอย่างแก่ทุกผู้คน
“ย่อมไม่มีอะไรผิดพลาด! ภารกิจทั้งสิบที่เย่หยวนทำนั้นมันถูกทำได้อย่างสมบูรณ์แบบ สมควรได้รับรางวัลตามเกณฑ์สูงสุดของภารกิจเจ็ดดาว เป็นสามหมื่นแต้มต่อภารกิจ” ฉีหยูบอก
นั่นทำให้คงหยุนแสดงท่าทางตื่นกลัวออกมาอย่างถึงที่สุด “ส-สูงสุด? เป็นไปได้อย่างไรกัน?”
รางวัลสูงสุดนั้นจะมอบให้เฉพาะแค่กับโอสถที่มีคุณภาพขั้นเทวะขึ้นไปเท่านั้น จึงจะมีสิทธิ์ได้รับมัน
หรือว่าภารกิจทั้งหมดที่เย่หยวนรับไปทำ เขาจะหลอมโอสถออกมาได้ถึงขั้นเทวะทั้งสิ้น?
ภารกิจที่แม้แต่ผู้อาวุโสยังไม่มีปัญญาทำให้สำเร็จ เรื่องเช่นนี้มันจะเป็นไปได้อย่างไร?
ฉีหยูเริ่มแสดงท่าทางไม่พอใจออกมา “คงหยุน หรือว่าเจ้าคิดสงสัยในตัวผู้อาวุโสคนนี้?”
นั่นทำให้คงหยุนต้องเปลี่ยนสีหน้าอย่างฉับพลัน “ม-มิกล้า! ข้า…ข้าแค่…”
ฉีหยูหัวเราะเย้ย “แทนที่จะเอาเวลามาอิจฉาคนมีพรสวรรค์ เจ้าเอาเวลาไปฝึกฝนตนเองจะดีกว่า! หวังว่าเรื่องราวในวันนี้มันคงทำให้พวกเจ้าทั้งหลายลืมตาตื่นขึ้นกันบ้าง!”
พูดจบฉีหยูก็หันหลังเดินจากไป
เย่หยวนหันมองดูหน้าคงหยุนด้วยรอยยิ้มที่แสนเย็นชา “เอาล่ะ ไหนลองพูดเรื่องที่เจ้าบอกเมื่อวานมาอีกครั้งสิ?”
เมื่อคงหยุนได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงสดด้วยความอับอาย
เพราะเมื่อวานเขายังทำท่าทางจริงจังขึงขัง บอกผู้คนว่าเย่หยวนไม่มีทางทำภารกิจเหล่านี้สำเร็จได้
และเหตุผลที่เขากล้าจะทำตัวเช่นนั้นได้ก็เป็นเพราะว่าเขาไม่นึกไม่ฝันว่าเย่หยวนจะสามารถทำภารกิจเหล่านี้ได้จนลุล่วงจริงๆ
แต่วันนี้ เย่หยวนไม่ได้แค่ทำสำเร็จ แต่เขากลับทำมันได้สำเร็จอย่างสมบูรณ์แบบ
ได้เห็นท่าทางเช่นนั้นของคงหยุน เย่หยวนก็ถอนหายใจยาว “ไอ้ขี้ขลาดที่มีปากแค่พูด แต่ไม่มีหน้าทำจริง! หากเจ้าไม่มีฝีมือก็อย่าได้อวดอ้างตัวเองต่อหน้าผู้คน ทำเช่นนั้นมีแต่จะถูกตบหน้าเข้า! หากเจ้ามีปัญญาทำภารกิจเจ็ดดาวแล้วค่อยเอาตัวเองมาเปรียบเทียบกับข้า”
พูดจบเย่หยวนก็เดินจากไป
…
หลังเดินออกมาจากศาลาสวรรค์หลวง เย่หยวนก็ถูกชายชราผมขาวหยุดไว้อีกเช่นเคย
เมื่อมีครั้งแรก มันย่อมมีครั้งที่สองและสามตามๆ กันไป
ตั้งแต่ครั้งนั้น ทุกครั้งที่เย่หยวนออกมาจากศาลาสวรรค์หลวงเขาก็จะถูกชายชราคนนี้ดักเรียกไว้เสมอและพวกเขาก็จะมานั่งถกเถียงกันเรื่องวิชาโอสถ
เพราะชายชราคนนี้ได้รู้ว่าเย่หยวนนั้นมีความคิดที่เป็นเอกลักษณ์และมักจะทำให้ผู้คนได้รับมุมมองใหม่ๆ อยู่เสมอ
