Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1682-1691
ตอนที่ 1682 ความโกรธของผู้อาวุโสตระกูลหนิง
ณ ตระกูลหนิงแห่งเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์
หลายสิบปีมานี้ ตระกูลหนิงต้องรับเรื่องราวมากมาย
เพราะอัจฉริยะอันดับหนึ่งของตระกูลหนิงอย่างหนิงเทียนปิงได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เรื่องนี้มันเป็นการสูฐเสียที่ยิ่งใหญ่แก่ตระกูลหนิงอย่างมาก
แต่ว่าคนตระกูลหนิงนั้นก็ไม่ได้โง่เง่า เย่หยวนออกจากเมืองไปและหนิงเทียนปิงก็หายสาบสูญ ร้อยทั้งร้อยก็คือเขาต้องตามเย่หยวนออกไปแน่ๆ
แต่มันแค่ว่าเย่หยวนนั้นออกไปเพื่อเผชิญโลก หาโอกาสที่จะบรรลุ แต่ไม่มีใครรู้ว่าโอกาสแบบนั้นจะมาถึงไหม และด้านนอกนั้นมีภัยอันตรายที่หนักหนาแค่ไหนรอเขาอยู่
ความไม่แน่นอนมันมากจนเกินไป!
เหล่าอัจฉริยะมากมายที่คิดจะออกไปฝึกตัวนอกเมืองนั้น หลายต่อหลายคนต้องเสียชีวิตลงอย่างไม่ทันได้ทำอะไร
เมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์แห่งนี้มีเหล่ายอดอัจฉริยะอยู่ไม่น้อยที่ออกไปตายนอกเมืองอย่างไร้ค่า
บ้างเป็นถึงผู้พิทักษ์อาณาจักรราชันพระเจ้า บ้างเป็นถึงอาจารย์
หากหนิงเทียนปิงและเย่หยวนตายลงด้านนอกนั้น มันคงกลายเป็นความเสียดายที่ใหญ่ยิ่งต่อตระกูลหนิงเป็นแน่
อัจฉริยะอย่างหนิงเทียนปิงนั้นไม่สามารถจะหาตัวจับได้ง่ายๆ
เรื่องนี้ทำให้เหล่าเบื้องบนผู้หลักผู้ใหญ่ของตระกูลหนิงนั้นเกลียดชังเย่หยวนมานานมาก
หากเขาไปเฉยๆ ก็ยังพอว่า แต่ว่าเขากลับลักเอาตัวยอดอัจฉริยะแห่งตระกูลหนิง ยอดอัจฉริยะแห่งเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ออกไปด้วย!
หลายปีที่ผ่านมาหนิงจื่อหยวนได้แต่เก็บตัวเงียบ พยายามอย่าสุดตัวเพื่อที่จะเลี้ยงดูเหล่าศิษย์ขึ้นมาใหม่
เพราะการที่หนิงเทียนปิงและเย่หยวนออกไปเช่นนั้น หนิงจื่อหยวนเองก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้ ไม่มีทางช่วยเหลือใดๆ หนิงเทียนปิงได้เลย
ให้พูดตรงๆ คือหนิงจื่อหยวนไม่คิดด้วยซ้ำว่าหนิงเทียนปิงจะมีชีวิตกลับมาได้
ต่อให้เวลาจะผ่านไปได้หลายสิบปี แต่เมื่อใดก็ตามที่หนิงจื่อหยวนคิดถึงหนิงเทียนปิงขึ้นมา จิตใจของเขาก็ต้องมืดหมองลงทันที
แต่ในวันนี้กลับมีคนจากเบื้องล่างเข้ามารายงานว่าหนิงเทียนปิงได้กลับมาถึงแล้ว!
หนิงจื่อหยวนร่างสั่นสะท้านทันทีที่ได้ยิน เขารีบลุกและหายตัวออกไปในทันที
ในโถงใหญ่ตระกูลหนิง เหล่าผู้อาวุโสต่างมีสีหน้าท่าทางตื่นตะลึงกับภาพตรงหน้า พวกเขาทั้งหลายต่างกำลังจ้องมองไปที่ชายหนุ่มที่อยู่กลางโถงอย่างไม่วางตา
ในเวลาแค่ไม่กี่สิบปีมานี้ หนิงเทียนปิงกลับสามารถบรรลุขึ้นไปได้อีกดาวหนึ่ง จนตอนนี้เขาได้กลายเป็นยอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้าชั้นกลางแล้ว!
ความเร็วในการบ่มเพาะนี้มันรวดเร็วจนน่าหวาดกลัว
“หรือว่าเด็กคนนี้มันไปเจอโชคที่ด้านนอกมา?”
“หรือว่าจริงๆ แล้วเขาแค่ออกไปฝึกตัว? ที่หายตัวไปพร้อมกับเจ้าคนไม่ได้เรื่องนั้นมันแค่เรื่องบังเอิญ?”
“เป็นไปได้! ออกไปกับเจ้าขยะอาณาจักรบรรพชนพระเจ้านั่นจะมีโชคที่ไหนเข้ามาหา? ไม่โดนมันลากไปตายด้วยก็บุญหัวแล้ว”
…
เหล่าผู้อาวุโสต่างคุยกันด้วยน้ำเสียงกระซิบกระซาบ แยกหนิงเทียนปิงกับเย่หยวนออกจากกันอย่างชัดเจน
ในหมู่คนใหญ่คนโตของเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ ตอนนี้เย่หยวนนั้นกลายเป็นได้แค่เพียงที่หัวเราะเยาะเท่านั้น
ยอดคนสะท้านฟ้าในตอนที่เป็นแค่บรรพชนพระเจ้า แต่กลับไม่มีปัญญาที่จะบรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้า
หนิงเทียนปิงได้แต่ขมวดคิ้วแน่น เขาแทบจะระเบิดความโกรธออกมาก่อนที่จะเห็นร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้น ซึ่งเขาก็คือหนิงจื่อหยวนอย่างไม่ต้องสงสัย!
หนิงจื่อหยวนนั้นออกมาอย่างโกรธเคือง แต่เมื่อได้เห็นว่าหนิงเทียนปิงสามารถบรรลุได้แล้ว ใบหน้าของเขาก็ผ่อนคลายลงอย่างมากในทันที
หนิงเทียนปิงเองก็กดความโกรธที่สุมในใจไว้ก่อนและก้มหัวลงคารวะหนิงจื่อหยวน “เทียนปิงขอคารวะท่านผู้นำตระกูล!”
ต่อให้ตอนนี้หนิงจื่อหยวนจะให้อภัยหนิงเทียนปิงไปแล้วในใจ แต่เพื่อจะได้แสดงบทบาทความเป็นผู้นำตระกูลที่ดี เขาจึงต้องตอบรับไปอย่างเย็นชา “ฮึ่ม! ไปไม่บอกไม่กล่าว เจ้ายังมีความเคารพต่อข้า ผู้เป็นผู้นำตระกูลในสายตาหรือไม่?”
ก่อนที่หนิงเทียนปิงจะจากไป เขานั้นก็ไม่ค่อยพอใจการกระทำของหนิงจื่อหยวนสักเท่าไหร่
เรื่องที่เกิดในที่ประชุมผู้อาวุโสนั้น การกระทำของหนิงจื่อหยวนเป็นอะไรที่เขาไม่อยากยอมรับมาก
แต่เมื่อลองมองย้อนกลับไป หนิงจื่อหยวนนั้นก็เอาใจใส่ดูแลเขามาอย่างดี เขาจึงไม่สามารถที่จะโกรธเคืองได้มากมายนัก เขาจึงใช้วิธีการจากไปอย่างไม่ลาเพื่อเป็นการแสดงความไม่พอใจของเขาออกมาแทน
ในเรื่องความโกรธเคืองหน้าฉากของหนิงจื่อหยวนนี้ หนิงเทียนปิงยอมรับมันไว้แต่โดยดี “เทียนปิงมิกล้า!”
หนิงจื่อหยวนหัวเราะ “ทำไปแล้วแท้ๆ ยังมีหน้ามาบอกมิกล้า? ช่างมันเถอะ เดิมทีข้าคิดว่าเจ้าออกเดินทางไปกับเจ้าคนไม่ได้เรื่องอย่างเย่หยวนนั่น ข้าจึงเป็นกังวลมาก แต่ดูท่าเจ้าตอนนี้แล้วเจ้าคงได้ไปพบเจออะไรดีๆ เข้าที่นอกเมืองสินะ! ถึงกับสามารถบรรลุสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าชั้นกลางได้ในเวลาแค่ไม่กี่สิบปี เจ้าเองก็ได้รับประโยชน์จากตระกูลหนิงมามาก จากนี้ไปจงตั้งใจทำคุณงามความชดใช้เรื่องที่ผ่านมาเสีย!”
หนิงเทียนปิงนั้นยอมรับเรื่องราวต่างๆ ได้ทั้งหมดในตอนแรกจนไปได้ยินหนิงจื่อหยวนเรียกเย่หยวนว่าคนไม่เอาไหน เขาจึงระเบิดความโกรธเคืองที่สะสมไว้ออกมาทันที
เขาลุกขึ้นยืน ยืนอย่างน่าเกรงขามจนทำให้ผู้คนรอบข้างเริ่มหวาดกลัว
“เทียนปิงนั้นเคารพท่านผู้นำมาก แต่บุณคุณที่นายใหญ่มีต่อข้านั้นมากล้ำเหนือขุนเขา! ท่านผู้นำตระกูล ข้าขอให้ท่านถอดคำพูดนั้นเสีย! นายใหญ่ท่านมิใช่คนไม่เอาไหน เขานั้นคือยอดอัจฉริยะไร้เปรียบ! ไม่เช่นนั้นท่านต้องเสียใจที่กล่าวเช่นนั้นออกมา!” คำพูดของหนิงเทียนปิงนั้นฟังดูรุนแรงมาก
หนิงจื่อหยวนเองก็มึนงงกับท่าทางนั้นของหนิงเทียนปิงเช่นกัน เพราะท่าทางของหนิงเทียนปิงที่มีต่อเขามาตลอดนั้นคือท่าทางของเด็กว่านอนสอนง่ายคนหนึ่ง แถมยังเคารพตัวเขาอย่างสุดใจ
แต่วันนี้เขากลับเลือกเย่หยวนแทนหนิงจื่อหยวน!
หนิงจื่อหยวนเปลี่ยนสีหน้าไปและถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก “เสียใจ? เจ้าขยะไร้ค่าไม่เอาไหนที่ไม่มีปัญญาจะบรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้าแบบนั้นคือยอดอัจฉริยะ? หนิงเทียนปิง เจ้าทำดีมาก! เพื่อหน้าของขยะอย่างนั้นเจ้าถึงกับกล้าเถียงข้าเชียวรึ?”
เมื่อเหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายได้ยินพวกเขาเองก็เริ่มแสดงความโกรธเคืองออกมาและกล่าวว่าหนิงเทียนปิงไปต่างๆ นาๆ
“เทียนปิง เจ้าออกไปท่องโลกแล้วปีกกล้าขาแข็งเรอะ! ถึงกับกล้าทำตัวเสียมารยาทเช่นนี้ต่อท่านผู้นำ!”
“เกินไปเสียจริงๆ เจ้าคิดว่าการที่เจ้าบรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้าชั้นกลางได้แล้วเจ้าจะสามารถเสียมารยาทต่อท่านผู้นำได้รึ?”
“แค่เพื่อเจ้าขยะนั่น เจ้ากลับกล้าทำตัวเช่นนี้ต่อหน้าท่านผู้นำตระกูล ช่างโง่เขลา แบบนี้ต้องถูกทำโทษตามกฎของตระกูล!”
…
เมื่อได้ยินเสียงของเฒ่าทั้งหลายนี้ ความโกรธเคืองในใจของหนิงเทียนปิงก็ระเบิดออกมาอีกครั้ง
เขานั้นเคารพในตัวหนิงจื่อหยวนมาก แต่ไม่ใช่กับพวกเฒ่าทั้งหลายเหล่านี้
เฒ่าพวกนี้วันๆ มีแต่สั่งให้คนอื่นทำนู่นทำนี่ให้เวลาที่คิดอะไรแปลกๆ ได้ พวกมันทั้งหลายไม่ได้คิดที่จะทำอะไรจริงๆ จังๆ เลยแม้แต่น้อย
หากให้พูดง่ายๆ พวกนี้มันก็คือคนที่นั่งใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยรอวันตายไปเปล่าๆ
หนิงเทียนปิงตะโกนลั่น “พวกเจ้าจงหุบปาก! ไม่ได้เรื่อง? ขยะ? บรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้าไม่ได้? พูดอะไรไร้สาระ หากมีปัญญาต่อจากนี้ก็จงอย่าได้ไปขอซื้อโอสถจากนายใหญ่ท่านแล้วกัน! ข้าขอบอกเลยนะ นายใหญ่ท่านไม่พอใจตระกูลหนิงอย่างมาก แล้วพวกเจ้ายังจะคิดผลักไสตระกูลหนิงให้ตกไปอยู่ในจุดที่กู่ไม่กลับอีกรึ?”
เมื่อเหล่าผู้อาวุโสได้ยินแบบนั้นพวกเขาก็ตะโกนลั่นออกมาบ้างพร้อมชี้มือด่าไปที่หนิงเทียนปิง “จ-เจ้าบ้านี่ เจ้ากล้าพูดจาแบบนั้นใส่เรารึ? มันต่อต้าน! มันคิดต่อต้านตระกูล! ท่านผู้นำจงดูเถอะ เด็กคนนี้มันออกไปท่องโลกและกลับมาในสภาพไม่ต่างจากคนป่าแล้ว! เจ้าขยะนั่นมันบรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้าไม่ได้เสียด้วยซ้ำ! มีหรือที่ชายแก่คนนี้ยังจะต้องไปก้มหัวขอร้องเอาโอสถจากมัน?”
แต่ทว่าหนิงจื่อหยวนนั้นไม่สนใจคำพูดเหล่านั้นและหันไปมองหน้าหนิงเทียนปิงอย่างจริงจังด้วยความสงสัยเต็มแก่ “เทียนปิง เจ้า… เจ้าหมายความว่า?”
หนิงเทียนปิงยิ้ม “ความหมาย? มันก็หมายความว่านายใหญ่ท่านไม่เพียงแต่บรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้าแต่ระยะเวลาหลายสิบปีมานี้ท่านยังเติบโตขึ้นอย่างที่พวกท่านคิดไม่ถึงยังไงล่ะ! ท่านผู้นำ เทียนปิงนั้นมิได้ลบหลู่ผู้อาวุโสเลย แต่ข้านั้นเจ็บช้ำน้ำใจอย่างไม่สามารถอธิบายได้! หากตอนนั้นพวกเขาช่วยเสริมนายใหญ่ท่านในการประชุมผู้อาวุโส ตอนนี้ตระกูลเราก็คงไม่ตกอยู่ในสภาพนี้หรอก! ตระกูลหนิงของเราคงได้กลายเป็นยอดตระกูลอันดับหนึ่งแห่งเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ไปแล้ว! แต่ตอนนี้… เฮ้อ!”
หนิงจื่อหยวนหรี่ตาลงทันทีที่ได้ยินและถามขึ้น “เจ้าว่ายังไงนะ? เย่หยวน… เขาบรรลุแล้ว? บ้าน่า! ตอนนั้นข้าเห็นเขากินโอสถสุริยันจักรวาลไปแล้วแต่ก็ยังไม่สามารถจะขึ้นไปถึงอาณาจักรราชันพระเจ้าครึ่งก้าวได้ จะเป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะบรรลุขึ้นอาณาจักรราชันพระเจ้าได้เต็มตัว?”
หนิงเทียนปิงหันไปมองหน้าหนิงจื่อหยวนและก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาอีกครั้ง
หนิงจื่อหยวนนั้นรู้สึกได้ว่าสายตาที่หนิงเทียนปิงใช้มองมามันช่างทิ่มแทงเข้าไปในดวงจิตของเขาเสียเหลือเกิน
ตอนที่ 1683 รังแกกันถึงหน้าประตู
เย่หยวนเข้าเมืองมาอย่างเงียบงันโดยไม่คิดที่จะดึงดูดความสนใจของใครๆ และสถานที่แรกที่เขามุ่งตรงมาก็คือที่พักของเจิ่งชี
“ใครกัน หยุดนะ! หืม? เจ้า… ท่านผู้อาวุโสเย่หยวน!” ยามคนนั้นเบิกตาโพลงทันทีหลังจากจำใบหน้าของเย่หยวนได้
“โอ้? เจ้ารู้จักข้าด้วย?” เย่หยวนยิ้ม
ยามคนนั้นจึงยิ้มตอบ “ผู้อาวุโสเย่คงล้อเล่นแล้ว ในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นี้มีใครบ้างที่ไม่รู้จักท่าน!”
เย่หยวนหัวเราะออกมา “ในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นี้ทุกคนต่างรู้จักข้าในนามเจ้าคนไม่เอาไหน!”
ยามคนนั้นหน้าเปลี่ยนสีไปทันทีที่ได้ยิน “ผู้อาวุโสเย่ ไม่ว่าคนอื่นจะว่าอย่างไรคฤหาสน์เจิ่งของพวกเรานั้นจะไม่มีใครผู้ใดกล้าพูดจาว่าร้ายท่านแบบนั้นแน่ รวมไปถึงข้าน้อยคนนี้ด้วยเช่นกัน! ผู้อาวุโสใหญ่นั้นเคยได้ถูกท่านช่วยชีวิตไว้ หากมีใครกล้าพูดจาว่าร้ายผู้มีพระคุณ หากเป็นเรื่องเล็กน้อย มันผู้นั้นจะถูกไล่ออกจากคฤหาสน์เจิ่งทันที หากเป็นเรื่องร้ายแรง มันผู้นั้นจะต้องโทษประหารสถานเดียว!”
เย่หยวนไม่คิดไม่ฝันว่าเจิ่งชีจะถึงกับใช้มาตรการแบบนี้ในการปิดปากทุกคนไว้ แต่แค่นี้มันก็แสดงให้เห็นถึงความภักดีและน้ำใจสหายเช่นกัน
เย่หยวนจึงพยักหน้ารับ “แล้วผู้อาวุโสใหญ่เป็นอย่างไรบ้าง?”
