Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1640-1643
ตอนที่ 1640 การโจมตีจากรอบทิศ
ดวงตาของเย่หยวนแสดงความสับสนออกมาหลังเขากลับออกมาจากสภาวะไร้ตัวตน
“ผู้อาวุโส เหมือนว่า… มันจะมีเส้นทางเดียวจริงๆ ที่พอไปต่อได้!” เย่หยวนถอนหายใจยาวและหันหน้ามาบอกหวู่เฉิน
ตอนนี้เย่หยวนสามารถเข้าสู่สภาวะไร้ตัวตนได้ทุกเมื่อที่ต้องการ
แต่ทว่าแม้จะเข้าไปคิดหาทางมากมายมหาศาลในสภาวะไร้ตัวตน เย่หยวนก็ยังไม่สามารถหาทางที่จสร้างวรยุทธบ่มเพาะระดับสี่ ได้
ในเวลา สามร้อยปีมานี้เย่หยวนได้ลองวิธีการต่างๆ มากมายมานับหมื่นนับพัน แต่มันก็ไม่มีทางไหนเลยที่สามารถพาเขาไปถึงฝั่งได้
หวู่เฉินพยักหน้ารับ “คงต้องเป็นอย่างนั้นแล้ว! หลายปีมานี้เจ้าได้เฝ้าลองดูมานับครั้งไม่ถ้วนเพื่อจะเปิดโลกภายในของตัวเอง แต่มันกลับไม่ได้ผลเสียที หรือจะบอกว่าวรยุทธบ่มเพาะระดับสี่ นี้ไม่ต้องเปิดโลกภายใน?”
เวลาที่เย่หยวนใช้ตามหาเส้นทางมาหลายต่อหลานปีนั้นมันอยู่ภายใต้สายตาของหวู่เฉินเสมอ
แต่สุดท้ายหวู่เฉินก็ไม่สามารถเข้าใจถึงมันได้เช่นกัน
ในเวลาหลายปีมานี้เย่หยวนได้พยายามหลายต่อหลายทางเพื่อที่จะเปิดโลกภายในของตัวเองออก แต่มันกลับไม่มีเส้นทางไหนเลยที่ได้ผล
มันราวกับว่าทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของเขานั้นถูกปิดกั้นอย่างไม่มีช่องว่างใดๆ ให้เปิดออกมาได้เลย
หลังผ่านความล้มเหลวมานับครั้งไม่ถ้วนเย่หยวนก็เริ่มหนักแน่นเหมือนบ่อที่ไม่มีน้ำ “ข้ารู้สึกว่าบางทีข้าอาจจะเดินทางผิดพลาดมาตลอดหลายปีนี้ มันอาจจะไม่ใช่การเปิดโลกภายในก็ได้ เส้นทางของวรยุทธนี้มันทำให้ข้าสับสนเสียจริงๆ”
หวู่เฉินกล่าวขึ้น “ชายแก่คนนี้เองก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่าหากไร้ซึ่งโลกภายในแล้วคนเราจะบรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้าไปได้ยังไง? พลังของอาณาจักรราชันพระเจ้านั้นอยู่กับโลกภายในตน หากไม่มีมันแล้วจะเอาพลังของโลกมาจากไหน? ต่อให้บรรลุขึ้นไปได้จริงๆ แล้วจะเป็นนักยุทธอาณาจักรราชันพระเจ้าที่ต่อสู้กับนักยุทธอาณาจักรราชันพระเจ้าด้วยกันได้หรือ?”
เย่หยวนพยักหน้าขึ้น ปัญหานี้เองมันก็กัดกินใจข้ามานาน และจุดสำคัญในการบรรลุมันก็น่าจะอยู่ที่ตรงนี้นี่แหละ!
หวู่เฉินถอนหายใจยาว “ตอนนี้เจ้าคงได้แต่ไปที่เขาแห่งถงเทียนก่อนล่ะ แต่ทว่าที่เขาแห่งถงเทียนเองมันก็ไม่ใช่สวรรค์วิมาณ พลังของเจ้าในตอนนี้มันยังจะดูขาดๆ ไปเสียหน่อย”
เย่หยวนยิ้มออกมา “ไม่มีอะไรยากเกินกว่าคนจะพยายามหรอก ไม่ว่ามันจะลำบากแค่ไหน ข้าจะต้องฝ่ามันไปให้ได้!”
…
เมื่อเย่หยวนเดินเข้ามาในห้องโถง บรรยากาศที่มีก็เปลี่ยนไปในทันที
เดิมทีเย่หยวนนั้นคือยอดคนดาวรุ่งของเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ เป็นผู้เจิดจ้าเสียจนไม่มีใครกล้าดูหมิ่น
แต่ตอนนี้ปีกสวรรค์แสงอันเจิดจ้านั้นได้จางหายไป ทำให้ท่าทางของผู้คนที่มีต่อเย่หยวนมันจึงได้เปลี่ยนไปอย่างช่วยไม่ได้
ในโลกใบนี้มันคือโลกที่ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผู้อ่อนแอไม่มีทางรอดไปได้เลย
อัจฉริยะตกอับเช่นนี้ไม่มีทางได้รับการมองในด้านดีๆ แน่ แม้ว่าเมื่อก่อนจะเขาจะสร้างคุณงามความดีให้แก่เมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ไว้มากมายแค่ไหนก็ตาม
หลายปีมานี้เย่หยวนได้ปลอมโอสถมากมายให้เหล่ายอดฝีมือในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ได้ใช้กัน
สามร้อยปีมานี้เมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ได้มีนักยุทธอาณาจักรราชันพระเจ้าเกิดขึ้นมากว่าร้อยคน!
จำนวนนี้มันมากกว่าปกติหลายเท่าตัวนัก
หลายปีมานี้เย่หยวนได้สอนสูตรโอสถใหม่ให้หอโอสถ จะบอกว่าเป็นการสร้างประโยชน์ให้แก่ทุกผู้ทุกคนเลยก็ว่าได้
หนิงซืออวี๋ ลู่ยี่และคนอื่นๆ ก็มีพลังฝีมือด้านโอสถเพิ่มขึ้นมากมายมหาศาลด้วยการแนะนำของเย่หยวน
เย่หยวนได้ปรับแต่งห้วงมิติสืบทอดให้แก่หอยุทธจนทำให้ผู้คนสามารถเรียนรู้แนวคิดแห่งห้วงมิติได้ง่ายกว่าเดิมมาก เป็นประโยชน์แก่ชนรุ่นหลัง
เวลา สามร้อยปีนั้นมันไม่ใช่เวลาที่ยาวนานเลยสำหรับนักยุทธอาณาจักรพระเจ้า แต่เย่หยวนกลับทำคุณงามความดีให้แก่เมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์อย่างที่ไม่มีผู้อาวุโสคนไหนเทียบเคียงได้
แต่มันก็ยังไร้ค่า!
เพราะเมื่อเขาไม่สามารถบรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้าได้มันก็เท่ากับว่าเย่หยวนเป็นได้แค่จอมเทพโอสถสามดาว ตัวตนที่ไร้ค่าในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์
ที่ด้านบนนั้นมีชายแก่คนหนึ่งนั่งอยู่กว่าใคร ดูท่าทางน่าเกรงขามไม่น้อย
ยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์นั้นไม่ค่อยจะออกมาแสดงตัวในโลกภายนอกนัก เย่หยวนอยู่ที่เมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์มาร่วม สี่ร้อยปีแต่นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขาได้เห็นหน้าของยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์
และคราวนี้เขาก็ได้รับรู้ถึงความน่ากลัวที่แท้จริงของยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์!
