Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1738-1741
ตอนที่ 1738 หมูหมากาไก่
ด้วยตราประทับเดียวนี้ ลัวยองก็ต้องถึงกับบาดเจ็บปางตาย!
ด้วยพลังบ่มเพาะของเย่หยวนที่สูงขึ้นเรื่อยๆ พลังที่ตรานิพพานแสดงออกมาได้มันก็ยิ่งเติบโตตาม
ตอนนั้นที่เย่หยวนยังอยู่แค่ต้นๆ ของอาณาจักรวายุพระเจ้าสามดาว เขาก็มีพลังฝีมือที่มากพอจะจัดการราชันพระเจ้าหกดาวอย่างเซียโหหยุนได้
ตอนนี้เขายิ่งพัฒนามาถึงยอดของอาณาจักรวายุพระเจ้าสามดาวแล้ว พลังฝีมือที่เขาแสดงออกมามันจึงเหนือล้ำกว่าลัวยองอย่างที่ไม่ต้องเทียบกันเลย
สิ่งที่น่าขำที่สุดก็คือเขาคนนี้กลับกล้าที่จะก่อกวนเย่หยวนมาตลอดทาง
เมื่อถูกตรานิพพานเข้าไป ลัวยองก็ค่อยๆ บาดเจ็บและใกล้ตายลงทุกที ดวงตาของเขานั้นเปี่ยมไปด้วยความไม่อยากเชื่อ
เขารู้ดีว่าเย่หยวนนั้นเก่งกาจ แต่ไม่นึกไม่ฝันว่าเย่หยวนที่สู้กับราชาแมลงนั้นเขาจะยังไม่ได้ใช้พลังฝีมือที่มีออกมาทั้งหมด!
ผู้ฝึกฝนร่างกาย?
บ้าบอสิ้นดี!
เขาจะไปรู้ได้อย่างไรว่าตอนนั้นเย่หยวนต้องสู้อย่างมีข้อจำกัด? ข้อจำกัดที่ว่าเขาไม่สามารถสังหารราชาแมลงลงได้จนกว่าจะเจอสมุนไพรแก้พิษ
แน่นอนว่าสิ่งที่แสดงออกไปตอนนั้นย่อมไม่ใช่พลังฝีมือทั้งหมดของเย่หยวน
ตอนนี้อีกฝ่ายก็หยุดมือลงทันทีพร้อมหันมามองเขาเป็นตาเดียว
ฉีตงอี่นั้นมีหน้าที่เหยเกอย่างถึงที่สุด ดาบของเขาไม่สามารถที่จะแตะต้องได้แม้แต่ชายเสื้อของเย่หยวนเสียด้วยซ้ำ
แนวคิดแห่งห้วงมิติ!
เด็กคนนี้เป็นสัตว์ประหลาดเรอะ?
เขาไปฝึกฝนแนวคิดที่น่ากลัวอย่างแนวคิดแห่งห้วงมิติได้อย่างไร?
“พ-พี่ฉี ช-ช่วยข้าด้วย!” ลัวยองใช้แรงเฮือกสุดท้ายร้องตะโกนออกมา
ฉีตงอี่หน้าเปลี่ยนสีไปทันทีและตะโกนออกมาอย่างเดือดดาล “เจ้าสารเลว กล้ามาหลอกข้าได้! ไปตายเสีย!”
พูดจบฉีตงอี่ก็เหวี่ยงดาบวงแหวนออกไปสุดแรงจนมันกลายเป็นลำแสงพุ่งออกไป
ร่างอันน่าสมเพชของลัวยองถูกผ่าครึ่งออก
ก่อนจะตายไป เขายังคิดอยากให้ฉีตงอี่ช่วย ใครจะไปคาดฝันว่าคนที่ปลิดชีวิตของเขาจะกลับกลายเป็นฉีตงอี่เอง
ฉีตงอี่นั้นสังหารลัวยองด้วยดาบเดียวและยกมือขึ้นมาคารวะเย่หยวนแทนด้วยรอยยิ้ม “ฮ่าๆ น้องชาย เรื่องนี้ล้วนเข้าใจผิดกัน มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดทั้งสิ้น! ลัวยองคนนี้มันหลอกใช้ข้าต่างหาก หวังว่าน้องชายจะไม่เก็บมันใส่ใจ”
เรื่องราวตรงหน้ามันเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมืออย่างรวดเร็วจนคนที่เหลือได้แต่ทำหน้างง
ฉีตงอี่คนนี้มันจะหน้าไม่อายไปหน่อยไหม?
แต่ในเทือกเขาเทพอสูรนี้ เรื่องราวเช่นนี้มันย่อมเกิดขึ้นได้เป็นปกติ หลังจากหายตกใจพวกเขาทั้งหลายจึงเริ่มเบาใจลง
เพราะในที่แห่งนี้มันมีแต่คำว่าผลประโยชน์ ไม่มีมิตรแท้ศัตรูถาวร
ด้วนเผิงเองก็ถอนหายใจยาวออกมา ไม่นึกไม่ฝันเช่นกันว่าฝีมือของเย่หยวนนั้นมันจะแข็งแกร่งมากมายจนจัดการลัวยองได้ด้วยกระบวนท่าเดียวเช่นนี้
ดูแล้ว ฉีตงอี่เองก็คงตื่นกลัวไม่น้อยจนต้องถอนตัวอย่างแทบไม่ทัน
เย่หยวนดูภาพตรงหน้ามาตลอด เห็นการกระทำของฉีตงอี่ทุกอย่างโดยไม่คลาดสายตา
แต่เย่หยวนกลัวยิ้มออกมา “เข้าใจผิด? ข้าว่าไม่มีอะไรเข้าใจผิดกันหรอก! หากฝีมือของข้าต่ำต้อยกว่านี้คนที่นอนตายตรงนั้นก็คงเป็นข้าแทนใช่ไหม?”
ฉีตงอี่ทำหน้าเหยเกทันที “เรื่องนี้…นี่…มันเข้าใจผิดกันจริงๆ! น้องชายจงอย่าได้ไปใส่ใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ วันหน้าฉีตงอี่ผู้นี้จะผูกมิตรเป็นสหายกับเจ้าเอง!”
เย่หยวนมองดูฉีตงอี่ด้วยรอยยิ้มที่แสนเย็นชา “ดูเหมือนเจ้าจะยังไม่เข้าใจสภาพตัวเองนะ! เป็นสหายกับข้า? เจ้ามีค่าพอ?”
ฉีตงอี่หน้าถอดสีและบ่นออกมาอย่างไม่ค่อยพอใจ “เด็กน้อย วันหน้าเดี๋ยวเราก็จะได้เจอกันอีก! ในเทือกเขาเทพอสูรนี้ทุกคนต่างเคยได้พบเจอกันทั้งสิ้น เจ้าอยากจะสู้กันจนตายไปตรงนี้จริงๆ? เจ้านั้นมีฝีมือจริง แต่เรามียอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้าหกดาวสี่คน หากเราสู้กันจนตายจริง เจ้าก็ไม่รู้หรอกว่าใครกันแน่ที่จะอยู่จะตาย!”
เมื่อเย่หยวนได้ยิน เขาก็ยิ้มออกมา “เจ้านี่มั่นใจจริงๆ นะ!”
ฉีตงอี่ยิ้ม “มั่นใจ? พ่อเจ้าคนนี้เดินทางหากินในเทือกเขาเทพอสูรนี้มาไม่รู้กี่ปีต่อกี่ปี หากไม่มีความมั่นใจใดแล้วข้าจะยังอยู่ได้จนถึงวันนี้? หวังเสี่ยว ดูเหมือนน้องชายท่านนี้จะอยากลองมือเราหน่อย มาช่วยกันโจมตี!”
