Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1750-1755

 ตอนที่ 1750 ห้องนภาหมายเลขหก

 

หืม มีคนใหม่มา พระเจ้าช่วย! จัดให้เขาไปอยู่ห้องนภาหมายเลขหก คนที่จัดเขามาต้องโกรธแค้นอะไรกับเขามาแค่ไหนเนี่ย?!”


“คราวก่อนที่มีเด็กใหม่เข้ามาอยู่ห้องนภาหมายเลขหกเขาก็ถูกเผาจนเป็นตอตะโกวันต่อมาร้องไห้อยากกลับบ้าน ข้าล่ะยังขำไม่หายเลย”


“หึๆ คงได้มีอะไรสนุกๆ ดูอีกแล้ว ไป ไปดูกัน”



เมื่อเดินเข้าห้องมาเย่หยวนก็รู้สึกได้ถึงสายตาสามคู่จับจ้องมองมา


เย่หยวนหันไปมองดูพวกเขาคืนด้วยรอยยิ้ม “ว่าอย่างไรกันบ้าง? ข้ามาใหม่วันนี้นามเย่หยวน”


ไม่มีใครคิดจะตอบกลับเขา สายตาพวกนั้นมันดูไม่เป็นมิตรอย่างที่สุด


เย่หยวนย่อมไม่คิดจะสนใจและเดินเข้าไปยังตำแหน่งที่ว่างของตน


ตอนนั้นชายร่างกำยำคนหนึ่งที่นั่งบนเตียงก็พูดขึ้น


“ใครอนุญาตให้เจ้านอนตรงนั้น?”


เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “ไม่นอนตรงนี้จะให้ข้าไปนอนที่ไหนเล่า?”


ชายร่างกำยำโบ้ยปากชี้ออกไปด้านนอกห้อง “ที่ทางเดิน!”


เย่หยวนเข้าใจได้ในทันทีว่าเจ้าคนทั้งหลายเหล่านี้มันกำลังดูถูกตัวเขาอยู่


แต่มีหรือที่เย่หยวนจะยอมให้ใครมารังแกได้ง่ายๆ เช่นนั้น?


เขาพยักหน้ารับ “ตรงนั้นหรือ? ช่างเป็นที่ที่ดีจริงๆ!”


เมื่อชายร่างกำยำได้ยินเขาก็คิดว่าเย่หยวนนั้น ‘ง่าย’ และยิ้มออกมา “เมื่อเจ้ารู้ว่ามันเป็นตำแหน่งที่ดีทำไมยังไม่รีบไสหัวไปอีก? หอพักนี้ศิษย์พี่หูเฟิงคุม รอให้เขาบอกก่อนเจ้าค่อยเข้ามาอีกครั้ง”


เย่หยวนทำหน้าตาเกียจคร้านออกมาและทิ้งตัวลงนอน


ดูจากชุดของอีกฝ่ายแล้วเขาคงเป็นนักบวชฝึกหัดชั้นสูงคนหนึ่งในวิหาร


วิหารนักบวชนั้นจะรับสอบศิษย์ใหม่ทุกๆ สิบปี แม้ว่าแต่ละครั้งผู้ที่ผ่านเข้ามาได้จะมีจำนวนน้อยแสนน้อย แต่เมื่อรวมๆ กันหลายครั้งเข้าจำนวนนักบวชฝึกหัดมันก็มากตาม


ตามกฎของวิหารนักบวชแล้ว มีเพียงคนที่สอบผ่านการเป็นนักบวชในเวลาพันปีเท่านั้นที่จะได้อยู่ในวิหารต่อไป


คนอื่นๆ ที่สอบไม่ผ่านเสียทีจนครบกำหนดนั้นจะถูกส่งออกไปประจำการยังเมืองใหญ่ต่างๆ แทน


หรือให้พูดก็คือพวกเขาจะไม่สามารถอยู่ในวิหารนักบวชหลักได้อีกต่อไป


และดูท่าหูเฟิงผู้นี้จะเป็นเจ้าถิ่นของที่นี่


ได้ยินคำของชายร่างกำยำเย่หยวนก็ตอบกลับไป “มันดีเยี่ยมจริงๆ ศิษย์พี่ท่านไปนอนเองเถอะ ศิษย์น้องผู้นี้เพิ่งจะมาใหม่และยังเกรงใจท่านมาก ขออยู่ด้านในต่อดีกว่า”


เมื่อหูเฟิงได้ยินคำของเย่หยวน รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาทันที


ตอนนี้คนหลายคนเริ่มเข้ามาล้อมมุงดูเรื่องราวกันแล้ว ใบหน้าของพวกเขาแต่ละคนนั้นเต็มไปด้วยความตื่นเต้นดีใจที่จะมีอะไรสนุกๆ ให้ได้ดู


“หะ ไอ้เด็กคนนี้มันอารมณ์ร้อนจริงๆ เถี่ยเจาคนนั้นเองก็อารมณ์ร้อนไม่เบาคงอดทนต่อไปไม่ไหวแล้วล่ะมั้ง?”


“ข้าว่าเจ้าเด็กคนนี้เองก็คงโดนเผาเป็นตอตะโกด้วยแน่ๆ! เถี่ยเจานั้นมีทักษะการควบคุมไฟที่เหนือล้ำ นอกจากหูเฟิงแล้วเขาก็ไม่เป็นรองใครเลย!”


ชายร่างกำยำนามเถี่ยเจาคนนี้เงียบนิ่งไปทันทีด้วยความโกรธหลังได้ยิน “นักบวชฝึกหัดรุ่นน้องที่เพิ่งเข้ามากล้าขัดคำสั่งข้าเรอะ? เฮอะ ไม่สั่งสอนเจ้าเสียบ้างเจ้าคงไม่รู้ว่าโลกนี้มันกว้างใหญ่แค่ไหน!”


พูดจบชายร่างกำยำก็ยื่นฝ่ามือออกมาปล่อยไฟสีน้ำเงินเข้มพุ่งราวกับเป็นงูไฟ พุ่งเข้าตรงหาเย่หยวนในทันที


เย่หยวนได้แต่ถอนหายใจ เจ้าหมอนี่มันไม่รู้จักฟ้าดินเสียจริงๆ ถึงขั้นกล้ามาเล่นไฟต่อหน้าเย่หยวนคนนี้


นี่มันหาเรื่องใส่ตัวชัดๆ


จากนั้นเย่หยวนก็ยกมือขึ้นมาจับ จับเจ้างูไฟอันร้อนแรงนั้นไว้ด้วยฝ่ามือเปล่าๆ ของเขา


เมื่อเย่หยวนพลิกฝ่ามือขึ้น เจ้างูก็เต้นพล่านด้วยความยินดี


ราวกับว่าไฟนี้มันเป็นไฟของตัวเย่หยวนไม่มีผิด


หูเฟิงที่เดิมทีขมวดคิ้วแน่นต้องเบิกตากว้าง ตอนนี้ดวงตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความตื่นตกใจ


ทักษะการควบคุมไฟของเถี่ยเจานั้นเขารู้จักมันอย่างดี คนธรรมดาๆ ไม่มีทางจะรับมันไว้ได้แน่


แต่ตอนนี้เจ้าเด็กตรงหน้าเขานี้กลับสามารถแก้ไขไฟนั้นได้อย่างง่ายดาย


ตัวเถี่ยเจาเองก็ต้องเบิกตากว้างตามๆ ไปอย่างไม่อยากเชื่อสายตา


เย่หยวนค่อยๆ จับและตัวเถี่ยเจาก็ถึงกับไม่สามารถควบคุมไฟนั้นได้อีก!


“ได้แค่นี้!” เย่หยวนบ่น


“ลูกพี่ ไอเด็กคนนี้มันไม่ธรรมดา!” เถี่ยเจาหันไปบอก


หูเฟิงเองก็ตะโกนกลับมา “เข้าห้องนภาหมายเลขหกมาต่อให้เป็นมังกรก็ต้องยอมจำนนต่อข้า! โจมตีมัน!”


สิ้นคำสั่งมังกรจากไฟสามตัวก็ปรากฏขึ้นและพุ่งพ่นไฟใส่เย่หยวนอย่างพร้อมเพรียง การโจมตีนี้ทำให้ห้องทั้งห้องร้อนขึ้นในพริบตา


โดยเฉพาะอย่างยิ่งมังกรของหูเฟิง ทักษะการควบคุมไฟของเขานั้นมันไม่ธรรมดาจริงๆ มังกรที่เขาสร้างขึ้นมันแข็งแกร่งกว่าอีกสองคนอย่างมาก


เย่หยวนหน้าถอดสีรีบยกมือขึ้นมาวาดตราไว้จึงจะพอรับการโจมตีสามต่อหนึ่งนี้ไว้ไหว


ได้เห็นท่าทางแสนลำบากของเย่หยวนหูเฟิงก็ยิ้มเย้ย “นึกว่าเจ้าจะมีสามหัวหกแขนเสียอีก ยังไม่คิดจะยอมอีกหรือ? เด็กน้อย ข้าเปลี่ยนใจแล้ว คืนนี้เจ้าไม่ต้องนอนบนระเบียงแล้ว ไปนอนในส้วมแทนไป!”


เถี่ยเจาหัวเราะขึ้นตาม “เด็กน้อย เจ้ากล้าที่จะลบหลู่พี่หู หาเรื่องใส่ตัวโดยแท้! แต่การที่ทำให้พี่หูต้องลงมือเองได้เช่นนี้เจ้าเองก็ควรจะภูมิใจแล้วนะ”


เย่หยวนเปลี่ยนสีหน้าไปและกลับมามีท่าทางสบายๆ อีกครั้ง “ข้าแค่แสดงละครให้พวกเจ้าดูหรอก อย่าได้นับถือเป็นจริงเป็นจังไป ส้วมที่ว่านี้พวกเจ้าเข้าไปนอนกันเองเถอะ”


พูดจบเย่หยวนก็ขยับนิ้วและหันหัวมังกรทั้งสามตัวนั้นพ่นไฟเข้าใส่เจ้าของแทน


พวกหูเฟิงทั้งสามนั้นกำลังได้ใจแต่จู่ๆ เมื่อต้องเห็นภาพนี้สีหน้าของพวกเขาก็ซีดเผือดลงทันที


หากอยากหนีตอนนี้มันคงสายไป


พรึ่บ!


ร่างทั้งสามไหม้ดำเป็นตอตะโก


คนทั้งสามนั้นไหม้เกรียมตั้งแต่หัวจรดเท้า เหลือแค่ดวงตาเท่านั้นที่ยังเป็นสีขาว


ความร้อนที่มีนั้นยังไม่ทันจางหายไปไหน ทำให้ตอนนี้มีควันลอนกรุ่นขึ้นจากหัวของคนทั้งสาม สภาพคล้ายเป็ดย่างก็ไม่ปาน


“เป็นไปได้อย่างไร? ศิษย์พี่หูเฟิงแพ้ในศึกดวลไฟ!”


“ไม่ใช่แค่แพ้ พวกเขาโดนไฟของตัวเองเผาเลยด้วย!”


“เจ้าเด็กคนนี้มันเป็นใครกัน สามต่อหนึ่งยังชนะอีกฝ่ายได้ถึงขั้นนี้!”



เสียงแห่งความสงสัยดังขึ้นเป็นคลื่นที่ด้านนอก พวกเขาต่างตกตะลึงกับภาพเรื่องราวที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้อย่างถึงที่สุด


หูเฟิงนั้นมีทักษะการควบคุมไฟในระดับแนวหน้าของเหล่านักบวชฝึกหัดทั้งหมด


แต่วันนี้เขากลับแพ้พ่ายแก่เด็กที่เพิ่งเข้ามาวันแรก!


“อั่ก!”