เมื่อได้ยินคำถามนั้นยามคนดังกล่าวก็ถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา “เฮ้อ สภาพของผู้อาวุโสใหญ่นั้นแย่ลงไปทุกวัน ผู้อาวุโสใหญ่ซวนอี้เองก็พยายามอย่างสุดความสามารถในทุกวิถีทางแล้วแต่ก็ยังไม่สามารถจะแก้ไขสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้ได้ ตอนนี้ผู้อาวุโสใหญ่นั้นไม่สามารถลุกออกจากเตียงได้แล้ว”
เย่หยวนขมวดคิ้วแน่นทันที “เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
ก่อนที่เย่หยวนจะจากไปเขายังตรวจดูร่างกายของเจิ่งชีอย่างดี และคิดว่าอาการมันน่าจะยังไม่ทรุดจนถึงขั้นลุกไม่ได้เร็วปานนี้
เมื่อได้ยินยามคนนั้นเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างที่เขาไม่อยู่ให้ฟัง ความโกรธแค้นในจิตใจของเย่หยวนก็ปะทุขึ้นอีกครา
ดูเหมือนว่าจะมียอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์ของเมืองจักรพรรดิยอดสันติออกมาจากการเก็บตัวและได้ข่าวเรื่องการจากไปของเกาหยุน จึงออกมาหาเขาถึงที่
ยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์ผู้นั้นมาเพื่อหาเรื่องเย่หยวนและเจิ่งชีอย่างเต็มตัว
แต่เมื่อเขามาถึงเขากลับได้รับข่าวว่าเย่หยวนได้ออกจากเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ไปก่อนแล้ว
เมื่อยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์มาถึงเช่นนั้น เรื่องราวมันจึงไม่มีทางที่จะจบลงได้ง่ายๆ แน่
กำลังของเมืองจักรพรรดิยอดสันตินั้นเหลือล้ำกว่าเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์มาก ฝ่ายนั้นมียอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์ถึงสี่คน ส่วนเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นั้นมีแค่สอง
หลังจากยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์คนนั้นมาถึง เขาก็สั่งให้เมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ลงโทษประหารเย่หยวนและส่งเขาหน่วงเทพบรรพกาลมาเสีย
นอกจากนั้นเขายังส่งให้ศิษย์คนหนึ่งของเกาหยุนมาท้าดวลกับเจิ่งชี บอกว่ามันเป็นการแก้แค้นให้อาจารย์
มันเป็นเรื่องราวที่คล้ายกับเรื่องของเจิ่งชีไม่มีผิดเพี้ยน
ต่างกันก็แค่ตอนนั้นเกาหยุนนั้นเป็นคนเจ้าเล่ห์มากกลใช้กลยุทธและอุบายในการทำร้ายอีกฝ่ายลง
แต่เรื่องราวในครั้งนี้มันไร้สาระอย่างไม่มีคำเปรียบ
เพราะสภาพร่างกายของเจิ่งชีในตอนนี้มีหรือที่จะทนรับการต่อสู้ได้อีก?
แต่ทว่าเจิ่งชีกลับเลือกที่จะยืนกรานในคำของตัวเองและบอกว่าเรื่องราวของการสังหารเกาหยุนที่เหวอัญเชิญปีศาจนั้นเป็นฝีมือของเขาแต่เพียงผู้เดียว เย่หยวนไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ ด้วย
นอกจากนั้นเขายังกล้าที่จะรับคำท้า
และแน่นอนว่าผลมันก็ออกมาอย่างไม่ต้องคาดเดา
เจิ่งชีแพ้อย่างราบคาบและบาดเจ็บหนักด้วยน้ำมือของศิษย์เกาหยุนคนนั้น ตอนนี้เขาจึงมีสภาพกึ่งเป็นกึ่งตาย
เย่หยวนนั้นโกรธแค้นกับเรื่องที่เกิดขึ้นมากเมื่อได้ยิน คลื่นพลังของอาณาจักรวายุพระเจ้าของเขาหลั่งไหล่ออกมาสู่โลกภายนอก “ล้างแค้นบ้าบออะไร? นี่มันคิดจะมาขโมยเขาหน่วงเทพบรรพกาลชัดๆ”
ยามคนนั้นมีพลังเพียงแค่อาณาจักรบรรพชนพระเจ้า เมื่อต้องมาเจอกับแรงกดดันจากเย่หยวนแล้วหน้าของเขาจึงถอดสีทันที
ยามคนนั้นตื่นตะลึงอยู่ในใจ เพราะตอนนี้เขาได้รู้แล้วว่าเย่หยวนมิได้อยู่ในอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าอีกต่อไปแล้ว
คลื่นพลังระดับนี้มันต้องเป็นอาณาจักรราชันพระเจ้าแน่!
ผู้อาวุโสเย่บรรลุแล้วจริงๆ ?
เย่หยวนเริ่มรู้สึกตัวถึงสภาพดูไม่จืดของยาม เขาจึงรีบเก็บคลื่นพลังกลับเข้าตัวไปทันที “เจ้าเข้าไปบอกพวกเขาว่าข้ากลับมาแล้ว”
ยามคนนั้นรีบตอบ “ผู้อาวุโสเย่คงล้อเล่นแล้ว ตอนนี้ผู้อาวุโสใหญ่นั้นอยู่ในสวน ผู้อาวุโสใหญ่ซวนอี้และผู้อาวุโสใหญ่เล่งหยูเองก็เช่นกัน เรียนเชิญ!”
เย่หยวนพยักหน้ารับและหยิบโอสถเม็ดหนึ่งออกมาโยนให้อีกฝ่ายไป “ขอบคุณที่ลำบาก นี่ข้าให้”
ยามคนนั้นรับโอสถไปและต้องเบิกตากว้างทันทีที่ได้เห็นว่ามันคือโอสถใด
โอสถศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะโมฆะ!
โอสถศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะโมฆะของผู้อาวุโสเย่นั้นเป็นของที่แสนจะหายาก แต่ตอนนี้เขากลับได้รับมันมา
“ขอบพระคุณมากผู้อาวุโสเย่!”
…
ในสวน ตอนนี้เล่งหยูและซวนอี้กำลังมองดูเจิ่งชีที่นอนหายใจรวยรินอยู่บนเตียง
คลื่นพลังของเจิ่งชีในตอนนี้อ่อนแอมาก ตอนนี้เขาใกล้จะตายเต็มทีแล้ว
แต่สีหน้าของเขากลับไม่มีอาการเสียใจใดๆ ให้เห็นมากมาย แถมยังจะดูปลอดโปร่งเสียด้วยซ้ำ
“อาจารย์ปู่ พี่ซวนอี้ พวกท่านไม่ต้องมาทำเช่นนี้หรอก ตอนนั้นที่ข้าได้แก้แค้นให้ท่านอาจารย์ไป ความหวังเดียวในชีวิตของข้าก็ได้ลุล่วงไปแล้ว การได้อยู่มาอีกหลายต่อหลายปีนี่นับว่าเป็นบุญมากแล้ว” เจิ่งชีหายใจเข้าอย่างแรงทันทีที่พูดจบ ดูท่าท่าจะเหนื่อยมากๆ
ซวนอี้นั้นโทษตัวเองอย่างมาก “มันเป็นเพราะเฒ่าคนนี้ไร้ความสามารถ หากเย่หยวนสามารถบรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้าได้ เขาจะต้องช่วยเจ้าได้แน่ๆ เฮ้อ!”
เมื่อพูดถึงเย่หยวนออกมา เล่งหยูก็กล่าวขึ้นตามอย่างโกรธเคือง “ไอ้พวกโง่เหล่านั้นมันบอกว่าเหวินอี้หลินถูกเย่หยวนก่อกวนก่อน! มีปัญญาจะรับผิดชอบแท้ๆ แต่กลับชอบจะโยนความผิดให้คนอื่น ช่างเป็นการกระทำที่หน้าไม่อายอย่างถึงที่สุด”
ซวนอี้ถอนหายใจยาว “พวกนั้นมันก็เป็นกันแบบนั้น ไม่มีทางที่จะรับผิดชอบเรื่องใดๆ ก็ตาม”
“หึๆ หากเย่หยวนบรรลุแล้วกลับมาได้ ข้าล่ะอยากรู้จริงๆ ว่าพวกโง่นี้มันจะทำหน้ายังไง! เสียดายจริงๆ ที่ข้า… จะไม่ได้อยู่เห็นมัน!” เจิ่งชีถอนหายใจและบ่นออกมา
หากให้พูดถึงเรื่องค้างคา มันก็คงเป็นเรื่องที่เขาไม่ได้เห็นเย่หยวนบรรลุด้วยตาของเขาเอง
คนเราต่างมีเรื่องราวให้ต้องสะสาง เย่หยวนออกไปครานี้คงไม่กลับมาอีกในเร็ววันแน่
เพราะยังไงเสียโอกาสที่จะบรรลุมันก็ยากที่จะหายิ่ง
เพียงแค่ว่าพวกเขานั้นไม่นึกไม่ฝันว่าเย่หยวน ผู้มีพลังบ่มเพาะแค่อาณาจักรบรรพชนพระเจ้าจะกล้าเดินทางออกไปยังเขาแห่งถงเทียน
“ใครว่าท่านจะไม่ได้อยู่ดูกัน? ไม่ใช่แค่ได้ดู แต่จะได้สั่งสอนพวกมันทุกผู้คนเลยด้วย!”
คนทั้งสามได้ยินเสียงนั้นดังขึ้นมาก่อนจะเห็นตัวคน!
เสียงนี้ พวกซวนอี้นั้นคุ้นเคยกับมันอย่างดี ใช่แล้ว ที่ด้านนอกประตูพวกเขาเห็นร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังก้าวเดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ จะเป็นใครไปได้นอกเสียจากเย่หยวน?
“เย่หยวน เจ้า… เจ้ากลับมาเร็วปานนี้เลย?” ซวนอี้ถามออกไปด้วยความตื่นตกใจ
แต่เล่งหยูกลับเปลี่ยนสีหน้าไปทันที “เจ้า… เจ้าบรรลุแล้ว?”
แม้ว่าเย่หยวนจะแข็งแกร่งขึ้นมาก แต่มันกลับให้ความรู้สึกที่สุดหยั่งทำให้แม้แต่เล่งหยูก็ไม่แน่ใจ
เย่หยวนยิ้ม “ไม่บรรลุจะมีหน้ากลับมาได้อย่างไร? ความรู้สึกที่มีคนมาชี้หน้าด่าว่ามันไม่ได้รู้สึกดีหรอกนะ!”
เมื่อคนอื่นๆ ได้ยินพวกเขาก็หัวเราะร่าออกมา
เล่งหยูหัวเราะอย่างหนักและบอก “ก็บอกแล้ว แค่อาณาจักรราชันพระเจ้ามันจะเป็นทางตันของเจ้าได้อย่างไร? ไอ้พวกโง่นั่น ข้าอยากเห็นจริงๆ ว่ามันจะยังว่ายังไงต่ออีกคราวนี้! อยากเห็นสีหน้าพวกมันแล้วจริงๆ”
เย่หยวนยิ้ม “ไว้ค่อยมาคุยเล่นกันทีหลังเถอะ ตอนนี้ขอข้าดูอาการพี่เจิ่งก่อน”
เจิ่งชีนั้นมีสภาพที่อ่อนแอมากๆ แต่เมื่อได้เห็นว่าเย่หยวนบรรลุอาณาจักรแล้ว เขาเองก็ตื่นเต้นดีใจตามไปด้วยจนสภาพร่างกายเริ่มดูดีขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
เย่หยวนตรวจสอบร่างกายของเจิ่งชีจนต้องขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างห้ามตัวเองไม่อยู่ “น่ารังเกียจเสียจริง!”
เย่หยวนตรวจพบว่าภายในร่างของเจิ่งชี มันมีพลังยินค่อยๆ กัดกินพลังชีวิตของเจิ่งชีไปเรื่อยๆ ทำให้เขาเข้าใกล้ความตายเร็วขึ้น
ดูท่าแล้วมันคงเป็นฝีมือของอีกฝ่ายแน่!
ซวนอี้ถอนหายใจยาว “ต่อให้ความสามารถของเจ้าหยางฟานนั้นมันไม่เทียบเท่ากับน้องเจิ่งชี แต่มันก็ไม่ได้อยู่ในระดับที่จะดูถูกได้เลย พลังหยินนี้เป็นสิ่งที่ไม่ว่าเฒ่าคนนี้จะทำอย่างไรก็ไม่มีปัญญาพอที่จะจัดการขับมันออกมาได้เสียที จึงได้แต่มองดูน้องเจิ่งค่อยๆ ทรมานกับมันไปเรื่อยๆ”
เจิ่งชียิ้มออกมาเมื่อได้ยินเช่นนั้น “พี่ซวนอี้อย่าได้โทษตัวเองเลย เฒ่าคนนี้เองก็รู้ว่าท่านนั้นพยายามอย่างถึงที่สุดแล้ว”
เย่หยวนยังขมวดคิ้วไม่หาย “โอสถของพี่เจิ่ง เดิมทีข้าได้เตรียมมันไว้แล้ว แต่ข้าไม่นึกไม่ฝันว่ามันจะเกิดเรื่องร้ายแรงปานนี้ขึ้นมาอีก พวกท่านโปรดรอหน่อย เย่คนนี้จะไปจัดการหลอมโอสถเม็ดใหม่มาเดี๋ยวนี้!”
ตอนที่ 1684 โอสถที่แปลกไป
เมื่อเย่หยวนจากไปเล่งหยูก็พูดขึ้นด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความตื่นตะลึง “นี่… เขาน่าจะเพิ่งบรรลุได้ไม่นานมิใช่รึ? แต่กลับสามารถที่จะหลอมโอสถระดับนั้นได้แล้ว?”
ซวนอี้หยุดไปพักหนึ่งก่อนจะตอบมา “พลังของอาณาจักรเต๋านั้นมันต่างจากอะไรที่เราจะเข้าใจได้ สำหรับพวกเรา เรายังอยู่ในอาณาจักรที่เห็นภูเขาเป็นภูเขา แต่กับเขาบางทีตอนนี้เขาอาจจะไปถึงอาณาจักรที่ไม่เห็นภูเขาเป็นภูเขาอีกแล้วก็ได้! สิ่งที่เขาได้พบเจอนั้นคือยอดวิถีแห่งโอสถ เรียนรู้ได้มากกว่าเท่าตัวด้วยเวลาที่น้อยกว่าเท่าตัว มันต่างจากอะไรที่คนธรรมดาๆ จะนึกภาพได้มาก”
เล่งหยูนั้นไม่เข้าใจว่าอะไรคือวิถีโอสถ แต่เขาก็รู้ถึงฝีมือของซวนอี้ดี
การที่ซวนอี้พูดถึงขนาดนั้นมันก็หมายความว่าความรู้ด้านโอสถของเย่หยวนนั้นมันเหนือล้ำกว่าที่เขาจะจินตนาการได้แล้ว
ก่อนที่จู่ๆ เล่งหยูจะนึกอะไรขึ้นมาได้และถามซวนอี้ออกไป “เจ้ารู้สึกว่าอาณาจักรของเขามันต่างไปหน่อยไหม? ดูไม่เหมือนกับอาณาจักรราชันพระเจ้าหนึ่งดาวทั่วๆ ไปเลย!”
ซวนอี้เองก็พยักหน้ารับ “การเห็นเขาเมื่อสักครู่นี้มันให้ความรู้สึกราวกับเขาได้เกิดใหม่ขึ้นมา ที่สำคัญกว่านั้นข้ายังไม่เห็นเลยว่าพลังที่แท้จริงของเขามันเป็นยังไง มันเหมือนจะเป็นอาณาจักรราชันพระเจ้าหนึ่งดาว แต่ก็เหมือนจะไม่ใช่!”
เล่งหยูหายใจเข้าลึก “ข้ารู้สึกเลยอนาคตของเด็กคนนี้มันต้องสูงส่งจนเกินกว่าที่เราคนใดจะจินตนาการได้แน่ๆ”
ซวนอี้พยักหน้า เพราะตัวเขาเองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน
หลังจากผ่านไปได้หลายชั่วโมง ในที่สุดเย่หยวนก็ออกมาจากการเก็บตัว
เย่หยวนยื่นโอสถสองเม็ดให้พวกเขาด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อนไม่น้อย “นี่คือโอสถหยางแกร่งบริสุทธิ์และโอสถเสริมอายุขัยยืนยาว ให้พี่เจิ่งได้กินมันเถอะ”
ดูท่าแล้วโอสถทั้งวสองเม็ดนี้มันคงหนักหนาไม่น้อยสำหรับตัวเขาในตอนนี้
โอสถหยางแกร่งบริสุทธิ์นั้นคือโอสถที่มีฤทธิ์ช่วยขับพลังหยินออกจากร่าง ส่วนโอสถเสริมอายุขัยยืนยาวนั้นคือโอสถที่จะช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อและเลือดของผู้กินมันเข้าไป ช่วยเพิ่มพูนพลังงานให้แก่ผู้ได้รับมันไป
เจิ่งชีนั้นใช้ดาบคลั่งเลือนสลายออกไปในตอนนั้น ทำให้พลังชีวิตของเขามันเหือดแห้งมานานมากแล้ว มันจึงยากมากที่จะมีโอสถตัวใดช่วยเสริมสร้างสิ่งที่เหือดแห้งขนาดนั้นได้
เพราะเช่นนั้นซวนอี้ถึงได้แต่กุมขมับกับสภาพตรงหน้าเพราะเขาไม่สามารถที่จะหลอมโอสถเสริมอายุขัยยืนยาวให้ได้ถึงขั้นสูง
แต่เมื่อซวนอี้ได้เห็นโอสถทั้งสองเม็ด ร่างกายของเขาก็สั่นสะท้านและตะโกนขึ้นมาอย่างตื่นตกใจ “ข-ขั้นเทวะ! เจ้าเพิ่งจะบรรลุอาณาจักรมาได้หมาดๆ แต่กลับสามารถหลอมโอสถสองอย่างนี้ได้จนถึงขั้นเทวะเลย คาดไม่ถึงโดยแท้!”
โอสถทั้งสองนั้นไม่ใช่โอสถที่ง่ายดายนัก มันยากมากถึงขนาดที่ว่าแม้แต่ซวนอี้ก็ยังไม่สามารถจะหลอมมันได้ถึงขั้นสูง แต่เย่หยวนที่เพิ่งจะบรรลุมาได้หมาดๆ กลับสามารถหลอมมันได้ถึงขั้นเทวะ มีหรือที่เขาจะยังทนไม่ตื่นตกใจได้?
มันแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าหลังจากบรรลุขึ้นระดับสี่มาได้ ทักษะในการหลอมโอสถของเย่หยวนนั้นก็ได้เหนือล้ำกว่าเขาไปในทุกๆ ด้านแล้ว
ตอนนี้มันคงได้เวลาเปลี่ยนตำแหน่งยอดนักหลอมโอสถอันดับหนึ่งแห่งเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์แล้ว!
เย่หยวนยิ้ม “พี่ซวนอี้ เวลากว่าสี่ร้อยปีนี้ข้าไม่ได้แค่คิดจะบรรลุอาณาจักรอย่างเดียวเสียหน่อย! เหล่าโอสถระดับสี่ทั้งหลายนั้นข้าล้วนแล้วแต่คุ้นชิ้นกับมันมาแล้วทั้งสิ้น สิ่งเดียวที่ยังขาดก็คือการบรรลุเท่านั้น”
ซวนอี้ยิ้มออกมาอย่างขื่นขม “ต่อให้เป็นอย่างนั้น มันก็ยังสุดยอดอยู่ดี!”
สี่ร้อยปี?
ซวนอี้นั้นหมดตัวอยู่กับโอสถระดับสี่มากว่าสี่หมื่นปี แต่เย่หยวนกลับใช้เวลาแค่สี่ร้อยปีในการก้าวขึ้นไปอยู่เหนือเขา
เรื่องแบบนั้น… มันอาจจะเป็นความแตกต่างระหว่างอัจฉริยะกับคนธรรมดาก็ได้ละมั้ง?
