Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1742-1749

ตอนที่ 1742 วิหารนักบวช

 

เมืองจักรพรรดิต้นทรราชนั้นเป็นเมืองจักรพรรดิระดับสูงในฝั่งที่ราบเทพอสูรใกล้เทือกเขาเทพอสูร


เผ่าอสูรนั้นแตกต่างจากมนุษย์ ด้วยความที่มีเผ่าพันธุ์อันหลากหลาย ความขัดแย้งจึงเกิดขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้


ที่สำคัญเผ่าอสูรบางเผ่ายังฉลาดปราดเปรื่องไม่ได้ด้อยไปกว่ามนุษย์เลยแม้แต่น้อย


เหล่าอสูรพวกนั้นจะแปลงกายเป็นมนุษย์และสร้างรูปร่างหน้าตาของตัวเองขึ้น


เพราะฉะนั้นในที่ราบเทพอสูรนี้มันจึงเกิดเมืองต่างๆ ขึ้นมาตามๆ กัน


เหมือนกับมนุษย์


แน่นอนว่ามันยังมีเผ่าอสูรแสนฉลาดบางเผ่าที่ไม่คิดอยากจะแปลงกาย


พวกเขาทั้งหลายนั้นจะใช้ชีวิตอยู่บนเทือกเขาเทพอสูร ปกครองดินแดนแสนกว้างใหญ่ ปกครองเหล่าสัตว์อสูรทั้งหลาย


นอกวิหารนักบวชของเมืองจักรพรรดิต้นทรราช มีกลุ่มอสูรหนุ่มกำลังเดินออกมาด้วยสีหน้าหมดแรง


วันนี้เป็นวันที่ทางวิหารนักบวชจะเปิดรับศิษย์ ทำให้เหล่าอสูรหนุ่มทั้งหลายต่างมารวมตัวกันที่วิหารนักบวชเพื่อเข้ารับการทดสอบ อยากจะเป็นนักบวชฝึกหัด


ในเผ่าอสูรนี้นักบวชจากวิหารนักบวชนั้นเป็นสิ่งที่แสนจะสูงส่ง


วิหารนักบวชนั้นคล้ายกับสมาคมนักหลอมโอสถของฝั่งมนุษย์ แต่มันก็แตกต่างกัน


ต่อให้อสูรตนใดจะสามารถทำการหลอมโอสถได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะเป็นนักบวชได้


พวกเขาต้องมีฝีมือระดับหนึ่งและได้รับการยอมรับจากทางผู้อาวุโสของวิหารเท่านั้น พวกเขาเหล่านั้นจึงจะได้เป็นนักบวชอย่างแท้จริง


เมื่อได้เห็นนักบวชแล้ว พวกเขาก็จะนับได้ว่ามีสถานะสูงส่งอย่างมากในหมู่เผ่าอสูรด้วยกัน


แต่ให้จะเป็นอสูรที่ยังไม่สามารถแปลงกายได้ แต่พวกเขาเหล่านั้นก็ไม่กล้าที่จะมาลบหลู่นักบวชง่ายๆ


เพราะว่าวิหารนักบวชนั้นมันถูกสร้างขึ้นมาจากขั้วอำนาจอันแสนยิ่งใหญ่ในเผ่าอสูร มันจึงมีตำแหน่งและสถานะสูงส่งมากในเผ่าอสูร


“เห็นนั่นไหม? นั่นมันนักบวชฝึกหัดกงหลินที่ท่านอาจารย์ฮั่วหรงรับเข้าไปคราก่อน ข้าได้ยินมาว่าเขาได้ขึ้นเป็นนักบวชแล้วเมื่อปีก่อน”


“ข้าล่ะอิจฉาเขาจริงๆ! นักบวชฝึกหัดนี่มันจะสอบยากเกินไปแล้ว ข้าอุตส่าห์ลงสอบตั้งหลายสิบครั้งก็ยังไม่ผ่านเสียที!”


“เจ้ายังเคยเข้าสอบแค่สิบกว่าครั้ง? ข้านี่สอบมาเป็นร้อยครั้งแล้วแต่ก็ยังไม่ผ่านเสียที!”


“เฮอะ เหมือนกันแหละ! การสอบแต่ละครั้งมันล้วนมีตัวเต็งชนะมาก่อนแล้ว และคราวนี้มันก็คงไม่พ้นมู่หยวนชุนใช่ไหม?”



เหล่าอสูรหนุ่มกำลังคุยกันอย่างดุเดือด บ่นออกมาตามๆ กันว่าการสอบนักบวชฝึกหัดมันแสนจะยากเย็น


ดูท่าแล้วการจะขึ้นเป็นนักบวชในเผ่าอสูรนี้มันคงไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ


การทดสอบของนักบวชฝึกหัดนี้มันจะเกิดขึ้นทุกๆ สิบปี หากไม่ผ่านหลายสิบหลายร้อยรอบมันก็เท่ากับว่าเสียเวลาไปกว่าพันปี


และการใช้เวลากว่าพันปีกับอะไรบางอย่างและยังไม่สามารถขึ้นไปได้ถึงจุดเริ่มต้น มันก็แสดงได้อย่างดีแล้วว่าเรื่องที่กำลังทำนั้นมันยากเย็นเพียงใด


ตอนนั้นก็มีร่างหนึ่งเดินผ่านเข้าไปในวิหารทำให้ผู้คนต้องมองตามอย่างอดไม่ได้


“เอะ มนุษย์! ทำไมมนุษย์ถึงมายังวิหารนักบวชกัน?”


“เขาเดินไปทางโต๊ะรับสมัคร หรือว่า…เขาคิดที่จะสมัครการสอบนักบวช?”


“ฮ่าๆ เจ้ามนุษย์นี่สมองเพี้ยนหรือ? มนุษย์จะไปหลอมโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร?”


“มนุษย์พลังบ่มเพาะแค่อาณาจักรราชันพระเจ้าสี่ดาวกลับไม่ตายตั้งแต่หน้าประตูเมือง แค่เรื่องนี้มันก็ปาฏิหาริย์แล้ว!”



แน่นอนว่ามนุษย์คนที่กำลังถูกพูดถึงนี้มันไม่ใช่ใครที่ไหนนอกไปเสียจากเย่หยวนที่มาถึงยังที่ราบเทพอสูรผ่านทางเทือกเขาเทพอสูร


เย่หยวนถามถึงเส้นทางที่ปลอดภัยจากพวกด้วนเผิงและในที่สุดก็ผ่านเทือกเขาเทพอสูรมาได้อย่างปลอดภัย


แต่ว่าที่ราบเทพอสูรนั้นเป็นพื้นที่แสนกว้างใหญ่ หากอยากหาอิ้งหมัวหู่ให้เจอแล้วมันคงเป็นเรื่องที่ยากราวงมเข็มในมหาสมุทร


และเย่หยวนก็ได้ยินเรื่องของวิหารนักบวชจากหวู่เฉินมา เขาจึงคิดวิธีได้ว่าเขาจะใช้เส้นสายพลังที่ยิ่งใหญ่ของวิหารนักบวชนี้ในการช่วยตามหาตัวอิ้งหมัวหู่ นั่นทำให้เย่หยวนเลือกที่จะเดินทางมาเข้าร่วมการทดสอบนักบวชฝึกหัดที่กำลังจัดขึ้นพอดี


“ผู้อาวุโส ข้าอยากลงสมัครเข้าสอบเป็นนักบวช” เย่หยวนบอกออกมาต่อชายแก่ที่โต๊ะรับสมัคร


ชายแก่หันมามองเย่หยวนด้วยสายตาแปลกๆ ก่อนจะส่ายหัวออกมา “มนุษย์จะมาทำประโยชน์อะไรให้วิหารนักบวชเราได้? ไปเสียเถอะ หากยังคิดสร้างเรื่องราวใดต่ออย่าหาว่าเฒ่าคนนี้เสียมารยาท!”


เย่หยวนยิ้มและปล่อยปราณอสูรเทวะออกมา


นั่นทำให้เฒ่าคนนั้นหน้าเปลี่ยนสีและถามขึ้นมาอย่างมึนงง “ทำไมมนุษย์เช่นเจ้าจึงได้มีปราณอสูรเทวะที่บริสุทธิ์ขนาดนี้กัน?”


เพราะว่าร่างกายของพวกอสูรนั้นแตกต่างจากมนุษย์ไปอย่างสิ้นเชิง พวกเขามีปราณที่แตกต่างกัน แยกออกได้อย่างง่ายดาย


เย่หยวนยิ้มตอบ “ผู้น้อยนั้นแท้จริงแล้วเป็นลูกครึ่งอสูร เรื่องปราณอสูรเทวะนั้นจึงมิใช่ปัญหาเลย”


การที่เย่หยวนมีปราณอสูรเทวะนั้นย่อมไม่ใช่เพราะว่าเขามีสายเลือดอสูรใดๆ เพียงแต่เพราะว่าปราณเทวะโกลาหลของเขานั่นเอง


เฒ่าคนนั้นหันมามองเย่หยวนอย่างสงสัย “เช่นนั้นเจ้าคงใช้ชีวิตในแดนมนุษย์มาแสนนาน? โอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์นั้นมันไม่ใช่ของง่ายๆ ที่ใครอยากทำก็หลอมทำได้ในทันทีที่เริ่มเรียนนะ! เห็นพวกนั้นไหม? บ้างฝึกฝนมานับพันปีแต่ก็ยังหลอมโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์ที่มีคุณภาพไม่ได้ เจ้าน่ะ…ลืมเรื่องนี้ไปเสียเถอะ!”


ชายเฒ่าคนนี้มีหน้าที่ในการรับสมัคร เขาย่อมต้องมีหน้าที่คัดกรองผู้สมัครไปด้วยในระดับหนึ่ง


หากให้หมูหมากาไก่ไร้ที่มาไร้ฝีมือเข้าร่วมการทดสอบ การทดสอบนักบวชนี้มันคงไร้ค่าลงมาก


เย่หยวนเองก็เข้าใจถึงความกังวลในเรื่องนี้ของชายชราได้ทันทีและตอบออกมาด้วยรอยยิ้ม


“ท่านผู้อาวุโสโปรดวางใจ หากข้าไม่ผ่านข้าพร้อมที่จะรับการลงทัณฑ์จากวิหารนักบวชเต็มที่!”


นั่นทำให้ชายชราผงะไปเล็กน้อย แต่เขาก็หัวเราะออกมาในที่สุด “หึ ช่างอวดอ้างไร้ยางอาย! ด้วยอายุของเจ้านั้นต่อให้เป็นในหมู่นักหลอมโอสถฝั่งมนุษย์ เจ้าเองก็คงนับว่าเป็นคนหนุ่มมากใช่ไหม? โอสถศักดิ์สิทธิ์และโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์นั้นมันแตกต่างกันคนละเรื่องด้วยการหลอมคนละระบบ แล้วคนอย่างเจ้าเนี่ยนะคิดอยากผ่านการทดสอบของวิหารนักบวช?”


ที่ด้านหลังเย่หยวนปรากฏอสูรหนุ่มคนหนึ่งขึ้น ใบหน้าของเขาเปี่ยมไปด้วยความดูถูก เขาคนนี้ก็คือมู่หยวนชุนที่ทุกผู้คนพูดถึงนั่นเอง


โอสถศักดิ์สิทธิ์และโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์นั้นมันหลอมขึ้นด้วยระบบที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงจริงๆ


มันเป็นไปไม่ได้เลยที่มนุษย์จะมาทำการหลอมโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์


ฝั่งเผ่าปีศาจนั้นยังมีระบบที่คล้ายกับมนุษย์ การหลอมของพวกเขาเองก็ได้รับสืบทอดวิทยาการมาจากมนุษย์มันจึงไม่ได้แตกต่างกันมากมาย


เพราะฉะนั้นเย่หยวนจึงใช้วิถีโอสถของคนสร้างชื่อเสียงไปทั่วทั้งเผ่าปีศาจได้ ถึงกับทำให้เหล่าผู้นำของเผ่าปีศาจต้องหันมาสนใจ


แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แบบนั้น!


แม้ว่าเย่หยวนจะสามารถเข้าใจในศาสตร์ของโอสถอสูรอย่างมากตอนที่ยังอยู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์


แต่หลังจากเหล่าอสูรขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้ามาได้รากฐานของพวกเขาก็จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ทำให้การหลอมโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์นั้นมันแตกต่างจากตอนที่พวกเขายังเป็นอสูรธรรมดานัก


แม้แต่จอมเทพนิรันดร์เองก็ไม่สามารถที่จะหลอมโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์ได้เลยเพราะว่าตัวเขานั้นไร้ซึ่งปราณอสูรเทวะ


เพราะเช่นนั้นเองนี่แหละเย่หยวนจึงได้มาร่วมการทดสอบของวิหารนักบวชที่ดูเหมือนจะเป็นการทดสอบระดับต่ำที่สุด


เพราะครานี้เย่หยวนพร้อมเรียนรู้ทุกอย่างตั้งแต่ต้นใหม่


เพราะเอาจริงๆ เขาเองก็ไม่เข้าใจโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์ใดๆ เลย


แน่นอนว่าตอนนี้ขอบเขตความรู้ด้านโอสถของเย่หยวนนั้นมันแตกต่างอย่างเทียบไม่ได้กับนักหลอมโอสถทั่วๆ ไปแล้ว


หากให้เทียบก็คงเป็น ‘แม่น้ำทุกสายย่อมไหลลงทะเล’


ความเข้าใจในศาสตร์แห่งโอสถของเย่หยวนนั้นมันเหนือล้ำจนถึงขั้นเห็นเหตุการณ์ก็รู้ถึงหลักการได้


แม้ว่าระบบการหลอมโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์นั้นจะแตกต่างไป แต่มันก็ยังเป็นการหลอมโอสถอย่างหนึ่งเช่นกัน


เย่หยวนมีความมั่นใจมากว่าตัวเองจะเข้าใจมันได้มากพอที่จะทำให้วิหารนักบวชยอมรับในตัวเขา


เย่หยวนหันไปมองดูที่มู่หยวนชุน “พลังในการหลอมโอสถนั้นเกี่ยวข้องอะไรกับพลังฝีมือไหม?”


มู่หยวนชุนหัวเราะ “บ้าบอ! แน่นอนสิว่าเกี่ยว พลังในวิถีโอสถนั้นมันเกิดขึ้นมาจากการสั่งสมบ่มเพาะนานปี! แค่เรื่องนี้เจ้ายังไม่เข้าใจแล้วเจ้ายังคิดจะเข้ารับการทดสอบอีกรึ? ข้าล่ะหมดคำจะพูดกับตัวปัญหาอย่างเจ้าจริงๆ!”


