Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1636-1639
ตอนที่ 1636 สังหารอย่างไร้ปรานี
หนิงเทียนปิงนั้นตื่นตกใจในทีแรก แต่หลังได้เห็นเนินเขาในมือเย่หยวนแล้วเขาก็ยิ่งตื่นตะลึงจนต้องอ้าปากค้าง
อะไรน่ะ?
ผู้อาวุโสเย่ยกภูเขาออกมาด้วย?
มันเป็นภาพที่ดูเหลือเชื่อมาก ร่างกายเล็กๆ ของเย่หยวนกลับสามารถแบกเขาออกมาได้ทั้งลูกโดยที่ไม่ถูกมันกดทับจนตายไปก่อน
หลายต่อหลายคนได้เห็นภาพนั้น รวมไปถึงฝ่ายปีศาจด้วย
“ฮ่าฮ่าฮ่า ไอ้เด็กคนนี้มันมาเล่นตลกหรือ? จะยกเนินเขามาด้วยเพื่อ?”
“นี่มันกะจะมาขู่เราเรอะ? ฮ่าฮ่า กลัวแล้วจ้า!”
“ช่างเป็นภูเขาที่ยิ่งใหญ่นัก! พระเจ้าช่วยข้าคงต้องถูกมันทับตายแน่แล้ว!”
…
สำหรับนักยุทธอาณาจักรบรรพชนพระเจ้านั้นการยกแบกเนินเขาแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นเลย
เพราะฉะนั้นสภาพของเย่หยวนในตอนนี้มันจึงดูน่าตลกขำขันอย่างถึงที่สุด ไม่มีใครคิดว่ามันเป็นภาพที่แปลกประหลาดใดๆ
เพราะว่าพวกเขาเองก็สามารถยกเขาขนาดนั้นขึ้นมาได้ไม่ยากเย็นนัก
ต่อให้เนินเขาแบบนี้พุ่งเข้าชนใครเข้ามันก็ไม่สามารถทำอันตรายใดๆ ได้เลย เพราะฉะนั้นพวกเขาทั้งหลายจึงกำลังล้อเลียนเย่หยวนอยู่อย่างในตอนนี้
เหล่าปีศาจนั้นเชื่อว่าชัยชนะนั้นอยู่ในกำมือของตัวเองแล้ว และนักยุทธอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าอย่างเย่หยวนคงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้มากมาย ต่อให้เขามีพลังเทียบเท่าอาณาจักรราชันพระเจ้าหนึ่งดาวแต่มันก็ยังไม่ช่วยอะไรอยู่ดี
พวกหนิงเทียนปิงเองก็มีความรู้สึกไม่ต่างกัน พวกเขาจึงตะโกนบอกเย่หยวนออกมา “ผู้อาวุโสเย่ จงอย่าได้กังวลเรื่องพวกเรา ท่านจงไปเถอะ!”
เย่หยวนหันมายิ้มให้หนิงเทียนปิงเล็กน้อย ทำให้อีกฝ่ายต้องชะงักไป ก่อนจะเห็นว่าเย่หยวนค่อยๆ ยกมือที่แบกเขามาด้วยขึ้นและโยนมันออกมา
จากนั้นเขาก็เห็นว่าเขาลูกนั้นพุ่งมาเป็นเส้นโค้งตามแรงโน้มถ่วงและพุ่งตรงเข้าใส่ดาราสวรรค์
ดาราสวรรค์นั้นเห็นมานานแล้วว่าเย่หยวนคิดจะทำอะไร แต่เขาไม่ได้สนใจเย่หยวนเลยแม้แต่น้อย เมื่อเขาเห็นว่าเย่หยวนโยนเขาลูกนั้นมาหวังจะให้มันทับเขาจริงๆ ดาราสวรรค์ก็ได้แต่หัวเราะเยาะขึ้นมา “แค่เขาเล็กๆ ลูกเดียวเจ้ากลับคิดที่จะใช้มันโจมตีข้าเรอะ? เข้าคิดว่าข้าผู้นี้มีร่างกายทำขึ้นมาจากกระดาษหรืออย่างไร?”
ดาราสวรรค์ยกค้อนยักษ์ออกมา มันเป็นสมบัติราชันปีศาจเลิศล้ำ
ตอนนี้เขายิ่มเยาะออกมาและแกว่งค้อนไปด้านหน้าเข้าปะทะกับเขาหน่วงเทพบรรพกาล
แต่เป็นตอนนั้นเองที่เขาหน่วงเทพบรรพกาลได้ตกลงมาพร้อมกำลังกดดันแรงโน้มถ่วงอันมหาศาล
ดาราสวรรค์ผู้ที่มีรอยยิ้มเยาะอยู่บนใบหน้าต้องหน้าถอดสีทันที ตอนนี้ในที่สุดเขาก็ได้รับรู้ถึงความน่ากลัวของเจ้าเขาลูกนี้แล้ว
สัญชาตญาณของเขาสั่งให้หนี แต่เท้าของเขากลับไม่ขยับตามราวกับว่ามันมีรากงอกออกมา!
