Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1728-1733
ตอนที่ 1728 สกัดกั้น
หลังจากเย่หยวนจากไป ชายวัยกลางคนคนหนึ่งก็เดินเข้ามาในห้องของเจียนหงเซียว
เมื่อได้เห็นสภาพของเจียนหงเซียว ชายวัยกลางคนคนนั้นก็หน้าถอดสีทันทีและรีบวิ่งเข้ามาดูอาการ
หากเย่หยวนยังอยู่เขาคงจำได้ทันทีว่านี่คือใคร เพราะชายวัยกลางคนคนนี้คือยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์ที่ออกไปปรากฏตัวในวันนั้น
เขามีนามว่าเจียนเฉิน เป็นศิษย์ที่เจียนหงเซียวไว้วางใจมากที่สุด
“อาจารย์ ท-ท่านไหวไหม?” เจียนเฉินถามด้วยความเป็นห่วง
เจียนหงเซียวโบกมือปัด “ข้า ไอ้เฒ่าคนนี้ยังไม่ตายหรอก แต่ไม่นึกเลยว่าแรงสะท้อนจากยอดเต๋าในครานี้มันจะรุนแรงได้ถึงขั้นนี้!”
เจียนเฉินนั้นมีท่าทางไม่ค่อยจะพอใจสักเท่าไหร่ “อาจารย์ ทำแบบนี้มันคุ้มจริงๆ หรือ?”
เจียนหงเซียวหัวไปมองศิษย์ด้วยรอยยิ้ม “หลังจากอาจารย์ของเจ้าผู้ทำใจได้ ข้าก็คิดและหวังที่จะใช้ที่แห่งนี้เป็นหลุมฝังศพ ใครจะไปคิดว่าก่อนจะจัดสังเวียนร้อยศึกครานี้ เฒ่าคนนี้ได้ลองทำนายชะตาดูและพบว่าเรื่องราวมันกำลังจะสามารถพลิกกลับได้”
นั่นทำให้เจียนเฉินหน้าเปลี่ยนสีไป “หรือจุดพลิกกลับที่ท่านว่านี้คือเด็กคนนั้น?”
เจียนหงเซียวยิ้ม “แม้ว่าเฒ่าคนนี้จะไม่มีปัญญาดูดวงชะตาของเย่หยวนตรงๆ แต่ข้าก็ยังพอมีปัญญาทำนายชะตาตัวเอง และการทำนายนั้นมันบอกว่าเฒ่าคนนี้จะได้เจอจุดพลิกผัน แต่พออยากลองมองให้ลึกลงไปมันกลับมีบางสิ่งบางอย่างที่ถูกปิดบังไว้โดยความลับสวรรค์ หากเอาทั้งสองเรื่องมาเชื่อมโยงกัน มันจะยังมีเรื่องอะไรไปเสียอีกนอกจากเย่หยวน?”
เจียนเฉินมองดูอาจารย์ของตนอย่างตื่นตะลึงและไม่อยากเชื่อ “ท่านอาจารย์ เด็กคนนั้นมันยังเป็นแค่ราชันพระเจ้าชั้นต้นอยู่เลย ท่านต้องรอไปอีกกี่ปีกี่เดือนกัน? ที่สำคัญด้วยพลังชีวิตที่เสียหายอย่างหนักของท่านในตอนนี้ สูญเสียอายุขัยไปมากมายแล้ว ท่าน…ท่านจะอยู่ได้ถึงวันนั้นหรือ?”
เพราะเจียนหงเซียวนั้นเดิมทีก็มีอาการบาดเจ็บจากแรงสะท้อนยอดเต๋าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แค่ก่อนหน้านี้เขาก็มีอายุขัยที่ไม่ยั้งยืนมากแล้ว พลังฝีมือการบ่มเพาะตกลงอย่างมากมาย
ครานี้เพื่อเย่หยวนเขากลับต้องรับบาดเจ็บหนักไปอีกครั้ง พลังชีวิตเสียหายอย่างรุนแรง อายุขัยลดสั้นลงอย่างหนัก
ตอนนี้เจียนเฉินนั้นห่วงว่าอาจารย์ของเขาจะไม่มีชีวิตอยู่ไปจนถึงวันนั้น
เจียนหงเซียวยิ้มตอบ “หึๆ เจ้าและข้าต่างก็เป็นลูกหลายท่านบรรพบุรุษ เราจะไปสงสัยในชะตาของตนได้อย่างไร? คนเสนอ สวรรค์สนอง ข้าคงได้แต่พยายามอย่างถึงที่สุดแล้วที่เหลือมันก็ขึ้นอยู่กับสวรรค์”
เจียนเฉินเงียบลงไปทันที เขาไม่คิดที่จะเถียงกับอาจารย์ของตัวเองอีกแล้ว
เพราะในฐานะคนตระกูลเจียน เขาย่อมต้องทำตัวตามกระแสสวรรค์
หากเมื่อเขาเห็นจุดพลิกผันแล้ว เขาก็ต้องพยายามเข้าไปหามันให้ได้
ดูท่าการฝึกฝนและจิตใจของอาจารย์เขาจะยังลึกล้ำกว่าที่เขามีมาก!
เจียนเฉินเงียบไปพักใหญ่ก่อนจะบอก “ท่านอาจารย์ ศิษย์มีข่าวด่วนมาบอก เซียโหเหวินเจียนจากเมืองจักรพรรดิสงบอุดรได้นำยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์สามคนมุ่งหน้ามายังเมืองจักรพรรดิเลิศประกายเราแล้ว เมืองจักรพรรดิสงบอุดรนั้นเป็นเมืองจักรพรรดิระดับสูงมีกำลังไม่น้อย! เรา…ควรทำอย่างไรดี?”
เจียนหงเซียวไม่ได้แสดงท่าทีตื่นตกใจใดๆ และตอบ “เจ้าออกไปจัดการ แค่เมืองจักรพรรดิสงบอุดรหากมีเรื่องก็มีไป เหตุใดต้องคิดมาก”
เจียนหงเซียวบอกกลับไปด้วยท่าทางสบายๆ ราวกับว่าไม่เห็นเมืองจักรพรรดิสงบอุดรอยู่ในสายตา
…
เย่หยวนบอกลาเจียนเจิ้นเทาและพาหนิงเทียนปิงรีบออกเดินทางจากเมืองจักรพรรดิเลิศประกายทันทีด้วยความเร็วราวพายุมุ่งหน้าสู่อาณาจักรเทพอสูร
อาณาจักรเทพอสูรนั้นเป็นดินแดนที่แสนกว้างใหญ่ ต้องเดินทางผ่านเทือกเขาเทพอสูรไปและเป็นแหล่งรวมตัวของเผ่าอสูรด้วย
นั่นคือดินแดนที่ถูกเรียกว่าอาณาจักรเทพอสูร
อาณาจักรเทพอสูรนั้นเป็นดินแดนที่แสนวุ่นวาย ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ปลาเล็กได้แต่เป็นอาหารให้ปลาใหญ่
บางทีอาจจเพราะว่าอิ้งหมัวหู่ต้องการฝึกฝนตัวเองจึงได้เดินทางไปยังอาณาจักรเทพอสูรเช่นนี้
แต่เขาแค่ไม่คิดว่าอิ้งหมัวหู่จะพาตัวเองเข้าไปเจอภัยแบบนี้
เย่หยวนได้แต่ภาวนาอยู่ในใจหวังว่าอิ้งหมัวหู่จะยังไม่เป็นอะไรไปก่อน
เพราะเวลาที่เดินทางด้วยกันมาหลายต่อหลายปีนี้ อิ้งหมัวหู่นั้นก็เปรียบเสมือนน้องชายเขาไปแล้ว
หากพูดถึงความรู้สึกผูกพัน เขาผูกพันกับอิ้งหมัวหู่ไม่แพ้เยวี่ยเมิ่งลี่เลย
“นายใหญ่ท่านอย่าได้กังวลมากไปเลย น้องอิ้งหมัวหู่นั้นดวงแข็งคงไม่เป็นอะไรไปง่ายๆ หรอก” หนิงเทียนปิงพยายามปลอบ
เย่หยวนก็ได้แต่พยักหน้าและกล่าวออกไป “การเดินทางครั้งนี้แค่เวลาที่ใช้เดินทางมันก็คงกินเวลาหลายสิบปีแล้ว! ด้วยพลังของอิ้งหมัวหู่ในตอนนั้นเขาคงต้องใช้เวลาเหาะไปอย่างน้อยๆ สามร้อยปีและไม่มีทางเลยที่เขาจะกลับมาเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ได้ในเวลาห้าร้อยปี เด็กคนนี้มันไม่ได้สนใจสัญญาห้าร้อยปีของเราเลย ทำข้าเจ็บแค้นใจเสียจริงๆ”
หนิงเทียนปิงยิ้มออกมาอย่างขื่นขม “นายใหญ่ท่านจะไปว่าน้องอิ้งหมัวหู่มากก็คงไม่ได้หรอก ท่านไม่รู้หรอกว่าการอยู่เคียงข้างท่านมันกดดันผู้คนได้มากแค่ไหน ดูอย่างข้าสิ ตอนนั้นข้าบรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้าสามดาวมาได้ในคราเดียว ข้ามีพลังต่อสู้ที่เหนือล้ำกว่าท่าน แต่กี่ปีผ่านไปท่านกลับสามารถจัดการข้าได้ด้วยกระบวนท่าเดียวเสียแล้ว! แม้ว่าข้าจะเชื่อเสมอว่านายใหญ่ท่านจะต้องไปเป็นรองใคร แต่ข้าก็ไม่คิดเหมือนกันว่าวันนั้นมันจะมาถึงรวดเร็วปานนี้!”
เมื่อก่อนนั้นหนิงเทียนปิงยังไม่ค่อยเข้าใจถึงความคิดในหัวของพวกอิ้งหมัวหู่
แต่ตอนนี้เขาได้เข้าใจมันอย่างสุดซึ้งแล้ว
นายใหญ่ของเขานี่มันสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง!
หากวันหนึ่งมาถึงที่เราทำได้แค่เพียงคอยช่วยชงน้ำชาให้นั้น มันคงเรียกได้ว่าสุดเกินกว่าที่จะทนทานไหวแล้ว
แม้ว่าตัวเย่หยวนจะไม่ได้มีเจตนาร้ายใดๆ เลยก็ตาม
ปัง!
จู่ๆ โถงบัลลังก์ม่วงก็สั่นสะท้านไปหมดจนทำให้ทั้งเย่หยวนและหนิงเทียนปิงรู้สึกแน่นอกราวกับถูกของแข็งใดกระแทกเข้าจนต้องกระอักเลือดออกมา
“เด็กนรก เจ้าออกมารับความตายเสีย! ไม่เช่นนั้นข้าผู้นี้จะเขย่าเจ้าจนกว่าจะตายเอง!”
เสียงดังสะท้านดังขึ้นมาจากด้านนอก
เย่หยวนและหนิงเทียนปิงหันมองหน้ากันด้วยความตื่นตกใจ “ยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์!”
ที่สำคัญมันยังไม่ใช่อาณาจักรนภาสวรรค์ทั่วๆ ไปด้วย!
เย่หยวนเก็บโถงบัลลังก์ม่วงไปและปรากฏกายออกมา
ที่ด้านนอกมีคนสี่คนกำลังปิดทางอยู่
“ลุงเซียโห ไอ้นี่แหละ! ไอ้นี่แหละที่มันสังหารพี่หยุน! ลุงเซียโห พี่หยุนตายอย่างอนาถด้วยน้ำมือของมัน! ท่านต้องจัดการแก้แค้นนะ!”