สามร้อยปีก่อนเย่หยวนนั้นไปเจอยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์ที่เหวอัญเชิญปีศาจเข้าก็จริง แต่ตอนนั้นพวกเขาต่างถูกกดพลังไว้และทำให้ความกดดันที่พวกเขาปล่อยออกมาไม่ได้รุนแรงเช่นนี้
และต่อให้เป็นตอนที่ได้ขึ้นมาเจอกันด้านบน พวกเขาก็บาดเจ็บสาหัสจนมีพลังไม่ถึง หนึ่งในสิบ ของพลังแต่เดิม
แต่เหอชงผู้นี้ยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์ผู้มีตำแหน่งยอดผู้อาวุโสแห่งเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์
“ขอคารวะยอดผู้อาวุโส!” เย่หยวนยกมือขึ้นทำการคารวะเหอชง
เหอชงพยักหน้ารับ “นั่งลงเถอะ”
ตอนนี้ทั้งเล่งหยูและซวนอี้ต่างมองมาที่เย่หยวนด้วยดวงตาที่แสนสับสน เพราะตอนนี้พวกเขาไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้เลยจริงๆ
สถานการณ์ในตอนนี้มันเกินกว่าที่พวกเขาจะควบคุมไหวแล้ว
เพราะไม่ใช่แค่พวกหรงซูที่กล่าวว่า ตอนนี้แม้แต่คนของพวกเขาเองก็เริ่มสงสัยในความเป็นผู้อาวุโสของเย่หยวนแล้วเช่นกัน
เพราะยังไงเสีย อัจฉริยะที่ไม่มีปัญญาบรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้ามันก็ไร้ค่า!
เมื่อเหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายนั่งลงแล้วเหอชงก็พูดขึ้น “หรงซู เจ้ามาเป็นประธานการประชุมผู้อาวุโสวันนี้”
หรงซูนั้นดีใจจนออกนอกหน้า “ขอรับ ยอดผู้อาวุโส!”
พูดไปหรงซูก็แสดงสีหน้าดีใจออกมาเต็มเปี่ยม
เพราะตอนนั้นเขาต้องพ่ายแก่น้ำมือของเย่หยวน ตอนนี้เขาก็ยังไม่สามารถกู้หน้าแก้แค้นใดๆ ได้
หลังผ่านไปหลายต่อหลายปี ในที่สุดหรงซูก็ได้พบโอกาสเหมาะที่จะเหยียบย่ำเย่หยวนลง มีหรือที่เขาจะยังทนทำหน้านิ่งได้?
เรื่องของหลิงจี้คุนนั้นมันได้หายไปจากหัวของเขาแล้ว
เพราะเวลาที่ผ่านมานับร้อยๆ ปีมันย่อมเป็นปกติที่เขาจะไม่เก็บเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นนั้นมาคิด
หรงซูมองหน้าเหล่าผู้อาวุโสและเริ่มพูดขึ้น “ที่เรียกทุกท่านมาในวันนี้ พวกท่านทั้งหลายคนรู้กันดีอยู่แล้วว่ามันเป็นเรื่องอันใด ตอนนี้มีผู้คนในเมืองของเราที่ไม่พอใจต่อตัวตนของผู้อาวุโสเราคนหนึ่งอย่างมาก คิดว่าพลังฝีมือของเขานั้นมันไม่เหมาะสมแก่ตำแหน่งผู้อาวุโส เดิมทีมันเป็นแค่เรื่องที่คนส่วนนอกเอามาพูดกัน แต่ยิ่งเวลาผ่านไป ผู้อาวุโสท่านนี้กลับไม่สามารถพัฒนาตนได้ ทำให้ผู้คนเริ่มพูดกันหนาหูขึ้นเรื่อยๆ อย่างหยุดไม่ได้ สุดท้ายพวกเราจึงต้องมารวมตัวตัวกันประชุมในวันนี้เพื่อหารือถึงข้อสรุปของเรื่องด้วยตัวเราเอง”
ระหว่างที่พูดไปหรงซูก็ส่งสายตาบอกผู้อาวุโสคนอื่นๆ เป็นนัยให้เข้าใจ
ผู้อาวุโสอีกคนจึงกล่าวขึ้นเสริม “เรื่องที่ว่าผู้อาวุโสท่านนี้เคยทำให้เราต้องตกตะลึงมันเป็นเรื่องจริง! แต่เขานั้นได้หลอกเราไว้เช่นกัน เขาได้หลอกให้เราคาดหวังว่าตัวเขาจะสามารถพุ่งทะยานขึ้นฟ้าได้ในอนาคตอย่างไม่มีการหยุดยั้ง และพาเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ของเราให้ขึ้นไปสู่อีกระดับ แต่ดูสภาพตอนนี้แล้ว ทุกอย่างมันเป็นได้แค่ภาพลวง! การให้คนที่ไม่มีปัญญาบรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้ามาเป็นผู้อาวุโสนั้นมันมีแต่จะทำให้ชื่อเสียงเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์เสียเปล่าๆ”
พูดจบก็มีผู้อาวุโสอีกคนเสริมขึ้นอย่างไม่มีช่องว่าง “มันช่างน่าขันเสียจริงๆ ศิษย์ของข้าใช้เวลาในการบรรลุจากอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าขั้นสุดสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าแค่ สามสิบปี แต่ผู้อาวุโสคนนี้กลับใช้เวลากว่า สามร้อยแต่ก็ยังไม่ถึงอาณาจักรราชันพระเจ้าครึ่งก้าวเสียด้วยซ้ำ คนธรรมดาๆ คนหนึ่งแบบนี้จะมาเป็นผู้อาวุโสได้อย่างไรกัน?”
ซวนอี้ขมวดคิ้วแน่นและกล่าวขึ้นสวนทันที “เปาเหวินห่าว เจ้าพูดเช่นนี้หวังจะเอาหน้างั้นรึ? เจ้าลืมไปแล้วหรืออย่างไรว่าศิษย์ของเจ้ามันบรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้าได้อย่างไร!”
เปาเหวินห่าวนั้นไม่กล้าที่จะพูดจาตอบโต้กับซวนอี้ไปตรงๆ แต่ก็ไม่คิดจะปล่อยมันผ่านไปเฉยๆ “ผู้อาวุโสใหญ่ ท่านพูดผิดแล้ว เย่หยวนนั้นได้ช่วยในการหลอมโอสถสุริยันจักรวาลจริง แต่ความสามารถของศิษย์ข้ามันก็อยู่ตรงนั้นแล้ว หากไม่ได้โอสถสุริยันจักรวาลเขาก็อาจจะต้องใช้เวลาอีกไม่เกิน ห้าสิบเท่านั้น ไม่เหมือนใครบางคนที่ไม่สามารถบรรลุได้แม้จะผ่านไปแล้วกว่า 300 ปี!”
ซวนอี้ตอบอะไรกลับไปไม่ได้ เขาทำได้เพียงแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมาเท่านั้น
เพราะเขาไม่สามารถปฏิเสธคำพูดนี้ของเปาเหวินห่าวได้เลย
เล่งหยูจึงเป็นฝ่ายที่พูดขึ้นมาแทน “เจ้าคนไม่รู้จักคุณคน! เวลาหลายต่อหลายปีมานี้มีใครบ้างไหมที่ไม่ได้รับประโยชน์จากเย่หยวน? แต่ตอนนี้กลับมาสุมหัวกันปาหินใส่บ่อน้ำ หน้าไม่อายกันจริงๆ”
ตอนที่ 1641 จากลา
คำพูดนั้นของเล่งหยูทำให้เหล่าผู้อาวุโสหลายต่อหลายคนต้องก้มหัวลงด้วยใบหน้าที่เปี่ยมด้วยความละอาย
เพราะผู้อาวุโสที่ได้รับคุณประโยชน์จากเย่หยวนไปนั้นมันมิใช่จำนวนที่น้อยๆ เลย
ยังไงเสียเย่หยวนก็เป็นตัวตนที่น่าเกรงขามในหมู่จอมเทพโอสถสามดาว เขาคนนี้ครั้งหนึ่งเคยที่จะชนะผู้อาวุโสที่สอง หรงซูได้เสียด้วยซ้ำ
เหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายในนี้มีใครบ้างที่ไม่มีศิษย์เลยสักคน?