เย่หยวนตอบกลับไป “งั้นข้าจะบอกเจ้าให้ สามัญสำนึกของเจ้ามันใช้ไม่ได้กับทุกคนหรอกนะ!”



 

 

 


ตอนที่ 1743 เผากระดาษ

 

“ฮ่าๆๆ ช่างเป็นเด็กที่อวดดีเสียเหลือเกิน! ถึงขั้นกล้าพูดแบบนี้ออกมาหน้าวิหารนักบวช เจ้าไม่คิดจะเห็นเหล่าผู้อาวุโสท่านอยู่ในสายตาเลยใช่ไหม?” มู่หยวนชุนหัวเราะ


เพราะเหล่าผู้อาวุโสแห่งวิหารนักบวชนั้นล้วนแล้วแต่ใช้เวลานานหลายต่อหลายปีในการฝึกฝนวิชาโอสถมา


ไม่ว่าจะเป็นเผ่ามนุษย์หรือเผ่าอสูร สุดท้ายแล้วนักหลอมโอสถมันก็คืออาชีพที่ต้องใช้เวลาฝึกฝนตัวอย่างมากอาชีพหนึ่ง เป็นเรื่องที่ทุกผู้คนต่างรู้ดี


แต่เย่หยวนกลับมาพูดจาอวดดีเช่นนี้!


เรื่องนี้ทำให้เหล่าอสูรหนุ่มทั้งหลายต่างหันมาชี้หน้าเย่หยวนและว่ากล่าวไปต่างๆ นาๆ


ไม่ใช่ว่าเย่หยวนนั้นเกิดอยากอวดดีขึ้นมา แต่เป็นเพราะว่าเขาอยากจะยืมพลังของวิหารนักบวชมากจริงๆ เขาจึงเลือกที่จะดึงดูดความสนใจผู้หลักผู้ใหญ่ของวิหารมาให้ได้


เพราะเหล่าอัจฉริยะทั่วๆ ไปจะมีปัญญาพูดแบบนี้หรือ?


เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว เขาก็ต้องทำตัวเองให้เด่นมากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อให้เหล่าผู้อาวุโสในวิหารนักบวชได้เห็นความสามารถ!


ถึงแม้ตอนนี้เขาจะยังไม่มีปัญญาไปพูดเรื่องความสามารถใดๆ ก็ตาม


เย่หยวนบอกกลับไป “อย่ามาพูดกันให้มากความอีกเลย สุดท้ายนี่ก็เป็นการสอบ ผลลัพธ์ย่อมเหนือคำพูดอยู่แล้ว”


เฒ่าที่ทำหน้าที่รับสมัครจึงถามขึ้น “เจ้าหนุ่ม หากข้ารู้ว่าเจ้าแค่คิดมาป่วนวิหารนักบวชเราเจ้าจะได้เจอดีแน่!”


เย่หยวนพยักหน้ารับ “ผู้น้อยย่อมรู้ถึงเรื่องนั้นดี!”


ชายแก่จึงถาม “เจ้ามีนามว่า?”


“เย่หยวน!”


ชายแก่คนนั้นพยักหน้ารับและโยนป้ายไม้ไปให้เย่หยวน


เย่หยวนรับป้ายมาและเข้าไปต่อแถวอยู่ในตำแหน่งท้ายสุด


ในกลุ่มยอดอสูรที่มากันวันนี้ เย่หยวนมองดูพวกเขาอยากตื่นตา


ตอนนี้บนที่นั่งเหนือวิหารนั้นมีชายชราสามคนปรากฏตัวขึ้น คลื่นพลังที่ออกมาจากร่างของพวกเขาทั้งหลายนี้ช่างเหนือล้ำ


ชายชราทั้งสามนี่แต่งตัวด้วยชุดนักบวชวีม่วง พร้อมดาวห้าดวงบนอก นั่นแสดงว่าพวกเขาทั้งสามนี้คือนักบวชห้าดาว และยังเป็นผู้อาวุโสของวิหารด้วย!”


ผู้อาวุโสคนตรงกลางค่อยๆ เปิดปากขึ้นพูด “กงหลิน เริ่ม!”


กงหลินก้มหัวรับคำสั่ง “ขอรับท่านอาจารย์!”


ได้เห็นเช่นนั้นเหล่าอสูรที่ด้านล่างก็เริ่มประหม่ากันขึ้นมา


กงหลินเดินไปที่ด้านหน้าผู้คนและกล่าวขึ้นอย่างชัดเจน “เริ่มการสอบนักบวชฝึกหัดได้ รอบแรกเป็นการสอบควบคุมไฟ! ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าทั้งหลายย่อมคุ้นเคยกับมันดี มันจะมีกระดาษอยู่ทั้งหมดสามแบบที่ทำมาจากไม้ที่ต่างกันไป คือไม้ไหมทองเทวะ ไม้หอมควันม่วงเทวะและไม้หลิวเมฆา พวกเจ้าจงเลือกมันตามพลังฝีมือของตน ตราบเท่าที่พวกเจ้าไม่เผามันจนไหม้ ก็จะถือว่าผ่าน! แต่ข้าต้องขอเตือนไว้ด้วยว่าพวกเจ้าจงเลือกตามฝีมือของตัวเองให้ดี การเลือกกระดาษนี้เหล่าผู้อาวุโสจะคอจับตามองมันอย่างดี มันจะเป็นตัวตัดสินทรัพยากรต่างๆ ที่เจ้าจะได้หลังจากเจ้ามาเป็นนักบวชฝึกหัดแล้ว เพราะเช่นนั้นจงแสดงพลังฝีมือที่ตัวเองมีออกมาให้ถึงที่สุด ให้เหล่าผู้อาวุโสท่านได้เห็น! แต่ละคนมีโอกาสสองครั้ง เริ่มได้!”


เย่หยวนมองดูที่กระดาษตรงหน้าด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง


เพราะไม้เทวะทั้งสามชนิดนี้มันแตกต่างกันอย่างมาก ความต้านทานความร้อนของไม้แต่ละชนิดหลังจากทำมาเป็นกระดาษมันจึงย่อมแตกต่างกันไป


การใช้ไฟศักดิ์สิทธิ์เผากระดาษไม่ให้ไหม้นั้นมันหมายความว่านักหลอมโอสถผู้นั้นต้องมีเทคนิคการควบคุมไฟชั้นสูง


แค่ประมาทนิดเดียวมันก็จะเปลี่ยนให้กระดาษกลายเป็นเถ้าได้


เพราะอย่างไรเสียไฟศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่นั้นมันก็รุนแรงมากพอที่จะเผานักยุทธระดับสามลงได้อย่างง่ายดาย ไม่ต้องพูดถึงกระดาษที่บางราวปีกแมลงนี้เลย


การทดสอบเช่นนี้มันเป็นอะไรที่ยากเย็นมากจริงๆ ทดสอบความแม่นยำและความบริสุทธิ์ ช่วยเปิดหูเปิดตาเย่หยวนอย่างมาก


แต่การควบคุมไฟนั้นมันง่ายแสนง่ายสำหรับเขา


ภายใต้คำของกงหลิน เหล่าอสูรหนุ่มทั้งหลายต่างเริ่มออกมาทำการทดสอบไปทีละคนๆ แต่ส่วนมากที่พวกเขาเลือกนั้นก็จะเป็นกระดาษที่ทำจากไม้ไหมทองเทวะ


ในไม้ทั้งสามนี้ ไม้ไหมทองเทวะทนไฟได้ดีที่สุด ส่วนไม้หลิวเมฆาทนไฟได้น้อยสุด


หมายความว่าพวกเขาทั้งหลายเลือกที่จะใช้ของง่าย เช่นนี้แล้วมันก็คงไม่ไหม้ไปง่ายๆ


เย่หยวนมองดูเหล่าอัจฉริยะทั้งหลายนี้ควบคุมไฟและได้แต่ส่ายหัวออกมา


อ่อนเกิน!


แม้ว่าเผ่าอสูรจะมีการสร้างระบบหลอมโอสถของตนขึ้นมาเอง แต่พวกเขาก็ไม่ได้ดีกว่าเผ่าปีศาจมากนัก เผ่าอสูรนั้นยังมีฝีมือที่หยาบกระด้างมากหากเอาไปเทียบกับเผ่ามนุษย์


งานละเอียดอ่อนเช่นนี้ พวกเขายังคงทาบมนุษย์ไม่ติด


แต่อย่างน้อยๆ พวกเผ่าอสูรก็ยังเก่งกว่าเผ่าปีศาจ


“พระเจ้าช่วย! อีกนิดเดียว!”


“อย่าไหม้นะ อย่าไหม้! พระเจ้าช่วย!”


“ให้ตายเถอะ ทำไมมันถึงไหม้อีกแล้วเล่า? สิบปีของข้าสูญเปล่าอีกแล้ว!”



เหล่าอสูรนับร้อยกำลังรวมตัวกันอยู่ในโถงใหญ่


แต่คนส่วนมากนั้นไม่สามารถจะผ่านการทดสอบด้วยกระดาษจากไม้ไหมทองเทวะเสียด้วยซ้ำ


แต่มันก็มีคนเก่งๆ บ้างที่พอจะผ่านไปด้วยกระดาษจากไม้ไหมทองเทวะ


และคนที่ผ่านด้วยกระดาษจากไม้หอมควันม่วงเทวะยิ่งมีน้อยเข้าไปอีก!


“ต่อไป มู่หยวนชุน!” กงหลินตะโกนบอก


ในที่สุดมู่หยวนชุนก็เดินขึ้นสนามมา


มู่หยวนชุนหันมามองเย่หยวนด้วยรอยยิ้มอันเหนือกว่า “เด็กน้อย เจ้าเบิกตาดูให้ดีว่านายน้อยคนนี้ควบคุมไฟอย่างไร!”


เย่หยวนยิ้มและไม่คิดจะตอบใดๆ


มู่หยวนชุนรู้สึกเหมือนตัวเองต่อยอากาศเข้าจึงรู้สึกไม่ค่อยดีนัก


เขาเดินขึ้นไปหยิบกระดาษจากไม้หลิวเมฆาและนั่นทำให้เกิดเสียงฮือฮาขึ้นทันที


“พระเจ้าช่วย มู่หยวนชุนคิดจะท้าทายกระดาษจากไม้หลิวเมฆา พลังฝีมือของเขามันน่ากลัวปานนี้เลยหรือ?”


“ได้ยินว่าคราวก่อนนักบวชกงหลินเองก็ท้าทายกระดาษจากไม้หลิวเมฆาเช่นกัน เรื่องนั้นมันยังพูดกันมาจนทุกวันนี้!”


“หึ เจ้าจะไปรู้อะไร? ข้าได้ยินว่าผู้อาวุโสฉีหยูนั้นตัดสินใจรับเขาเป็นศิษย์มาก่อนแล้ว หากเขาไม่มีฝีมือถึงขั้นนี้เขาจะมีปัญญาได้รับตำแหน่งนั้นมาหรือ?”



สำหรับเหล่าอัจฉริยะหนุ่มเหล่านี้แล้ว กระดาษที่ทำจากไม้หลิวเมฆานั้นมันยากจนเกินไป


เพราะแม้แต่นักบวชฝึกหัดบางคนก็ยังไม่มีปัญญาจะผ่านการทดสอบนี้


คนที่ท้าทายและผ่านไปได้นั้นล้วนแล้วแต่กลายเป็นยอดอัจฉริยะของโลกโอสถฝั่งอสูร


หลังจากเข้าวิหารนักบวชไปได้ พวกเขาทั้งหลายนี้จะได้รับการปฏิบัติอย่างสูงส่ง


เหมือนกงหลิน เพราะหลังจากเขาท้าทายไม้หลิวเมฆาได้แล้วเขาก็ถูกผู้อาวุโสรับไปเป็นศิษย์ตรงทันที อีกไม่กี่ต่อมาก็ได้กลายเป็นนักบวชได้


เพราะต่อให้คนทั่วๆ ไปจะผ่านการทดสอบไปได้ ต่อให้เวลาผ่านไปเป็นร้อยๆ ปีพวกเขาก็คงยังเป็นได้แค่นักบวชฝึกหัด


ทุกคนได้แต่กลั้นใจมองดูมู่หยวนชุน


มู่หยวนชุนนั้นมั่นใจมาก ไฟสีฟ้าค่อยๆ ลุกขึ้นจากมือของเขาอย่างอ่อนโยนราวสายน้ำ


กระดาษจากไม้หลิวเมฆานั้นติดไฟอย่างเงียบงัน แต่กลับไม่มีรอยไหม้ใดๆ


ไฟสีฟ้านั้นไหลไปเหมือนสายน้ำ กระจายตัวไปทั่วกระดาษทั้งแผ่นจนปกคลุมกระดาษไปได้ทุกมุม


เมื่อเหล่าอัจฉริยะคนอื่นได้เห็นภาพนี้ พวกเขาก็ได้แต่มองดูมันอย่างตื่นตะลึงจนตาแทบหลุดออกมาจากเบ้า


“ช่างเป็นเทคนิคการคุมไฟที่สุดยอดอะไรเช่นนี้ ถึงกับไม่มีรอยไหม้ใดๆ เลย!”


“ข้าเองก็เคยเห็นกงหลินคุมไฟเมื่อคราวก่อน และมู่หยวนชุนในตอนนี้ก็ไม่ได้อ่อนแอกว่าเขาเลย!”


“ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงได้รับเป็นศิษย์ก่อนจะผ่าน ที่แท้พลังฝีมือของเขาก็เป็นของจริง”



บนที่นั่งสูงนั้นผู้อาวุโสทั้งสามต่างพยักหน้าออกมาด้วยท่าทางที่แสนพอใจกับมู่หยวนชุนมาก


ขนาดเย่หยวนยังอดไม่ได้ที่จะพยักหน้าตาม


การคุมไฟของมู่หยวนชุนนี้เหนือล้ำสมควรแก่คำชมจริงๆ


ไม่นานนักมู่หยวนชุนก็หุบมือตัวเองและปล่อยให้กระดาษลอยไว้ตรงนั้น


กงหลินรับมันไปมองดู ก่อนจะพยักหน้าออกมาและยิ้มบอก “ควบคุมอุณหภูมิได้เยี่ยม ไม่มีร่องรอยความเสียหาย ผ่าน! ศิษย์น้องมู่ อีกไม่นานเราคงได้เป็นศิษย์พี่น้องกันแล้ว!”


มู่หยวนชุนก้มหัวลงอย่างนอบน้อม “หยวนชุนคารวะศิษย์พี่กงหลิน!”


กงหลินยิ้มตอบ “อีกสองรอบหลังเจ้าก็จงทำให้ได้ดีเช่นนี้ อาจารย์ของเรามองดูอยู่นะ!”


มู่หยวนชุนตอบกลับ “ขอรับศิษย์พี่!”