คำสั่งนั้นทำให้ยอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้าหกดาวอีกสามคนเดินเข้ามาร่วมวงทันที
ด้วนเผิงนั้นได้แต่ถอนหายใจ ทั้งๆ ที่เรื่องมันน่าจะจบได้แล้วแท้ๆ แต่เขาไม่นึกเลยว่าเย่หยวนจะเป็นฝ่ายที่สานต่อไม่ยอมจบ!
แม้ว่าเย่หยวนจะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่ไม่ว่าอย่างไรการสู้หนึ่งต่อสี่มันก็คงเกินมือ
แต่ตอนนี้ทางเลือกเดียวของเขาก็คือการยืนข้างเย่หยวน
เย่หยวนกลับบอกออกมา “หัวหน้าด้วน ท่านดูไปเถอะ แค่หมูหมากาไก่เช่นนี้นายน้อยคนนี้ไม่ต้องเอาจริงเสียด้วยซ้ำ”
คำพูดนั้นทำให้ทุกผู้คนตกตะลึง ฉีตงอี่หัวเราะลั่นออกมา “ฮ่าๆๆ หมูหมากาไก่เรอะ! พ่อเจ้าคนนี้ล่ะอยากรู้จริงๆ ว่าฝีมือเจ้ามันดีเท่าปากไหม!”
เย่หยวนชักดาบจักรพรรดิล้ำฟ้าออกมา “ไม่ลองจะรู้ได้อย่างไร?”
พูดไปคลื่นดาบอันรุนแรงก็พุ่งขึ้นสะท้านฟ้า ก่อนที่ร่างของเย่หยวนจะค่อยๆ เบลอไป
ฉีตงอี่ร้องออกมาด้วยความตื่นตระหนก “ผสานแนวคิด!”
แต่ว่ามันก็ไม่มีเวลาเหลือให้เขาได้ตกใจใดๆ แล้ว เพราะเย่หยวนพุ่งเข้ามาหาเขาแล้วเรียบร้อย
เย่หยวนที่ใช้แนวคิดแห่งห้วงมิติ ร่างกายของเขานั้นจะเร็วได้ถึงขั้นไหน?
เขาไม่ต้องใช้วิชาดาบวิญญาณลับเลยด้วยซ้ำ แค่ผสานแนวคิดธรรมดาๆ มันก็มากพอจะกำจัดศัตรูเช่นนี้แล้ว
เย่หยวนพุ่งเข้าไประหว่างกลางคนทั้งสี่ราวกับเสือร้ายโดดเข้ากลางฝูงแกะน้อย กดดันพวกเขาทั้งสี่ไว้จนโงหัวไม่ขึ้น
ในพริบตานั้น ร่างกายของคนทั้งสี่ต่างได้รับบาดเจ็บไปตามๆ กัน
เย่หยวนใช้ช่องว่างแทงดาบออกไปพุ่งตรงเข้าใส่หัวใจของฉีตงอี่
ฉีตงอี่ตื่นตกใจอย่างมาก คิดอยากที่จะหลบแต่มันก็สายเกินไป เขาจึงยกดาบวงแหวนในมือขึ้นมากันการโจมตีนั้นแทน
เคร้ง!
เสียงโลหะกระทบกันดังขึ้นพร้อมๆ กับดวงตาของฉีตงอี่ที่เบิกกว้าง พลังชีวิตของเขาค่อยๆ จางหายไป
เพราะดาบของเย่หยวนนั้นหักดาบของฉีตงอี่ออกเป็นสองท่อน และพลังของมันก็ยังไม่เสื่อมลงพุ่งแทงทะลุหัวใจฉีตงอี่ไป
“เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นหมูหมากาไก่ไหมล่ะ?” เย่หยวนถาม
คนที่เหลือทั้งสามหายใจเข้าแรง ตอนนี้ร่างกายของพวกเขาได้รับบาดเจ็บไม่น้อยพร้อมดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความหวาดกลัว
ราชันพระเจ้าสามดาวคนนี้มันจะเก่งเกินไปแล้ว!
เก่งจนทำให้ผู้คนรู้สึกสิ้นหวัง!
ด้วนเผิงมองดูภาพตรงหน้าด้วยใบหน้าที่ซีดเซียว “ดาบแหวนใหญ่ราชันผีของฉีตงอี่นั้นเป็นถึงสมบัติราชันพระเจ้าเลิศล้ำชั้นกลาง มัน…มันกลับถูกฟันขาดสองท่อน!”
แม้ว่าดาบของเย่หยวนจะเป็นสมบัติราชันพระเจ้าเลิศล้ำชั้นสูงก็ตาม แต่การจะทำลายสมบัติราชันพระเจ้าเลิศล้ำชั้นกลางลงแบบนี้มันคงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เช่นกัน
แค่นี้มันก็แสดงได้อย่างดีแล้วว่าดาบที่เย่หยวนแทงออกไปนั้นมันรุนแรงแค่ไหน!
เย่หยวนเก็บดาบยาวลง ทิ้งร่างไร้วิญญาณของฉีตงอี่ลงกับพื้น
เห็นแบบนั้นแล้วพวกหวังเสี่ยวจะยังมีแรงใดไปกล้าสู้? พวกเขาคุกเข่าลงในทันทีพร้อมพูดด้วยสีหน้าสุดหวาดกลัว “น-นายใหญ่ ไว้ชีวิตเราด้วย! ข้าน้อย…ข้าน้อยมีตาหามีแววไม่! ขอนายใหญ่โปรดไว้ชีวิตเราด้วย!”
เย่หยวนไม่คิดสนใจและหันไปบอกด้วนเผิง “หัวหน้าด้วน ท่านจัดการคนพวกนี้ต่อด้วย”
เรื่องแบบนี้ปล่อยให้หัวหน้าด้วนที่เชี่ยวชาญที่สุดน่าจะดีกว่า
เขายึดของที่คนเหล่านั้นนำติดตัวเข้าเขามาด้วยและปล่อยพวกเขาไปยังทิศทางที่จะหลงได้ง่ายๆ
เมื่อเย่หยวนปล่อยให้เขาจัดการ มันย่อมหมายความว่าเขาไม่คิดที่จะฆ่าใครอีก
ด้วนเผิงเองก็มีชีวิตมานานแสนนาน เขาจึงพอที่จะเข้าใจเรื่องนี้ได้
กลุ่มของฉีตงอี่นั้นล่าสมบัติมาได้หลายชิ้น พวกเขาน่าจะเอาไปขายได้ราคาสูง
แน่นอนว่าเหล่าสมบัติธรรมชาติเหล่านี้ด้วนเผิงย่อมให้เย่หยวนได้ดูก่อนว่าต้องการอะไรไหม
ถ้าเป็นสมุนไพรแล้วเย่หยวนย่อมยินดีรับทุกสิ่งอย่างไว้ เขาจึงเลือกสิ่งที่อยากได้และปล่อยให้พวกเขาทั้งหลายเอาที่เหลือไปแบ่งกัน
เมื่อเสร็จเรื่องราวเหล่านี้ พวกเขาทั้งหลายจึงถอนหายใจออกมาได้อย่างเต็มปอด สายตาที่พวกเขามองไปยังเย่หยวนนั้นแตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
แม้แต่ด้วนเผิงเองก็มองดูเย่หยวนด้วยความกลัว
“เอาล่ะ น่าจะได้เวลาแล้ว ผลภูติดินปีกเงินน่าจะใกล้สุกแล้ว พวกวานรอสูรตาม่วงก็คงทนทานไว้ไม่อยู่แล้ว จากนี้ไปข้าจะเข้าไปล่อวานรอสูรตาม่วงออกมา พวกท่านเข้าไปเก็บผลภูติดินปีกเงินและดอกเครือเขียวตาข่ายหยกออกมา เอาผงนี้ไปด้วย หากพวกค้างคาวพิษรัตติกาลมันเข้ามาโจมตีพวกท่านก็จงใช้มันเสีย พวกค้างคาวพิษรัตติกาลไม่กล้าเข้าใกล้แน่”
พูดไปเย่หยวนก็โยนผงโอสถหลายถุงให้แก่พวกเขาทั้งหลาย
ตอนที่ 1739 วานรอสูรตาม่วง
กลุ่มนักล่าค่อยๆ ซ่อนตัวเดินเข้ามาภายในถ้ำก่อนที่จะได้ยินเสียงดังสนั่นหลายต่อหลายครั้งดังมาเข้าหู
เย่หยวนขมวดคิ้วแน่น “ไม่ดีแล้ว คลื่นพลังเช่นนี้…วานรอสูรตาม่วงกำลังคลั่ง!”