คนที่พูดอยู่นี้ย่อมเป็นเจียงเมิ่งชิง
เมื่อเย่หยวนได้ยินเขาก็เข้าใจเรื่องราวในทันทีว่ายอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์ตรงหน้านี้มาจากไหน
เซียโหเหวินเจียนมองดูเย่หยวนอย่างเย็นชาราวกับเขาเป็นแค่ซากศพซากหนึ่ง
“เด็กนรก สู้กันในสังเวียนแล้วแต่เจ้ากลับกล้าสังหารลูกชายข้า! วันนี้ข้าผู้นี้จะเอาวิญญาณเจ้าออกมาเซ่นต่อหน้าหลุมศพหยุนเอ๋อ!” เซียโหเหวินเจียนตะโกนลั่น
เย่หยวนมองดูใบหน้านั้นและตอบกลับไป “สู้กันในสังเวียนเป็นตายย่อมเป็นเรื่องของชะตา! ที่สำคัญเซียโหหยุนผู้นั้นเองก็เชื่อผู้คนคิดที่จะทำร้ายสังหารข้า มันสมควรตายแล้ว!”
“หุบปาก!”
เซียโหเหวินเจียนตะโกนลั่นฟ้า เสียงของเขานี้ผสานมาด้วยพลังโลกอันหนักแน่น
“อ่อก!”
“อ่อก!”
เย่หยวนและหนิงเทียนปิงนั้นราวกับถูกฟ้าผ่าลงกลางหัว กระอักเลือดออกมาอย่างห้ามตัวเองไม่ได้
แค่เสียงนี้มันก็ทำให้พวกเขาไม่มีแรงใดๆ ไปสู้ขัดขืนแล้ว
แข็งแกร่ง!
เซียโหเหวินเจียนคนนี้ต้องอยู่ในอาณาจักรนภาสวรรค์ชั้นกลางขึ้นไปแน่
ยอดฝีมือระดับนี้ย่อมมีพลังที่เหนือล้ำจินตนาการ
เซียโหเหวินเจียนยิ้มออกมาอย่างเยือกเย็น “เด็กนรก เจ้าจะเอาชีวิตไร้ค่าของเจ้ามาเทียบกับลูกชายข้าได้อย่างไร? หากเขาอยากสังหารเจ้า หน้าที่ของเจ้าก็ย่อมต้องเป็นการยื่นคอออกมาให้เขาตัดสิถึงจะถูก!”
ในสายตาของเซียโหเหวินเจียนนั้นชีวิตของลูกชายเขามีค่าเหนือกว่าสวรรค์
เซียโหหยุนนั้นมีพรสวรรค์ที่มากล้น มากพอที่จะสืบต่อตำแหน่งของเขาได้
เขาคิดว่าแค่จะให้เซียโหหยุนได้ออกไปสร้างชื่อที่เมืองจักรพรรดิเลิศประกาย
ใครจะไปคิดว่าสุดท้ายลูกของเขาจะจากไปตลอดกาล
เจียงเมิ่งชิงเองก็มีใบหน้าที่โกรธแค้นไม่น้อย “ไอ้ชั่วทั้งสอง! เจ้าคิดเอาชีวิตของตัวเองมาเทียบค่ากับพี่หยุนได้อย่างไร? วันนี้แหละข้าจะแก้แค้นให้พี่หยุน!”
พูดจบเจียงเมิ่งชิงก็ชักดาบยาวออกมาพุ่งเข้าใส่เย่หยวน
แล้วมีหรือที่เย่หยวนจะยอมง่ายๆ? เขากำลังเตรียมที่จะสวนกลับไปแต่จู่ๆ ก็รู้สึกได้ถึงพลังโลกที่กดดันลงมาอย่างมหาศาลทำให้เขาแทบจะขยับตัวไม่ได้!
เย่หยวนหน้าแดงก่ำ แสงสีทองค่อยๆ เปล่งออกมาจากร่างของเขาพร้อมด้วยลายสีฟ้าที่ร่ายรำอย่างรุนแรง
เคร้ง!
ดาบของเจียงเมิ่งชิงเหมือนแทงถูกเหล็กเข้า ทำให้แขนของนางต้องชาไปทั้งท่อน
“พี่เซียโห เย่หยวนนั้นเป็นแขกคนสำคัญของเมืองจักรพรรดิเลิศประกายเรา ท่านจะช่วยรามือและแสดงความเมตตาปล่อยเขาไปได้หรือไม่”
ตอนนั้นเองที่มีเงาร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมาพูดกับเซียโหเหวินเจียน
ตอนที่ 1729 หนึ่งฝ่ามือล่อง
เจียนเฉินเร่งรีบเดินทางออกมาจนตามทันได้ในที่สุด
ส่วนอีกด้านตอนนี้เจียงเมิ่งชิงนั้นถูกเย่หยวนซัดสะท้อนกลับปลิวไป หลังจากโซเซไปพักใหญ่นางถึงเริ่มกลับมาตั้งหลักยืนหยัดได้
นางหันมามองเย่หยวนด้วยใบหน้าตื่นตะลึง
นางไม่เคยคาดคิดว่าแม้อีกฝ่ายจะขยับตัวไม่ได้สักนิดแต่เขาก็ยังกลับมีพลังมากพอที่จะต่อต้านดาบของนางได้!
เจียนเฉินปล่อยพลังโลกของตนออกมาช่วยปลดปล่อยเย่หยวน
เซียโหเหวินเจียนหน้าถอดสีทันทีและหันไปคุยกับเจียนเฉิน “อาจารย์เจียนเฉิน ข้าผู้นี้ถึงขั้นยอมที่จะรอให้เด็กนรกคนนี้มันออกมาจากดินแดนของเมืองจักรพรรดิเลิศประกายก่อนแล้วค่อยลงมือ แค่นั้นมันยังไม่พอต่อเมืองจักรพรรดิเลิศประกายของท่านอีกหรือ!”
เจียนเฉินยกมือขึ้นมาคารวะ “ความจริงใจของพี่เซียโหนั้นเจียนเฉินย่อมเห็นดี แต่…เย่หยวนและอาจารย์ของข้านั้นได้กลายเป็นสหายต่างวัยกันไปแล้ว พี่เซียโหช่วยเห็นแก่หน้าเจียนเฉินคนนี้และปล่อยเขาไปจะได้หรือไม่?”
เซียโหเหวินเจียนมีสีหน้าไม่ค่อยดีนักเมื่อได้ยิน เพราะเจียนเฉินนั้นคือยอดผู้อาวุโสของเมืองจักรพรรดิเลิศประกาย เป็นผู้ที่กุมพลังอำนาจไว้อย่างมากมาย
ในสถานการณ์ปกติเขาคงยอมที่จะเห็นแก่หน้าอีกฝ่ายเป็นแน่
แต่ตอนนี้ลูกชายของเขาตายลง!
เมื่อศัตรูร้ายนั้นมาอยู่ตรงหน้าแล้ว มีหรือที่เขาจะยอมแพ้ไม่ทำการแก้แค้นให้ลูกได้?
ไม่ เขาไม่มีทางยอม!
“อาจารย์เจียนเฉิน เรื่องอื่นข้าผู้นี้ย่อมยอมให้ได้ แต่เรื่องในครั้งนี้ต้องขออภัยเป็นอย่างสูงที่ไม่สามารถทำตามได้! ไอ้เด็กคนนี้มันสังหารหยุนเอ๋อของข้า ไม่แก้แค้นนี้หยุนเอ๋อคงตายตาไม่หลับแน่!” เซียโหเหวินเจียนบอกพร้อมหันไปมองดูเย่หยวน
นั่นทำให้เจียนเฉินหน้าเปลี่ยนสีไปทันที เพราะตอนนี้อีกฝ่ายพร้อมที่จะมีเรื่องอย่างเต็มที่แล้ว!
เมืองจักรพรรดิเลิศประกายของเขานั้นจัดงานสังเวียนร้อยศึกมาหลายต่อหลายครั้ง มียอดอัจฉริยะต้องตายในงานไปไม่น้อย
หากทุกผู้คนมาหาเรื่องเช่นนี้แล้วเมืองจักรพรรดิเลิศประกายจะยังเอาหน้าไปไว้ที่ไหนได้?
เจียนเฉินตอบกลับมา “พี่เซียโหพูดคำเหล่านั้นออกมาอย่างไร้เหตุผลเสียจริงๆ! เมื่อขึ้นสังเวียนร้อยศึกไปแล้วจะอยู่หรือตายมันก็ย่อมเป็นความรับผิดชอบของเจ้าตัว นี่คือกฎในเมืองจักรพรรดิเลิศประกายเรา การที่พี่เซียโหทำเช่นนี้มันไม่เท่ากับว่าเป็นการลบหลู่เมืองจักรพรรดิเลิศประกายเราหรือ?”
แน่นอนว่าคำพูดนั้นของเจียนเฉินมันทำให้เซียโหเหวินเจียนหน้าถอดสีทันที!
เมืองจักรพรรดิเลิศประกายนั้นมีอำนาจมากมายมหาศาล ไม่ใช่พลังรบที่แข็งแกร่ง แต่เป็นอำนาจจากเส้นสายที่แผ่กระจายไปทั่วทั้งแผ่นดินต่างหาก
ตอนนี้เหล่ายอดคนในเมืองจักรพรรดิต่างๆ นั้นล้วนแล้วแต่มีสายสัมพันธ์กับเมืองจักรพรรดิเลิศประกายทั้งสิ้น
หากเมืองจักรพรรดิเลิศประกายคิดขอความช่วยเหลือจากพวกเขาเหล่านั้น ต่อให้จะมีคนมาแค่สองจากสิบมันก็มากพอที่จะทำลายเมืองจักรพรรดิสักเมืองหรือสองเมืองได้ง่ายๆ
นั่นคือจุดที่น่ากลัวที่สุดของเมืองจักรพรรดิเลิศประกาย
เจียนเฉินมองดูยังเย่หยวนและเห็นว่าเด็กหนุ่มร่างกายอาบไปด้วยเลือด ดูท่าคงบาดเจ็บภายในไปไม่น้อยเลยทีเดียว
ภาพที่เห็นนี้มันทำให้จิตใจของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความโกรธแค้น!
เพราะอาจารย์ของเขาอุตส่าห์ลงทุนทำนายให้เย่หยวนไป แต่เซียโหเหวินเจียนกลับเกือบจะสังหารความหวังนั้นลง มีหรือที่เขาจะยังใจเย็นได้?
“ฮึ่ม! เจียนเฉิน อย่าได้ใช้ชื่อเมืองจักรพรรดิเลิศประกายมาขู่ข้านักเลย! เรื่องคนอื่นข้าไม่สน แต่วันนี้ความแค้นของลูกชายนั้นข้าต้องสะสางมันลงให้ได้! วันนี้เจ้าเด็กนรกนี่ต้องตาย!”
เจียนเฉินคิดว่าเซียโหเหวินเจียนน่าจะกลัว แต่ใครจะไปรู้ว่าหลังคิดอยู่พักหนึ่งเซียโหเหวินเจียนกลับพูดเช่นนี้ออกมาแทน
นั่นทำให้เจียนเฉินหน้าซีดลงทันที “เซียโหเหวินเจียน เจ้าคนโอหัง!”