หูเฟิงพ่นควันออกมาทางปาก “โจมตีมัน ทำลายเจ้าเด็กคนนี้เสีย!”


เย่หยวนไม่ได้โจมตีอย่างรุนแรง เขาแค่ทำให้คนทั้งสามต้องอยู่ในสภาพที่น่าสมเพช เผ่าผิวส่วนนอกของพวกเขาทั้งหลายจนไหม้เกรียม


ตอนนี้หูเฟิงจึงโกรธแค้นอย่างถึงที่สุด


สิ้นคำสั่ง คนทั้งสามก็เข้าโจมตีอย่างรุนแรงราวกับเป็นเสือร้ายหมาป่า


เย่หยวนได้แต่หัวเราะรับ “ไม่มีปัญญาสู้ด้วยไฟก็คิดจะสู้ด้วยกำลัง? น่าเสียดายที่พวกเจ้าคิดผิดไปหน่อย!”


ปัง!


ปัง!


ปัง!


เสียงดังขึ้นสามครั้งส่งร่างทั้งสามลอยกระเด็นไป รุนแรงจนหอพักทั้งหลังต้องสั่นตาม


เท่านี้ทุกคนก็ยิ่งมึนงงหนักเข้าไปใหญ่


คนทั้งสามนั้น หูเฟิงอยู่ระดับสี่ชั้นปลาย ส่วนอีกสองคนนั้นต่างอยู่ระดับสี่ชั้นกลาง


กลุ่มคนระดับนี้กลับไม่สามารถรับมือเย่หยวนได้แม้แต่กระบวนท่า!


เย่หยวนหันหน้ามองดูคนทั้งสามและกล่าวออกไปอย่างเย็นเยือก “พวกเจ้าทั้งสามคนรู้ว่าต้องทำอะไร?”


“ข-เข้าใจแล้ว! เรา…เราจะไปนอนในส้วมเอง!” หูเฟิงตอบออกมา


ตอนนี้ใบหน้าของเขานั้นดำสนิทจนไม่รู้ว่ากำลังทำหน้าแบบไหน


แต่ไม่ต้องเห็นพวกเขาก็เดาได้จากน้ำเสียงว่าเขาต้องกำลังทำหน้าเหยเกอย่างถึงที่สุดอยู่แน่


“รู้แล้วยังไม่ไปอีก? จะให้ข้าต้องไปส่งไหม?” เย่หยวนไล่


“ครับๆๆ!”


คนทั้งสามตอบรับตามๆ กันและวิ่งออกนอกทางเดินไป พวกเขากำลังมุ่งหน้าไปทางส้วมอย่างที่ว่าจริงๆ


เมื่อได้เห็นสภาพนั้นของคนทั้งสาม คนอื่นๆ เองก็มึนงงอย่างถึงที่สุด


“พระเจ้าช่วย ข้าเดาต้นเรื่องได้แต่เดาไม่ออกเลยว่ามันจะจบเช่นนี้”


“ใครจะไปคิดว่าพวกหูเฟิงที่น่าหมั่นไส้นั้นจะได้มาเจอวันนี้เข้า?”


“เด็กใหม่คนนี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ! ไม่ว่าจะเป็นศาสตร์ด้านโอสถหรือศาสตร์ด้านการต่อสู้ เขานั้นเหนือล้ำในทุกๆ ด้าน!”



 

 

 


ตอนที่ 1751 ได้มาเปล่าๆ

 

“เจ้าได้ยินไหม? ข่าวว่านักบวชฝึกหัดหน้าใหม่จัดการส่งหูเฟิงและพวกไปนอนส้วมตั้งแต่วันแรกที่มาเลย”


“จริงหรือหลอก? หน้าใหม่จะเก่งกาจได้ขนาดนั้น?”


“หึ เจ้าจะคิดว่ามันสุดยอดไหมล่ะ? ในเรื่องการคุมไฟ สามรุมหนึ่งกลับไม่สามารถต้านทานมันได้ ในการต่อสู้จริง สามรุมหนึ่งกลับรับไม่ได้แม้สักกระบวนท่า”


“บ้าบอน่า? สามคนนั้นรวมหัวกัน ในหมู่นักบวชฝึกหัดจะยังมีใครกล้าไปท้าทายอีก!”


“หึ ไม่เชื่อก็ลองไปดูสภาพน่าสมเพชของพวกมันในส้วมสิ แล้วเจ้าจะได้รู้ว่าถึงตอนนี้พวกนั้นมันก็ยังนอนอยู่ในส้วมอยู่!”



ข่าวเรื่องที่ว่าเย่หยวนชนะพวกหูเฟิงนั้นโด่งดังไปทั่วในหมู่นักบวชฝึกหัดด้วยกันอย่างรวดเร็ว


แต่เจ้าตัวนั้นไม่ได้สนใจใดๆ เขาเข้านอนอย่างสบายใจและมุ่งหน้าออกไปยังศาลาสวรรค์หลวง


ศาลาสวรรค์หลวงนั้นคือสถานที่ที่วิหารนักบวชใช้จัดเก็บศาสตร์ สูตรโอสถ วิธีการหลอม ศาสตร์การควบคุมไฟ เรื่องราวพื้นฐานต่างๆ นาๆ มากมาย ทุกสิ่งอย่างที่คนๆ หนึ่งจะอยากได้


และเมื่อเย่หยวนได้เข้ามาในวิหารนักบวชเช่นนี้แล้วเขาก็ไม่คิดที่จะพลาดโอกาสในการเรียนรู้วิชาโอสถของเผ่าอสูรไปด้วย


ด้วยนิสัยอย่างเขาแล้ว การเรียนรู้เรื่องราวพื้นฐานมันย่อมจำเป็นอย่างที่สุด


เย่หยวนนั้นเรียนรู้ทักษะต่างๆ นาๆ มาได้มากมายตอนสอบนักบวชฝึกหัด แต่ทั้งหมดนั้นมันก็พึ่งความสามารถในการวิเคราะห์ของเขา พร้อมๆ กับความรู้ที่กว้างไกลของตัวเขาและเทคนิคหลายๆ อย่างจากฝั่งมนุษย์มาประยุกต์ใช้ในการหลอมโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์


แต่นั้นมันก็คือขีดจำกัดแล้ว หากเขาอยากจะพัฒนาตัวเองไปให้มากกว่านี้มันคงเป็นเรื่องลำบาก


หากอยากให้พวกเบื้องบนของวิหารนักบวชสนใจเขาจริงๆ ตัวเขาต้องเริ่มเรียนรู้ศาสตร์ของฝั่งอสูรตั้งแต่ต้นใหม่


แต่ด้วยปัญญาของเย่หยวนในตอนนี้ การจะเรียนรู้สิ่งใดนั้นมันย่อมใช้เวลาแค่ครึ่งเดียวแต่ได้ผลมากเป็นเท่าตัว


“หยุด!”


เย่หยวนเดินเข้ามาถึงศาลาสวรรค์หลวงและถูกชายชราหัวขาวคนหนึ่งตะโกนหยุดไว้


เย่หยวนหรี่ตามองไปยังต้นเสียงแต่กลับไม่สามารถคาดเดาพลังที่แท้จริงของชายแก่คนนี้ได้


“ผู้อาวุโส!” เย่หยวนก้มลงคารวะทันที


ชายหัวขาวเองก็ต้องเป็นถึงยอดฝีมือระดับห้าแน่ๆ


ชายหัวขาวหันมามองดูเย่หยวนและบอก “เจ้าไม่มีแต้มความดีใดๆ เจ้าเข้าศาลาสวรรค์หลวงไม่ได้”


เย่หยวนนั้นตกใจเล็กน้อยแต่ก็กลับมาเข้าใจได้ในทันที ชายชราคนนี้คงสัมผัสได้ถึงแต้มที่เย่หยวนมีตอนที่เย่หยวนก้าวเท้าเข้ามาในค่ายกลของศาลาสวรรค์หลวง


“ผู้อาวุโส หรือว่าการเข้ามาเป็นนักบวชฝึกหัดนี้จะไม่มีแต้มความดีใดๆ ติดตัวให้เลย?”


แต้มความดีนั้นมันเป็นสิ่งที่นับถือใช้กันเป็นสากลในทุกค่ายสำนัก


เพียงแค่ว่าเมื่อวานตอนที่ได้เหรียญประจำตัวมาเย่หยวนลืมที่จะตรวจแต้มของตัวเองและไม่ได้รู้เลยว่าตัวเขานั้นไม่มีแต้มความดีติดตัวแม้แต่น้อย


พวกนักบวชนี่มันขี้เหนียวเสียจริงๆ


“เลอะเทอะ! เจ้าไม่ได้ทำประโยชน์ใดๆ ให้วิหารแล้วยังจะไปเอาแต้มความดีมาจากไหน? นักบวชฝึกหัดที่เพิ่งเข้ามานั้นต่างอยากเข้าศาลาสวรรค์หลวงทั้งสิ้น แต่เรื่องเหล่านั้นมันเป็นได้แค่ฝันลมๆ แล้งๆ! ไปเสีย อย่างได้มาขวางทางนักบวชผู้นี้!”


จู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งตอบขึ้นมาแทนจากด้านหลังเย่หยวน


เมื่อหันไปมองดูเขาก็พบว่ามีชายหนุ่มในชุดนักบวชอยู่ ใบหน้าของเขานั้นยิ่งผยองจนจมูกแทบจะเงยชี้ฟ้า


เย่หยวนไม่คิดสนใจเขาและหันไปถามชายชราหัวขาว “ผู้อาวุโส ในวิหารนี้สามารถใช้แต้มความดีทำการท้าดวลกันได้หรือไม่?”


ชายชราพยักหน้ารับออกมาเบาๆ “ย่อมได้ แต่ในวิหารเราไม่อนุญาตให้ท้าดวลเรื่องการต่อสู้กัน ต้องท้าดวลเรื่องที่เกี่ยวข้องกับศาสตร์การหลอมโอสถเท่านั้น”


เมื่อนักบวชคนนั้นได้ยินคำพูดของเย่หยวน เขาก็หัวเราะลั่นออกมา “น่าขันจริงๆ นักบวชฝึกหัดผู้ต่ำต้อยอย่างเจ้าจะไปท้าใครดวลได้?”


เย่หยวนหันไปบอกทันที “เจ้าไง!”


คำพูดนั้นทำให้นักบวชคนนั้นตื่นตกใจไม่น้อย ก่อนที่เขาจะหัวเราะลั่นออกมาอีก “เจ้าอยากดวลกับข้า? ฮ่าๆๆ เจ้าไม่มีแม้แต่แต้มความดีใดๆ แล้วจะให้เราใช้สิ่งใดเป็นสินการดวลเล่า?”


ระหว่างที่อีกฝ่ายพูดไปเย่หยวนก็หยิบผลไม้วิญญาณออกมา นั่นทำให้ใบหน้าของนักบวชคนนั้นแข็งค้างและร้องตะโกนขึ้น “ผลปั้นจั่นอายุ!”


เย่หยวนยิ้ม “ท่านนักบวชช่างรอบรู้ยิ่ง! ผู้อาวุโส ท่านว่าผลปั้นจั่นอายุนี้จะตีค่าเป็นแต้มความดีได้สักเท่าไหร่?”