ดูท่าแล้วตอนนี้มู่หยวนชุนคงคิดว่าตัวเป็นได้เป็นศิษย์ของผู้อาวุโสแน่แล้ว


เมื่อทุกคนได้เห็นภาพนั้นพวกเขาก็อดไม่ได้ที่แสดงท่าทางตกตะลึงออกมา


ไม่มีมูลฝอยหมาไม่ขี้ ดูท่ามันจะเป็นเรื่องจริงแล้ว!



 

 

 


ตอนที่ 1744 ของสามัญ

 

“เห็นไหมไอ้เด็กน้อย? ปากเก่งมือต้องเก่งด้วย! หากเจ้าผ่านกระดาษจากไม้หอมควันม่วงเทวะได้ข้าจะถือว่าข้าแพ้ให้เลย!”


หลังจากกลับมามู่หยวนชุนก็มีท่าทางพึงพอใจอย่างมาก และกลับมาเย้ยหยันเย่หยวนต่อ


ด้วยพลังฝีมือของเขา เรื่องผ่านการทดสอบนั้นมันง่ายแสนง่าย


สุดท้ายแล้วการทดสอบนี้มันก็แค่ทำเรื่องราวให้เป็นทางการเท่านั้น


กงหลินพูดกับมู่หยวนชุนราวกับว่าเขานั้นเป็นศิษย์น้องไปแล้วต่อหน้าผู้คน การปฏิบัติเช่นนี้ย่อมมิใช่ทุกคนที่จะได้รับมัน


เพราะฉะนั้นตอนนี้มู่หยวนชุนจึงยิ่งผยองตัวอย่างถึงที่สุด


แน่นอนว่าไม่มีใครมองว่าเขาอวดดี ตอนนี้ทุกสายตาที่มองมานั้นมันเปี่ยมไปด้วยความนับถือเสียด้วยซ้ำ


เย่หยวนมองดูที่เขาและกล่าวขึ้น “งั้นเจ้าคงแพ้แน่”


เมื่อมู่หยวนชุนได้ยินเขาก็หัวเราะลั่นออกมา “ช่างคิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่เสียจริงๆ! โอหัง ลองทำตัวโอหังเช่นนี้ต่อไปเถอะ! ข้าอยากรู้จริงๆ ว่าเจ้าจะรักษาหน้านั้นไว้ได้จนจบไหม!”


ได้ยินแบบนั้นเย่หยวนก็แค่ยักไหล่ตอบกลับไปโดยไม่พูดอะไร


“ต่อไป เย่หยวน!”


สุดท้ายเย่หยวนก็ขึ้นมาบนสนามบ้าง ตอนนี้สายตาทุกคู่กำลังมองมาที่เขาด้วยความสงสาร


ในโลกของนักหลอมโอสถมันมีอัจฉริยะไหม?


มี!


มู่หยวนชุนนี่แหละอัจฉริยะ!


แต่แม้จะเป็นอัจฉริยะแค่ไหนมันก็ยังต้องใช้เวลาในการฝึกฝนอย่างมากมาย


การที่มู่หยวนชุนมีฝีมือได้อย่างทุกวันนี้ เขานั้นย่อมไม่ได้มันมาแค่ชั่วข้ามคืน เขาต้องทำการฝึกฝนตัวมาอย่างยาวนาน


เพราะฉะนั้นเมื่อได้ยินว่าเรื่องเช่นนั้นมันไม่นับรวมตัวเขาไปด้วย ทุกผู้คนจึงไม่เห็นด้วยอย่างมาก


เพราะอย่างไรเสีย แม้จะเป็นมู่หยวนชุน ตอนที่เขายังอายุเท่าเย่หยวนตอนนี้นั้นเขาก็ไม่มีปัญญาจะผ่านการทดสอบกับกระดาษไม้หอมควันม่วงเทวะไปเช่นกัน


ยิ่งไม้หลิวเมฆาแล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึง


เย่หยวนค่อยๆ เดินขึ้นไปต่อหน้ากงหลิน ก่อนที่กงหลินจะบอกออกมา “เจ้าเลือก”


ภาพเมื่อสักครู่นี้กงหลินย่อมมองเห็นมันอย่างชัดเจน


คำพูดของเย่หยวนนั้น ตัวเขาเองก็ไม่เห็นด้วยอย่างมาก


“ข้าขอเลือกอย่างอื่นที่ไม่อยู่ในสามตัวเลือกนี้ได้หรือไม่?” เย่หยวนไม่คิดจะเลือกและหันไปถามกงหลินแทน


กงหลินขมวดคิ้วแน่น “มาล้อกันเล่นเรอะ! กฎของการทดสอบย่อมถูกตั้งขึ้นจากทางวิหาร จะเปลี่ยนได้อย่างไร? เจ้าคงมาที่นี่เพื่อหาเรื่องจริงๆ เสียแล้วใช่ไหม?”


เห็นแบบนั้นเหล่าผู้เข้าสอบคนอื่นเองก็ยิ้มออกมา


ตอนนี้พวกเขาทั้งหลายมั่นใจแล้วว่าเย่หยวนมาเพื่อหาเรื่องผู้คนแน่ๆ


เย่หยวนตอบออกไปอย่างเย็นชา “พี่กงท่านบอกเมื่อสักครู่ว่าให้ใช้ความสามารถออกมาให้หมด ข้าเกรงว่าแค่ไม้สามประเภทนี้มันจะทำให้ข้าแสดงฝีมือออกมาได้ไม่หมดเท่านั้น”


เมื่อกงหลินได้ยินเขาก็หัวเราะขึ้นมาด้วยความโกรธ “เรอะ? งั้นต้องไม้แบบไหนเจ้าถึงจะแสดงฝีมือออกมาได้เต็มที่กัน?”


เย่หยวนหยุดคิดและบอก “พวกท่านมีกระดาษระดับสามัญหรือไม่?”


เมื่อคำพูดนั้นถูกกล่าว เสียงฮือฮาก็ดังขึ้นมาทันที


ไม้ที่ติดไฟง่ายกว่าไม้หลิวเมฆานั้นมีมากมาย


แต่ไม้ระดับสามัญ เรื่องนั้นมันไม่มีทางเป็นไปได้เลย


เจ้าหมอนี่มันมาเล่นตลกใช่ไหม?


อะไรคือของสามัญ?


มันคือของที่แม้จะโดนแค่เปลวความร้อนจากไฟศักดิ์สิทธิ์ ของสิ่งนั้นก็จะไหม้เป็นจุลได้ทันที!


การใช้ไฟศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่เผากระดาษระดับสามัญนั้น เจ้าหมอนี่สมองยังใช้งานได้ดีอยู่รึเปล่า?


หลังจากตื่นตกใจแล้วพวกเขาทั้งหลายก็เริ่มทำการเยาะเย้ยดูถูก


กงหลินนั้นแทบทนไม่ไหวจนต้องระเบิดอารมณ์ออกมา “เจ้าโง่เง่าตาบอด กล้ามาลองดีกับวิหารนักบวชเรา!”


พูดจบกงหลินก็กำลังจะลงมือจัดการเย่หยวน แต่เย่หยวนกลับยิ้มออกมา “เรื่องที่ว่าข้าจะมาลองดีกับวิหารหรือไม่ ท่านก็น่าจะรอให้ข้าได้ทดสอบก่อนแล้วค่อยตัดสินใช่ไหม? เรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้พี่กงท่านรอไม่ได้เลยหรือ?”


กงหลินยิ้มออกมาอย่างเย็นเยือก “กระดาษสามัญนั้นแม้แต่ผู้อาวุโสท่านยังทำไม่ได้ แค่เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างเจ้าจะมีปัญญาอะไร?”


“หึๆ ข้าบอกแล้ว ไอ้เด็กคนนี้มันมาก่อเรื่องชัดๆ! ศิษย์พี่กงหลิน ท่านจัดการมันลงเถอะ!” ตอนนี้มู่หยวนชุนก็พูดเสริมขึ้นมาอีก


กงหลินกำลังจะลงมือแต่จู่ๆ ผู้อาวุโสฉีหยูที่นั่งอยู่ก็กล่าวขึ้นมา


เขาบอกว่า “กงหลิน ให้เขาลอง”


กงหลินหน้าถอดสีทันทีและหันไปก้มหัวให้ “ขอรับท่านอาจารย์!”


เขาไม่เข้าใจเลย ดูอย่างไรเด็กคนนี้มันก็มาก่อเรื่องแท้ๆ ทำไมอาจารย์ของเขาถึงได้คิดให้โอกาสเย่หยวนคนนี้?


ไม่นานนัก คนรับใช้ก็ไปหากระดาษระดับสามัญแผ่นเปล่าๆ มาได้


เย่หยวนรับมันไปมองดู “สามัญชั้นเก้า อ่า…ช่างเถอะ เอาแค่นี้ก็ได้”


กงหลินหัวเราะเมื่อเห็นภาพตรงหน้านี้ “หรือเจ้าจะอยากได้กระดาษสามัญชั้นหนึ่ง?”


เย่หยวนยิ้ม “หากท่านหาได้ข้าก็ย่อมใช้มันได้”


กงหลินตะโกนออกมาอย่างรุนแรงในทันที “โอหัง!”


เย่หยวนตอบ “นักหลอมโอสถนั้นต้องมีจิตใจที่สงบนิ่ง พี่กงนั้นโกรธง่ายเสียเหลือเกิน แบบนี้ไม่ดีนะ”


“เจ้า! เจ้ากล้าสั่งสอนข้าเรอะ?” กงหลินตะโกนลั่นพร้อมจะออกอาละวาดอีกครั้ง


เย่หยวนบอก “มิกล้า ข้าแค่บอกความจริงเท่านั้น ข้าขอเริ่มเลยได้ไหม?”


กงหลินเปลี่ยนสีหน้าไปมาหลายครั้งก่อนที่จะบอก “ข้าล่ะอยากเห็นจริงๆ ว่าเจ้าจะผ่านไปอย่างไร! เริ่ม!”


เย่หยวนยิ้มบางๆ ออกมาและโยนกระดาษขึ้นก่อนจะเอาฝ่ามือไปรองส่งไฟสีเหลืองซีดลุกโชนจนปิดบังกระดาษชิ้นนั้นไว้จนสิ้น


เมื่อทุกคนเห็นภาพนี้ พวกเขาต่างมองมันอย่างมึนงง


เจ้าหมอนี่มันรู้จักวิธีคุมไฟจริงๆ ไหม?


การใช้ไฟที่ใหญ่และรุนแรงปานนี้กับกระดาษสามัญ มันคงไหม้จนไม่เหลือแม้แต่เถ้าเลยใช่ไหม?


อย่างว่าแต่ของสามัญ ระดับนี้แม้แต่ไม้ไหมทองเทวะเองก็ไม่มีทางจะรองรับไว้ไหวแน่!


ตอนที่พวกเขาทั้งหลายคุมไฟนั้น พวกเขาต้องทำการอย่างระวังและช้า กลัวว่าตัวเองจะปล่อยไฟออกมาแรงจนเกินไป


แต่เย่หยวนกลับไม่สนใจเรื่องนั้นและปล่อยไฟออกมาเต็มแรง!


การคุมไฟเช่นนี้ ดูอย่างไรมันก็เอาไว้เผาศัตรูชัดๆ


หลอมโอสถ?


อย่าหวังเลย!


หากใช้ไฟเช่นนี้ไปหลอมโอสถนั้นโอสถทั้งหลายคงได้ไหม้เป็นตอตะโกไปก่อนแน่


เมื่อกงหลินเห็นเช่นนั้นเขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มเย้ยออกมา “ว่าแล้ว! เจ้าโง่อวดดี เตรียมรับความพิโรธของวิหารได้เลย!”


มู่หยวนชุนเองก็หัวเราะลั่น “เด็กคนนี้…ไอ้เด็กคนนี้มันมาเล่นตลกชัดๆ และข้าก็ได้หัวเราะกับมันแล้วจริงๆ”


ไม่ใช่แค่พวกเขา แต่เหล่าผู้เข้าทดสอบคนอื่นเองก็หัวเราะลั่นออกมา


ตอนนี้ทุกคนต่างมั่นใจแล้วว่าเย่หยวนมาในวันนี้เพื่อก่อเรื่องแน่ๆ


แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้เป้าหมายที่แท้จริง แต่เป้าหมายที่ว่าได้ชื่อเสียงจากการทำเรื่องโง่ๆ ของเขาก็สำเร็จไปแล้ว


แต่ไม่มีใครเห็นดวงตาของผู้อาวุโสทั้งสามบนที่นั่งสูงเลยว่าดวงตาเหล่านั้นกำลังเบิกกว้างออกมาอย่างตกตะลึง


เพราะการที่ถูกไฟห่อหุ้มไว้ คนอื่นๆ จึงไม่มีทางมองผ่านเข้าไปเห็นสภาพของกระดาษได้


เพราะทุกๆ คนต่างเชื่อว่าป่านนี้กระดาษคงไหม้จนไม่เหลือเถ้าไปแล้ว


แต่เย่หยวนก็ยังคิดหน้าด้านทำการแสดงต่อ


กงหลินตะโกนลั่น “เอาล่ะ หยุดวางท่าได้แล้ว รับไป!”


กงหลินกำลังคิดจะโจมตีใส่เย่หยวนแต่เขากลับได้ยินเสียงของฉีหยูตะโกนออกมาก่อน “หยุด!”


ทุกคนตกตะลึง กงหลินเองก็มีใบหน้าที่แสนมึนงงสงสัย “ท่านอาจารย์ นี่…”


ฉีหยูบอก “ดูต่อไป!”


เท่านี้พวกเขาทั้งหลายก็ไม่สามารถจะหัวเราะได้อีกแล้ว


หลังจากนั้นเย่หยวนก็ดึงมือกลับไป ไฟศักดิ์สิทธิ์อันรุนแรงนั้นจากหายไปอย่างสิ้นเชิง เผยให้เห็นแผ่นกระดาษลอยตกลงมา


นั่นทำให้ทุกคนที่เห็นต้องเบิกตากว้างมองดูภาพตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อสายตา


“ท-ทำได้จริง! กระดาษสามัญนั้นยังอยู่ครบสมบูรณ์ดี!”


“บ้าน่า! ข้าอยู่ตั้งไกลยังรู้สึกได้ถึงความร้อนของไฟ! แล้วทำไมเจ้ากระดาษแสนเปราะบางนี้มันถึงไม่เป็นอะไรเลย?”


“หรือว่าทักษะการควบคุมไฟของเขานั้นมันสูงล้ำถึงขั้นนี้? เหนือล้ำกว่ามู่หยวนชุนไปมาก!”