เซียโหเหวินเจียนตอบ “เจียนเฉิน ข้าไม่ได้มาในวันนี้ด้วยฐานะยอดผู้อาวุโสจากเมืองจักรพรรดิสงบอุดร แต่มาด้วยฐานะคนเป็นพ่อ! วันนี้ต่อให้ใครจะมาหยุดข้า ข้าก็จะสังหาร จะหน้าอินทร์หน้าพรหมใดๆ ก็ไม่สนทั้งสิ้น!”
“เจ้ากล้า?!” เจียนเฉินเดินขึ้นมาบังด้านหน้าเย่หยวนทันที
เย่หยวนเองก็หน้าถอดสีไปเช่นกัน เพราะตอนนี้อีกฝ่ายมันคือคนบ้าชัดๆ
เซียโหเหวินเจียนหัวเราะและยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย “ทำไมจะไม่กล้า? ข้าผู้นี้คือยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์เจ็ดดาว ส่วนเจ้านั้นเป็นแค่อาณาจักรนภาสวรรค์ห้าดาว! หากข้าผู้นี้อยากสังหารเจ้าจะมีปัญญามาหยุด? เจ้าทั้งสองคนไปหยุดมันไว้! ข้าจะไปสังหารเจ้าเด็กนรกนี้และแก้แค้นให้หยุนเอ๋อด้วยตัวเอง!”
คนที่เซียโหเหวินเจียนพามาด้วยนั้นเองก็เป็นยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์ชั้นกลาง หาคนทั้งสองร่วมมือกันแล้วแม้แต่เจียนเฉินก็ไม่สามารถจะหลุดไปได้แน่
เจียนเฉินหน้าถอดสีและหันไปบอกเย่หยวน “รีบไป หนีกลับไปทางเมืองจักรพรรดิเลิศประกาย!”
เย่หยวนพยักหน้ารับและรีบเข้าโถงบัลลังก์ม่วงไป ก่อนจะรีบเร่งความเร็วพุ่งตรงไปยังเมืองจักรพรรดิเลิศประกาย
เขารู้ดีว่าเซียโหเหวินเจียนนั้นคงไม่กล้าสังหารเจียนเฉินแน่ เขาจึงไม่ต้องกลัวว่าผู้อาวุโสท่านนี้จะเป็นอะไรไปก่อนตัวเขา
“คิดจะหนีเรอะ? เมื่อข้าอยู่ตรงนี้แล้วเจ้ายังจะหนีได้อีก?”
เซียโหเหวินเจียนหัวเราะลั่นขยับร่างหายตัวไปทันที
เจียนเฉินพยายามที่จะเข้าหยุดไว้ แต่สองยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์ที่มาด้วยก็เข้ามาดักทาง
สองต่อหนึ่ง เจียนเฉินจึงไม่มีทางหลุดรอดออกไปได้เลย
ในโถงบัลลังก์ม่วง เย่หยวนเองก็มีสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีได้แต่กัดฟันแน่น “เร็ว!”
ยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์เจ็ดดาว คนเช่นนี้ย่อมมีพลังที่เหนือจินตนาการ
เย่หยวนมั่นใจว่าหากเป็นยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์หนึ่งดาวเขาจะสามารถหลบหนีอีกฝ่ายได้ด้วยความเร็วของโถงบัลลังก์ม่วง แต่เมื่อต้องมาอยู่ต่อหน้ายอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์เจ็ดดาวแล้วมันก็ไม่มีทางหนีได้เลย!
เซียโหเหวินเจียนพุ่งตัวมาจับโถงบัลลังก์ม่วงไว้ได้
คลื่นพลังอันน่าเกรงกลัวปกคลุมโถงบัลลังก์ม่วงไว้ในทันที
“เฮอะ สมบัติล้ำค่าเสียจริงๆ! ข้าโจมตีไปสุดตัวแล้วแต่มันก็ยังไม่มีแม้แต่รอยร้าว! สมบัติเทพถ่องแท้เลิศล้ำ! เรื่องครั้งนี้คงเป็นประโยชน์กับข้าไม่น้อยแล้ว!”
เซียโหเหวินเจียนหัวเราะอย่างชั่วช้าและยกมือขึ้นมาประทับอีกฝ่ามือ!
ปัง!
โถงบัลลังก์ม่วงที่ไม่มีทางหนีได้ต้องรับมันไว้อย่างแรง
ต่อให้เย่หยวนจะเปิดกลไกการป้องกันของโถงบัลลังก์ม่วงจนสุดแล้วแต่ฝ่ามือนี้มันก็ยังส่งผลมาถึงด้านในทำให้เขาต้องกระอักเลือดคำโต
“ให้ตายสิ! ไม่นึกเลยว่าพ่อของเซียโหหยุนจะเป็นยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์เจ็ดดาวเช่นนี้!” เย่หยวนกัดฟันกรอด
การปรากฏตัวของเซียโหเหวินเจียนนั้นมันเหนือความคาดหมายเขาไปหน่อย
เจ้าหมอนี่มันแข็งแกร่งเกินไป
ปัง!
อีกฝ่ามือประทับลงมา!
เย่หยวนนั้นสั่นสะท้านไปจนถึงกระดูก
“ฮ่าๆๆ! การโจมตีหน้าคงสังหารเจ้าได้แล้ว! หยุนเอ๋อ พ่อเจ้าจะแก้แค้นให้เจ้าเดี๋ยวนี้ล่ะ!”
เซียโหเหวินเจียนหัวเราะลั่นฟ้า มีถุงมือปรากฏขึ้นมาบนมือของเขาไม่รู้ตั้งแต่ตอนไหน!
เย่หยวนหน้าซีดเผือดลงทันที “ไม่ดีแล้ว! สมบัตินภาสวรรค์เลิศล้ำ!”
ยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์เจ็ดดาวที่ใส่สมบัตินภาสวรรค์เลิศล้ำ มันเป็นพลังที่ไม่สามารถคาดเดาได้เลย
ต่อให้มีโถงบัลลังก์ม่วงคอยปกป้องไว้อยู่ เย่หยวนก็ยังรู้สึกได้ถึงพลังอันแสนน่ากลัวจากด้านนอก
หากมือนี้ถูกปล่อยลงมา ทั้งเขาและหนิงเทียนปิงคงไม่มีโอกาสรอดไปแน่!
“ไปตายเสีย!”
เซียโหเหวินเจียนหัวเราะอย่างชั่วช้าและต่อยหมัดลงมา
แต่เป็นตอนนั้นเองที่มีพลังฝ่ามือล่องลอยมาจากเส้นขอบฟ้าและเข้าปะทะในทันที!
เซียโหเหวินเจียนนั้นกำลังดีใจที่จะได้แก้แค้น ก่อนที่ร่างของเขาจะถูกปะทะเข้ากับพลังงานอันแสนรุนแรงนั้น
หัวใจของเขาเต้นแรง หมัดที่เพิ่งปล่อยออกมาเองก็หยุดชะงักลงเช่นกัน
“อ้าก!”
เสียงกรีดร้องดังขึ้น
ปัง!
ด้วยฝ่ามือเดียวนั้น ร่างของเซียโหเหวินเจียนก็กลายเป็นจุลไป!
เย่หยวนและหนิงเทียนปิงหันมองหน้ากันด้วยความตื่นตะลึงอย่างเต็มหัวใจ
“นายใหญ่ นี่มัน…ใครกัน? แข็งแกร่ง! ยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์เจ็ดดาวกลับตายลงด้วยฝ่ามือเดียวเช่นนี้!” หนิงเทียนปิงกล่าวอย่างตกตะลึง
เย่หยวนบอก “ท่านเจ้าศาลามายาล้ำ!”
หนิงเทียนปิงเปิดปากกว้าง “ไม่มีทางใช่ไหม? ท่านเจ้าศาลามายาล้ำนั้นอย่างมากก็คงเป็นแค่อาณาจักรนภาสวรรค์เก้าดาว? จะแข็งแกร่งปานนี้ได้อย่างไร?”
เพราะฝ่ามือนี้ไม่ใช่ฝ่ามือระยะใกล้ มันเป็นฝ่ามือที่ล่องลอยตามกระแสลมมาจากเส้นขอบฟ้าในระยะหลายหมื่นกิโลเมตร!
วิธีการโจมตีนี้มันช่างแสนจะเหลือเชื่อจริงๆ!
เย่หยวนยิ้มแห้งๆ ออกมา “ดูท่าเราจะดูถูกท่านเจ้าศาลามายาล้ำเกินไป! พลังฝีมือของท่านแต่เดิมทีคงอยู่ในอาณาจักรเทพถ่องแท้ไม่ผิดแน่!”
“สหายหนุ่มเย่หยวน รักษาตัวด้วย เฒ่าคนนี้คงออกไปส่งไม่ไหว!” ตอนนั้นเองที่มีเสียงแก่ๆ ลอยมาตามลม
เย่หยวนจึงลุกขึ้นก้มหัวคารวะไปยังเมืองจักรพรรดิเลิศประกาย
ตอนที่ 1730 เทือกเขาเทพอสูร
เทือกเขาเทพอสูรนั้นทอดตัวยาวไม่รู้กี่ล้านกิโลเมตรและเป็นที่หลบซ่อนตัวของสัตว์อสูรจำนวนมากมาย
ส่วนที่ติดกับเทือกเขาเทพอสูรนั้นก็คือที่ราบเทพอสูร
เมื่อนับที่ราบเทพสูรเข้ากับเทือกเขาเทพอสูรแล้ว มันก็จะเรียกรวมๆ ว่าอาณาจักรเทพอสูร
นี่คือสถานที่ดั่งสรวงสวรรค์ของเผ่าอสูร
และในขณะนี้ก็มีนักยุทธในชุดธรรมดาๆ หกคนกำลังเดินทางอยู่ภายในเทือกเขาเทพอสูรนี้
ชายวัยกลางคนท่าทางผอมแห้งคนหนึ่งบอกด้วยสีหน้าไม่ค่อยพอใจ “นี่หัวหน้าด้วน ทำไมเราต้องพาราชันพระเจ้าสามดาวมาด้วยเนี่ย?”
เสียงของเขานั้นดังมากอย่างไม่มีการปิดบังดูท่าจะเจตนาตั้งใจให้ทุกผู้คนได้ยินมัน
หัวหน้าด้วนมองดูที่เด็กหนุ่มที่ตามหลังกลุ่มมาและบอกอย่างเสียไม่ได้ “ไม่มีทางเลือกแล้ว ช่วงนี้พวกสัตว์อสูรในเทือกเขาเทพอสูรนี้มันก็ทำตัวไม่ปกติด้วย คนที่คิดอยากจะเข้ามาในเทือกเขามันมีน้อยเป็นทุนเดิมแล้ว และครานี้ข้าก็ช้าเองพวกเก่งๆ โดนคนอื่นเขาเลือกกันไปหมดแล้ว”
ชายร่างผอมแห้งนั้นตอบกลับมา “หัวหน้าด้วน เขาว่าไปตัวเปล่ายังดีกว่าไปกับตัวถ่วงนะ ไม่รู้หรือ? พาขยะแบบนี้มาด้วยมันจะช่วยอะไรเราได้? แถมเสร็จงานมันยังต้องมาแบ่งสมบัติกับเราอีก นี่มันเสียประโยชน์ไปเปล่าๆ เลยมิใช่หรือ?”