การหาโอสถดีๆ มาช่วยศิษย์ที่รักนั้นมันเป็นเรื่องราวที่แสนจะปกติ
แต่เพราะว่าเย่หยวนนั้นเป็นแค่จอมเทพโอสถสามดาว ไม่ว่าจะแข็งแกร่งเก่งกาจขนาดไหนมันก็ยังไม่เพียงพอ
พวกเขาอาจจะพอจำคุณของเย่หยวนไว้ได้ระยะหนึ่ง แต่คงไม่มีทางจำมันไปจนวันตาย
หากไม่มีใครพูดถึงขึ้นมาพวกเขาทั้งหลายก็อาจจะลืมมันไปแล้วด้วยซ้ำ
แต่การที่เล่งหยูกล่าวถึงมันขึ้นมาแบบนี้มันจึงทำให้พวกเขาทั้งหลายแสดงสีหน้าสุดละอายออกมา
หรงซูที่เห็นแบบนั้นจึงคิดว่าเรื่องกำลังไปในทิศทางที่ไม่ถูกต้องและกล่าวขึ้นมา “ท่านปู่ยุทธนั้นพูดไม่ถูกต้อง ทุกคนตอนนี้หาได้โยนหินลงบ่อน้ำไม่ พวกเราทั้งหลายแค่กำลังพูดคุยกันถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นก็เท่านั้น ทุกคนมารวมตัวกันเพื่อพูดถึงตำแหน่งผู้อาวุโสของเย่หยวน หาได้คิดจะทำอะไรตัวเขาไม่ เพราะยังไงเสียการที่ให้นักยุทธอาณาจักรบรรพชนพระเจ้ามาเป็นผู้อาวุโสมันก็ไม่เหมาะไม่ควรมาตั้งแต่แรกแล้ว!”
ด้วยคำกล่าวของหรงซู ทุกคนที่เหลือจึงรีบเสริมขึ้นมาแก้ต่างให้ตัวเอง
“ใช่ ใช่ ต่อให้เย่หยวนไม่สมควรกับตำแหน่งผู้อาวุโส แต่เขาก็ยังเป็นศิษย์คนสำคัญของเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์เรา!”
“ด้วยความสามารถของเย่หยวน เขาสามารถใช้ชีวิตอยู่ในเมืองจักรพรรดิได้อย่างสบายๆ มีใครบ้างล่ะที่จะไม่อยากได้โอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสาม?”
“เราไม่ได้ลืมบุญคุณคน เพียงแค่ตอนนี้มันมีเสียงบ่นไม่พอใจเกิดขึ้นต่อหอโอสถและหอยุทธ์มากมายก็เท่านั้น มันช่วยไม่ได้”
…
เล่งหยูได้แต่ถอนหายใจแรงด้วยความโกรธจนไม่สามารถหาคำไหนมาพูดได้อีก
เขารู้ดีว่าคนเหล่านี้พูดจาออกมาด้วยเหตุผล
แต่ว่าหากเย่หยวนเสียตำแหน่งผู้อาวุโสไป อนาคตของเขาคงต้องพบเจอความยากลำบากมากมายแน่
สบาย?
เรื่องนั้นคงเป็นไปไม่ได้
เล่งหยูนั้นได้รับการช่วยเหลือจากเย่หยวน จึงมีความรู้สึกขอบคุณต่อเย่หยวนมาเป็นทุนเดิม
จากนั้นเย่หยวนยังช่วยเจิ่งชีสังหารเกาหยุน ศัตรูแค้นของอู๋ซิงถังศิษย์ของตัวเขา ทำให้เล่งหยูยิ่งมองเย่หยวนดีเข้าไปใหญ่
เมื่อต้องมาเห็นเย่หยวนมีสภาพที่ยากลำบากแบบนี้ เขาจึงโกรธแค้นอยู่ในจิตใจ
แต่เป็นเวลานี้ที่เองที่จู่ๆ ผู้อาวุโสหอยุทธ์คนหนึ่งก็เปิดปากพูดขึ้นตาม “การให้นักยุทธอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าขึ้นเป็นผู้อาวุโสนั้นเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะไม่ควรจริงๆ ข้าคิดว่าตอนนี้เราควรปลดตำแหน่งผู้อาวุโสของเย่หยวนออกก่อน และหากวันข้างหน้าเขาสามารถบรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้าได้ก็ค่อยแต่งตั้งเขาขึ้นมาใหม่มันก็ยังไม่สาย!”
เมื่อคำพูดนั้นหลุดออกมา ทุกผู้คนต่างแตกตื่นกันทันที
เพราะผู้ที่พูดนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือผู้นำตระกูลหนิง หนิงจื่อหยวน
ในสายตาของทุกคนตระกูลหนิงกับเย่หยวนนั้นมีสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นมาก ไม่มีใครคิดว่าผู้ที่ลงดาบสุดท้ายกับเย่หยวนในเวลานี้จะกลายเป็นหนิงจื่อหยวนเอง
ซวนอี้นั้นตะโกนขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ทั้งตื่นตกใจและโกรธเคือง “หนิงจื่อหยวน!”
หนิงจื่อหยวนจึงตอบกลับมาเรียบๆ “ผู้อาวุโสใหญ่ เราในฐานะผู้อาวุโสแห่งเมืองจักรพรรดิย่อมมีหน้าที่ในการดูแลพัฒนาเมือง ตระกูลหนิงนั้นสนิทสนมกับเย่หยวนมากจริงๆ แต่ตอนนี้ตัวตนของเย่หยวนมันทำให้การดำเนินงานต่างๆ ของเมืองเริ่มสั่นคลอนแล้ว! ข้าเกรงว่าทางเดียวที่เรามีคือการถอดตำแหน่งผู้อาวุโสของเขาออกเท่านั้น!”
หรงซูนั้นยิ้มกว้างออกมา ตอนนี้นอกจากซวนอี้และเล่งหยูแล้วไม่มีใครเลยที่อยู่ข้างเดียวกับเย่หยวน
ตัวตนของผู้อาวุโสเย่หยวนมันได้เดินทางมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว
เล่งหยูเองก็ไม่เคยคาดคิดเช่นกันว่าเรื่องมันจะลุกลามมาจนถึงขั้นนี้แล้ว
ตอนที่เล่งหยูกำลังคิดจะเปิดปากออกพูดอีกครั้ง เขากลับเห็นรอยยิ้มจางๆ ของเย่หยวนก่อนเขาจะกล่าวขึ้น “ข้าคิดว่าคำพูดของผู้อาวุโสหนิงนั้นมีเหตุผล เย่คนนี้ไม่สามารถบรรลุอาณาจักรมาได้เป็นเวลานาน จึงไม่เหมาะสมกับตำแหน่งผู้อาวุโสแล้วจริงๆ วันนี้ต่อหน้ายอดผู้อาวุโส ข้าจึงอยากจะขอลาออกจากตำแหน่งผู้อาวุโส”
คำพูดนั้นมันทำให้ทุกคนตื่นตะลึงไปทันที รวมไปถึงหรงซูด้วย
เขานั้นเคยคิดว่าเย่หยวนจะต้องยืนหยัดต่อสู้จนวินาทีสุดท้าย เขาไม่เคยคิดเลยว่าเย่หยวนจะถอยกลับไปอย่างง่ายดายเช่นนี้
เพราะใครๆ ต่างก็รู้ว่าตำแหน่งผู้อาวุโสมันทำให้ได้รับประโยชน์ต่างๆ มากมายแค่ไหน
หากถอนตัวไป เขาคงไม่มีทางใช้ชีวิตสบายๆ ในเมืองเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ได้อีก
เล่งหยูขมวดคิ้วแน่นก่อนจะหันมาถาม “เย่หยวน เจ้าพูดเรื่องบ้าบออะไรออกมา?!”
ซวนอี้เองก็เสริมขึ้น “เย่หยวน นี่มิใช่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ นะ!”