แต่ซวนอี้ไม่ได้รู้สึกอิจฉาริษยาใดๆ แม้แต่น้อย เขานั้นกลับรู้สึกดีใจแทนเย่หยวนเสียด้วยซ้ำ
เพราะตอนนี้เย่หยวนนั้นคือตัวตนที่เหนือล้ำของเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ไปแล้วเรียบร้อย
เย่หยวนยิ้ม “พี่เล่งหยู พี่เจิ่งนั้นมีร่างกายที่อ่อนแอมากจนไม่สามารถจะดูดซับโอสถได้ด้วยตัวเอง ท่านโปรดช่วยเขาในเรื่องนั้นด้วย”
เล่งหยูพยักหน้ารับ “ได้ ข้าจะพาเขาไปเดี๋ยวนี้”
หลังจากคนทั้งสองจากไป เย่หยวนก็คิดที่จะกลับเข้าเก็บตัวเพื่อพักฟื้นปราณเทวะของตัวเขาเองก่อนที่คนใช้ด้านนอกจะมารายงานว่าหนิงจื่อหยวนแห่งตระกูลหนิงได้มาขอพบ
เมื่อซวนอี้ได้ยินแบบนั้น เขาก็ได้แต่หัวเราะเย้ยออกมา “เฮอะ พวกเห็นแก่ได้! ตอนนั้นที่เจ้าไม่สามารถบรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้าได้มันกลับคิดโยนหินลงถมบ่อน้ำในงานประชุมผู้อาวุโส ตอนนี้เมื่อมันเห็นว่าเจ้าบรรลุแล้วมันกลับมาตามหาตัวเจ้าเสียอย่างนั้น!”
เย่หยวนตอบ “โลกเรามันก็เป็นแบบนี้! เจ้าออกไปบอกพวกเขาเถอะว่าข้ากำลังช่วยผู้อาวุโสใหญ่เจิ่งชีอยู่ ไม่ว่างพบแขกหน้าไหน”
คนใช้คนนั้นไม่กล้าที่จะขัดคำสั่งและออกมาไปอย่างว่าง่าย
เพราะคนทั้งสองฝั่งนั้นต่างเป็นยอดคนที่เขาไม่มีปัญญาพอจะไปลบหลู่ได้เลย!
…
ที่ด้านนอกคฤหาสน์เจิ่ง หนิงจื่อหยวนมีสีหน้าที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก
เขานั้นคือผู้นำตระกูลหนิง เป็นถึงยอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้าแปดดาว แต่กลับถูกไล่กลับบ้านทั้งๆ อย่างนี้!
“นี่ เทียนปิง เด็กคนนี้มันจะไม่โอหังเกินไปหน่อยรึ? ผู้นำตระกูลถึงขนาดมาขอพบด้วสยตัวเองแบบนี้ แต่เขากลับไม่คิดที่จะออกมาพบเสียด้วยซ้ำ!” หนิงจื่อหยวนถามด้วยคิ้วที่ขมวดแน่น
หนิงเทียนปิงได้แต่หันไปมองและถอนหายใจยาว “ท่านผู้นำ นี่ไม่ใช่ว่าข้าเข้าข้างนายใหญ่หรอกนะ แต่ตั้งแต่ที่เขากลับเข้ามาเหยียบประตูเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นี้อีกครั้ง เมืองนี้มันก็ตกอยู่ในมือของเขาแล้ว! ด้วยความสามารถทางโอสถของเขา ซึ่งท่านเองก็น่าจะทราบดี ตราบเท่าที่เขาคิดจะทำ เขาก็สามารถจะช่วยบ่มเพาะตระกูลเล็กๆ ขึ้นมาให้กลายเป็นยักษ์ใหญ่เทียบตระกูลหนิงได้ง่ายๆ ในเวลาไม่กี่ร้อยปี! ท่านคิดว่าเขามีสิทธิที่จะโอหังหรือไม่ล่ะ?”
หนิงจื่อหยวนแทบสำลักเมื่อได้ยินเช่นนั้น และตอนนี้เขาก็กำลังเสียใจกับเรื่องนั้นอยู่อย่างมาก
เขาในฐานะผู้นำตระกูล กลับมีตาที่ไม่กว้างไกลเท่าเด็กหนุ่มในตระกูลคนนี้
ค่าตอบแทนที่หนิงเทียนปิงจะได้รับจากเย่หยวนนั้นมันมากมายอย่างหาที่สุดมิได้!
หนิงจื่อหยวนเองรู้แล้วว่าตอนนี้หนิงเทียนปิงไม่ได้ใช้วรยุทธบ่มเพาะของตระกูลหนิงอีกต่อไป ตอนนี้วรยุทธที่เขาใช้บ่มเพาะมันคือวรยุทธระดับหกขั้นสูง
และโอกาสนี้ เย่หยวนก็เป็นคนที่มอบให้หนิงเทียนปิงอย่างเต็มอกเต็มใจ
เรื่องราวนี้มันเป็นยอดความลับที่หนิงเทียนปิงบอกแค่หนิงจื่อหยวนคนเดียว
แล้ววรยุทธบ่มเพาะระดับหกขั้นสูงมันคืออะไร?
มันก็คือวรยุทธบ่มเพาะที่สามารถพาเขาขึ้นไปถึงอาณาจักรเทพถ่องแท้ขั้นสูงได้!
ด้วยความสามารถของหนิงเทียนปิงนั้น การไปให้ถึงอาณาจักรนภาสวรรค์นั้นมันเป็นได้แค่การละเล่น
หลังหยุดไปหน่อย หนิงจื่อหยวนก็เปลี่ยนน้ำเสียงและพูดกับหนิงเทียนปิงต่อ “โอ้ เทียนปิง ตอนนี้เจ้าเป็นหนึ่งในคนสนิทของเย่หยวน ทำไมเจ้า… ไม่ช่วยพูดอะไรให้ตระกูลหนิงเราหน่อยล่ะ? อย่าให้เขาได้โกรธเคืองตระกูลหนิงเราไปมากกว่านี้เลยนะ?”
หนิงเทียนปิงเองก็ยิ้มออกมาอย่างขื่นขม “ท่านผู้นำ ก็ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากช่วยพูดให้ตระกูลหนิงหรอกนะ แต่ว่านี่คือนายใหญ่ ท่านไม่เข้าใจหรอก นายใหญ่นั้นเป็นแยกความอ่อนโยนและความโหดร้ายออกจากกันอย่างเด่นชัด! ตราบเท่าที่คนผู้นั้นเป็นคนที่เขายอมรับนับถือ เขาก็ยอมที่จะเสี่ยงชีวิตอย่างไม่คิดที่จะลังเลแม้แต่น้อย แต่หากนั่นเป็นคนที่เขาไม่ยอมรับนับถือแล้ว ต่อให้ท่านจะเลียเขาจนลิ้นท่านฉีกมันก็ไม่มีประโยชน์! หากตระกูลหนิงอยากจะคืนดีกับนายใหญ่ให้ได้ ท่านผู้นำ ท่านต้องแสดงความจริงใจออกมา หากท่านทำให้นายใหญ่สามารถอภัยเรื่องราวที่ผ่านมาได้ ข้าก็จะช่วยเอาหน้าเขาประกันและทำให้เขาชอบตระกูลหนิงมากขึ้นอีกแม้สักนิด แต่ท่านผู้นำ ข้าเองก็ไม่ได้อยากจะพูดแบบนี้หรอกนะ แต่นี่คงเป็นโอกาสสุดท้ายแล้วจริงๆ”
หนิงเทียนปิงนั้นติดตามเย่หยวนมาจนพอเข้าใจนิสัยของเย่หยวนได้ในระดับหนึ่ง
หากอยากจะเปลี่ยนมุมมองที่เย่หยวนมีต่อใครสักคน ต่อให้เป็นเขามันก็คงเป็นไปไม่ได้
ในสายตาของเย่หยวนนั้น หนิงเทียนปิงก็คือหนิงเทียนปิง ตระกูลหนิงก็คือตระกูลหนิง ทั้งสองนี้แยกกันอย่างเด่นชัด
เย่หยวนนั้นจะไม่มีทางเอาใจใส่ตระกูลหนิงมากเป็นพิเศษเพราะเห็นแก่หน้าของหนิงเทียนปิงเด็ดขาด
ได้ยินคำหนิงเทียนปิงแบบนั้น หนิงจื่อหยวนก็เกิดกลัวขึ้นมาจับใจ
เขาได้รู้แล้วว่าตอนนี้ตระกูลหนิงเดินมาถึงริมหน้าผาแล้วเรียบร้อย!
…
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนเจาในห้องลับหนึ่ง เล่งหยูกำลังค่อยๆ ช่วยให้เจิ่งชีดูดซับโอสถเข้าร่างไป แต่จู่ๆ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปและหยุดมือดึงปราณเทวะกลับออกมาทันที
เขามองหน้าเจิ่งชีด้วยความตื่นตะลึงอย่างถึงที่สุด “โอสถนี้… มันดูแปลกๆ เจิ่งชีเจ้ารู้สึกถึงมันหรือไม่?”
เจิ่งชีนั้นฟื้นตัวกลับมาได้ราวร้อยละห้าสิบถึงหกสิบแล้ว เมื่อได้ยินแบบนั้นเขาก็ยักหน้า “อาจารย์ปู่ ข้ารู้สึกแล้ว! ดูท่า… ข้าคงจะกำลังบรรลุอาณาจักร!”
เล่งหยูเบิกตาโพลงเมื่อได้ยิน “หะ? โอสถสองเม็ดนี้มันควรจะแค่ช่วยให้เจ้าหายจากอาการบาดเจ็บสิ แต่ตอนนี้เจ้ากลับกำลังจะบรรลุอย่างนั้นรึ?”
ตอนที่ 1685 พลังโกลาหล
“ข้า… ข้าเองก็ไม่แน่ใจ แต่ข้ารู้สึกได้ว่าตนเองกำลังสัมผัสได้ถึงบางสิ่ง บางที… ข้าอาจจะบรรลุอาณาจักรนภาสวรรค์ครึ่งก้าวได้”
ระหว่างที่โอสถทั้งสองเม็ดค่อยๆ ละลายไปในท้องของเขา มันก็กลับให้ความรู้สึกผิดแปลกประหลาดต่อร่างกายของเขา ทำให้เขารู้สึกราวกับได้ตรัสรู้
เจิ่งชีนั้นหยุดอยู่ที่อาณาจักรราชันพระเจ้าเก้าดาวมานานมากหลายหมื่นกว่าปี ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถขึ้นไปแตะถึงฐานของอาณาจักรนภาสวรรค์ได้เสียที
เพราะว่าย่างก้าวนี้มันเป็นอะไรที่แสนจะยากเย็นสำหรับนักยุทธอาณาจักรราชันพระเจ้าเก้าดาว!
เจิ่งชีไม่เคยคิดเคยฝันเลยว่าในห้วงเวลาแห่งความสิ้นหวังนี้ โอสถสองเม็ดของเย่หยวนนี้กลับช่วยให้เขาสัมผัสได้ถึงฐานของอาณาจักรใหม่
หลังพยายามห้ามตัวเองไม่ให้ตื่นเต้นดีใจไปมากกว่านั้น เล่งหยูก็บอก “เรื่องแบบนี้เจ้าจะพลาดไปไม่ได้! เจ้าต้องทำการเข้าเก็บตัวให้เป็นกิจลักษณะ! ตอนนี้อาการบาดเจ็บของเจ้าเองก็หายไปกว่าร้อยละห้าสิบถึงหกสิบแล้ว ไม่ต้องให้ข้าช่วยอีกต่อไปแล้ว”
เจิ่งชีพยักหน้ารับและเริ่มปิดตาลงทำการดูดซึมโอสถที่ยังเหลืออยู่ในร่างต่อทันที ส่วนเล่งหยูก็รีบพุ่งตัวออกจากห้องลับนั้นมา
หลังออกจากห้องลับมาได้ เล่งหยูก็ไปหาเย่หยวนในทันที เขานั้นสงสัยใคร่รู้อย่างที่สุดว่าโอสถสองเม็ดนี้ของเย่หยวนมันมีที่มาที่ไปยังไงกันแน่
ตอนนั้นเย่หยวนกำลังนั่งคุยเล่นกับซวนอี้อยู่
ซวนอี้มองดูเย่หยวนและยิ้มออกมาอย่างขื่นขม “ไม่ว่าจะยังไงหนิงจื่อหยวนก็ยังเป็นถึงผู้นำตระกูลหนิง เจ้าจะไม่ไว้หน้าเขาแบบนี้เลยจริงๆ รึ?”
เย่หยวนยิ้มตอบ “หน้าตานั้นเป็นสิ่งที่คนเรามี หาใช่ต้องให้ใครมาไว้ เย่ผู้นี้เองก็มิใช่คนใจจืดใจดำ แต่ข้านั้นเกลียดชังผู้คนที่ตลบหลังคนอื่นยามยากเสียเหลือเกิน หากข้าไม่เห็นแก่หนิงเทียนปิง ต่อให้เขาจะมายืนอยู่ทั้งชีวิตข้าก็ไม่คิดที่จะพบกับเขาหรอก”
ซวนอี้ได้แต่ถอนหายใจ “ในหมูตระกูลน้อยใหญ่แห่งเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ จริงๆ แล้วก็เป็นตระกูลหนิงที่ได้รับผลประโยชน์จากเจ้าไปมากที่สุดในตอนนั้น ข้าเองก็ไม่คิดไม่ฝันว่าตัวเขาจะทำเช่นนั้นในงานประชุมผู้อาวุโส ไม่แปลกหรอกที่ผู้คนจะเอาใจออกห่าง ช่างเถอะ กับแค่ตระกูลหนิง ด้วยพลังฝีมือของเจ้าในตอนนี้ ต่อให้เป็นสองคนด้านบนนั้นก็คงขัดใจเจ้าได้ไม่มากหรอก”
ระหว่างที่คุยกันไปได้เท่านี้ เล่งหยูก็วิ่งมาถึงอย่างเร่งรีบ เมื่อเขาได้เห็นเย่หยวนเขาก็ถามขึ้นอย่างไม่รีรอ “เย่หยวน โอสถของเจ้ามันคืออะไรกัน? ทำไมเจิ่งชีที่กินเข้าไปถึงจะได้บรรลุอาณาจักรกัน?”
เมื่อซวนอี้ได้ยิน เขาก็หันไปมองหน้าเย่หยวนอย่างเต็มแรงด้วยความตื่นตกใจ
โอสถทั้งสองเม็ดนั้นเขาเองก็รู้จักมันอย่างดี มีหรือที่มันจะมีฤทธิ์ใดช่วยให้เจิ่งชีบรรลุได้?
หรือว่า… เล่งหยูมองผิด?
เย่หยวนได้แต่ยิ้ม “ในเวลาหลายปีมานี้ข้าได้ค้นพบวิธีการใหม่ในโอสถอีกครั้ง ข้าได้ค้นพบว่าหากใช้วิธีการหลอมนี้มันจะช่วยให้โอสถมีฤทธิ์ต่างจากปกติไปเล็กน้อย แต่ข้าเองก็ไม่คิดเหมือนกันว่ามันจะถึงขั้นช่วยให้พี่เจิ่งบรรลุได้แบบนั้น เป็นเรื่องที่ข้าเองก็ไม่นึกไม่ฝันเช่นกัน”
เมื่อซวนอี้และเล่งหยูได้ยินเช่นนั้น ร่างกายของพวกเขาทั้งสองก็สั่นสะท้านออกมาอย่างรุนแรง แค่โอสถขั้นเทวะนั้นมันก็สุดยอดมากแล้วแท้ๆ แต่หากนับรวมกับเรื่องนี้เข้าไปด้วย โอสถที่หลอมออกมามันก็เท่ากับว่ามีค่าไร้ใดเปรียบเลย!
จริงๆ เย่หยวนนั้นรู้มานานแล้วว่าหลังจากเขาบรรลุอาณาจักรวายุพระเจ้ามา ปราณเทวะของเขาก็มีการเปลี่ยนแปลงไป
เพราะมันจะปล่อยพลังสุดลึกลับออกมาด้วย!
ไม่ว่าจะเอามันมาใช้วิชาต่อสู้หรือเอามาหลอมโอสถ มันก็จะช่วยเพิ่มพูนพลังไปได้มากมายนัก
แม้ว่าเย่หยวนที่บรรลุระดับสี่มาได้จะไม่มีพลังโลก แต่เขากลับมีพลังอันลึกลับอันนี้แทน
เย่หยวนเรียกมันว่า… พลังโกลาหล!
เขารู้สึกได้ว่าพลังโกลาหลนี้มันลึกลับและซับซ้อนมากกว่าพลังโลกนัก
ดูท่าแล้ว การมีพลังโกลาหลนี้ นอกจากมันจะทำให้เย่หยวนไม่แพ้พ่ายต่อเหล่าราชันพระเจ้าแล้ว มันกลับจะยิ่งทำให้เขาเหนือกว่าไปเสียด้วยซ้ำ
แต่เรื่องราวเหล่านั้นมันเป็นความลับ
เพราะเช่นนั้นต่อให้เป็นสองคนนี้ เย่หยวนก็บอกออกไปแค่ว่าเขาใช้วิธีการหลอมแบบใหม่ เพราะแบบนั้นมันถึงได้ทำให้โอสถมีความแตกต่างออกไปได้เช่นนั้น
แต่สิ่งที่ทำให้โอสถเปลี่ยนแปลงไปจริงๆ แล้วมันก็คือปราณเทวะโกลาหลของเขาเอง
แต่เจ้าปราณเทวะโกลาหลนั้นคือสุดยอดความลับของเขา เขาจึงไม่คิดที่จะบอกใครออกไปแม้แต่คนเดียว
ต่อให้เป็นในการต่อสู้เย่หยวนก็จะใช้ปราณเทวะโกลาหลออกมาให้เนียนเหมือนกับมันเป็นพลังโลก ช่วยตบตาผู้คนที่ได้เห็น
และเขาก็ได้รู้ว่าปราณเทวะโกลาหลนี้มันปกปิดตัวได้อย่างดี เหมือนตอนที่เขาเลียนแบบพลังของยอดฝีมือเผ่าปีศาจในครานั้น ไม่มีใครสามารถที่จะแยกแยะออกได้เลย
นั่นทำให้เย่หยวนคาดคิดว่าพลังโกลาหลนี้มันน่าจะอยู่เหนือล้ำกว่าพลังโลก
เย่หยวนรู้สึกว่าการเปลี่ยนแปลงในปราณเทวะของเขานี้มันน่าจะเกี่ยวข้องอะไรบางอย่างกับลายแปลกๆ นั้น
แต่แค่คำพูดอธิบายนี้ของเย่หยวนมันก็มากพอจะทำให้ทั้งสองตื่นตะลึงแล้ว
ซวนอี้กล่าวออกมาอย่างตื่นตกใจที่สุด “เจ้านี่ช่างเป็นยอดอัจฉริยะในวิชาการโอสถเสียจริง! ในสายตาของข้า ต่อให้เป็นโอสถบรรพกาล ตอนที่เขายังอายุเท่าเจ้าเขาก็ไม่น่าจะเก่งกาจขนาดเจ้าไปได้!”
เล่งหยูเสริมขึ้นมาพร้อมถอนหายใจ “เจ้า เด็กน้อย เจ้ามันช่างเป็นตัวประหลาดโดยแท้! ข้านึกไม่ออกเลยว่าเจ้าใช้วิชาการบ่มเพาะฝึกฝนแบบไหน! เฮอะๆ ตอนนั้นที่เจ้าไม่สามารถบรรลุได้ ไอ้โง่พวกนั้นมันเอาแต่ช่วยกันโยนหินลงบ่อ ตอนนี้เมื่อเจ้าทำได้ถึงขั้นนี้ ข้าล่ะอยากเห็นพวกมันก้มลงกราบและเลียเท้าเจ้าเสียจริงๆ”
ซวนอี้ยิ้ม “เรอะ! แต่จริงๆ ตอนนี้มันก็มีคนมาก้มกราบเย่หยวนและรอมาถึงเจ็ดวันแล้วที่หน้าคฤหาสน์ตระกูลเจิ่ง! ข้าว่าเรื่องการกลับมาของเย่หยวนนี้คงเป็นความลับไปได้อีกไม่นาน”
เล่งหยูถามขึ้นมาอย่างสงสัย “ใครกัน? ถึงได้ข่าวมาเร็วขนาดนี้?”