 

 

 


ตอนที่ 1745 ศาสตร์หลอมอสูร

 

กระดาษนั้นยังคงลอยอยู่บนมือของเย่หยวนพร้อมด้วยรอยยิ้ม “พี่กง ท่านลองเอาไปดู!”


กงหลินหน้าซีดเผือด เขายื่นมือออกไปและรับกระดาษนั้นมาไว้


วินาทีที่กระดาษนั้นถูกโดนมือเขา มันกลับให้ความรู้สึกที่แสนร้อนแรง!


พรึ่บ!


จู่ๆ กระดาษนั้นก็ไหม้หายกลายเป็นเถ้าไป!


“นี่มัน…อุณหภูมิจุดติดไฟ! เจ้าทำมันได้อย่างไร?” กงหลินมองดูใบหน้าของเย่หยวนอย่างตื่นตะลึง


คนที่มาในครั้งนี้นั้นต่างล้วนเป็นมืออาชีพ พวกเขาย่อมรู้ดีว่าเย่หยวนไม่ได้ทำพลาดและปล่อยให้กระดาษไหม้


เหตุที่กระดาษนั้นมันไหม้จนเป็นเถ้าไปนั้นมันเป็นเพราะว่าอุณหภูมิของกระดาษอยู่ในจุดติดไฟ อุณหภูมิที่สามารถติดไฟได้ในทันที


เมื่อกงหลินรับกระดาษนั้นไปมันจึงเกิดความร้อนขึ้นมาจากการสัมผัส และความร้อนอันน้อยนิดมันก็ทำให้กระดาษเข้าสู่จุดติดไฟอย่างแท้จริงและทำให้เกิดไฟลุกไหม้ขึ้น


จนกระดาษนั้นไม่เหลือแม้แต่ซาก!


พลังความสามารถทักษะการควบคุมไฟนี้มันช่างเหนือล้ำ


ในการทดสอบปกติแล้วมันไม่มีใครกล้าจะเล่นกับไฟถึงขั้นนี้ไม่ว่าพวกเขาจะมีทักษะที่สูงส่งขนาดไหน!


เพราะว่าจุดติดไฟนั้นมันเป็นสิ่งที่ยากจะรู้ หากควบคุมมันได้ไม่ดีพออุณหภูมิเกินไปแม้แต่องศาเดียว กระดาษเผ่นนั้นก็คงไหม้เป็นจุล


หากเย่หยวนใช้กระดาษไม้หลิวเมฆาทำเรื่องแบบนี้ แม้มันจะยอดเยี่ยมแค่ไหนมันก็ไม่มีทางน่าเหลือเชื่อได้ถึงขั้นนี้


แต่เขากลับใช้กระดาษสามัญ เรื่องแบบนี้มันน่ากลัวจนเกินจะบรรยาย!


เย่หยวนยักไหล่ตอบ “เรื่องนี้หาได้ยากเย็นไม่ ตอนที่ข้าอายุสามร้อยข้าก็ทำมันได้แล้ว ถ้าพวกท่านหากระดาษสามัญชั้นหนึ่งมาได้ ข้าถึงจะแสดงความสามารถจริงๆ ออกมาได้”


ทุกคนตื่นตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก


กระดาษสามัญชั้นหนึ่งนั้นมันหาไม่ได้ในมหาพิภพถงเทียน


ในเทือกเขาเทพอสูรนั้นมีต้นไม้มากมายหลากหลาย แต่มันไม่มีต้นไม้สามัญชั้นหนึ่ง แค่ชั้นห้าหรือหกก็หาไม่ได้แล้ว


หากอยากได้ต้นไม้สามัญชั้นหนึ่งจริงๆ คงมีแต่ต้องลงไปหายังโลกเบื้องล่างเท่านั้น


ที่สำคัญที่เย่หยวนบอกว่าทำได้ตั้งแต่อายุสามร้อยนั้นไม่ใช่อายุสามร้อยของชาตินี้ แต่เป็นอายุสามร้อยปีเมื่อชาติก่อน!


ชาติก่อนตอนที่เขายังเป็นจี้ฉิงหยุน เขาสามารถทำแบบนี้ได้ตั้งแต่อายุสามร้อยปี


ตอนนี้เวลาผ่านไปได้กว่าพันปีแล้ว ทักษะการควบคุมไฟของเย่หยวนย่อมเหนือล้ำจนแม้แต่กระดาษสามัญชั้นหนึ่งก็มิใช่ปัญหาอีกต่อไป


แต่แค่นี้มันก็น่าตกตะลึงพอแล้ว!


บนที่นั่งประธานผู้อาวุโสทั้งสามได้แต่มองลงมาอย่างตกตะลึง


“เจ้าหนุ่ม เจ้ามีนามว่า?” ฉีหยูเปิดปากถามขึ้น


“เย่หยวน!”


ฉีหยูพยักหน้ารับ “เย่หยวน เจ้ามีทักษะการคุมไฟที่ยอดเยี่ยมจริงๆ! ต่อให้เป็นคนเฒ่าคนแก่อย่างเราก็ยังไม่น่าจะเทียบเจ้าได้”


เมื่อคำพูดเหล่านั้นถูกกล่าว เหล่าผู้คนทดสอบคนอื่นๆ ก็ได้แต่อ้าปากค้างอย่างไม่อาจหุบได้


คนที่เก่งกาจระดับผู้อาวุโสฉีหยูกลับยอมรับว่าตัวเองด้อยกว่าชายหนุ่มคนนี้?


โดยเฉพาะอย่างยิ่งมู่หยวนชุนที่ตอนนี้แทบอยากจะเอาหน้ามุดดินหนีไปเมื่อได้ยิน


คำพูดนี้ของฉีหยูมันตบหน้าเขาชัดๆ เลยไม่ใช่หรือ?


เดิมทีเย่หยวนบอกว่าสามัญสำนึกใช้ไม่ได้กับบางคน


แล้วตอนนี้มันจะไม่ใช่การยืนยันคำพูดนั้นให้หรือ?


เหล่าผู้อาวุโสที่ด้านบนนั้นพวกเขาต่างล้วนเป็นยอดคนที่อายุยาวนานเกินกว่าแสนปีไปทั้งสิ้น


การฝึกฝนบ่มเพาะของพวกเขานั้นมันเหนือล้ำกว่าที่ใครจะจินตนาการตามได้


แต่ว่าเย่หยวนกลับบอกว่าเขาทำเช่นนี้ได้ตอนอายุสามร้อยปี มันยังจะมีอะไรน่าอับอายไปมากกว่านี้ไหม?


แต่ฉีหยูก็เปลี่ยนน้ำเสียงไป “แต่การหลอมโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์นั้นมันต่างจากการหลอมโอสถศักดิ์สิทธิ์ของมนุษย์ เจ้าต้องผ่านอีกสองรอบหลังไปให้ได้ด้วยเราจึงจะนับว่าผ่านจริงๆ”


เย่หยวนยกมือขึ้นคารวะ “ขอรับท่านผู้อาวุโส เย่หยวนจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง”


ฉีหยูพยักหน้ารับ “งั้นจงทำต่อไป”


เมื่อได้ยินเช่นนั้นกงหลินจึงตั้งสติได้และประกาศออกมา “ต่อไป รอบที่สองเป็นการทดสอบศาสตร์หลอมอสูร! คนที่ไม่ผ่านรอบแรกมานั้นไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมทดสอบแล้ว”


ในหมู่ยอดอสูรนับร้อยนี้ กว่าครึ่งได้ถูกปัดตกรอบแรกไป


ตอนนี้เหลือผู้เข้าทดสอบอยู่แค่สามสิบถึงสี่สิบคน


“ตรงหน้านี้มีเศษไม้อยู่นับร้อยชนิด สิ่งที่พวกเจ้าต้องทำก็คือการใช้ศาสตร์หลอมอสูรผสานมันเข้าด้วยกัน! ยิ่งผสานมันได้หลายชนิด ก็จะยิ่งได้คะแนนสูง! ผู้ที่ผสานได้มากกว่ายี่สิบห้าชนิดจะถือว่าผ่าน!”


เจ้าสิ่งที่เรียกว่าศาสตร์หลอมอสูรนั้นคือพื้นฐานการหลอมโอสถของเผ่าอสูร


มนุษย์นั้นมีจิตศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่ง แถมพวกเขายังมีศาสตร์ลับและอะไรต่างๆ นาๆ ที่ช่วยให้บ่มเพาะจิตได้ด้วย


แต่ความสามารถของเผ่าอสูรนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับจิตอสูรศักดิ์สิทธิ์ จิตอสูรศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาทั้งหลายจึงนับได้ว่าอ่อนแอมาก


นอกจากพวกยอดอสูรที่เก่งกาจจริงๆ แล้วอสูรส่วนมากจะมีจิตอสูรศักดิ์สิทธิ์ที่อ่อนแอกว่ามนุษย์ทั่วๆ ไป


หากอยากเป็นอย่างมนุษย์ ใช้พลังวิญญาณเป็นตัวกลางในการหลอมโอสถนั้นมันคงเกินมือพวกเขาเกินไป


แต่เผ่าอสูรเองก็มีข้อได้เปรียบที่มนุษย์ไม่มีอยู่ นั่นคือเรื่องที่ว่าพวกเขาทั้งหลายนั้นใกล้ชิดกับธรรมชาติมาก


เผ่าอสูรจึงมีปราณอสูรเทวะที่เข้ากับสมุนไพรต่างๆ ได้มากกว่า


เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะเดินอีกเส้นทาง ด้วยการใช้ปราณอสูรเทวะแทนพลังวิญญาณในการหลอมโอสถ


นี่คือระบบการฝึกฝนบ่มเพาะของเผ่าอสูร


ศาสตร์หลอมอสูรนี้มันจะสะท้อนให้เห็นถึงพลังฝีมือของนักหลอมโอสถอย่างมาก


สรุปก็คือมนุษย์ใช้พลังวิญญาณเป็นหลักและใช้ปราณเทวะเข้าเสริม แต่เผ่าอสูรนั้นใช้พลังปราณอสูรเทวะเป็นหลักและใช้พลังวิญญาณเข้าเสริม


ภายใต้คำสั่งของกงหลิน เหล่าผู้เข้าทดสอบทั้งหลายก็เริ่มออกไปทำการทดสอบรอบที่สอง


การผสานเศษไม้ การทดสอบนี้เองก็เป็นอะไรที่แยบยลมาก


เพราะไม้นั้นไม่ใช่สมุนไพร พวกมันจึงมีแนวคิดที่ต่อต้านกันในหลายๆ ด้าน


หากอยากจะหลอมรวมผสานมันเข้าด้วยกันทั้งหมด มันคงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ


แต่ว่าเพราะแบบนั้นนี่เองการทดสอบนี้มันถึงได้เป็นยอดการสอบศาสตร์หลอมอสูร


คนที่เข้ารับการทดสอบนั้นค่อยๆ มองดูอย่างระมัดระวัง กลัวว่าตัวเองจะพลาดจุดเล็กๆ ใดไป


แต่ด้วยทักษะของพวกเขานั้นพวกเขาก็ทำได้แค่ผสานไม้ไม่กี่ชิ้นเข้าด้วยกัน


หากมากกว่านั้นมันคงไม่ได้แล้ว


ที่มุมห้องสอบเย่หยวนกำลังมองดูแต่ละคนเข้ารับการทดสอบอย่างไม่กะพริบตา วิเคราะห์ภาพที่เห็นตรงหน้าจนควันออกหัว


เพราะเย่หยวนนั้นไม่ได้รู้จักศาสตร์หลอมอสูรนี้เลย แต่เขาก็ยังพอมองออกว่าศาสตร์หลอมอสูรนี้มันคล้ายกับศาสตร์หลอมวิญญาณ


พลังอันปราณอสูรเทวะอันรุนแรงถูกปล่อยออกมาจากฝ่ามือของเย่หยวน ตอนนี้เขากำลังจินตนาการภาพการผสานเศษไม้อยู่


เมื่อรับรู้ได้ถึงปราณอสูรเทวะ คนที่อยู่รอบๆ ก็อดไม่ได้ที่ต้องหันมามอง


เมื่อมู่หยวนชุนได้เห็นภาพนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะมึนงงเช่นกัน


“ไอ้เด็กคนนี้…ไม่รู้ศาสตร์หลอมอสูรเลยนี่! ฮ่าๆๆ ข้าว่าแล้วว่าสุดท้ายมันก็เป็นได้แค่นักหลอมโอสถของฝั่งมนุษย์ที่คิดจะแทรกแซงวิหารนักบวช!” มู่หยวนชุนบอก


เมื่อพวกเขาเห็นภาพนี้ ทุกคนต่างก็รู้สึกได้ว่าเรื่องราวครานี้มันแปลกๆ


“ไม่จริงมั้ง? ทักษะการคุมไฟของมันยอดเยี่ยมขนาดนั้น แต่มันกลับไม่รู้ศาสตร์หลอมอสูรจริงๆ?”


“ดูท่ามันคงไม่เคยหลอมโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์มาก่อนแน่!”


“หมอนี่มันคงไม่ได้คิดที่จะดูแล้วเอามาใช้ตอนนี้เลยหรอกนะ? นี่มัน…จะน่าขันเกินไปแล้ว!”



รอบแรกเย่หยวนนั้นสร้างความประหลาดใจให้ทุกผู้คน


แต่ภาพตรงหน้าตอนนี้ มันทำให้ทุกคนอดดูถูกเขาไม่ได้


บางทีเย่หยวนอาจจะเป็นยอดนักหลอมโอสถของฝ่ายมนุษย์จริงๆ


แต่เขานั้นไม่รู้แม้แต่ศาสตร์หลอมอสูร เขาจะมีปัญญาผ่านการทดสอบรอบที่สองนี้ไปได้อย่างไร


“ผู้อาวุโส เจ้าหมอนี่มันไม่รู้จักศาสตร์การหลอมโอสถของอสูรเราเลย มันคงคิดร้ายอะไรบางอย่างถึงอยากเข้ามาในวิหารนักบวช! ผู้อาวุโสโปรดจัดการเขาลงเสียเถิด!” มู่หยวนชุนยกมือขึ้นขอร้อง


เย่หยวนนั้นไม่ได้สนใจมู่หยวนชุนแม้แต่น้อย ตอนนี้เขากำลังจดจ่อ


พลังฝีมือความสามารถของผู้เข้าทดสอบแต่ละคนนั้นไม่ได้เก่งกาจอะไร แต่เย่หยวนก็ยังได้เรียนรู้จากจุดแข็งของแต่ละคนและทิ้งจุดอ่อนไว้เบื้องหลัง วิเคราะห์ แยกแยะ ฝึกฝน จนตอนนี้พลังฝีมือความสามารถของเขาพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด


สายตาของฉีหยูนั้นมองดูอย่างไม่ละสายตา จ้องดูเย่หยวนที่กำลังฝึกฝน “เด็กคนนี้ไม่ธรรมดา ให้เขาได้ลอง!”