เย่หยวนจึงหันไปมองคนทั้งสองด้วยดวงตาที่แสนอบอุ่นก่อนจะพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ตำแหน่งผู้อาวุโสนั้นสำหรับข้าแล้วมันก็เป็นเพียงเมฆหมอกที่พัดผ่าน เย่ผู้นี้ยังมีเรื่องสำคัญให้ต้องทำอีกมาก การที่ข้ามาในที่ประชุมวันนี้ก็เพื่อที่จะมากล่าวลาทุกท่าน”
เมื่อคำพูดเหล่านั้นถูกเปล่งออกมา ทุกคนต่างก็แสดงสีหน้าตื่นตะลึงไม่เว้นแม้แต่เหอชง เขาถามขึ้น “เจ้าจะออกจากเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์?”
เย่หยวนพยักหน้า “เย่ผู้นี้ไม่สามารถบรรลุอาณาจักรได้เสียที จึงคิดจะออกไปท่องโลกฝึกตัวสักพักเพื่อจะได้หาโอกาสในการบรรลุ”
เหอชงพยักหน้าออกมาทันทีที่ได้ยิน “ไม่เลว คนหนุ่มสาวต้องมีความอดทน การออกไปท่องโลกกว้างเพิ่มประสบการณ์นั้นเป็นสิ่งที่ไม่เลวเลย”
เมื่อได้เห็นใบหน้าท่าทางสุดสงบของเย่หยวน หรงซูจึงรู้สึกเหมือนว่าตัวเองได้ยกหมัดขึ้นมาต่อยลมไป
เขาเพิ่งจะรู้ว่าตำแหน่งผู้อาวุโสมันไม่มีค่ากับเย่หยวนเลย
จู่ๆ เขาจึงคิดเรื่องอื่นขึ้นมาได้และกล่าวขึ้น “เย่หยวน เจ้าอยากไปเจ้าก็จงไป แต่จงทิ้งเขาหน่วงเทพบรรพกาลไว้!”
ดวงตาของเหอชงหรี่เล็กลงในทันทีที่ได้ยิน
เพราะเรื่องของเจ้าเขาหน่วงเทพบรรพกาลนี้เขาได้ยินมันมานาน
ว่ากันว่าระดับของเขาหน่วงเทพบรรพกาลนั้นไม่สามารถวัดค่าได้ มีความเป็นไปได้อย่างสุดล้ำ
เย่หยวนใช้พลังของเขาหน่วงเทพบรรพกาลในการสังหารยอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้าเก้าดาวไปถึงสามคน มันเป็นหลักฐานถึงพลังของมันได้อย่างดี
แต่คำของหรงซูนั้นมันทำให้ใจของเขาเต้นแรงอย่างบอกไม่ถูก
เมื่อเล่งหยูได้ยินแบบนั้นเขาก็ตะโกนขึ้นมาอย่างโกรธเคือง “เด็กน้อยหรงซู เจ้าหมายความว่าอย่างไร? 300 ปีก่อนเย่หยวนได้ควบคุมสถานการณ์อันปั่นป่วนไว้ด้วยตัวคนเดียว ช่วยชีวิตผู้อาวุโสและอาจารย์ไว้มากมาย แต่ตอนนี้เจ้ากลับคิดจะให้เขาส่งเขาหน่วงเทพบรรพกาลให้เจ้า?”
หรงซูตอบ “ตอนนั้นที่เขาหน่วงเทพบรรพกาลถือกำเนิดขึ้น การเข้าไปเอามันมาล้วนต้องขอบคุณทุกผู้คน แต่เย่หยวนกลับนำเขาหน่วงเทพบรรพกาลไปเป็นของตนเอง! ชายแก่คนนี้เองก็ไม่ได้อยากจะได้เขาหน่วงเทพบรรพกาลมาไว้เองหรอก เพียงแต่ว่าหากยอดผู้อาวุโสหรือท่านเจ้าเมืองได้เขาหน่วงเทพบรรพกาลไป มันจะเหมือนเสือติดปีก จะช่วยเสริมพลังให้กับเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์อย่างมาก! ที่สำคัญที่สุดเลยก็คือพลังของเย่หยวนในตอนนี้มันช่างอ่อนแอ การนำสมบัติล้ำค่าแบบนี้ติดตัวออกไปหากต้องเสียมันไประหว่างเดินทางมันจะไม่เป็นผลเสียต่อเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ของเรารึ?”
คำพูดของหรงซูนั้นเป็นคำพูดที่พูดให้เหอชงฟัง ตอนที่เหอชงได้ยินเขาเองก็ถึงกับต้องเงียบไป
เพราะเขาเห็นด้วยกับมัน
แต่เย่หยวนกลับยิ้มตอบกลับมา “หรงซู เจ้านี่มันช่างหน้าไม่อาย! สมบัติเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นโชคของใครของมัน ตอนนั้นข้าแย่งมันมาจากมือของยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์ ตามกฎของเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์แล้วมันย่อมต้องเป็นของส่วนตัวของข้า! แต่ตอนนี้เจ้ากลับคิดจะมาขอรับมันไว้? ไหนล่ะเหตุผล?”
เหอชงที่ได้ยินแบบนั้นก็ใจสงบขึ้นมาในทันที เพราะแม้เย่หยวนจะพูดออกมาอ้อมๆ แต่เขาก็สื่อสารออกมาอย่างชัดเจน
เย่หยวนกำลังบอกทุกคนว่าเมื่อเขามีปัญญาแย่งมันมาจากยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์ เขาย่อมมีปัญญาปกป้องมัน!
ต่อให้พวกเจ้าคิดจะแย่งชิงไปมันก็คงไม่ง่ายแน่!
สำหรับนักยุทธอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าแล้วมันอาจจะฟังดูเกินตัว เดิมทีมันคงเป็นเรื่องที่น่าขันสำหรับทุกผู้คนหากคนอื่นพูด
แต่คำพูดเหล่านั้นของเย่หยวนมันมีความเป็นไปได้!
เรื่องตอนนั้นเหอชงก็รู้ถึงมันมาไม่น้อยแล้ว
ยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์ของเผ่าปีศาจได้เข้าโจมตีเขา ทุกคนเชื่อว่าเย่หยวนได้ตายลงแล้ว แต่เขาไม่ใช่แค่ไม่ตาย แต่กลับเข้าไปแย่งชิงสมบัติออกมาด้วยซ้ำ
มันชัดเจนมากว่าเย่หยวนมีปัญญาที่จะปกป้องตัวเอง
ด้วยความสามารถนี้เขาจึงไม่ต้องเกรงกลัวใคร แม้แต่ยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์!
จริงๆ เหอชงเองก็แปลกใจอยู่ไม่น้อยว่าด้วยความสามารถระดับเย่หยวน ทำไมเขาถึงได้มาติดขัดอยู่ที่หน้าอาณาจักรราชันพระเจ้าแบบนี้?
เรื่องนี้มันต้องมีตัวแปรอื่นเข้ามาเกี่ยวด้วยแน่ๆ
เหอชงรู้สึกได้ว่าหากเย่หยวนบรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้าได้เมื่อไหร่ เขาจะเหมือนเป็นปลาที่กระโดดขึ้นฟ้ากลายร่างเป็นมังกร กลายเป็นยอดฝีมือที่มีพลังสะท้านทั่วหล้า!
หลังชั่งใจอีกพักหนึ่งและคิดเรื่องราวต่างๆ ซ้ำไปมา เหอชงก็กล่าวขึ้น “เย่หยวนนั้นใช้ความพยายามหนักหน่วงแลกผลประโยชน์มหาศาลมา เขาหน่วงเทพบรรพกาลนั้นเป็นสมบัติของเขา อย่าได้นำเรื่องนี้ขึ้นมาพูดกันอีก!”
หรงซูแทบขาดอากาศตายเมื่อได้ยิน ยอดผู้อาวุโสกลับยอมที่จะถอยเสียอย่างนั้น!