เอาล่ะ ลัวยอง ไหนๆ ก็มากันแล้วจะยังว่ากล่าวอะไรให้เสียเวลาอีก? มีคนเพิ่มย่อมเป็นประโยชน์ช่วยเสริมกำลังได้เสมอแหละ”
เป็นตอนนั้นเองที่มีสาวงามคนหนึ่งในกลุ่มที่ทนฟังไม่ไหวต้องออกมาช่วยพูดแทนให้
สาวงามนางนี้มีนามว่าหยูจิง เป็นสมาชิกหญิงเพียงคนเดียวในกลุ่มและเป็นราชันพระเจ้าห้าดาว
เมื่อเห็นว่าหยูจิงออกมาพูดเช่นนั้น ลัวยองจึงเปลี่ยนสีหน้าและท่าทางกลับมาพูดด้วยรอยยิ้มทันที “หึๆ ไหนๆ น้องจิงก็ว่ามาแล้วข้าเองก็จะไม่พูดถึงมันอีกละกัน หากไม่เห็นแก่หน้าน้องจิงแล้ว ลัวคนนี้คงไม่ยอมมาในครานี้แน่ๆ แต่ว่าหากเจ้าเด็กคนนั้นมันไม่พยายามช่วยอะไรเราจริงๆ และยังอยากแบ่งสมบัติ ลัวคนนี้จะหัวเด็ดตีนขาดอย่างไรก็ไม่ยอมหรอกนะ!”
หัวหน้าด้วนบอก “ข้าพูดกับสหายเย่เรื่องนี้ไว้แล้ว เจ้าไม่ต้องกังวลไป”
ลัวยองพ่นลมหายใจและในที่สุดก็หยุดพูดลง
หยูจิงเดินเข้ามาหาตัวเด็กหนุ่มและบอก “น้องเย่หยวนอย่าได้ไปสนคำของลัวยองเลย เขาแค่พูดไปเท่านั้นแหละมันไม่ได้มีเจตนาร้ายหรอก อย่าใสใจเลยนะ”
แน่นอนว่าชายหนุ่มคนที่ว่านี้ย่อมเป็นเย่หยวนที่เดินทางมาแสนไกล
เดิมทีเขาคิดที่จะเข้ามาในเทือกเขาเทพอสูรนี้ด้วยตัวเองแต่ด้วยคำรบเร้าชี้นำของหวู่เฉินสุดท้ายเขาจึงเลือกที่จะยอมทำตาม
กลุ่มนักล่าแถบเทือกเขาเทพอสูรนั้นมีหลายต่อหลายกลุ่ม และการเข้าไปคนเดียวนั้นมันจะโดดเด่นจนเกินไป
พลังฝีมือที่เย่หยวนแสดงออกมานั้นมันก็ไม่ได้แข็งแกร่งมากมายด้วย มันจะดึงดูดสายตาผู้คนเข้ามาหาได้จนเกินพอดี
แม้ว่าเย่หยวนจะไม่กลัวเรื่องราวแบบนั้น แต่เลี่ยงได้ก็ควรจะเลี่ยงก่อน
ที่สำคัญเหล่านักล่าเหล่านี้นั้นคุ้นชินกับเทือกเขาเทพอสูรมาก รู้ดีว่าที่ไหนปลอดภัย ที่ไหนอันตราย พวกนี้รู้ดีถึงสิ่งเหล่านั้น
การตามติดพวกเขาเหล่านี้ไปย่อมจะช่วยให้เขาได้เข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้ของเทือกเขาเทพอสูร
ไม่เช่นนั้นหากเผลอเดินเข้าดินแดนของยอดอสูร ถึงเวลานั้นต่อให้เย่หยวนจะมีสามหัวหกแขนมันก็คงไม่พอที่จะจัดการรับมือ
ในเมืองจักรพรรดิแนบอสูรใกล้ๆ นี้มีสถานที่ที่คอยรับสมัครนักยุทธอยู่
และนี่ก็คือกลุ่มนักล่าที่รวมตัวกันเฉพาะกิจ
หัวหน้าด้วนนั้นมีนามว่าด้วนเผิง เขาเป็นราชันพระเจ้าหกดาว
ตอนที่เขาคิดอยากเข้ามาในเทือกเขาเขาก็ได้ไปยังสถานที่รวมตัวนักยุทธและหาตัวเพื่อนร่วมกลุ่มมาช่วยกันหลายคน
แน่นอนว่าพวกเขาเหล่านั้นย่อมต้องมีการตกลงราคาค่าจ้างช่วยเหลือกันไป
สมบัติใดๆ ที่พบเจอในเทือกเขาเทพอสูรนี้ย่อมต้องตกเป็นของพวกเขาส่วนหนึ่งด้วย
และด้วยพลังบ่มเพาะของเย่หยวนที่ดูเหมือนราชันพระเจ้าสามดาว มันจึงไม่มีใครในเมืองสนใจเขามากมายนัก
หากไม่ใช่เพราะต้องไปเลือกขอเหลือทิ้งมา หัวหน้าดวนเองก็คงไม่คิดสนใจเย่หยวนเช่นกัน
เย่หยวนยิ้มตอบหยูจิง “ขอบพระคุณที่พี่หญิงช่วยพูดให้ข้า”
หยูจิงยิ้ม “นี่เจ้าเองก็กล้าไม่เบานะถึงขนาดไปสัญญากับหัวหน้าด้วนได้! ที่ที่เขาคิดอยากไปนั้นมันไม่ใช่สถานที่ที่เจ้าจะไปได้เลย หากให้ข้าเดาเจ้าคงเป็นลูกหลานศิษย์ตระกูลใหญ่ที่ไหนสักแห่งที่มาเทือกเขาเทพอสูรเพื่อฝึกตัวใช่ไหม?”
ในเทือกเขาเทพอสูรนี้สถานที่ที่แตกต่างมันย่อมหมายถึงความอันตรายที่ผันแปร ยิ่งไปลึกมันยิ่งจะแสนอันตราย
คนอย่างเย่หยวนนั้นแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้มาแค่เป็นตัวถ่วง แต่มันก็ยังห่างไกลจากสถานที่ที่ด้วนเผิงคิดจะไปมาก
“ใช่แล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้มายังเทือกเขาเทพอสูรนี้จึงไม่รู้เรื่องราวใดๆ ของสถานที่นี้เลย พี่หญิงจิงท่านจะช่วยบอกเล่าเรื่องราวและประสบการณ์เกี่ยวกับเทือกเขาเทพอสูรนี้ให้ข้าฟังได้หรือไม่?”
เย่หยวนตามน้ำไปและพยายามถามถึงความรู้ที่หยูจิงมีในเทือกเขาเทพอสูรนี้
หยูจิงนั้นรู้สึกสนิทกับเย่หยวนอย่างมาก เหมือนเป็นน้องชายข้างบ้าน นางจึงเริ่มพูดออกมาอย่างไม่หยุดพัก
ได้ยินคำอธิบายต่างๆ ของหยูจิงเย่หยวนก็ได้เรียนรู้เรื่องราวใหม่ๆ มากมาย
หยูจิงนั้นมีประสบการณ์ความรู้ที่สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น บางครั้งบางทีก็เป็นความรู้ที่แลกมาด้วยชีวิต สิ่งที่นางบอกเล่ากับเย่หยวนนี้มันจึงนับได้ว่าแสนจะล้ำค่า
ที่ไหนปลอดภัย ที่ไหนอันตราย ที่ไหนไปได้ ที่ไหนไม่ควรไป ทุกสิ่งอย่างถูกบอกเล่ามาโดยละเอียด
หากพลาดพลั้งไปเพียงนิดมันก็คงได้กลายเป็นแค่ซากร่าง
เหล่ายอดอสูรในเทือกเขาเทพอสูรนี้มีที่แข็งแกร่งถึงระดับจักรพรรดิเทพสวรรค์ ภัยอันตรายเหล่านั้นย่อมไม่มีทางคาดเดาได้เลย
แน่นอนว่าในสถานที่เช่นนั้น คนธรรมดาๆ คงไม่มีทางเข้าไปใกล้ได้และต้องตายจนซากร่างไม่มีเหลือตั้งแต่ต้นทาง
คนทั้งสองพูดคุยกันอย่างสนุกสนานมาตลอดทาง แต่มันก็มีสายตาหนึ่งที่ไม่ค่อยชอบใจอยู่ คอยมองดูเย่หยวนมาจากด้านข้าง
ลัวยองนั้นสนใจหยูจิงอยู่ไม่น้อย เรื่องนี้มันจึงทำให้เขายิ่งไม่พอใจเย่หยวนหนักเข้าไปใหญ่
“นี่เด็กน้อย เลิกถามอะไรมากมายได้แล้ว! ตอนนี้เรามาถึงเขตอันตรายและอาจจะได้เจอกับสัตว์อสูรเข้าทุกเมื่อ เจ้าลองหุบปากให้ข้าหน่อยจะได้ไหม!”
ลัวยองนั้นไม่อาจทนได้อีกต่อไปและนำขึ้นมาขัดการสนทนาของคนทั้งสอง
เย่หยวนเองยังไม่ทันได้ตอบอะไรไป แต่เป็นหยูจิงที่พูดขึ้นก่อน
“ลัวยอง นี่เป็นครั้งแรกที่เย่หยวนได้มายังเทือกเขาเทพอสูร แต่นี่เป็นครั้งแรกของข้าด้วยหรือ?”
ลัวยองแทบสำลักเมื่อได้ยิน “น้องจิง ช่วงนี้เทือกเขาเทพอสูรมันไม่ปกติดี ใครจะไปรู้ว่าเราอาจจะได้เจอสัตว์อสูรระดับสูงเข้าเมื่อไหร่ก็ได้?”
หยูจิงได้แต่นิ่งค้างไปเมื่อได้ยินเช่นนั้น เพราะคำพูดนี้ของลัวยองมันมีเหตุผลอย่างมาก
ตอนนี้เทือกเขาเทพอสูรนั้นมันไม่สงบนัก หลายต่อหลายกลุ่มนักล่าถูกจัดการจนราบไม่มีใครรอด
ยังไม่ทันสิ้นเสียงก็มีเสียงขยับดังขึ้นมาจากในพุ่มไม้ใกล้ๆ
นั่นทำให้ทุกคนปั้นหน้าเครียดทันที แต่ละคนชักอาวุธออกมาและพร้อมจะเผชิญหน้ากับศัตรูทุกรู้แบบ
และจู่ๆ ก็มีเงาร่างของตะขาบสีดำยาวพุ่งตัวออกมาจากพุ่มไม้
เมื่อทุกคนได้เห็นมัน พวกเขาทั้งหลายก็คลายอาการเกร็งทันที
“ทำให้กลัวไปได้ ที่แท้ก็แค่ตะขาบเพลิงคลั่งที่เพิ่งจะเข้าระดับสี่!” ลัวยองถอนหายใจยาว
ตะขาบสีดำนี้มีพลังเทียบเท่าราชันพระเจ้าสี่ดาว แน่นอนว่าคนกลุ่มนี้ย่อมไม่มีอะไรต้องเกรงกลัว
จู่ๆ ลัวยองก็คิดอะไรขึ้นมาได้และยิ้มอย่างชั่วร้ายขึ้นที่มุมปาก
เขาหันไปหาเย่หยวน “เด็กน้อย ตะขาบนี้มันไม่ได้แข็งแกร่งมากมาย เจ้าลองสู้มันดู”
หยูจิงหน้าถอดสีทันที “ลัวยอง ทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร? พลังฝีมือของเย่หยวนจะไปเทียบกับตะขาบเพลิงคลั่งได้อย่างไร?”