ผลปั้นจั่นอายุนั้นเป็นสิ่งที่เย่หยวนซื้อมาตอนอยู่เมืองหลวงลาภสายน้ำ มันมีราคาที่สูงลิ่ว


ชายชรามองดูเย่หยวนอย่างตื่นตกใจ เขานั้นไม่ทราบได้เลยว่าเจ้าเด็กตรงหน้านี้ไปเอาความมั่นใจมาจากไหนมากมาย ถึงขั้นกล้าท้าดวลกับนักบวช


แต่เขาก็ยังพยักหน้ารับออกมาในที่สุด “หากเป็นผลปั้นจั่นอายุแล้วมันคงมีค่าห้าร้อยแต้ม”


เย่หยวนพยักหน้ารับและหันไปบอกนักบวชคนนั้น “ท่านนักบวช อย่าได้เสียเวลาอีกแล้ว ท่านวางสามร้อยแต้ม แล้วข้าจะวางผลปั้นจั่นอายุนี้เป็นสินการดวล ท่านว่าอย่างไร?”


ดวงตาของนักบวชคนนั้นเต็มไปด้วยความโลภ เขามองดูเย่หยวนราวกับเป็นคนโง่และยิ้มตอบกลับมา “วิหารไปหาไอ้โง่เช่นนี้มาจากที่ใดกัน? หึๆ หากเจ้าคิดจะมอบสมบัติให้นักบวชผู้นี้แล้ว มันก็คงเป็นการเสียมารยาทหากจะปฏิเสธไป เอาล่ะ นักบวชผู้นี้จะดวลกับเจ้าเอง! อย่าหาว่าข้ารังแกเจ้าแล้วกัน จะดวลเรื่องใดเจ้าว่ามาได้เลย!”


ที่มุมปากของเย่หยวนปรากฏรอยยิ้มชั่วร้ายขึ้นมา “อย่าได้ยุ่งยากเสียเวลาให้มาก เอาเป็นการคุมไฟก็แล้วกัน”


“ดวลเรื่องการคุมไฟ? หึ เจ้านี่มันรู้จักเลือกจริงๆ ข้าจะให้โอกาสเจ้าเลือกอย่างอื่นอีกครั้ง แม้ว่าจะเปลี่ยนไปทางไหนก็ไม่ทางชนะก็ตาม” นักบวชคนนั้นบอก


ตอนนี้คนที่คิดอยากจะมาเข้าศาลาสวรรค์หลวงต่างถูกคู่คนทั้งสองนี้ดึงดูดความสนใจไว้เสียก่อน


“เจ้าเด็กคนนี้สมองมันเพี้ยนรึ? ถึงขั้นกล้าไปท้านักบวชฉีเฟิงดวลการควบคุมไฟเช่นนั้น?”


“ใครๆ ก็รู้ว่าฉีเฟิงนั้นเป็นหนึ่งในด้านการควบคุมไฟแม้ในหมู่นักบวชด้วยกัน เจ้าเด็กคนนี้มันไปเอาความมั่นใจขนาดนั้นมาจากไหน?”


“หึๆ เจ้าโง่นี่มันไม่กลัวตาย!”



ฉีเฟิงมองดูเย่หยวนด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน “เจ้าโง่ ได้ยินไหม? วิชาการหลอมโอสถของข้าอาจจะไม่ได้เก่งกาจมากในหมู่นักบวชด้วยกัน แต่ในเรื่องการคุมไฟแล้วข้านั้นไม่เป็นรองใคร! ขยะอย่างเจ้ากล้าจะมาดวลเรื่องการคุมไฟกับข้า?”


คนที่ชอบดูถูกคนอื่นตั้งแต่แรกเจอหน้าเช่นนี้เป็นคนประเภทที่เย่หยวนรังเกียจมากที่สุด


ไม่ได้มีเรื่องใดกัน ไม่ได้มีความแค้นใดกัน กลับมาเรียกคนอื่นโง่เป็นขยะอยู่ร่ำไป มันสนุกมากหรือ?


เยี่ยมจริงๆ ตอนนี้เขานั้นไม่มีแต้มความดีใดๆ แต่เรื่องราวแบบนี้มันเหมือนมีคนเอาอาหารมาป้อนถึงเตียงนอน


เย่หยวนเผยอปากออกและถาม “ผู้ควบคุมไฟอันดับหนึ่งมันเก่งกาจปานนั้นเชียว?”


ฉีเฟิงนิ่งงันไปก่อนจะยิ้มตอบกลับมา “เจ้าจะได้รู้เองว่าข้าเก่งกาจแค่ไหน!”


เย่หยวนตอบ “เลิกบ่นแล้วลงมือกันเสียที”


เย่หยวนนั้นทำหน้าตาหาเรื่องฉีเฟิงอย่างถึงที่สุด ฉีเฟิงจึงตัดสินใจที่จะสั่งสอนบทเรียนแก่เย่หยวนอย่างเต็มที่


ฉีเฟิงวาดตราขึ้นมาในมือ เมื่อเขาตบมือเข้าด้วยกันมันก็เกิดประกายไฟนับไม่ถ้วนพุ่งเข้าไปหาเย่หยวนราวกับเป็นดาวในคืนเดือนดับ ทำให้ทุกผู้คนที่ได้เห็นต้องโห่ร้องออกมาอย่างตื่นเต้น


“เด็กน้อย รับฟ้าดาวอนันต์ของข้าไป ให้เจ้าได้เห็นว่าผู้ควบคุมไฟอันดับหนึ่งมันเก่งกาจแค่ไหน!” ฉีเฟิงพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย


เย่หยวนทำท่าเหมือนตื่นกลัว ร้องตะโกนออกมาก่อนจะรีบวิ่งหนีออกจากวงล้อม


เมื่อฉีเฟิงได้เห็นเช่นนั้นเขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะลั่น “หนีเรอะ? เจ้าคิดว่านักบวชผู้นี้จะปล่อยนักบวชฝึกหัดเช่นเจ้าให้หนีไปได้เรอะ? ทำเช่นนั้นข้าคงถูกคนทั้งวิหารหัวเราะเยาะแล้ว”


ฉีเฟิงนั้นมีทักษะการควบคุมไฟที่เยี่ยมยอดมาก เขาสามารถควบคุมเปลวเพลิงเหล่านั้นได้โดยไม่มีท่าทีลำบากใดๆ เลย


แต่ว่าเย่หยวนกลับเคลื่อนที่อย่างแปลกประหลาดและมาหยุดลงตรงหน้าฉีเฟิงในเวลาไม่นาน


พรึ่บ!


ไฟสองจุดกระเด็นไปโดนคิ้วของฉีเฟิง เมื่อได้กลิ่นไหม้ คิ้วของเขาก็หายวับไปเสียแล้ว


“หึๆ!”


จู่ๆ ก็เกิดเสียงหัวเราะดังขึ้นจากคนรอบๆ


“ชิๆ ผู้ควบคุมไฟอันดับหนึ่งนี่มันสุดยอดจริงๆ! ท่าไฟเผาคิ้วนี้ข้าขอชื่นชมนัก!” เย่หยวนทำหน้าตาประทับใจออกมา


มือเท้าของฉีเฟิงขยับไปมาอย่างสับสน พยายามที่จะปิดไฟศักดิ์สิทธิ์ที่ลุกติดอยู่บนคิ้วของตนออก


แต่ตอนนี้คิ้วของเขามันได้ไหม้หายไปจนเกลี้ยงแล้ว


“เจ้า! เจ้าโกงข้า!” ฉีเฟิงชี้หน้าเย่หยวนอย่างหมดหนทางอื่น


เย่หยวนยักไหล่ตอบ “เมื่อคิดดวลก็ต้องพร้อมยอมรับผล คนตั้งมากมายมองดูอยู่นี้หรือว่าเจ้าอยากจะกลับคำ?”


ฉีเฟิงกัดฟันแน่นพร้อมใบหน้าที่แดงเดือด “เจ้าจำเรื่องราวนี้ไว้ให้ดี!”


เย่หยวนยิ้ม “เดี๋ยวเจ้าจะหาว่าข้าไม่ให้โอกาส เอาล่ะ ตอนนี้ข้าจะใช้แต้มสามร้อยที่ข้ามีนี้มาดวลกับเจ้าต่อให้ เจ้ากล้ารับมันไหม?”



 

 

 


ตอนที่ 1752 อ่านโดยไม่เข้าใจ

 

“เมื่อกี้ดูอย่างไรก็เป็นฉีเฟิงที่เหนือกว่า ทำไมจู่ๆ เขาถึงกลายเป็นฝ่ายแพ้ไปเล่า?”


“ใช่ ข้าเห็นแค่ว่าเจ้าเด็กนั่นมันถูกไล่ไปทั่ว แต่จู่ๆ คิ้วของฉีเฟิงก็ติดไฟขึ้นมาเสียอย่างนั้น”


“หรือว่าเจ้าเด็กนี่มันจะโชคดีและบังเอิญชนะได้?”



การพ่ายแพ้ของฉีเฟิงเมื่อสักครู่นี้ ดูอย่างไรทีแรกก็เป็นเขาที่ได้เปรียบแต่ทำไมจู่ๆ ถึงได้แพ้พ่ายไปเสียอย่างนั้น?


ไม่ใช่แค่เขา ตอนนี้คนอื่นๆ ที่มองดูอยู่เองก็ไม่เข้าใจและแสดงสีหน้ามึนงงสับสนออกมาตามๆ กัน


มีแค่คนเดียว มีเพียงแค่ชายชราหัวขาวคนนั้นเท่านั้นที่มองไปยังเย่หยวนด้วยความตื่นตกใจ


การลงมือของเย่หยวนเมื่อสักครู่นี้มันแยบยลมาก เขาเปลี่ยนทิศไฟของฉีเฟิงสองอันพุ่งเข้าไปเผาคิ้วอีกฝ่ายด้วยแนวคิดแห่งห้วงมิติ


เพียงแค่ว่าการลงมือนี้ของเย่หยวนมันแสนจะแยบยล ด้วยพลังสายตาของผู้คนทั้งหลายที่มองดูอยู่ตอนนี้มันจึงไม่มีใครที่จะมองออกได้เลย


“ศิษย์พี่ฉีเฟิง แข่งกับมันอีก! นักบวชอย่างเราๆ จะไปแพ้นักบวชฝึกหัดชั้นต่ำได้หรือ?” ในฝูงชนมีเสียงหนึ่งตะโกนขึ้น


ฉีเฟิงเองก็ทำหน้านิ่งและบอกออกมา “ได้! ข้าจะวางห้าร้อยแต้ม หากเจ้าแพ้เจ้าต้องเสียทั้งผลปั้นจั่นอายุและสามร้อยแต้มที่มีให้ข้า! เจ้ากล้ารับคำท้าไหม?”


เย่หยวนยักไหล่ตอบ “เจ้านี่มันหน้าไม่อายจริงๆ สองร้อยแต้มก็คิดจะเอามาเทียบกับผลปั้นจั่นอายุของข้าแล้ว แต่…ทำไมข้าจะไม่กล้ารับล่ะ? เจ้าลงมือเลย!”


ฉีเฟิงกำลังคิดจะลงมือแต่ก็หยุดตัวเองไว้ก่อน “เมื่อรอบก่อนข้านั้นลงมือไปแล้ว ตอนนี้เจ้าลงมือก่อนบ้าง!”


เย่หยวนยิ้ม “เจ้าอยากให้ข้าลงมือก่อนจริง? หากข้าลงมือก่อนเจ้าคงไม่มีปัญญาจะชนะได้แล้ว”


ฉีเฟิงยิ้ม “เมื่อกี้เจ้ามันก็แค่โชคดีเท่านั้น เจ้าคิดว่าตัวเองเก่งกาจปานนั้น? นอกจากผู้อาวุโสแล้วยังไม่มีใครกล้าพูดจาขนาดนี้ต่อหน้าข้าเลย เจ้านี้มันช่างอวดอ้างอย่างไม่ประมาณตน”


เย่หยวนตอบกลับไปด้วยหน้าเหนื่อยๆ “หากเป็นเช่นนั้นแล้วข้าก็จะขอลงมือก่อนล่ะ เจ้าเตรียมตัว”


คราวนี้ฉีเฟิงไม่คิดที่จะประมาทศัตรูอีกต่อไปแล้ว เขาพร้อมตั้งรับอย่างเต็มที่ สายตาจับจ้องไปยังเย่หยวน


เขาตัดสินใจที่จะทำให้เย่หยวนต้องร้องขอชีวิต


ให้เขาได้รู้ว่านักบวชนั้นไม่ใช่ตัวตนที่จะมาลบหลู่กันได้!