“อ้าก!”
เสียงกรีดร้องดังขึ้นและจางหายไปในพริบตา
ความเร็วในการตกของเขาหน่วงเทพบรรพกาลนั้นมันเร็วมากจนเกินไป มากจนไม่มีใครสามารถรับมือได้ทัน
พวกเขาไม่ทันที่จะกระพริบตาเสียด้วยซ้ำ ในตอนที่ดาราสวรรค์ถูกบด
“แผล่ะ!”
เลือดและเนื้อสดๆ กระเซ็นไปทั่วบริเวณ!
ตี้เอิ่นและหลิงจี้คุนที่อยู่ไม่ห่างไปนักถึงกับโดนเลือดของดาราสวรรค์สาดเข้าหน้า
ตี้เอิ่นตัวสั่นขึ้นในทันที มองภาพตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อสายตา
เย่หยวนยกมือขึ้นอีกครั้งเรียกเขาหน่วงเทพบรรพกาลกลับเข้ามือของตัวเองมาอีกครา ก่อนจะค่อยๆ ยกมันขึ้นช้าๆ
แต่คราวนี้ไม่มีใครหัวเราะออกมาอีกแล้ว
ทุกคนหยุดการต่อสู้ลงและหันไปมองเศษเนื้อที่ครั้งหนึ่งเคยเห็นดาราสวรรค์เป็นตาเดียว
ตอนนี้ต่อให้เป็นวิญญาณปีศาจของเขาก็คงถูกบดเละไม่เหลือชิ้นดีไปแล้ว
ยอดฝีมือปีศาจคนหนึ่งจึงร้องขึ้นอย่างตื่นตระหนก “ม-ไม่จริงใช่ไหม? นี่มันเรื่องอะไร ทำไม… ทำไมมันถึงได้แข็งแกร่งปานนี้?”
ใบหน้าสีดำของเขาตอนนี้มันเริ่มซีดลงอย่างชัดเจน ดูท่าเขาคงกลัวอย่างมากจริงๆ
เพราะการที่สามารถบดขยี้ยอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้าสามดาวลงได้ในการโจมตีเดียวแบบนี้ พลังของเขาลูกนั้นมันช่างเหนือล้ำกว่าสิ่งใดๆ จริงๆ
“ข-เขาหน่วงเทพบรรพกาล! สมบัติที่เกิดมาในครั้งนี้คือเขาหน่วงเทพบรรพกาล! ร-เร็วเข้า รีบหนีเร็ว!”
ตี้เอิ่นกรีดร้องด้วยเสียงแหลมสูงขึ้นมาจากด้านหลังสั่งการคนของตัวเองด้วยท่าทางหวาดกลัวสุดขีด
และเมื่อได้ยินแบบนั้นจะยังมีใครกล้าอยู่ต่อ? พวกเขารีบออกวิ่งหนีกันไปกระจัดกระจายทันที!
เย่หยวนยิ้มขึ้น “อย่าเพิ่งรีบกลับกันสิ เดี๋ยวข้าไปส่งให้!”
พูดจบเย่หยวนก็ขว้างเขาหน่วงเทพบรรพกาลออกมาอีกครั้ง เขาหน่วงเทพบรรพกาลนั้นตามมาจนถึงตัวตี้เอิ่นด้วยความเร็วที่เหนือจินตนาการ
ตุบ!
เสียงดังกระแทกหูผู้คนไปทั่วบริเวณ ตอนนี้ยอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้าสามดาวอีกคนได้หายไปแล้ว
ยอดฝีมือปีศาจนั้นถูกความกลัวเข้าครอบงำจนแทบฉี่ราด เจอเรื่องแบบนี้พวกเขาที่เหลือจะยังมีใครกล้าอยู่ต่อ? ตอนนี้พวกเขาทุกคนใช้พลังที่มีออกมาทั้งหมดในการวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต
ตอนนี้พวกเขาได้แต่ภาวนา ภาวนาว่าเย่หยวนจะไม่เล็งตัวเอง
เพราะแม้แต่ดาราสวรรค์และตี้เอิ่น สองยอดฝีมือยังพ่ายแพ้ลงในอึดใจ มีหรือที่พวกเขาจะต้านทานไหว?
“ห-ห-ห-หนีเร็ว! วิ่ง!”
“รีบวิ่งเร็ว! เจ้ามนุษย์นี่มันจอมมารชัดๆ”
“ทุกคนหนีเร็ว! หากโดนเขาลูกนั้นเข้าพวกเจ้าไม่มีทางรอดไปได้แน่!”
