Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1656-1660
ตอนที่ 1656 ความลำบากของอาณาจักรเต๋าบรรพกาล
“ถึงขั้นเชิญทายาทจักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้มาแบบนี้ ดูท่าของในครานี้มันจะดีจริง!” หวู่เฉินบอก
เย่หยวนนั้นจึงถามขึ้นมาด้วยความแปลกใจ “โอ้? จักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้คนนี้ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นเลย?”
หวู่เฉินตอบ “ยิ่งเสียกว่านั้นอีก! เจาสามารถอ่านดวงชะตาฟ้าดินได้ สามารถรู้ถึงความเป็นความตายของนักยุทธ แยกของจริงจากสิ่งลวงมากมายมหาศาล และเป็นจักรพรรดิเทพสวรรค์ที่น่าเกรงขามที่สุดคนหนึ่ง! จักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้มีพลังในการมองที่ไม่เป็นรองใคร! เห็นปราณเทวะนั้นไหม? นั้นคือสิ่งที่เรียกว่าปราณเทวะเฉียนจี้ มีแต่ตัวจักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้และลูกหลานเท่านั้นที่จะสามารถบ่มเพาะปราณแบบนั้นได้ มันคล้ายๆ กับความสามารถเฉพาะของสายเลือด”
เย่หยวนพูดขึ้นด้วยท่าทางตกใจ “มันยังมีปราณที่ลึกลับปานนั้นอยู่ด้วย?”
หวู่เฉินตอบ “หากจักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้บอกว่าใครจะได้เป็นจักรพรรดิเทพสวรรค์ คนๆ นั้นก็จะขึ้นสู่อาณาจักรจักรพรรดิเทพสวรรค์ได้จริงๆ หากเขาบอกว่าใครจะต้องตายลงก่อนไปถึง พวกเขาเหล่านั้นก็จะพบจุดจบอย่างเลี่ยงไม่ได้! ตราบเท่าที่มันเป็นเรื่องที่จักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้ทำนาย มันไม่เคยที่จะผิดพลาดมาก่อนเลย!”
เย่หยวนนั้นตื่นตระหนกอยู่ในใจ เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะยังมียอดคนที่สามารถมองความลับของสวรรค์ออกได้ขนาดนั้นอยู่!
แต่สิ่งที่เย่หยวนไม่รู้ก็คือไม่นานก่อนหน้านี้ เต๋าบรรพกาลเฉิงหมิ่งได้เข้าไปเยี่ยมเยือนจักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้ที่คฤหาสน์ของเขา
“เฉียนจี้ห้าร้อยปีก่อนเจ้าบอกว่าเขาแห่งถงเทียนเกิดความผิดปกติขึ้น ตอนนี้เจ้าคิดว่าอย่างไรบ้าง?”
จักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้หันไปมองเต๋าบรรพกาลเฉิงหมิ่งด้วยดวงตาที่เปี่ยมความนัยก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม “เฉิงหมิ่ง เจ้าเองก็ใช่ว่าจะไม่รู้กฎของข้า เรื่องราวเกี่ยวกับเขาแห่งถงเทียนนั้นข้าไม่คิดที่จะยุ่งเกี่ยวกับมัน!”
หากคนนอกมาได้ยินจักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้พูดกับเต๋าบรรพกาลเฉิงหมิ่งแบบนี้พวกเขาคงตกใจจนตาแถบถลนแน่ๆ
ยอดคนอาณาจักรเต๋าบรรพกาลนั้นคือตัวตนที่อยู่เหนือและห่างไกลจากโลก
ต่อให้เป็นจักรพรรดิเทพสวรรค์ เมื่อต้องมาอยู่ต่อหน้าพวกเขามันก็ไม่ต่างจากมดปลวกเลย
แต่จักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้คนนี้กลับไม่แสดงท่าทีเคารพใดๆ ต่อเต๋าบรรพกาลเฉิงหมิ่งเลยแม้แต่น้อย
เต๋าบรรพกาลเฉิงหมิ่งขมวดคิ้วแน่น “เรื่องนี้ ข้าย่อมรู้ดี ข้าแค่อยากถามเจ้าว่าเวลานั้นมันมาถึงหรือยังก็เท่านั้น!”
พูดจบเขาก็ทำหน้าตาเศร้าหมอง ราวกับว่าได้ผ่านเรื่องราวที่สั่นสะท้านแผ่นดินมา
สิ่งใดก็ตามที่ทำให้ยอดคนอาณาจักรเต๋าบรรพกาลแสดงท่าทางอ่อนแอออกมาได้ขนาดนี้มันต้องไม่ธรรมดา
เฉียนจี้ถอนหายใจยาว “เจ้าเองก็ผ่านยุคก่อนมาแล้ว เจ้าน่าจะพอรู้อยู่แล้วว่าต้องทำอย่างไร เรื่องแบบนี้มีความจำเป็นหรือที่ต้องยังมาถามข้า? ทุกคนนั้นต่างกล่าวว่าเต๋าบรรพกาลนั้นมีชีวิตนิรันดร์ แต่เรื่องนั้นมันก็เพราะว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ดูจุดจบของเต๋าบรรพกาลก็เท่านั้น ในโลกใบนี้หากจะมีสิ่งใดที่ยั่งยืนเป็นนิรันดร์มันก็คงมีแค่เขาแห่งถงเทียนเท่านั้นใช่ไหมล่ะ? หรือบางทีแม้แต่เขาแห่งถงเทียนก็อาจจะไม่ได้เป็นนิรันดร์อย่างแท้จริง! เรื่องแบบนี้ไม่มีใครรู้ได้หรอก”
เต๋าบรรพกาลเฉิงหมิ่งเปลี่ยนสีหน้าไปทันทีเพราะคำพูดของจักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้นั้นไปจี้ใจดำเขาเข้า
คนบนโลกนี้ต่างกล่าวว่าเต๋าบรรพกาลนั้นเหนือล้ำโลกไม่สนใจสิ่งใด แต่พวกเขาหาได้รู้ไม่เลยว่าอาณาจักรเต๋าบรรพกาลเองก็มีปัญหาของอาณาจักรเต๋าบรรพกาลเช่นกัน
“เช่นนั้น มันจะมารึ?” เต๋าบรรพกาลเฉิงหมิ่งถาม
จักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้ยิ้มตอบ “อ่า เฒ่าหมิ่ง เวลามันก็ผ่านไปตั้งนานนมแล้วเจ้าคิดถึงมันไม่เลิกอีกรึ? ความเป็นความตายมันล้วนถูกกำหนดโดยโชคชะตา หาใช่สิ่งที่เจ้าหรือข้าจะกำหนดมันได้”
ใบหน้าของเต๋าบรรพกาลเฉิงหมิ่งสั่นสะท้านขึ้นก่อนจะถอนหายใจยาว “พูดมันง่ายแต่ทำมันยาก!”
จักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้เหลือบมองดูอีกฝ่ายก่อนจะพูดขึ้นอีกครา “วันนั้น ข้าได้เห็นนิมิตยามค่ำคืน ที่ทิศใต้มีแสงฉีสีม่วงพุ่งทะยานขึ้นสู่ฟ้า เรื่องราวผิดปกติต้องเกิดขึ้นแน่ แต่นี่เป็นความลับของสวรรค์ข้าจึงไม่ได้รับรู้ถึงมัน”
ดวงตาของเต๋าบรรพกาลเฉิงหมิ่งเบิกกว้างก่อนร่างของเขาจะหายลับไป
“เฮาหยู!”
ไม่นานก็มีชายวัยกลางคนคนหนึ่งปรากฎตัวออกมาต่อหน้าเต๋าบรรพกาลเฉิงหมิ่ง
“เต๋าบรรพกาล!” จักรพรรดิเทพสวรรค์เฮาหยูตอบรับอย่างสุภาพ
จักรพรรดิเทพสวรรค์เฮาหยูนั้นรู้สึกกลัวอยู่ในใจเพราะการที่เต๋าบรรพกาลจะเรียกเขามาแบบนี้มันจะมีขึ้นแค่ในรอบล้านปี แล้ววันนี้มันจะมีเรื่องอะไรกันแน่?
เต๋าบรรพกาลเฉิงหมิ่งพยักหน้า “เจ้าจงรีบส่งคนออกไปทางใต้เพื่อค้นหาให้ละเอียด ดูมาว่าในรอบห้าร้อยปีนี้มีเหตุการณ์ประหลาดใดเกิดขึ้นบ้าง! ข้าต้องการรู้ถึงทุกอย่างที่เกิดขึ้น เข้าใจนะ?”
จักรพรรดิเทพสวรรค์เฮาหยูจึงรีบตอบกลับไป “ขอรับ ข้าน้อยน้อมรับ! ข้าน้อยจะรีบส่งคนออกไปเดี๋ยวนี้!”
…
“ที่ทุกท่านเห็นอยู่นี้คือของเรียกน้ำย่อยในการประมูลครั้งนี้ วรยุทธระดับห้า นามดาบเทพเทวาลับ! นี่เป็นวรยุทธที่สุดจะแข็งแกร่ง ผู้ใช้สามารถใช้มันช่วยในการบ่มเพาะไปได้จนถึงอาณาจักรนภาสวรรค์! แต่ละระดับการบ่มเพาะผู้ใช้ก็จะสามารถชนะทุกผู้คนในระดับเดียวกันได้! ราคาเริ่มต้นที่หมื่นล้าน! การเรียกแต่ละครึ่งต้องเคาะราคาอย่างน้อยห้าร้อยล้าน!”