ซวนอี้ยิ้ม “จะเป็นใครไปได้อีก? มันก็ต้องเป็นจิ้งจอกเฒ่าหนิงจื่อหยวนอยู่แล้วสิ!”
เมื่อพูดถึงหนิงจื่อหยวนขึ้นมา เล่งหยูก็หน้าเปลี่ยนสีทันทีและกล่าวขึ้นอย่างเย็นเยือก “สมน้ำหน้ามัน!”
…
ในที่สุด หลังผ่านไปได้สิบห้าวันเย่หยวนก็ออกมาพบหนิงจื่อหยวน
ในเวลาครึ่งเดือนมานี้ หนิงเทียนปิงคอยอยู่รอกับหนิงจื่อหยวนที่หน้าประตูมาตลอด ไม่ได้คิดจะเข้ามาหาเย่หยวนแม้แต่น้อย
การกระทำนั้นของหนิงเทียนปิง เย่หยวนรู้สึกพอใจมาก
เพราะเขาคนนี้ฉลาด เขารู้ดึว่าการที่เขาเข้าไปพูดแทนตระกูลหนิงนั้นมันจะมีแต่ส่งผลลบ เขาก็เลยเลือกที่จะอยู่เงียบๆ ไปแทน
แต่การที่เขามายืนรออยู่หน้าคฤหาสน์เจิ่งมันก็แสดงจุดยืนของเขาในตระกูลหนิงเช่นกัน
กตัญญูอย่างแข็งขัน แต่ก็รู้จักกาลเทศะ
หนิงเทียนปิงผู้นี้ เย่หยวนไม่สามารถจะว่ากล่าวใดๆ เขาได้เลย
“ผู้อาวุโสหนิง ข้าต้องขออภัยแต่อาการของผู้อาวุโสใหญ่เจิ่งนั้นมันแย่ลงทุกวันๆ จะชักช้าไปกว่านั้นมิได้ ทำให้ข้าต้องปล่อยให้ผู้อาวุโสหนิงรอ ขอท่านผู้อาวุโสหนิงอย่าได้ถือโทษโกรธกันเลย!”
เพราะยังไงเสียทุกคนก็ยังต้องเจอกันอีกนาน สุดท้ายจึงต้องพูดไว้หน้ากันไว้ก่อน
เพียงแค่ว่าข้ออ้างของเย่หยวนนั้นมันแสนตื้นเขิน และดูท่าเขาคงจะจงใจให้มันเป็นแบบนั้น
ในเวลาครึ่งเดือนมานี้ หนิงเทียนปิงได้บอกเล่าถึงส่วนหนึ่งของเรื่องราวที่เขาได้รับรู้มาเกี่ยวกับเย่หยวน หนิงจื่อหยวนจึงเข้าใจได้ทันทีว่าพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้เป็นผู้ที่ห้ามไปลบหลู่เด็ดขาด
เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่มีทางเลยที่จะกล้ากล่าวว่าใดๆ เย่หยวน
“ก็จริงๆ ร่างกายของผู้อาวุโสใหญ่เจิ่งนั้นเป็นเรื่องสำคัญของเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์เรา แน่นอนว่ามันต้องสำคัญที่สุด ข้าล่ะสงสัยจริงๆ ว่าอาการของพี่เจิ่งตอนนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง?” หนิงจื่อหยวนถามเพื่อเปลี่ยนเรื่อง
เล่งหยูเองก็ได้แต่หัวเราะเย้ยอยู่ด้านข้าง “ไม่ต้องให้เจ้ามาห่วงหรอก! จะมาทำไม? ตอนที่เขาเจ็บเจ้าไม่เห็นจะเคยโผล่หน้ามาเยี่ยมเยือนสักครั้ง!”
ตั้งแต่เรื่องที่งานประชุมผู้อาวุโสครานั้น เล่งหยูก็ไม่ชอบหน้าหนิงจื่อหยวนขึ้นมาจับใจ
อายรุ่นของเขานั้นสูงล้ำกว่าใครแถมยังมีพลังที่ไม่ต่ำต้อย ในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นี้คงมีแค่ไม่กี่คนที่จะว่าอะไรเขาคนนี้ได้
หนิงจื่อหยวนได้แต่ยิ้มแห้งๆ ออกมาหลังได้ยินคำว่านั้น
เย่หยวนยิ้ม “เมื่อเย่คนนี้บรรลุได้แล้ว อาการของพี่เจิ่งก็ย่อมไม่มีปัญหา ผู้อาวุโสหนิงโปรดวางใจ”
ระหว่างที่พวกเขากำลังคุยกันนั้นก็มีเงาร่างหนึ่งเดินผ่านประตูเข้ามา จะเป็นใครไปได้นอกจากเจิ่งชี?
เจิ่งชีในตอนนี้มีร่างกายที่แข็งแกร่งและการเดินที่มั่นคง ยังจะมีร่องรอยใดๆ ของคนป่วยใกล้ตายอยู่ได้อีก?
เมื่อหนิงจื่อหยวนได้เห็นเจิ่งชี เขาก็ต้องตื่นตะลึงจนพูดไม่ออกทันที!
เพราะไม่ใช่แค่ว่าเขาคนนี้จะหายดี แต่กลับพัฒนาตัวเองขึ้นไปอีกขั้นด้วย ตอนนี้เขาบรรลุขึ้นอาณาจักรนภาสวรรค์ครึ่งก้าวแล้ว
“ฮ่าๆๆ น้องเย่ วิชาโอสถของเจ้านี้มันมีแต่จะเก่งกาจขึ้นทุกวี่วันจริงๆ” เจิ่งชีกล่าวขึ้นพร้อมหัวเราะร่า
ตอนที่ 1686 ซวนอี้ถอนตัว
ดวงตาของหนิงจื่อหยวนแทบหลุดออกมาจากเบ้า!
นี่คือเจิ่งชีที่เจ็บใกล้ตายจริงๆ น่ะรึ?
เจิ่งชีนั้นติดอยู่ที่อาณาจักรราชันพระเจ้าเก้าดาวมานานแสนนาน นานจนไม่รุ้ว่าเขาติดอยู่ตรงนั้นมากี่หมื่นปี
เพราะความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรราชันพระเจ้าเก้าดาวและอาณาจักรนภาสวรรค์ครึ่งก้าวนั้นมันแตกต่างกันอย่างมหาศาล
อาณาจักรนภาสวรรค์ครึ่งก้าวนั้นคือผู้คนที่จะสามารถบรรลุขึ้นอาณาจักรนภาสวรรค์ได้อย่างแท้จริงในทุกเมื่อ ทุกเวลา
แม้ว่าโอกาสจะมิได้มากมาย แต่หากสักวันพวกเขาเกิดได้ไปเจออะไรดีๆ เข้าล่ะ?
เหล่ายอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์ของเมืองจักรพรรดิต่างๆ เองก็ล้วนแล้วแต่เดินผ่านขั้นนี้กันมาแล้วทั้งสิ้น จนสุดท้ายก็บรรลุได้จริง
คนที่มากพรสวรรค์จนสามารถบรรลุได้ในคราเดียวนั้นมันหาได้ยากมาก
ไม่ใช่ว่ามันไม่มีนักยุทธอาณาจักรราชันพระเจ้าที่บรรลุอาณาจักรนภาสวรรค์ได้ในคราเดียว มันมีแต่เพียงแค่มันมีน้อยมากๆ
น้อยจนผู้คนไม่นึกถึงมัน!
เหล่านักยุทธทั้งหลายส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เดินผ่านขั้นตอนนี้ในการขึ้นอาณาจักรนภาสวรรค์ทั้งสิ้น
แต่แค่โอสถของเย่หยวนไม่กี่เม็ดกลับสามารถช่วยให้เขาบรรลุผ่านคอขวดที่เขาติดอยู่มานับหมื่นๆ ปีได้?
เรื่องราวแบบนั้นมันจะเหลือเชื่อเกินไปแล้วหรือไม่?
เมื่อได้เห็นเจิ่งชีที่สดใสและแข็งแรงเช่นนั้น เย่หยวนก็ตอบรับกลับไปอย่างดีใจ “ฮ่าๆ พี่เจิ่งผู้สดใสเปี่ยมพลังเหมือนในอดีตกลับมาหาเราอีกครั้งแล้ว!”
เจิ่งชีหัวเราะร่า “เรื่องราวทั้งหลายย่อมต้องขอบคุณเจ้าแล้ว! ข้าไม่คิดเลยว่าโอสถของเจ้ามันจะมีผลวิเศษเช่นนี้! ไอ้พวกสารเลวไม่รู้จักคุณคนพวกนั้นมันคงเสียดายจนหน้าเขียวแน่ๆ ใช่ไหม? หากให้ข้าแนะนำ วันข้างหน้าก็อย่าได้ไปสนใจพวกมันอีก! ไม่ว่าใครจะมาขอโอสถ ก็ให้มันจ่ายผลึกปราณเทวะออกมา โอสถหนึ่งเม็ดสามหมื่นล้าน ไม่ต้องลดให้มันแม้แต่ผลึกเดียว! อ่าว หนิงจื่อหยวนเจ้าก็มาด้วยรึ?”
เจิ่งชีนั้นเดินเข้ามาด้วยสายตาที่มองแต่เย่หยวน จนตอนนี้ในที่สุดเขาก็เห็นว่าที่ด้านข้างมีหนิงจื่อหยวนที่ทำสีหน้าสุดละอายออกมา เขาจึงอดไม่ได้ที่จะแปลกใจ
หนิงจื่อหยวนมีสีหน้าที่แสนละอาย แต่เขาก็ยังฝืนยิ้มออกมา “ยินดีกับพี่เจิ่งด้วยที่หายดี แถมยังพัฒนาตนไปได้อีกขั้น!”
เจิ่งชีกลอกตาหนีทันที่และยิ้มออกมาอย่างเยือกเย็น “หนิงจื่อหยวน เจ้ามีจมูกดีนี่! เย่หยวนเพิ่งจะกลับมาถึงและเจ้าก็มาหาเขาจนเจอแล้ว! เรื่องที่ตระกูลหนิงทำไว้ในตอนนี้นั้นมันยังฝังอยู่ในใจผู้คน!”
หนิงจื่อหยวนเตรียมพร้อมเต็มที่ที่จะไม่ไว้ท่าใดๆ อีก เขาถอนหายใจยาวและบอก “ใช่แล้ว หนิงผู้นี้มีตาหามีแววไม่ ตอนนั้นข้าโยนหินลงบ่อไปกับเขาด้วยในงานประชุมผู้อาวุโส! หนิงคนนี้จึงมาเพื่อขอโทษต่อผู้อาวุโสเย่อย่างสุดใจ!”
เจิ่งชีนั้นหัวเราะ “มีใครไม่รู้บ้างว่างานปักย่อมต้องเพิ่มลายดอก? โลกใบนี้มันมีอะไรดีไม่ดี? เจ้าคิดว่าถึงตอนนี้เย่หยวนยังต้องการคำขอโทษจากเจ้าอีกรึ?”
หนิงจื่อหยวนนั้นมีท่าทางเหมือนคนที่เจอเรื่องราวสุดเลวร้ายที่ไม่ว่าทำยังไงมันก็ไม่มีทางเลวร้ายไปได้กว่าเก่าแล้ว แต่เขาก็ยังแสดงท่าทางสุภาพออกมาอย่างถึงที่สุด “หนิงผู้นี้รู้ดีว่ามันสายไปแล้ว มันเป็นหนิงผู้นี้ที่ตามืดบอด ข้าไม่มีทางไปโทษใครได้ โชคยังดีที่เทียนปิงนั้นเป็นผู้จงรักภักดีเปี่ยมกตัญญู หลบซ่อนตัวจากตระกูลหนิงเราอย่างสุดความสามารถเพื่อออกเดินทางไปรับใช้ผู้อาวุโสเย่ มันคงช่วยลบล้างความผิดของตระกูลหนิงไปได้บ้าง”
ได้ยินคำพูดนั้นของหนิงจื่อหยวน เย่หยวนก็ได้แต่ด่าเฒ่าจิ้งจอกนี้ในใจ
แต่เฒ่าคนนี้ก็เลือกที่จะกลืนความอับอายขายขี้หน้าใดๆ ลงไป ดูท่าแล้วเรื่องนี้เองมันก็คงหนักหนาสำหรับเขาไม่เบา
เพราะเห็นแก่หนิงเทียนปิง เขาเองก็ไม่คิดทำอะไรตระกูลหนิงเช่นกัน
เพราะฉะนั้นเขาจึงเปิดปากพูดออกมาอย่างไม่แยแส “เอาล่ะ เรื่องราวเก่าก่อนแล้วกันไปไม่ต้องขุดขึ้นมาอีก ผู้อาวุโสหนิง ขอเชิญท่านกลับไปได้!”
เมื่อหนิงจื่อหยวนได้ยินเขาก็ยกมือขึ้นมาคารวะอย่างดีอกดีใจ “ผู้อาวุโสเย่ช่างมีน้ำใจงาม! เช่นนั้นหนิงผุ้นี้ต้องขอตัวกลับก่อน วันข้างหน้าหากท่านอยากใช้งานเรื่องใดตระกูลหนิงเราขอให้ผู้อาวุโสเย่บอกมาได้เลย อ่า จริงด้วย ตระกูลหนิงเราได้เก็บรวบรวมสมุนไพรระดับสี่มาไว้มากมายในหลายปีมานี้ ไม่รู้ว่าพวกมันจะมีสิ่งใดเข้าตาผู้อาวุโสเย่บ้างหรือไม่ แต่ขอผู้อาวุโสเย่โปรดรับมันไว้เถอะ!”
เย่หยวนพยักหน้าและกล่าวขึ้น “วางไว้ตรงนั้นแหละ”
…
เวลาผ่านไปกว่าครึ่งเดือน ข่าวการกลับมาของเย่หยวนจึงแพร่ออกไปราวกับไฟลามทุ่ง
แต่เมื่อรับรู้ข่าวนี้ผู้คนส่วนมากกลับมีท่าทางดูถูกเหยียดหยามไม่เปลี่ยนไป
หรงซูกำลังนำกลุ่มผู้อาวุโสมาคุยกัน ใบหน้าของทุกคนเมื่อได้รู้ข่าวนี้มันเปี่ยมไปด้วยความดูแคลน
“เด็กคนนี้มันกล้ามีหน้ากลับมาจริงๆ คงรู้ตัวว่ามันไม่สามารถรับเรื่องราวภายนอกได้อีกแล้วสินะ?”
“เฮอะๆ แค่ขยะที่ไม่มีปัญญาจะบรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้า! กลับมาแล้วจะทำอะไรได้? ตายให้มันพ้นๆ ไปเสียแต่แรกดีกว่า!”
“ข้าว่ามันคงไม่มีหน้ามาพบเจอผู้คนถึงได้พยายามปิดข่าวเช่นนี้ ใช่ไหม? มันไม่รู้รึไงว่าโบราณเขาว่าไว้ ‘หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง’ น่ะ?”
“ฮ่าๆๆ”
…
ทุกคนนั้นมีมุมมองที่คล้ายคลึงกัน เย่หยวนกลับมาและปิดตัวเงียบไม่พบผู้คน มันต้องหมายความว่าเขายังไม่บรรลุและจึงไม่มีหน้าออกมาพบใครแน่ๆ
เพราะเย่หยวนนั้นกินโอสถสุริยันจักรวาลไปตั้งมากมายในตอนนั้น แต่มันกลับไม่ช่วยใดๆ เขาได้เลย
แค่นั้นมันก็มากพอจะทำให้ผู้คนมองเขาว่าเป็นได้แค่ขยะแล้ว
หรงซูยิ้มตอบ “พวกเจ้าเองก็ไปว่าเช่นนั้นไม่ได้! เย่หยวนนั้นมีความสามารถในโอสถระดับสามที่หาใครเปรียบมิได้ ในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นี้เขาเองก็ยังมีที่ของเขาอยู่ นั่นคือ… การใช้งานขยะให้คุ้มค่ายังไงล่ะ!”
ทุกคนต่างหัวเราะลั่นออกมาอีกครั้ง “ฮ่าๆๆ”
เมื่อหรงซูได้ยินข่าวนี้ เขานั้นก็รู้สึกปลอดโปร่งขึ้นมาในหัวใจ
หลายปีมานี้แม้เขาจะตกลงมาอยู่ในตำแหน่งผู้อาวุโสที่สอง แต่พลังอำนาจของเขาในหมู่สมาคมผู้อาวุโสก็ไม่ได้น้อยลงเลยแม้แต่นิด
จะบอกว่าซวนอี้เป็นได้แค่ผู้อาวุโสใหญ่ที่ทำหน้าที่เป็นแค่หัวโขนก็ได้
ซวนอี้นั้นไม่ชอบต่อสู้และยังไม่ชอบเรื่องราววุ่นวายแบบนี้ด้วย
เพราะฉะนั้นหรงซูจึงยิ่งปีกกล้าขาแข็งกว่าเก่า
แต่ส่วนฝั่งหอยุทธนั้น เล่งหยูปกครองได้อย่างรัดกุมแน่นหนา ทำให้แม้แต่หรงซูก็ไม่มีปัญญาพอที่จะเข้าไปยุ่งย่ามได้
แต่พลังที่เขาครอบครองในฝั่งหอโอสถ มันก็มากพอแล้ว
เพราะยังไงเสียหอยุทธก็ต้องพึ่งหอโอสถ จะมีผู้อาวุโสฝั่งนั้นคนใดที่กล้าทำเรื่องไม่ไว้หน้าผู้อาวุโสหอโอสถ?
ตอนนั้นเองที่จู่ๆ ก็มีลูกน้องคนเหนึ่งวิ่งเข้ามารายงาน บอกว่ายอดผู้อาวุโสเหอชงเรียกประชุมผู้อาวุโสด่วน บอกว่ามีเรื่องสำคัญจะคุย
ทุกคนต้องหน้าถอดสีทันทีที่ได้ยิน เพราะเวลามันช่างเหมาะเจาะจนเกินไปใช่ไหม?
ผู้อาวุโสคนหนึ่งถาม “ผู้อาวุโสที่สอง หรือว่าการประชุมผู้อาวุโสนี้… จะเกี่ยวกับเย่หยวน? ไม่เช่นนั้นเวลามันจะไม่เหมาะเจาะเกินไปหน่อยรึ?”
“นี่! อย่าไปกลัวสิ! ตอนนั้นเย่หยวนน่ะถูกขับไล่ออกจากเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ไปดีๆ นี่เอง หากมันบรรลุกลับมาได้จริงมีหรือที่จะทำตัวแบบนั้น? มันคงมาตบหน้าพวกเรารายคนไปแล้ว! ในสายตาของข้า มันนั้นไม่กล้าที่จะเจอหน้าผู้คนต่างหาก! ที่ยอดผู้อาวุโสเรียกประชุมนั้นมันก็คงเป็นเรื่องอื่นมากกว่า บางทีพวกเมืองจักรพรรดิยอดสันติอาจจะมาก่อเรื่องอะไรอีกแล้วก็ได้” ผู้อาวุโสอีกคนบอก
และนั่นทำให้ทุกผู้คนพยักหน้าตามทันที
หนึ่งในผู้อาวุโสบอกขึ้นอย่างไม่พอใจ “จะว่าไปเรื่องนี้ ข้าเองก็โกรธแค้นไม่เบา! หากไม่ใช่เพราะเย่หยวนและเจิ่งชี เราเองก็คงไม่ต้องโดนกดขี่แบบนี้! เจ้าเย่หยวนนี่มันจริงๆ เลยเอาเขาหน่วงเทพบรรพกาลไปและหนีหายไปทั้งอย่างนั้น!”