นั่นทำให้ทุกผู้คนหน้าซีดเผือดทันที คลื่นพลังที่แสนรุนแรงนี้มันทำให้หัวใจของพวกเขาแทบหยุดเต้น
ด้วนเผิงนั้นมีหน้าซีดราวกับไก่ต้ม “หากวานรอสูรตาม่วงคลั่งไปแล้ว มันก็อาจจะขึ้นไปถึงระดับราชันพระเจ้าเจ็ดดาวได้เลย! นี่มัน…เราจะทำอย่างไรดี?”
คำพูดนี้มันทำให้ทุกผู้คนต้องคิดหนัก ก่อนที่ทุกคนต้องหยุดเดินลงเพราะภาพการต่อสู้ของวานรอสูรตาม่วงกับสัตว์อสูรยักษ์ที่เห็นตรงหน้า
สัตว์อสูรตัวนี้มันมีพลังที่ล้อเหลือเช่นกัน คงอยู่ในยอดระดับสี่!
แต่ว่าเจ้าวานรอสูรตาม่วงที่กำลังคลั่งนั้นกลับแข็งแกร่งกว่าขั้นหนึ่ง!
หมัดคู่นั้นรัวออกมาราวปืนใหญ่ ต่อยเจ้าสัตว์อสูรตัวยักษ์นั้นจนไม่มีปัญญาจะตอบโต้ใดๆ กลับมาได้
เย่หยวนนั้นมีสายตาที่เฉียบคม แค่เมื่อปราดเดียวเขาก็เห็นว่าผลภูติดินปีกเงินในถ้ำนั้นสุกเต็มที่แล้ว!
ดูท่าเจ้าสัตว์อสูรตัวยักษ์นี้จะถูกกลิ่นมันล่อมา
เมื่อใดก็ตามที่วานรอสูรตาม่วงจัดการเจ้าสัตว์อสูรยักษ์นี้ลงได้ มันก็คงมุ่งหน้าไปเก็บผลภูติดินปีกเงินกินทันที
“อสูรเกราะชาด! มิน่าล่ะถึงปะทะกับวานรอสูรตาม่วงที่กำลังคลั่งได้!” เย่หยวนบอก
หยูจิงสัมผัสได้ถึงพลังที่ลึกล้ำของวานรอสูรตาม่วง หน้าของนางนั้นขาวซีดไร้สีเลือด “เย่หยวน เรา…ไม่เอาแล้วไหม? เจ้าวานรอสูรตาม่วงนี้มันแข็งแกร่งเกินไป ต่อให้เป็นเจ้าก็…”
หยูจิงพูดมาได้แค่นี้ แต่ความหมายของนางนั้นแสนชัดเจน
เย่หยวนนั้นคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของวานรอสูรตาม่วง เพราะฉะนั้นอย่าออกไปเสี่ยงจะดีกว่า
ทุกคนเข้าใจดีว่าแม้เย่หยวนจะมีพลังพอสังหารราชันพระเจ้าหกดาวด้วยกระบวนท่าเดียว แต่การจะไปปะทะสัตว์อสูรระดับราชันพระเจ้าเจ็ดดาวมันก็ยังคงเกินมือไป
เพราะระหว่างราชันพระเจ้าหกดาวและราชันพระเจ้าเจ็ดดาวนั้นมันมีคอขวดที่ยิ่งใหญ่อยู่ พลังฝีมือความแข็งแกร่งของทั้งสองนั้นทิ้งห่างกันลิบลับ
หากเย่หยวนสามารถบรรลุขึ้นอาณาจักรราชันพระเจ้าสี่ดาวได้มันก็อาจจะเป็นอีกเรื่อง
แต่ตอนนี้เย่หยวนยังเป็นแค่ราชันพระเจ้าสามดาวในสายตาของพวกเขา ตัวของเย่หยวนนั้นจึงจะห่างจากเจ้าวานรอสูรตาม่วงคลั่งถึงสองชั้น
ความห่างชั้นระดับนี้มันไม่ใช่สิ่งที่จะใช้พรสวรรค์มากลบทับได้
เพราะอย่างไรเสีย แต่ละชั้นในอาณาจักรราชันพระเจ้านั้นมันก็แสนจะห่างไกลกัน ไม่ต้องไปพูดถึงสองชั้นเลย
ด้วนเผิงเปิดปากพยายามที่จะพูด แต่ก็ไม่พูดออกมา
เพราะเขารู้ดีว่าตอนนี้ตัวเขานั้นไม่มีสิทธิ์พูดอะไร
แต่หากจะให้ถอยตอนนี้ เขาก็ไม่ค่อยอยากยอมสักเท่าไหร่
การเดินทางไปกับเย่หยวนที่หุบร้ายวารีนั้น เขาต้องเสี่ยงชีวิตไม่น้อย
สุดท้ายแล้วหากไม่ได้อะไรเลย เขาจะยังยอมได้หรือ?
ตอนนั้นเองพวกเขาก็ได้ยินเสียงดังขึ้นอีกครั้ง หมัดเหล็กของวานรอสูรตาม่วงต่อยร่างอสูรเกราะชาดจนปลิวไป เจ้าอสูรเกราะชาดนั้นตายอย่างไม่ต้องสงสัย
นั่นทำให้เย่หยวนหน้าเปลี่ยนสีและพุ่งตัวออกไปราวกับสายฟ้าทันที
“ทำตามแผนที่วางกันไว้!”
พูดจบเย่หยวนก็หายไป
เมื่อเขาปรากฏออกมาอีกครั้ง เขาก็ไปยืนอยู่หน้าเจ้าวานรอสูรตาม่วงอันดุร้ายแล้ว
นั่นทำให้คนทั้งสี่หน้าถอดสีทันที ไม่คิดไม่ฝันว่าเย่หยวนจะบ้าบิ่นขนาดนี้ จะห้ามตอนนี้มันก็คงสายไปแล้ว
ด้วนเผิงเปลี่ยนสีหน้าไปมาด้วยความลังเลก่อนจะกัดฟันพูดขึ้น “น้องเย่ช่างเป็นคนที่รักษาคำมั่น การได้เจอเขาในครานี้มันเป็นโชคของด้วนเผิงคนนี้จริงๆ”
ในเทือกเขาเทพอสูรนี้ การได้เจอสหายนิสัยเช่นนี้นั้นนับได้ว่าเป็นอะไรที่ยากเสียยิ่งกว่ายาก
หยูจิงบอกออกมาด้วยท่าทางกังวล “อืม น้องเย่เป็นคนดีจริงๆ!”