ลัวยองยักไหล่ตอบ “ในหมู่สัตว์อสูรที่เราต้องพบเจอ นี่คงเรียกได้ว่าเป็นตัวที่อ่อนแอที่สุดแล้ว เจ้าเด็กนี่เองมันก็เป็นถึงยอดราชันพระเจ้าสามดาวด้วย ไม่ใช่ว่ามันมาฝึกตัวหรือ? ไม่มีปัญญาจะจัดการกับตะขาบเพลิงคลั่งแค่ตัวเดียวจะยังมาฝึกอะไรได้อีก? ที่สำคัญเราก็มีกันตั้งหลายคนมีหรือที่จะปล่อยให้มันตายไปต่อหน้า? หัวหน้าด้วนท่านว่าไง?”
ด้วนเผิงได้แต่บ่นขึ้นในใจ เจ้าหมอนี่มันช่างเจ้าเล่ห์เสียจริงๆ
แต่สิ่งที่ลัวยองบอกมา มันก็ไม่มีทางใดจะปฏิเสธได้เลย
ขณะที่ด้วนเผิงกำลังคิดหาคำพูดอยู่นั้นเย่หยวนก็กลับตอบขึ้นมาแทน “ได้ ข้าจัดการเอง”
ตอนที่ 1731 หาอันที่หกไม่เจอ
ลัวยองเบิกตากว้างทันทีพร้อมกับยิ้มมุมปากขึ้นอย่างชั่วร้ายราวกับว่าแผนการที่วางไว้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
เมื่อด้วนเผิงและคนอื่นๆ ได้ยินพวกเขาก็ต้องแสดงสีหน้าตื่นตระหนกออกมา
เด็กคนนี้มันช่างกล้า!
แต่เป็นหยูจิงที่พูดขึ้นอย่างกังวลแทน “เย่หยวน เจ้าอย่าได้ทำอะไรโดยไม่คิดหน้าคิดหลังเชียว!”
เย่หยวนมองดูนางครั้งหนึ่งก่อนจะตอบมาด้วยรอยยิ้ม “แค่ตะขาบเพลิงคลั่งตัวหนึ่ง มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ใดๆ เลย หากพี่จิงว่าเช่นนั้นท่านจะช่วยระวังให้ข้าหน่อยได้หรือไม่?”
หยูจิงคิดนิดหน่อยแต่ก็พยักหน้าออกมา
เย่หยวนเองก็ไม่ได้พูดจาใดๆ ต่อไปและหยิบชักดาบจักรพรรดิล้ำฟ้าออกมาทันทีและมุ่งหน้าเข้าหาตะขาบเพลิงคลั่ง
เมื่อได้เห็นดาบจักรพรรดิล้ำฟ้าดวงตาของด้วนเผิงและคนอื่นๆ ก็เบิกกว้างทันที
สมบัติราชันพระเจ้าเลิศล้ำชั้นสูง!
เด็กคนนี้มีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดาจริงๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในดวงตาของลัวยองที่มีแววความโลภปรากฏขึ้น
แม้ว่าเขาจะเป็นถึงราชันพระเจ้าหกดาวแล้วแต่ตัวเขากลับยังต้องใช้สมบัติราชันพระเจ้าเลิศล้ำชั้นต้น
เทียบกับเย่หยวนแล้วมันต่างกันราวกับว่าเขาเป็นได้แค่ขอทาน
เย่หยวนค่อยๆ เดินเข้าไปหาตะขาบเพลิงคลั่งโดยไม่คิดจะปล่อยแรงกดดันใดๆ ออกมา
“หึๆ”
ตะขาบตัวนั้นปล่อยเสียงกระทบกันแปลกๆ ออกมาและรีบหันหน้าหนีเข้าป่าไปทันที
ลัวยองเบิกตากว้างทันที ไม่เข้าใจว่าเรื่องตรงหน้ามันคืออะไรกันแน่
ตะขาบเพลิงคลั่งนั้นหนี?
แค่เจอราชันพระเจ้าสามดาวแต่มันกลับหนี?
เพราะอย่างไรเสียพวกสัตว์อสูรนั้นมันก็จะมีพลังกายที่เหนือกว่ามนุษย์ในระดับเดียวกันมาก
ที่สำคัญสัตว์ป่าที่ไม่มีปัญญาเช่นนี้หากช่องว่างพลังมันไม่ได้ยิ่งใหญ่จนเกินไป มันย่อมไม่มีทางที่จะรับรู้ได้ถึงคำว่ากลัวเลย
อย่างเช่นตอนแรกตะขาบเพลิงคลั่งนั้นเห็นมนุษย์ห้าหกคนเดินมา แต่มันก็ยังคิดที่จะเข้าโจมตี
แต่ตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
“จะหนีไปไหน!”
ระหว่างที่ทุกคนยังตื่นตกใจเย่หยวนก็ขยับร่างพุ่งตามเข้าไปในป่าทันที
ทุกคนต้องตื่นตะลึงอีกครั้งเพราะเจ้าเด็กคนนี้มันไม่กลัวตายจริงๆ!
“เย่หยวนอย่าตามมัน!”
หยูจิงหน้าถอดสีและรีบชักดาบวิ่งไล่ตามออกไปในทันที
แต่เมื่อผ่านป่าหนาทึบไปเช่นนั้นมีหรือที่นางจะยังทันเห็นเงาของเย่หยวนอีก?
หยูจิงไม่คิดยอมแพ้และวิ่งตามเข้าไปอีก
ลัวยองกลับมาตั้งสติได้และยิ้มกว้างออกมา
เด็กคนนี้มันรนหาที่ตายจริงๆ!
“ตะขาบเพลิงคลั่งมันเป็นอะไรไป? ทำไมมันถึงได้หนีเย่หยวนไปเช่นนั้น?” ด้วนเผิงถามขึ้นด้วยความมึนงง
ลัวยองจึงยิ้มตอบ “จะอะไรเสียอีก? มันคงเริ่มฉลาดขึ้นมาตอนที่เห็นพวกเราและรู้ว่าไม่ควรมายุ่งด้วยจึงรีบหนีไปต่างหาก”
ด้วนเผิงพยักหน้ารับ “คงเป็นเช่นนั้น! มันแค่…เย่หยวนตามออกไปเช่นนี้อันตรายนัก หวังว่าหยูจิงจะตามเขาเจอ”
ลัวยองนั้นไม่หวังให้เย่หยวนกลับมาเป็นๆ และยิ้มตอบออกมา “เด็กคนนั้นมันก็อารมณ์ร้อนเสียจริงๆ หากมันอยากรนหาที่ตายเองใครจะไปห้ามมันได้”
ด้วนเผิงส่ายหัวออกมา เพราะเขาเองก็รู้สึกว่าการกระทำนี้ของเย่หยวนมันโง่อย่างไร้เหตุผลจริงๆ
แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยชอบลัวยอง แต่เรื่องนี้ด้วนเผิงก็เห็นด้วย
เย่หยวนไม่ประมาณตนเลย หากเขาตายมันก็คงไปโทษใครไม่ได้จริงๆ
ไม่นานนักหยูจิงก็กลับมาจากป่าทึบด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีนัก
“เป็นไง? เจอหรือไม่?”
แม้ว่าเขาจะรู้คำตอบดีแต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะถาม
ด้วนเผิงนั้นพอจะมองออกว่าหยูจิงห่วงเด็กหนุ่มคนนี้ไม่น้อย
หยูจิงส่ายหัวออกมาด้วยท่าทางที่แสนจะเหนื่อยล้า
ลัวยองรู้สึกตื่นเต้นดีใจอย่างมาก “ไม่ต้องไปสนใจเจ้าเด็กนั่นหรอก ป่านนี้มันคงโดนตะขาบเพลิงคลั่งกินไปแล้วล่ะ ไปกันต่อเถอะ”
เมื่อหยูจิงได้ยินนางจึงสวนกลับมา “ลัวยอง เจ้าหมายความว่าอย่างไร? เจ้าทำกับพวกพ้องเช่นนี้หรือ? หากตอนนี้เจ้าคิดทิ้งเย่หยวนไป อีกหน่อยเจ้าจะไม่หนีหางจุกตูดเวลาเราเจอเรื่องเลวร้ายใช่ไหม?”
ลัวยองแทบสำลักเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาตอบกลับมาด้วยหน้าเสียๆ “จ-จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร? เด็กคนนั้นมันประเมินตัวเองสูงเกินไปเอง ข้าไม่ได้ไล่ให้มันตามไปเสียหน่อย”
เพราะการทิ้งพวกพ้องไว้มันเป็นเรื่องต้องห้ามของนักล่า มันเป็นกฎที่พวกเขาทั้งหลายต่างรู้กันดี
เพราะหากชื่อเสียงเช่นนั้นแพร่กระจายออกไปแล้วมันก็คงไม่มีใครเชื่อใจเรียกคนผู้นั้นไปเข้ากลุ่มล่าอีก
และการที่ต้องเข้าเทือกเขามาด้วยตัวคนเดียวนั้นมันก็จะเป็นการเสี่ยงอันตรายที่มากเกินไป
คำพูดนี้ของหยูจิงมันเปิดเผยความในใจของเขา มันจึงทำให้ลัวยองไม่กล้าที่จะเถียงอะไรออกมา
“หัวหน้าด้วน ข้าขอให้เรารอเย่หยวนก่อน!” หยูจิงหันไปบอกด้วนเผิงด้วยสีหน้าจริงจัง
ด้วนเผิงเองก็คิดไปนิดหน่อยก่อนจะพยักหน้ารับ “เช่นนั้นก็รอเขาสักหนึ่งชั่วโมง หากตอนนั้นเขายังไม่กลับมาเราย่อมมีแต่ต้องเดินหน้าต่อแล้ว”
“ไม่ต้องหรอก ข้ากลับมาแล้ว!”
หยูจิงกำลังจะพูดอะไรสักอย่างต่อ แต่นางก็ต้องได้ยินเสียงหนึ่งเข้าก่อน
ทุกคนมองตามต้นเสียงไปเจอพบว่าเย่หยวนกำลังเดินผ่านออกมาจากป่าทึบ
และจู่ๆ ทุกคนก็ต้องหรี่ตาลงด้วยท่าทางแสนตื่นตกใจ
เพราะเมื่อเย่หยวนเดินออกมา มันกลับมีร่างตะขาบใหญ่ยักษ์ออกมาตาม
และตะขาบตัวนั้นกำลังโดนเย่หยวนลากมาตามพื้น ตายอย่างหาร่องรอยชีวิตไม่ได้
บึก!
เย่หยวนโยนซากตะขาบเพลิงคลั่งลงต่อหน้าทุกผู้คน
ด้วนเผิงถามขึ้นด้วยใบหน้าตื่นตระหนก “นี่…ฝีมือเจ้ารึ?”
เย่หยวนยิ้มตอบ “แล้วยังจะมีใครอีกเล่า?”
นั่นทำให้ทุกคนพูดอะไรไม่ออก เพราะผลที่ออกมามันเหนือความคาดหมายทุกผู้คนจนเกินไป!