 

 

 


ตอนที่ 1746 เรียนรู้และลงมือในทันที

 

มู่หยวนชุนนั้นไม่เข้าใจอย่างมาก!


เจ้าหมอนี่ดูอย่างไรมันก็ไม่รู้ศาสตร์แห่งโอสถของเผ่าอสูร ทำไมผู้อาวุโสยังจะยอมให้มันได้ลองทดสอบอีก?


เขาไม่มีทางรู้ได้เลยว่าสิ่งที่เขาเห็นนั้นมันต่างจากสิ่งที่ฉีหยูเห็นอย่างสิ้นเชิง!


สิ่งที่เขาเห็นคือความโง่และไม่รู้ในทักษะของเย่หยวน


แต่สิ่งที่ฉีหยูเห็นนั้นคือการพัฒนาของเย่หยวน!


เพราะจริงๆ ตั้งแต่จบรอบแรกไปเขาก็จ้องมองดูเย่หยวนอย่างตาไม่กะพริบ


เมื่อรอบที่สองเริ่ม ตั้งแต่ที่ผู้เข้าสอบคนแรกเดินขึ้นสนามไป เย่หยวนจ้องมองดูบนนั้นอย่าไม่กะพริบตา


จากระดับต้นที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวใดๆ พัฒนาไปสู่ระดับที่ยังหยาบกระด้างไปบ้าง


การพัฒนานี้มันเหนือล้ำจนเกินไป


ฉีหยูนั้นเชี่ยวชาญในด้านนี้มาก ในสายตาของเขาแล้วเรื่องแบบนี้มันจะสุดยอดแค่ไหน?


การพัฒนานี้ของเย่หยวนมันทำให้ผู้คนได้แต่ถอนหายใจด้วยความตะลึง!


เพราะอย่างไรเสียก่อนหน้านี้เขาก็ยังเป็นแค่มือใหม่ที่ไม่รู้เรื่องใดๆ


ฉีหยูอยากจะเห็นเหลือเกินว่าเมื่อถึงตาเย่หยวนแล้วเขาจะทำได้ถึงขั้นไหน


เหล่าผู้เข้าสอบต่างเดินขึ้นไปทีละคนๆ แต่คนที่ผ่านไปได้นั้นเรียกว่ามีน้อยแค่หยิบมือ


แน่นอนว่าคนที่เก่งกาจผสานไม้ได้เกินสามสิบชนิดมันก็มี


และความสำเร็จของคนเหล่านั้นมันก็ยิ่งเป็นสื่อการเรียนรู้ที่ยอดเยี่ยมแก่เย่หยวน


ไม่นานนัก ก็ถึงตาของมู่หยวนชุน เขาหันมามองเย่หยวนด้วยความเหยียดหยามก่อนครั้งหนึ่ง


เมื่อเขาเริ่มลงมือ มู่หยวนชุนก็ทำให้ทุกผู้คนต้องตกตะลึง


เพราะเขานั้นขยับเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วปานสายฟ้า ใช้เวลาแค่น้อยนิดในการผสานไม้หลายต่อหลายชนิด


ยี่สิบห้านั้นมันไม่ใช่เป้าหมายของเขา


“สุดยอด ดูท่าแล้วเขาคงผสานได้เกินกว่าสี่สิบชนิดแน่ๆ ใช่ไหม?”


“แม้ว่ารอบแรกจะถูกเจ้าเด็กนั่นแย่งความสนใจไป แต่ฝีมือของมู่หยวนชุนเองก็เก่งกาจจริงๆ!”


“เด็กคนนี้มันเป็นได้แค่มือใหม่ในด้านโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์ ข้าก็กลัวแทบตายว่าตัวเองจะได้มาเจอยอดนักหลอมโอสถเข้า!”



ศาสตร์หลอมอสูรของมู่หยวนชุนนั้นมันยอดเยี่ยมมาก แข็งแกร่งกว่าทุกผู้คนไประดับหนึ่งอย่างชัดเจน


สายตาของพวกเขาทั้งหลายตอนนี้ถูกมู่หยวนชุนดึงดูดไปโดยไม่มีใครหันมาสนใจเย่หยวนอีก ไม่มีใครรู้เลยว่าที่มุมปากของเย่หยวนนั้นค่อยๆ เผยอรอยยิ้มออกมากว้างขึ้นและกว้างขึ้น


“สี่สิบห้า!”


“สี่สิบหก!”



“ห้าสิบ!”


“ห้าสิบเอ็ด! อะ ร่วงแล้ว!”


“จำนวนมากขนาดนี้มันเหมือนกว่านักบวชกงหลินเสียอีก!”


ที่ด้านหลังคนทั้งหลายต่างเริ่มนับไม้ให้แก่มู่หยวนชุน


ในที่สุดหลังมู่หยวนชุนผสานไม้ชนิดที่ห้าสิบเอ็ด ไม้ของเขาก็ร่วงลงจากกัน


แต่จำนวนห้าสิบเอ็ดนั้นมันก็เป็นจำนวนที่ทำให้มู่หยวนชุนได้รับเสียงชื่นชมอย่างล้นหลาม


เพราะอย่างไรเสียกงหลินที่ว่าเป็นยอดอัจฉริยะไร้เปรียบก็ยังทำได้แต่สี่สิบเจ็ดชนิดในการทดสอบครั้งก่อน


ส่วนมู่หยวนชุนนั้นทำได้มากกว่าถึงสี่ชนิด!


ฉีหยูพยักหน้ารับ เพราะเขานั้นตัดสินใจจะรับมู่หยวนชุนเป็นศิษย์โดยตรงมาแต่แรกแล้ว พลังฝีมือของเขาย่อมต้องอยู่ในระดับนี้


เพราะหากเขาทำไม่ได้ถึงขนาดนี้ มันก็คงไม่เหมาะสมจะมาเป็นศิษย์โดยตรงของฉีหยูแล้ว


ได้ยินเสียงชื่นชมจากรอบด้านเช่นนั้นมู่หยวนชุนก็เริ่มกลับมามั่นใจในตัวเองอีกครั้ง


และเพราะว่ารอบก่อนมันมีคนตกรอบไปมากมาย คนต่อไปที่จะได้ขึ้นสอบจึงกลายเป็นเย่หยวน


มู่หยวนชุนยิ้ม “มือใหม่เราจะขึ้นสนามแล้ว มาดูกันว่ามันจะผสานไม้ได้กี่ชนิดกัน ทำไมพวกเราไม่ลองมาเดากันหน่อยล่ะ?”


เมื่อคำพูดนั้นลอยออกมาคนทั้งหลายก็รู้สึกพร้อมที่จะร่วมวงด้วยทันที


“ข้าว่าคงไม่เกินสิบชนิด!”


“สิบ? เจ้าตาบอดเรอะ? ไอ้หมอนี่อะนะจะทำได้ถึงสิบ? ข้าว่าอย่างมากก็ห้า!”


“เหอะ! เจ้านี่มันไม่ได้รู้อะไรเลยนะ? ข้าว่ามันไม่ได้สักชนิดแหละ!”



ได้ยินคำพูดของพวกเขาทั้งหลายนั้นมู่หยวนชุนก็แสดงสีหน้าท่าทางถึงพอใจออกมา


แต่เย่หยวนกลับหันมาบอก “พวกเจ้าทุกคนจงเตรียมหน้าไว้ เดี๋ยวข้าจะมาตบเรียงตัวเลย!”


พูดจบเย่หยวนก็เดินขึ้นไป


ต่างจากท่าทางมั่นใจในรอบแรก ครานี้เขานั้นมีท่าทางกังวลและระมัดระวังมาก


เพราะอย่างไรเสียนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาจะได้ใช้ศาสตร์หลอมอสูร


เย่หยวนค่อยๆ ปล่อยปราณเทวะออกมาดึงไม้จากกล่องแรก


ไม้นั้นมันสั่นอย่างไม่หยุด ราวกับว่ามันจะตกลงพื้นได้ทุกเมื่อ


ชัดเจนเลยว่าศาสตร์หลอมอสูรของเย่หยวนนั้นยังหยาบกระด้างอยู่มาก แค่นี้มันก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเขานั้นเป็นมือใหม่จนไม่รู้จะใหม่อย่างไร


เมื่อทุกคนได้เห็นภาพนี้พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา


“ฮ่าๆ นี่เรอะที่จะเอามาตบหน้าเรา? มาสิ ข้ายื่นหน้ารอแล้วเนี่ย มาตบเลย!”


“บ้าบอเสียจริงๆ! เจ้าคิดว่าจะเรียนรู้ศาสตร์หลอมอสูรและลงมือทำได้ในทันทีเลยเรอะ?”


“เจ้าจะดูถูกศาสตร์โอสถของเผ่าอสูรเราเกินไปแล้ว! หากเจ้าแค่มองก็เรียนรู้ได้พวกข้าจะลำบากเป็นพันๆ ปีไปเพื่ออะไรกันเล่า?”



ท่าทางนั้นของเย่หยวนทำให้เกิดเสียงหัวเราะเยาะขึ้นมาทันที


แต่เรื่องนี้ เย่หยวนไม่ได้ยินมันแล้ว


ตอนนี้สมาธิทั้งหมดของเขากำลังทุ่มอยู่กับการควบคุมปราณอสูรเทวะ


การวิเคราะห์และจินตนาการนั้นก็เรื่องหนึ่ง แต่การลงมือทำจริงนั้นมันเป็นอีกเรื่องอย่างสิ้นเชิง


เมื่อเขาเริ่ม เขาก็รู้สึกได้ถึงความไม่คุ้นมือ


แต่ว่าเย่หยวนนั้นมีศาสตร์หลอมวิญญาณขั้นสูง


ตั้งแต่ที่เขาปลุกวิญญาณมังกรได้ จิตศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองของเขาก็แข็งแกร่งกว่าผู้คนธรรมดามากมายหลายเท่า พลังวิญญาณของเขานั้นนับได้ว่าไร้ขีดจำกัด


เพราะฉะนั้นแม้จะขึ้นอาณาจักรพระเจ้ามา เขาก็ไม่คิดที่จะกังวลเรื่องพลังวิญญาณอีก


เพราะตอนนี้เขามีสิ่งรับประกันแล้วว่าตัวเองจะสามารถหลอมโอสถศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงได้


ศาสตร์หลอมอสูร แม้ว่ามันจะเป็นครั้งแรกที่เย่หยวนได้ลองใช้มัน แต่ด้วยพื้นฐานที่ใกล้เคียงกับศาสตร์หลอมวิญญาณเขาจึงไม่ใช่มือใหม่ในเรื่องนี้ไปเสียทีเดียว


และแน่นอนว่าด้วยความพยายามของเย่หยวน ในที่สุดเขาก็ดึงไม้จากกล่องที่สองและนำมาผสานได้


การผสานแรกนั้นมันเป็นอะไรที่ง่ายที่สุด


แต่ยิ่งจำนวนไม้เพิ่มมากขึ้น ความยากของมันก็จะยิ่งเยอะตาม


“หึ อันแรกก็ลำบากขนาดนี้แล้ว ข้าว่าอย่างมากก็สามแหละ” มู่หยวนชุนหัวเราะ


“ดูอย่างไรก็มือใหม่ ทั้งอย่างนั้นยังคิดจะวางท่า โดนสวรรค์ลงทัณฑ์เสียแล้วมั้ง?”


“ด้วยฝีมือแค่นี้กลับบอกว่าจะมาตบหน้าพวกเรา ไม่รู้เลยจริงๆ ว่ามันไปเอาความมั่นใจผิดๆ แบบนี้มาจากไหน”


เมื่อมู่หยวนชุนพูด ทุกคนต่างก็เสริมขึ้นทันที


หลังผสานครั้งแรกสำเร็จ เย่หยวนก็เริ่มเข้าใจความรู้สึก


นั่นทำให้การควบคุมปราณอสูรเทวะของเขาค่อยๆ เสถียรขึ้นเรื่อยๆ


จากนั้นเขาก็เริ่มทำการผสานไม้ชนิดที่สาม


คราวนี้มันง่ายกว่าครั้งก่อน


จากนั้นก็เป็นชนิดที่สี่ ที่ห้า ที่หก…


เรื่องนี้ทำให้ทุกผู้คนหน้าถอดสี


อะไรกัน?


ตามหลักแล้วยิ่งจำนวนไม้มากมันควรจะยิ่งยากขึ้น!


กับมือใหม่แล้วเรื่องแบบนั้นมันเป็นความยากที่เหนือล้ำ


แต่ทำไมเย่หยวนถึงให้ความรู้สึกว่ายิ่งผสานเขายิ่งเข้าใจและเก่งกาจขึ้น?


เรื่องนี้มันจะเกินสามัญสำนึกไปหน่อยแล้ว!


ในพริบตาเดียวเย่หยวนก็ได้ผสานไม้เข้าด้วยกันหลายชนิด ที่สำคัญความเร็วของเขานั้นมีแต่จะยิ่งเร็วขึ้นและเร็วขึ้น


ที่ด้านบนผู้อาวุโสทั้งสามเบิกตาออกกว้างด้วยความตื่นเต้น


ทั้งสามหันมองหน้ากันก่อนจะเงยหน้าขึ้นข้าและหัวเราะลั่นออกมา


อัจฉริยะระดับนี้ชีวิตนี้คงไม่ได้พบเจออีกแล้ว


ความสามารถในการวิเคราะห์และเข้าใจนี้มันช่างเหนือล้ำผู้คนมากจนเกินไปนัก


มู่หยวนชุนเองก็หน้าเสียและกล่าวออกมา “บ้าน่า! บ้าไปแล้ว! ดูอย่างไรทีแรกมันก็เป็นแค่มือใหม่ที่ไม่รู้ศาสตร์หลอมอสูรแท้ๆ มันจะมาผสานไม้ได้มากชนิดขนาดนี้ได้อย่างไร? หรือว่าเมื่อกี้มันแกล้งทำ? จริงๆ แล้วมันรู้ศาสตร์หลอมอสูรดี? ไอ้เด็กคนนี้มันเจ้าเล่ห์นัก!”



 

 

 


ตอนที่ 1747 แสดงสมจริงเกินไป

 

“ห้าสิบสอง! ไปอีกแล้ว! เพิ่มไปอีกแล้ว!”


“ห้าสิบสาม!”



ผู้ชมทั้งหลายตอนนี้เมื่อเห็นว่าเย่หยวนหยิบไม้ชิ้นใหม่ขึ้นมาผสาน พวกเขาก็ร้องนับออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน


ไม่นานนักเย่หยวนก็ผ่านสถิติห้าสิบเอ็ดชนิดของมู่หยวนชุนไป


แต่มันยังไม่จบ!