ตอนนี้เองที่เย่หยวนค่อยๆ ยกมือขวาขึ้นมา มือของเขากำแน่นโดยมีแค่นิ้วชี้และนิ้วกลาวที่ยื่นออกมา


รอยยิ้มชั่วร้ายปรากฏขึ้นที่มุมปากของฉีเฟิง มือทั้งสองข้างเตรียมการวาดตราไว้ พร้อมที่จะเรียกไฟศักดิ์สิทธิ์ของตนออกมาอีกครั้ง


เย่หยวนขยับนิ้วทั้งสองเล็กน้อย!


ฟุบ!


พรึ่บ!


โดยที่ยังไม่มีใครทันตั้งแต่ก็เกิดไฟลุกขึ้นท่วมสูง


ฉีเฟิงเรียกไฟดาวอนันต์ออกมาอีกครั้งอย่างไม่รู้ตัว


ในฝูงชนมีคนตะโกนขึ้น “ศิษย์พี่ฉีเฟิง ผมท่าน! ผมของท่าน!”


ฉีเฟิงนิ่งไปและบ่นขึ้นมา “ผม?”


จู่ๆ เขาก็รู้สึกได้ถึงความร้อนที่เกิดขึ้นบนหนังศีรษะ เป็นตอนนี้เองที่เขาเริ่มตื่นตัวขึ้นมา


“อ่า! อ้าก! ผมข้า! ไหม้แล้ว! ผมไหม้แล้ว!”


ฉีเฟิงตะโกนร้องออกมาพร้อมกระโดดไปมาไม่หยุด ราวกับเป็นกระต่ายที่ตื่นตูม เป็นท่าทางที่แสนน่าขบขัน


แต่ไฟบนหัวของเขานั้นกลับรุนแรงอย่างมากและไม่มีทีท่าจะดับลงแม้แต่น้อย


ชายชราผมขาวได้แต่ส่ายหัวออกมาอย่างตื่นตกใจ


ทักษะการควบคุมไฟของคนทั้งสองนี้มันห่างชั้นกันอย่างสิ้นเชิงเลย


ทักษะของเย่หยวนนั้นดูเหมือนจะง่ายแต่แสนซับซ้อน


ต่อให้เป็นตัวเขาเองก็ไม่มีปัญญาจะทำได้ถึงขั้นนี้


นี่มันนักบวชฝึกหัดหน้าใหม่ไม่ใช่หรือ?


ทำไมยอดอัจฉริยะระดับนี้ถึงได้มาอยู่ระดับล่างได้?


“อ่า มือข้า! ข้า…ข้ายอมแพ้! ข้าขอยอมแพ้! รีบดับไฟให้ข้าเร็ว!”


มือของฉีเฟิงนั้นไม่สามารถจะจับศีรษะของตัวเองได้เลยแม้แต่น้อย เพลิงบัวฟ้าขจัดจันทร์ขาวของเย่หยวนนั้นมันพัฒนาไปถึงยอดระดับสี่มานานมากแล้ว มีพลังที่ไร้สิ้นสุด


หากเย่หยวนไม่คิดที่จะดับมัน ไฟนี้ก็คงไม่มีวันมอดดับเป็นแน่


เย่หยวนยิ้มออกมาและยื่นมือเข้าไปเก็บก้อนไฟนั้นเข้ามาไว้


แต่ระหว่างที่ดวลกันนั้นเส้นผมของฉีเฟิงก็ไหม้จนดำสนิท เป็นภาพที่แสนตลกติดอยู่บนหัวของเขา


เมื่อทุกคนได้เห็นมันแล้วพวกเขาต่างก็ได้แต่ต้องกลั้นขำอย่างสุดชีวิต


แต่กับฉีเฟิงแล้วภาพในตอนนี้มันยิ่งเสียกว่าการเสียหน้า


เย่หยวนเองก็พยายามกลั้นขำไว้และยกมือขึ้นคารวะ “ผู้ควบคุมไฟอันดับหนึ่งนี่สมชื่อจริงๆ เย่หยวนได้เรียนรู้มากมาย!”


“ดูท่าไอ้เด็กคนนี้มันจะไม่ได้แค่โชคดีเสียแล้ว!”


“โชคก็บ้าแล้ว! เมื่อต้องอยู่ต่อหน้าฉีเฟิงเจ้าลองไปโชคดีให้ข้าดูสักทีสองทีสิ!”


“นี่เขาเป็นแค่นักบวชฝึกหัดจริงๆ หรือ? ข้าไม่สามารถเข้าใจทักษะการควบคุมไฟของเขาได้เลยแม้แต่นิด!”



หลังจากหายขำแล้วสิ่งที่ทุกคนรู้สึกเหมือนๆ กันตอนนี้ก็คือความตื่นตะลึง


ในที่นี้มีนักบวชอยู่มากมายหลายคน แต่คนที่จะมองทักษะการควบคุมไฟของเย่หยวนออกนั้นมันกลับไม่มีเลยสักคน!


นักบวชฝึกหัดที่มีทักษะการคุมไฟถึงขั้นนี้มันจะไม่น่ากลัวเกินไปหน่อยหรือ?


แต่เย่หยวนก็ไม่คิดที่จะสนใจพวกเขา เพราะเป้าหมายของเขาแต่แรกมันก็คือการหาแต้มความดี เมื่อตอนนี้เขารู้ถึงมันแล้วเขาย่อมคิดที่จะเข้าศาลาสวรรค์หลวงเพื่อหาความรู้!


เมื่อถ่ายโอนแต้มเสร็จ เย่หยวนก็หันไปบอกกับชายชราผมขาว “ผู้อาวุโสข้าขอเข้าไปได้หรือไม่?”


ชายชราตอบกลับมา “ย่อมได้ ตอนนี้ระดับของเจ้าเข้าไปได้แค่ศาลาสวรรค์หลวงชั้นหนึ่ง สองชั่วโมงต่อห้าแต้ม ค่ายกลของศาลาจะตัดแต้มเจ้าเอง เพราะฉะนั้นเจ้าจงกะเวลาของตัวเองให้ดี!”


เย่หยวนทำหน้าเหยเกออกมาเมื่อได้ยิน “สองชั่วโมงห้าแต้ม นี่มันจะไม่แพงไปหน่อยรึ?”


ชายชราตอบกลับมาด้วยท่าทางดุดัน “พูดจาไร้สาระอีกเฒ่าคนนี้จะตบหน้าเจ้าให้ตายคาที่เลย!”


เย่หยวนแลบลิ้นออกมาและเดินเข้าไปด้านใน


เมื่อทุกคนเห็นภาพนี้พวกเขาทั้งหลายต่างมึนงง


ชายชราคนนี้มันเป็นแค่คนแก่ที่ดูแลศาลาสวรรค์หลวงเองไม่ใช่หรือ?


เจ้าเด็กคนนี้มันทำตัวอวดดีกับฉีเฟิงถึงขนาดนั้น แต่กลับแสดงท่าทีเคารพต่อชายแก่คนนี้?


ชายแก่คนนี้ดูไม่มีพิษภัยต่อผู้คนหรืออสูร คลื่นพลังจากร่างของเขานั้นก็ไม่ได้รุนแรงมากมาย


นักบวชและนักบวชฝึกหัดที่มายังศาลาสวรรค์หลวงต่างก็ไม่ค่อยจะมีใครสนใจเขามากนัก


ส่วนชายแก่ก็ไม่คิดจะสนใจอะไรเดินหน้ากลับเข้าไปในศาลาสวรรค์หลวงอีกครั้ง



เมื่อเข้ามาในศาลาสวรรค์หลวงชั้นแรกแล้วเขาก็พบว่านี่มันเป็นอีกโลกหนึ่ง


มันราวกับว่าเย่หยวนได้เดินเข้ามาในมหาสมุทรแห่งจารึกศักดิ์สิทธิ์ เรื่องราววิธีการต่างๆ ล้วนถูกบันทึกและแสดงขึ้นมาบนจอแสง


ได้เห็นเช่นนั้น เย่หยวนก็ต้องเบิกตาโต


สิ่งที่เขาสนใจมากที่สุดในตอนนี้ย่อมเป็นศาสตร์หลอมอสูร เพราะมันคือพื้นฐานของการหลอมโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด


ในชั้นหนึ่ง เย่หยวนเจอหมวดความรู้เกี่ยวกับศาสตร์หลอมอสูรและเริ่มศึกษามันอย่างจริงจัง


ความเข้าใจในวิถีโอสถของเย่หยวนในตอนนี้มันย่อมเหนือล้ำกว่าที่จะมีใครเทียบได้


สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนยากเย็นแสนเข็ญสำหรับเหล่านักบวชฝึกหัด


แต่กับเย่หยวนแล้ว เขาแค่ต้องลองอ่านผ่านๆ ตาก็เข้าใจทุกอย่างได้ทันที


เมื่อเย่หยวนเริ่มเก็บตัวเรียนรู้อยู่ด้านใน เวลากว่าสิบวันก็ผ่านไปได้ในพริบตา


จู่ๆ เขาก็รู้สึกถึงพลังมหาศาลดีดร่างของเย่หยวนออกมาจากศาลาสวรรค์หลวงชั้นหนึ่งทันที


“โอ้ย! อะไรกันเนี่ย?”


เย่หยวนร่วงลงกับพื้นอย่างเจ็บปวด


“แต้มความดีของเจ้าหมดแล้ว ค่ายกลจึงส่งเจ้าออกมาด้านนอก” ชายชราผมขาวที่มาอยู่ด้านหลังเย่หยวนตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบได้ช่วยตอบกลับไป


เย่หยวนนั้นพูดอะไรไม่ออก “นี่หรือเรียกว่าส่ง? ดูอย่างไรก็เตะออกมาชัดๆ”


ชายชราหัวเราะขึ้น “เจ้าคิดว่าแต้มความดีมันหาง่ายจึงไม่คิดที่จะรักษามันสินะ? เวลาหลายวันนี้เจ้าอ่านไปโดยที่ไม่เข้าใจอะไร ทำแบบนั้นมันจะช่วยอะไรเจ้าได้กัน?”


เย่หยวนนั้นมึนงงเมื่อได้ยิน “ท่านผู้อาวุโสมองดูข้าอยู่ตลอดช่วยหลายวันนี้เลย?”


ชายชราไม่คิดจะตอบเย่หยวนและพูดออกมาด้วยความโกรธเหมือนเวลาที่เด็กๆ ไม่สามารถทำตามความคาดหวังของคนแก่ได้ “เด็กน้อย เจ้านั้นมีพรสวรรค์ที่มากล้น แต่ด้วยนิสัยเช่นนี้มันคงยากที่จะเป็นใหญ่เป็นโตได้!”


เขานั้นจับตามองดูเย่หยวนมาตลอดหลายวัน แต่เขากลับเห็นว่าเย่หยวนเปิดอ่านความรู้ผ่านๆ ตากว่าห้าร้อยเรื่องในช่วงเวลาแค่สิบวันนี้


และเรื่องราวห้าร้อยอย่างนี้ แต่ละอย่างมันต้องใช้เวลาในการเรียนรู้มากกว่าหลายสิบปี


ทำเช่นนี้มันจะไม่ใช่การล้อเล่นอีกหรือ?