โดยเฉพาะกับลัวยอง เขารู้สึกเหมือนตัวเองไปเคี้ยวถูกแมลงวันเข้า
เดิมทีเขาคิดว่าตัวเองส่งเย่หยวนไปตายได้แล้ว จึงพึงพอใจอย่างมาก
แต่ใครจะไปคิดว่าวินาทีต่อมา ไม่ใช่แค่เย่หยวนจะยังไม่ตายแต่เขากลับสังหารตะขาบเพลิงคลั่งลงได้อีก
ระหว่างที่คุยไปเย่หยวนก็หยิบผลไม้สีแดงออกมาโยนให้พวกเขาทั้งหลาย
แน่นอนว่าเว้นลัวยอง
ด้วนเผิงรับผลไม้นั้นมาและต้องหรี่ตาลงอีกครั้ง “สมุนไพรวิญญาณระดับสี่ ผลโลหิตจับ! เจ้า…ไปเอามันมาจากที่ใดกัน?”
เย่หยวนตอบไป “ข้าตามเจ้าสัตว์ร้ายนี่ไปจนถึงรังของมัน หลังจากสังหารมันแล้วข้าก็ลองค้นๆ ดูในรังมันและพบเข้ากับผลโลหิตจับนี้ ไหนๆ ทุกคนเราก็มากันเป็นกลุ่มแน่นอนว่าพวกเราต้องแบ่งสิ่งที่ได้ด้วยกัน แล้วก็เจ้าตะขาบเพลิงคลั่งนี้ข้าขอมอบให้หัวหน้าด้วนดูแลก่อนแล้วกัน หลังกลับออกไปค่อยให้หัวหน้าด้วนช่วยแบ่ง”
แม้ว่าผลโลหิตจับจะไม่ใช่สมุนไพรระดับสี่ที่หายากใดๆ มากมายแต่มันก็ยังมีราคาหลายพันล้านปราณเทวะ
การที่เย่หยวนเอาของแบบนี้มาให้มันนับเป็นของขวัญใหญ่
พวกเขาไม่ได้ทำอะไรสักนิด แต่กลับได้เงินนับพันล้านเข้ากระเป๋า
ที่สำคัญเจ้าตะขาบเพลิงคลั่งนี้มันมีค่าตั้งแต่หัวจรดหาง
พวกเขาคิดว่าที่เย่หยวนมาคงเพื่อแย่งส่วนแบ่ง แต่ที่ไหนได้ กลับเป็นเย่หยวนที่ช่วยหาสมบัติมาแบ่งให้พวกเขา
หัวหน้าด้วนมองดูเย่หยวนอย่างไม่อยากเชื่อสายตา ไม่คิดไม่ฝันว่าเย่หยวนจะใจกว้างได้ขนาดนี้
เรื่องนี้มันยิ่งทำให้ทุกคนมั่นใจว่าเย่หยวนมีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดาแน่นอน
เพราะหากเป็นพวกเขาแล้วของเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ย่อมไม่มีทางจะปล่อยให้คนอื่นๆ ได้เห็นแน่
แต่เย่หยวนกลับเอามันออกมาแบ่งกับทุกคน
ลัวยองกล่าวขึ้นมาด้วยสีหน้าไม่ค่อยพอใจ “เด็กน้อย ทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร? คนอื่นๆ ได้ส่วนแบ่งแล้วทำไมข้าถึงไม่ได้กัน?”
เย่หยวนกล่าวออกมาด้วยสีหน้ารู้สึกผิด “พี่ลัว ข้าต้องขอโทษจริงๆ เย่ผู้นี้เจอผลโลหิตจับในรังของมันแค่ห้าผลเท่านั้น หาผลที่หกไม่เจอจริงๆ ข้าคงต้องขอให้พี่ลัวท่านลำบากแต่…หากข้างหน้าไปเราเจอสมบัติใด เย่คนนี้จะแบ่งให้พี่ลัวอย่างแน่นอน”
ด้วยคำพูดนี่ของเย่หยวนมันทำให้ทุกคนรู้สึกว่าภาพตรงหน้ามันคือละครตลกชัดๆ
ผลโลหิตจับนั้นไม่มากหรือน้อย แค่ห้าผลอย่างพอเหมาะพอเจาะ มันจะไม่บังเอิญไปรึ?
ที่สำคัญเย่หยวนกลับเลือกจะแบ่งให้คนอื่นๆ มีแค่ลัวยองที่ไม่ได้ มันย่อมไม่มีทางเป็นความบังเอิญไปได้
ลัวยองตอบกลับมาอย่างไม่พอใจ “ฮึ่ม! เด็กน้อยเจ้าทำดีมาก! แค่ผลโลหิตจับเจ้าคิดว่าพ่อเจ้าจะอยากได้มากเรอะ!”
ตอนที่ 1732 แค่ได้กลิ่นก็รู้พิษ
ด้วนเผิงเก็บซากของตะขาบเพลิงคลั่งไปและนำพากลุ่มออกเดินทางอีกครั้ง
หยูจิงนั้นมีสีหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความดีใจ “เจ้าเด็กคนนี้จะบ้าบิ่นเกินไปแล้วนะ! รู้ไหมว่าเมื่อพี่เป็นห่วงเจ้ามากแค่ไหนกัน!”
เย่หยวนยิ้มตอบ “แค่ตะขาบเพลิงคลั่งเอง มันทำอะไรข้าไม่ได้หรอก แต่พี่จิง ข้าขอถามหน่อยได้ไหม? ดูเหมือนท่านจะ…เป็นห่วงข้าเหลือเกินนะ?”
เพราะทีแรกเย่หยวนคิดแค่ว่านางเป็นคนนิสัยดีคนหนึ่ง
แต่ตอนนี้เย่หยวนเริ่มรู้สึกได้ถึงความห่วงใยอย่างแท้จริงจากหยูจิง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่ลัวยองยุให้เขาออกไปจัดการตะขาบเพลิงคลั่งเมื่อสักครู่นี้
หยูจิงถอนหายใจยาว “ที่พี่จิงคนนี้ห่วงเจ้าก็เพราะว่าเจ้ามันทำให้พี่นึกถึงน้องชายผู้โชคร้ายของพี่ เมื่อก่อนเขานั้นเป็นคนหนุ่มที่ใจร้อน คิดอยากท้าทายเทือกเขาเทพอสูรนี้และเดินทางออกมา แต่ว่า…”
พูดถึงตรงนี้หยูจิงก็เงียบไป
เย่หยวนได้รู้ทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาจึงกล่าวออกมาด้วยท่าทางเสียใจอย่างสุดซึ้ง “ขออภัย ข้าต้องเสียใจด้วยกับเรื่องน้องชายท่าน”
หยูจิงหัวเราะออกมาและหันมองเย่หยวน “เด็กน้อย เจ้ามาแช่งให้น้องข้าตายเสียแล้ว? เขายังไม่ตายเสียหน่อย!”
เย่หยวนนิ่งไปทันทีเมื่อได้ยินและเข้าใจว่าตัวเองคิดผิดไป
แต่คำที่หยูจิงใช้พูดมานั้น ร้อยทั้งร้อยก็ต้องว่าตาย!
เมื่อได้เห็นเย่หยวนทำหน้าเหยเกเช่นนั้นหยูจิงจึงหัวเราะบอกออกมา “เอาล่ะๆ พี่สาวคนนี้ไม่ได้บอกอย่างชัดเจนเอง พี่ไม่โทษเจ้าหรอก!”
ท่าทางของทั้งสองในตอนนี้มันดูกะหนุงกะหนิงอย่างมาก
เมื่อภาพนั้นมันไปเข้าตาลัวยองที่อยู่ไม่ไกลเข้า สำหรับเขาแล้วมันยังจะเห็นเป็นอะไรไปได้นอกจากคู่รักจู๋จี๋กัน?
“เด็กน้อย ก่อนออกมาพ่อเจ้าไม่ได้บอกรึว่าอย่าได้ไปหาเรื่องกับคนที่ไม่ควร! กล้ามาข้ามหัวข้า เจ้าจะได้ตายอย่างไม่ทันรู้ตัว!”
ลัวยองนั้นคิดฆ่าเย่หยวนแล้วในใจ
ตราบเท่าที่มีโอกาส เขาก็คิดที่จะสังหารเย่หยวนลงให้ได้!
เรื่องแบบนี้มันไม่ใช่ครั้งแรกของเขาด้วย
และหลังจากหยูจิงเล่าออกมาจากปากแล้วเย่หยวนถึงได้รู้ว่าจริงๆ แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับน้องชายนาง
กลายเป็นว่าหยูจิงนั้นไม่ได้เป็นคนเมืองจักรพรรดิแนบอสูร แต่เพราะว่าน้องชายของนางอยากจะฝึกฝนตัวเองจึงได้ออกเดินทางมายังเทือกเขาเทพอสูรนี้โดยไม่บอกกล่าวใคร
เมื่อหยูจิงรู้เรื่องว่าน้องชายหายตัวไปจากบ้าน นางก็คาดเดาว่าเขาคงมาที่นี่และรีบออกเดินทางมายังเมืองจักรพรรดิแนบอสูรทันที
หลังจากถามหาข้อมูลอยู่นานในที่สุดนางก็ได้รู้ว่าน้องชายมาที่นี่จริงๆ และยังขึ้นเขาไปแล้วด้วย
แต่หลังจากนั้นไม่นาน นางก็ได้พบว่าน้องชายของตนถูกพิษแปลกๆ เข้า
หยูจิงพยายามตามหาหมอเทวดาทั่วทั้งเมืองจักรพรรดิแนบอสูรนี้แต่ก็ไม่มีใครจะรักษาพิษให้น้องชายนางได้ นางได้แต่ใช้วิธีพิเศษในการพยุงอาการของน้องชายตัวเองเรื่อยมา
นางนั้นไม่กล้าที่จะเดินทางออกจากเมืองจักรพรรดิแนบอสูรนี้เพราะด้วยความกลัวที่ว่าน้องชายจะทนรับการเดินทางไกลไม่ไหว
ฉะนั้นนางจึงเลือกที่จะออกมาเป็นนักล่าและเดินทางเข้าออกเทือกเขาเทพอสูรเพื่อหาเลี้ยงน้องชายที่ป่วย
ตอนนี้พิษมันยิ่งกำเริบหนักขึ้นและหนักขึ้นจนดูท่าเขาคงมีเวลาเหลือไม่มากแล้ว
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเย่หยวนก็เข้าใจทันทีว่าทำไมหยูจิงจึงได้ทำหน้าเศร้าอยู่บ่อยๆ
ได้ยินแบบนี้เย่หยวนเองก็ได้แต่ถอนหายใจ
หยูจิง ผู้หญิงตัวคนเดียว กลับต้องใช้เวลาหลายปีคอยดูแลรักษาน้องชายและทำงานในเมืองจักรพรรดิแนบอสูรไปด้วย มันคงไม่ง่ายเลย
เมืองจักรพรรดิแนบอสูรนั้นมันต่างจากเมืองจักรพรรดิอื่นๆ มาก ที่นี่กฎที่ว่าปลาใหญ่กินปลาเล็กนั้นรุนแรงกว่าที่อื่นมาก
หากไม่มีกำลัง ก็ไม่มีทางจะพัฒนาไปไหนได้เลย
เหมือนที่ก่อนหน้านี้ตอนที่ลัวยองบอกให้เขาไปสู้กับตะขาบเพลิงคลั่ง นอกจากหยูจิงแล้วมันก็ไม่มีใครคิดที่จะห้าม
เพราะหากเขาเก่งและสังหารตะขาบเพลิงคลั่งได้ก็แล้วไป
แต่หากเขาอ่อนแอและถูกมันสังหารแทนล่ะ?