บางส่วนบางด้านที่เขาเคยรู้สึกขุ่นข้องหมองใจในอดีตก็คลี่คลายกระจ่างชัดเมื่อได้มาพูดคุยกับเย่หยวน
ก่อนจะได้เจอเย่หยวนนั้นชายชราผมขาวคนนี้เคยเชื่อเสมอมาว่าตัวเองได้เข้าใจทฤษฎีพื้นฐานทั้งหมดอย่างถ่องแท้แล้ว
จนถึงตอนที่เขาทดสอบเย่หยวนคราวนั้น เขากลับได้พบว่าตัวเองยังมีคำถามที่หาคำตอบไม่ได้อีกมากมาย
แน่นอนว่าฝั่งเย่หยวนเองก็พร้อมที่จะเข้ามานั่งคุยกับชายชราคนนี้อย่างมากเช่นกัน
เพราะความรู้ในศาสตร์การโอสถของเผ่าอสูรที่ชายชราคนนี้มีมันเหนือล้ำกว่าเขามาก
สำหรับมือใหม่อย่างเย่หยวนแล้ว คำแนะนำของชายชราคนนี้เปรียบได้ดั่งแสงจันทร์ที่สาดส่องไล่ความขุ่นมัวของเมฆหมอก
การแลกเปลี่ยนเช่นนี้มันทำให้ทั้งสองฝ่ายได้รับประโยชน์พร้อมๆ กัน
การที่เย่หยวนพัฒนาตัวเองได้เร็วปานนี้ ส่วนหนึ่งมันย่อมต้องยกความดีความชอบให้ชายชราผมขาวคนนี้
หลังจากถกเถียงกันมานานแสนนาน ในที่สุดชายชราก็คิดเปลี่ยนเรื่องขึ้น “ข้าได้ยินมาว่าครึ่งปีมานี้เจ้าได้ตั้งคำถามมากมายแก่ผู้อาวุโสที่ขึ้นทำการเทศน์สอนจนพวกนั้นไม่มีที่จะถอยได้เลย?”
เย่หยวนยิ้ม “เรื่องนั้นมันย่อมอยู่ที่มุมมองของคน จริงๆ ข้าคิดว่าการถามคำถามขึ้นมาเมื่อเราสงสัยย่อมช่วยที่จะพัฒนาความรู้ในเรื่องนั้นๆ ไปข้างหน้าอย่างมาก นี่เป็นสิ่งที่ดีงาม เพียงแค่ว่าผู้อาวุโสบางคนนั้นเจ้ายศเจ้าอย่างมีหน้าตาใหญ่โต กลัวว่าจะเสียหน้ามากกว่าคิดที่จะพัฒนาฝีมือตัวเอง”
ชายชราหัวเราะลั่นออกมาทันทีที่ได้ยิน “พูดได้ดี! ไอ้โง่พวกนั้นมันคิดว่าตัวเองเป็นหนึ่งในหล้า ไม่ได้รู้เลยว่าเหนือฟ้าย่อมมีฟ้า คนเราไม่ว่าจะเก่งเพียงใดย่อมมีคนเก่งกว่าเสมอ! สุดท้ายความรู้ของพวกมันจึงเป็นได้แค่อะไรที่แสนเรียบง่าย”
เย่หยวนยิ้มตอบ “ข้าน้อยเองคิดมาเสมอว่าคนเราเกิดมามีพรสวรรค์ที่แน่นอนไม่สามารถเปลี่ยนแปลง แต่นิสัยท่าทางและการวางตัวย่อมเปลี่ยนแปลงได้ การปิดบังปัญหาและไม่คิดที่จะแก้ไขใดๆ มันย่อมทำให้คนผู้นั้นหยุดอยู่กับที่ ศิษย์นั้นไม่จำเป็นต้องเป็นรองอาจารย์ อาจารย์เองก็ไม่จำเป็นต้องเหนือกว่าศิษย์ ศิษย์ที่เก่งกาจย่อมทำให้อาจารย์ได้พัฒนาตัวเองไปด้วย มันติดแค่ว่าพวกเขาคิดว่าข้าจ้องจะสร้างปัญหา จนข้าก็ไม่รู้แล้วเช่นกันว่าต้องทำอย่างไร”
ชายชรายังคงหัวเราะลั่นอย่างพอใจ “เจ้าเด็กคนนี้ช่างต่างจากคนอื่นๆ มากนัก! แต่ข้าได้ยินมาว่าพวกมันนั้นคิดวางแผนการที่จะสั่งสอนบทเรียนแก่เจ้า เจ้าคงต้องระวังตัวหน่อย”
เย่หยวนนั้นตื่นตกใจขึ้นมาทันที “สั่งสอนข้า? เช่นไรกัน?”