ดูท่าแล้วเจียงเจิ้นเทาคงเคยชินกับการจัดงานประมูลแบบนี้มาก เพราะเขาสามารถทำให้สนามประมูลร้อนแรงขึ้นมาได้ตั้งแต่ของชิ้นแรกแบบนี้
วรยุทธระดับห้า นั้นมันเป็นสิ่งที่เกิดมาจากยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์เป็นอย่างน้อย มันจึงมีพลังที่ไม่ธรรมดาเลย
แถมทั้งเรื่องการช่วยในการบ่มเพาะและเจียงเจิ้นเทายังยกเรื่องการที่จะทำให้ชนะทุกผู้คนในระดับเดียวกันได้มาเป็นจุดขาย ทำให้ความต้องการของทุกผู้คนยิ่งสูงมากขึ้นกว่าเก่า
ไม่นานนักวรยุทธระดับห้า อันนี้ก็ถูกประมูลไปในราคาหนึ่งหมื่นหกพันห้าร้อยล้าน
แต่เย่หยวนไม่คิดจะสนใจแม้แต่น้อย ไม่ว่ามันจะเป็นวรยุทธที่แข็งแกร่งแค่ไหนมันก็ไม่มีทางดีไปกว่าของเหมาะกับตัวเขา
และแน่นอนว่าเพลงดาบเมฆาลับแลนั้นเหมาะกับตัวเขามากที่สุด!
เพลงดาบเมฆาลับแลนั้นคือเพลงดาบที่ใช้คู่กับบัญญัติเทพแห่งถงเทียน ไม่มีวรยุทธใดจะมาทดแทนมันได้
ชนะทุกผู้คนในระดับเดียวกันนั้นเป็นคำพูดที่เป็นได้แค่มุกตลกต่อเย่หยวน
เพราะพลังฝีมือของเขาในตอนนี้มันข้ามอาณาจักรไปแล้วเสียด้วยซ้ำ
ระดับเดียวกัน?
สำหรับเย่หยวนมันต้องชนะข้ามระดับเท่านั้น!
ลุงหวงคนนั้นพยายามจะพูดกล่อมนายน้อยจิงลู่ของเขาจนได้รู้ถึงความน่ากลัวของเมืองหลวงลาภสายน้ำ และได้เข้าใจว่ามันน่ากลัวแค่ไหน
จิงลู่นั้นถูกจัดให้มานั่งในเขตสวรรค์ ซึ่งที่นี่เองก็เป็นห้องส่วนตัวเช่นกัน เพียงแค่ว่ามันเป็นห้องส่วนตัวที่ไม่หรูหราเท่าเขตสูงสุด
“นายน้อย เป้าหมายของเราในครานี้คือศิลาวิญญาณสวรรค์ไร้สิ้นสุดนะ หากถึงเวลาประมูลมันแล้วเราไม่มีผลึกปราณเทวะพอเราจะทำอย่างไรเล่า?” ลุงหวงเตือน
จิงลู่นั้นยกมือขึ้นมาบอกปัดอย่างมั่นใจ “ไม่ต้องห่วงน่า วันนี้เราเตรียมผลึกปราณเทวะมาด้วยถึงหนึ่งแสนสองหมื่นล้าน มันพอที่จะชนะศิลาวิญญาณสวรรค์ไร้สิ้นสุดได้ง่ายๆ อยู่แล้ว ศิลาวิญญาณสวรรค์ไร้สิ้นสุดนั้นมีประโยชน์แค่กับอาณาจักรราชันพระเจ้า หมายความว่ามันจะไม่มีค่ามากมายกับอาณาจักรนภาสวรรค์ ราคาจึงไม่มีทางขึ้นไปสูงมากมายแน่ แถมเจ้าวรยุทธระดับห้าชิ้นนี้ หากเมืองจักรพรรดิทำนองสุริยะของเราได้มันไปก็จะเป็นเหมือนเสือติดปีก จะมีใครกล้าว่าอะไร?”
ลุงหวงที่เห็นท่าทางไม่แยแสของจิงลู่นั้นได้แต่ต้องยอมแพ้และถอนหายใจยาวออกมา
เขารู้ดีว่านายน้อยของเขาคนนี้มีอารมณ์ความคิดระดับไหน ขืนพูดต่อไปก็จะโดนโกรธใส่เปล่าๆ
ราคาหนึ่งหมื่นหกพันห้าร้อยล้านนั้นมันเกินกว่าคุณค่าของวรยุทธนี้ไปแล้ว ลุงหวงคนนี้จึงไม่คิดว่ามันคุ้มค่านัก
เพียงแค่เขาไม่กล้าที่จะพูดมันออกมาก็เท่านั้น
หลังจากนั้นการประมูลก็ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ และราคาขายส่วนมากล้วนแล้วแต่เกินกว่าสองหมื่นล้านทั้งสิ้น
ค่ำคืนนี้มันมีของดีขึ้นประมูลมากจริงๆ
แต่ของพวกนั้นไม่ได้เข้าตาเย่หยวนเลยแม้แต่น้อย เขาจึงไม่ได้สนใจมันมากมาย
“ข้าคิดว่าค่ำคืนนี้คงมีหลายๆ คนที่มาเพื่อจะประมูลสิ่งนี้กัน นี่คือศิลาวิญญาณสวรรค์ไร้สิ้นสุดที่เราเจอในสายแร่เก่า ไม่เพียงแค่มันจะชิ้นใหญ่เท่านั้น แต่มันยังบริสุทธิ์มากๆ เสียด้วย เฒ่าคนนี้รับรอบได้เลยว่ามันจะช่วยนักยุทธอาณาจักรราชันพระเจ้าเก้าดาวหรือนักยุทธอาณาจักรนภาสวรรค์ครึ่งก้าวให้เข้าใจวิธีสวรรค์ได้ ศิลาวิญญาณสวรรค์ไร้สิ้นสุดชิ้นนี้มีราคาเริ่มต้นที่สองหมื่นแปดพันล้านการเคาะเรียกราคาแต่ละครั้งต้องเคาะไม่ต่ำกว่าหนึ่งพันล้าน! เอาล่ะ เริ่มการประมูล!”
“สามหมื่นห้าพันล้าน!” เมื่อเจียงเจิ้นเทาพูดจบก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาทันที เพิ่มราคาไปถึงเจ็ดพันล้าน
ลุงหวงนั้นได้แต่นั่งหน้าเสียอยู่ข้างๆ เพราะนายน้อยจิงลู่คนนี้ช่างไร้ซึ่งความอดทนเสียจริงๆ
การประมูลนั้นมันคือสงครามเงินตรา พูดเสียงดังไปแล้วจะได้อะไร?
“สามหมื่นเจ็ดพันล้าน!”
“สี่หมื่นล้าน!”
“ห้าหมื่นล้าน!”
จิงลู่เคาะราคาเพิ่มไปถึงหมื่นล้านในคราเดียว จึงทำให้ผู้คนเงียบลงทันที
ตอนที่ 1657 สะท้อน
ในการเคาะราคาแค่ไม่กี่ครั้งศิลาวิญญาณสวรรค์ไร้สิ้นสุดนั้นกลับมีราคาพุ่งสูงไปเกือบเท่าตัวแล้ว
ท่าทางแบบนั้นมันทำให้ผู้คนหลายต่อหลายคนปิดปากเงียบลงทันที
แต่ทว่ามันยังไม่จบแค่นั้น
ด้วยสนามประลองเงินตราที่เต็มไปด้วยพวกเจ้าเล่ห์มากกลแบบนี้ มีหรือที่พวกเขาจะปล่อยให้เด็กน้อยคนนี้ได้ของไปง่ายๆ ?
จู่ๆ นักยุทธอาณาจักรราชันพระเจ้าคนหนึ่งก็พูดขึ้นมา “ห้าหมื่นหนึ่งพันล้าน!”
นั่นทำให้จิงลู่หน้าเสียทันที เมื่อสักครู่ตอนที่ทุกคนต้องเงียบไปเมื่อได้ยินนั้นมันทำให้ตัวจิงลู่พึงพอใจอย่างมาก
เขาไม่คาดคิดเลยว่าแค่เสี้ยววินาทีต่อมาจะมีคนเคาะเพิ่มราคาอีก
เขาจึงกัดฟันแน่น “ไม่อยากจะเชื่อ! ห้าหมื่นสองพันล้าน!”
คนๆ นั้นจึงตอบกลับมา “ห้าหมื่นสามพันล้าน!”
จิงลู่นั้นโกรธจนหน้าแดงหน้าดำและตะโกนขึ้น “หกหมื่นล้าน!”
คราวนี้แม้แต่นักยุทธคนนั้นเองก็ไม่คิดที่จะเคาะราคาเพิ่มแล้ว เขากล่าวขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่อยากได้แล้ว เจ้าเอาไปเถอะ!”
เมื่อจิงลู่ได้ยินเขาก็เผยรอยยิ้มออกมา “เจ้าคิดว่าตัวเองมีปัญญาพอจะสู้กับนายน้อยคนนี้หรือ?”
เสียงของจิงลู่นั้นดังเต็มปลอดจนคนได้ยินกันทั่ว
สำหรับคนที่พอรู้เรื่องรู้ราวบ้างก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างมีนัย
เพราะชายคนนั้นแค่ใช้เทคนิคนิดหน่อยแต่กลับเรียกราคาเพิ่มได้ถึงหนึ่งหมื่นล้าน
ลุงหวงที่อยู่ข้างๆ แทบไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองผู้คน แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะพูดอะไรขึ้นตักเตือนด้วย จึงมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างสุดบรรยาย
เจียงเจิ้นเทายิ้มออกมาก่อนจะถามขึ้น “หกหมื่นล้าน มีใครให้มากกว่าหกหมื่นล้านไหม? หากไม่มีศิลาวิญญาณสวรรค์ไร้สิ้นสุดชิ้นนี้จะตกเป็นของแขกจากห้องสวรรค์หมายเลข 5 ไป!”
ทุกคนเงียบลงทันที เพราะตอนน้ำพวกเขาต่างรู้ดีว่าศิลาวิญญาณสวรรค์ไร้สิ้นสุดนั้นมันมีราคาที่สูงเกินกว่าคุณค่าของมันไปมากแล้ว
เป็นตอนนั้นเองที่เสียงหนึ่งดังขึ้น “หนึ่งแสนล้าน!” คำพูดนั้นมันทำให้ทุกคนต้องขนลุกชัน
ในหมู่ผู้เข้าร่วมงานมีคนกระซิบขึ้น “แสนล้าน! มีคนกล้าที่จะจ่ายถึงแสนล้านเพื่อศิลาวิญญาณสวรรค์ไร้สิ้นสุดแค่ชิ้นเดียวเนี่ยนะ? มันจะไม่โง่ไปหน่อยรึ?”
และผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งที่นั่งอยู่ไม่ไกลก็พูดขึ้น “หึหึ น่าสนใจ! นี่มันมิใช่คนโง่ แต่เป็นผู้เชี่ยวชาญต่างหาก!”
“หา? หมายความว่ายังไง?”
“ก็เห็นชัดๆ อยู่ว่าศิลาวิญญาณสวรรค์ไร้สิ้นสุดชิ้นนี้ แขกจากห้องสวรรค์หมายเลขห้ากับห้องสูงสุดหมายเลขสี่ต้องการมันอย่างเด็ดขาดโดยไม่คิดจะปล่อยให้มันตกไปอยู่ในมือใคร แต่แขกจากห้องสูงสุดหมายเลขสี่นั้นไม่เคยทำการเคาะราคาเลยแม้แต่ครั้งเดียว เขารอดูก่อนว่าคู่แข่งของเขามีอะไรมากแค่ไหน! ตอนนี้เมื่อเขาได้เห็นว่าคู่แข่งเหลือแค่แขกจากห้องสวรรค์หมายเลขห้าแล้วเขาจึงเคาะราคาขึ้นไปหนึ่งแสนล้าน และราคานั้นมันก็คงเป็นขีดจำกัดของแขกจากห้องสวรรค์หมายเลขห้าแล้ว เท่านี้เขาก็จะสามารถประหยัดผลึกปราณเทวะไปได้ไม่น้อย เพราะว่าแขกจากห้องสวรรค์หมายเลข 5 มันเปิดเผยตัวเองมากเกินไป!”
คนที่พูดขึ้นทีแรกจึงกล่าวขึ้นอย่างตกตะลึง “มันมีแผนการแบบนี้ด้วย?”
“แน่นอนสิ! บางครั้งบางทีเราก็จะได้เจอเรื่องอะไรแบบนี้ในการประมูล คนบางคนนั้นมีของที่หมายตาไว้ และไม่ว่าจะต้องทำยังไงจ่ายแค่ไหนพวกเขาก็จะต้องชนะให้ได้ นั่นทำให้แผนการเคาะราคาแบบนี้มีความสำคัญมาก เจ้าดูสิ ตอนนี้แขกจากห้องสวรรค์หมายเลขห้ายังดูท่าจะอยากเคาะราคาเพิ่มแต่ดูท่าเขาคงไม่สามารถเพิ่มราคาได้อีกมากมายแล้ว!”
เมื่อจิงลู่ได้ยินราคานั้นเขาก็หน้าเสียจนเกินจะเยียวยา
วันนี้เขาได้นำเงินออกมาด้วยถึงหนึ่งแสนสองหมื่นล้าน แต่ตอนนี้เขามีเหลืออยู่แค่หนึ่งหมื่นสามพันห้าร้อยล้าน
เย่หยวนเสนอราคาที่ถึงขีดจำกัดของเขาออกมา เขาไม่สามารถจะเพิ่มราคาไปได้มากมายกว่านี้แล้ว
จิงลู่กัดฟันแน่นก่อนจะตะโกนออกมา “หนึ่งหมื่นสามพันห้าร้อยล้าน!”
วินาทีต่อมาเย่หยวนก็เปิดปากพูดอีกครั้ง “หนึ่งหมื่นห้าพันล้าน!”
ปัง!
จิงลู่ยกมือขึ้นตบโต๊ะน้ำชาที่ด้านหน้าอย่างโกรธเกรี้ยว “ให้ตายสิ! ไอ้เจ้าหมอนี่มันบ้าไปแล้วรึยังไงกัน? ถึงกลับกล้าที่จะจ่ายเงินกว่าแสนล้านเพื่อศิลาวิญญาณสวรรค์ไร้สิ้นสุดชิ้นเดียว!”
ลุงหวงถอนหายใจยาว “นายน้อย ช่างมันเถอะ ชายคนนั้นคงไม่ต่างจากเรา เขาคิดที่จะนำศิลาวิญญาณสวรรค์ไร้สิ้นสุดมาไว้ในมือให้ได้”
แม้แต่เจียงเจิ้นเทาเองก็ไม่คิดว่าศิลาวิญญาณสวรรค์ไร้สิ้นสุดมันจะสามารถมีราคาที่สูงได้ถึงขนาดนี้มาก่อน
“ศิลาวิญญาณสวรรค์ไร้สิ้นสุดชิ้นนี้ตกเป็นของแขกจากห้องสูงสุดหมายเลขสี่!” เจียงเจิ้นเทาประกาศ
เขานั้นสงสัยมากกว่าใครกันที่อยู่ในห้องสูงสุดหมายเลขสี่นั้นที่กล้าเล่นลูกไม้แบบนี้ออกมา
ตอนที่จิงลู่เคาะราคาหกหมื่นล้านนั้นตัวเขาเองก็คาดเดาว่าจิงลู่คงมีเงินอยู่ไม่เกินแสนล้าน
แต่เขานั้นเป็นผู้ที่อยู่ในวงการประมูลมานานจนนับไม่ได้ ประสบการณ์ของเขานั้นมีมากมายมหาศาล เขาจึงสามารถที่จะคาดเดาเรื่องแบบนี้ได้
แต่แขกจากห้องสูงสุดหมายเลขสี่นั้นกลับสามารถคาดการณ์ออกมาได้เช่นเดียวกัน ดูท่าคงเชี่ยวชาญไม่น้อย
เจียงเจิ้นเทาคิดอยู่ในใจว่าแขกในห้องสูงสุดหมายเลขสี่นี้ช่างน่าสนใจ หลังจบงานคงต้องไปเปิดหูเปิดตาหน่อย
ของชิ้นต่อๆ ไปที่ขึ้นประมูลนั้นเย่หยวนไม่คิดจะสนใจมันอีกต่อไป
แม้ราคาของศิลาวิญญาณสวรรค์ไร้สิ้นสุดมันจะพุ่งขึ้นสูงกว่าที่เขาคาดไว้มากแต่เย่หยวนก็ไม่ได้คิดจะเก็บมันมาใส่ใจแม้แต่น้อย
ตราบเท่าที่มันจะช่วยรักษาชีวิตของมู่หลินเสวียไว้ได้ อย่าว่าแต่แสนล้าน ต่อให้เป็นราคาล้านล้านเขาก็ยอมที่จะจ่าย
วันนี้มีผู้คนมากมายที่มาจากค่ายสำนักระดับอาณาจักรนภาสวรรค์
ของชิ้นหลังๆ ที่ขึ้นประมูลนั้นล้วนแล้วแต่เป็นของสำหรับยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์ มันจึงมีการแข่งขันที่สูงลิ่ว
ของพวกนั้นมันเป็นสิ่งที่อยู่เกินเอื้อมเย่หยวน และที่สำคัญคือเขาไม่ได้ขาดแคลนมันด้วย
ตราบเท่าที่เขาบรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้าและเปิดโถงบัลลังก์ม่วงขั้นสองได้ เขาก็จะได้ยอดสมบัติล้ำค่ามาไว้ในมืออีกมากมาย
หลังจบการประมูล เย่หยวนก็กลับออกไปเพื่อจ่ายผลึกปราณเทวะ แต่เขาไม่นึกเลยว่าเจียงเจิ้นเทาผู้นั้นกลับมารอเขาที่ส่วนจ่ายเงินอยู่ก่อนแล้ว
เมื่อเจียงเจิ้นเทาเห็นเย่หยวนเขาก็ต้องหรี่ตาลงทันที
เขาไม่คิดเลยว่านักประมูลที่ชำนาญขนาดนั้นจะกลายเป็นแค่เด็กหนุ่มคนหนึ่ง
“ผู้อาวุโสเจียง!” เย่หยวนยกมือขึ้นคารวะเจียงเจิ้นเทาทันที
เพราเย่หยวนเองก็สนใจในจักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้คนนั้นไม่เบา
เขาอยากจะรู้ว่ามันเป็นแนวคิดศักดิ์สิทธิ์แบบไหนที่ทำให้คนสามารถมีปราณเทวะอันลึกลับแบบนั้นได้
เจียงเจิ้นเทายิ้มตอบ “อืมๆ วีรบุรุษย่อมเจิดจ้าแต่หนุ่ม! ข้าไม่คิดเลยว่าแขกจากห้องสูงสุดหมายเลขสี่นั้นจะเป็นคนหนุ่มขนาดนี้!”
จังหวะนั้นหลี่ซิงเองก็ปรากฏตัวขึ้นมาเช่นกัน “หึหึ ผู้อาวุโสเจียงนั้นยังไม่รู้อะไร เถ้าแก่เย่คนนี้หาใช่คนหนุ่มธรรมดาไม่!”
เจียงเจิ้นเทาตกใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินก่อนจะหันไปถามหลี่ซิง “โอ้? แล้วเขาไม่ธรรมดายังไงกัน?”
หลี๋ซิงยิ้มกว้างก่อนจะเล่าเรื่องราวที่เย่หยวนทำไว้ขึ้นมา
ในใจของเจียงเจิ้นเทานั้นตื่นตระหนกอย่างมาก เขาพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่อยากขะเชื่อสักเท่าไหร่ “ผู้นำหลี่ ท่านพูดเล่นเรื่องแบบนี้ไม่ได้นา! เฒ่าคนนี้อยู่ดูโลกมานานแสนนานมีความรู้และประสบการณ์มากมายแต่ก็ยังเคยเจอโอสถศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะโมฆะมาแค่ไม่กี่ครั้ง”
หลี่ซิงยิ้มตอบ “เรื่องนี้คนเมืองหลวงลาภสายน้ำต่างรู้กันดี ที่สำคัญมีหรือที่หลี่คนนี้จะกล้าพูดจาไร้สาระต่อหน้าผู้อาวุโสเจียง?”