ตอนที่ 1642 ไล่ล่า
การจากไปของเย่หยวนในครั้งนี้มันดูกระจอกงอกง่อยไม่น้อย เพราะนอกจากพวกซวนอี้ เล่งหยูและเจิ่งชีแล้ว มันก็ไม่มีใครอีกเลยที่ตามมาส่ง
เล่งหยูตบบ่าเย่หยวนและพูดให้กำลังใจเขา “เด็กน้อยเจ้าทำได้แน่ ชายแก่คนนี้จะรอวันที่เจ้าได้ก้าวข้ามประตูมังกร”
เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “ข้าไม่เคยสงสัยเรื่องนั้นอยู่แล้ว”
เล่งหยูจึงหัวเราะลั่นเมื่อได้ยิน “ดีมาก เด็กที่มีทุกอย่างเพียบพร้อมเจ้านี่ข้าไม่เคยพบเคยเจอมาก่อนจริง ๆ แต่การเดินทางครั้งนี้มันแสนไกล จงระวังตัวไว้ให้ดีเถิด!”
หากเป็นอัจฉริยะธรรมดา ๆ การติดอยู่ในอาณาจักรเดิม ๆ แบบนี้มานานหลายต่อหลายปี พวกเขาอาจจะหมดแรงที่จะอยู่ต่อและปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับความสิ้นหวัง
แต่เล่งหยูนั้นไม่เห็นอารมณ์ด้านลบใด ๆ ออกมาจากตัวของเย่หยวนเลยแม้แต่น้อย
เขายังคงมีท่าทีสดใสและสดชื่น ทำให้ผู้ได้พบเห็นรู้สึกโล่งใจและสงบอย่างบอกไม่ถูก
นี่คือสิ่งที่ทำให้พวกเล่งหยูทั้งหลายมั่นใจ มั่นใจว่าสักวันเย่หยวนต้องบรรลุอาณาจักรขึ้นมาได้แน่ ๆ
เย่หยวนพยักหน้ารับ “ขอโปรดวางใจ เย่ผู้นี้มีไม้เด็ดใช้ปกป้องตัวเองได้ไม่ยาก พวกเจ้าทั้งหลายจงรอฟังข่าวดีเถิด ปัญหาเดียวที่กวนใจข้าตอนนี้คือข้าไม่สามารถรักษาผู้อาวุโสใหญ่ให้หายได้ก่อนจะออกเดินทาง”
เจิ่งชีนั้นมีสภาพที่ย่ำแย่มากเหมือนคนป่วยหนักใกล้ตายเต็มที แต่เขาก็ยังสามารถมีชีวิตทนอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้
เมื่อได้ยินว่าเย่หยวนจะเดินทางออกจากเมือง เจิ่งชีจึงยืนยันอย่างสุดตัวว่าเขาจะต้องออกมาส่งเย่หยวนให้ได้
เจิ่งชียิ้มออกมา “หากไม่ใช่เพราะเจ้า ชายแก่คนนี้คงไม่มีชีวิตไปแล้วเสียด้วยซ้ำ ตอนนี้เมื่อความแค้นของอาจารย์ถูกสะสางแล้ว ชายแก่คนนี้ก็ไม่มีอะไรค้างคาในโลกอีก เจ้าจงไปเถอะ หากข้าทนมาจนถึงทุกวันนี้ได้ข้าก็ทนรอจนกว่าเจ้าจะกลับมาได้!”
เมื่อได้เห็นว่าสภาพจิตใจของเจิ่งชียังดี เย่หยวนก็ยิ้มและพยักหน้ารับ
ที่ด้านข้าง หนิงซืออวี๋นั้นมีท่าทางไม่ค่อยพอใจมาก ก่อนจะบ่นออกมาเบา ๆ “หนิงเทียนปิงนี่มันช่างไร้สำนึกเสียจริง ๆ ไหนว่าจะออกมาส่งเขาด้วยกัน แต่สุดท้ายกลับหายหน้าไปเนี่ย”
เวลากว่า 300 ปีมานี้หนิงซืออวี๋เองก็สามารถบรรลุขึ้นสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าได้แล้วและกลายเป็นจอมเทพโอสถ 4 ดาว
นี่เองก็เป็นส่วนหนึ่งในเหตุผลของความไม่พอใจจากทุก ๆ คนรอบตัว
เพราะหนิงซืออวี๋ผู้นี้นับได้ว่าเป็นศิษย์ของเย่หยวนไปครึ่งตัว ตอนนี้แม้แต่ศิษย์ยังบรรลุได้ แต่อาจารย์กลับยังย่ำอยู่ในอาณาจักรบรรพชนพระเจ้า มันเป็นเรื่องที่ทำให้ผู้คนต่างดูถูกเขาหนักขึ้น
แต่ว่าตัวหนิงซืออวี๋นั้นไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นเลย นางรู้สึกขอบพระคุณในตัวเย่หยวนมาก
เพราะหากไม่มีเย่หยวนแล้ว มีหรือที่นางจะบรรลุได้รวดเร็วขนาดนี้ แถมเขายังช่วยสอนเรื่องราวต่าง ๆ ในวิชาโอสถให้นางอีกมากมาย
เย่หยวนยิ้มตอบมา “หากสวรรค์อยากให้เราลาจากเราก็ไม่มีทางใด ๆ ไปขัดขืนได้ แค่พวกเจ้ามากันในวันนี้ข้าก็รู้สึกซาบซึ้งจนไม่รู้จะขอบคุณอย่างไรแล้ว”
เพราะเพื่อนแท้คือเพื่อนยามยาก!
การนับว่าคนเรามีเพื่อนแท้มากแค่ไหนนั้นไม่ได้นับจากจำนวนคนที่อยู่รอบ ๆ ตัวเมื่อเรามีอำนาจและเงินตรา แต่เป็นการนับคนที่ยังยอมอยู่รอบตัวเราเวลาเราลำบากและหัวเราะไปด้วยกันในยามที่เราตกร่วงลงมาสู่จุดต่ำสุด
และแน่นอนว่าผู้คนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเย่หยวนในวันนี้คือเพื่อนแท้ของเขาในเมืองเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์อย่างไม่ต้องสงสัย
แต่เรื่องของหนิงเทียนปิงนั้นกลับอยู่นอกเหนือการคาดการณ์ของเย่หยวนไปมาก
เพราะด้วยความเข้าใจที่ตัวเขามีต่อหนิงเทียนปิง เขาไม่น่าจะเป็นคนที่เลวร้ายใด ๆ
เว้นเสียแต่ว่าเขาจะปกปิดนิสัยที่แท้จริงได้เก่งกาจปานนั้น
แต่นายน้อยอย่างหนิงเทียนปิง เขาก็ไม่น่าจะเป็นคนที่เลวทรามไปถึงแก่นได้
“เอาล่ะ แม้ต่อให้พวกเจ้าเดินไปส่งแจกไกลนับหมื่นลี้แต่สุดท้ายเราก็ต้องลาจาก เพราะฉะนั้นทุกคนโปรดกลับเข้าเมืองเถอะ”
เย่หยวนยกมือขึ้นประกบหมัดเป็นท่าแสดงความคารวะต่อทุกคนเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะหันหน้าเดินจากไป
…
บนยอดหอยุทธ์ มีสายตาสองคู่กำลังจ้องมองการจากไปของเย่หยวน
“พี่โซ ท่านแน่ใจเรื่องเย่หยวนแล้วรึ?” เหอชงถามชายวัยกลางคนที่อยู่ด้านข้าง
และการที่ทำให้คนอย่างเหอชงเรียกว่าพี่โซได้แบบนี้ แน่นอนว่าเขาคนนี้ต้องเป็นเจ้าเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ โซชูเจียผู้ที่ทำอะไรเคลื่อนไหวอย่างลับ ๆ ไม่ให้ใครรู้ตลอดมา
โซชูเจียยิ้มตอบ “เด็กคนนี้มันไม่ใช่คนที่ตื้นเขินแบบนั้นหรอก! แค่ติดหล่มนิดหน่อยจะเป็นอะไรไป? สุดท้ายคนที่หัวเราะทีหลังย่อมดังกว่าเสมอ”
เหอชงจึงตอบกลับมาด้วยท่าทางประหลาดใจ “ดูจากภายนอกแล้วเป็นไปได้ว่าเขาจะใช้พรสวรรค์ของตัวเองจนสิ้นแล้ว การบรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้าสำหรับเขามันคงกลายเป็นเรื่องที่แสนยากแน่ อัจฉริยะที่กลายเป็นแบบนี้มันก็มีไม่น้อยเลย กลับกันข้าคิดว่าการถือเขาหน่วงเทพบรรพกาลไว้ในมือเราเองมันจะพึ่งพาได้มากกว่า”
โซชูเจียหัวเราะใส่คำพูดนั้นของเหอชง ก่อนจะส่ายหัวออกมาอย่างแรงทั้ง ๆ ที่ยังหัวเราะอยู่ “แหม เจ้านี่ ลองมองเรื่องราวให้กว้างไกลหน่อยสิ! เจ้าคิดว่าเย่หยวนจะมีแค่เขาหน่วงเทพบรรพกาลเป็นสมบัติติดตัวชิ้นเดียวรึ?”