“เก้าสิบแปด!”


“เก้าสิบเก้า!”


“หนึ่งร้อย!”


“สุดยอด! ไอ้หมอนี่มันปลอมเป็นหมูมากินเสือชัดๆ เลยใช่ไหม?”


“หน้าข้าชาไปหมดแล้ว!”


“ไอ้หมอนี่มันจงใจแน่ๆ!”


“เจ้าดูมันสิ ยังดูทำหน้าไม่พอใจอีก นี่มัน…จะน่าเจ็บใจเกินไปแล้ว!”



ตอนที่เย่หยวนผสานไม้ชนิดสุดท้ายเข้าไป ทั้งสนามทดสอบก็แตกตื่นฮือฮากันยกใหญ่


ไม่มีใครคาดคิดว่าเย่หยวนจะสามารถผสานไม้ได้ครบร้อยชนิดจริงๆ!


เพราะคนที่ทำได้ถึงขนาดนี้ในการทดสอบนักบวชฝึกหัดที่ผ่านๆ มานั้นมันมีน้อยอย่างมาก


คนที่ทำเช่นนี้ได้จะถูกนับว่าเป็นยอดอัจฉริยะที่แสนปีจะปรากฏขึ้นมาสักคน!


หากเย่หยวนจะบอกว่าเขาไม่ได้แกล้งทำ ถึงให้ตายอย่างไรพวกเขาทั้งหลายเหล่านี้ก็ไม่มีทางเชื่อได้


แต่ดูท่าเย่หยวนจะยังไม่พอใจ ยิ่งผสานเข้าไปมากเย่หยวนก็ยิ่งรู้สึกคุ้นมือจนในที่สุดก็หยุดตัวเองไม่ได้แล้ว


ไม้แค่ร้อยชนิดนี้มันไม่ใช่ขีดจำกัดของเขา


กงหลินมองดูเย่หยวนอย่างเหนื่อยหน่าย “ปลอมเป็นหมูกินเสืออร่อยไหมล่ะ?”


มู่หยวนชุนพูดเสริม “ฝีมือไม่ธรรมดาแท้ๆ แต่ยังแกล้งทำเป็นคนไม่รู้เหนือใต้ หลอกตบตาผู้คน! ดูอย่างไรก็มีประสงค์ร้ายแอบแฝงชัดๆ!”


เมื่อพวกเขาทั้งสองพูดขึ้นมา คนอื่นๆ เองก็โห่ร้องขึ้นตาม ดูแล้วคงไม่มีใครพอใจกับเรื่องที่เย่หยวนทำนัก


เย่หยวนหันไปบอกอย่างเสียมิได้ “ไม่ว่าพวกเจ้าจะเชื่อหรือไม่ นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ข้าได้ลองใช้ศาสตร์หลอมอสูรจริงๆ!”


กงหลินหัวเราะเย้ย “ครั้งแรก? นี่เจ้าคิดว่าพวกเราโง่แค่ไหนกัน? ผสานไม้ได้ถึงร้อยชนิด ในประวัติศาสตร์ของเมืองจักรพรรดิต้นทรราชเรานั้นมันมีบันทึกไว้แค่สองคนเท่านั้น แล้วเจ้ายังจะบอกว่าตัวเองเพิ่งเคยลองใช้ศาสตร์หลอมอสูรเป็นครั้งแรกอีกเรอะ?”


มู่หยวนชุนก็พูดเสริมพร้อมหันไปหาผู้อาวุโสทั้งสาม “ผู้อาวุโสทั้งสาม เจ้าคนผู้นี้มันมีฝีมือที่ไม่ธรรมดาแต่กลับแกล้งทำเหมือนไม่รู้เรื่องใดๆ ในสายตาของข้าดูอย่างไรมันก็มาเพื่อที่จะลบหลู่วิหารนักบวชเป็นแน่!”


เมื่อเย่หยวนได้ยินเขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “นี่ เจ้าคงโง่สินะ? ข้า นักยุทธอาณาจักรราชันพระเจ้าสี่ดาวเดินทางไกลมาถึงเมืองจักรพรรดิต้นทรราชเพื่อหาที่ตาย? หากเจ้าโง่แล้วเจ้าก็อย่าคิดว่าคนอื่นๆ จะโง่เช่นเจ้าสิ นะ?”


มู่หยวนชุนหน้าเสียไปพร้อมตอบสวนกลับมา “ใครจะไปรู้ว่าเจ้าวางแผนอะไรไว้ ไม่ว่าจะอย่างไรเจ้าก็ไม่มีทางหวังดีแน่ๆ”


เป็นตอนนี้เองที่ฉีหยูพูดขึ้น “เอาล่ะไหนๆ พวกเจ้าก็เข้ามาสอบนักบวชฝึกหัดด้วยกันแล้ว ตอนนี้ก็ทำตามกฎการสอบไป ถือว่าเย่หยวนผ่านการสอบรอบที่สองมาได้ ไปเริ่มรอบที่สามต่อได้”


รอบที่สามนั้นคือการหลอมโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์อย่างแท้จริง


เมื่อฉีหยูบอกถึงขั้นนี้แล้วต่อให้พวกกงหลินจะยังไม่พอใจแค่ไหนพวกเขาก็ไม่กล้าจะขัดคำสั่งแม้แต่น้อย


กงหลินนั้นมีใบหน้าที่ไม่สบอารมณ์อย่างมาก “รอบที่สาม หลอมโอสถ โอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์ที่จะใช้สอบครานี้คือโอสถเมฆานิลฝนมายา ได้คุณภาพขั้นกลางถือว่าผ่าน!”


พูดจบเหล่าผู้เข้าสอบคนอื่นๆ ก็เริ่มเตรียมทำการหลอมโอสถทันที แต่เย่หยวนกลับยกมือขึ้นมาคารวะฉีหยู “ท่านผู้อาวุโส คือว่า…ข้าขอดูสูตรโอสถนี้หน่อยจะได้หรือไม่?”


เพราะสูตรโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นอะไรที่เย่หยวนเคยได้ยินแค่ชื่อ แต่ไม่เคยจะได้เรียนรู้พวกมันมาก่อนเลย


โอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นโอสถที่มีระบบการหลอมแยกต่างหาก ตอนอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นเขาไม่สามารถจะหลอมมันได้เลย เย่หยวนจึงไม่คิดที่จะออกไปตามหาสูตรใดๆ


เมื่อกงหลินได้ยินเขาก็ยิ้มออกมาอย่างเย็นเยือก “โอสถที่วิหารนักบวชเราใช้สอบนั้นล้วนแล้วแต่เป็นโอสถที่เปิดเผยสูตรต่อสาธารณะ เจ้าใช้ศาสตร์หลอมอสูรได้ถึงขั้นนั้นมีหรือที่เจ้าจะไม่รู้สูตรโอสถเมฆานิลฝนมายา?”


คำพูดที่เย่หยวนกล่าวออกมาตอนนี้มันไม่มีใครคิดที่จะเชื่อ


ดูอย่างไรก็เก่งกาจ ทั้งอย่างนั้นยังอ้างว่าตัวเองไม่รู้อะไร มันสนุกมากหรือ?


การแสร้งทำก่อนหน้านี้พวกเขาอาจจะยังเชื่อ แต่ตอนนี้ทุกผู้คนต่างรู้แล้วว่าเจ้านั้นแกล้งทำ!


เย่หยวนตอบออกมาอย่างไม่รู้ต้องทำอย่างไร “แต่ข้าไม่รู้จริงๆ!”


“ให้เขาได้ดู แต่ว่าการทดสอบนี้ให้เวลาแค่หกชั่วโมงเท่านั้น เจ้าต้องเรียนรู้มันให้เร็ว” ฉีหยูบอก


เมื่อเย่หยวนได้ยินเขาก็รู้สึกซาบซึ้งอย่างมากและยกมือขึ้นมาคารวะ “ขอบพระคุณท่านผู้อาวุโส”


แสร้ง!


ดูมันแสร้งทำ!


วันนี้ผู้อาวุโสเป็นอะไรไป?


เจ้าเด็กคนนี้ดูอย่างไรมันก็แสร้งทำ ทั้งอย่างนั้นผู้อาวุโสกลับเลือกที่จะเล่นตามละครของมัน!


เมื่อไม่มีทางเลือกอื่นกงหลินจึงต้องยื่นสูตรโอสถไปให้เย่หยวน


โอสถเมฆานิลฝนมายานั้นเป็นโอสถระดับแรกๆ ในหมู่โอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์ หากให้จัดความยากแล้วคงประมาณระดับสอง


แต่เราจะมองว่ามันเป็นโอสถที่ง่ายไม่ได้ เพราะการใช้โอสถระดับนี้ในการทดสอบเข้านั้นมันนับว่ายากมาก


เพราะในฝั่งมนุษย์นั้น ตราบเท่าที่คนผู้นั้นบรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้าและหลอมโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่ที่ง่ายที่สุดได้พวกเขาก็จะได้รับพวกเขาก็จะได้รับการยอมรับเป็นจอมเทพโอสถสี่ดาวแล้ว


แต่ในวิหารนักบวชนี้ มาตรฐานระดับนั้นมันไม่พอ


กับมือใหม่นั้นหากต้องหลอมโอสถระดับสี่ความยากสองตั้งแต่เริ่มต้นเช่นนี้ มันย่อมนับได้ว่าเป็นสิ่งที่ยากเกินกว่าจะผ่านไปได้


อย่าว่าแต่มือใหม่ ต่อให้เป็นอสูรที่ทำงานพวกนี้มานานพวกเขาก็ยังไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องง่ายเลย


ที่สำคัญมาตรฐานที่พวกเขารับได้คือขั้นกลางขึ้นไปด้วย!


แค่นี้มันก็มากพอที่จะไล่คนมากมายไปตั้งแต่หน้าประตูวิหารนักบวชแล้ว


เย่หยวนมองดูสูตรโอสถนี้ราวกับว่ามันเป็นสมบัติล้ำค่าชิ้นหนึ่งและเริ่มศึกษามัน


เขาวิเคราะห์สูตรโอสถนี้ไปพร้อมๆ กับมองดูคนอื่นๆ หลอมโอสถ ท่าทางของเขานั้นเหมือนพร้อมที่จะดูดกลืนทุกสิ่งอย่าง


โอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่ความยากสอง มันไม่ใช่โอสถที่ยากเย็นสำหรับเย่หยวนนัก การวิเคราะห์เรียนรู้มันเองก็ไม่ได้เป็นภาระที่หนักหนา


แต่การหลอมโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์นั้นนับว่าเป็นเรื่องใหม่มากสำหรับเย่หยวน


เมื่อกงหลินเห็นท่าทางนั้นของเย่หยวนเขาก็มีสีหน้าแปลกๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้า


ตอนนี้เขาอดทนไม่ไหวต้องไปบนให้ฉีหยูฟังในที่สุด “ท่านอาจารย์ เจ้าเด็กคนนี้มันแสดงเก่งเสียจริงๆ ทำไมท่านถึงได้คิดช่วยเหลือมันกัน?”


ฉีหยูหันมามองศิษย์ด้วยรอยยิ้ม “แสดงหรือ? หึๆ เช่นนั้นเขาก็แสดงได้สมจริงมาก!”


กงหลินหน้าถอดสีทันที “ท่านอาจารย์จะบอกว่านี่เป็นครั้งแรกที่มันได้ลองหลอมโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์จริงๆ หรือ? มันจะเป็นไปได้อย่างไร? ครั้งแรกก็ใช้ศาสตร์หลอมอสูรผสานไม้ได้ร้อยชนิดเช่นนั้น มันยังจะมีใครเก่งกาจได้ถึงขนาดนี้หรือ?”


ฉีหยูยิ้มตอบ “ก่อนวันนี้เฒ่าคนนี้เองก็ไม่คิดว่าจะมีเช่นกัน แต่ตอนนี้เฒ่าคนนี้ได้เห็นมันกับตาแล้ว คงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเชื่อ! เด็กคนนี้มันมีพรสวรรค์ทางโอสถเหนือล้ำอย่างไม่น่าเชื่อ!”


กงหลินเบิกตากว้างด้วยความตื่นตกใจ


เขานั้นคิดไม่ออกจริงๆ ว่าจะมียอดคนที่ไหนผสานไม้ร้อยชนิดได้ตั้งแต่การลองใช้ศาสตร์หลอมอสูรครั้งแรก


เรื่องเช่นนั้นมันเหนือเกินจินตนาการ


พริบตาเดียวเวลาก็ผ่านไปกว่าสี่ชั่วโมง


มู่หยวนชุนสามารถหลอมโอสถได้สำเร็จในที่สุด!


จู่ๆ เขาก็รู้สึกได้ถึงสายตาที่จ้องมองมา เมื่อเงยหน้าขึ้นมองเขาก็พบว่าเป็นเย่หยวนที่กำลังจ้องมองมาอยู่


เมื่อหันไปดูข้างๆ เขาก็พบว่าเย่หยวนยังไม่ได้เริ่มทำการหลอมโอสถเลย!


มู่หยวนชุนมึนงงไปนิดหน่อยก่อนจะยิ้มออกมา “เจ้าดูข้าหลอมจนถึงตอนนี้เลย?”


เย่หยวนพยักหน้ายิ้มออกมา “เจ้ามีพลังที่ไม่ธรรมดา แต่ทักษะในการหลอมยังขาดไปมาก พื้นฐานทั้งหลายก็ไม่แน่นพอ น่าเสียดาย”


เย่หยวนมองดูมาจนถึงตอนนี้และวิจารณ์ออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจโดยไร้ซึ่งความคิดดูถูกเหยียดหยามใดๆ ทั้งสิ้น


เมื่อมู่หยวนชุนได้ยินเขาก็หน้าเสียไปทันที “หากเจ้ามีเวลามาวิจารณ์ข้าก็เอาเวลานั้นไปหลอมโอสถของตัวเองเถอะ! หึ อีกแค่ไม่ถึงสองชั่วโมงแล้วเจ้าแน่ใจหรือว่าตัวเองจะผ่านได้!”