อย่างที่เขาว่า เพื่อนแท้นั้นคือเพื่อนยามยาก มันเป็นจริงอย่างไม่ต้องสงสัย
แม้จะเจอศัตรูที่ทรงพลัง เย่หยวนก็กล้าที่จะก้าวออกไปอย่างไม่ลังเล ของแบบนี้เมื่อได้เห็นจะยังมีใครไม่ประทับใจได้อีก?
เย่หยวนเข้าห้วงมิติและมุ่งหน้าเข้าไปในถ้ำ เป้าหมายที่เขาพุ่งเข้าไปหานั้นคือตัวผลภูติดินปีกเงิน!
เจ้าวานรอสูรตาม่วงนั้นเพิ่งจะชนะยอดศัตรูไป มันจึงไม่คิดว่าจะมีศัตรูที่ไหนโผล่ออกมาอีก ส่งผลให้มันโกรธคลั่งออกมาอย่างถึงที่สุด
แค่สภาพคลั่งของมันตอนนี้ก็มีคลื่นพลังที่สูงล้นแล้ว
เมื่อได้เห็นเย่หยวนมันจึงยกหมัดขึ้นสูงด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ
วานรอสูรตาม่วงที่กำลังคลั่งนั้น ไม่ว่าจะเป็นด้านหลังหรือด้านความเร็ว มันก็จะเพิ่มพูนอย่างเหนือล้น
แต่ให้เย่หยวนจะใช้แนวคิดแห่งห้วงมิติ มันก็ยังเป็นความห่างพลังที่มากเกินไป
ในชั่วพริบตานั้นเย่หยวนจึงเลือกที่จะเข้าปะทะกับเจ้าวานรอสูรตาม่วงตรงๆ
เมื่อเขาคิดลงมือ เขาก็ลงมือด้วยสุดยอดกระบวนท่าทันที!
ดาบวิญญาณลับ
ตู้ม!
เย่หยวนรู้สึกเหมือนเครื่องในตัวเองขยับย้ายที่ไปหลายชิ้นพร้อมกระเด็นถอยหลังมาด้วยอาการกระอักเลือด
แต่ฝั่งวานรอสูรตาม่วงเองก็ไม่ได้ดีกว่ากันนัก ดาบนี้ของเย่หยวนมันรุนแรงและรวดเร็วจนเปิดแผลเหวอะขึ้นที่หน้าอกของวานรอสูรตาม่วงได้
“โฮ่ก!”
“โฮ่ก!”
เจ้าวานรอสูรตาม่วงตะโกนกู่ร้องอย่างเดือดดาล เพราะตัวมันถูกมนุษย์ระดับราชันพระเจ้าสามดาวทำร้ายเข้า
เจ้าสัตว์อสูรที่มีนิสัยร้อนแรงไม่ยอมใครง่ายๆ เป็นทุนเดิมที่กำลังคลั่งอยู่นี้ มันยิ่งคลั่งหนักไปกว่าเก่า
ไกลออกมาด้วนเผิงและพวกต่างมองภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้อย่างตกตะลึง
“แข็งแกร่ง! ที่แท้น้องเย่ก็แข็งแกร่งถึงขั้นนี้! ดาบเมื่อกี้นี่มันน่ากลัวเสียจริง!” ด้วนเผิงร้องออกมา
“ราชันพระเจ้าสามดาวกลับทำร้ายวานรอสูรตาม่วงในสภาวะคลั่งได้ ข้ามสองชั้น! แบบนี้…เรื่องแบบนี้มันจะน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!”
หยูจิงบอก “ไม่แปลกใจเลยที่น้องเย่จะทำตัวนิ่งเงียบมาได้ตลอดทาง ที่แท้การกระทำทั้งหลายของลัวยองมันก็เป็นได้แค่เรื่องตลกในสายตาเขา!”
หากเป็นราชันพระเจ้าสามดาวทั่วๆ ไปอย่าว่าแต่วานรอสูรตาม่วงเลย แค่ถูกลมจากหมัดของมันในระยะพันเมตรพวกเขาก็คงตัวแหลกสลายกลายเป็นจุลไปแล้ว
แต่เย่หยวนกลับสามารถแลกดาบกับเจ้าวานรอสูรตาม่วงและถึงขั้นทำให้มันบาดเจ็บได้ เรื่องนี้มันทำลายสามัญสำนึกใดๆ ทิ้งจนสิ้น
จู่ๆ ด้วนเผิงก็หน้าถอดสีลงอีกครั้ง “เดี๋ยวนะ หากมันเข้าสภาวะคลั่งแล้วไม่ว่าจะเป็นพลังป้องกันหรือการฟื้นตัวก็น่าจะเรียกได้ว่าเป็นสัตว์ประหลาด! อาการบาดเจ็บแค่นี้มันไม่มีทางทำอะไรมันได้เลย!”
เป็นตอนนั้นเองที่พวกเขาหันไปเห็นว่าบาดแผลบนหน้าอกของเจ้าวานรอสูรตาม่วงค่อยๆ สมานกันอย่างน่าเหลือเชื่อ
“โฮ่ก!
“โฮ่ก!”
วานรอสูรตาม่วงเงยหน้าตะโกนลั่นฟ้าก่อนจะยกหมัดขึ้นมาทุบลงบนอกของตนและพุ่งตัวเข้ามาหาเย่หยวนราวกับลูกปืนใหญ่
เย่หยวนเองก็ไม่คิดเหมือนกันว่าวานรอสูรตาม่วงจะแข็งแกร่งได้ขนาดนี้
เพราะดาบเมื่อสักครู่นี้นับว่าเป็นยอดการโจมตีของเขาแล้ว แต่มันกลับสร้างได้แค่แผลตื้นๆ ให้เจ้าวานรอสูรตาม่วงเท่านั้น
แต่เป้าหมายของเย่หยวนนั้นไม่ใช่การสู้ให้ชนะวานรอสูรตาม่วงแต่เป็นการล่อมันไปที่อื่น
ฉะนั้นเขาจึงใช้แรงกระแทกส่งร่างตัวเองพุ่งหนีออกไปราวสายฟ้า
“เร็ว!”
เย่หยวนนั้นตื่นตระหนกไม่น้อยเมื่อได้เห็นความเร็วของเจ้าวานรอสูรตาม่วงที่เหนือกว่าที่เขาคาดไปมาก
เย่หยวนที่ใช้แนวคิดแห่งห้วงมิตินั้นมีความเร็วที่เหนือคนธรรมดาไปมากมาย ต่อให้เป็นราชันพระเจ้าหกดาวก็ไม่มีปัญญาจะตามเขาทัน
แต่เจ้าวานรอสูรตาม่วงคลั่งนี้กลับตามเขามาได้ และยังเร็วกว่าเสียด้วยซ้ำ!
เย่หยวนไม่ได้รู้สึกถึงศัตรูที่อันตรายขนาดนี้มานานแสนนาน เขาไม่นึกไม่ฝันว่าตัวเองจะได้มารู้สึกเช่นนี้อีกครั้งกับสัตว์อสูร
หนึ่งวานร หนึ่งคนไล่กันจนหายวับไปจากสายตาของทุกผู้คน
ด้วนเผิงจึงนำพาทุกคนปรากฏกายออกมาและวิ่งเข้าไปด้านในถ้ำทันที
หยูจิงพูดขึ้นอย่างกังวล “วานรอสูรตาม่วงตัวนั้นมันเร็วเหลือเกิน น้องเย่ เขา…เขาจะไม่เป็นไรใช่ไหม?”