ชายชรายกมือขึ้นมาลูบหนวดยาวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าเคยได้ยินหมากล้อมนิรันดร์ ‘อย่าถาม’ หรือไม่?”
เย่หยวนส่ายหัวออกมาทันที ดูท่าแล้วคงไม่เคยได้ยินมันมาก่อนเป็นแน่
ตอนที่ 1761 หมากล้อมนิรันดร์ 'อย่าถาม'
ชายชราผมขาวคนนี้ค่อยๆ เปลี่ยนสีหน้าไป “ห้าสิบล้านปีก่อน มหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลของเผ่าอสูรเราได้บรรลุเต๋า เพื่อที่จะสร้างชื่อให้เผ่าอสูรเขาคนนั้นจึงได้ไปท้าทายโอสถบรรพกาลของเผ่ามนุษย์! ไม่มีใครคาดคิดว่าการท้าทายครานั้นมันจะเป็นการสร้างวิถีวิชาใหม่ เปลี่ยนการถกความรู้โอสถเป็นเกมกระดาน นามว่าหมากล้อมนิรันดร์ ‘อย่าถาม’!”
เมื่อเย่หยวนได้ยินเช่นนั้นเขาก็กล่าวขึ้นมาอย่างตื่นตกใจ “ท้าทายโอสถบรรพกาล! มหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลของเผ่าอสูรผู้นี้เก่งกาจขนาดนั้นเลย?”
คำพูดนั้นมันทำให้ชายชราทำหน้าตาไม่ค่อยพอใจออกมา “เจ้าหมายความว่าอย่างไร? หรือเจ้าคิดว่าเผ่าอสูรเราจะไม่มีผู้ที่เก่งกาจและทำได้แค่เดินตามความรู้ของเผ่ามนุษย์?”
เย่หยวนได้แต่หัวเราะแห้งๆ ออกมา “หึๆ ผู้อาวุโสอย่าได้ว่ากล่าวข้าเลย ผู้น้อยแค่เคยได้ยินมาว่าโอสถบรรพกาลนั้นเหลืออีกแค่ก้าวเดียวก็จะขึ้นสู่อาณาจักรเต๋าบรรพกาลได้ ข้าจึงคิดมาเสมอว่าโอสถบรรพกาลคนนี้คือยอดนักหลอมโอสถอันดับหนึ่งแห่งมหาพิภพถงเทียน”
เพราะเอาจริงๆ แม้แต่หวู่เฉินก็ไม่แน่ใจว่ามหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลแห่งเผ่าอสูรคนนี้เก่งกาจถึงขั้นไหนกันแน่
เพราะยังไงเสียในสายตาของผู้สูงส่งเหล่านั้น ตัวจอมเทพนิรันดร์เองก็เป็นได้แค่ผู้น้อยคนหนึ่ง
ตอนที่โอสถบรรพกาลและมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลเล่นหมากล้อมนี้กันนั้น จอมเทพนิรันดร์ยังไม่รู้เลยว่าอยู่ในซอกหลืบมุมไหนของโลกหล้า เป็นตอนที่ยังไม่มีดินแดนศักดิ์สิทธิ์ใดๆ ทั้งสิ้น
ชายชราผมขาวพ่นลมหายใจออกมาแรง แต่สีหน้าตอนนี้ก็ดูผ่อนคลายขึ้นมาก “จริงๆ ที่เจ้าว่ามามันก็ถูก เพราะแม้มหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลจะเก่งกาจแค่ไหน สุดท้ายเขาระหว่างเขากับโอสถบรรพกาลมันก็ยังมีเส้นบางๆ กั้นไว้อยู่ เกมหมากล้อมนี้สุดท้ายก็เป็นฝ่ายมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลที่พ่ายแพ้ลง”
เย่หยวนนั้นตื่นตกใจมากเพราะเขาไม่นึกไม่ฝันว่ามหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลแห่งเผ่าอสูรนี้จะเก่งกาจจนสามารถเทียบเคียงวิชาโอสถของโอสถบรรพกาลได้