เย่หยวนยกมือขึ้นมาโบกปัดด้วยรอยยิ้ม “ชั่วโมงเดียวก็พอแล้ว ไม่ต้องรีบๆ”



 

 

 


ตอนที่ 1748 การหลอมที่ยากลำบาก

 

“ใช้เวลาหลอมโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่แค่ชั่วโมงเดียว นี่เจ้าไม่คิดว่าคำโม้ของเจ้ามันจะแทงสวรรค์จนเป็นรูบ้างเรอะ!” มู่หยวนชุนยิ้มออกมา


เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “ว่าอะไรก็ว่าไปเถอะ เดี๋ยวเจ้าก็จะได้รู้เองว่าข้าโม้หรือไม่ เฮ้อ แต่ข้าต้องขอขอบคุณเจ้าเลย การหลอมโอสถของเจ้าที่ผ่านมานี้มันช่วยให้ข้าได้เห็นตัวอย่างอย่างดีเลย”


มู่หยวนชุนนั้นมีความสามารถสูงส่งที่สุดในกลุ่ม


การหลอมโอสถของเขาจึงเป็นเครื่องมือเรียนรู้ได้อย่างดี


เย่หยวนศึกษาสูตรของโอสถและพยายามเทียบมันกับการหลอมของผู้เข้าสอบคนอื่นๆ เรื่องนี้มันช่วยให้เขาได้ประโยชน์และตัวอย่างมากมาย


เมื่อมู่หยวนชุนได้ยินเช่นนั้นใบหน้าของเขาก็มืดทึบขึ้นมาทันที “ไม่ต้องมาตอแหลอีกแล้ว! เจ้าคงไม่คิดจะบอกว่านี่เป็นการหลอมโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์ครั้งแรกของเจ้าหรอกใช่ไหม?”


เย่หยวนพยักหน้ารับ “เจ้านี่ฉลาด รู้สิ่งที่ข้าอยากบอกด้วย”


มู่หยวนชุนยิ้มเย้ย “เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อ?”


เย่หยวนยกมือขึ้นมาโบกปัด “เจ้าจะเชื่อหรือไม่ย่อมอยู่ที่ตัวเจ้าเอง มันเกี่ยวอะไรกับข้ากันเล่า? ข้าจะเริ่มหลอมโอสถแล้ว”


เมื่อเขาเริ่มหลอม ตัวเย่หยวนก็เข้าสู่สภาวะตัดขาดจากโลกภายนอกทันที


การเตรียมการทั้งหลายนั้นเย่หยวนทำเสร็จไปได้อย่างราบรื่นด้วยท่าทางราวปรมาจารย์


ตอนนี้แม้แต่สายตาของผู้อาวุโสทั้งสามก็จ้องมองมาอย่างตกตะลึง


เมื่อผู้เชี่ยวชาญลงมือ มันจะชัดเจนขึ้นมาทันทีว่าอันไหนจริงอันไหนปลอม


การลงมือนี้ของเย่หยวน แม้แต่พวกเขา นักบวชห้าดาวก็ยังต้องจ้องมองอย่างชื่นชม


เมื่อมู่หยวนชุนเห็นภาพนี้เขาก็แสดงสีหน้าเหยเกออกมา


ตอนนี้เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมรับแล้วว่าความสามารถของเย่หยวนนั้นเป็นของจริง!


การใช้เวลาฝึกฝนบ่มเพาะฝีมือ เรื่องเช่นนั้นมันเป็นได้แค่คำผายลมต่อหน้าเย่หยวน


“ยังจะมีหน้ามาบอกว่าครั้งแรกอีก! ดูอย่างไรก็เป็นผู้เชี่ยวชาญมากประสบการณ์ชัดๆ คิดว่าพวกเราเป็นเด็กสามขวบเรอะ?” มู่หยวนชุนบ่น


“มันเป็นครั้งแรกที่เขาหลอมโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์จริงๆ!”


กงหลินนั้นมายืนอยู่ข้างมู่หยวนชุนตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบได้ ตอนนี้เขาเองก็มองดูเย่หยวนอยู่และตอบคำของมู่หยวนชุนไปด้วย


มู่หยวนชุนหน้าเปลี่ยนสีทันที “ศิษย์พี่กง เรื่องนี้…มันจะเป็นไปได้อย่างไร?”


กงหลินบอก “เรื่องนี้ท่านอาจารย์พูดเอง มันไม่มีทางผิดไปได้แน่! เขาคงเป็นยอดนักหลอมโอสถของฝั่งมนุษย์ แต่ก็มีสายเลือดอสูรเราด้วยจึงสามารถเริ่มได้รวดเร็วขนาดนี้ แค่พรสวรรค์ของเขานั้นมัน…น่าเกรงกลัวจนเกินไป!”


มู่หยวนชุนทำหน้าตาแตกตื่นออกมา พร้อมหันไปมองเย่หยวนอีกครั้งด้วยความตื่นตกใจ


ตอนนี้ที่เย่หยวนกำลังหลอมโอสถอยู่ ท่าทางของเขาแต่ละอย่างนั้นมันคล้ายกับคนก่อนๆ หน้านี้ไม่เบา


แต่หลังจากได้เริ่มแล้วเย่หยวนถึงได้รู้ว่าการหลอมทั้งสองระบบนี้มันแตกต่างกันแค่ไหน มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะก้าวผ่านไปได้


ต่อให้ศาสตร์หลอมอสูรของเขาจะพัฒนาไปได้เร็วแค่ไหน การเอามันมาใช้กับการหลอมโอสถจริงๆ นั้นก็ยังนับว่าเป็นเรื่องที่ยากเย็นอยู่ดี


มันช่วยไม่ได้ที่เขาจะรู้สึกไม่คุ้นชิน


การหลอมโอสถศักดิ์สิทธิ์ มันต้องใช้พลังจิตที่มหาศาล


แต่การหลอมโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์นั้นมันกินแรงทางกายภาพอย่างมาก


หากไม่ใช่เพราะเย่หยวนบรรลุกายทองคำไปจนถึงระดับสี่ชั้นกลางแล้วล่ะก็ ตอนนี้เขาคงต้องจบสิ้นลงแล้วแน่ๆ


เย่หยวนได้รู้ว่าการใช้ศาสตร์หลอมอสูรกับการหลอมโอสถจริงๆ มันเป็นทักษะที่ยากกว่าศาสตร์หลอมวิญญาณนับร้อยเท่า


แต่ละส่วนๆ นั้นกินแรงกายไปอย่างมากมาย


หากเทียบกับการหลอมโอสถจริงๆ แล้วนั้นการผสานไม้นั้นมันเป็นได้แค่ของเด็กเล่นไปเลย


แต่ว่าขณะที่เย่หยวนกำลังเดินเข้าสู่ความไม่รู้ใดๆ ในสายตาของผู้อื่นที่มองมามันกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย


ไม่ว่าจะเป็นกงหลินหรือมู่หยวนชุน พวกเขาต่างตกตะลึงไปกับการหลอมนี้ของเย่หยวน


“ศิษย์พี่ ข้ายังไม่อยากจะเชื่ออยู่ดีว่าเจ้าหมอนี่มันเพิ่งเคยได้หลอมโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์เป็นครั้งแรก!” มู่หยวนชุนกัดฟันแน่น


กงหลินยิ้มตอบออกมาอย่างขื่นขม “เจ้าคิดว่าข้าอยากเชื่อไหมล่ะ? แต่ดูทักษะการหลอมของมันสิ เห็นชัดๆ เลยว่ามันไม่คุ้นชินกับการหลอมแบบนี้ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นมันก็ยังให้ความรู้สึกสบายตาเมื่อมอง ช่างเป็นความรู้สึกที่แสนขัดแย้งเสียจริงๆ”


มู่หยวนชุนรู้สึกว่าความมั่นใจที่ตัวเองสั่งสมมานานปีได้ถล่มพังลงมาในคราเดียว หากคนที่เพิ่งเคยหลอมโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์สามารถทำได้ถึงขั้นนี้แล้ว หลายปีที่เขาฝึกฝนตัวมามันจะไม่กล้าเป็นแค่เรื่องตลกไปหรือ?


แต่แน่นอนว่าเขาคงไม่รู้ว่ากว่าเย่หยวนจะเก่งกาจได้ขนาดนี้ นอกจากพรสวรรค์แล้วเขายังต้องใช้พรแสวงที่เหนือล้ำกว่าเขานับร้อยนับพันเท่า!


มู่หยวนชุนกล่าว “ศิษย์พี่กง ในสายตาของท่านแล้วท่านคิดว่ามันจะหลอมโอสถเมฆานิลฝนมายาออกมาได้คุณภาพใด?”


กงหลินส่ายหัวออกมา “เรื่องนั้นบอกยาก! ทักษะของเขานั้นดูไม่คุ้นชินก็จริง ดูอย่างไรก็เป็นมือใหม่แต่เขากลับไม่ได้ทำผิดพลาดใดๆ เลย ข้าคิดว่าแค่ผ่านไม่น่าจะมีปัญหา”


มู่หยวนชุนถอนหายใจยาวและบ่นออกมา “แค่ขั้นกลางมั้ง…เช่นนั้นก็ยังพอรับไหว”


ไม่นานหนึ่งชั่วโมงก็ผ่านพ้นไปและเย่หยวนก็หลอมได้สำเร็จตามที่บอกไว้จริงๆ ผู้คนที่ได้เห็นสภาพนั้นต่างต้องอ้าปากค้างอย่างที่หุบไม่ลง


เย่หยวนเช็ดเหงื่อที่หน้าผากตัวเองก่อนจะถอนหายใจยาวออกมา “ไม่ได้ลำบากขนาดนี้มานานแล้ว!”


ลำบาก…


เมื่อเหล่าอสูรรอบๆ ได้ยินคำนั้นของเย่หยวน พวกเขาก็แทบจะกระโดดขึ้นไปถีบยอดหน้าเขา


นี่หรือคือลำบาก?


เจ้าไม่ดูรอบๆ หน่อยล่ะ?


หลังจากรอบสองมา คนที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้มีน้อยกว่ายี่สิบคน


และตอนนี้คนเหล่านั้นก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ทำอะไรไม่ถูก กลัวว่าตัวเองจะทำผิดพลาดใดๆ ออกมา


นี่สิถึงเรียกว่าลำบาก


คนเหล่านี้ ทุกๆ คนต่างใช้เวลาจนเกือบครบหกชั่วโมงในการหลอมโอสถ


แต่เจ้าทำได้ในชั่วโมงเดียวแล้วยังมาบ่นว่าลำบาก มันจำเป็นไหม?


หลังเย่หยวนหลอมโอสถเสร็จ เวลาหกชั่วโมงก็หมดลงในไม่ช้า


อสูรหลายตนนั้นยังหลอมไม่เสร็จ เรื่องนี้ทำให้พวกเขาทั้งหลายนั้นจิตตกอย่างมาก


เพราะอุตส่าห์ผ่านมาถึงรอบสามแล้ว แต่กลับทำการหลอมไม่ทัน


จริงๆ ด้วยทักษะของพวกเขา ต่อให้หลอมเสร็จมันก็คงไม่มีทางไปสูงถึงขั้นกลางได้แน่


กงหลินค่อยๆ เดินออกมาตรวจโอสถของแต่ละคนไป ส่วนใหญ่ที่หลอมเสร็จนั้นได้คุณภาพขั้นต่ำทั้งสิ้น


แต่นอกจากมู่หยวนชุนแล้วมันยังมีอีกคนที่สามารถหลอมโอสถเมฆานิลฝนมายาขั้นกลางออกมาได้ นับว่าผ่านการสอบครั้งนี้


“ฮ่าๆๆ! เวลาพันปีของข้าไม่สูญเปล่าแล้ว! ข้าผ่านจนได้!”


เมื่อได้รู้ผลว่าตัวเองผ่าน เจ้าอสูรหนุ่มก็ร้องลั่นขึ้นทันทีราวกับคนบ้า


ดูท่าเวลาพันปีนี้เขาคงเจอแรงกดดันอันมหาศาลมาแน่ๆ


เมื่อคนอื่นๆ เห็น พวกเขาก็แสดงท่าทางอิจฉาปนหมดหวังออกมา


กงหลินขมวดคิ้วแน่น “กระโดดโลดเต้นต่อหน้าผู้อาวุโสเช่นนี้เจ้ารู้จักกาลเทศะบ้างหรือไม่?”


อสูรหนุ่มคนนั้นแทบสำลักเมื่อได้ยินและเงียบปากลงในทันที


เพราะแม้เขาจะผ่านการสอบแล้ว แต่เขาก็ยังนับว่าเป็นได้แค่นักบวชฝึกหัดผู้ต่ำต้อยในวิหารนักบวชนี้


ส่วนกงหลินนั้นคือนักบวชตัวจริง!


มาถึงมู่หยวนชุน แน่นอนว่าการผ่านนั้นมันเป็นอะไรที่แสนแน่นอน


“ขั้นสูง ไม่เลว! มู่หยวนชุนผ่าน!” กงหลินประกาศด้วยรอยยิ้ม


มู่หยวนชุนเองก็ยิ้มตอบ “ขอบพระคุณศิษย์พี่กง!”


เขานั้นคิดเหมือนกงหลิน ไม่ว่าเย่หยวนจะเก่งกาจแค่ไหนแต่ในรอบสุดท้ายนี้เย่หยวนก็ไม่มีทางชนะเขาได้


การหลอมที่ไม่ชินมือแบบนี้ แค่หลอมให้ถึงขั้นกลางได้มันก็นับว่ามีพรสวรรค์เหนือฟ้าแล้ว


ขั้นสูงนั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีทางเกิดขึ้นแน่!


สุดท้าย เป็นตาของเย่หยวน


หลังจากเปิดเตาออกมา กงหลินก็แทบสำลักเมื่อได้เห็นโอสถภายใน “ข-ขั้นยอดเยี่ยม! บ้าน่า!”


กงหลินนั้นแตกตื่นขึ้นมาในทันที แม้ก่อนหน้านี้มันจะมีเรื่องน่าตื่นตกใจใดๆ เกิดขึ้นมา แต่มันก็ยังไม่น่าตกใจเท่าเรื่องนี้


เพราะการหลอมของเย่หยวนนั้นมันดูเงอะงะมาก


ด้วยทักษะที่แสนเงอะงะเช่นนั้นเขากลับหลอมโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์ขั้นยอดเยี่ยมมาได้!


เพราะต่อให้เขาที่เป็นนักบวชเต็มตัวนี้ การจะหลอมโอสถเมฆานิลฝนมายานั้นเขาก็ยังไม่อาจจะหลอมให้มีคุณภาพถึงขั้นยอดเยี่ยมได้


แต่การหลอมครั้งแรกของเย่หยวนนี้มันกลับได้โอสถเมฆานิลฝนมายาขั้นยอดเยี่ยมออกมา?



 

 

 


ตอนที่ 1749 นักบวชฝึกหัด

 

“เป็นขั้นยอดเยี่ยมจริงๆ ด้วย ท่านนักบวชเองก็คงไม่ได้เก่งกาจไปกว่านี้ใช่ไหม?”