เพราะพวกเขาคือทายาทลูกหลานจักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้ ตระกูลของพวกเขานั้นแสนจะยิ่งใหญ่กระจัดกระจายกันไปทั่วมหาพิภพถงเทียน และเจียงเจิ้นเทาคนนี้ก็เป็นเพียงแค่ลูกหลานสายเลือดห่างของจักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้เท่านั้น
แต่ถึงจะเป็นแค่นั้นมันก็มากพอจะทำให้ไม่มีใครกล้าดูถูกเจียงเจิ้นเทาแล้ว
เพราะไม่มีใครกล้าที่จะดูถูกพลังแห่งตระกูลเจียง
เจียงเจิ้นเทานั้นตื่นตระหนกในหัวใจก่อนจะเดินปราณเทวะขึ้นมาไว้ที่ดวงตาอย่างไม่ทันรู้ตัวและจ้องมองไปยังเย่หยวน
“อ้ากก!!”
เจียงเจิ้นเทาตะโกนออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยใดๆ ก่อนจะยกมือขึ้นมาปิดดวงตาทั้งสองของตัวเองไว้
หลี่ซิงหน้าซีดลงทันทีที่ได้เห็นก่อนจะรีบเข้าไปถามเรื่องราว “ผู้อาวุโสเจียง นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับท่านกัน?”
เจียงเจิ้นเทานั้นยกมือขึ้นมาปิดตาทั้งสองไว้อย่างสั่นเทา ทำให้ผู้คนรอบๆ ต้องตื่นตะลึงไปตามๆ กัน
สิ่งเดียวที่พวกเขาเห็นคือดวงตาที่ปิดแน่นนั้นมีน้ำตาเลือดสีแดงสดไหลลงมาเป็นทาง มันเป็นภาพที่น่าสยดสยองไม่น้อย
เย่หยวนเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้นจึงเข้าไปถามอย่างกังวล “ผู้อาวุโสเจียง ท่านเป็นอะไรมากหรือไม่?”
เจียงเจิ้นเทาค่อยๆ ส่ายหัวออกมา “เฒ่าคนนี้ช่างโง่เขลา คงโดนเพื่อนตัวน้อยเย่หยวนหัวเราะเยาะแล้ว”
ตอนที่ 1658 วงแสงวิญญาณ
คลื่นยักษ์ใหญ่กำลังไหลซัดในใจของเจียงเจิ้นเทา!
วรยุทธวิญญาณลับโกลาหลของเขานั้นบ่มเพาะไปจนถึงระดับยอดสี่ศาสตร์แห่งการดูรัศมีของเขาเอาก็ถึงขั้นสุดของระดับสี่เช่นกัน แต่ทว่าเขากลับต้องรับแรงสะท้อนกลับมากมายขนาดนี้ด้วยการจ้องมองแคบครั้งเดียว
อนาคตโชคชะตาของเด็กคนนี้มันช่างยิ่งใหญ่และเจิดจ้านัก!
“ผู้อาวุโสเจียง ท่านใช้… ใช้ศาสตร์การดูรัศมีกับเย่หยวนงั้นรึ?” หลี่ซิงดูท่าจะเข้าใจได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นจึงอดไม่ได้ที่จะถามออกมา
เจียงเจิ้นเทารู้ดีว่าตัวเองคงซ่อนเรื่องนั้นไว้ไม่ได้แล้วจึงตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มขื่นขม “เมื่อได้ยินเรื่องที่ท่านว่ามาเมื่อสักครู่ เฒ่าคนนี้ก็เกิดสงสัยขึ้นมาในใจจึงได้ใช้ศาสตร์แห่งการดูรัศมีออกไป ไม่นึกเลยว่า… เฒ่าคนนี้จะยังอ่อนหัดและถูกผลของมันสะท้อนกลับมา!”
หลี่ซิงกล่าวขึ้นอย่างตระหนก “ผู้อาวุโสเจียงคงล้อเล่นแล้ว! ในเขตแดนของสามเมืองจักรพรรดินี้มีใครบ้างเล่าไม่รู้ว่าศาสตร์การดูรัศมีของท่านนั้นยิ่งใหญ่เพียงใด จะเป็นไปได้อย่างไรที่ท่านจะยังอ่อนหัด?”
ตอนนั้นก็มีชายอีกสองคนก็เดินเข้ามา หนึ่งคือเจ้าเมืองไช่หรง และเจ้าคฤหาสน์สายรุ้งโลหิต หวังจ้าว
เมื่อพวกเขาได้เห็นว่าดวงตาของเจียงเจิ้นเทามีเลือดไหลลงมาเป็นสายแบบนั้นพวกเขาก็หน้าซีดลงอย่างเห็นได้ชัด “ผู้อาวุโสเจียง เกิดอะไรขึ้นกับท่านกัน?”
หลี่ซิงจึงเล่าเรื่องราวคร่าวๆ ให้ทั้งสองฟังก่อนที่พวกเขาจะหันมามองเย่หยวนด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง
ดูท่าแล้วพวกเขาจะคาดเดาไม่ผิดจริงๆ
“ผู้อาวุโสเจียง ข้าขอถามได้หรือไม่ว่าเถ้าแก่เย่หยวนมีสีชะตาใด?” ไช่หรงถาม
เรื่องศาสตร์การดูรัศมีของจักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้นั้นมิใช่เรื่องที่เป็นความลับใดๆ พวกเขารู้กันว่าสีชะตาผู้คนนั้นจะแบ่งออกได้เป็นเจ็ดสี เมื่อมองดูแล้วพวกเขาจะแยกออกมาได้
โดยมีสีแดงอยู่ระดับต่ำสุด และสีม่วงอยู่ระดับสูงสุด!
ปกติแล้วหากใครก็ตามที่มีชะตารัศมีสีม่วง หากพวกเขาไม่พลาดพลั้งไปก่อนพวกเขาก็จะบรรลุถึงอาณาจักรเทพถ่องแท้ได้อย่างแน่นอน
ยอดฝีมือที่ทิ้งประตูกดสวรรค์โบราณไว้เองก็เป็นคนหนึ่งที่เคยได้รับการดูจากตระกูลเจียงและเขานั้นมีชะตารัศมีสีม่วงที่ส่องสว่างที่สุด
เจียงเจิ้นเทายิ้มออกมา “เฒ่าคนนี้ไม่เห็นอะไรเลย! แต่การที่เฒ่าคนนี้โดนสะท้อนกลับมาแบบนี้มันก็หมายความว่าเพื่อนตัวน้อยเย่หยวนคนนี้มีรัศมีจักรพรรดิแน่นอน!”
เพราะเขาแค่เหลือบมองมันก็แทบทำเขาตาบอดแล้ว!
“รัศมีจักรพรรดิ!” ยอดฝีมือทั้งสามร้องลั่น
รัศมีจักรพรรดินั้นเป็นสิ่งที่พวกเขาเองก็เคยได้ยินมาก่อน แต่สำหรับเมืองหลวงบ้านนอกอย่างเมืองหลวงลาภสายน้ำนั้น มันไม่มีทางเลยที่จะมีรัศมีระดับนั้นปรากฏตัวขึ้นได้
เพราะเหล่าผู้คนที่มีรัศมีจักรพรรดินั้นล้วนแต่มีพรสวรรค์ที่สะท้านฟ้าดิน พวกเขาจะสามารถก้าวขึ้นถึงอาณาจักรเทพสวรรค์ได้เลย!
การเป็นเทพสวรรค์มันก็หมายความว่าพวกเขาเป็นยอดฝีมือบนจุดสุดยอดของโลกแล้ว เป็นตัวตนที่พวกเขาทั้งหลายได้แต่เงยหน้ามอง เป็นตัวตนที่พวกเขาไม่มีทางขึ้นไปเทียบเคียงได้ตลอดชีวิต!
หรือว่าชายหนุ่มคนนี้จะสามารถขึ้นไปถึงอาณาจักรเทพสวรรค์ได้จริงๆ ในวันข้างหน้า?
หวู่เฉินเคยบอกเรื่องพวกนี้กับเย่หยวนไว้แล้ว เย่หยวนจึงพอเข้าใจความหมายของรัศมีจักรพรรดิอยู่บ้าง
แต่เขาไม่คิดจะสนใจ เพราะสิ่งที่เขาสนใจในตอนนี้คือวรยุทธบ่มเพาะที่เจียงเจิ้นเทาใช้ต่างหาก
เย่หยวนยกมือขึ้นมาคำนับก่อนจะกล่าว “ผู้อาวุโสเจียง เย่หยวนผู้นี้มีเรื่องอยากขอร้องท่าน”
ตอนนี้สายตาของทุกผู้คนที่ใช้มองเย่หยวนมันได้เปลี่ยนไปอีกครั้ง
อนาคตเทพสวรรค์ เขามีค่าให้เอาใจมากแค่ไหน?
เจียงเจิ้นเทาพยักหน้ารับ “ว่ามาสิ”
เย่หยวนบอก “ผู้อาวุโสเจียง ท่านช่วยแสดงปราณเทวะของท่านให้ข้าชมอีกสักครั้งได้หรือไม่? ข้าอย่างจะลองเห็นมันตรงๆ ดูสักครั้ง”
เจียงเจิ้นเทานั้นตกใจเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้คิดจะปฏิเสธใดๆ เขาจึงใช้วรยุทธวิญญาณลับโกลาหลและปล่อยปราณเทวะของตนเองออกมา
หลังมองดูปราณที่เจียงเจิ้นเทาปล่อยออกมาอย่างถี่ถ้วนแล้วเย่หยวนก็ต้องตัวสั่นไปทั้งร่าง
ปราณเทวะนี้มันช่างลึกลับเสียจริงๆ ที่สำคัญกว่าคือเย่หยวนกลับสัมผัสได้ถึงปราณเทวะโกลาหลจากปราณเทวะของเจียงเจิ้นเทา
เรื่องนี้มันทำให้เขาประหลาดใจมาก!