นั่นทำให้สีหน้าของเหอชงเปลี่ยนไปทันที “ใช่เลย! เพราะข้าเองก็ไม่แน่ใจเรื่องนี้ตอนนั้นข้าถึงไม่ได้ลงมือใด ๆ ไป”
โซชูเจียจึงยิ้มขึ้นตอบ “ดีแล้วที่เจ้าไม่ได้ลงมือใด ๆ ไม่เช่นนั้นคงเป็นภาระข้าที่ต้องไปหยุดเจ้าไว้!”
เหอชงจึงถามขึ้นอย่างแตกตื่น “ทำไมล่ะ?”
โซชูเจียตอบ “ตอนนั้น ตอนที่เด็กคนนี้ยังอยู่ในเมืองชั้นนอก เขากลับสามารถดึงดูดความสนใจของข้าได้ด้วยความสามารถทั้งทางยุทธ์และทางโอสถที่เหนือล้ำ ความลับของเย่หยวนนั้นมันมีมากกว่าแค่เขาหน่วงเทพบรรพกาล! และเขายังต่างจากเด็กอัจฉริยะคนอื่น ๆ อย่างมหาศาล เขาฉลาด ความคิดดีไม่ประมาท แถมมีความคิดที่เปิดกว้าง คนเช่นนี้มันเคี้ยวยาก มีทุกสิ่งอย่างที่เพียบพร้อมในการขึ้นมาเป็นสุดยอดฝีมือไร้ที่เปรียบ! ด้วยนิสัยแบบนั้นมีหรือที่เขาจะยอมปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในอันตราย?”
ยิ่งเหอชงได้ฟัง เขาก็ยิ่งตื่นตระหนก “พี่หมายถึง?”
เพราะต่อให้ทั้งคู่จะเป็นยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์เหมือน ๆ กัน แต่ในด้านความคิดเจ้าการนั้นเหอชงเทียบกับโซชูเจียไม่ได้เลย
โซชูเจียตอบกลับมา “ตอนนั้นข้าได้สั่งคำสั่งออกไป ให้เขาได้กลายเป็นผู้อาวุโสของหอโอสถ หากเขาปฏิเสธก็หมายความว่าเขาไม่มีปัญญาที่จะปกป้องตนเอง เพราะตัวเขานั้นมีความลับอยู่อย่างมากมายมหาศาล เมื่อใดก็ตามที่เขาตกเป็นเป้าสายตาของยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์มันจะไม่เท่ากับว่าเป็นหายนะหรือ? แต่เมื่อเขากล้าตอบตกลงมันจะหมายความว่าอย่างไร?”
เหอชงขนลุกไปทั่งร่างและตอบกลับมา “หมายความว่าเขาแข็งแกร่งพอที่จะปกป้องตัวเองได้โดยไม่เกรงกลัวพวกเราเลย!”
โซชูเจียยิ้มขึ้น “อย่างน้อย ๆ เราก็ไม่น่าจะสังหารเขาลงได้! คนเช่นนี้หากเขาไม่ตายผลที่ตามมามันคงกลายเป็นหายนะ ดูอย่างเรื่องของฉินเซียวแห่งเมืองหลวงอู๋เมิ่งสิ เรื่องนั้นมันอาจจะเกิดขึ้นกับเราบ้างก็ได้!”
เหอชงเริ่มเข้าใจและทำให้ร่างกายของเขาปล่อยเหงื่อเย็นเหยียบออกมา “แบบนี้นี่เอง! พี่โซช่างคิดการไกลนัก! แต่หากเป็นเช่นนั้นพวกข่าวที่ลือกันอยู่ในเมืองนี้ ทำไมพี่ไม่พูดออกมาเสียหน่อยล่ะ หรืออย่างน้อย ๆ ก็ไปยื้อเย่หยวนไว้ให้อยู่ในเมือง?”
โซชูเจียตอบกลับมา “ก็จริงที่ว่าเขานั้นเป็นอัจฉริยะ แต่เขาเป็นอัจฉริยะที่ยังไม่เติบโตเต็มที่ การกักขังเขาไว้ในกรงแบบนั้นมันจะเป็นการทำร้ายเขามากกว่า ที่สำคัญด้วยนิสัยนั้นของเขาต่อให้เราจะยื้อไว้แค่ไหนมันก็คงไม่อยู่ ตอนนี้การบรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้านั้นคงเป็นภาระที่หนักหน่วงของตัวเขาเป็นแน่ หากก้าวข้ามมันไปได้ เขาก็จะเจอทางโล่งให้เดินต่อทันที แต่หากข้ามไม่ได้เขาก็คงเลือนหายไปกับฝูงชน! แต่ทว่าหลังจากมองดูเขามาหลายต่อหลายปี ข้านั้นยังมีความมั่นใจในตัวเขาคนนี้อยู่”
…
เย่หยวนไม่ได้รับรู้เลยว่าโซชูเจียประเมินตัวเขาไว้สูงแค่ไหน
เขาเดินทางออกมาเรื่อย ๆ จนไกลลิบนับล้านลี้
ในป่าทึบแห่งหนึ่ง จู่ ๆ เย่หยวนก็หยุดฝีเท้าลง
เย่หยวนกล่าวขึ้น “ที่นี่มันก็ไกลพอแล้ว เป็นสถานที่เหมาะจะดักปล้นฆ่าคนนัก หากพวกเจ้ายังไม่คิดแสดงตัวออกมาแล้วจะยังรออะไรอีก?”
เขานั้นไม่ได้ใช้โถงบัลลังก์ม่วงเลยระหว่างที่เดินทางมา เพราะเขาสัมผัสได้ถึงร่องรอยของผู้คนที่ติดตามมาในก้าวแรกที่เดินออกจากเมือง
และไม่นานนักเมื่อเสียงค่อย ๆ เงียบลงก็ปรากฏเงาร่างสี่เงาออกมาในป่าทึบล้อมเย่หยวนไว้ทุกทิศ
ยอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้าสามดาวคนหนึ่งที่นำมากล่าวขึ้น “เฮอะ ตาดีสมเป็นผู้อาวุโส! เราดูถูกเจ้าเกินไปจริง ๆ”
ชายคนนี้เป็นคนที่เย่หยวนรู้จัก เขามีนามว่าเฮาเหลียงเป็นผู้พิทักษ์หอยุทธ์ชั้นสูง และเป็นเพื่อนคนหนึ่งของหลินตงด้วย
ดูท่ากลุ่มนักล่าในครานี้จะเกี่ยวพันกับหลินตง
“ยอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้าสามดาว และยอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้าสองดาวสามคน พวกเจ้าจะประเมินเย่คนนี้สูงเกินไปแล้ว!” เย่หยวนตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มที่เย็นเหยียบ
เฮาเหลียงที่ค่อย ๆ เคลื่อนตัวเข้าตำแหน่งล้อมเย่หยวนกล่าวขึ้น “ใคร ๆ ต่างก็รู้ว่าผู้อาวุโสเย่แม้จะเป็นแค่นักยุทธอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าแต่กลับสังหารนักยุทธอาณาจักรราชันพระเจ้าหนึ่งดาวได้ การจัดการคนเช่นนี้ไม่ว่าเราจะเตรียมตัวมาหนักแค่ไหนมันก็ไม่มีคำว่าเกินไปหรอก! ด้วยจำนวนเท่านี้เราต้องสามารถสังหารเจ้าลงได้แน่”
แต่เย่หยวนกลับยิ้มตอบ “ยังมีอีกคนไม่ใช่รึ? ทำไมไม่ออกมาหน่อยล่ะ?”