หรงซูบอก “เอาล่ะ อย่าเดามั่วกันอีกเลย ไปถึงเดี๋ยวเราก็ได้รู้เอง”
…
ในโถงเดิมนั้นเหอชงยังคงนั่งอยู่บนจุดสูงสุดด้วยท่าทางสุดสง่า
เมื่อการประชุมผู้อาวุโสนี้เริ่มขึ้น เหอชงก็เปิดบอกพูด “ที่เรียกทุกท่านมาในวันนี้ มันย่อมมีเรื่องสำคัญที่จะประกาศกล่าวกัน ซวนอี้ เจ้าบอกเองเถอะ”
ทุกคนไม่เข้าใจในความหมายนั้น ก่อนจะหันไปมองซวนอี้อย่างตื่นตกใจ ไม่รู้ว่าชายคนนี้จะคิดทำอะไรกันแน่
ซวนอี้พยักหน้ารับและกล่าวขึ้น “ทุกท่าน นิสัยของชายแก่คนนี้ทุกท่านเองก็คงเข้าใจดี การมารับตำแหน่งผู้อาวุโสใหญ่เช่นนี้มันเกินกว่าที่จะรับไหวจริงๆ เพราะฉะนั้นวันนี้ข้าจึงได้ไปขอท่านเจ้าเมืองและยอดผู้อาวุโสว่าข้าขอออกจากตำแหน่งผู้อาวุโสใหญ่”
เมื่อทุกคนได้ยินแบบนั้นมันก็เกิดความแตกตื่นขึ้นทันที สายตาทุกคู่ในตอนนี้ต่างหันมามองที่หนงซูเป็นตาเดียว!
ซวนอี้… ยอมแพ้แล้ว?
ตอนที่ 1687 ผู้อาวุโสใหญ่เย่หยวน!
เมื่อได้ยินว่าซวนอี้ถอนตัว หรงซูก็เป็นแค่คนเดียวที่จะกลายเป็นผู้อาวุโสใหญ่คนต่อไปได้!
ในที่สุดการต่อสู้นี้ก็จบลงด้วยชัยชนะของหรงซู!
ซวนอี้นั้นเป็นผู้อาวุโสใหญ่มาหลายต่อหลายปี แต่กลับแทบไม่มีพลังอำนาจใดๆ เลย
เรื่องราวใหญ่น้อยทั้งหลายต่างล้วนเป็นหรงซูนั้นที่จัดการ
ซวนอี้เป็นได้แค่หัวโขน
หากเป็นคนอื่น การแบกรับหน้าที่ที่ไร้ความหมายเช่นนี้ มันก็คงไม่แปลกที่พวกเขาจะลงจากตำแหน่งเพื่อหลีกเลี่ยงความอับอายที่ตามมา
หรงซูแสดงสีหน้าอันตื่นเต้นดีใจอย่างถึงที่สุด เขานั้นกดดันซวนอี้มานานหลายต่อหลายปี และจู่ๆ ก็ได้รับข่าวว่าศัตรูของเขาถอนตัวแบบนี้ มีหรือที่หรงซูจะยังไม่ดีใจได้?
ตอนนี้ ในที่สุดเขาก็ล้มซวนอี้ลงจนได้
หรงซูนั้นแทบไม่มีโอกาสที่จะสามารถบรรลุขึ้นสู่อาณาจักรนภาสวรรค์และกลายเป็นจอมเทพโอสถห้าดาวได้
แต่ความกระหายในอำนาจของเขานั้นกลับมีไม่สิ้นสุด
การเสียตำแหน่งผู้อาวุโสใหญ่ไปนั้นมันนับเป็นความอับอายครั้งใหญ่ของเขา
วันนี้ ในที่สุดความอับอายนั้นก็จะได้หายไปแล้ว!
เหล่าผู้อาวุโสของหอโอสถเองก็มีท่าทีตื่นเต้นดีใจเช่นกัน ดูท่าพวกเขาเองก็คงดีใจที่ฝ่ายตัวเองชนะลงจนได้ในที่สุด
แน่นอนว่าด้วยเรื่องราวตรงหน้าเช่นนี้ พวกเขาทั้งหลายจะยังแสดงอาการท่าทาดีใจออกมาไม่ได้อย่างแท้จริง แต่พวกเขานั้นก็พร้อมจะกลับไปจัดงานเลี้ยงฉลองกันเต็มทีแล้ว
“ผู้อาวุโสใหญ่ ทำไมท่านถึงทำแบบนี้กัน? ในหอโอสถของเรานั้นท่านเป็นกำลังสำคัญ ตำแหน่งผู้อาวุโสใหญ่นี้ ท่านเหมาะสมที่สุดแล้ว!”
“ใช่ ผู้อาวุโสใหญ่ ขอท่านคิดดูอีกสักครั้งเถอะ!”
“ผู้อาวุโสใหญ่ เรื่องแบบนี้มันไม่ขำนะ ท่านต้องมั่นใจและทำทุกย่างก้าวอย่างระมัดระวัง!”
…
เหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายต่างถกเถียงกันไป ติดอยู่แค่ตรงที่น้ำเสียงของพวกเขามันขาดซึ่งความจริงใจอย่างถึงที่สุด
คนเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นผู้มากประสบการณ์ มีหรือที่พวกเขาจะมองไม่ออก?
เล่งหยูมองดูภาพตรงหน้าด้วยรอยยิ้มที่แสนเหยียดหยาม
ส่วนทางหนิงจื่อหยวนได้แต่ก้มหน้าก้มตา ทำท่าทางเหมือนเรื่องราวทั้งหมดมันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขาเลย
ดูท่าเขาคงเลือกที่จะอยู่อย่างฉลาดแล้ว
เพราะเรื่องในวันนี้มันแปลกประหลาด ดูท่าคงเกี่ยวกับเย่หยวนไม่ผิดแน่ เปิดปากออกไปตอนนี้อีกเขาก็คงเป็นคนโง่เง่าแล้ว
ตอนนี้หนิงจื่อหยวนนั้นขอบคุณหนิงเทียนปิงอยู่ในใจ เพราะหากไม่ใช่เพราะเขา ตระกูลหนิงเองก็คงคิดทำการเอาหน้าร่วมเข้ากับกระแสไปแล้วเหมือนกัน
แต่การทำเช่นนั้นอีกในวันนี้มันคงทำให้เย่หยวนไม่พอใจอย่างกู่ไม่กลับ
ในน้ำเสียงที่ต่างบอกให้เขาอยู่ต่อนั้น ซวนอี้รับรู้ได้ในใจว่ามันไม่มีเรื่องจริงเลยแต่เขาก็ยังยิ้มออกมาได้ “ขอบพระคุณท่านทั้งหลาย การไม่ได้เป็นผู้อาวุโสใหญ่นั้นมิได้หมายความว่าข้าจะมิได้เป็นผู้อาวุโสของหอโอสถอีก ข้ายังทำคุณประโยชน์ให้เมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์เราได้อีกมาก”
หรงซูยิ้มเย้ยออกมาอย่างไม่มีปิดบังแต่ก็ยังเลือกที่จะพูดดีๆ “จริงๆ แล้วมันก็เป็นเรื่องดีเช่นกันที่น้องซวนอี้จะลงจากตำแหน่งไปก่อนชั่วคราว เพราะตอนนี้เขาต่างจากการเป็นจอมเทพโอสถห้าดาวอีกแค่ก้าวเดียว มันได้เวลาวางเรื่องทางโลกและหาโอกาสบรรลุที่เหมาะสมแล้ว หากน้องซวนอี้บรรลุขึ้นเป็นจอมเทพโอสถห้าดาวได้จริง มันก็คงจะเป็นประโยชน์แก่เมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์เราอย่างมาก!”
คำพูดพวกนั้นมันฟังดูดี แต่การขึ้นเป็นจอมเทพโอสถห้าดาวนั้นมันพูดง่ายกว่าทำจริง
เพราะมันไม่ใช่แค่การขึ้นไปอยู่อาณาจักรนภาสวรรค์ครึ่งก้าว แต่คนผู้นั้นต้องพยายามบรรลุอาณาจักรนภาสวรรค์ให้ได้จริงๆ
ดูเกาหยุนเป็นตัวอย่าง ชายแก่คนนั้นขึ้นอาณาจักรนภาสวรรค์ครึ่งก้าวมาได้นับหมื่นๆ ปีแต่กลับไม่สามารถจะบรรลุสู่อาณาจักรนภาสวรรค์ที่แท้จริงได้
หลังจากนั้นเหล่าผู้อาวุโสก็เริ่มการพูดยื้อปลอมๆ ขึ้นมาอีกรอบก่อนที่ซวนอี้จะบอกขึ้น “ทุกท่านขออย่าได้รั้งข้าอีกเลย ชายแก่คนนี้ตัดสินใจไปแล้ว”
ตอนนี้งานฉากหน้าจบลงแล้ว คนที่เหลือจึงไม่มีใครคิดจะยื้อเขาไว้อีก
เหอชงกล่าว “ที่หรงซูว่ามามันก็ถูก ซวนอี้นั้นอยู่ในอาณาจักรนภาสวรรค์ครึ่งก้าวไปแล้ว มันเป็นเวลาที่สมควรแล้วที่เขาจะได้เข้าสู่การเก็บตัวและมุ่งหน้าสู่การเป็นจอมเทพโอสถห้าดาว เมื่อตอนนี้เขาตัดสินใจได้แล้ว เรื่องนี้มันก็จบลงตั้งแต่เริ่มแล้ว ตอนนี้ได้เวลาที่ข้าจะประกาศผู้จะขึ้นเป็นผู้อาวุโสใหญ่คนใหม่แล้ว”
ได้ยินแบบนั้นหรงซูก็ยิ้มจนออกนอกหน้า
คนอื่นๆ เองก็หันมามองที่เขาเช่นกัน
หรงซูนั้นตื่นเต้นในหัวใจ การได้เป็นที่สนใจแบบนี้มันให้ความรู้สึกที่ดีจริงๆ
ในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นี้ ตำแหน่งในหอโอสถนั้นมีพลังและอำนาจท่าสูงส่ง จะบอกว่าอยู่ต่ำกว่าแค่สองคนและอยู่สูงกว่าคนนับหมื่นก็ว่าได้
พลังอำนาจแบบนั้น มีใครบ้างที่จะไม่อยากได้?
เหอชงค่อยๆ เปิดปากพูด “ตำแหน่งผู้อาวุโสหอโอสถนั้นเป็นตำแหน่งที่แสนสำคัญในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์เรา แน่นอนว่าผู้ที่ได้รับตำแหน่งไปย่อมต้องมีพลังความสามารถที่คู่ควร และคนผู้นี้ก็คือ…”
พูดถึงเท่านี้เหอชงก็จงใจหยุดและหันไปมองใบหน้าของทุกผู้คน ก่อนจะไปหยุดที่หน้าหรงซู
แต่สายตาที่เขามองหนงซูนั้นมันซับซ้อนไม่น้อย
แต่สมองของหรงซูตอนนี้ไม่มีทางสังเกตเรื่องนั้นได้
ก้นของเขาลอยขึ้นจากที่นั่งพร้อมลุกเต็มที พร้อมสำหรับการแต่งตั้งตำแหน่งแล้ว
“เย่หยวน!”
ตอนนั้นเองที่เหอชงประกาศออกมาเป็นคำสองคำนั้น
หรงซูยิ้มค้าง
เขาลุกขึ้นมาครึ่งตัวแล้ว แต่สุดท้ายเหอชงกลับเลือกที่จะประกาศชื่อที่ไม่ใช่ชื่อของเขาออกมา
ภาพนี้มันน่าอึดอัดมาก
ทุกคนต่างตื่นตกใจ ตกใจกับชื่อที่ถูกประกาศออกมานี้
เย่หยวนจะเป็นผู้อาวุโสใหญ่ไปได้อย่างไร?
จะเป็นไปได้อย่างไรที่ให้เย่หยวนเป็นผู้อาวุโสใหญ่?
“ย-ยอดผู้อาวุโส… นี่มันผิดพลาดอะไรกันรึเปล่า?” หรงซูถามอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
เพราะต่อให้เย่หยวนจะกลับมาได้ ต่อให้เขาจะบรรลุ เขาก็ไม่น่าจะมีคุณสมบัติพอเป็นผู้อาวุโสใหญ่ได้จริงไหม?
เหอชงเปลี่ยนสีหน้าทันที “หรงซูเจ้าคิดว่าชายแก่คนนี้จะมาพูดเรื่องนี้เล่นๆ รึ? เรื่องใหญ่โตขนาดนี้ข้าจะทำผิดพลาดได้อย่างไร? พี่โซ มาเถอะ”
คำพูดนั้นของเหอชงมันทำให้ร่างของทุกคนสั่นสะเทือน
ท่านเจ้าเมืองมาเอง?
ตอนนั้นเองที่ประตูโถงเปิดออกอย่างช้าๆ เผยให้เห็นหนึ่งชายแก่หนึ่งชายหนุ่มเดินเข้ามาพร้อมกัน
แน่นอนว่าชายแก่คนนั้นคือเจ้าเมืองโซชูเจียผู้ที่เดินทางไปไหนมาไหนไร้ร่องรอยให้คนตรวจจับได้ ส่วนชายหนุ่มนั้นก็ไม่มีใครอื่นนอกจากเย่หยวน
ตอนนี้แม้แต่หนิงจื่อหยวนเองก็ตัวสั่นสะท้านไปเช่นกัน เพราะตอนนี้เขาเห็นแล้วว่าท่านเจ้าเมืองเดินออกมาส่งเย่หยวนจริงๆ
เรื่องที่ว่าเย่หยวนจะได้เป็นผู้อาวุโสใหญ่นี้ เขาไม่ได้รับรู้ถึงมันมาก่อนเลย
เขาแค่รู้สึกว่าช่วงเวลาที่ซวนอี้ถอนตัวมันเหมาะสมเกินไป เกินกว่าที่จะไม่เกี่ยวกับเย่หยวน
แต่เขาไม่นึกเช่นกันว่าจะเป็นตัวเย่หยวนเองที่ขึ้นมาแทนที่หรงซู และรับตำแหน่งผู้อาวุโสใหญ่ไป!
ที่สำคัญท่านเจ้าเมืองยังออกมาส่งเขาด้วยตัวเอง
แน่นอนว่าความตื่นตกใจนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่กับหนิงจื่อหยวน
เหล่าผู้อาวุโสคนอื่นๆ เองก็ไม่ต่างกัน!1
เรื่องราวในเมืองนั้นท่านเจ้าเมืองแทบจะไม่ยื่นมือยุ่งเกี่ยว
หากมันมีเรื่องอะไรจริงๆ ท่านก็จะสั่งการเหอชงมาแทน
พวกเขาไม่นึกไม่ฝันว่าในวันนี้ เพื่อเย่หยวนแล้วท่านเจ้าเมืองถึงกับออกมาด้วยตัวเองเช่นนี้!
พวกเขาที่เห็นเย่หยวนอีกครั้งต่างตื่นตกใจอย่างถึงที่สุด
เพราะเย่หยวนบรรลุแล้วจริง!
ต่อให้มันจะเป็นการบรรลุที่พวกเขามองมีค่อยออก แต่พลังที่ปล่อยออกมาจากร่างของเย่หยวนนั้นมันก็เป็นของระดับอาณาจักรราชันพระเจ้าอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
แต่ทว่าเด็กที่เพิ่งจะบรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้ามาเช่นนี้กลับได้เป็นผู้อาวุโสใหญ่ เรื่องนี้มันจะไม่เกินไปหน่อยรึ?
เมื่อโซชูเจียปรากฏจัว เหอชงก็ย้ายตัวเองไปนั่งข้างหลัง
“เพิ่มที่นั่งให้เย่หยวนทางขวามือของซวนอี้” โซชูเจียสั่ง
ภายใต้คำสั่งนี้ก็มีคนรีบเข้าไปจัดเตรียมที่นั่งให้เย่หยวนทันทีทางด้านขวามือของซวนอี้ และเย่หยวนก็นั่งลง
ต่อให้มันจะเป็นคำสั่งที่เล็กน้อยเพียงใด มันก็แสดงออกมาว่าโซชูเจียนั้นใส่ใจเย่หยวน!
หรงซูหน้าถอดสีทันที เขาไม่เข้าใจเลยว่าเด็กคนนี้มันมีดีอะไรถึงขึ้นไปเหยียบอยู่บนหัวเขาได้ขนาดนี้!
โซชูเจียหันไปมองหน้าทุกผู้คนก่อนจะเปิดปากขึ้นพูด “ข้ารู้ดีว่าพวกเจ้าทั้งหลายอาจจะสับสนกันบ้าง ทำไมเย่หยวนถึงจะขึ้นมารับตำแหน่งผู้อาวุโสใหญ่! จริงๆ แล้วตัวเย่หยวนเองก็ไม่ได้อยากได้ตำแหน่งผู้อาวุโสใหญ่นี้มากมาย แต่เป็นข้า เป็นเจ้าเมืองคนนี้แหละที่ไปขอร้องเขาจนในที่สุดเขาก็ยอมรับตำแหน่ง”
ตอนที่ 1688 โยนลงนรกฟอกเทพ
“อ-อะไรนะ?! ท-ท่านเจ้าเมืองเชิญมาขึ้นรับตำแหน่งเอง?”
“บ้าน่า! มัน… มันมีความสามารถใดกัน?”
“ต่อให้มันจะบรรลุมาได้ การจะให้ขึ้นเป็นผู้อาวุโสใหญ่นี่มันก็จะเกินไปหน่อยไหม? ข้าไม่ยอมรับ!”
…
เมื่อเหล่าผู้อาวุโสได้ยินคำพูดของโซชูเจีย พวกเขาต่างแสดงความตื่นตกใจกันออกมาในรูปแบบต่างๆ กัน
เด็กน้อยที่เพิ่งจะบรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้ามาได้หมาดๆ การจะให้คนเช่นนั้นขึ้นมาเป็นผู้อาวุโสใหญ่แห่งหอโอสถนั้นมันคงจะเป็นการดูถูกตำแหน่งนั้นเกินไปหน่อยแล้ว
พวกเขาไม่มีใครเข้าใจว่าทำไมท่านเจ้าเมืองถึงได้ประเมินเย่หยวนไว้สูงขนาดนั้น
หรงซูนั้นมีจิตใจที่ไม่ยอมรับอย่างเต็มที่ แค่ให้ซวนอี้มายืนเหยียบหัวเขามันก็เป็นเรื่องที่น่าชิงชังมากพอแล้ว
ตอนนี้กลับจะให้เย่หยวนขึ้นมาเหยียบแทน มันยิ่งทำให้เขาทนไม่ได้หนักเข้าไปใหญ่
เขากัดฟันแน่นก่อนจะบอก “ท่านเจ้าเมือง เรื่องนี้… ข้าไม่ยอมรับ! เด็กอาณาจักรราชันพระเจ้าที่เพิ่งจะบรรลุมาได้ จะให้คนเช่นนี้มาเป็นผู้อาวุโสใหญ่แห่งเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ มันจะไม่เป็นการล้อเล่นที่หนักไปหน่อยหรือ?”