เพราะในเรื่องราวที่หวู่เฉินบอกเล่ามาแก่เย่หยวนนั้น โอสถบรรพกาลคือสุดยอดตัวตนที่ไม่มีใครสามารถเทียบเคียงความรู้วิชาโอสถของเขาได้เลย
เพราะยังไงเสียเขาก็เป็นถึงยอดคนที่เกือบขึ้นไปถึงอาณาจักรเต๋าบรรพกาลได้
ในโลกของโอสถแล้ว จะเรียกเขาผู้นี้ว่าเป็นจุดสุดยอดของโลกทั้งใบก็คงไม่ผิดนัก
แต่ว่ามหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลคนนี้กลับสามารถปะทะกับโอสถบรรพกาลได้และแค่แพ้ไปด้วยเส้นกั้นบางๆ
วิชาฝีมือระดับนี้ คงหาไม่ได้อีกแล้วในมหาพิภพถงเทียนนี้
“ผู้อาวุโส แพ้ย่อมนับว่าแพ้ แต่ทำไมมันถึงได้เรียกว่าหมากล้อมนิรันดร์ ‘อย่าถาม’ กันเล่า?” เย่หยวนถามขึ้น
ชายชราหันมาเหลือบมองเย่หยวนด้วยรอยยิ้ม “ถึงข้าจะบอกว่ามันคือหมากล้อม แค่จริงๆ ด้วยความเข้าใจในเต๋าของคนทั้งสองเมื่อตอนนั้น เมื่อมันเข้าสู่ภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลก็ได้นั่งอยู่หน้ากระดานนานถึงแสนปี สุดท้ายผมเผ้าของเขาก็กลายเป็นสีขาวโพลน และต้องบาดเจ็บหนักจนกระอัดเลือดออกมา เขาจึงได้เปิดปากออกถามโอสถบรรพกาลว่าทำไมตัวเขาถึงได้แพ้ลงได้ และโอสถบรรพกาลก็ตอบกลับมาแค่ว่า ‘อย่าถามๆ!’ นั่นทำให้ชื่อเกมนี้ถูกตั้งมันจากนั้น…”
“จากนั้น?” เย่หยวนถามอีก
“กล่าวกันว่ามหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลนั้นเก็บเรื่องนี้ไว้ฝังใจและพยายามที่จะหาทางแก้มือแก้แค้นให้ได้ แต่เขาก็รู้ตัวถึงช่องว่างระหว่างตัวเองและโอสถบรรพกาลดี เพราะฉะนั้นหลังจากกลับมาถึงเผ่าอสูรเขาก็ได้สร้างวิหารนักบวชขึ้นและรับศิษย์เข้าไปดูแลสั่งสอน หวังว่าสักวันจะเลี้ยงดูยอดคนที่มีความสามารถเทียบเคียงกับโอสถบรรพกาลขึ้นมาได้ พร้อมๆ กันนั้นมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลก็ได้แยกหมากล้อมกระดานนั้นออกมาให้เป็นแบบง่ายและสร้างชุดเลียนแบบ ‘อย่าถาม!’ ขึ้นมาแจกจ่ายไปทั่ววิหารนักบวช หากมีใครสามารถแก้ไข ‘อย่าถาม!’ นี้ได้ พวกเขาก็จะได้รับสิทธิ์เข้าไปยังวิหารใหญ่” ชายชราผมขาวบอก
“เช่นนี้นี่เอง ดูท่าเหล่าผู้อาวุโสจะอยากให้ข้าแก้ไขเรื่องราวที่แสนหนักหน่วงเสียแล้ว” เย่หยวนยิ้ม
ชายชราผมขาวเองก็ยิ้มตอบมา “เจ้ากลัวหรือ?”
เย่หยวนหันกลับไปมองชายชราด้วยรอยยิ้มในทันที “วันนั้น ตอนที่เจ้าวิหารดี๋เชียวคิดจะสังหารข้า คงเป็นผู้อาวุโสกระมังที่ช่วยยื่นข้อเสนอนั้นขึ้นมา?”