นักยุทธทุกคนล้วนแล้วแต่มีปราณเทวะที่แตกต่างกันไปตามวรยุทธบ่มเพาะที่พวกเขาฝึกฝน
บ้างมีปราณเทวะที่เหมาะต่อการฝึกวิชาดาบ บ้างมีปราณเทวะที่เหมาะต่อการฝึกวิชาไฟ แต่คนที่จะมีวรยุทธบ่มเพาะแฝงปราณเทวะโกลาหลนั้นมีเพียงแค่หยิบมือ!
“โลกนี้ช่างกว้างใหญ่ ดูเหมือนว่าข้าจะดูถูกเหล่าวีรบุรุษมากจนเกินไป! เจียงเจิ้นเทาคนนี้มีพลังเพียงอาณาจักรราชันพระเจ้าเก้าดาวแต่กลับแข็งแกร่งได้ปานนี้ ข้านึกไม่ออกเลยว่าจักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้จะแข็งแกร่งถึงขนาดไหน!” เย่หยวนพูดขึ้นในใจ
หวู่เฉินจึงพูดขึ้น “จักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้นั้นชีวิตมานานหลายต่อหลายหมื่นปี เขาเป็นหนึ่งในอาณาจักรจักรพรรดิเทพสวรรค์ที่มีชีวิตยืนยาวที่สุด! ว่ากันว่าเคยมีครั้งหนึ่งที่เขาต่อสู้เพื่อตำแหน่งเต๋าบรรพกาลแต่พ่ายแพ้ลงด้วย ตัวตนระดับนั้นมันไม่มีทางจัดลงมาอยู่ระดับเดียวกับผู้คนทั่วๆ ไปได้เลย คนเหล่านั้นคือยอดฝีมือที่ก้าวเข้าสู่ยอดเต๋า การบ่มเพาะปราณเทวะโกลาหลสำหรับพวกเขามันคงไม่ใช่เรื่องแปลกเลย”
เย่หยวนจึงตอบ “ดูท่าวิถีของข้าจะไม่ผิดจริงๆ ขนาดยอดคนอย่างจักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้คนนั้นก็ยังใช้ปราณเทวะโกลาหล! จะต่างกันก็ตรงที่พวกเขามีปราณเทวะโกลาหลที่บริสุทธิ์กว่าข้ามากนัก”
เมื่อได้เห็นปราณเทวะของเจียงเจิ้นเทา เย่หยวนก็ยิ่งรู้สึกมั่นใจในเส้นทางของตัวเองมากขึ้น
ตอนนี้สิ่งที่เขาต้องทำคือการหาทางไปต่อที่ถูกต้องเท่านั้น!
“ขอบพระคุณอย่างสูงผู้อาวุสเจียง! วรยุทธวิญญาณลับโกลาหลนี้มันช่างลึกลับและเข้าใจได้ยาก เย่หยวนชื่นชมมันนัก” เย่หยวนตอบออกมาอย่างจริงใจ
“หึหึ นี่มันคือสมบัติที่เราได้รับสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ เราแค่นำมันส่วนหนึ่งมาเรียนรู้ก็เท่านั้น ไม่มีอะไรให้น่าชื่นชมหรอก หากเพื่อนตัวน้อยเย่หยวนว่างก็ลองมาเที่ยวที่เมืองจักรพรรดิเลิศประกายได้นะ” เจียงเจิ้นเทาชวน
เย่หยวนพยักหน้า “ได้เลย ข้าจะต้องไปเยือนที่นั่นให้ได้สักวัน!”
…
ที่มุมถนนหนึ่ง จิงลู่กัดฟันแน่นด้วยความโกรธเกรี้ยว “ลุงหวง เด็กคนนั้นมันยังไม่ออกมาอีก มันต้องซื้ออะไรไปแน่ๆ ในเขตสูงสุด คนที่จะซื้อศิลาวิญญาณสวรรค์ไร้สิ้นสุดคงมีแค่มัน!”
หลังจบงานประมูลจิงลู่ก็กลับออกมาอย่างไม่เต็มใจนัก
เขาสงสัยว่าคนที่ประมูลแย่งของไปจากเขาคือเย่หยวน เขาจึงดักรอดูอยู่ที่ด้านหน้างาน
ลุงหวงคนนั้นก็พยักหน้าเห็นด้วย “เป็นไปได้! ข้าเองก็ได้ลองไปถามๆ มาบ้าง ดูเหมือนว่าก่อนหน้านี้เด็กคนนั้นมันจะกำลังหาศิลาอายุวิญญาณสวรรค์ยืนยาว เรื่องที่เขาจะประมูลแย่งศิลาวิญญาณสวรรค์ไร้สิ้นสุดกับนายน้อยก็มีความเป็นไปได้สูง”
จิงลู่พูดออกมาอย่างเย็นชา “ไม่มีทาง ข้าไม่ยอมรับ! ลุงหวง ข้าจะสังหารมันให้ได้! ก่อนอื่นก็เพื่อล้างแค้นที่มันทำไว้! อีกอย่างก็คือเพื่อแย่งชิงศิลาวิญญาณสวรรค์ไร้สิ้นสุดมาจากมัน หากครั้งนี้เราพลาดไปอีกท่านพ่อคงต้องรออีกนานแสนนานกว่าจะได้มีโอกาสบรรลุสู่อาณาจักรนภาสวรรค์!”
ลุงหวงนั้นขมวดคิ้วแน่น “นายน้อย เรื่องนั้นอาจจะใช่ แต่ดูท่าทางที่สามขั้วอำนาจมีต่อเด็กคนนั้นแล้วเราคงลงมือไม่ได้ง่ายๆ แน่!”
“ข้าเองก็ไม่ได้บอกเสียหน่อยว่าจะลอบสังหารมันในเมือง เมื่อประตูกดสวรรค์โบราณเปิดออก มันจะต้องออกจากเมืองหลวงลาภสายน้ำแห่งนี้แน่ ถึงตอนนั้น…”
จิงลู่มีใบหน้าที่แสนชั่วช้าระหว่างที่พูดเรื่องพวกนั้นออกมา
ลุงหวงคิดอยู่นิดหน่อยก่อนจะพยักหน้า “นายน้อยพูดมาก็มีเหตุผล! แค่ว่า… เด็กคนนั้นคงมีเบื้องหลังที่ไม่เล็ก หากอยากสังหารมันเราต้องเตรียมตัวกันให้ดี!”
จิงลู่พยักหน้า “อืม ท่านลองไปถามขอความช่วยเหลือจากท่านพ่อหน่อย บอกให้ท่านพ่อส่งยอดฝีมือมา! หึหึ แค่เด็กอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าคนเดียวกลับกล้ามาท้าทายนายน้อยคนนี้ นายน้อยคนนี้จะทำให้เจ้าได้รับรู้ถึงความสิ้นหวังเอง!”
“ขอรับ นายน้อย!” ลุงหวงตอบรับ
…
ในวันนี้ ที่ด้านเหนือของเมืองได้เกิดแสงส่องสว่างลงมาจากฟากฟ้า
แสงนับร้อยลำกำลังส่องลงมาจากท้องฟ้า ราวกับว่าเป็นแสงสปอตไลท์ที่ส่องลงมายังพื้นโลก
“วงแสงวิญญาณ! นี่มันวงแสงวิญญาณ! ประตูกดสวรรค์โบราณเปิดออกแล้ว!”
ปรากฏการณ์นี้มันทำให้นักยุทธในเมืองตื่นตัวขึ้นมาทันที
ในวินาทีต่อมาพวกเขาทั้งหลายก็รีบวิ่งมุ่งหน้าออกไปด้วยความเร็วที่สุดแสนจะบ้าคลั่ง
ที่รกร้างทางตอนเหนือของเมือง มีประตูหินยักษ์ตั้งตระหง่านอยู่
ที่หน้าประตูนั้นมีวงแสงปรากฏขึ้นรอบ พร้อมด้วยภาพที่นักยุทธหลายต่อหลายคนต่างต่อสกันเพื่อแย่งชิงพื้นที่ในวงแสงนั้น
ตอนที่ 1659 การต่อสู้เพื่อวงแสงวิญญาณ
“ตราบเท่าที่สามารถอยู่ในวงแสงได้ถึงร้อยอึดใจ คนผู้นั้นก็จะได้รับการยอมรับให้เข้าประตูกดสวรรค์โบราณเพื่อเข้าไปค้นหาสมบัติมาได้!”
“พวกเจ้าไปให้พ้น! ใครขวางข้าต้องตาย!”
“วงแสงนี่เป็นของข้า! ตาย!”
…
เวลานี้สายตาอันดุเดือดนับไม่ถ้วนกำลังจ้องมองที่ยังประตูกดสวรรค์โบราณ พวกเขาทั้งหลายทุกคนต่างคาดหวังว่าตัวเองจะสามารถเข้าไปด้านในได้
แต่ทว่าที่นั่งที่จะเข้าไปด้านในนั้นมันมีเพียงแค่ไม่กี่ร้อยที่นั่งเท่านั้น การแข่งขันจึงสูงมาก
บนอากาศนั้นมีปราณเทวะรุนแรงล้ำสาดส่องออกมาอย่างไม่มีการหยุดหย่อน
แนวคิดอันรุนแรงมากมายปกคลุมท้องฟ้าจนทำให้นักยุทธหลายต่อหลายคนต้องร่วงลงมา
ภาพตรงหน้านี้มันคือโศกนาฏกรรม!