โซชูเจียหันไปมองเขาและกล่าว “ผู้อาวุโสใหญ่นั้นคือผู้ที่ได้รับการยอมรับว่าเก่งกาจ ไม่เช่นนั้นมีหรือที่ผู้คนจะยอมรับได้? การเชิญเย่หยวนขึ้นรับตำแหน่งผู้อาวุโสใหญ่นี้มันก็หมายความว่าเย่หยวนมีความสามารถพอ เพราะฝีมือของเขามันดีพอที่จะชักจูงผู้คนให้ยอมรับได้!”
ทุกคนต่างแสดงใบหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อคำพูดนั้นออกมาเมื่อได้ยินมัน
เพราะเหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายนี้ต่างเป็นยอดจอมเทพโอสถ พวกเขาไม่ใช่คนที่จะโดนหลอกได้ง่ายๆ
ต่อให้คนผู้นั้นจะสามารถหลอมโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสามได้จนถึงขั้นเหนือฟ้าขนาดไหน มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะทำแบบนั้นได้กับโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่
เหมือนอย่างวิชายุทธก็เช่นกัน ความแตกต่างระหว่างนักยุทธระดับสามกับนักยุทธระดับสี่นั้นมันเหมือนฟ้ากับเหว
และความต่างนี้มันต้องใช้เวลาข้าม
โอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่ มันเป็นโอสถที่ต้องใช้พลังโลกในการช่วยหลอม
และวิชาทักษะที่จะหลอมนั้นมันก็ไม่สามารถฝึกฝนให้ชำนาญได้ง่ายๆ ด้วยเวลาแค่สองสามวัน
พลังฝีมือด้านโอสถของเย่หยวนนั้นไร้ที่เปรียบ ไม่มีใครสงสัยว่าเขาจะหลอมโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่ขึ้นสูงได้ในวันข้างหน้าเหมือนที่เขาทำกับโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสาม
แต่อย่างมากสุดตอนนี้เย่หยวนก็เพิ่งจะบรรลุมาได้ไม่กี่สิบปี มีหรือที่เขาจะมีความรู้ด้านโอสถระดับสี่มากมายปานนั้น?
หรงซูแสดงสีหน้ที่ไม่ยอมรับอย่างเต็มที่ “ท่านเจ้าเมืองจะบอกว่าความสามารถด้านโอสถของเย่หยวนนั้นอยู่เหนือล้ำข้าไปแล้ว? หรงซูไม่ยอมรับ! ข้าขอท้าเขาดวล!”
โซชูเจียยิ้ม “ไม่ต้อง! ให้เจ้าได้เห็นเลยแล้วจะเข้าใจเอง! เจิ่งชี!”
ตอนนั้นเองที่มีร่างหนึ่งเดินเข้ามาในโถงอีกครา และเขาคนนั้นก็คือเจิ่งชีที่หายหน้าหายตาไปนานแสนนาน!
เมื่อได้เห็นเจิ่งชี ทุกคนต่างแสดงสีหน้าที่แตกต่างกันออกมา
“อาณาจักรนภาสวรรค์ครึ่งก้าว! ผู้อาวุโสใหญ่เจิ่งชี เขา… เขาบรรลุแล้ว?”
“แถมเจ้าอาการบาดเจ็บทั้งหลายที่เขามียังไม่เหลืออยู่แม้แต่น้อย!”
“นี่… จะบอกว่าเป็นฝีมือเย่หยวน? บ้าน่า”
…
เมื่อทุกคนได้เห็นเจิ่งชี สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปทันควัน
อย่าว่าแต่อาการบาดเจ็บที่หายดี เขาถึงขั้นบรรลุ!
เจิ่งชีค่อยๆ เดินเข้ามาในห้องโถง ท่าทางอ่อนโรยแรงเมื่อก่อนหายไปจนสิ้น ตอนนี้ร่างของเขาเปี่ยมไปด้วยพลังงาน
เขายกมือขึ้นมากล่าวคารวะโซชูเจียและเหอชง “ขอคารวะท่านเจ้าเมืองและยอดผู้อาวุโส”
โซชูเจียค่อยๆ พยักหน้า “เย่หยวนนั้นรักษาอาการบาดเจ็บของเจิ่งชีจนสิ้น ทั้งยังช่วยให้เขาบรรลุอาณาจักรขึ้นได้ด้วย ความสามารถนี้ของเย่หยวน ซวนอี้เองก็ถึงกับออกปากยอมแพ้เอง เพราะเช่นนั้นเขาถึงได้เลือกที่จะลงจากตำแหน่ง พวกเจ้า… ยังมีใครจะค้านหรือไม่?”
เหล่าผู้อาวุโสต่างหันมองหน้ากัน ได้แต่ตื่นตกใจกับเรื่องราวอันแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นในวันนี้
ก่อนที่จะมา พวกเขายังเอาแต่ด่าว่าเย่หยวนไม่มีหน้าออกมาสู้ผู้คน
แต่ตอนนี้เด็กหนุ่มคนนั้นกลับเดินขึ้นมาเป็นผู้อาวุโสใหญ่
แต่สิ่งที่พวกเขาทั้งหลายตื่นตกใจที่สุดก็คือการที่เย่หยวนเพิ่งจะบรรลุมาได้ไม่นานแต่กลับชนะซวนอี้ได้อย่างขาดลอยแล้ว
ความสามารถที่ล้นเหลือนี้ มันไม่แปลกเลยหากจะให้เขาเป็นผู้อาวุโสใหญ่
แต่ว่า… หรงซูนั้นหน้าชา
เมื่อได้เห็นว่าไม่มีใครพูดอะไรอีกแล้วโซชูเจียก็บอก “เดิมทีเย่หยวนนั้นออกจากตำแหน่งและไม่อยากจะกลับเข้ามาอีก เมื่อวานข้าได้เจอกับเย่หยวนและพูดคุยกันจนในที่สุดเขาก็ยอมรับ จากวันนี้ไป เย่หยวนคือผู้อาวุโสใหญ่แห่งหอโอสถ คอยดูแลเรื่องราวทั้งหลายในหอโอสถ และให้ซวนอี้เป็นผู้อาวุโสที่สอง หรงซูเป็นผู้อาวุโสที่สามไปตามลำดับ”
พูดจบโซชูเจียก็หันมาหาเย่หยวน “เย่หยวน งานทั้งหลายของหอโอสถข้าขอฝากเจ้าดูแลด้วยในวันข้างหน้า แต่ว่าหน้ที่หลักของเจ้าก็ยังคงเป็นการบ่มเพาะพลังนะ เพราะยังไงเสียเจ้าก็คืออนาคตของเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์เรา!”
เย่หยวนยิ้มรับ “ท่านเจ้าเมืองโปรดวางใจ เย่หยวนเตรียมใจมาพร้อมแล้ว”
โซชูเจียนั้นไม่ได้พูดยกยอเย่หยวนเลยว่าเขาต้องพูดจาหว่านล้อมเย่หยวนอย่างมาจนเย่หยวนยอม
เพราะสำหรับเย่หยวนแล้ว การกลับมาที่เมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นี้หลักๆ มันก็เป็นเพียงแค่การกลับมารอสัญญาห้าร้อยปีกับพวกลี่เอ้อเท่านั้น
แต่เย่หยวนก็ผูกพันกับเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นี้ไม่น้อย อย่างน้อยๆ ที่นี่ก็มีคนที่เขานับเป็นเพื่อนอยู่หลายคน
ที่สำคัญกว่านั้นเย่หยวนยังเข้าใจด้วยว่าที่ตอนนั้นเขาได้ขึ้นเป็นผู้อาวุโสหอโอสถนั้นมันเป็นเรื่องที่โซชูเจียคอยสั่งการอยู่เบื้องหลัง
หากไม่ได้ตำแหน่งนี้มา เขาก็คงต้องรอไปอีกนานแสนนานกว่าจะได้โอกาสใดๆ ในการแก้แค้นฉินเซียว
สุดท้าย มันจึงนับว่าเขาติดหนี้โซชูเจียอยู่
เพราะฉะนั้นเขาจึงยอมรับเรื่องที่จะขึ้นเป็นผู้อาวุโสใหญ่ในที่สุด
เย่หยวนรู้ดีว่าตำแหน่งผู้อาวุโสใหญ่นั้นมันไม่ใช่ตำแหน่งที่สบายนัก แต่เขาเองก็ไม่ได้ลำบากใจมากมาย
หรงซูนั้นมีปัญญาจะกดดันซวนอี้ แต่หากอยากกดดันเขา กดดันเย่หยวนคนนี้ มันคงยากหน่อย
ที่สำคัญต่อหน้ากำลังที่แท้จริง แผนการอุบายใดๆ มันก็เป็นได้แค่ของเล่น!
เพราะในด้านโอสถแล้ว เย่หยวนมั่นใจมากขนาดนั้น
โซชูเจียบอก “ได้เช่นนั้นข้าก็วางใจ เอาล่ะ เรื่องราวในครั้งนี้ถือว่าจบลงเท่านี้!”
พูดจบโซชูเจียและเหอชงก็เดินจากไปทันที ทิ้งทุกคนไว้ด้วยใบหน้าที่ยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องราวตรงหน้า
หรงซูหันไปมองเย่หยวนและหันหน้าเดินจากไป
“หยุด! ใครอนุญาตให้เจ้ากลับ?” เย่หยวนถาม
หรงซูหันมามองดว้ยดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยเพลิงแค้น “เย่หยวน เจ้าอย่าได้ใจไปนัก!”
เย่หยวนมองหน้าหรงซูและบอก “เขาว่ากันไม่ผิดจริงๆ ที่ว่าลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมในตอนนั้นซ่งฉีหยางผู้เป็นศิษย์ถึงได้กล้าทำเรื่องเสียมารยาทต่อผู้อาวุโสอย่างข้าในวันนั้น ที่แท้มันก็ถูกอาจารย์อย่างเจ้าสั่งสอนมาอย่างดีนี่เอง! คำของท่านเจ้าเมือง เจ้าคงไม่ได้ยินกระมัง?”
หรงซูนั้นโกรธจนเกินกว่าที่จะทนไหวจนต้องตะโกนลั่น “หากชายแก่คนนี้อยากไป เจ้ามีปัญญาจะมาหยุดรึ?”
พูดจบเขาก็หันหน้าเดินจากโถงใหญ่ไปทันที
แต่เป็นเวลานั้นเองที่เล่งหยูและเจิ่งชีลุกขึ้นพร้อมๆ กันและเข้ามาปิดทางหรงซูไว้จากทั้งซ้ายขวา
นี่คือพลังของยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์ครึ่งก้าว พลังที่ปล่อยออกมาจากร่างของทั้งสองนั้นมันทำให้หรงซูหน้าเสียทีทัน
เขานึกขึ้นมาได้แล้วว่าตอนนี้ยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์ครึ่งก้าวเป็นคนสนิทของเย่หยวน
เย่หยวนบอก “พี่เล่งหยู ท่านนั้นเป็นผู้อาวุโสใหญ่แห่งหอยุทธ ท่านน่าจะพอแนะนำข้าได้ว่าหากมีใครขัดขืนคำสั่งผู้อาวุโสใหญ่ต้องโดนอะไรใช่หรือไม่?”
เล่งหยูยิ้มขึ้นและตอบ “นอกจากท่านเจ้าเมืองและยอดผู้อาวุโสแล้ว ผู้อาวุโสใหญ่ถือว่ามีอำนาจสูงสุดห้ามต่อต้านขัดขืน หากมีใครคิดต่อต้านก็จงโยนมันลงในนรกฟอกเทพเสีย!”
นรกฟอกเทพนั้นคือพื้นที่ในหอยุทธ เป็นมิติที่ถูกสร้างไว้เพื่อขังนักโทษโดยเฉพาะ
ตอนนี้ฉินเซียวเองก็กำลังถูกขังอยู่ในนรกฟอกเทพเช่นกัน
หรงซูเปลี่ยนสีหน้าทันทีและหันมาหาเย่หยวน “เย่หยวน เจ้ากล้ารึ?!”
เย่หยวนได้แต่หัวเพราะออกมา “ทำไมข้าจะไม่กล้า? วันนี้เป็นวันแรกที่ข้าได้รับตำแหน่งแต่เจ้าก็ต้อนรับข้าแบบนี้เสียแล้ว หากปล่อยไปแบบนี้ข้าจะยังเป็นผู้อาวุโสใหญ่ได้อย่างไรอีก? พี่เล่ง พี่เจิ่ง เอามันไปโยนลงนรกฟอกเทพขังไว้เป็นเวลาสามเดือนเพื่อเป็นการลงโทษ!”
ตอนที่ 1689 คำร้องขอโอสถจากตระกูลหนิง
“เย่หยวนเจ้ารอก่อนเถอะ! อย่าคิดว่าได้เป็นผู้อาวุโสใหญ่แล้วจะทำอะไรก็ได้นะ!”
เสียงของหรงซูลอยไกลออกไปเรื่อยๆ จากนั้นห้องโถงทั้งหมดก็ตกอยู่ในความเงียบงันทันที ตอนนี้แม้แต่เสียงเหรียญตกลงพื้นก็คงดังจนทุกคนได้ยิน
เวลาหลายหมื่นปีมานี้ไม่มีใครกล้าที่จะโยนหรงซูลงนรกฟอกเทพมาก่อน แต่เย่หยวนกลับกล้าที่จะทำมัน!
หรงซูเป็นใคร?
เขาคือยอดคนที่ดูแลเรื่องราวในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์มาหลายหมื่นปี
ต่อให้เป็นอดีตผู้อาวุโสใหญ่เจิ่งชีก็ไม่กล้าที่จะว่ากล่าวเขาใดๆ มากนัก
และเอาเข้าจริงเจิ่งชีนั้นมีเรื่องราวไม่พอใจกับหรงซูมาแต่เก่าก่อนมากมาย เพียงแค่ว่าเขานั้นยอมเลือกที่จะกลืนความไม่พอใจเหล่านั้นลงคอไปอย่างไม่ปริปากบ่น
เพราะยังไงเสียหอยุทธก็ต้องการความช่วยเหลือสนับสนุนจากหอโอสถอย่างมาก
ต่อให้เป็นซวนอี้ที่ขึ้นมารับจำแหน่งผู้อาวุโสใหญ่แทน เรื่องราวภายในจริงๆ มันก็ไม่ได้เปลี่ยนไปมากมาย
เล่งหยูนั้นไม่พอใจหรงซูมาก แต่ก็ไม่กล้าที่จะลงมือทำอะไรกับตัวเขาตรงๆ
แต่วันนี้เย่หยวนกลับกล้าที่จะลงมือทำ!
การขังไว้ในนรกฟอกเทพสามเดือนนั้นเป็นเวลาที่ไม่นานเลย แต่ไม่ว่าจะยังไงการลงโทษนี้มันก็เป็นการลงโทษที่แสนจะรุนแรงอยู่ดี
ที่สำคัญกว่าก็คือสำหรับหรงซูแล้ว คนที่ยิ่งใหญ่ถือยศศักดิ์แบบเขาแล้ว มันจะเป็นความอับอายที่หาใดมาเปรียบไม่ได้
หลังออกมาแล้วเขาจะยังมีหน้าไปสู้ผู้คนได้อย่างไร?
เหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายต่างหันมามองเย่หยวนด้วยสายตาที่สุดสะพรึง
ทุกคนรู้ดีว่าการเปลี่ยนหัวหน้านั้นมันย่อมส่งผลความเปลี่ยนแปลงต่อภาพรวมขององค์กรไป แต่การเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้มันจะไม่รุนแรงไปหน่อยหรือ?
เพราะตำแหน่งของหรงซูในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์แห่งนี้มันแสนจะยิ่งใหญ่ กลุ่มก้อนของเขานั้นฝังรากลึกลงไปจนถึงแก่นของเมือง แค่โยนเขาลงนรกฟอกเทพนั้นมันไม่มีทางที่จะขุดรากถอนโคนอำนาจของเขาได้เลย
เหล่าผู้อาวุโสที่อยู่ข้างหรงซูต่างหันมามองเย่หยวนอย่างไม่เป็นมิตร
ผู้อาวุโสใหญ่คนใหม่นี้ยังขาดประสบการณ์ไปมาก เขาคิดจริงๆ หรือว่าจะล้มหรงซูได้จริง?
แต่เย่หยวนนั้นไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นเลย เขาแค่นั่งลงบนที่นั่งทรงเกียรติและหันไปมองหน้ทุกผู้คนก่อนจะเปิดปากขึ้นพูด “จากวันนี้ไป หากมีใครกล้าขัดขืนหัวหน้าของตนพวกมันจะต้องรับโทษเดียวกับหรงซู! นอกจากนั้นผู้อาวุโสคนนี้เพิ่งจะขึ้นรับตำแหน่ง ข้าจึงต้องการจะแจกจ่ายผลประโยชน์ให้แก่ทุกคนไป จากวันนี้เป็นเวลาสามเดือน เหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายสามารถมาหาข้าเพื่อใช้แต้มความดีแลกกับการให้ข้าหลอมโอสถให้ได้! พวกเจ้าจะให้ข้าหลอมโอสถให้ศิษย์ของพวกเจ้าก็ไม่มีปัญหาเช่นกัน!”
เมื่อเย่หยวนบอกไปเช่นนั้นเขาก็พบว่าเหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายต่างแสดงท่าทีไม่สนใจออกมา ไม่มีใครคิดที่จะมาหาเขาเพื่อขอให้หลอมโอสถให้แน่
แต่แม้สถานการณ์เช่นนี้ เย่หยวนก็คาดเดาถึงมันไว้หมดแล้ว
หรงซูนั้นมีเส้นสายที่ลึกลงในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นี้มาก เหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายนั้นไม่ว่าจะมาจากหอยุทธหรือหอโอสถต่างไม่กล้าที่จะลบหลู่เขา
เพราะตอนนี้สงครามเพิ่งเริ่มยังไม่มีท่าทีว่าใครจะแพ้หรือชนะ มีหรือที่พวกเขาจะกล้าเสี่ยงเลือกข้างไปก่อนแต่แรกแบบนั้น?
แต่เป็นเวลานั้นเองที่หนิงจื่อหยวนที่เงียบมาตลอดการประชุมเปิดปากขึ้นถามเย่หยวนด้วยสีหน้าแสนตื่นเต้น “ผู้อาวุโสใหญ่ ข้าสงสัยว่า… ท่านจะสามารถหลอมโอสถทะยานสมุทรแยกมิติได้หรือไม่?”