ถึงตอนนั้นมันคงไม่มีใครคิดที่จะเสียใจด้วยซ้ำ พวกเขาคงต่อว่าเขาแทนว่าไร้ฝีมือ
คนเหล่านี้ใช้ชีวิตอยู่กับความเป็นจริง
พวกเขาเดินด้วยกันเพราะผลประโยชน์และสังหารกันก็เพื่อผลประโยชน์
เย่หยวนบอก “พี่จิงวางใจเถอะ เรื่องพิษที่น้องชายท่านโดนข้าจะช่วยหาทางรักษาให้! ถึงตอนนั้นท่านพี่น้องคงได้กลับเมืองของตนแล้ว!”
หยูจิงตื่นเต้นดีใจชั่วขณะเมื่อได้ยิน แต่สุดท้ายก็ยิ้มแห้งๆ ออกมา “เด็กน้อยงี่เง่า เจ้านั้นหวังดี พี่สาวคนนี้เข้าใจ”
“ไม่รู้จักประเมินตน! น้องชายของน้องจิงนั้นแม้แต่อาจารย์ซ่งหยูยังรักษาไม่ได้ ไอ้เจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเช่นเจ้าจะเอาอะไรมาเทียบ?” ลัวยองยิ้มเยาะ
ด้วนเผิงเองก็ยิ้มออกมาเช่นกัน “ไม่นึกเลยว่าน้องเย่จะเป็นนักหลอมโอสถด้วย แต่อาจารย์ซ่งหยูท่านนั้นเป็นถึงจอมเทพโอสถห้าดาว แม้แต่เขาก็ยังหมดปัญญา เจ้าเองก็คงทำอะไรไม่ได้มากมายหรอก”
เมื่อได้ไปทั้งผลโลหิตจับและซากตะขาบเพลิงคลั่ง ด้วนเผิงจึงมีท่าทีอ่อนโยนต่อเย่หยวนกว่าเก่ามาก
แต่ในเรื่องนี้เขาก็ยังคิดว่าเย่หยวนอวดโม้ตัวเองจนเกินไป
หยูจิงยิ้มออกมาอย่างขื่นขม “ข้าเองก็ใช้เส้นสายที่พอมีจนไปได้ความช่วยเหลือจากอาจารย์ซ่งหยู แต่ไม่นึกไม่ฝันว่าแม้แต่เขาเองก็ยังจนปัญญา”
เมืองจักรพรรดิแนบอสูรนี้เป็นเมืองที่ติดกับเทือกเขาเทพอสูร มีนักยุทธบาดเจ็บและล้มตายมากมายทุกวี่วัน
ในสถานที่เช่นนี้ศาสตร์แห่งการรักษาย่อมพัฒนาล้ำ การจะมีจอมเทพโอสถห้าดาวมันก็มิใช่เรื่องแปลก
เย่หยวนเดินเข้าไปใกล้หยูจิงและสูดดมร่างของนาง
หยูจิงตกใจและคิดว่าเย่หยวนจะลวนลามตนจึงรีบหลบและตะโกนออกมาอย่างโกรธเคือง “เย่หยวน เจ้าคิดจะทำอะไรของเจ้า!”
เย่หยวนไม่สนใจนางและหลับตาพริ้ม ก่อนจะเปิดปากพูดขึ้น “ธูปไม้เหล็ก ผงลมโชยล่าเมฆา หญ้ามินต์ไม้แดง…อืม…ดูเหมือนเวลาที่พิษในร่างน้องท่านกำเริบมันคงจะแปรผันร้อนเย็น ร่างชักกระตุก และหากให้ข้าเดาเขาน่าจะมีฟองไหลออกปาก สีหน้าเปลี่ยนแปร กระอักเลือด และอีกหลายอาการร่วม หากให้สรุปแล้วน้องชายของท่านคงโดนพิษแมลงน้ำแข็งเมฆาเพลิงมาใช่หรือไม่?”
เย่หยวนหลับตาอยู่อย่างนั้นและกล่าวออกมาในคราเดียว
ลัวยองที่เห็นหยูจิงทำท่าโกรธออกมาก็โกรธขึ้นมาตามในหัวใจ
แต่เขาก็หัวเราะเยาะในใจและคิดว่านี่คือโอกาสแล้ว!
เขาร้องออกมา “เด็กน้อยเจ้าถือโอกาสลวนลามน้องจิงแถมยังพูดจาไร้สาระอีก! พ่อเจ้าจะกำจัดเจ้าลงเดี๋ยวนี้ล่ะ!”
พูดจบเขาก็ปล่อยคลื่นพลังและหมัดออกมาใส่เย่หยวน
แต่เขาไม่ได้ดูเลยว่ายิ่งเย่หยวนพูด หยูจิงก็ยิ่งเบิกตากว่าด้วยความไม่อยากเชื่อ
จู่ๆ นางก็จับแขนเย่หยวนไว้และบอก “เจ้า…เจ้าสุดยอดจริงๆ!”
ลัวยองต้องหยุดมือลงทันที เพราะตอนนี้ร่างของเย่หยวนนั้นถูกหยูจิงบังไว้มิด หากเขาต่อยออกไปแล้วมันคงไปโดนนางเข้าแทน
“เจ้า…เจ้าคงไม่ได้คิดว่ามันเป็นพิษแมลงน้ำแข็งเมฆาเพลิงเพราะการดมเมื่อกี้หรอกใช่ไหม?”
หยูจิงนั้นตะลึง!
นางแค่บอกเย่หยวนไปว่าน้องชายของนางถูกพิษประหลาดเข้า และไม่ได้บอกเลยแม้แต่นิดว่ามันเป็นพิษจากอะไร
แต่เย่หยวนกลับดมครั้งเดียวและบอกชื่อสมุนไพรพวกนั้นออกมาได้อย่างแม่นยำ!
นี่มันจะน่าเหลือเชื่อจนเกินไปแล้ว!
ที่สำคัญเรื่องที่เย่หยวนพูดออกมามันยังตรงกับที่อาจารย์ซ่งหยูบอกไม่มีผิด!
แต่ว่าอาจารย์ซ่งหยูนั้นต้องไปตรวจร่างน้องของนางถึงที่ ส่วนเย่หยวนนั้นไม่เคยพบเจอน้องชายของนางแต่กลับสามารถคาดเดาถึงมันได้อย่างถูกต้องแม่นยำ
พลังฝีมือนี้มันไม่มีทางที่จะคิดคาดได้เลย
เมื่อด้วนเผิงได้เห็นท่าทางนั้นของหยูจิง เขาเองก็ตื่นตกใจไปไม่น้อย “หยูจิง เจ้าหมายความว่า…น้องชายของเจ้าถูกพิษแมลงน้ำแข็งเมฆาเพลิงเข้าจริงๆ?”
หยูจิงพยักหน้ารับ “ใช่! เรื่องที่เย่หยวนพูดมามันตรงกับที่อาจารย์ซ่งหยูบอกเลย มันเป็นแมลงน้ำแข็งเมฆาเพลิง! ที่สำคัญอาการที่เย่หยวนบอกมานั้นล้วนแล้วแต่ถูกต้องไม่มีผิดพลาด ราวกับว่าเขาได้ไปเห็นมันมาด้วยตัวเอง!”
คนที่เหลือต่างมองดูเย่หยวนราวกับได้เห็นผี
ไอ้หมอนี่มันเป็นสัตว์ประหลาดมาจากที่ใด?
แค่ดมกลิ่นสมุนไพรจากร่างหยูจิงครั้งเดียวแต่กลับสามารถวิเคราะห์ผลออกมาได้อย่างแม่นยำ
ทักษะนี้มันแม่นยำจนน่าขำเลยทีเดียว!
ตอนที่ 1733 แวะนอกเส้นทาง
หยูจิงนั้นเป็นหญิงสาว และยังนับได้ว่าเป็นสาวงามคนหนึ่งเลยด้วย
สาวงามนั้นย่อมจะไม่ยอมปล่อยให้ร่างกายของตัวเองอาบไปด้วยกลิ่นยาเหม็นสาบ
ทาแป้งกลิ่นและน้ำหอมทับ มันจึงช่วยลดให้กลิ่นยาสมุนไพรต่างๆ บนร่างนางนั้นเบาบางลงได้อย่างมาก
แต่ถึงจะเบาบางแค่ไหนเย่หยวนก็ยังใช้การดมแค่ครั้งเดียวแยกออกมาได้มากมายขนาดนั้น ความสามารถนี้มันจึงน่าเหลือเชื่ออย่างถึงที่สุด
“ไม่นึกเลยว่าน้องเย่จะปิดปังความสามารถไว้มากขนาดนี้!” ด้วนเผิงมองดูเย่หยวนด้วยความตื่นเต้นอย่างล้นใบหน้า
เพราะการมียอดนักหลอมโอสถเช่นนี้อยู่ด้วย มันไม่แปลกหรอกที่เขาจะตื่นเต้นดีใจ!
เพราะกลุ่มนักล่าที่มีเทพโอสถอยู่ด้วยนั้นมันจะเกิดการสูญเสียได้น้อยมาก
เพียงแค่ว่าเหล่าเทพโอสถนั้นมีราคาที่แพงมาก มากจนคนทั่วๆ ไปไม่มีปัญญาจ้างมาด้วย
เย่หยวนหันไปบอกหยูจิง “แมลงน้ำแข็งเมฆาเพลิงนั้นเป็นแมลงหายากที่หาในโลกภายนอกไม่มีทางเจอ พิษชนิดนี้เองก็เป็นสิ่งที่ยุ่งยากพอๆ กับตัวเจ้าของพิษมัน มันผสานไปด้วยธาตุไฟและน้ำแข็ง สองธาตุนี้เข้าไปป่วนร่างกายทำให้หยินหยางเสียสมดุล มันเป็นพิษที่ทรมานร่างกายของนักยุทธอย่างมากชนิดหนึ่ง”
หยูจิงพยักหน้ารับ “ใช่ๆๆ ใช่เลย! เย่หยวน เจ้ารู้…รู้วิธีรักษาหรือ?”
เย่หยวนส่ายหัวออกมา “พิษนี้มันรุนแรงจริงๆ ตอนนี้ข้าเองก็ยังทำอะไรกับมันไม่ได้”
เมื่อคำพูดเหล่านั้นถูกกล่าวออกมาหยูจิงก็แสดงสีหน้าผิดหวังออกมาอย่างไม่ปิดบัง
แต่ที่ด้านข้างลัวยองกลับหัวเราะขึ้นลั่น “ฮ่าๆ เจ้าพูดมาเกือบครึ่งวันแต่ที่แท้ก็ไม่มีปัญญาทำอะไร! ข้าก็นึกว่าเจ้าจะเก่งเสียแค่ไหน ใครจะไปรู้ว่าพูดมาตั้งแต่มากมายสุดท้ายมันก็ไม่ต่างกับผายลม!”
เย่หยวนไม่คิดที่จะหันไปสนใจอะไรเขาและหันกลับไปบอกหยูจิง “พี่จิง สถานที่ๆ น้องชายท่านถูกแมลงนี้กัดเป็นที่ใดท่านพอจะรู้หรือไม่?”
หยูจิงส่ายหัวออกมา “พวกเขาถูกไล่ล่าด้วยสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งจนหนีหัวซุกหัวซุนไม่รู้ทิศเหนือใต้ เขาไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองไปโดนกัดเข้าที่ใด”
เมื่อลัวยองได้ยินเช่นนั้นเขาก็ยิ้มอย่างชั่วร้ายออกมาอีก
เท่านี้มันก็ไม่มีร่องรอยใดๆ แล้วใช่ไหม?