หยูจิงนั้นกังวลเรื่องเย่หยวนมาก มากจนน้ำเสียงที่นางพูดออกมาคล้ายกับเสียงสะอื้น
ด้วนเผิงเองก็มีสีหน้าไม่สู้ดีนักแต่ก็ยังกล่าวปลอบออกมา “นี่คือโอกาสที่น้องเย่เสี่ยงชีวิตมอบให้เรา หากเรื่องแค่นี้เรายังทำกันไม่ได้เราก็คงไม่มีหน้าไปพบเขาแล้วจริงๆ! น้องเย่นั้นเป็นคนดวงแข็ง เขาต้องไม่เป็นไรแน่!”
ตอนที่ 1740 ย่นเวลา
ไม่ไกลออกไปพวกเขาทั้งหลายก็พบเข้ากับพืชต้นหนึ่งที่มีความสูงประมาณเอว
บนต้นนั้นมันมีผลไม้สีขาวอมฟ้าอยู่เจ็ดถึงแปดลูก และแน่นอนว่ามันคือผลภูติดินปีกเงิน
พวกด้วนเผิงนั้นรีบเก็บผลภูติดินปีกเงินเข้ากระเป๋าอย่างไม่รอช้า
จากนั้นพวกเขาก็เดินเข้าไปลึกในถ้ำต่อและได้พบกับแหล่งที่มีดอกเครือเขียวตาข่ายหยกขึ้นจริงๆ
ด้วนเผิงกล่าวออกมาอย่างซาบซึ้ง “น้องเย่ผู้นี้ช่างมากความสามารถ รู้จักที่อยู่ของพืชสมุรไพรใดๆ ราวกับมันขึ้นอยู่บนฝ่ามือ!”
หยูจิงบอก “เขารักษาได้แม้แต่พิษแมลงน้ำแข็งเมฆาเพลิง เรื่องแค่นี้จะยังเป็นปัญหาใด?”
ด้วนเผิงพยักหน้ารับ “ทุกคนเตรียมตัว! ระวังพวกค้างคาวพิษรัตติกาลลอบโจมตีด้วย!”
ทุกผู้คนพยักหน้ารับและเตรียมผงที่เย่หยวนมอบให้มา
ตอนนี้พวกเขาทุกคนต่างเชื่อมั่นใจพลังฝีมือและความสามารถของเย่หยวนจนหมดใจ
หากเย่หยวนบอกมาว่าผงนี้มีประโยชน์ มันย่อมมีประโยชน์อย่างแน่นอน
ไม่เช่นนั้นด้วยพลังของค้างคาวพิษรัตติกาลที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าวานรอสูรตาม่วง พวกเขาจะกล้าเดินเข้ามาดุ่มๆ เช่นนี้หรือ?
เมื่อทำการเตรียมผงเสร็จเรียบร้อยพวกเขาทั้งหลายก็มุ่งหน้าเข้ามาเก็บดอกเครือเขียวตาข่ายหยก
เป็นเวลานั้นเองที่เกิดเสียงกระพือปีกดังขึ้นมาจากด้านในถ้ำลึก
จากนั้นพวกเขาทั้งหลายก็ได้เห็นฝูงค้างคาวบินเข้ามาหาคนทั้งสี่อย่างดุดัน
ค้างคาวพวกนี้มีขนาดตัวพอๆ กับหัวมนุษย์ หน้าตาน่ากลัวและน่าสยดสยองอย่างถึงที่สุด
“ถอย!”
ด้วนเผิงตะโกนบอกพร้อมๆ กับโปรยผงที่เย่หยวนให้มาออกไป คนทั้งสามเองก็ทำตาม
“จี้! จี้!”
จู่ๆ เหล่าค้างคาวพิษรัตติกาลอันแสนดุดันก็ส่งเสียงร้องอันทรมานออกมา
เหล่าค้างคาวดิ้นไปมากลางอากาศอยู่นิดหน่อยก่อนที่จะตกลงมาพร้อมเลือดไหลเป็นสาย
เหล่าค้างคาวพิษรัตติกาลที่เหลือก็เหมือนได้เจอกับศัตรูคู่แค้น ได้แต่บินวนไปมาไม่กล้าที่จะเข้าใกล้แม้แต่น้อย
คนทั้งหลายได้เห็นเช่นนี้พวกเขาก็ได้แต่มองภาพตรงหน้าอย่างงงงัน
“ผงนี่มันช่างแรงเสียจริงๆ สัตว์อสูรระดับสี่อย่างค้างคาวพิษรัตติกาลตายลงไปง่ายๆ ในพริบตาเลย!”
“เจ้านี่ดูอย่างไรมันก็เหมือนผงสลายศพชัดๆ แต่พลังของมันนั้นเหนือล้ำกว่าไม่รู้กี่เท่า!”
ด้วนเผิงนั้นยังตื่นตัวและตะโกนบอก “รีบลงมือ!”
คนทั้งหลายไม่กล้าชักช้า รีบเก็บดอกเครือเขียวตาข่ายหยกไปอย่างเร่งรีบ
พวกค้างคาวพิษรัตติกาลได้แต่มองดูภาพตรงหน้าโดยที่ไม่กล้าจะขยับตัวเข้ามาใกล้แม้แต่น้อย
เพราะผงที่กระจายอยู่ในอากาศตอนนี้มันคือพิษร้ายสำหรับพวกมัน
ด้วนเผิงและพวกเก็บดอกเครือเขียวตาข่ายหยกมาอย่างเร่งรีบและถอยออกมาอย่างรีบร้อน
เมื่อคนทั้งสี่กำลังจะออกจากปากถ้ำพวกเขาก็พบว่ามีคลื่นพลังแสนรุนแรงกำลังพุ่งตรงเข้ามาหาจากระยะไกลพร้อมเสียงกู่ร้อง
ด้วนเผิงหน้าถอดสีตะโกนออกมา “ไม่ดีเลว วานรอสูรตาม่วง! หรือว่า…”
น้ำตาของหยูจิงไหลย้อยลงมาพร้อมส่ายหัวอย่างไม่มีหยุด “ไม่! น้องเย่ไม่ตายแน่!”
ด้วนเผิงบอก “ตอนนี้ไม่ใช่เวลาแล้ว หากถูกวานรอสูรตาม่วงจับได้พวกเขาคงตายแน่! รีบวิ่ง!”
แล้วจะยังมีใครกล้าอยู่ต่อ? พวกเขาใช้แรงทั้งหมดที่มีวิ่งหนีอย่างสุดตัว คิดอยากที่จะหนีให้พ้นระยะของวานรอสูรตาม่วง
“โฮ่ก!”
“โฮ่ก!”
วานรอสูรตาม่วงเองก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ด้วยความเร็วที่เหนือล้ำ
ด้วนเผิงหันหน้าไปมองจนหัวใจต้องตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม
ตอนนี้เจ้าวานรอสูรตาม่วงที่กำลังคลั่งอยู่นั้นมีแสงสีม่วงสว่างขึ้นมาที่ดวงตา แสงที่เหมือนจะกลืนกินวิญญาณผู้คนนี้มันคือเครื่องหมายแสดงว่าวานรอสูรตาม่วงกำลังคลั่งอย่างถึงที่สุดแล้ว
วานรอสูรตาม่วงในสภาพนี้ มันย่อมมีพลังที่สุดน่าสะพรึง!
เพราะแม้แต่เย่หยวนยังหนีจากวานรอสูรตาม่วงไม่พ้น คนพวกนี้ย่อมไม่มีทางหนีได้
ในคนทั้งสี่นั้นหยูจิงเป็นคนที่อ่อนแอที่สุดในกลุ่ม และความเร็วของนางเองก็นับว่าช้าที่สุด
ไม่กี่อึดใจเจ้าวานรอสูรตาม่วงก็ตามมาถึง
จู่ๆ หยูจิงก็หยุดเท้าลงและหันไปมองวานรอสูรตาม่วงอย่างโกรธแค้น “เจ้าสัตว์ร้าย เจ้ากล้าสังหารน้องเย่ ข้าจะสู้กับเจ้าให้รู้ดำรู้แดงเอง!”