เมื่อสิ้นคำพูดนั้น พวกเฮาเหลียงทุกคนต่างมีหน้าเปลี่ยนสีไปในทันที
ตอนที่ 1643 เบื่อโลก
“เด็กน้อย หากเจ้าคิดจะหลอกลวงพวกเรามันยังเร็วไปหมื่นปี! หากกลัวขนาดนั้นก็จงส่งเขาหน่วงเทพบรรพกาลออกมาเสีย แล้วเราจะไม่ต้องให้เจ้าเจ็บมาก”
สีหน้าของเฮาเหลียงเปลี่ยนไปทันที เพราะวันนี้พวกเขามากันแค่ สี่คน จะเอาคนที่ห้า มาจากไหน?
หรือเด็กคนนี้มันจะกุเรื่องคนที่ห้า ขึ้นมาเพื่อข่มขู่พวกเขาแล้วใช้โอกาสนั้นหลบหนีไป?
เย่หยวนยิ้มออกมา “เหมือนว่าพวกเจ้าจะมาเพื่อเขาหน่วงเทพบรรพกาลสินะ ต่อให้ข้ามอบเขาหน่วงเทพบรรพกาลให้เจ้าไป เจ้าจะมีปัญญาเอามันไปหรือ?”
เฮาเหลียงหัวเราะเยาะเย้ยออกมา “เรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องที่เจ้าต้องมาสนใจ! แน่สิ คงอยากคิดจะขู่เราล่ะสินะ? เฮอะ เฮอะ คนที่ห้า มันจากมาจากที่ไหนกัน?”
เฮาเหลียงนั้นมองดูไปรอบตัวทุกทิศแต่ไม่เจอว่าจะมีร่องรอยของใครอยู่เลย จึงเริ่มมั่นใจในการคาดเดาของตัวเอง
เย่หยวนนั้นก็ตกใจไม่น้อย เพราะเขาคิดว่าพวกเขามากันห้าคน แต่ปรากฏว่าเขาคาดผิด
เย่หยวนจึงหันไปยังต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งและกล่าวขึ้น “ยังไม่ออกมาอีกรึ หรือต้องให้ข้าปูพรมเชิญก่อน?”
พูดจบเงาร่างหนึ่งก็ลอยตัวลงมาจากต้นไม้
“หนิงเทียนปิง!” เฮาเหลียงพูดออกมา
เขาไม่เคยคิดเลยว่ามันจะมีคนที่ห้า อยู่จริงๆ
เย่หยวนเองก็ตกใจไม่แพ้กัน เพราะเขาไม่เคยคาดคิดว่าคนที่ห้า ที่ว่านี้จะเป็นหนิงเทียนปิง
หนิงเทียนปิงหันมาหาเย่หยวนด้วยสีหน้าเหนื่อยอ่อนแรง “นายใหญ่ เดิมทีข้าคิดจะลอบโจมตีเฮาเหลียงแท้ๆ แต่เมื่อโดนท่านเรียกออกมาแบบนี้ข้าจะต้องทำยังไงต่อดีล่ะเนี่ย?”
เย่หยวนจึงหัวเราะออกมาอย่างไม่คิดมากมายนัก “แค่หมูหมากาไก่ข้างทาง ทำไมต้องลอบโจมตีมันด้วย?”
หนิงเทียนปิงหัวเราะขึ้นเบาๆ “ข้ารู้ดีว่านายใหญ่นั้นมีวิธีสู้ พวกโง่เหล่านี้มันคงไม่พอมือนายใหญ่หรอก!”
คนทั้งสองหัวเราะออกมาพร้อมๆ กันอย่างไม่คิดจะสนใจพวกเฮาเหลียงแม้แต่น้อย
เฮาเหลียงนั้นโกรธจัด!
“เย่หยวนเจ้านั้นมิใช่ผู้อาวุโสอีกต่อไปแล้ว เจ้ายังคิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่นักหรือ? แค่หนิงเทียนปิงคนเดียวคิดว่ามันจะมาช่วยเจ้าได้รึ?” เฮาเหลียงตะโกนออกมา
หนิงเทียนปิงหันไปมองเฮาเหลียงด้วยสีหน้าสุดเหนื่อยหน่าย “วิธีการต่อสู้ของนายใหญ่นั้นคนอย่างเจ้าไม่คิดทางคาดคิดถึงได้หรอก! ต่อให้ข้าไม่มาพวกเจ้าคิดหรือว่าตัวเองจะสังหารเขาลงได้?”
เฮาเหลียงยิ้มขึ้น “น่าขัน! แค่นักยุทธอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าคนหนึ่ง ต่อให้มันรู้แนวคิดแห่งห้วงมิติแล้วจะทำไม คิดว่ามันจะรอดจากมือของพวกข้าสี่คนไปได้รึ? ข้าจัดการหนิงเทียนปิงเอง พวกเจ้าทั้งสาม ไปจัดการเย่หยวนเสีย!”
“ขอครับ!” คนทั้งสามตอบกลับก่อนจะพุ่งตัวเข้าหาเย่หยวน
เมื่อร่างของเฮาเหลียงขยับ มันก็มุ่งหน้าเข้ามาหาหนิงเทียนปิงทันที
หนิงเทียนปิงนั้นไม่ได้เกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย ยกดาบขึ้นมาโจมตีสวนไป!
ในเวลา สามร้อยปีที่ผ่านมานี้ หนิงเทียนปิงไม่ได้มีพลังบ่มเพาะที่รวดเร็วเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
เขารู้ได้เลยว่าผลของโอสถสุริยันจักรวาลได้หมดลงแล้ว
เพราะแค่โอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสาม มันไม่มีทางส่งผลยาวชั่วชีวิตได้
แต่แค่เฮาเหลียง หนิงเทียนปิงในตอนนี้มั่นใจมากว่าจะจัดการอีกฝ่ายได้
คนทั้งสองมีพลังฝีมือที่เทียบเคียงกัน จนไม่สามารถตัดสินผลแพ้ชนะได้ไปพักใหญ่
ระหว่างนั้นยอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้าสองดาวทั้งสามคนก็ได้เข้ามาล้อมเย่หยวนไว้ตรงกลางแล้ว
“โจมตี!”
คนทั้งสามพยายมโจมตีล้อมเป็นวงพร้อมๆ กันออกมา โจมตีเข้าใส่เย่หยวนจากสามทิศทาง
สำหรับนักยุทธอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าแล้วมันคงเป็นสถานการณ์แห่งความตาย
แต่ว่าเย่หยวนนั้นไม่คิดที่จะหลบเลยแม้แต่น้อย และไม่คิดที่จะขยับตัวเลยสักนิด
ตู้ม!
จู่ๆ ก็เกิดเสียงระเบิดดังขึ้น
คลื่นพลังงานจากการระเบิดอันรุนแรงนั้นมันทำให้พวกเฮาเหลียงต้องหยุดดาบลงตามไปด้วย
ตอนนี้ร่างหนึ่งของยอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้าสองดาวกำลังลอยกระเด็นออกไปไกล
ร่างของเย่หยวนเองก็ปลิวออกไปหลายร้อยเมตร
ตึบ!
ร่างไร้วิญญาณของยอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้าสองดาวคนนั้นตกลงกระแทกพื้นด้วยเสียงดัง ราวค้อนที่ทุบเข้าไปในดวงใจของทุกคน
ตอนนี้ร่างกายนั้นมันเหลือแค่เศษเนื้อกองหนัง เป็นความตายที่ชัดเจน ดูท่าเขาคงถูกระเบิดตาย
เคร้ง!