ชายชราผมขาวยิ่งเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะหัวเราะลั่นออกมา “ข้าคิดแล้วจริงๆ ว่ามันคงปิดเจ้าไม่อยู่ เจ้าเด็กคนนี้!”
เย่หยวนยกมือขึ้นคารวะ “ผู้น้อยขอขอบพระคุณผู้อาวุโสที่ช่วยชีวิตไว้ แต่ว่าเราก็รู้จักกันมากว่าครึ่งปีแล้วแต่เย่หยวนผู้นี้ยังไม่รู้นามของท่านเลย”
ชายชราผมขาวตอบ “เฒ่าคนนี้มีนามแค่ตัวเดียวว่าซิ่ว เจ้าเรียกข้าว่าผู้อาวุโสซิ่วเถอะ”
เย่หยวนตอบรับ “ผู้อาวุโสซิ่วนั้นคงคาดหวังให้ข้าไปรับคำท้า?”
ซิ่วตอบกลับมา “ห้าสิบล้านปีมานี้คนที่สามารถแก้ ‘อย่าถาม!’ อย่างง่ายลงได้นั้นมีเพียงแค่สิบเอ็ดคน! และตอนนี้คนทั้งสิบเอ็ดนั้นก็ได้เป็นศิษย์ของมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลโดยตรง และยังนับเป็นกำลังหลักคนสำคัญของวิชาการโอสถเผ่าอสูรด้วย แต่น่าเสียดายที่คนทั้งสิบเอ็ดนั้นเรียนรู้มานับสิบล้านปีแต่ก็ยังไม่สามารถจะแก้ ‘อย่าถาม!’ ของจริงลงได้”
“ห้าสิบล้านปีแล้วแต่กลับมีแค่สิบเอ็ดคน ท่านผู้อาวุโสคิดหรือว่าข้าจะสามารถแก้มันได้?” เย่หยวนถามขึ้นด้วยรอยยิ้ม
ซิ่วส่ายหัว “ต่อให้เป็น ‘อย่าถาม!’ ฉบับง่ายมันก็ยังเป็นการศึกษาถึงความลึกลับ เปิดหนทางสู่ความลับของยอดเต๋า คนธรรมดาย่อมไม่มีทางผ่านได้เลย แค่ผิดพลาดก้าวเดียวคนผู้นั้นก็อาจจะถึงขั้นเสียชีวิตลงได้ เจ้านั้นเปี่ยมล้นไปด้วยความฉลาด มีมุมมองและสายตาที่แปลกแยก ข้าคิดว่าบางทีเจ้า… อาจจะพอมีโอกาสผ่านไปได้ ว่ายังไง? กล้าที่จะลองไหมล่ะ?”
ครึ่งปีมานี้ซิ่วได้พูดคุยถกเถียงวิชากับเย่หยวนมามาก ยิ่งพวกเขาได้พูดคุยกันเขาก็ยิ่งได้รับประโยชน์จากมัน
นั่นทำให้เมื่อเวลาผ่านไป ซิ่วจึงมั่นใจในความสามารถของเย่หยวนมาก
เพราะฉะนั้นเขาถึงได้สนับสนุนให้เย่หยวนท้าทายมัน
เย่หยวนยิ้มออกมา “เรื่องเช่นนี้มีหรือที่ข้ายังต้องให้ใครมากระตุ้น? หากข้ารู้ว่ามันมีเกมกระดานหมากล้อมเช่นนี้มาก่อน ข้าคงอดทนรอไม่ไหวและไปท้าทายมันนานมากแล้ว”
ได้ยินเช่นนั้นซิ่วก็แสดงสีหน้าไม่ค่อยสบายใจออกมา “เจ้าหนุ่ม ข้ารู้ดีว่าเจ้านั้นเก่งกาจหลักแหลม แต่อย่าได้ดูถูก ‘อย่าถาม!’ นี้เชียว! กว่าห้าสิบล้านปีมานี้มียอดอัจฉริยะต้องตายลงเพราะมันไปมากพอที่จะเติมเต็มเมืองจักรพรรดิเมืองหนึ่งได้ง่ายๆ เลย!”