เย่หยวนไม่รู้สึกอะไรและถามขึ้นมาอีก “งั้น…พวกท่านทั้งหลายคุ้นชินกับเทือกเขาเทพอสูรนี้ดี พวกท่านพอจะรู้จักสถานที่มืดๆ ที่มันอับชื้นหน่อย เต็มไปด้วยกลิ่นไม่พึ่งประสงค์ แต่ก็ยังเป็นที่ๆ ไฟความร้อนจากแผ่นดินแสนรุนแรงไหม?”
หยูจิงส่ายหัวออกมาทันที แต่ด้วนเผิงกลับบอก “หากเป็นที่เช่นนั้นข้าพอรู้จักอยู่ที่หนึ่ง”
เมื่อทุกคนได้ยินพวกเขาก็หันไปหาด้วนเผิงก่อนจะได้ยินคำว่า “หุบร้ายวารี!”
คนอื่นๆ ยังอยู่นิ่งแต่เป็นลัวยองที่หน้าเปลี่ยนสีและพูดขึ้นมาก่อนใครๆ “หุบร้ายวารีในตำนานที่ว่ากันว่าไม่มีใครกลับมาได้?”
ด้วนเผิงบอก “ใช่แล้ว!”
เย่หยวนพยักหน้าและบอก “นั่นแหละ! ลองไปดูที่นั่นกันหน่อย!”
คำพูดของเย่หยวนมันทำให้ทุกคนนิ่งงันไปทันที
ด้วนเผิงนั้นไม่คิดไม่ฝันว่าเย่หยวนจะบอกให้ออกเดินทางไปยังที่แห่งนั้นในทันที จึงได้กล่าวขึ้น “น้องเย่จะดูถูกเรื่องราวในโลกหล้าไปหน่อยไหม? การเดินทางครั้งนี้ของเราในเทือกเขาเทพอสูรนั้นมีเป้าหมายอื่นอยู่แล้ว การอ้อมไปแวะที่หุบร้ายวารีนั้นมันคงไม่เหมาะหรอกใช่หรือไม่? ที่สำคัญหุบร้ายวารีนั้นยังเป็นสถานที่แสนอันตราย มีแมลงพิษร้ายมากมายหลบซ่อนอยู่ภายใน พลาดทีเดียวคงได้ถึงชีวิตเป็นแน่”
ลัวยองเองก็เย้ยขึ้นมาตาม “เด็กน้อย กลุ่มของเรานั้นถูกหัวหน้าด้วนจ้างมา ทำไมเจ้าถึงได้ทำตัวเหมือนตัวเองเป็นหัวหน้าเล่า?”
เมื่อหยูจิงได้ยินคำของเย่หยวนนางก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาในหัวใจทันที
แต่เย่หยวนกลับตอบไป “เย่ผู้นี้เป็นนักหลอมโอสถ ในสายตาของข้าแล้วมันไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการช่วยชีวิตผู้คน นอกจากนั้น…หากให้พูดถึงอันตรายแล้ว เป้าหมายที่เราจะไปกันครานี้มันก็ไม่ได้ดีไปกว่าหุบร้ายวารีใช่ไหมล่ะ?”
นั่นทำให้ใบหน้าของด้วนเผิงถอดสีทันทีและเงียบปากลง
ลัวยองเองก็เปลี่ยนสีหน้าไปเช่นกันก่อนจะถามขึ้น “เด็กน้อย เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
เย่หยวนยิ้มตอบไป “เปล่าหรอก หัวหน้าด้วนบอกเราว่าคราก่อนที่เขาเข้ามาในเทือกเขาเทพอสูรนี้เขาได้ไปเจอสถานที่หนึ่งที่มันมีผลภูติดินปีกเงินขึ้น แต่เขาคงไม่ได้บอกพวกเจ้าใช่หรือไม่ว่าผลภูติดินปีกเงินจะมีวานรอสูรตาม่วง สัตว์อสูรที่แสนทรงพลังขนาดนี้ปกปักอยู่ แต่ยังไม่เท่านั้นเพราะในพื้นที่นี้มันคงจะมีดอกเครือเขียวตาข่ายหยกขึ้นอยู่ด้วยแน่นอน และดอกเครือเขียวตาข่ายหยกนี้ก็จะมีค้างคาวพิษรัตติกาลปกปัก หากให้นับรวมๆ แล้วมันคงไม่ได้ดีไปกว่าหุบร้ายวารีหรอกใช่ไหมล่ะ?”
คำพูดนี้ของเย่หยวนมันทำให้ทุกคนสั่นสะท้านขึ้นทันที
วานรอสูรตาม่วงนั้นเป็นสัตว์อสูรระดับสี่อันทรงพลัง ไม่มีอะไรต้องพูดให้มากความ
ค้างคาวพิษรัตติกาลเองก็เป็นสัตว์อสูรที่แค่ได้ยินชื่อผู้คนก็ต้องหน้าถอดสี ที่สำคัญคือพวกมันมักอยู่กันเป็นฝูง ทางที่ดีคืออย่าไปยุ่ง
สุดท้ายแล้วนักยุทธก็ไม่ใช่เทพโอสถ พวกเขาจะไปรู้ถึงแหล่งที่อยู่ของสมุนไพรต่างๆ ได้อย่างไร?
ผลภูติดินปีกเงินนั้นเป็นสมุนไพรระดับสี่หายากที่หากได้รับมันมาแล้วคงขายได้ในราคาที่สูงลิ่ว
แต่พวกเขาไม่ได้รู้เลยว่ามันจะมีอะไรรอพวกเขาอยู่
ใครจะไปรู้ว่าสถานที่แห่งนั้นมันจะอันตรายได้ขนาดนี้!
“ด้วนเผิง เรื่องนี้หมายความว่าอย่างไรกัน?” ลัวยองหันไปถามอย่างไม่พอใจ
ด้วนเผิงเองก็มีท่าทางตอบไม่ถูก เพราะสิ่งที่เย่หยวนพูดบอกมา ตัวเขานั้นไม่รู้จริงๆ
ตอนนั้นเขาเห็นแค่วานรอสูรตาม่วงและรีบหนีออกมาอย่างไม่ทันได้สังเกตสิ่งอื่นใดเลย
“ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าสถานที่แห่งนั้นมันจะอันตรายปานนี้!” ด้วนเผิงบอก
ลัวยองจึงตอบกลับมาอย่างเย็นชา “เจ้าไปมาแล้วมีหรือที่จะยังไม่รู้? ถึงตอนนี้แล้วเจ้ายังจะคิดว่าพวกเราโง่นักอีกหรือ? พ่อเจ้าไม่ไปด้วยแล้ว!”
เย่หยวนพูดแทรกขึ้น “ข้าว่าหัวหน้าด้วนอาจจะไม่รู้จริงๆ ก็ได้ ผลภูติดินปีกเงินนั้นชอบตะวัน มันคงขึ้นอยู่ที่ปากถ้ำ ส่วนดอกเครือเขียวตาข่ายหยกเป็นพืชธาตุหยินมันคงขึ้นอยู่ลึกในถ้ำ แต่หากเราไปทำให้วานรอสูรตาม่วงรู้ตัวแล้วพวกค้างคาวพิษรัตติกาลเองก็น่าจะตามออกมา”
ทำพูดนี้ของเย่หยวนมันทำให้ทุกผู้คนรู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจ
หากพวกเขาเดินทางต่อไปทั้งๆ อย่างนี้ หากโดนค้างคาวพิษรัตติกาลล้อมเข้าแล้วมันก็คงจบสิ้นกันอย่างไม่มีทางออก
ลัวยองหันไปด่ากราด “เจ้ารู้ก่อนแล้วเหตุจึงไม่บอก? นี่เจ้าแอบแฝงความคิดชั่วร้ายไว้ใช่ไหม!”
เย่หยวนเหลือบหางตาไปมอง “หากข้าบอกก่อนหน้านี้ เจ้าจะเชื่อ?”
เมื่อทุกคนได้ยินพวกเขาก็แทบจะสำลักออกมา เพราะหากเย่หยวนไม่ได้แสดงฝีมือด้านโอสถออกมาเช่นนี้พวกเข้าทั้งหลายย่อมไม่มีทางเชื่อแน่ๆ
เพราะแค่ราชันพระเจ้าสามดาวมันไม่มากพอจะเชื่อได้
ลัวยองทำหน้าเหยเกและตอบกลับมา “ไม่รู้ พ่อเจ้าไม่ไปด้วยแล้ว! แม้ว่าสมบัติมันจะราคาดีแค่ไหนแต่หากต้องเสียชีวิตไปแลกกับมัน พ่อเจ้าก็ไม่มีทางเอาชีวิตไปทิ้งแน่ๆ!”
พูดจบเขาก็หันหน้าจะเดินกลับจริงๆ
หัวหน้าด้วนไม่คิดจะยอมและพยายามห้ามลัวยอง “อย่าเพิ่งไป หากเราได้ผลภูติดินปีกเงินมาจริงๆ เราสองคนจะแบ่งกันหกส่วน คนอื่นๆ แบ่งกันสี่ส่วน! ตราบเท่าที่แผนเรารัดกุมพอเราก็ยังมีโอกาสที่จะเก็บมันมาได้!”
นั่นทำให้ลัวยองยิ้มมุมปากขึ้นทันที เป็นรอยยิ้มที่เกิดขึ้นเพราะแผนร้ายของตัวเองสำเร็จผล
จริงๆ แล้วตัวเขาเองก็ไม่ได้คิดจะกลับ แต่เขาแค่อยากจะให้หัวหน้าด้วนเพิ่มส่วนแบ่งสมบัติให้เท่านั้น
แม้ว่าพลังฝีมือของตัวเขาจะด้อยกว่าหัวหน้าด้วน แต่ตัวเขาเองก็เป็นถึงยอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้าหกดาวตัวจริงเสียจริง
ในที่นี้จะขาดใครไปก็ได้ แต่จะขาดเขาไปไม่ได้
ลัวยองนั้นหลุดลงตามที่หัวหน้าด้วนบอกจริงๆ “นี่เจ้าพูดเองนะ!”
ด้วนเผิงนั้นกำลังจะตอบกลับไป แต่เย่หยวนกลับแทรกขึ้นมาก่อน “งั้นเจ้าก็ไปเถอะ ข้านั้นไม่เพียงมีแผนที่จะเก็บผลภูติดินปีกเงิน แต่ยังมีแผนที่จะเก็บดอกเครือเขียวตาข่ายหยกมาได้ด้วย! ที่สำคัญกว่านั้นหากพวกท่านยอมไปที่หุบร้ายวารีกับข้า พี่จิงและข้าจะไม่ขอรับส่วนแบ่งใดๆ ทั้งสิ้นเลย ทั้งผลภูติดินปีกเงินและดอกเครือเขียวตาข่ายหยกล้วนแล้วแต่จะยกให้พวกท่านนำไปแบ่งกันเองได้เลย!”
เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนั้น พวกเขาทั้งหลายก็เปลี่ยนสีหน้าไปทันควัน
ด้วนเผิงกล่าวออกมาอย่างยินดี “นี่เรื่องจริง?”
เย่หยวนพยักหน้ารับ “ตอนที่ท่านบอกข้าว่าเราจะออกมาเก็บผลภูติดินปีกเงินกัน ข้าก็ได้เตรียมการต่างๆ ไว้ตั้งแต่ในเมืองแล้ว เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ย่อมไม่มีปัญหา”
ลัวยองได้แต่ยืนนิ่งไม่กล้าที่จะเดินกลับไป
อึดอัดเสียจริง!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น