พูดจบนางก็ใช้แรงที่เหลือทั้งหมดพุ่งตัวเข้าใส่วานรอสูรตาม่วงด้วยดาบในมือ
หยูจิงนั้นรู้ว่านี่คือการฆ่าตัวตาย แต่นางนั้นไม่อยากที่จะหนีอีกต่อไปแล้ว
เมื่อพวกด้วนเผิงเห็นภาพตรงหน้าพวกเขาก็ได้แต่ตกใจจนหน้าซีด
แต่ด้วนเผิงก็แสดงสีหน้าแน่วแน่ออกมาและกัดฟันแน่น “ให้ตายสิ พ่อเจ้าจะสู้กับเจ้าด้วย! ทุกคนโมตีพร้อมกัน แก้แค้นให้น้องเย่!”
พูดจบร่างของเขาก็พุ่งออกไปถึงก่อนแม้จะออกทีหลัง ปะทะกับร่างวานรอสูรตาม่วงเข้าอย่างแรง
แต่ว่าเจ้าวานรอสูรตาม่วงในสภาพที่โกรธจนตาม่วงนี้มันมีพลังที่รุนแรงจนน่าใจหาย
ก่อนจะไปถึงได้คนทั้งสี่ก็รู้สึกได้ถึงความกดดันมหาศาล ราวกับว่าฝีมือของพวกเขามันยกไม่ขึ้นจากพื้น
“โฮ่ก!”
วานรอสูรตาม่วงแกว่งแขนออกมาพร้อมกับฝ่ามืออันทรงพลัง!
ฝ่ามือนี้มันแฝงมาด้วยพลังลมและพัดส่งคนทั้งสี่ลอยจากขวาไปซ้าย
มันไม่ใช่การต่อสู้ในระดับเดียวกันเลย!
วานรอสูรตาม่วงตบออกมาอย่างรวดเร็ว พริบตาฝ่ามือนั้นก็มาถึงหน้าคนทั้งสี่แล้ว
เมื่อฝ่ามือนี้ตกลงมา พวกเขาทั้งสี่ย่อมตายลงอย่างแน่นอน!
ในจังหวะเวลานั้นเองก็มีเงาร่างหนึ่งปรากฏตัวออกมาจากความว่างเปล่าและแทงตรงเข้าไปยังดวงตาของวานรอสูรตาม่วง
มันเกิดขึ้นเร็วมาก มากจนแม้แต่วานรอสูรตาม่วงก็ตั้งรับไม่ทัน
แต่เจ้าวานรอสูรตาม่วงนั้นมีปฏิกิริยาตอบสนองที่เหนือล้ำมันจึงใช้มือเหล็กตบเข้าที่ร่างนั้นอย่างแรง
“อ่อก!”
“โฮ่ก!”
พวกด้วนเผิงทั้งสี่คนถูกตบกระเด็นไป และเย่หยวนที่ออกมาจากความว่างเปล่านั้นเองก็ถูกส่งลอยลิ่วตามไป
แต่ว่าเจ้าวานรอสูรตาม่วงนั้นบาดเจ็บจากการโจมตีของเย่หยวน มันเจ็บปวดจนได้แต่กู่ร้องอย่างทรมาน
“รีบไปซ่อน!”
เย่หยวนกระอักเลือดพร้อมๆ กับสั่งคำสั่งนั้นออกมา
ได้เห็นว่าเย่หยวนยังไม่ตายเช่นนั้นพวกเขาทั้งหลายก็อดที่จะดีใจไม่ได้
ได้ยินคำสั่งของเย่หยวนพวกเขาจึงสะดุ้งและรีบหลบไปหาที่ซ่อนทันที
เย่หยวนพยายามกดเครื่องในที่บาดเจ็บไว้อีกครั้งและวางดาบจักรพรรดิล้ำฟ้าลง
เย่หยวนใช้โอกาสที่วานรอสูรตาม่วงกำลังร้องอย่างเจ็บปวดอยู่นี้กางยันต์แปดทิศออกมาในมือ!
ไม่ไกลออกมาพวกด้วนเผิงที่ได้เห็นนั้นต้องตกตะลึงจนอ้าปากค้าง
“นี่มัน…การหลอมด้วยยอดเต๋าในตำนาน! พระเจ้า!” ด้วนเผิงร้อง
หลังจากนั้นพวกเขาก็ได้เห็นว่ามีโอสถค่อยๆ ก่อตัวขึ้นที่กลางยันต์แปดทิศนั้น
เดิมทีเจ้าวานรอสูรตาม่วงนั้นตามเย่หยวนออกไปจนเกือบจับเขาได้ แต่จู่ๆ มันกลับหันหน้าหนีและวิ่งกลับไปยังถ้ำทันที
เมื่อเย่หยวนเห็นเช่นนั้นเขาก็หน้าซีดเผือดลงทันที เป็นเวลานั้นเองที่เขาได้รู้ว่าเจ้าสัตว์อสูรตัวนี้มันฉลาดและเข้าใจได้ว่านี่คือแผนล่อเสือออกจากถ้ำ
เย่หยวนได้แต่ร่ำร้องอยู่ในใจเพราะด้วยความเร็วของมันตอนนี้ พวกเขาคงไม่มีทางใดเลยที่จะหนีมันไปได้
เขารู้ดีว่าการต่อสู้นั้นคงไม่มีทางเลี่ยงได้แล้ว
เดิมทีเขาคิดว่าการล่อศัตรูออกจากฐานมันจะได้ผล แต่ใครจะไปคิดว่าเจ้าวานรอสูรตาม่วงจะฉลาดกว่าที่เขาคาดเดาไว้มาก
ด้วยพลังของเขาในตอนนี้ มันไม่พอที่จะปะทะกับวานรอสูรตาม่วงเลย
ในเวลาแสนเร่งรีบนั้นเย่หยวนจึงเข้าศิลาจารึกบัลลังก์พิภพไปและสั่งให้หนิงเทียนปิงขับโถงบัลลังก์ม่วงมุ่งหน้ามาทางถ้ำอย่างเต็มความเร็ว
ในศิลาจารึกบัลลังก์พิภพนั้นเย่หยวนได้ใช้ดอกสุคนธรสดำยมโลกที่เพิ่งจะเก็บมาได้เริ่มทำการหลอมโอสถทันที
เดิมทีเขานั้นบอกให้หนิงเทียนปิงรอในโถงบัลลังก์ม่วงมาตลอดและคอยตามพวกหยูจิงไป เพื่อรอเวลาให้เย่หยวนทำการหลอมได้สำเร็จ
ใครจะไปคิดว่าในตอนนั้นหยูจิงกลับกระโดดเข้าไปหาวานรอสูรตาม่วงแทน
เมื่อไม่มีทางเลือกอื่นใดเย่หยวนจึงต้องหยุดทำการหลอมไว้ก่อนและออกมาลอบโจมตีวานรอสูรตาม่วงในเวลาเสี้ยววินาทีเช่นนั้น
แต่ว่าการหลอมที่ถูกหยุดไว้ หากเขาหลอมมันได้ไม่เสร็จสุดท้ายเขาก็คงตายอยู่ดี
อาการบาดเจ็บแค่นี้มันไม่มีทางทำให้วานรอสูรตาม่วงถึงตายได้!
เพราะฉะนั้นเย่หยวนจึงเลือกที่จะเริ่มหลอมโอสถด้วยยอดเต๋าในหม้อหลอมมณีเหลืองพิสุทธิ์เมื่อมีโอกาส!