นี่คือเกมหมากล้อมความรู้ระหว่างสองยอดคน ความดุร้ายรุนแรงของพลังภายในมันจึงยังคงอยู่ครบถ้วนสมบูรณ์พร้อม
ในเกมเช่นนี้ พวกที่มีพรสวรรค์ไม่มากนั้นกลับไม่เป็นอะไร
แต่หากมีคนที่มากพรสวรรค์และเก่งกาจเข้าไปท้าทายมัน เข้าไปอยู่ระหว่างเกมของยอดคนทั้งสอง มันก็จะกลายเป็นอันตรายที่ถึงตายได้ทุกเวลา
ยิ่งเก่งกาจมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งทำให้เป็นเกมกระดานที่อันตรายเท่านั้น
ที่นิคุนคิดจะใช้ ‘อย่าถาม!’ นี้ก็เพื่อคิดจะยืมเกมกระดานนี้สังหารเย่หยวน
เพราะยังไงเสียพรสวรรค์ความสามารถของเย่หยวนนั้น ทุกผู้คนต่างก็รู้ถึงมันดี
นิคุนไม่ชอบเย่หยวน แต่ก็จำเป็นต้องยอมรับว่าเย่หยวนนั้นมีความสามารถด้านการโอสถที่เหนือล้ำ
เย่หยวนยิ้มตอบ “หากที่ใดมีความรู้ ต่อให้จะเป็นทางที่กองด้วยศพนับล้านข้าก็จะเดินผ่านมันไป! หากความกล้าแค่นี้ยังไม่มีข้าจะไปพูดถึงการสำเร็จยอดเต๋าได้อย่างไรกัน?”
ซิ่วตบเข่าตัวเองฉาดใหญ่ก่อนจะหัวเราะลั่น “เยี่ยม! เฒ่าคนนี้มองเจ้าไม่ผิดไปจริงๆ!”
…
เมื่อเย่หยวนพบเจอนิคุนเขาก็เข้าไปถามเพื่อขอท้าทาย ‘อย่าถาม!’ ทันที ทำให้นิคุนต้องตื่นตกใจอย่างมาก
เพราะเดิมทีเขากำลังคิดวางแผนหาทางที่จะบังคับเย่หยวนให้ต้องท้าทาย ‘อย่าถาม!’ นี้ เขาไม่นึกไม่ฝันว่าจะเป็นฝ่ายเย่หยวนเองก็กล้าเข้ามาท้าถึงหน้าประตู
การกระทำเช่นนี้มันทำให้เขามึนงงอย่างมาก
“เจ้าอยากจะท้าทาย ‘อย่าถาม!’ จริง?” นิคุนถามขึ้นด้วยท่าทางสงสัย
เย่หยวนยิ้มตอบ “เรื่องนี้ท่านคงคิดหวังอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?”
นิคุนแทบสำลักเมื่อได้ยินจนหลุดปากพูดออกมา “เจ้ารู้เรื่อง… หือ…”
นิคุนตื่นตกใจอย่างมาก ตอนนี้เขารู้ตัวแล้วว่าตัวเองหลุดปากออกไป
เท่านี้มันจะไม่เท่ากับว่าเขายอมรับว่าตัวเองว่าแผนร้ายลับหลังผู้คนหรอกหรือ?
เด็กคนนี้มันเจ้าเล่ห์มากแผน ไม่มีทางใดที่จะป้องกันตัวจากมันได้เลยจริงๆ
แต่ไม่ว่าเขาจะยอมรับหรือไม่ เย่หยวนก็ไม่ได้สนใจมาตั้งแต่แรกแล้ว
เรื่องนี้ซิ่วบอกเย่หยวนมาจบสิ้นแล้ว ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่รู้ถึงความอันตรายของมันและย่อมไม่รู้ถึงแผนร้ายของนิคุนนี้แน่
เย่หยวนยิ้มบางๆ ออกมา “ผู้อาวุโสนิคุน ทำไมเราไม่มาตกลงกันหน่อยล่ะ? ว่ายังไง?”
นิคุนหน้าเหยเกทันทีที่ได้ยิน “เจ้าอยากจะตกลงเรื่องใด?”
เย่หยวนบอก “หากข้าพลาดท่า ข้าจะไม่พูดใดๆ ระหว่างที่พวกท่านสอนอีก แต่หากข้าแก้มันได้ ในการสอนของผู้อาวุโสในวันหน้า ทุกคนจะต้องสามารถพูดจาและตั้งคำถามได้ตามต้องการ! ท่านว่ายังไงบ้าง?”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น