“ท่านกงหลินนั้นบอกว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาหลอม…ข้าไม่อยากจะเชื่อจริงๆ”


“ใช่แล้ว ดูอย่างไรก็ไม่ใช่! เราฝึกฝนบ่มเพาะกันมาเป็นพันๆ ปีแต่ยังหลอมได้ไม่ถึงขั้นต่ำด้วยซ้ำ จะบอกว่ามันคนนี้หลอมขั้นยอดเยี่ยมได้ตั้งแต่คราแรก ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ยอมเชื่อ”



ขั้นยอดเยี่ยมนั้นเป็นเรื่องที่เย่หยวนอับอายใจ


ตั้งแต่เข้าอาณาจักรพระเจ้ามา เขาไม่เคยที่จะหลอมโอสถใดได้ต่ำกว่าขั้นเทวะมาก่อนเลย


โอสถขั้นยอดเยี่ยม ปกติแล้วต่อให้เย่หยวนหลับตาหลอมมันก็ยังไม่แย่ขนาดนี้


แต่ในสายตาของผู้อื่นแล้วเรื่องมันไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย


ทุกคนรู้มาจากปากของกงหลินแล้วว่านี่เป็นครั้งแรกที่เย่หยวนได้หลอมโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์ แต่เขาคนนี้กลับหลอมได้คุณภาพถึงขั้นยอดเยี่ยม!


พรสวรรค์นี้มันทำให้ผู้คนสิ้นหวังจริงๆ


กล้ามเนื้อบนใบหน้าของมู่หยวนชุนกระตุกสั่น เขาคิดว่าตัวเองน่าจะแสดงความเหนือล้ำกว่าเย่หยวนออกมาได้ในการหลอมจริง แต่ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าจะต้องมาพ่ายแพ้ลงอีก


ขั้นสูงปะทะขั้นยอดเยี่ยม มันเป็นความพ่ายแพ้ที่ราบคาบ!


สำหรับนักหลอมโอสถแล้วการจะหลอมให้ได้คุณภาพเหนือขั้นสูงนั้นเป็นอะไรที่แสนยากเย็น


กับนักหลอมโอสถทั่วๆ ไปแล้วการจะหลอมโอสถขั้นสูงขึ้นไปได้ไหมนั้นล้วนแล้วแต่ต้องพึ่งดวงชะตา


แต่นี่เป็นครั้งแรกของเย่หยวน!


“อืม ดูเหมือนข้าจะผ่านสินะ” เย่หยวนบอกออกมาอย่างโล่งใจ


เรื่องที่ผ่านการทดสอบนี้มันย่อมไม่ได้สร้างความตื่นเต้นดีใจให้เย่หยวนเหมือนคนอื่นๆ แต่ตอนนี้เขาได้รู้แน่แล้วว่าพวกผู้อาวุโสกำลังจับตามองตัวเขาอยู่


ฉีหยูพยักหน้าบอก “ในการทดสอบครั้งนี้มีผู้ที่ผ่านคือเย่หยวน มู่หยวนชุน และกู่หง คนทั้งสามนี้จะผ่านเข้าไปเป็นนักบวชฝึกหัดแห่งเมืองจักรพรรดิต้นทรราชเรา คนอื่นๆ ก็จงพยายามกันต่อไป ประตูวิหารเราเปิดต้อนรับผู้คนเสมอ”


แม้ว่าคนอื่นๆ จะผิดหวังแต่พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมรับมัน


การทดสอบนักบวชนั้นมันไม่ได้เป็นเรื่องง่ายๆ เลย


หลังจากทุกคนแยกย้ายกันไป ฉีหยูก็บอกกงหลิน “กงหลิน เจ้าพามู่หยวนชุนกับกู่หงไปก่อน เย่หยวนเจ้าอยู่ต่อ หลังเจ้าจัดการเรื่องใดๆ แล้วจงกลับมาอีกครั้ง”


กงหลินนั้นตื่นตกใจอย่างมากแต่ก็ตอบรับคำไป “ขอรับ!”


มู่หยวนชุนมีสีหน้าที่ไม่ค่อยสู้ดี จิตใจของเขาปั่นป่วนไปจนถึงที่สุด


เดิมทีเกียรติต่างๆ เหล่านี้มันควรจะตกเป็นของเขา


แต่ตอนนี้ทุกสิ่งอย่างกลับไปลงที่เย่หยวนจนหมด


หลังจากคนทั้งสามจากไป ฉีหยูก็หันไปบอกเย่หยวนด้วยสีหน้านิ่งเฉย “เย่หยวน ข้าอยากเห็นฝีมือของเจ้าตอนหลอมโอสถศักดิ์สิทธิ์ดู!”


เย่หยวนยิ้มตอบ “ขอรับท่านผู้อาวุโส!”


เมื่อเขาได้โอกาสแสดงฝีมือ เย่หยวนก็ไม่คิดจะปิดบังใดๆ อีก


จากนั้นเย่หยวนก็เริ่มทำการหลอมโอสถที่มีระดับความยากเดียวกันกับโอสถเมฆานิลฝนมายา


เมื่อเขาหลอมมันจนเสร็จ เขาก็ได้พบว่าพวกฉีหยูทั้งสามคนนั้นมองมายังเขาราวกับว่าเขานั้นเป็นสัตว์ประหลาด


ชื่อเสียงด้านโอสถของเย่หยวนนั้นมันเลื่องลือไปทั่วทั้งสันเขาใต้แล้ว


แต่ในดินแดนอาณาจักรเทพอสูรอันห่างไกลนี้มันย่อมไม่มีใครเคยพบเห็นอะไรเช่นนี้มาก่อน


เมื่อเย่หยวนคิดลงมือ เขาก็ทำให้นักบวชห้าดาวทั้งสามคนต้องตื่นตะลึงอย่างถึงที่สุด


“ไม่แปลกใจเลยจริงๆ! ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าจะเริ่มได้เร็วขนาดนี้! ที่แท้เจ้าก็มีฝีมือด้านโอสถที่สูงล้ำมาก่อนแล้ว!” ฉีหยูบอก


“ด้วยอายุเท่านี้กลับมีความเข้าใจศาสตร์แห่งโอสถถึงระดับปรมาจารย์ ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ!” ผู้อาวุโสอีกคนพูดเสริม


คนทั้งสามนั้นย่อมมองออกมานานแล้วว่าเย่หยวนมีพลังฝีมือที่เหนือล้ำ แต่พวกเขาก็ไม่ได้คิดได้ฝันเลยว่ามันจะสูงส่งได้ถึงขนาดนี้


แม้แต่พวกเขาเหล่านักบวชห้าดาวเองก็ไม่มีปัญญาจะไปเทียบเคียงกับฝีมือของเย่หยวนได้เลย!


เย่หยวนยิ้มตอบ “ผู้อาวุโสทั้งสามชมข้าเกินไปแล้ว เย่หยวนผู้นี้ไม่ได้รู้เรื่องราวใดๆ เกี่ยวกับโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์เลยแต่คิดอยากรู้ถึงมัน เพื่อการนั้นข้าถึงได้เดินทางมายังอาณาจักรเทพอสูรนี้จากแดนไกล ทั้งหมดนี้ก็เพื่อจะได้เรียนรู้การหลอมโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์จากท่านผู้อาวุโสทั้งหลาย!”


ฉีหยูพยักหน้ารับ “เอาล่ะ เช่นนั้นเจ้าก็จงอยู่เรียนรู้ไปพร้อมๆ กับนักบวชฝึกหัดคนอื่นๆ”


เย่หยวนตอบกลับไป “ขอรับผู้อาวุโส!”


หลังจากเย่หยวนเดินออกไปแล้วคนทั้งสามก็มีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นทันที


“ผู้อาวุโสฉีหยู ท่านคิดอะไรอยู่?” ผู้อาวุโสนามคูมู่ถามขึ้น


ผู้อาวุโสอีกคนนามนิคุนจึงเสริม “ผู้อาวุโสฉีหยู ท่านจะมาทำตัวอ่อนแอเช่นนี้ไม่ได้นา ต่อให้เด็กหนุ่มคนนี้มันจะมีสายเลือดอสูรแต่มันก็คงอยู่ในดินแดนมนุษย์มานานและวางแผนร้ายบางอย่างไว้แน่ ของเช่นนี้สังหารให้มันจบๆ ไปจะไม่ดีกว่ารึ?”


ฉีหยูหยุดไปนิดก่อนจะตอบ “การสังหารย่อมจัดการมันลงได้ง่ายดาย แต่มันจะมีประโยชน์ใดกับเรา? เมื่อเทียบกับมนุษย์แล้วอสูรเรามียอดนักหลอมโอสถอยู่แค่หยิบมือ! ด้วยความสามารถของเจ้าเด็กคนนี้หากเราใช้ประโยชน์จากมันได้ มันก็ย่อมจะกลายเป็นยอดคนในเผ่าอสูรในวันหน้าแน่! เรื่องใดที่สำคัญกว่ากันพวกเจ้าคิดไม่ออกหรือ?”


เมื่อคำพูดเหล่านั้นถูกกล่าวออกมา ผู้อาวุโสทั้งสองก็เงียบปากไปทันที


หากเปรียบกับมนุษย์แล้ว ศาสตร์ด้านโอสถของอสูรนั้นตามหลังอย่างเทียบไม่ได้


เรื่องทั้งหลายนี้มันตัดสินโดยผู้มีพรสวรรค์ เผ่าอสูรไม่มีทางพัฒนาใดๆ ไปได้นอกจากนี้


และในด้านการจัดการและทำเรื่องละเอียดอ่อนเช่นนี้ มนุษย์นั้นเก่งกาจกว่าอสูรทั้งหลายมากนัก


นี่จึงทำให้คุณภาพของโอสถนั้นแตกต่างกันออกไปอีก


เมื่อตอนนี้เมื่อมีเย่หยวนผู้มีพรสวรรค์จนทำให้ผู้คนสิ้นหวังปรากฏตัวออกมา มีหรือที่ฉีหยูจะปล่อยมันผ่านไป?


“แล้วท่านจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเขาจะปล่อยให้เราใช้? อย่าได้ลืมไปเล่าว่านี่คือการหลอมโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์ครั้งแรกของเขา มันหมายความว่าเขาอยู่ในดินแดนมนุษย์มาตลอดชีวิต!” นิคุนบอก


ฉีหยูเองก็พยักหน้ารับ “ในสายตาข้านั้นเขาคนนี้ไม่ได้มาที่อาณาจักรเทพอสูรเราเพื่อตามหาความรู้แน่ๆ อย่างน้อยๆ มันก็ต้องไม่ใช่เพราะความกระหายอยากได้ความรู้ เขาต้องมีเป้าหมายอื่น! แต่เรื่องราวเหล่านี้เราควรไปรายงานท่านหัวหน้านักบวชและให้เขาตัดสินใจอีกที”


แน่นอนว่าคนทั้งสองไม่คิดที่จะคัดค้านใดๆ อีก



เย่หยวนย่อมรู้ดีว่าฉีหยูนั้นไม่เชื่อคำของเขาแน่ๆ เรื่องที่ว่าสนใจโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์จนอยากเรียนรู้อะไรนั่น เด็กสามขวบก็ยังมองออก


ก่อนที่เขาจะมานั้นเย่หยวนได้คำนวณถึงเรื่องราวความอันตรายต่างๆ ไว้จนสิ้น


สถานการณ์ของเหล่านักบวชอสูรนี้เย่หยวนเองก็พอจะเข้าใจได้เช่นกัน


เพราะฉะนั้นเขาจึงทิ้งวิธีการเดิมและพยายามแสดงฝีมือของตัวเองออกมาอย่างถึงที่สุดแทนเพื่อที่จะให้ทางวิหารเห็นคุณค่าของตัวเขา


และแน่นอนว่าเป้าหมายนี้มันสำเร็จ


กงหลินพาเย่หยวนมายังตึกใหญ่แห่งหนึ่งด้านหลังวิหาร “นี่คือสถานที่ที่เหล่านักบวชฝึกหัดพักอาศัย เจ้าเพิ่งเข้าวิหารมาและยังเป็นแค่นักบวชฝึกหัดคนหนึ่ง นี่คือชุดนักบวชฝึกหัดของเจ้า ข้าคิดว่าเจ้าเองก็น่าจะรู้ดีแต่วิหารนักบวชเราไม่เลี้ยงขยะหรอกนะ เหล่าทรัพยากรต่างๆ ที่เจ้าต้องการจึงต้องแลกมาด้วยคะแนนความดีทั้งสิ้น”


เย่หยวนรับชุดนักบวชฝึกหัดมาด้วยรอยยิ้ม “ขอบพระคุณศิษย์พี่กง!”


กงหลินพยักหน้ารับและเดินจากไป


เขานั้นมึนงงอยู่ในหัวมาก ด้วยพลังฝีมือระดับเย่หยวน เขาคิดไปเสียว่าผู้อาวุโสทั้งสามน่าจะรับเขาคนนี้ไปเป็นศิษย์โดยตรง


แต่เมื่อเรื่องกลายเป็นเช่นนี้มันก็ย่อมหมายความว่าพวกเขาไม่รับ


ฉีหยูถึงขั้นบอกให้เขาพาเย่หยวนมายังที่พักและไม่ได้สั่งใดๆ อีก


หมายความว่าอาจารย์ของเขาอยากให้เจ้าหนุ่มคนนี้ทำเรื่องราวตามปกติธรรมดา?


เรื่องที่ฉีหยูคิด เขานั้นไม่มีทางคาดเดาออกได้ เขาจึงพาเย่หยวนมายังที่พักตามปกติ


“หึ มากพรสวรรค์แล้วทำไม? ข้าอยากรู้จริงๆ ว่าเจ้าจะอยู่รอดในนี้ได้นานแค่ไหน” กงหลินบ่นออกมา


เขานั้นเป็นนักบวชที่อายุน้อยที่สุดแต่กลับต้องเสียหน้าไปเพราะเย่หยวน มีหรือที่เขาจะไม่เก็บเรื่องนี้มาคิดแค้นในใจได้?


เมื่อได้เห็นว่าเหล่าผู้อาวุโสไม่คิดจะรับเย่หยวนเป็นศิษย์โดยตรง มันก็น่าจะหมายความว่าพวกเขานั้นยังไม่ไว้ใจเย่หยวน


เช่นนั้นหากปล่อยให้เขาได้เจอความลำบากหรือถึงขั้นสูญเสียตัวตนไปบ้างมันก็คงไม่ผิดอะไร


ในหมู่นักบวชฝึกหัดนั้นมันมีจิ้งจอกเฒ่าอยู่หลายต่อหลายคน เย่หยวนย่อมไม่มีทางหาประโยชน์ใดๆ ได้จากที่นี่


เพราะอย่างไรเสียเย่หยวนก็เป็นเพียงแค่นักยุทธอาณาจักรราชันพระเจ้าสี่ดาวเท่านั้น

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)