 

 

 


ตอนที่ 1753 ลูกเศรษฐีไม่รู้ค่าเงิน

 

“อ่า ทำไมท่านผู้อาวุโสถึงพูดเช่นนี้เล่า? ข้าอ่านทุกสิ่งอย่างด้วยความจริงจังและตั้งใจนะ!” เย่หยวนตอบกลับไปอย่างจริงใจ


เพราะเขานั้นอ่านทุกสิ่งอย่างจริงจังไม่มีสิ่งไหนผิดพลาดหลุดรอดความเข้าใจของเขาไปได้จริงๆ


ชายชราผมขาวได้แต่หัวเราะ “จริงจัง? ตั้งใจ? เจ้าอ่านหลักพื้นฐานกว่าห้าร้อยสามสิบสองเรื่องในเวลาไม่ถึงสิบสี่วัน เฉลี่ยวันละสามสิบถึงสี่สิบเรื่อง แล้วเจ้ายังจะมีหน้ามาบอกว่าเจ้าอ่านอย่างจริงจังอีก?”


เย่หยวนนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นเขาจึงได้เข้าใจความหมายที่ชายแก่ต้องการสื่อและยิ้มออกมาอย่างขื่นขม “ผู้อาวุโส ข้าอ่านทุกอย่างด้วยความจริงจังและตั้งใจไม่ได้แค่เปิดผ่านๆ ตาจริงๆ!”


ชายชราเห็นอย่างชัดเจนว่าเย่หยวนนั้นมาพรสวรรค์เพียงใดและย่อมมีความคาดหวังต่อตัวเขาอย่างสูงยิ่ง


แต่ท่าทางนั้นของเย่หยวนในการอ่านทฤษฎีต่างๆ มันกลับทำให้เขาไม่พอใจอย่างมาก


ตอนนี้เมื่อมาตักเตือน อีกฝ่ายกลับยังไม่คิดที่จะยอมรับ เรื่องนี้มันยิ่งทำให้เขาไม่พอใจเข้าไปอีก


ชายชราหันมาหัวเราะ “เจ้าบอกว่าเจ้าอ่านมันอย่างจริงจัง ได้ เช่นนั้นข้าขอถามเจ้าว่าอะไรคือหัวใจสำคัญของศาสตร์การควบคุมไฟศักดิ์สิทธิ์แห่งสื่อหมิง?”


ศาสตร์การควบคุมไฟศักดิ์สิทธิ์แห่งสื่อหมิงนั้นเป็นเรื่องการควบคุมไฟของเผ่าอสูรที่เย่หยวนได้อ่านไป


ชายชราเองก็เห็นว่าเย่หยวนมีทักษะการควบคุมไฟที่มีพื้นฐานมาจากทางด้านมนุษย์ เขาจึงไม่ได้เชี่ยวชาญในด้านการควบคุมไฟของเผ่าอสูรเท่าไหร่นัก


ส่วนศาสตร์การควบคุมไฟศักดิ์สิทธิ์แห่งสื่อหมิงนั้นคือพื้นฐานทั้งหมดของศาสตร์การควบคุมไฟของเผ่าอสูร


เมื่อเย่หยวนได้ยินเขาก็ยิ้มตอบ “ท่านผู้อาวุโสต้องการทดสอบข้า?”


ชายชราไม่ได้ปฏิเสธออกมาและพูดต่อ “หากเจ้าตอบไม่ได้ วันหน้าเมื่อเจ้ามายังศาลาสวรรค์หลวงเจ้าต้องอ่านหนังสือแค่ทีละเล่มให้รู้เรื่อง!”


เย่หยวนยิ้มตอบ “ศาสตร์การควบคุมไฟศักดิ์สิทธิ์แห่งสื่อหมิงนั้นมีหัวใจสำคัญอยู่ที่การวางไฟไว้ในใจ แล้วใช้ใจตามความคิด เมื่อหัวใจและไฟรวมเป็นหนึ่ง ศาสตร์การควบคุมไฟก็จะเชื่อมต่อกับสวรรค์!”


เมื่อชายชราได้ยินเขาก็ตื่นตกใจขึ้นมาเล็กน้อย


เพราะนี่เป็นความรู้ที่ต้องใช้การวิเคราะห์ช่วย เขาไม่นึกว่าเย่หยวนจะสามารถตอบออกมาได้ในทันที


แต่ชายชราก็ยังไม่ยอมแพ้และถามขึ้นมาอีก “การคุมไฟนั้นเป็นสิ่งที่เจ้าถนัด จะตอบได้มันย่อมเป็นเรื่องธรรมดา เอาใหม่ ศาสตร์มหาวารุณเส้นฟ้านั้นมีจุดสำคัญอยู่ทั้งหมดกี่จุด?”


เย่หยวนยิ้มตอบและเปิดปากพูด บอกเล่าจุดสำคัญออกมาอย่างชัดเจน


แม้จะได้ยินเช่นนั้นชายชราก็ยังไม่อยากจะเชื่อและถามคำถามขึ้นมาอีกอย่างไม่หยุดยั้ง ความเร็วในการถามตอบยิ่งรวดเร็วขึ้นเป็นทวี


เย่หยวนรู้ดีว่าชายชราคนนี้หวังดีแก่ตัวเขา เขาจึงไม่ได้รู้สึกรำคาญใจใดๆ ทั้งสิ้นและตอบคำถามของชายชราออกมาอย่างชัดเจนไม่มีผิดพลาดใดๆ


ยิ่งชายชราถามไปมาก เขาก็ยิ่งตื่นตกใจมาก


หรือว่าเจ้าเด็กคนนี้มันจะใช้เวลาแค่สิบกว่าวันเรียนรู้สิ่งที่ผู้อื่นต้องใช้เวลากว่าหลายพันปีในการเรียนรู้?


นี่มันสัตว์ประหลาดหรือ?


และสิ่งที่ทำให้เขาตื่นตะลึงมากกว่าก็คือเย่หยวนไม่ได้แค่ตอบได้ แต่เขายังเพิ่มความเห็นของตนเองเข้ามาซึ่งเป็นความเห็นที่ลึกซึ้งอย่างมาก!


ความเข้าใจในหลายๆ เรื่องนี้มันถึงขั้นทำให้ชายชรารู้สึกว่าตนได้เปิดหูเปิดตา


ทฤษฎีที่เย่หยวนอ่านไป ชายชราคนนี้เองก็อ่านมันมาแล้วอย่างไม่รู้กี่ครั้งได้ อ่านจบแทบจำมันได้ตั้งแต่หน้าแรกจนหน้าสุดท้ายอย่างไม่มีขาด


แต่เขากลับพบว่าเย่หยวนนั้นอ่านทฤษฎีที่ต้องใช้เวลาทำความเข้าใจกว่าพันปีนี้และเข้าใจได้มากเสียยิ่งกว่าตัวเอง!


นี่มัน…จะบ้าบอเกินไปแล้ว!


ชายชรารู้สึกได้ถึงคำด่าทอที่เกิดขึ้นในจิตใจตัวเองอย่างห้ามไม่อยู่


เพราะตอนนี้มันไม่ใช่การทดสอบอีกฝ่ายแล้ว มันเป็นการเดินมาให้เด็กสั่งสอนชัดๆ!


แต่ว่าเขาก็ยังไม่หยุด ถามคำถามเย่หยวนออกมาเรื่อยๆ เพราะว่าความเข้าใจของเย่หยวนในตอนนี้มันช่วยชี้ทางสว่างให้เขาเสียด้วยซ้ำ


ในที่สุดชายชราก็หยุดถามลง เขามองดูเย่หยวนราวกับว่าได้เจอผี “เด็กน้อย เจ้าไม่ได้มาล้อข้าเล่นใช่ไหม? ทฤษฎีเหล่านี้เจ้าคงไม่ได้อ่านมันมาก่อนแล้วหรอกนะ?”


เย่หยวนยิ้มตอบ “ท่านผู้อาวุโสคงล้อเล่นแล้ว ท่านถามไปนับร้อยคำถาม ท่านคิดว่าต่อให้ข้าจะเคยอ่านพวกมันมาก่อน มันก็คงไม่อ่านมาอย่างพอเหมาะพอเจาะทุกเรื่องเช่นนี้หรอกใช่ไหม?”


ชายชราเองก็คิดเช่นนั้น เพราะหนังสือห้าร้อยกว่าเรื่องนี้ มันย่อมมีบ้างที่เขาต้องไม่เคยอ่าน


หากไม่ใช่เพราะว่าเขาเพิ่งอ่านมันมา คำถามความจำบางคำถามมันย่อมไม่มีทางตอบได้


ที่สำคัญเย่หยวนก็คงไม่ว่างถึงขนาดมาปั่นหัวคนเฝ้าศาลาอย่างเขาเล่นแน่อยู่แล้ว


แต่ยิ่งเป็นอย่างนั้นมันก็ยิ่งทำให้ชายชราตื่นตะลึงในหัวใจ


ต้องเป็นยอดคนแบบไหนที่จะสามารถจำและทำความเข้าใจได้ถึงขั้นนี้?


เขายกมือขึ้นมาโบกปัด “เจ้าไปเถอะ!”


เย่หยวนยกมือขึ้นคารวะ “ขอบพระคุณท่านผู้อาวุโส!”


หลังจากเย่หยวนกลับออกมา ชายชราเองก็หายลับไปทันตาเช่นกัน



“ท่านฉีเฟิง ท่านต้องไปแก้แค้นให้เรานะ! ท่านดูสภาพพวกเราสิ มันช่าง…เราไม่มีหน้าไปพบผู้คนอีกแล้ว!”


หูเฟิงนั้นมีสภาพที่สุดแสนน่าสมเพช


เย่หยวนนั้นใช้ไฟศักดิ์สิทธิ์เผาเขากลับมา มันทำให้เขาได้ลิ้มรสชาติพลังฝีมือของตัวเอง พลังที่เขาโดนไปมันจึงไม่เบา


เวลากว่าสิบวันได้ผ่านพ้นไป แม้ว่าพวกเขาจะมีสภาพดีขึ้นมากแต่รอบไหม้ทั้งหลายมันก็ยังทำให้พวกเขาดูไม่ต่างจากหมาพูเดิลที่เพิ่งไปตัดขนมา


เหล่านักบวชฝึกหัดทั้งหลายส่วนมากย่อมจะมีนักบวชคอยดูแล


และมันก็ช่างบังเอิญเสียจริงๆ ที่ว่าผู้ดูแลหูเฟิงคนนี้คือฉีเฟิงนั่นเอง


ตอนนี้ผมของฉีเฟิงนั้นขึ้นกลับมาจนครบถ้วนแล้ว จึงกลับมามีรูปลักษณ์ที่น่าเกรงขามได้เช่นเดิม


ฉีเฟิงหัวเราะ “พวกเจ้าทั้งสามช่างทำให้ข้าเสียหน้าโดยแท้! ไปนอนในส้วมถึงสามวันสามคืนและไม่กล้าที่จะออกมาจริงๆ! สุดยอดไปเลยนะ!”


หูเฟิงตอบกลับมาด้วยสีหน้าขมขื่น “นายท่าน ท่านไม่รู้หรอกว่าเด็กคนนั้นมันมีการคุมไฟที่ยอดเยี่ยมแค่ไหน! เราสามคนช่วยกันแต่ก็ยังไม่พอที่จะเป็นคู่มือมันเลย!”


ฉีเฟิงหน้าเปลี่ยนสีไป เมื่อได้ยินเช่นนั้นเขาก็รู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ ก่อนจะถามขึ้น “ไอ้เด็กคนนี้มีชื่อว่า?”


พวกหูเฟิงหันมองหน้ากัน ดูท่าจะลืมชื่อเย่หยวนไปแล้ว


ตอนนั้นเองก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาในหอพัก


“เจ้านั่นไง!”