แต่ทว่ายอดฝีมือที่แท้จริงนั้นยังไม่ได้ขยับเคลื่อนไหว เหล่าผู้คนที่นำมาก่อนเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นได้แค่ขยะ
“นายใหญ่ พวกนี้มันบ้ากันเสียจริงๆ บ้าจนน่ากลัวเลย!” หนิงเทียนปิงพูดขึ้น
เย่หยวนยิ้มตอบกลับไปเมื่อได้ยินเช่นนั้น “โอกาสแบบนี้มันมากพอที่จะเปลี่ยนชีวิตนักยุทธระดับต่ำไปได้ตลอดกาล แน่นอนว่าพวกเขาคิดที่จะรับมันมาให้ได้ไม่ว่าต้องแลกด้วยอะไร”
หนิงเทียนปิงพูดขึ้นต่อ “โชคยังดีที่ประตูกดสวรรค์โบราณแห่งนี้มันมีกำหนดอายุขัย ไม่เช่นนั้นเราเองก็คงทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน”
ประตูกดสวรรค์โบราณนั่นดูเหมือนว่ามันกำลังจะหาผู้สืบทอด จึงได้กำหนดอายุผู้เข้าไปได้ว่าต้องต่ำกว่าห้าพันปี
เหล่าผู้อายุเกินห้าพันปีนั้นต่อให้จะสามารถครองวงแหวนไว้ได้ แต่ก็จะไม่ได้รับสิทธิในการเข้าไปด้านในประตูกดสวรรค์โบราณ
ด้วยพลังของหนิงเทียนปิงในตอนนี้ที่เรียกได้ว่าเป็นยอดคนไร้ที่เปรียบในช่วงอายุต่ำกว่าห้าพันปี มันจึงไม่ยากเย็นเลยหากเขาอยากจะแย่งวงแสงมาสักวง
แต่หากไม่มีการจำกัดอายุขัยนี้และเหล่ายอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้าชั้นกลางลงสนามมาด้วยมันก็คงไม่มีใครจะต้านทานได้แล้ว
เย่หยวนยิ้ม “ได้เวลาแล้ว ไปกัน!”
หนิงเทียนปิงยิ้มออกมาน้อยๆ ก่อนจะพุ่งร่างออกไปทันที
เย่หยวนนั้นก็ตามเขามาติดๆ อย่างที่ไม่ได้ช้าไปกว่าหนิงเทียนปิงเลย
“พวกเจ้าดูสิ มีนักยุทธบรรพชนพระเจ้าที่คิดจะเข้ามาครองวงแสงด้วย นี่มันมารนหาที่ตายรึ?”
“ฮ่าฮ่าฮ่า จริงๆ เลย พอป่าเปิดแล้วมันก็มีนกน้อยแมลงเข้ามาเรื่อย”
“หืม? เดี๋ยวนะ! ทำไมนักยุทธบรรพชนพระเจ้าถึงบินได้กัน?”
“จริงด้วย! เข้าใจล่ะ มันต้องเข้าใจแนวคิดแห่งห้วงมิติแน่ๆ พระเจ้า ช่างเป็นสัตว์ประหลาดโดยแท้!”
“แล้วมันทำไม? ใครมาขวางข้าคนนี้ในการเข้าวงแสงพ่อจะฆ่าไม่เลี้ยงเลย!”
…
เย่หยวนนั้นเด่นมากท่ามกลางเหล่ายอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้า เขาจึงตกกลายเป็นเป้าสนใจทันที
ด้วยการนำของหนิงเทียนปิง ในที่สุดเย่หยวนก็เดินมายึดครองวงแสงวงหนึ่งไว้ได้
จากนั้นหนิงเทียนปิงก็รีบมุ่งหน้าไปยึดอีกวงทันที
หนิงเทียนปิงนั้นมีพลังฝีมือที่สุดแกร่งเกินบรรยาย คนที่จะต้านทานเขาได้คงมีไม่มากนัก
“เด็กน้อย ตายไปเสียเถอะ!”
หลังจากเย่หยวนขึ้นครองวงแสงได้ไม่นานก็มียอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้าหนึ่งดาวคนหนึ่งพุ่งเข้ามาหาเย่หยวนอย่างน่าหวาดกลัว
เพราะแค่แย่งที่นั่งมาได้มันยังไม่พอ พวกเขาต้องปกป้องมันไว้ให้ได้ครบร้อยอึดใจก่อนจึงจะได้รับสิทธิในการเข้าไปด้านในประตูกดสวรรค์โบราณ
เย่หยวนหัวเราะลั่นก่อนจะยกดาบจักรพรรดิล้ำฟ้าออกมาโจมตี
ฉัวะ!
ร่างของผู้เข้ามาโจมตีนั้นลอยกระเด็นออกไปไกลด้วยการโจมตีของเย่หยวนแค่ดาบเดียว!
เดิมทีทุกคนต่างคิดว่าเย่หยวนเป็นแค่ขนมหวาน พวกเขาทั้งหลายจึงคิดที่จะเข้าไปแย่งตำแหน่งของเย่หยวนทันที
แต่ดาบนี้ของเย่หยวนมันทำให้ทุกผู้คนต้องหยุดนิ่งอยู่กับที่ มันทำให้พวกเขาไม่กล้าเข้าไปโจมตีแบบสุ่มสี่สุ่มห้าอีก
“วงแสงนี้ เย่ผู้นี้ต้องการยึดครองมัน! หากผู้ใดไม่ยอมรับก็จงเข้ามาสู้กัน!”
เย่หยวนแกว่งดาบยาวตรงหน้าด้วยท่าทางสุดน่าเกรงขาม
ทั้งๆ ที่เขาเป็นแค่อาณาจักรบรรพชนพระเจ้าแต่พลังของเขากลับสูงล้นฟ้า ทำให้นักยุทธรอบๆ ได้แต่สั่นไปกับแรงกดดันนั้น ตอนนี้ไม่มีใครกล้าที่จะเข้ามาท้าทายเย่หยวนเลย
“เด็กคนนี้มันแข็งแกร่งขนาดนี้ได้ยังไง?”
“อาณาจักรบรรพชนพระเจ้าแต่กลับชนะอาณาจักรราชันพระเจ้าหนึ่งดาวได้ด้วยดาบเดียว!”
“ข้าจำได้แล้ว ข้าเคยได้ยินมาว่าหลายวันก่อนมีเด็กอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าชนะนายน้อยจิงลู่แห่งเมืองจักรพรรดิทำนองสุริยะได้! ต้องเป็นเด็กคนนี้แน่ๆ“
…
เมื่อทุกคนได้ยินแบบนั้นพวกเขาก็หน้าถอดสีกันทันที ตอนนี้ดวงตาของพวกเขาทั้งหลายเปี่ยมไปด้วยความหวาดกลัว
หลังจากผ่านไปได้สักพักมันก็เริ่มมีคนที่ต้องการจะเข้ามาแย่งชิงวงแสงมากขึ้นเรื่อยๆ
“ทุกคนโจมตี! มันเป็นแค่คนผู้เดียวมีหรือที่จะสู้จำนวนได้!” จู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากฝูงชน
เย่หยวนหันไปมองที่ชายคนนั้นในทันที
และเขาก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากจิงลู่คนนั้นนี่เอง!
เหล่านักยุทธที่ได้ยินคำของจิงลู่นั้นเริ่มขยับตัวทันที
“เด็กน้อยอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าที่อยากจะยึดครองวงแสง ฝันไปเถอะ! ทุกคนโจมตีพร้อมๆ กัน!”
ไม่นานนักยุทธอาณาจักรราชันพระเจ้าหนึ่งดาวจำนวนมากก็เริ่มมุ่งหน้าเข้ามาหาเย่หยวนตามๆ กัน
เมื่อใครก็ตามได้ยึดครองวงแสง พวกเขาจะไม่สามารถถอยหนีขยับไปไหนได้ ไม่เช่นนั้นเวลาที่ยึดครองวงแสงไว้มันก็จะไม่ถูกนับ
เพราะฉะนั้นใครก็ตามที่ยึดครองมันได้ ต้องมีพลังที่จะปกป้องมันได้จนถึงที่สุด
เพราะว่าพวกเขาจะกลายเป็นเป้านิ่งของผู้คน!
และดูท่ายังไงเสียเย่หยวนก็อ่อนแอกว่าพวกเขามาก
เมื่อได้เห็นภาพนี้ จิงลู่ก็พึงพอใจเป็นอย่างมาก
“เฮอะ ชนะข้ามอาณาจักรได้แล้วจะทำไม? ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะมีปัญญาชนะนักยุทธอาณาจักรราชันพระเจ้าหลายต่อหลายคนได้ด้วยตัวคนเดียว! มาลบหลู่นายน้อยคนนี้แต่ยังคิดอยากได้สมบัติรึ? ฝันไปเถอะ!”
พูดจบจิงลู่ก็ยกดาบยาวมุ่งหน้าเข้าหาเย่หยวน
ในวินาทีนั้น เย่หยวนถูกรายล้อมไปด้วยศัตรูจากทุกทิศ!
เขาจึงหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างไม่คิดจะใส่ใจ “คิดว่าจะชนะผู้อ่อนแอได้ด้วยจำนวน? งั้นพวกเจ้าก็คงต้องเตรียมตัวตายกันไว้เสียแล้ว!”
คำขู่นี้ของเย่หยวนพวกเขาทั้งหลายไม่คิดที่จะสนใจแม้แต่น้อย
เพราะยังไงเสียเย่หยวนก็เป็นได้แค่เด็กน้อยอาณาจักรบรรพชนพระเจ้า!
พวกเขามีกันตั้งสิบกว่าคน พวกเขาไม่เชื่อว่าตัวเองจะไม่สามารถไล่เย่หยวนออกไปได้
ฉึบ!
คนกว่าสิบคนนี้กำลังจะมาถึงตัวเย่หยวน ก่อนที่จู่ๆ จะเกิดเสียงฟาดฟันต่อเนื่องส่งร่างของพวกเขาร่วงหล่นลงไปที่พื้นด้านล่าง
เพลงดาบเมฆาลับแล!
เมื่อคลื่นดาบของเย่หยวนถูกปล่อยออกมา นักยุทธที่วิ่งนำหน้ามาหลายต่อหลายคนก็ต้องทิ้งร่างลงไปสู่พื้นด้วยบาดแผลที่สาหัส
“แนวคิดแห่งแรงโน้มถ่วง! พระเจ้าช่วย เด็กคนนี้มันจะมีไม้เด็ดซ่อนไว้เยอะเกินไปไหมเนี่ย?”
“แนวคิดแห่งห้วงมิติ แนวคิดแห่งแรงโน้มถ่วง ทำไมเด็กคนนี้มันถึงได้เข้าใจแนวคิดที่ยากเย็นแบบนั้นได้กัน?”
“แข็งแกร่งเกินไป! อาณาจักรราชันพระเจ้าหนึ่งดาวไม่มีทางทำอะไรมันได้เลย!”