เฮาเหลียงและหนิงเทียนปิงผละตัวออกจากกัน เฮาเหลียงกันไปมองเย่หยวนด้วยดวงตาที่ไม่อยากจะเชื่อ “เจ้า… เจ้ามันบ้าไปแล้ว! เจ้า… เจ้ากล้าที่จะระเบิดสมบัติราชันพระเจ้าเลิศล้ำ!”
สมบัติราชันพระเจ้าเลิศล้ำนั้นมีโลกภายในของตัวเอง เป็นพื้นที่ส่วนตัวที่ใช้เก็บพลังแห่งโลกไว้
เมื่อใดก็ตามที่สมบัติราชันพระเจ้าเลิศล้ำถูกทำลาย มันจะปล่อยพลังระเบิดออกมาในระยะสั้นๆ แต่แสนจะรุนแรง
ต่อให้เป็นยอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้าก็ไม่มีทางรอดหากโดนระเบิดจากสมบัติราชันพระเจ้าเลิศล้ำเข้าไปจังๆ
และยอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้าสองดาวผู้นี้ก็เป็นคนที่อยู่ใกล้เย่หยวนที่สุดเมื่อสักครู่นี้ ก่อนที่เย่หยวนจะระเบิดสมบัติราชันพระเจ้าเลิศล้ำออก
ปัญหาเดียวคือสมบัติราชันพระเจ้าเลิศล้ำมันมีคุณค่ามากมายมหาศาล เฮาเหลียงเองก็เพิ่งจะมีปัญญาหามันมาครอบครองได้หลังจากบรรลุมาถึงอาณาจักรราชันพระเจ้าสามดาวนี้เท่านั้น
สิ่งของระดับนี้ หากไม่ใช่สถานการณ์เสี่ยงตายจริงๆ มีหรือที่จะมีใครกล้าคิดระเบิดมัน?
ที่สำคัญหากไร้ซึ่งอาวุธใดๆ ในการต่อสู้แล้ว พวกเขาเองก็คงไม่สามารถสู้ต่อไปได้ มันจึงเหมาจะใช้เป็นไม้ตายสุดท้ายจริงๆ
ยอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้าสองดาวผู้น่าสงสารคนนี้น่าจะยังไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าตัวเองตายเพราะอะไรกันแน่
ยอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้าสองดาวคนอื่นๆ เองก็ลอยมาไกลด้วยบาดแผลที่หนักสาหัสไม่เบา
เย่หยวนยิ้มออกมา “แค่ฆ่าได้ก็พอแล้วนี่ บ้ายังไงกัน?”
เฮาเหลียงแทบสำลักเมื่อได้ยิน เขาไม่เคยคิดเลยว่าเย่หยวนจะกล้าทำเรื่องที่บ้าบิ่นขนาดนี้
“ฮึ่ม! ระเบิดสมบัติราชันพระเจ้าเลิศล้ำได้แล้วจะทำไม? หรือเจ้าจะบอกว่าตัวเองมีสมบัติราชันพระเจ้าเลิศล้ำชิ้นที่สอง? หากมีปัญญาก็ลองระเบิดเขาหน่วงเทพบรรพกาลดูสิ!”
เฮาเหลียงหัวเราะออกมาแต่ไม่นานรอยยิ้มของเขานั้นก็ต้องแข็งทื่อลง สีหน้าของเขาซีดลงอย่างถึงที่สุด ตกใจจนลูกตาแทบหลุดออกมาจากเบ้า
เพราะตอนนี้เขาได้เห็นเย่หยวนหยิบสมบัติราชันพระเจ้าเลิศล้ำอีกชิ้นออกมาเล่นในมือ
“หึหึ! ฮ่าฮ่าฮ่า! เฮาเหลียง ข้าบอกแล้วไงล่ะว่านายใหญ่นั้นมีวิธีการต่อสู้ที่เจ้าไม่มีทางคาดถึง!” หนิงเทียนปิงทนไม่ไหวต้องหัวเราะออกมาเสียงดัง
เย่หยวนจึงพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ข้ามีไม่มากหรอก แค่สมบัติราชันพระเจ้าเลิศล้ำไม่กี่อัน อืม… คงพอที่จะระเบิดพวกเจ้าตายไปสัก เก้าถึงสิบ รอบได้อยู่”
เฮาเหลียงพูดขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ “โม้ไปเถอะ! เจ้าคิดว่าจะขู่ข้าได้เรอะ? สมบัติราชันพระเจ้าเลิศล้ำมันกลายเป็นของหาง่ายขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
พูดจบเย่หยวนจึงหยิบสมบัติราชันพระเจ้าเลิศล้ำออกมาอีกชิ้นและยิ้มกว้าง “เชื่อยัง? หรือยังไม่เชื่ออีก?”
คราวนี้เย่หยวนก็หยิบสมบัติราชันพระเจ้าเลิศล้ำออกมาอีกชิ้น
เฮาเหลียงจึงแทบทรุดลงตรงนั้น!
เขาต้องพยายามตามหานานแสนนานแค่ไหนกว่าจะได้สมบัติราชันพระเจ้าเลิศล้ำมาไว้ในมือสักชิ้น
แต่เด็กคนนี้ที่ยังไม่บรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้าเสียด้วยซ้ำ แต่กลับนำมันออกมาได้ถึงสามชิ้นแล้ว!
ไม่สิ หากนับรวมกับที่ระเบิดไปก่อนหน้ามันก็มีถึง สี่ชิ้นแล้ว!
มันเกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กัน?
เมื่อเหล่ายอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้าสองดาวที่เหลือได้เห็นภาพนั้นพวกก็ถูกความกลัวเข้าครอบงำทันที
นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นการระเบิดของสมบัติราชันพระเจ้าเลิศล้ำ ความแรงของมันสร้างความกลัวขึ้นเต็มหัวใจของพวกเขา
“ร-เราไม่เอาด้วยแล้ว!”
พูดจบพวกเขาทั้งสองก็รีบมุ่งหน้ากลับออกมาด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ
พวกเขาในตอนนี้หวาดกลัวอย่างถึงที่สุด หากโดนระเบิดเข้าไปอีกคราพวกเขาคงไม่เหลือชิ้นแน่ๆ
แต่เป็นเวลานั้นเองที่เย่หยวนยิ้มขึ้นที่มุมปากก่อนเงาร่างของเขาจะหายไป
ตู้ม!
เสียงระเบิดอีกเสียงหนึ่งดังขึ้นส่งร่างของยอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้าสองดาวทั้งสองคนลอยลิ่วไปไกล
แรงระเบิดในครั้งนี้มันรุนแรงเสียยิ่งกว่าครั้งแรก
เมื่อเฮาเหลียงได้เห็นภาพนั้นขาของเขาก็อ่อนแรงลงทันที ส่งร่างของเขาให้นั่งคุกเข่าลงกับพื้น
พลังของแรงระเบิดนี้ มีหรือที่เขาจะกล้ารับมันไว้ตรงๆ
“เจ้า… เจ้ามันบ้าไปแล้ว! ต่อให้เจ้าจะมีสมบัติราชันพระเจ้าเลิศล้ำหลายชิ้นเจ้าก็ไม่เห็นต้องทำถึงขนาดนี้เลยนี่? พวกนั้น… พวกนั้นมันไม่คิดจะสู้แล้วด้วยซ้ำ”
เฮาเหลียงนั้นอยากจะร้องไห้ออกมาตรงนี้ เด็กน้อยคนนี้มันจอมมารชัดๆ
ตอนนี้เขาแค่อยากจะกลับไปตบหน้าตัวเองให้ดังๆ
เขาคิดจะมาปล้นเอาของคนอื่นง่ายๆ เช่นนั้นได้อย่างไร? นี่มันเหมือนหนูคิดจะล่าเสือ มันคือการรนหาที่ตายชัดๆ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น