หูเฟิงและฉีเฟิงหันหน้าไปมองพร้อมๆ กันและร้องขึ้นอย่างพร้อมเพรียง


เมื่อเย่หยวนเห็นคนเหล่านี้เขาก็เข้าใจได้ว่าต้องมีเรื่องอะไรกันอีกแน่ๆ และยิ้มรับไป “มาต้อนรับนักบวชฝึกหัดน้อยๆ อย่างข้าด้วยผู้คนระดับนี้ มันจะไม่เอิกเกริกเกินไปหน่อยรึ?”


เป็นตอนนั้นเองที่หูเฟิงถามขึ้น “นายท่านรู้จักเจ้าเด็กคนนี้ด้วยรึ?”


ฉีเฟิงถามกลับ “นี่หรือคือเจ้าเด็กที่เผาพวกเจ้าจนเกรียม?”


หูเฟิงพยักหน้ารับ “ใช่แล้ว เจ้านี่แหละ! ข้าขอร้องให้นายท่านช่วยแก้แค้นให้เราด้วย!”


ฉีเฟิงมีใบหน้าเหยเก ได้แต่คิดในใจ แก้แค้นกับพ่อเจ้าสิ!


พ่อเจ้ายังสู้มันไม่ได้เลย เจ้ากลับคิดจะให้ข้าไปแก้แค้นให้เรอะ!


แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าลูกน้อง เขาย่อมไม่คิดที่จะยอมแพ้ใครง่ายๆ


ในความเป็นจริงแล้ว หลังจากสู้กันครั้งก่อนเขาย่อมคิดวางแผนที่จะแก้แค้นมานานแสนนาน


เจ้าเด็กคนนี้มันมีทักษะการควบคุมไฟที่เหนือล้ำ แต่ในด้านการโอสถมันคงต่ำต้อยแน่ๆ


ไม่เช่นนั้นคนระดับนี้คงได้เป็นนักบวชไปแล้ว ไม่มาเป็นนักบวชฝึกหัดชั้นต่ำเช่นนี้หรอก


ฉีเฟิงมองดูเย่หยวนด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย “เด็กน้อย เจ้ากล้าดวลกับข้าอีกสักทีไหม?”


เย่หยวนเลิกคิ้วสูง “ยังกล้ามาดวลอีก? นี่เจ้าไม่กลัวว่าตัวเองจะหมดตูดจนไม่มีอะไรติดตัวหรือ? ต้องให้ข้าเรียกเจ้าว่าเป็นลูกเศรษฐีไม่รู้ค่าเงินไหม?”


พวกหูเฟิงทั้งสามหันมองหน้ากันทันที ไม่รู้ว่าเรื่องราวเบื้องหลังเป็นมาอย่างไรแต่ก็ตะโกนขึ้นมาอย่างโกรธเคือง “ไอ้เด็กเวร เจ้าเป็นแค่นักบวชฝึกหัดชั้นต่ำกลับกล้ามาดูถูกท่านฉีเฟิงเรอะ? เขาเป็นนักบวชของวิหาร เจ้าเบื่อที่จะมีชีวิตแล้วหรือ?”


ฉีเฟิงตอบกลับ “เอาล่ะๆ ไม่ต้องพูดให้มากความแล้ว! เด็กน้อย คราก่อนเจ้าเป็นคนเลือกเรื่องที่จะดวลกัน แต่วันนี้ข้าจะเป็นคนเลือกบ้าง! เจ้ากล้ารับคำท้าหรือไม่?”


เย่หยวนมองดูฉีเฟิงด้วยรอยยิ้มที่แสนเย็นเยือก “เจ้าไม่ต้องมาท้าทายอะไรข้าหรอก หากเจ้าเป็นลูกเศรษฐีไม่รู้ค่าเงินที่จะเอาเงินมาให้ข้าเปล่าๆ แล้วการที่ข้าจะไม่รับมันไว้คงเรียกได้ว่าไม่ฉลาดนัก ว่ามาสิ จะดวลเรื่องใดกันเล่า?”


ฉีเฟิงตอบ “มาแข่งหลอมโอสถกัน!”



 

 

 


ตอนที่ 1754 ต่างจากวันก่อน

 

โถงนักบวชนั้นคือสถานที่ที่เหล่านักบวชทั้งหลายจะใช้มันในการหลอมโอสถ ปกติแล้วมันย่อมจะมีทั้งผู้อาวุโสและเหล่านักบวชมาฝึกฝนตัวกันที่นี่


แต่ตอนนี้ด้านในโถงมันเต็มไปด้วยผู้คนอย่างล้นหลาม พวกเขาเหล่านี้มากันเพื่อที่จะดูการต่อสู้หนึ่ง


นักบวชปะทะนักบวชฝึกหัดชั้นต่ำ ข่าวที่ใหญ่ขนาดนี้มันย่อมแพร่กระจายไปทั้งวิหารอย่างรวดเร็ว


พวกเขาย่อมอยากจะเห็นว่านักบวชฝึกหัดหน้าไหนที่มันช่างกล้า อาจหาญไปท้าทายนักบวชเข้า


ที่สำคัญกว่านั้นนักบวชที่กำลังจะขึ้นสนามยังเป็นนักบวชที่เรียกได้ว่าเป็นผู้แข็งแกร่งคนหนึ่ง


“ไอ้เด็กนั่นหรือ? ดูธรรมดาเสียจริง!”


“ธรรมดา? หึๆ ไอ้เด็กคนนี้มันไม่ธรรมดาเลย! มันสามารถประลองการคุมไฟกับฉีเฟิงที่หน้าศาลาสวรรค์หลวงและสามารถชนะมาได้ถึงสองครั้งติด!”


“เรื่องนั้นก็ไม่เท่าไหร่หรอก การคุมไฟกับการหลอมโอสถจริงๆ มันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ดูท่าคราวนี้ฉีเฟิงคงเตรียมตัวมาแก้แค้นแน่ๆ เขานั้นมีพลังถึงระดับสี่ขั้นปลาย ไอ้เด็กคนนั้นมันคงเพิ่งเข้าระดับสี่ขั้นกลางมาได้ไม่นาน ด้วยพลังของฉีเฟิงแล้ว เขาย่อมไม่มีทางแพ้พ่ายแก่เย่หยวนแน่”



เหล่านักยุทธหลายต่อหลายคนได้ฝึกการควบคุมไฟเพื่อใช้มันในการต่อสู้สังหารศัตรู จะบอกว่าเรื่องเช่นนี้มันปกติธรรมดาก็คงไม่ผิดนัก


แต่การควบคุมไฟและการหลอมโอสถนั้นมันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง


ในศาสตร์การหลอมโอสถของเผ่าอสูร ทุกสิ่งอย่างมันขึ้นอยู่กับปราณอสูรเทวะ ระดับชั้นบ่มเพาะพลังมันส่งผลมากกว่าที่ใครจะคาดคิดเยอะ


หากฉีเฟิงเป็นแค่ใครที่ไหนไม่รู้อาจจะยังพอว่า แต่เขานั้นไม่ใช่


เพราะแม้เขาจะไม่ได้เก่งกาจในด้านโอสถที่สุด แต่เขาก็นับว่าเป็นคนที่เก่งกาจพอจะติดอันดับหนึ่งในสิบได้ง่ายๆ พลังความสามารถของเขานั้นเหลือล้นกว่านักบวชคนอื่นๆ


นักบวชที่ได้ติดอันดับหนึ่งในสิบ พวกเขาย่อมมีพลังฝีมือที่เหนือล้ำ


ในอนาคตเขาคนนี้คือคนที่จะได้ขึ้นเป็นถึงระดับผู้อาวุโสได้!


เพราะเช่นนั้นฉีเฟิงถึงได้มีท่าทางอวดเก่งและโอหังเช่นนี้


ในส่วนลึกของโถง มีสามเงาร่างกำลังมองดูเหตุการณ์ในโถงนักบวชบนหน้าจอแสงอยู่


“นิคุน ในสายตาเจ้าแล้วใครจะชนะการดวลศึกโอสถครั้งนี้?” ฉีหยูถาม


นิคุนตอบกลับมา “เรื่องนี้ยังต้องถามอีกหรือ? แน่นอนว่ามันต้องเป็นฉีเฟิง! เด็กคนนั้นมันมีพรสวรรค์ที่เหนือล้ำ ฝีมือเองก็ไม่เลว แต่เรื่องในการสอบวันนั้นมันคงเป็นขีดจำกัดของเขาแล้วใช่ไหม? เพราะอย่างไรเสียการหลอมโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์มันก็แตกต่างจากการหลอมโอสถศักดิ์สิทธิ์อย่างสิ้นเชิง”


คูมู่เองก็พยักหน้ารับ “เย่หยวนนั้นมีพรสวรรค์ที่เหนือล้ำจริงๆ หากให้เวลาเขาสักปีเขาต้องยืนอยู่เหนือนักบวชทุกผู้คนได้แน่ๆ แต่เวลาแค่ไม่กี่วันนี้มันย่อมไม่พอที่จะเปลี่ยนแปลงอะไร”


แต่ฉีหยูกลับบอก “ข้าได้ยินว่าเจ้าเด็กคนนี้มันเข้าไปในศาลาสวรรค์หลวงอยู่สิบกว่าวัน ดูท่าแล้วมันคงได้เรียนรู้อะไรเกี่ยวกับโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์ไปไม่น้อย”


นิคุนยิ้มตอบกลับมา “แล้วมันจะทำไม? หากแค่มองหนังสือก็เก่งกาจได้ โอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์เราก็คงไร้ค่าไปแล้ว ที่สำคัญเวลาไม่กี่วันนั้นเขาจะอ่านมันได้สักกี่เรื่อง?”


ฉีหยูเองก็คิดเช่นนั้นและพยักหน้าออกมา “ที่เจ้าว่ามามันก็ถูก ข้าคงคิดมากไปเอง”


เพราะจริงๆ เขาก็คิดไม่ต่างจากนิคุนและคูมู่นัก เขาคิดว่าเย่หยวนจะไม่มีทางชนะได้


แต่ไม่รู้ทำไมในจิตใจลึกๆ ของเขาจึงไม่เชื่อว่าเย่หยวนจะแพ้ลงง่ายๆ


แม้ว่าเขาจะรู้ดีแค่ไหนว่ามันเป็นเรื่องที่แสนบ้าบอ



ฉีเฟิงหันมองเย่หยวนและกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม “เจ้าโง่ เจ้าคิดว่าตัวเองคุมไฟได้เก่งแล้วจะเก่งกาจเหนือฟ้าเรอะ? วันนี้แหละข้าจะให้เจ้าได้เห็นความแตกต่างของนักบวชและนักบวชฝึกหัด!”


เย่หยวนได้แต่กลอกตาไปมา “นี่ ทำไมเจ้ามันชอบโม้โอ้อวดจริง?  หากการโอ้อวดนับเป็นความแข็งแกร่งอย่างหนึ่ง เจ้าก็คงนับว่าเป็นยอดคนสุดแกร่งคนหนึ่งเลย ข้าล่ะกลัวแพ้เจ้าจริงๆ!”


ฉีเฟิงแทบสำลักและตอบกลับมาอย่างขุ่นแค้น “ไอ้เด็กปากดี ข้าล่ะอยากรู้เสียจริงๆ ว่าเจ้าจะปากเก่งไปได้ถึงเมื่อไหร่!”


เย่หยวนนั้นทำหน้ายิ่งเฉย “เอาล่ะ มาเริ่มกันเสียที เดี๋ยวเจ้าจะหาว่าข้ารังแกเจ้า ข้าจะให้เจ้าลงมือก่อนเลยสองชั่วโมง!”