เพราะเวลาที่ย่นไปในศิลาจารึกบัลลังก์พิภพทำให้ตอนนี้เย่หยวนหลอมไปได้จนถึงขั้นสุดท้ายแล้ว
ไม่นานนักเย่หยวนก็ตะโกนคำว่า ‘หลอม’ ออกมาและเปลี่ยนให้โอสถตรงหน้ากลายเป็นโอสถที่เสร็จสมบูรณ์!
ตอนที่ 1741 ปล่อยไป
เย่หยวนไม่พูดอะไรต่อและรีบกลืนเม็ดโอสถลงไปทันที
พลังวิญญาณอันล้นหลามค่อยๆ เปลี่ยนกลายเป็นปราณเทวะและไหลตรงเข้าสู่พายุกลางทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของเขาทันที
ตู้ม!
พายุศักดิ์สิทธิ์นั้นสั่นสะท้านทำให้ทั้งร่างของเย่หยวนต้องสั่นตาม
ตอนนี้ไม่ใช่แค่ว่าพายุศักดิ์สิทธิ์ของเขาจะไม่ขยายขึ้น แต่มันกลับยิ่งเล็กลงด้วยพลังงานปริศนาแทน
รอบๆ ตัวเย่หยวนมีพลังงานวิญญาณไหลเวียนอย่างบ้าคลั่ง เส้นสายฟ้าบินขึ้นมารอบๆ ตัวเขาเป็นภาพที่น่าตื่นตา
โอสถเม็ดนี้แท้จริงแล้วมีนามว่าโอสถสุคนธรสดำข้น เป็นสูตรโอสถของจอมเทพนิรันดร์ หนึ่งในโอสถที่มีฤทธิ์รุนแรงที่สุด
เพียงแค่ว่าดอกสุคนธรสดำยมโลกนั้นมันเป็นสมุนไพรที่หายากมาก สูตรโอสถนี้มันจึงเรียกได้ว่าไร้ค่าใดๆ มาตลอด
เดิมทีเย่หยวนนั้นก็มีพลังบ่มเพาะในระดับยอดอาณาจักรวายุพระเจ้าสามดาวแล้ว ห่างจากอาณาจักรวายุพระเจ้าสี่ดาวเพียงแค่เอื้อมมือ ตอนนี้ด้วยคลื่นพลังวิญญาณมหาศาลจากโอสถ เย่หยวนจึงสามารถบรรลุขึ้นมาได้โดยไม่ต้องลำบากลำบนใดๆ
และราวกับว่ามันสัมผัสได้ถึงพลังที่กำลังพุ่งสูงของเย่หยวน เจ้าวานรอสูรตาม่วงจึงรีบพุ่งหมัดต่อยมาทางเย่หยวนทันที
เจ้าวานรอสูรตาม่วงตัวนี้มันฉลาดและรู้ได้ถึงพลังอันสูงส่งของเย่หยวน
ตอนนี้เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะบรรลุขึ้นไปอีก มันจึงคิดที่จะขัดระหว่างการบรรลุ!
เรื่องนี้ทำให้สีหน้าของพวกด้วนเผิงเปลี่ยนไปทันควัน เขาตะโกนลั่น “น้องเย่ระวัง!”
อีกด้านเจ้าวานรอสูรตาม่วงนั้นมีดวงตาที่เรียกได้ว่าม่วงจนแดง เป็นภาพที่ราวกับยักษ์มารปีศาจ
พลังและความเร็วของมันในตอนนี้ยิ่งรุนแรงมากกว่าก่อนหน้า!
พริบตาเดียวหมัดนั้นมันก็มาถึงหน้าเย่หยวน
เจ้าวานรอสูรตาม่วงนั้นเบิกตากว้างด้วยท่าทางสุดแสนจะดีใจ
เพราะหากหมัดนี้ต่อยลงไปได้ เจ้ามนุษย์คนตรงหน้านี้คงได้กลายเป็นจุลแน่
เพราะเจ้ามนุษย์นั้นไม่มีเวลาจะถอยหนีใดๆ แล้ว
ปัง!
“อ้า!”
ด้วนเผิงร้องขึ้นด้วยอาการตื่นตะลึง
เพราะภาพที่ตามมานั้นมันทำให้ทุกผู้คนที่เห็นต้องตกตะลึง
หมัดของเจ้าวานรอสูรตาม่วงถูกปล่อยลงมา แต่เย่หยวนกลับอยู่ดีและเป็นเจ้าวานรเองที่ถูกกระทบกระแทกลอยปลิวไปไกล
วานรอสูรตาม่วงตกกระแทกลงกับพื้นและดิ้นไปดิ้นมาอย่างทรมาน แม้แต่ตอนนี้บนร่างของมันก็ยังมีเปลวสายฟ้าสีฟ้าวนลอยอยู่ตามร่าง
พวกด้วนเผิงได้แต่หันมามองหน้ากัน ดูภาพตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อสายตา ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความมึนงง
“ก-เกิดอะไรขึ้น? ทำไมเจ้าวานรอสูรตาม่วงถึงได้กระเด็นกลับไปเองเช่นนี้?”
“ไม่รู้! หมัดเมื่อสักครู่มันแสนจะรุนแรง แต่กลับเหมือนว่าเป็นตัวมันเองที่โดนพลังนั้นเข้า”
“น้องเย่นี่ประหลาดเกินคนจริง! เมื่อกำลังบรรลุจะไม่มีใครสามารถเข้าใกล้เขาได้เลย?”
…
ในระหว่างที่ทุกคนกำลังมองไปอย่างตื่นตกใจนั้น คลื่นพลังของเย่หยวนก็ไปจนถึงจุดสูงสุดและผ่านคอขวดขึ้นอาณาจักรวายุพระเจ้าสี่ดาวไปทันที!
เย่หยวนในตอนนี้ ต่างจากเดิมออกไปจนแทบเรียกได้ว่าเป็นคนละคน!
ตอนที่เย่หยวนบรรลุดาวนั้นเขาต้องใช้พลังวิญญาณที่มากมายมหาศาลกว่านักยุทธธรรมดาทั่วไปหลายเท่านัก
และการบรรลุชั้นในตอนนี้ มันยิ่งต้องใช้พลังวิญญาณที่มหาศาลอย่างเหลือเชื่อกว่า
แล้วถามว่าคลื่นพลังปราณของเขาจะอยู่ในระดับไหน?
ต่อให้เห็นแค่ไกลๆ พวกด้วนเผิงก็เข้าใจได้ถึงความแข็งแกร่งของเย่หยวน
ด้วนเผิงหน้าถอดสีทันที “แข็งแกร่ง! หากตอนนี้เขาคิดอยากสังหารข้า เขาคงลำบากแค่ต้องขยับนิ้วเท่านั้น!”
คนอื่นๆ เองพยักหน้าตามด้วยความเห็นด้วยอย่างสุดใจ
เพราะต่อให้เป็นด้วนเผิงยังรู้สึกเช่นนั้น มีหรือที่พวกเขาทั้งหลายจะทนต่อต้านใดได้
เย่หยวนค่อยๆ เดินเข้าไปหาเจ้าวานรอสูรตาม่วงที่กำลังดิ้นอยู่บนพื้น “ข้ารู้ว่าเจ้าเข้าใจข้า เรื่องนี้มันเป็นความผิดฝั่งเราจริงๆ ฉะนั้นข้าจะไม่สังหารเข้าหรอก ไปเสีย”
เจ้าวานรชักกระตุกอีกสองสามทีก่อนจะก้มลงคุกเข่าต่อเย่หยวนด้วยท่าทางเหมือนมนุษย์ ดูท่าแล้วมันคงกำลังแสดงความขอบคุณต่อเย่หยวนที่ไว้ชีวิตมัน
ดวงตาของวานรอสูรตาม่วงตัวนี้มันได้กลับมาเป็นสีปกติแล้ว แต่ดูเหมือนว่ามันเองก็จะบาดเจ็บไปไม่น้อยดูจากคลื่นพลังของมันที่ตกต่ำลงอย่างมาก
ด้วนเผิงและพวกจึงเดินขึ้นมาหาเย่หยวนอย่างตื่นกังวล “น้องเย่ มันเกือบจะสังหารเราแล้วแท้ๆ ทำไมเจ้าถึงคิดปล่อยมันไปเล่า?”