เย่หยวนหันไปมองหนิงจื่อหยวนอย่างตกใจเล็กน้อย เพราะเขาไม่คิดว่าคนที่เข้ามาหาในครานี้คนแรกจะเป็นเขา
เพราะการที่ลุกขึ้นมาถามเช่นนี้มันก็เท่ากับว่าเขาไม่ไว้หน้าหรงซูแล้ว
แต่หากลองคิดดู เย่หยวนก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาหน่อย
เพราะเทียบกับการแตกหักกับหรงซูแล้ว หนิงจื่อหยวนนั้นเลือกที่จะเพิ่มพลังของตนแทน
เมื่อมาถึงระดับหนิงจื่อหยวน มันก็มีโอสถไม่กี่อย่างที่จะเพิ่มพลังฝีมือของเขาไปได้
และหนึ่งในนั้นก็คือโอสถทะยานสมุทรแยกมิตินี้นี่เอง
เมื่อมาถึงอาณาจักรราชันพระเจ้าแล้วทุกสิ่งอย่างต่างไม่พึ่งพาพลังปราณอีกต่อไป สิ่งที่พวกเขาทั้งหลายต้องพัฒนานั้นคือพลังโลก
หนิงจื่อหยวนนั้นหยุดติดที่อาณาจักรราชันพระเจ้าแปดดาวมานานหลายต่อหลายปี และไม่มีทีท่าว่าจะบรรลุขึ้นอาณาจักรราชันพระเจ้าเก้าดาวได้เสียที
เขานั้นไปหาหรงซูหลายต่อหลายคราเพื่อให้อีกฝ่ายช่วยหลอมโอสถทะยานสมุทรแยกมิติ หรงซูลองดูหลายครั้งแต่ก็ล้มเหลวมาตลอด
นี่คือโอสถที่มีระดับความยากเจ็ด ต่อให้เป็นซวนอี้หรือหรงซูมันก็ไม่ง่ายเลยที่จะหลอมให้สำเร็จ
เย่หยวนหันไปมองหนิงจื่อหยวนและบอก “เจ้าไปเตรียมยาสมุนไพรและมาหาข้าวันพรุ่งนี้เถอะ เอาล่ะ แยกย้าย”
หนิงจื่อหยวนนั้นเป็นคนเจ้าเล่ห์มากแผนการและมีแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้นที่เขาจะตื่นเต้นจริงๆ
แต่ตอนนี้ใบหน้าของเขานั้นเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นดีใจอย่างเห็นได้ชัด
“เฮอะ ผู้อาวุโสหนิง เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าเขาจะหลอมโอสถทะยานสมุทรแยกมิติให้เจ้าได้? ถึงตอนนั้นหากเขาหลอมไม่ได้ตระกูลหนิงเจ้าคงได้มีเรื่องน่าดูชม!”
“อืม ผู้อาวุโสหนิง ครั้งนี้เจ้าทำอะไรบ้าบิ่นเกินไปจริงๆ”
“ผู้อาวุโสหนิง ข้าล่ะสงสารท่านจับใจ!”
…
เหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายต่างเดินออกมาแสดงความเสียใจกับความโชคร้ายของหนิงจื่อหยวนในครั้งนี้
พวกเขานั้นไม่มีใครเชื่อว่าเย่หยวนจะสามารถหลอมโอสถทะยานสมุทรแยกมิติได้
และจริงๆ เย่หยวนก็ไม่ใช่คนที่รักษาเจิ่งชีเสียด้วยซ้ำ
คนส่วนใหญ่นั้นล้วนแล้วแต่คิดว่าเย่หยวนไปเจอสมบัติที่ช่วยฟื้นพลังชีพระหว่างที่เดินทางและนำมันมาใช้ช่วยรักษาให้เจิ่งชี จนถึงขั้นบรรลุขึ้นมาได้
หากจะบอกว่าเย่หยวนหลอมโอสถแสนยากเช่นนั้นขึ้นมาจริงๆ พวกเขาทั้งหลายนี้ต่างไม่มีใครเชื่อ
แต่เรื่องนี้หนิงจื่อหยวนนั้นแค่ยิ้มตอบ
เพราะด้วยความที่เขามีหนิงเทียนปิงอยู่ด้วย มันจึงทำให้เขารู้ถึงขอบเขตความสามารถของเย่หยวนที่เจ้าโง่พวกนี้ไม่มีทางคาดคิดถึงได้
…
ในวันต่อมา หนิงจื่อหยวนมาหาเย่หยวนจริงๆ
เย่หยวนมองดูภาพของหนิงจื่อหยวนที่มีท่าทางลังเลไม่น้อยก่อนจะบอก “มีอะไรก็พูดมาเถอะ ข้าไม่ชอบการทำอะไรอ้อมค้อม”
หนิงจื่อหยวนนั้นดูท่าทางเขินอายขึ้นมาหน่อยก่อนจะบอก “ผู้อาวุโสใหญ่ คือว่าเรื่องนี้ มันมีคนในตระกูลเราที่ได้ยินว่าผู้อาวุโสใหญ่จะหลอมโอสถให้เอง จึงอยากจะขอให้ท่านช่วยหลอมให้ด้วย ข้าคิดว่า…”
เย่หยวนมองดูหนิงจื่อหยวนอีกครั้ง อีกฝ่ายนั้นอดทนไม่ได้ที่ต้องรู้สึกผิดขึ้นมาหน่อยๆ ราวกับว่าตัวเองถูกเย่หยวนมองจนทะลุ
คนตระกูลหนิงขอให้เขาหลอมโอสถให้?
เรื่องทั้งหมดมันคงไม่พ้นเป็นการตัดสินใจของหนิงจื่อหยวนแค่คนเดียวใช่ไหม?
เขานั้นอยากจะเพิ่มพลังให้กับตระกูล แต่ก็กลัวที่จะไปทำให้เย่หยวนไม่พอใจเลยพูดออกมาแบบนี้แทน
เย่หยวนตอบ “ข้าสัญญาไปแล้วข้าย่อมไม่ผิดคำ เจ้าทิ้งยาสมุนไพรทั้งหมดที่จำเป็นไว้เถอะ ข้าจะหักแต้มความดีค่าหลอมทั้งหมดจากเจ้าและห้าวันจากนี้ เจ้าจงมารับโอสถไป”
เมื่อหนิงจื่อหยวนได้ยินเช่นนั้นเขาก็ดีใจจนเนื้อเต้น “ขอบพระคุณมากผู้อาวุโสใหญ่!”
หลังจากหนิงจื่อหยวนจากไป หนิงเทียนปิงก็ปรากฏกายออกมาและขอบคุณเย่หยวนด้วยอีกแรง “ขอบพระคุณนายใหญ่ที่ไม่เก็บเรื่องเก่าก่อนมาคิดแค้น และช่วยหลอมโอสถให้แก่ตระกูลหนิงตามคำขอ”
เย่หยวนยิ้ม “จริงๆ ผู้นำตระกูลเจ้าเองก็ช่วยข้าไว้ไม่น้อยในครานี้ ไม่เช่นนั้นทางตันตรงหน้ามันก็คงยังยากจะแก้ไข”
หนิงเทียนปิงบอกมาด้วยรอยยิ้ม “เรื่องนั้นล้วนแล้วแต่เป็นน้ำใจที่นายใหญ่มีต่อตระกูลหนิง เมื่อมีโอกาสเช่นนี้ตกอยู่ตรงหน้า ท่านผู้นำตระกูลย่อมจะคิดถึงอนาคตของตระกูลหนิงมากกว่าสิ่งใด ท่านผู้นำนั้นติดอยู่ในอาณาจักรราชันพระเจ้าแปดดาวมานานแสนนานหลายหมื่นปีแต่ก็ยังไม่สามารถจะบรรลุได้ หากพลาดโอกาสนี้ไปมันก็คงเป็นการยากแล้วที่จะบรรลุอีก! ด้วยนิสัยอย่างเขามีหรือที่จะปล่อยให้มันหลุดมือ?”
เย่หยวนหันไปมองหนิงเทียนปิงและพยักหน้า “การบ่มเพาะของเจ้าช่วงนี้เองก็พัฒนาไปได้ไม่เลว!”
หนิงเทียนปิงตอบด้วยรอยยิ้ม “นี่นายใหญ่กำลังชมตัวเองหรือ? ทั้งหมดนี้มันย่อมเกิดขึ้นได้เพราะโอสถของนายใหญ่ทั้งสิ้น! หลังจากนายใหญ่บรรลุขึ้นเป็นจอมเทพโอสถสี่ดาวแล้วความเร็วการบ่มเพาะของข้ามันก็พัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด! หากเป็นแบบนี้ต่อไป ข้าคงสามารถเข้าโจมตีฐานอาณาจักรราชันพระเจ้าห้าดาวได้ในห้าสิบปีนี้แน่!”
หลายวันมานี้ เย่หยวนได้หลอมโอสถไม่น้อยให้แก่หนิงเทียนปิง
หนิงเทียนปิงกินโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่เหล่านั้นเข้าไปแล้วก็รู้สึกได้ราวกับว่ามันเป็นโอสถวิเศษที่ช่วยพัฒนาพลังของเขาอย่างก้าวกระโดด ตอนนี้เขากลายมาเป็นราชันพระเจ้าสี่ดาวชั้นกลางแล้ว
ความเร็วการบ่มเพาะนี้คงเรียกได้ว่ามันรวดเร็วจนเกินอาณาจักรราชันพระเจ้าไปมาก
ไม่นานเวลานับเดือนก็ได้ผ่านพ้นไป เปลี่ยนเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ
ตอนที่ 1690 แตกตื่นทั้งเมือง
ผู้อาวุโสตระกูลหนิงที่เดิมทีมีพลังบ่มเพาะอาณาจักรราชันพระเจ้าหกดาว หนิงชางไห่ได้บรรลุสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าเจ็ดดาว!
ผู้อาวุโสตระกูลหนิงอีกคนที่เดิมทีมีพลังบ่มเพาะอาณาจักรราชันพระเจ้าห้าดาว หนิงจงไคก็สามารถบรรลุสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าหกดาวได้!
…
ผู้นำตระกูลหนิง หนิงจื่อหยวน สามารถบรรลุผ่านคอขวดและเข้าสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าเก้าดาวได้ในที่สุด!
เรื่องราวในครั้งนี้มันทำให้คนแตกตื่นกันไปทั้งเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ราวกับไฟป่าที่โหมไหม้
แค่ชั่วข้ามคืน แต่ตระกูลหนิงกลับเปลี่ยนไปราวได้จุติใหม่!
เหล่าผู้อาวุโสตระกูลหนิงที่วันๆ ได้แต่รอเวลาตาย ไม่มีความหวังในการจะบรรลุใดๆ กลับสามารถบรรลุได้!
ข่าวเรื่องนี้มันทำให้ผู้คนตกตะลึงมาก
แต่แน่นอนว่าเรื่องที่ใหญ่ที่สุดย่อมต้องเป็นเรื่องการบรรลุของหนิงจื่อหยวน!
การเป็นราชันพระเจ้าเก้าดาวมันหมายความว่ายังไง?
มันหมายความว่าเขาได้ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของเมืองจักรพรรดิ!
นอกจากเหล่ายอดคนอาณาจักรนภาสวรรค์แล้ว ก็เป็นอาณาจักรราชันพระเจ้าเก้าดาวนี่แหละที่แข็งแกร่งที่สุด!
ที่สำคัญกว่านั้นการได้เข้าอาณาจักรราชันพระเจ้าเก้าดาวมันก็หมายความว่าหนิงจื่อหยวนได้มีโอกาสไปแตะฐานของอาณาจักรนภาสวรรค์แล้ว
ไม่ว่าเขาจะสำเร็จได้หรือไม่ แต่อย่างน้อยที่สุดเขาก็มีโอกาสแล้ว
ในเมืองนี้จะยังมีใครที่มีโอกาสทำแบบนั้นอีก?
“นี่ ข่าวนี้คงไม่ได้มั่วใช่ไหม? เฒ่าพวกนั้นมันมีแต่รอวันลงโลง แต่กลับที่จะบรรลุขึ้นมาได้จริงๆ รึ?”
“จะมั่วไปได้อย่างไร? เฒ่าพวกนั้นมันดีใจจนเนื้อเต้น ออกมาอวดอ้างต่อหน้าคนทั้งเมืองยกใหญ่!”
“นี่มัน… มันจะไม่บังเอิญไปหน่อยรึ? หรือว่า… คงไม่ได้มีใครในตระกูลหนิงเกิดตรัสรู้ขึ้นมาใช่ไหม?”
“ตรัสรู้กับพ่อเจ้าสิ?! ผู้อาวุโสใหญ่เย่หยวนนั้นสัญญากับเหล่าผู้อาวุโสว่าจะช่วยหลอมโอสถให้แต่กลับไม่มีใครคิดเชื่อคำเขา มีแค่หนิงจื่อหยวนที่กล้าจะขอให้เขาหลอมโอสถให้! สุดท้ายตระกูลหนิงเลยเกิดเปลี่ยนแปลงชั่วข้ามคืนแบบนี้ขึ้นมา!”
“นี่มัน… จะจริงรึ? ผู้อาวุโสใหญ่เย่หยวนเพิ่งจะบรรลุมาได้ไม่นานมิใช่รึ? เขาจะมีความรู้ความสามารถด้านโอสถมากมายขนาดนั้นแล้ว?”
…
เหล่ายอดฝีมือในเมืองต่างคุยกันถึงเรื่องนี้อย่างไม่วางปาก
สำหรับนักยุทธอาณาจักรราชันพระเจ้าแล้ว ยังจะมีอะไรที่น่าสนใจไปกว่าการบรรลุอีก?
เพราะเช่นนั้นเหล่าตระกูลใหญ่ทั้งหลายจึงแตกตื่นกันยกใหญ่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตระกูลใหญ่ที่มีตำแหน่งที่นั่งผู้อาวุโสในเมือง มันกลายเป็นความวุ่นวายอย่างถึงที่สุด
เหล่าผู้อาวุโสในตระกูลต่างล้วนกำลังกล่าวว่าผู้นำ ด่าว่าทำไมผู้นำตระกูลของตนถึงไม่ไปขอให้เย่หยวนหลอมโอสถให้บ้าง
ที่บ้านใหญ่ตระกูลฉี ผู้อาวุโสหลายต่อหลายคนต่างชี้หน้าด่าฉีเฟิงอย่าไม่ไว้หน้าใดๆ
ฉีเฟิงและหนิงจื่อหยวนนั้นเป็นสองยอดคนที่ยืนอยู่ในระดับเดียวกัน ทั้งสองนั้นเป็นยอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้าแปดดาวเสมอกัน ทั้งยังมีตำแหน่งผู้อาวุโสของเมืองเช่นกันด้วย
ตระกูลฉีและตระกูลหนิงเองก็เป็นคู่แข่งที่ปะทะกันมานานแสนนาน
ฉีเฟิงและหรงซูนั้นสนิทกันไม่น้อย พวกเขาจึงช่วยกันกดดันตระกูลหนิงมาตลอด
เรื่องในครั้งนี้ฉีเฟิงจึงเลือกที่จะอยู่ข้างหรงซูอย่างไม่ลังเลใดๆ
วันนั้น หนิงจื่อหยวนมีท่าทางที่แสนจะอนาท ฉีเฟิงได้แต่ดูถูกเมื่อเห็นมัน เขานั้นเหยียดหยามท่าทางก้มหัวขอร้องนั้นของหนิงจื่อหยวนมาก
ตั้งแต่แข่งขันรู้จักกันมาเขาไม่เคยคิดที่ตจะปริปากว่าใดๆ หนิงจื่อหยวนลับหลังเขาเลย
แต่ใครจะไปรู้ว่าเวลาผ่านไปได้เดือนหนึ่ง หนิงจื่อหยวนคนนั้นกลับสามารถบรรลุขึ้นอาณาจักรราชันพระเจ้าเก้าดาวได้
ข่าวนี้มันทำให้ฉีเฟิงตื่นตะลึง!
และจนถึงตอนนี้เขาก็ยังกลับมาตั้งสติไม่ได้ จึงปล่อยให้เหล่าผู้อาวุโสของตระกูลเข้ามารุมล้อมด่าทอเขาอย่างไม่ไว้หน้าใดๆ
“ฉีเฟิง นี่หรือคือหน้าที่ผู้นำตระกูลที่เจ้าควรทำ?”
“ฉีเฟิง เจ้ามันเกินไปจริงๆ ผู้อาวุโสใหญ่เย่หยวนนั้นถูกเชิญขึ้นรับตำแหน่งโดยท่านเจ้าเมือง แต่เจ้ากลับไม่คิดจะไว้หน้าเขาสักนิด!”
“สะใจไหมล่ะ? ตอนนี้พวกตระกูลหนิงนั้นเชิญหน้าชูฟ้ากันยกใหญ่! แต่ดูเรา! ลองหันมามองดูตระกูลเรา!”
…
เหล่าผู้อาวุโสในตระกูลนั้นล้วนแล้วแต่เป็นผู้เฒ่าผู้แก่อย่างแท้จริง หลายต่อหลายคนนั้นแก่กว่าฉีเฟิงมาก จึงไม่จำเป็นต้องไว้หน้าเขาใดๆ เลย
ฉีเฟิงนั้นถูกดุว่าจนหน้าเขียวคล้ำ แต่ก็ไม่กล้าที่จะทำอะไร
คนเฒ่าพวกนี้มันไม่รู้จักทำงานทำการวันๆ มีแต่หาเรื่องด่าคนอื่นไปทั่ว
“เอาล่ะๆ พอก่อน ผู้อาวุโสทั้งหลาย ข้าเองก็กำลังหาทางแก้อยู่นี่ไง?”
ฉีเฟิงบอกปัดคนเหล่านี้อยู่สักพักก่อนที่จะสามารถไล่พวกเขาออกไปได้
แต่เขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะปวดหัวหนัก เพราะเรื่องราวในตอนนี้มันเหนือล้ำกว่าที่เขาคาดคิดไปมากมายแล้ว
เรื่องราวในครั้งนี้มันเป็นการพลิกกระดานเกินไป!
แค่นึกก็พอรู้แล้วว่าตอนนี้ที่หน้าคฤหาสน์ของผู้อาวุโสเย่หยวนนั้นคงมีผู้คนไปกันจนมากล้นแน่ๆ
ฉีเฟิงนั้นเข้าใจจนได้ว่าทำไมเย่หยวนถึงกล้าที่จะโยนหรงซูลงนรกฟอกเทพไปแบบนั้น
เพราะเขามั่นใจในพลังฝีมือความรู้ของตัวเอง!
หากไม่มีฝีมือที่แท้จริง ก็อย่าได้ไปทำอะไรให้เกินตัว
เย่หยวนและซวนอี้นั้นสนิทสนมกันมาก ไม่มีทางหรอกที่เย่หยวนจะไม่รู้ถึงพลังอำนาจที่หนงซูมีในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นี้
แต่เขาก็ยังกล้าจะโยนหรงซูลงนรกฟอกเทพไปหลังรับตำแหน่งผู้อาวุโสใหญ่ เรื่องนี้มันแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเขานั้นมีไม้เด็ด
สิ่งที่เย่หยวนต้องการนั้นมันก็เพียงแค่การปลดล็อกเท่านั้น
และตระกูลหนิงก็เข้ามาช่วยเรื่องนั้นและเป็นตัวปลดล็อกให้อย่างดี!
ฉีเฟิงได้เข้าใจทันทีว่าคราวนี้กว่าเขาจะรู้ตัวมันก็สายไปแล้ว!
มาคิดได้ตอนนี้มันก็สายไปแล้ว
ก้าวแรกพลาด ก้าวต่อๆ ไปย่อมพลาดตาม!
กำหนดเวลาที่เย่หยวนให้มาคือสามเดือน ตอนนี้เวลาหนึ่งเดือนได้ผ่านไปแล้ว
เวลาสองเดือนที่เหลือ เหล่าตระกูลทั้งหลายคงพยายามกันอย่างสุดความสามารถเพื่อจะแย่งชิงตำแหน่งนั้นกัน
เวลามันสั้นเกินไป!
มันไม่มีทางเลยที่เย่หยวนจะไปทุ่มเวลาให้กับตระกูลเดียวได้เหมือนตอนตระกูลหนิง
ตอนนี้เรื่องราวทั้งหมดมันตกอยู่ในกำมือเย่หยวนแล้ว
เขาอยากจะหลอมโอสถให้ใครก็ย่อมหลอมให้ได้!