ฉีเฟิงนั้นตกตะลึงมากเมื่อได้ยินและหัวเราะออกมาอย่างแทบหยุดไม่อยู่ “ให้ข้าเริ่มหลอมก่อนสองชั่วโมง? ไอ้เด็กเวรนี่มันช่างขี้อวดอ้างเสียจริงๆ ย่อมได้ ข้าอยากรู้ว่าเจ้าจะตามข้าทันได้อย่างไร!”


ตอนนั้นเองทุกผู้คนที่มุงดูอยู่ก็ต้องหันมามองที่เย่หยวนด้วยความรู้สึกว่าเขานั้นช่างวางท่าเกินพอดี


ท่าทางแบบนั้นมันจะเป็นนักบวชฝึกหัดไปได้อย่างไร? ท่าทางแบบนี้ดูอย่างไรมันก็เป็นของผู้อาวุโสชัดๆ


แต่ทว่ากลับมีใครคนหนึ่งพูดขึ้นมา “ท่านฉีเฟิง ท่านอย่าได้ไปหลงกลเจ้าเด็กนี่เชียว! มันไม่รู้วิธีหลอมโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์นั้นและคิดจะลอบเรียนรู้มันจากท่าน!”


แค่คำพูดเดียวนี้มันก็ดึงดูดความสนใจของทุกคนไปได้


เย่หยวนหันไปมองดูด้วยความตกใจไม่น้อย เพราะที่ยืนอยู่ตรงนั้นมันคือคนคุ้นหน้า มู่หยวนชุนนั่นเอง!


ดูท่าการประลองครั้งนี้มันคงไปทำให้เขาสนใจเข้า


เมื่อฉีเฟิงเห็นว่าคนที่พูดขึ้นมาเป็นแค่นักบวชฝึกหัดชั้นต่ำเช่นกันเขาก็รู้สึกตกใจและถามออกไป “ลอบเรียนรู้? เจ้าพูดเรื่องบ้าบออันใดออกมา? มีหรือที่เขาจะสามารถเรียนรู้ระหว่างที่ข้าทำการหลอมได้ เข้าจะไม่ประเมินเขาสูงเกินไปหน่อยรึ?”


มู่หยวนชุนตอบกลับมาอย่างหนักแน่น “ท่านฉีเฟิง ข้านั้นได้สอบนักบวชฝึกหัดเข้ามาพร้อมๆ กับมัน ไอ้เด็กคนนี้มันมีฝีมือการหลอมโอสถที่รวดเร็วมาก แต่มันกลับยืนมองดูเรียนรู้อยู่ด้านข้างจนสุดท้ายหลอมโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์ขั้นยอดเยี่ยมออกมาได้! ดูอย่างไรมันก็ต้องไม่มีเจตนาดีแน่ที่ให้ท่านเริ่มหลอมก่อน!”


เมื่อคำพูดเหล่านั้นถูกกล่าวออกมา เหล่าผู้ชมก็แตกตื่นกันยกใหญ่!


ลอบเรียนรู้ จนสุดท้ายหลอมโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์ขั้นยอดเยี่ยมได้ ทำไมมันถึงแปลกประหลาดได้ขนาดนั้น?


แต่หากสิ่งที่มู่หยวนชุนบอกมาเป็นความจริง มันก็คงหมายความว่าทักษะด้านโอสถของเย่หยวนนั้นสูงล้ำใช่ไหม?


เมื่อฉีเฟิงได้ยินเขาก็ได้แต่ถอนหายใจยาว คิดแค่ว่าเกือบจะพลาดท่าไปแล้ว


เขาหันไปมองเย่หยวนและบอก “เด็กน้อย เจ้าคิดจะรอข้าก่อนอย่างนั้นรึ? มาหลอมไปพร้อมๆ กันดีกว่า!”


มู่หยวนชุนนั้นยิ้มเยาะออกมาเมื่อได้เห็นว่าฉีเฟิงได้รับรู้ความจริงแล้ว


เพราะความพ่ายแพ้ของเย่หยวน เขานั้นก็อยากจะเห็นมันจนตัวสั่น


การประลองหลอมโอสถนี้ หัวข้อการหลอมนั้นฉีเฟิงเป็นคนเลือกมันขึ้นมา มันเป็นโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์ระดับความยากสี่


เขาไม่เชื่อว่าเย่หยวนจะสามารถหลอมโอสถที่มีความยากสูงขนาดนั้นได้ในเวลาสั้นๆ แค่นี้


แต่เย่หยวนกลับตอบมาอย่างไม่แยแส “แล้วแต่เจ้า งั้นก็มาเริ่มเลย”


ท่าทางไม่สนใจของเย่หยวนมันทำให้มู่หยวนชุนต้องสั่นสะท้าน


หรือว่าเจ้าเด็กคนนี้มันจะมีแผนอื่นรอไว้อยู่แล้ว?


แต่มันเข้ามาในวิหารได้แค่ไม่กี่วัน จะเป็นไปได้อย่างไร?


เมื่อเริ่มทำการหลอม ฉีเฟิงก็หลอมได้อย่างเรียบเนียนและนุ่มนวล เป็นท่าทางที่ไม่ต่างอะไรจากปรมาจารย์คนหนึ่งแล้ว


นักบวชหนึ่งในสิบนั้นไม่ธรรมดาจริงๆ


ส่วนอีกด้านเย่หยวนกลับมีท่าทางที่แสนเงอะงะ


ที่พวกเขาคิดนั้นมันก็ถูก เพราะอย่างไรเสียเวลาแค่ไม่กี่วันนี้มันก็ไม่มีทางที่จะช่วยให้เย่หยวนคุ้นชินในการหลอมโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์ได้เลย


นี่มันเพิ่งจะเป็นครั้งที่สองที่เขาได้หลอมโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์


โอสถที่ฉีเฟิงเลือกมาเป็นหัวข้อประลองนั้นคือโอสถแปดเขาฟ้าคำราม


สูตรโอสถนี้มันไม่ใช่สิ่งที่ยุ่งยากลึกลับใดๆ เย่หยวนเคยเห็นมันมาแล้วตอนที่อยู่ในศาลาสวรรค์หลวง


แต่โอสถระดับความยากสี่นั้นมันเป็นอะไรที่ยากกว่าโอสถเมฆานิลฝนมายาเป็นเท่าตัว


ตัวเย่หยวนในตอนนี้ มันยังนับว่าเป็นโอสถที่ยากอย่างหนึ่ง


แน่นอนว่านั้นมันนับถึงแค่ตัวโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์


เย่หยวนนั้นไม่ได้ขาดประสบการณ์ในการหลอมโอสถ ฝีมือด้านการหลอมของเขานั้นผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างมากมายจนนับไม่ถ้วน


แม้ว่าโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์มันจะเป็นโอสถในอีกระบบหลอมหนึ่ง มันก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกยุ่งยากลำบากใจขนาดนั้น


เวลาหลายวันที่เขาได้ใช้ในศาลาสวรรค์หลวงนั้นมันช่วยให้เย่หยวนแตกต่างจากตัวเขาในวันก่อนหน้าไปมาก


ทุกๆ คนรวมไปถึงฉีหยูมองเขาผิด!


เวลาไม่กี่วันมานี้มันนับเป็นความเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่แก่เย่หยวน


นอกจากเรื่องที่ว่าเขายังไม่คุ้นชินกับวิธีการหลอมแล้ว เรื่องอื่นๆ เขาก็พัฒนาตัวเองไปได้อย่างมหาศาล


ไม่ถึงสองชั่วโมงเย่หยวนก็สามารถหลอมโอสถออกมาได้สำเร็จ


เมื่อได้เห็นความเร็วในการหลอมนั้นของเย่หยวน ทุกคนต่างก็ตกตะลึงจนพูดไม่ออก ได้แต่คิดว่าคำพูดของมู่หยวนชุนเรื่องความเร็วนั้นมันคงไม่ผิดแน่แล้ว


เจ้าหมอนี่มันหลอมได้อย่างรวดเร็วจริงๆ


เพียงแค่ว่าคุณภาพที่ออกมาจะเป็นอย่างไรกัน?



 

 

 


ตอนที่ 1755 ทำลายล้าง

 

เมื่อหลอมโอสถเสร็จสิ้นแล้ว เย่หยวนก็หันไปมองดูฉีเฟิงอย่างใจเย็น


ปกติวิธีการหลอมที่สมบูรณ์แบบนั้นมันย่อมไม่มีค่าใดๆ ในสายตาของเย่หยวน


แต่กับการหลอมโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์แล้ว เย่หยวนมีแต่ต้องชื่นชมว่าฉีเฟิงนั้นช่วยเขาได้มากจริงๆ


เทียบกับมู่หยวนชุนแล้วฉีเฟิงนั้นแข็งแกร่งกว่ามาก


เมื่อเขาเริ่มเข้าสู่สภาวะเรียนรู้แล้ว สายตาของเย่หยวนก็จะคมกริบจนน่ากลัว


การที่เขาขึ้นมาเป็นยอดนักหลอมโอสถในแดนศักดิ์สิทธิ์ได้นั้นมันไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับทักษะการเรียนรู้ที่รวดเร็วของเขา


ตอนนั้นในเมืองบึงเมฆ เย่หยวนสามารถชนะการประลองนับพันครั้งมาได้ติดๆ กันและได้รับรู้ถึงจุดเด่นที่คู่ต่อสู้ของเขามีมามากมาย


เมื่อนำมันมารวมกับทักษะการวิเคราะห์ทำความเข้าใจของเขาแล้ว นี่มันจึงเป็นวิธีที่เขาใช้พัฒนาการหลอมโอสถของตัวเอง


เย่หยวนไม่ชอบใบหน้ามั่นใจเกินตัวและโอหังเกินเหตุของฉีเฟิง แต่เรื่องนี้มันไม่ได้ทำให้เขาไม่อยากที่จะเรียนรู้จากวิชาของฉีเฟิง


เมื่อรวมมันเข้ากับทฤษฎีที่เขาได้อ่านมาจากศาลาสวรรค์หลวง เย่หยวนก็รู้สึกได้เลยว่าตัวเองนั้นได้เข้าใจทุกสิ่งอย่างแล้ว


สุดท้ายฉีเฟิงก็หยุดมือลงและหลอมโอสถได้เสร็จสิ้นพร้อมๆ กับรอยยิ้มแห่งผู้มีชัย


เพราะการหลอมโอสถในครั้งนี้ เขาพอใจกับผลลัพธ์ของมันมาก


แต่ว่าเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาเขาก็พบว่าเย่หยวนกำลังมองดูเขาด้วยรอยยิ้มที่ชั่วร้าย นั่นทำให้เขาต้องอดหน้าถอดสีไม่ได้


เจ้าหมอนี่มันมีความเร็วในการหลอมโอสถที่เหนือล้ำจริง!


“หึ ยังไม่ทันเปิดเตาจะมาทำหน้ายิ้มเพื่อ?” ฉีเฟิงตอบกลับรอยยิ้มนั้นไป


เย่หยวนยังยิ้ม “จะเปิดหรือไม่ ผลมันก็ออกมาแน่ๆ แล้ว การแข่งขันในด้านโอสถนั้นข้าไม่เคยจะพ่ายแพ้ใครมาก่อน”


คำพูดเหล่านั้นมันช่างอวดดี!


แต่มันก็เป็นเรื่องจริง


ตั้งแต่ตอนที่เย่หยวนยังเป็นแค่จอมเทพโอสถสามดาว เขาก็สามารถบดขยี้ทำลายล้างจอมเทพโอสถสี่ดาวจนแหลกเละได้


ตั้งแต่การเดินจากการดินแดนศักดิ์สิทธิ์มา เย่หยวนเคยแพ้ทั้งในด้านการต่อสู้ แพ้ในด้านค่ายกล มีเพียงแค่ด้านการโอสถเท่านั้นที่เขาไม่เคยจะแพ้ใครมาก่อน!