เพราะตอนที่เย่หยวนสังหารลัวยองหรือฉีตงอี่ เขานั้นไม่มีร่องรอยของความอ่อนโยนใดๆ อยู่เลย
เย่หยวนจึงตอบ “แต่ละชีวิตนั้นล้วนมีวิญญาณ ผู้ที่ควรถูกสังหารก็ย่อมควรถูกสังหาร ผู้ที่ไม่ควรถูกสังหารจะอย่างไรเสียย่อมไม่ควรตาย วานรตัวนี้มันรักษาดูแลผลภูติดินปีกเงินมานานหลายปีแต่กลับถูกเราแย่งชิงไป หากเรายังโหดร้ายคิดสังหารมันอีกมันคงเกินกว่าที่กฎแห่งธรรมชาติจะรับได้ ปล่อยให้มันได้มีหวังในชีวิตไว้บ้างเพื่อชดใช้ความผิดที่เราก่อ”
คนทั้งหลายได้แต่หันมองหน้ากันโดยไม่เข้าใจความหมายนั้น
เย่หยวนยกมือขึ้นมาโบกปัดไล่มันไป เจ้าวานรอสูรตาม่วงเห็นเช่นนั้นก็ตื่นเต้นดีใจรีบหนีหายไปทันที
การตัดสินใจนี้ของเย่หยวน พวกด้วนเผิงย่อมไม่มีใครกล้าจะคัดค้านใดๆ พวกเขากลับมีหน้าตื่นตื่นเต้นดีใจแทน “น้องเย่ช่างมีฝีมือที่เหนือล้ำจินตนาการ! การเดินทางครั้งนี้หากไม่มีเจ้าพวกเราทั้งหลายคนได้ตายอย่างไม่เหลือซากศพใดๆ แล้ว! ด้วนผู้นี้ขอขอบคุณน้องเย่ยิ่งนักที่ช่วยชีวิตไว้! ผลภูติดินปีกเงินและดอกเครือเขียวตาข่ายหยกนี้น้องเย่จงรับไว้เถอะ”
พูดไปด้วนเผิงก็ยื่นแหวนออกมา
เย่หยวนยิ้มตอบและผลักมือของด้วนเผิงพร้อมๆ แหวนกลับไป “ลูกผู้ชายพูดคำไหนคำนั้น ข้าจะมากลืนน้ำลายตัวเองได้อย่างไรกัน? ของเหล่านี้พวกท่านทั้งหลายจงเอาไปแบ่งกันเองเถอะ”
ด้วนเผิงมีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก “น้องเย่ ข้าไม่คิดจะขัดหรอกนะ ข้าแค่…ข้าแค่รู้สึกละอายเหลือเกิน”
เย่หยวนบอก “ข้าได้รับน้ำใจจากท่านแล้ว แต่ด้วยกฎของตัวข้าเองนั้นข้าจะไม่ขอรับของพวกนี้ไว้”
เอาเข้าจริงสมุนไพรทั้งสองชนิดนี้เย่หยวนเองก็สนใจมันไม่น้อย
แต่เขาเองก็มีกฎในการดำเนินชีวิต เดิมทีเขานั้นบอกพวกด้วนเผิงให้ไปหุบร้ายวารีด้วยกันพร้อมคำสัญญา และเมื่อเขาสัญญาไปแล้วเขาย่อมไม่คืนคำ
ที่สำคัญในเวลาหลายปีมานี้เย่หยวนได้ความรู้เรื่องเทือกเขาเทพอสูรนี้จากพวกด้วนเผิงมามากมาย
สมุนไพรเหล่านี้นับว่าเป็นค่าตอบแทนความรู้เหล่านั้น
ด้วนเผิงกล่าวออกมาด้วยใบหน้าเปี่ยมอารมณ์ “น้องเย่ช่างเป็นลูกผู้ชายอย่างแท้จริง ด้วนคนนี้เดินทางในเทือกเขาเทพอสูรมาแสนนาน ได้เรียนรู้ถึงความเลวร้ายและการหลอกลวงมากมาย ได้มาเจอน้องเย่ในวันนี้มันทำให้ข้าละอายนัก”
เย่หยวนบอก “ทุกคนล้วนมีจุดยืนที่แตกต่าง ในเทือกเขาเทพอสูรนี้การจะอยู่รอดได้ย่อมต้องอยู่กับการหลอกลวง หากเป็นข้าที่มาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ ข้าเองก็คงไม่ได้ดีงามไปกว่าพี่ด้วนหรอก”
ตอนนี้เองหยูจิงก็เดินขึ้นมาหาเย่หยวนบ้าง “น้องเย่ เจ้านั้นช่างแตกต่างจากคนทั่วๆ ไปจริงๆ!”
เย่หยวนยิ้มตอบ “เอาล่ะ การเดินทางของเราคงสิ้นสุดแค่นี้ ทุกท่าน ข้าคงต้องขอตัวลา”
นั่นทำให้หยูจิงหน้าเปลี่ยนสีไปด้วยความตื่นตกใจทันที “เจ้าจะไม่กลับไปกับเราหรือ?”
เย่หยวนส่ายหัวออกมา “ข้าจะเดินทางต่อไปยังที่ราบเทพอสูรและคงไม่ได้กลับไปกับพวกท่านแล้ว”
ด้วนเผิงพูดขึ้นอย่างตื่นตกใจ “น้องเย่ อาณาจักรเทพอสูรนั้นมันเป็นสถานที่แปลกประหลาดเต็มไปด้วยยอดอสูรมากมาย มันอันตรายเกินกว่าที่เจ้าจะเดินทางไปคนเดียวนะ!”
เย่หยวนยิ้มตอบ “ข้าย่อมรู้เรื่องนี้ดี แต่ข้านั้นมีเหตุให้ต้องไปจริงๆ พี่จิงหลังจากท่านกลับไปแล้วท่านจงนำสมุนไพรนี้ไปให้น้องชายท่านกินเสีย ไม่เกินครึ่งเดือนเขาคงกลับมาหายดี ถึงตอนนั้นท่านก็สามารถเดินทางกลับบ้านเกิดได้แล้ว”
ได้ยินว่าเย่หยวนกำลังจะจากไป หัวใจของนางกลับรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับพันเล่มทิ่มแทง
แต่หลังจากใช้ชีวิตในเทือกเขาเทพอสูรมานานหลายต่อหลายปี หยูจิงจึงไม่ใช่เด็กสาวตัวน้อยๆ อีกต่อไป
นางฝืนกลั้นอารมณ์นั้นและยกมือขึ้นมาคารวะ “ขอบพระคุณน้องเย่ที่ช่วยเหลือ พี่จิงคนนี้จะจดจำมันไปตลอดชีวิต!”
เย่หยวนยิ้มรับและกล่าวลาทุกคน
เมื่อเห็นว่าแผ่นหลังของเย่หยวนค่อยๆ หายลับไปกับป่าทึบด้วนเผิงก็ถอดหายใจออกมา “น้องจิง น้องเย่นั้น…เขามีชะตาอยู่คนละโลกกับเราอย่างสิ้นเชิง!”
………………………..
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น