เขาไม่อยากหลอมโอสถให้ใคร เขาก็ย่อมผลักไสได้
ฉีเฟิงถอนหายใจยาวก่อนจะค่อยๆ ลุกและเดินตรงไปยังคฤหาสน์เย่
และอย่างที่คาด ตอนนี้ที่หน้าคฤหาสน์เย่นั้นเต็มไปด้วยผู้คนราวกับมีงานเลี้ยงอะไรกันเกิดขึ้น
เว้นแต่ว่าสีหน้าของพวกเขาทุกคนนั้นเปี่ยมไปด้วยความกังวลราวกับเป็นนักโทษที่มารอฟังคำตัดสินคดี
เดิมทีนั้นเมื่อทุกคนเห็นฉีเฟิง พวกเขาทั้งหลายจะต้องเข้ามาทักทายทันทีแน่
แต่วันนี้กลับไม่มีใครคิดจะสนใจเขาแม้สักคน
ฉีเฟิงเห็นผู้อาวุโสคนหนึ่งที่เขาสนิทด้วยยืนรอยู่เช่นกันจึงเข้าไปถาม “พี่เขา ตอนนี้ผู้อาวุโสใหญ่ท่านพบใครอยู่?”
คนๆ นี้มีนามว่าเจายี่บิน ผู้นำตระกูลเจา
เมื่อเจายี่บินหันมาเห็นฉีเฟิง เขาก็อดไม่ได้ที่จะบ่นออกมา “จะเป็นใครได้อีก? พวกตระกูลหนิงไง พวกบ้านั่น เหอะ ดูหน้าตาอวดดีของมันสิ!”
เมื่อเขาพูดจบสายตาทุกคู่รอบๆ ก็หันมาหาทันที
“เจายี่บิน หากเจ้าอยากว่ากล่าวใดๆ ท่านผู้อาวุโสใหญ่ก็จงทำไป แต่อย่าได้มาสร้างปัญหาให้เรา!”
“ใช่! ตอนนตระกูลหนิงนั้นได้รับความชอบจากผู้อาวุโสใหญ่ อวดดีสักหน่อยจะเป็นไรไป?”
“เจ้าแค่ไม่พอใจที่เห็นว่าหนิงชางไห่บ่มเพาะตามเจ้าทันใช่ไหมล่ะ?”
…
คนหนึ่งพูด ก็เปิดปากด่าทันที พวกเขานั้นรุมว่าเจายี่บินจนแทบจะเป็นจะตาย
ทั้งอย่างนั้นเจายี่บินกลับไม่โกรธเคืองใดๆ และได้รู้ถึงความผิดพลาดของตัวเองจนกล่าวขอโทษต่อทุกคนทันที “ทุกคนโปรดใจเย็นก่อน! ใจเย็นๆ กันก่อน! ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นความผิดเจาคนนี้เพียงผู้เดียว!”
หลังจากเขากล่าวขอโทษออกมาแล้วความโกรธแค้นของทุกผู้คนจึงดับมอดลง
เมื่อฉีเฟิงได้เห็นภาพนี้เขาก็ได้แต่ยืนงง
นี่ทุกคนเครียดกันจนถึงขั้นนี้แล้วหรือ?
ก่อนที่เจายี่บินจะหันมามองแรงใส่ฉีเฟิงและหยุดพูดลงไป
ฉีเฟิงนั้นพูดอะไรไม่ออก นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รู้ว่าการบรรลุของตระกูลหนิงมันนำพาเรื่องราวแบบไหนมาสู่จิตใจของผู้คน
ตอนนี้ทุกคนต่างล้วนแล้วแต่เกรงกลัวที่จะเผลอไปลบหลู่เย่หยวน!
ตอนนั้นเองที่หนิงจื่อหยวนได้นำเหล่าผู้เฒ่าผู้แก่ในตระกูลเดินออกมาจากคฤหาสน์เย่
เมื่อหนิงจื่อหยวนเห็นฉีเฟิง เขาก็หัวเราะออกมา “ฉีเฟิง วันนั้นพวกเจ้าว่ายังไงนะ? ก้มหัวลงกระดิกหาง? ตอนนี้ต่อให้พวกเจ้าเอาหัวมุดดินและกระดิกจนหางหลุด ผู้อาวุโสใหญ่ท่านก็อาจจะไม่สนใจพวกเจ้าเลยแม้แต่น้อยก็ได้! ฮ่าๆๆ”
ตอนที่ 1691 ลมแห่งอินทรีสวรรค์เปลี่ยนทิศ
ฉีเฟิงนั้นหน้าหมองคล้ำดำจนแทบสนิท!
แต่เขาก็ไม่สามารถจะกล่าวเถียงใดๆ ออกไปได้
เขาอยากก้มหัวกระดิกหางไหม?
แน่นอนสิว่าอยาก!
อยากจนแทบคลั่งเลยล่ะ!
จะมีใครบ้างที่จะปฏิเสธโอกาสในการบรรลุขึ้นสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าเก้าดาว?
หากเย่หยวนให้โอกาสเขาได้ก้มกราบ เขาก็ย่อมต้องทำอย่างแน่นอน!
แต่ปัญหาคือ เย่หยวนจะให้โอกาสเขาไหม?
หนิงจื่อหยวนนั้นปล่อยคลื่นพลังที่แสนหนักหน่วงออกมาจากร่าง
นั่นคือพลังที่เป็นของอาณาจักรราชันพระเจ้าเก้าดาวอย่างแน่นอน!
ตัวเขา ฉีเฟิงนั้นหลงใหลในพลังนั้นอย่างมาก!
เมื่อหันไปดูอีกครา ตอนนี้เขาก็ได้เห็นว่าเหล่าผู้เฒ่าเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เปี่ยมไปด้วยพลัง ยังจะมีร่องรอยของไม้ใกล้ฝั่งให้ได้เห็นอีกหรือ?
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนิงชางไห่คนนั้นที่บรรลุสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าเจ็ดดาวได้ในคราเดียว ตอนนี้เขาจึงมีสิทธิที่จะเข้าร่วมสมาคมผู้อาวุโสของเมืองแล้วด้วย!
ตระกูลหนิงกำลังจะได้ที่นั่งผู้อาวุโสไปอีกตำแหน่ง!
เรื่องนี้มันแสนจะยิ่งใหญ่
“หึ ผู้นำตระกูลเรานี่ฉลาดจริงๆ ครานี้ตระกูลหนิงเราคงเฉิดฉายแสงจ้าจนเงาทับตระกูลหนิงสิ้นแน่!”
“ในวันข้างหน้า ตระกูลหนิงเราจะรับทำตามคำสั่งผู้อาวุโสใหญ่เย่หยวนอย่างไม่ขัด!”
“โอ้ พวกเจ้าเองก็รีบๆ ไปหาทางทำให้ผู้อาวุโสใหญ่เย่หยวนใจเย็นลงเถอะนะ! ฮ่าๆ”
เหล่าผู้อาวุโสของตระกูลหนิงนั้นต่างแสดงท่าทางอวดดีออกมาอย่างมากมาย ภาพตรงหน้านี้มันเหมือนกับภาพของตัวร้ายที่ได้เหลิงในพลังไม่มีผิด
แต่ทว่าพวกเขานั้นก็มีสิทธิที่จะอวดดีได้
เพราะพวกเขารู้ดีว่าในวันข้างหน้าคงไม่มีตระกูลใดเทียบเคียงตระกูลหนิงได้อีกแล้ว
เย่หยวนนั้นคงไม่ใจจืดใจดำกับตระกูลอื่นๆ ไปได้ตลอด แต่เขานั้นก็คงไม่มีทางดูแลตระกูลอื่นดีเหมือนตระกูลหนิงแน่
มันคือความแตกต่างในสายสัมพันธ์ที่มี
หนิงจื่อหยวนนั้นหัวเราะ “ฉีเฟิง อย่าได้หาว่าข้าไม่เตือนเลยนะ เจ้าคงพยายามใช้สมองที่มีเพื่อหาวิธีจะตัดสายสัมพันธ์กับหรงซูเอาเถอะ นั่นคงเป็นความหวังสุดท้ายของเจ้าแล้ว ฮ่าๆๆ”
พูดจบหนิงจื่อหยวนก็พากลุ่มคนเดินจากไป
ฉีเฟิงนั้นได้แต่ขมวดคิ้วอย่างห้ามตัวเองไม่อยู่
และไม่ใช่แค่ฉีเฟิง แต่รวมไปถึงเหล่าผู้อาวุโสคนอื่นๆ ด้วย
เพราะในคำพูดนั้นของหนิงจื่อหยวนมันแฝงคำใบ้ไว้อยู่!
…
เวลาสามเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในเวลาสามเดือนมานี้หรงซูต้องทนทุกข์ทรมานถูกกัดกินจิตใจไปจนทำให้ร่างของเขาผอมบางลงอย่างเห็นได้ชัด
หลังจากมาจากนรกฟอกเทพได้หรงซูก็กัดฟันแน่นด้วยความโกรธแค้น “เย่หยวน เจ้าคิดว่าได้เป็นผู้อาวุโสใหญ่แล้วจะทำอะไรก็ได้ตามใจชอบรึ? ชายแก่คนนี้จะสั่งสอนเจ้าเองว่าอะไรมันควรยุ่งไม่ควรยุ่ง!”
หรงซูไม่คิดจะกลับที่พักเสียด้วยซ้ำและมุ่งหน้าตรงไปที่บ้านตระกูลฉีทันที
แต่สิ่งไม่คาดฝันมันก็เกิดขึ้นตรงหน้าเขา เพราะคนที่ออกมาต้อนรับเขานั้นหาใช่ฉีเฟิง แต่เป็นฉีซงแทน
คนที่ตระกูลฉีส่งออกมารับเขาคือฉีซง เมื่อได้เห็นหรงซูฉีซงก็ยกมือขึ้นคารวะทันที “ฉีซงคารวะผู้อาวุโสที่สาม”
หรงซูหน้าเสียทันทีที่ได้ยิน “ฉีซง เจ้าเรียกข้าว่ายังไงนะ?”
จากผู้อาวุโสใหญ่ลงมาเป็นผู้อาวุโสที่สอง จากผู้อาวุโสที่สองลงมาเป็นผู้อาวุโสที่สาม เรื่องนี้มันทำให้หรงซูปวดใจอย่างมาก และยังเป็นเรื่องที่หรงซูอับอายที่สุดด้วย
แต่ฉีซงคนนี้กลับพูดมันออกมา!
แต่ว่าฉีซงก็ตอบกลับมาอย่างเรียบเฉย “ผู้อาวุโสที่สาม เรื่องราวทั้งหลายนี้ล้วนเป็นการตัดสินใจของท่านเจ้าเมือง! ข้า…ฉีซงผู้นี้เป็นแค่ผู้น้อยคนหนึ่ง ผู้อาวุโสที่สามเองก็ถูกขังในนรกฟอกเทพมาถึงสามเดือนแล้ว ขออย่าได้ทำให้ผู้น้อยต้องลำบากไปกว่านี้เลย”
หรงซูกัดฟันกรอด เพราะคำพูดของฉีซงมันทำเอาเขาพูดไม่ออก
ใช่แล้ว เย่หยวนนั้นตั้งกฎขึ้นมา แล้วจะยังมีใครกล้าท้าทาย? ทำแบบนั้นมันหาเรื่องใส่ตัวชัดๆ
หรงซูตอบอย่างไม่พอใจออกมา “เราอยู่กันตามลำพัง เจ้าจะยังกลัวอะไรอีก? ไอ้เจ้าเย่หยวนมันจะสามารถใช้มือปิดฟ้าได้จริงๆ หรือ? ชายแก่คนนี้ได้ออกมาครานี้ มันจะต้องได้ชดใช้คืนด้วยความตาย!”
ฉีซงหัวเราะเยาะในใจแต่ก็ยังทำหน้าตานิ่งเฉยได้ “ผู้อาวุโสที่สาม หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง ฉีซงนี้เป็นแค่ผู้น้อย ขออย่าได้ทำให้ผู้น้อยต้องลำบากไปมากกว่านี้เลย”
หรงซูนั้นไม่พอใจมากแต่ก็ยกมือขึ้นมาโบกปัดไป “ช่างมันเถอะ ช่างมัน! แล้วฉีเฟิงไปไหน? เรียกเขาออกมาหาข้าหน่อย!”
ฉีซงบอก “ผู้อาวุโสที่สามมาผิดเวลาเสียจริงๆ ท่านผู้นำเพิ่งจะได้โอกาสดีและเข้าสู่การเก็บตัวไปได้ไม่นาน และดูท่าคงไม่ออกมาอีกในเร็ววันแน่”
เมื่อหรงซูได้ยินเขาก็ระเบิดความโกรธที่มีออกมา “หะ?! ในเวลาแบบนั้นมันกลับกล้าเข้าเก็บตัวรึ! หรือว่ามันอยากจะเห็นเย่หยวนมายืนเยี่ยวรดหัวตระกูลฉีกัน? ไอ้สารเลวนี่!”
หรงซูนั้นแสดงอารมณ์อันผิดหวังออกมา ดูท่าเขาคงโกรธไม่น้อยจริงๆ
ไม่เลือกที่จะเข้าช้าหรือเร็วกว่านี้แต่กลับมาเลือกเข้าเก็บตัวในจังหวะเวลานี้พอดี เวลาสที่หรงซูออกมาจากนรกฟอกเทพ
หากเป็นเมื่อก่อนฉีซงก็คงไม่มีปัญหาใดๆ แน่กับท่าทางนี้
แต่ตอนนี้เขาไม่พอใจมาก
เจ้าหรงซูคนนี้มันคิดจริงๆ หรือว่าตระกูลฉีเป็นแค่สุนัขรับใช้ของมัน?
ฉีซงบอก “เรื่องนี้ข้าเองก็ทำอะไรช่วยท่านไม่ได้ หากผู้อาวุโสที่สามมีเรื่องด่วนใดก็ขอโปรดให้มาใหม่วันหลัง”
ตอนนี้สีหน้าของหรงซูนั้นดูไม่จืด เขาหันมองหน้าฉีซงอย่างรุนแรงก่อนจะเดินจากไป
เมื่อหรงซูจากไป ฉีเฟิงก็ค่อยๆ ปรากฏกายออกมาและได้ยินฉีซงกล่าวขึ้นมาอย่างเคืองแค้น “ท่านผู้นำ เจ้าเฒ่าคนนี้มันคิดว่าตระกูลฉีเราเป็นแค่สุนัขของมันจริงๆ มันคือว่าเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ในทุกวันนี้ยังเป็นเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์เมื่อสามเดือนก่อนอีกรึ? หากท่านไม่ว่าอะไร ข้าอยากจะขอแนะนำให้เราตัดสายสัมพันธ์ที่มีกับมันทั้งหมดไปเสียจะดีกว่า”
ฉีเฟิงตอบ “เจ้าคิดว่าแค่ตัดไปแล้วผู้อาวุโสใหญ่จะยอมรับเรารึ? พวกเราไปพัวพันมากจนเกินไปแล้ว! เฮ้อ…ตอนนี้ตระกูลฉีเราคงได้แต่เก็บเนื้อเก็บตัวให้เรียบร้อยอย่าได้ไปสร้างเรื่องใดๆ หากผิดพลาดไปตอนนี้มันคงไม่มีทางกู้คืนได้ไปตลอดกาลแน่!”
ฉีซงนั้นเปลี่ยนสีหน้าไปทันที “ท่านผู้นำ นี่ท่านไม่ได้ล้อเล่นใช่หรือไม่?”
ฉีเฟิงหันมามอง “เรื่องราวมันหนักหนากว่าที่เจ้าคิดมาก! วิชาของท่านผู้อาวุโสใหญ่นั้นมันเหนือล้ำกว่าที่ข้าหรือเจ้าจะเข้าใจได้ไปแล้ว! หากเขาอยาก เขาก็สามารถจะชุบเลี้ยงตระกูลใดก็ได้เหมือนกับที่เขาทำกับตระกูลหนิง! ถึงตอนนี้มันจะไม่ใช่สภาพที่ตระกูลหนิงและตระกูลฉีแย่งชิงอำนาจกันแล้ว ตระกูลฉีเราคงถูกทับหายไปจากสายตาผู้คนแน่ เจ้าคิดว่ามันหนักหนาไหมล่ะ?”
ฉีซงใจสั่นรัว เพราะวันนี้จู่ๆ เขาก็ได้รู้ว่าตระกูลฉีอยู่ในจุดที่วิกฤตหนักจนเกินกว่าจะมองออกได้จาเปลือกนอกแล้ว
ที่สำคัญ สิ่งที่ฉีเฟิงพูดมันยังไม่ใช่เรื่องที่ห่างไกลตัวเลย
ในเวลาแค่สองเดือน เมืองนี้ก็มีผู้บรรลุสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าชั้นกลางมาได้กว่ายี่สิบคนแล้ว!
หากคนอื่นบรรลุกันหมดแล้วเรายังอยู่กับที่ ถึงตอนนั้น…ก็คงไม่พ้นต้องถูกเขี่ยจากอำนาจเป็นแน่
ตอนนี้มิใช่แค่ผู้อาวุโสหอยุทธ แม้แต่ผู้อาวุโสหอโอสถเองก็ไม่สามารถจะนั่งเฉยๆ ได้อีกต่อไป
ผู้อาวุโสหโอสถไม่อยากบรรลุหรือ?
พวกเขาต้องอยากบรรลุบ้างแน่อยู่แล้ว!
แต่ลำพังตัวพวกเขาเองนั้นไม่มีปัญญาพอจะหลอมโอสถเพื่อช่วยการบรรลุ
แต่ปัญหานั้นเย่หยวนแก้ไขให้ได้!
จะขอร้องเขาไหม?
จะยอมรับเขาเป็นผู้อาวุโสใหญ่ไหม?
ในเวลาสามเดือนมานี้ กระแสลมในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์มันได้เปลี่ยนทิศอย่างไม่เหลือเค้าเดิมแล้ว
หลังถูกปฏิเสธตั้งแต่หน้าประตูไปอีกหลายที่ หรงซูก็ได้รับรู้ถึงความแปลกประหลาดที่กำลังเกิดขึ้น
คนเหล่านั้นเหมือนจะตกลงกันมาก่อนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการเก็บตัวหรืองานสำคัญ แต่พวกเขาล้วนปฏิเสธเขาราวกับหรงซูเป็นตัวเชื้อโรค ไม่มีใครอยากอยู่ใกล้
ระหว่างที่เขาทนทุกข์ในนรกฟอกเทพมานั้น เขาก็พยายามคิดหาทางที่จะออกมาเพื่อแก้แค้นอย่างมากมาย
แต่หลังออกมาได้ หรงซูกลับพบว่าตัวเขาได้กลายเป็นผู้เดียวดายไปเสียแล้ว
สมองที่เต็มไปด้วยแผนการ แต่กลับไม่สามารถเอาออกมาใช้ได้แม้แต่อย่างเดียว
จนในที่สุดหรงซูก็กลับมาหาศิษย์ของเขา ซ่งฉีหยาง เมื่อถามศิษย์หรงซูจึงได้รู้ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงที่เขาหายไป
หรงซูนั้นใจสั่นรัว เขาไม่เคยนคิดเคยฝันเลยว่าเย่หยวนที่เพิ่งจะบรรลุมาได้ไม่นานคนนั้นกลับจะสามารถมีความรู้ความสามารถด้านโอสถได้อย่างน่ากลัวเพียงนี้แล้ว!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น