แม้แต่ตอนนี้ที่เขาต้องเริ่มทุกอย่างใหม่ตั้งแต่ต้น


ในเรื่องของโอสถ เย่หยวนนั้นมีความมั่นใจที่เปี่ยมล้น


แต่คำพูดเหล่านั้นมันย่อมสร้างความไม่พอใจให้แก่ผู้มุงดูอย่างมาก


“ไอ้เด็กฝึกหัดคนนี้มันช่างอวดดีจริง! คิดว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหน?”


“อวดอ้างอย่างเกินจริง ไม่กลัวว่าสวรรค์จะทะลุเพราะคำโม้ของมัน! แค่ท่าทางเงอะงะนั้นของมันจะหลอมโอสถขั้นสูงได้หรือเปล่ายังไม่รู้?”


“มาขุดหลุมรอมันกันเถอะ เวลามันแพ้มันจะได้มีที่มุดดินหนี!”



คนที่ได้เข้ามาในวิหารนักบวชนั้นล้วนแล้วแต่เป็นยอดอัจฉริยะ


ที่สำคัญในหมู่พวกเขานั้น หลายคนนังเป็นนักบวชที่อยู่มานาน ได้ยินเช่นนั้นพวกเขาย่อมไม่พอใจเป็นธรรมดา


แต่ในการโอสถนั้นเย่หยวนไม่คิดที่จะสนใจเรื่องความอิจฉาริษยาใดๆ


เพราะเขามีฝีมือที่มากพอจะอวดอ้างได้แบบนั้น


ฉีเฟิงยิ้มออกมาเมื่อได้ยินเช่นนั้น “การประลองหลอมโอสถนั้นไม่ได้วัดกันที่ความเร็ว จะอวดอ้างใดเจ้าต้องมีฝีมือรองรับมันด้วย! เปิด!”


เมื่อฉีเฟิงพลิกฝ่ามือเม็ดโอสถนั้นก็ลอยขึ้นมาจากหม้อหลอม


กลิ่นโอสถหอมคลุ้งไปทั่วทำให้ทุกผู้คนต่างต้องจ้องมองอย่างตะลึง “ขั้นยอดเยี่ยม!”


ฉีเฟิงเองก็ตื่นเต้นดีใจอย่างมาก เขาหันไปมองเย่หยวนด้วยรอยยิ้มเหยียดหยาม “เห็นนี่ไหม? นี่แหละคือฝีมือของนักบวชที่แท้จริง นักบวชฝึกหัดทำได้แค่เงยหน้ามองดูเท่านั้น! เอาล่ะส่งผลปั้นจั่นอายุกับหญ้ามายาวิญญาณสู้สวรรค์มา!”


หญ้ามายาวิญญาณสู้สวรรค์นั้นคือสมุนไพรระดับสี่อีกอย่างหนึ่งที่ใช้เป็นสินดวลอีกชิ้น


เพราะครั้งนี้ฉีเฟิงนั้นวางเดิมพันไว้สูงมากด้วยแต้มถึงสองพันแต้ม


เย่หยวนที่ไม่มีแต้มใดๆ เหลือแล้วจึงได้แต่ต้องใช้สมุนไพรวางเป็นสินเดิมพันการดวล


วิหารนักบวชนั้นมีแนวคิดที่ว่าเน้นคุณภาพก่อนปริมาณ คนที่ขึ้นมาเป็นนักบวชได้นั้นย่อมล้วนแล้วแต่เป็นยอดคนทั้งสิ้น


และฉีเฟิงก็คือหนึ่งในยอดคนเหล่านั้น


โดยปกติแล้วเขาย่อมสามารถหลอมขั้นสูงได้อย่างง่ายดาย


แต่การหลอมครั้งนี้เขาสามารถทำได้ดีและถึงขั้นหลอมโอสถได้ถึงขั้นต้นยอดเยี่ยม!


เย่หยวนได้แต่หัวเราะออกมาเมื่อได้ยิน “ข้ายังไม่ทันได้เปิดเตาของข้าเลยแต่เจ้ากลับมาใช้ให้ข้ามอบสมุนไพรให้เสียแล้ว นี่จะไม่มั่นใจเกินไปหน่อยรึ?”


เขานั้นไม่เข้าใจจริงๆ ว่าฉีเฟิงไปเอาความมั่นใจผิดๆ แบบนี้มาจากไหน


หรือว่าการหลอมโอสถขั้นยอดเยี่ยมได้นั้นคือเป็นความชนะแล้ว?


ฉีเฟิงตอบมาอย่างเย้ยหยัน “ด้วยความยากของโอสถแปดเขาฟ้าคำรามการหลอมได้ถึงขั้นยอดเยี่ยมมันย่อมเป็นการชนะไปแล้ว! หรือว่าเจ้าจะบอกว่าตัวเองหลอมได้ถึงขั้นเทวะ? เลิกไร้สาระเสียที รีบๆ ส่งมันมา! หรือว่าต้องให้ข้าขอกำลังจากวิหารมาก่อนกัน!”


เย่หยวนส่ายหัวและอดไม่ได้ที่ต้องหัวเราะออกมา “ช่างเป็นกบในกะลาเสียจริงๆ! ในสายตาของเจ้าขั้นยอดเยี่ยมคงเป็นขั้นที่สูงสุดแล้วกระมัง?”


ฉีเฟิงเย้ยกลับ “ขั้นยอดเยี่ยมนั้นย่อมไม่ใช่คุณภาพสูงสุด แต่ไอ้คนอย่างเจ้ามีหรือจะหลอมขั้นเทวะได้?”


เย่หยวนถอนหายใจและพลิกฝ่ามือขึ้นส่งโอสถออกมาจากหม้อหลอม!


ตอนนี้กลิ่นอันคละคลุ้งเสียยิ่งกว่าเก่ากระจายไปทั่วทิศทาง!


ฉีเฟิงหน้าถอดสีทันทีที่ได้เห็นและต้องตะโกนขึ้น “ข-ขั้นสูงยอดเยี่ยม!”


เมื่อเย่หยวนเห็นโอสถของตัวเขากลับทำสีหน้าผิดหวังออกมาและส่ายหัว “สุดท้ายก็ยังไม่ชินมืออยู่ดี เกือบจะขยี้ขยะไม่ได้แล้ว”


แค่คำพูดเดียวนั้นมันก็ทำให้ฉีเฟิงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ


เมื่อมู่หยวนชุนเห็นเช่นโอสถที่เย่หยวนหลอมแล้วเขาก็หน้าซีดเผือดและร้องขึ้น “นี่มัน…เป็นไปได้อย่างไร? หรือว่าเรื่องเมื่อสิบกว่าวันก่อนนั้นจะยังไม่ใช่ฝีมือที่แท้จริงของมัน?”


เย่หยวนหันไปมอง “สิบกว่าวันก่อนนั้นย่อมเป็นขีดจำกัดของข้าแล้ว แต่เวลาผ่านไปตั้งสิบกว่าวันเจ้ายังคิดว่าข้าจะย่ำอยู่ที่เดิมหรือ?”


มู่หยวนชุนแทบสำลักเมื่อได้ยินเช่นนั้น


เวลาแค่ไม่กี่วันพัฒนาจากระดับความยากสองไปเป็นระดับความยากสี่ การพัฒนานี้มันจะไม่เร็วเกินไปหน่อยหรือ?


นี่มันคือช่องว่างระหว่างนักบวชฝึกหัดชั้นสูงกับนักบวชที่แท้จริง!


ฉีเฟิงนั้นใช้เวลาหลายพันปีกว่าที่จะข้ามผ่านช่องว่างนี้มาได้


แต่เย่หยวนคนนี้ใช้เวลาแค่ไม่กี่วัน?


มู่หยวนชุนแทบกระอักเลือดออกมาตรงนั้น


เย่หยวนมองดูฉีเฟิงด้วยรอยยิ้มที่แสนเยือกเย็น “ไอ้เด็กบ้านรวย ยอมแพ้สิ!”


ฉีเฟิงหน้าดำคล้ำเครียดและตอบกลับมาอย่างดุร้าย “เจ้า…เจ้าโกง! ข้าจะไปฟ้องท่านผู้อาวุโส!”


เย่หยวนได้แต่ตอบกลับไปอย่างหมดแรง “ข้าจะไปโกงอย่างไร? เจ้าเองแท้ๆ ที่มาท้าข้าดวลหลอมโอสถและสัญญาสาบานต่างๆ นาๆ อวดอ้างบอกว่าจะให้ข้าได้เห็นฝีมือของนักบวชที่แท้จริง ตอนนี้ข้าได้เห็นแล้ว เก่งกาจสมชื่อจริงๆ!”


“เอาล่ะ เจ้ายังไม่คิดว่ามันน่าอายพออีกเรอะ?! ส่งแต้มให้เย่หยวนและไสหัวไปได้แล้ว!”


ฉีเฟิงยังอยากจะเถียงต่อแต่กลับได้ยิ่งเสียงหนึ่งดังขึ้นมาราวสายฟ้าฟาด


ฉีเฟิงหันไปมองที่ต้นเสียงด้วยใบหน้าที่ขาวซีดก่อนจะก้มหัวลงจรดพื้น “ท-ท่านอาจารย์!”


“ผู้อาวุโสนิคุน!”


เย่หยวนเองก็ตกใจไม่น้อย เขาไม่นึกเหมือนกันว่าฉีเฟิงคนนี้จะเป็นศิษย์โดยตรงของผู้อาวุโสนิคุน


ดูท่าเขาคงไปเตะแผ่นเหล็กเขาเสียแล้ว


นิคุนหันไปมองฉีเฟิงอย่างเย็นชา “เจ้าไม่ได้ยินที่ข้าบอก?”


ฉีเฟิงหน้าซีดรีบตอบกลับไป “ขอรับท่านอาจารย์!”


ด้วยคำสั่งของนิคุน มีหรือที่เขาจะยังกล้าคัดค้านใดๆ? ฉีเฟิงรีบส่งแต้มให้เย่หยวนและวิ่งหนีหายลับไป


จากนั้นนิคุนก็บอกขึ้นมาอีก “พวกเจ้าไม่มีอะไรทำกันแล้วรึ? ถึงได้มานั่งดูอะไรแบบนี้?”


เมื่อทุกคนได้ยินพวกเขาก็รีบแยกย้ายกันไปทันที


เย่หยวนเองก็กำลังคิดจะหันหน้าเดินจากไป ก่อนที่นิคุนจะเรียกเขาไว้ด้วยท่าทางไม่เป็นมิตรนัก “เจ้าเด็กคนนี้ช่างยอดเยี่ยมจริง! แค่ไม่กี่วันเจ้ากลับสร้างปัญญาหาให้ข้าอย่างมากมายเสียแล้ว!”


เย่หยวนยิ้มตอบไป “ผู้อาวุโส ข้าไม่ได้สร้างปัญญา เป็นปัญญาต่างหากที่วิ่งเข้ามาหาข้า”


เขารู้ดีว่าคนเหล่านี้คงจับตามองตัวเขาอยู่อย่างใกล้ชิด และน่าจะรู้เรื่องราวที่เขาทำทั้งหมดอย่างดี


แต่เรื่องที่ผ่านมาในช่วงนี้จะมาโทษเขาฝ่ายเดียวก็คงไม่ถูกนัก


นิคุนบอกต่อ “มากับข้า! มีคนอยากพบเจ้า!”


เย่หยวนเบิกตาโพลงทันที เขารู้ได้เลยว่าของจริงกำลังจะเริ่มแล้ว!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)