…
ฝีมือของเย่หยวนนั้นทำให้ทุกผู้คนตกตะลึง
ภายใต้สายตาของนักยุทธอาณาจักรราชันพระเจ้านับพัน เย่หยวนคนเดียวนี้กลับสามารถสังหารผู้คนได้นับสิบในคราเดียว
อาณาจักรราชันพระเจ้าหนึ่งดาวนั้นไร้ค่าไปเลยเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา!
พลังขนาดนี้มันเรียกว่าเป็นยอดคนในหมู่อาณาจักรราชันพระเจ้าหนึ่งดาวเลยยังได้
คนระดับนี้แน่นอนว่าต้องมีสิทธิจะครองวงแสงไป!
“ใครยังไม่พอใจอีกไหม พวกเจ้าเข้ามาพร้อมๆ กันได้เลย! เย่หยวนคนนี้จะรับมือให้เอง!”
เย่หยวนยื่นอย่างสง่าพร้อมด้วยดาบในมือ เป็นท่าทางที่แสนน่าเกรงขาม
นั่นทำให้นักยุทธคนอื่นๆ ที่เหลือรอดเริ่มถอยกลับ
“ห-หนีเร็ว! ไอ้หมอนี่… ไอ้หมอนี่มันเก่งเกินไป!”
นักยุทธคนที่รอดชีวิตมาได้รีบหนีกันไปคนละทิศละทาง
เมื่อสักครู่จิงลู่เองก็โดนแนวคิดแห่งแรงโน้มถ่วงโจมตีเข้าเหมือนกันจงต้องหน้าทิ่ม
โชคยังดีที่เขาพุ่งตัวเข้าไปช้ากว่าคนอื่นหน่อย เลยไม่ถูกดาบนั้นฟันเข้า
ไม่เช่นนั้นตอนนี้เขาคงได้เป็นศพกองอยู่บนพื้นเบื้องล่างแล้ว
จิงลู่มองดูร่างของเย่หยวนด้วยความหวาดกลัวและโกรธแค้น
คนแบบนี้มันมีตัวตนอยู่บนโลกได้อย่างไร? เป็นไปได้อย่างไรที่จะมีใครมากพรสวรรค์ไปกว่าตัวเขา?
เป็นตอนนี้เองที่ดวงตาของเย่หยวนหนี่มองผ่านฝูงชนมาที่เขา
จิงลู่ได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อราวกับต้องมนต์ ไม่กล้าที่จะขยับตัวไปแม้แต่ก้าวเดียว
เพราะจิตสังหารของเย่หยวนนั้นมันไม่มีการปกปิดแม้สักนิด ดูท่าแล้วเขาคงโกรธไม่น้อยเช่นกัน
สุดท้ายนักยุทธทุกคนก็ถอยออกมาจนหมด ทำให้วงแสงของเย่หยวนกลายเป็นพื้นที่ต้องห้ามไป
แม้แต่เหล่านักยุทธอาณาจักรราชันพระเจ้าสองดาวเองก็ไม่คิดที่จะออกมาท้าทายเย่หยวนเช่นกัน
ไม่ใช่ว่าเพราะความกลัวต่อเย่หยวนหรืออะไรแบบนั้น แต่ว่าในเมื่อมันมีขนมหวานกว่าให้เคี้ยว เรื่องอะไรจะต้องเอาตัวเองเข้าไปกระแทกหินด้วย?
รอบๆ นั้นเกิดการต่อสู้ขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ชีวิตของเหล่ายอดอัจฉริยะรุ่นใหม่หลายต่อหลายคนต้องสูญสิ้นลง
แต่เย่หยวนนั้นยังคงยืนอย่างสง่า ไม่มีใครกล้าที่จะเข้ามาท้าทายกับเขาอีก
ตอนที่ 1660 การคัดเลือกสมบัติแห่งนภาฤกษ์
ในที่สุดการต่อสู้ก็เริ่มมีลดน้อยลงเรื่อยๆ ทำให้วงแสงหลายต่อหลายวงเริ่มมีเจ้าของที่แน่นอน
แต่ผู้ที่ได้ครองวงแสงนั้น ส่วนมากจะเป็นนักยุทธอาณาจักรราชันพระเจ้าสามดาวหรือไม่ก็อาณาจักรราชันพระเจ้าสองดาว พวกนักยุทธอาณาจักรราชันพระเจ้าหนึ่งดาวนั้นมีจำนวนน้อยมาก
หลังจากจิงลู่หนีเย่หยวนมาด้วยความกลัว เขาก็ได้เข้าไปท้าสู้กับคนผู้หนึ่งและแย่งวงแสงมาได้มาในที่สุด
เมื่อเวลาผ่านไปครอบร้อยอึดใจ วงแสงหลายต่อหลายวงก็เริ่มปล่อยหมอกหนาออกมา
จู่ๆ เย่หยวนก็รู้สึกได้ว่าจิตศักดิ์สิทธิ์ของตัวเองถูกดึงออกไปจากร่างมุ่งตรงไปยังประตูกดสวรรค์โบราณ
ฟุบ ฟุบ ฟุบ…
พวกเขาลอยออกมาจากวงแสงและพุ่งเข้าไปในประตูกดสวรรค์โบราณกันติดๆ
เหล่านักยุทธที่ไม่มีปัญญาพอจะครอบครองวงแสงได้แต่มองภาพตรงหน้านั้นอย่างอิจฉา ริษยาผู้คนที่ได้เข้าไปเอาสมบัติกลับออกมา
เย่หยวนรู้สึกสายตาพร่ามัวเล็กน้อยก่อนที่จะพบว่าตัวเองได้เข้ามาอยู่ท่ามกลางท้องฟ้ากว้างใหญ่ที่มากมายไปด้วยดวงดาว
“นี่หรือคือนภาฤกษ์กดสวรรค์? ช่างวิเศษเสียจริงๆ”
“ดวงดาวในนี้แต่ละดวงนั้นล้วนแล้วแต่เป็นสมบัติทั้งสิ้น! ยิ่งดวงดาวใดมีแสงสว่างจ้าก็จะยิ่งหมายความว่ามันเป็นสมบัติที่แข็งแกร่งมากเท่านั้น!”
“แล้วจะรออะไรกันอีกเล่า? ไปกัน!”
…
เมื่อเห็นสมบัติวางรออยู่ตรงหน้าเหล่านักยุทธทั้งหลายต่างก็เริ่มเสียความเยือกเย็นและมุ่งหน้าออกไปหามันอย่างห้ามตัวเองไม่อยู่
พวกดาวที่แสงไม่ค่อยสว่างนั้นไม่มีใครคิดที่จะสนใจ พวกเขาทั้งหลายสนใจแค่ดวงดาวที่ส่องสว่างเพียงไม่กี่ดวงเท่านั้น
ติดเพียงแค่ว่าหลังจากเดินหน้าไปได้ยังไม่ถึงครึ่งทางดีพวกเขาต่างกลับพบว่าร่างของตัวเองหนักอึ้งไม่สามารถขยับเขยื้อนไปด้านหน้าได้อีก
“เฮอะๆ ช่างไม่ประเมินตัวเองเสียจริงๆ สมบัติที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริงมีหรือที่จะให้ใครก็ได้คว้ามันไป?” หวู่เฉินหัวเราะเยาะเหล่าคนตรงหน้า
ไข่มุกสยบวิญญาณนั้นฝังตัวเองอยู่ในวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเย่หยวนจึงสามารถเข้ามาด้านในนี้ได้ด้วย
เย่หยวนกล่าว “ข้าล่ะสงสัยจริงๆ ว่าตัวข้าจะไปได้แค่ไหน!”
หวู่เฉินยกมือขึ้นมาลูบหนวด “หึๆ เมื่อมีชายแก่คนนี้อยู่ด้วย เจ้าย่อมไปได้จนถึงที่สุด!”
เย่หยวนอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาหลังได้ยิน
เพราะเขาว่ากันว่าสมบัติเหล่านี้ถูกทิ้งไว้โดยยอดคนอาณาจักรเทพถ่องแท้ แต่ไข่มุกสยบวิญญาณนั้นเป็นสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์ หวู่เฉินจึงไม่คิดจะกังวลเรื่องที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้เลย
“อาณาจักรเทพถ่องแท้นี่ไม่ธรรมดาจริงๆ ถึงกับสามารถสร้างมิติที่มีความนึกคิดได้! ข้าล่ะสงสัยจริงๆ ว่าสมบัติใดกันที่จะแข็งแกร่งที่สุดในที่นี้?”
“ของที่ดีที่สุดย่อมไม่อยู่ที่นี่ มันต้องซ่อนตัวอยู่ลึกในนภาฤกษ์นี้!” หวู่เฉินบอก
เย่หยวนจึงหันไปยิ้มบอกหนิงเทียนปิง “เทียนปิง เราไปร่วมกับเขาด้วยเถอะ”
“หึๆ ได้! ข้าเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าพรสวรรค์ของตัวเองมันจะไปได้ถึงแค่ไหนกัน!” หนิงเทียนปิงกล่าวขึ้นด้วยรอยิ้มกว้าง
พูดจบคนทั้งสองก็มุ่งหน้าเข้าสู่นภาฤกษ์อันกว้างใหญ่ทันที
“ให้ตายสิ แค่อีกนิดเดียว ขยับสิโว้ย!”
นักยุทธอาณาจักรราชันพระเจ้าสองดาวคนหนึ่งพยายามดิ้นรนจนหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำจนถึงหู แต่ร่างกายของเขากลับไม่ขยับแม้แต่น้อย
ตอนนี้เขาอยู่ห่างจากดวงดาวอันเจิดจ้าแค่ไม่กี่เมตรเท่านั้น
เป็นตอนนั้นเองที่มีร่างสองร่างเดินผ่านหน้าเขาไปด้วยท่าทางสุดแสนสบาย ต่างกับสภาพของเขาในตอนนี้อย่างถึงที่สุด
หนิงเทียนปิงได้เห็นว่าดวงดาวตรงหน้านั้นช่างสว่างจ้าจนอดใจไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นหยิบมันมา
นักยุทธคนนั้นจึงตะโกนลั่นเมื่อเห็น “นั่นมันของข้า! เจ้าห้ามเอามันไป!”
หนิงเทียนปิงหันไปมองอย่างเย้ยหยัน “เจ้าเขียนชื่อติดไว้รึ?”
ชายคนนั้นแทบจะสำลักเมื่อได้ยิน แต่ไม่ว่ายังไงเขาก็ไม่อยากจะยอมแพ้ง่ายๆ
เมื่อเทียบกันแล้วมันช่างดูน่าชัง!
ในนภาฤกษ์อันไพศาลนี้ ยิ่งคนได้เข้าไปลึก มันก็ยิ่งหมายความว่าพวกเขามีพรสวรรค์มาก
ตอนนี้เขาใช้พลังทั้งหมดที่มีเพื่อมาให้ถึงตรงนี้ แต่ตอนนี้เรื่องนั้นมันดูราวกับเป็นแค่เรื่องตลก
หนิงเทียนปิงค่อยๆ สัมผัสมันดูและขมวดคิ้วแน่น “นายใหญ่ นี่เป็นวรยุทธบ่มเพาะศักดิ์สิทธิ์ระดับห้าดูท่าทางไม่เลวเลย”
ร่างของนักยุทธคนนั้นสั่นเทา เมื่อได้ยินแบบนั้นเขายิ่งไม่อยากปล่อยให้คนอื่นสมบัตินี้ไป
แต่เย่หยวนกลับกล่าวขึ้นอย่างเย็นชา “แค่วรยุทธบ่มเพาะศักดิ์สิทธิ์ระดับห้าเรานำของออกไปจากที่นี่ได้แค่ชิ้นเดียวนะ ทิ้งมันไปเถอะ”
“ขอรับ!” หนิงเทียนปิงโยนมันทิ้งกลับลงที่เดิมอย่างว่าง่าย
คำพูดของทั้งสองนั้นทำให้นักยุทธคนนั้นต้องหยุดนิ่งไป นี่มันจะไม่สบายเกินไปหน่อยรึ?
จากความไม่ยอมในตอนแรกของเขาตอนนี้มันเปลี่ยนกลายเป็นความประหลาดใจ
วรยุทธบ่มเพาะศักดิ์สิทธิ์ระดับห้าพวกเขาไม่คิดที่จะสนใจมันเลยหรือ?
เพราะวรยุทธบ่มเพาะศักดิ์สิทธิ์ระดับห้านั้นสามารถขายได้ในราคาหนึ่งถึงสองพันล้านได้ง่ายๆ เลย
นักยุทธคนนั้นมีน้ำตาขึ้นมาคลอเบ้า เขาได้แต่คิดกับตัวเองว่าถ้าจะล้อเล่นกับจิตใจผู้คนมากขนาดนี้ก็เอาไปเสียให้มันจบๆ จะดีกว่า
แบบนี้มันจะเจ็บปวดจนเกินไป
เย่หยวนและหนิงเทียนปิงไม่คิดจะหยุดแม้แต่น้อย พวกเขาจากไปทันที
ระหว่างที่นักยุทธคนนั้นยังคงพยายามใช้พลังทั้งหมดที่มีจะก้าวออกไปด้านหน้า หวังว่ามือของเขาจะเอื้อมไปถึงวรยุทธบ่มเพาะศักดิ์สิทธิ์ระดับห้านั้นได้
เพียงแค่ว่าไม่ว่าเขาจะพยายามหนักแค่ไหน ก็ดูเหมือนจะขาดกำลังไปอีกนิดหน่อย
นักยุทธกว่าร้อยคน ทุกคนต่างมีเป้าหมายของตนเอง แต่คนที่จะไปถึงวรยุทธบ่มเพาะศักดิ์สิทธิ์ระดับห้าได้จริงๆ มันก็มีน้อยมาก
ส่วนด้านในจริงๆ นั้นพวกเขาไม่มีใครสามารถผ่านเข้าไปได้เลย
“ฮ่าฮ่าฮ่า วรยุทธบ่มเพาะศักดิ์สิทธิ์ระดับห้าสูงสุด วรยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์แสงชาดเก้าสว่าง! ด้วยวรยุทธบ่มเพาะนี้ข้าจะสามารถบ่มเพาะไปถึงจนอาณาจักรนภาสวรรค์ขั้นสูงสุดได้เลย!”
เสียงหนึ่งดังก้องไปทั่วทั้งนภาฤกษ์ด้วยน้ำเสียงที่ดีใจอย่างสุดขีด
ไม่ไกลไปนักก็มีนักยุทธหลายคนหันมามองอย่างอิจฉา
“สมแล้วจริงๆ ที่เป็นยอดอัจฉริยะที่ได้รับการคาดเดาว่าจะก้าวไปถึงอาณาจักรนภาสวรรค์ได้ ถึงกับสามารถที่จะนำวรยุทธบ่มเพาะศักดิ์สิทธิ์ระดับห้าสูงสุดมาครองได้!”
“เฮ้อ ช่องว่างของทุกคนมีแต่จะกว้างขึ้น!”
“หากไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก วรยุทธบ่มเพาะที่จิงลู่ได้นี้คงเป็นของที่ดีที่สุดในครั้งนี้แล้วล่ะมั้ง?”
…
เมื่อได้ยินคำพูดชื่นชมของทุกคน จิงลู่ก็รู้สึกภาคภูมิใจอย่างมาก
เพราะว่าในนภาฤกษ์แห่งนี้ เขาเป็นคนที่เดินนำมาได้ไกลที่สุด
แน่นอนเลยว่าตัวเขานี่แหละที่มีพรสวรรค์สูงที่สุด!
ยอดวรยุทธบ่มเพาะของเมืองจักรพรรดิทำนองสุริยะนั้นช่วยทำให้บรรลุไปได้ถึงแค่อาณาจักรนภาสวรรค์สามดาว
เพราะฉะนั้นหากไม่สามารถไปเจอวรยุทธดีๆ เข้าเพิ่ม อนาคตของจิงลู่เองก็คงจบลงที่ตรงนั้นเช่นกัน
แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว!
ด้วยวรยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์แสงชาดเก้าสว่างนี้มันจะช่วยให้เขาสามารถบ่มเพาะจนบรรลุอาณาจักรนภาสวรรค์เก้าดาวได้ หากจากอาณาจักรเทพถ่องแท้ไปเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้น!
จิงลู่เชื่อมั่นในหัวใจว่าด้วยความสามารถของตัวเอง เขาจะสามารถบรรลุอาณาจักรนภาสวรรค์เก้าดาวได้อย่างแน่นอน
ตอนนั้นเองที่จู่ๆ ก็มีคนสองคนเดินผ่านมาด้วยท่าทางสุดแสนสบาย
ภายใต้สายตาอันชื่นชมของทุกคน เย่หยวนและหนิงเทียนปิงค่อยๆ เดินมาจนถึงที่จิงลู่อยู่อย่างรวดเร็ว
หนิงเทียนปิงหันไปมองจิงลู่และกล่าวเย้ย “แค่วรยุทธบ่มเพาะศักดิ์สิทธิ์ระดับห้าดูสิว่าเจ้าทำหน้าตาดีใจแค่ไหน น่าสมเพชจริงๆ”
หนิงเทียนปิงนั้นไม่ชอบหน้าจิงลู่มาตั้งแต่เหตุการณ์ในครั้งนั้นแล้ว
เมื่อได้เห็นท่าทางอวดเก่งนั้น เขาจึงอดไม่ได้ที่ต้องด่าออกมาเสียหน่อย
เมื่อจิงลู่ได้เห็นคนทั้งสอง ใบหน้าเปี่ยมสุขของเขาก็หายไปอย่างทันควัน
เพราะดูท่าทางของคนทั้งสองนี้แล้ว พวกเขาน่าจะยังมีแรงเหลืออีกมาก
ขณะที่ตอนนี้ตัวเขาเองไม่สามารถที่จะก้าวเดินต่อไปได้แล้ว
“ฮึ่ม! จะอวดอ้างอะไร? ยิ่งไปด้านหน้ามันก็จะยิ่งมีแรงต้านมาก! ข้าไม่เชื่อหรอกว่าพวกเขาจะไปได้ไกลกว่าข้านัก!” จิงลู่ยิ้มเยาะ
“โอ้? เรอะ? งั้นก็มาดูกัน!” หนิงเทียนปิงไม่คิดจะต่อปากต่อคำอีก
เย่หยวนหันมาหรี่ตามองจิงลู่และหันไปหาหนิงเทียนปิง “ไปกันเถอะ แค่กบน้อยในกะลา อย่าได้ไปสนใจมันเลย”
พูดจบเย่หยวนก็นำหนิงเทียนปิงเดินหน้าต่อไป ทิ้งจิงลู่ที่โกรธจนหน้าดำไว้เบื้องหลัง
และแรงต้านที่ด้านหน้ามันก็รุนแรงมากขึ้นและมากขึ้นจริงๆ ไม่นานนักหนิงเทียนปิงเองก็ไม่สามารถจะเดินหน้าไปได้อีก
พลังต้านในตอนนี้มันหนักหนาจนเกินกว่าที่เขาจะก้าวเท้าไปได้แม้สักก้าว
“นายใหญ่ ข้า… ข้าไปไม่ไหวแล้ว!” หนิงเทียนปิงบอก
แต่เขาก็ไม่ได้คิดที่จะดื้อด้านใดๆ
เพราะหนิงเทียนปิงรู้ดีว่าที่เขาเดินมาได้จนถึงตอนนี้มันล้วนแล้วแต่เพราะนายใหญ่
หากให้เขาใช้แค่กำลังของตัวเอง เขาคงไม่มีปัญญามาถึงแม้แต่ที่จิงลู่ยืน
เย่หยวนหันมามอง และพยักหน้ารับ “อืม งั้นเจ้าจงหยุดอยู่ที่นี่เถอะ ข้าจะเข้าไปดูต่ออีกหน่อย”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น