…
จากนั้นเหล่ายอดฝีมือเผ่าปีศาจก็แยกย้ายกันหนีออกไปคนละทิศละทาง ราวกับนกแตกรังตอนนี้สมองของพวกเขาไม่มีเวลามาคิดเรื่องสู้กับมนุษย์แล้ว
เพราะเย่หยวนในตอนนี้เป็นดั่งเทพแห่งความตายในสายตาของพวกเขา
ทางยอดฝีมือฝั่งมนุษย์เองก็ได้แต่ยืนมองภาพตรงหน้าอย่างมึนงง ตอนนี้พวกเขาทั้งหลายได้แต่จ้องมองภาพตรงหน้าอย่างตกตะลึงจนตาแทบจะถลนออกมาจากเบ้า
ไม่มีพวกเขาคนใดเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นตรงหน้าได้เลย จู่ๆ เย่หยวนก็เก่งขึ้นมาเสียอย่างนั้น ไล่สังหารยอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้าสามดาวทั้งสองคนในพริบตา
พวกเขาต่างรู้ดีว่าดาราสวรรค์และตี้เอิ่นนั้นความจริงแล้วเป็นถึงสังหารยอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้าเก้าดาว
สิ่งเดียวที่พวกเขาเข้าใจผิดก็คือพลังของเขาหน่วงเทพบรรพกาลในเหวแห่งนี้
เหวแห่งนี้มันมีแรงโน้มถ่วงที่รุนแรงมาก และหากเย่หยวนใช้เขาหน่วงเทพบรรพกาลเพื่อสร้างและดึงดูดสนามพลังที่แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดินออกมา อย่าว่าแต่เจ้าปีศาจ แม้แต่ราชาปีศาจก็ไม่มีทางรอดออกไปได้!
เขาหน่วงเทพบรรพกาลนี้มันมีความหนาแน่นที่หนักหน่วงมาก หากไม่หลอมมันก่อนต่อให้เป็นข่านซัวที่มีพลังอาณาจักรนภาสวรรค์ก็ไม่มีปัญญาจะยกมันขึ้น
เมื่อของที่มีความหนาแน่นสูงขนาดนี้ตกทับใส่ ต่อให้เป็นสมบัติราชันพระเจ้าเลิศล้ำก็คงแตกสลายไม่เหลือชิ้นดี เพราะฉะนั้นร่างกายของสิ่งมีชีวิตยิ่งแล้วใหญ่
แต่ทว่าพลังของเย่หยวนในตอนนี้ยังสามารถหลอมมันได้แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ยังไม่สามารถปล่อยพลังที่แท้จริงของมันออกมาได้เต็มที่
หากทำการหลอมได้สมบูรณ์ การสังหารยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์คงเป็นเรื่องง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก
และอย่างที่พวกซ่งหยูว่าไว้ เขาหน่วงเทพบรรพกาลนี้มันมีระดับสูงจนไม่สามารถวัดค่าได้ บางทีมันอาจจะเหนือล้ำกว่าสมบัติเซียนเทียนนภาสวรรค์ก็ได้!
เย่หยวนขยับร่างออกมา พร้อมๆ กับโยนเขาหน่วงเทพบรรพกาลออกไปอีกครั้ง
ตุบ!
ตุบ!
ตุบ!
เย่หยวนโยนมันออกไปอย่างเชื่องช้า แต่กลับสามารถบดขยี้ยอดฝีมือเผ่าปีศาจได้อย่างไม่หยุดหย่อน
เขานั้นเลือกที่จะสังหารยอดฝีมือที่มีพลังสูงลง ขว้างเขาออกไปอย่างไม่มีการพลาดเป้า
เหล่าปีศาจในตอนนี้มีสีหน้าราวกับได้เห็นวันสิ้นโลกตรงหน้า พวกมันกรีดร้องออกมาอย่างสิ้นหวัง
โชคยังดี การขว้างของเย่หยวนนั้นต้องใช้เวลาไม่น้อย ทำให้ไม่สามารถจะสังหารพวกปีศาจไปได้ทุกคน มีหลายไม่น้อยที่หลบหนีออกไปได้ทัน
แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นในเวลาสั้นๆ นี้เย่หยวนก็ได้ตัดกำลังฝั่งปีศาจไปไม่น้อย
ในจำนวนนั้นมีหลายต่อหลายคนที่เดิมทีเป็นยอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้าหกดาวขึ้นไป
เท่านี้กำลังของเมืองจักรพรรดิกล้วยไม้อริยะและโถงโลหิตมรณะก็คงลดลงอย่างมากมายแล้ว
ฝั่งยอดฝีมือของเผ่ามนุษย์นั้นได้แต่ยืนมองภาพตรงหน้าโดยไม่รู้ต้องทำอะไร
“นี่หรือคือสมบัติล้ำค่าที่เกิดขึ้นมาในครานี้? พลังของมัน… ช่างน่าเหลือเชื่อ!”
“นี่มันเหลือเชื่อจนเกินไปเลยใช่ไหม? ด้วยเขาหน่วงเทพบรรพกาลนี้ออกไปเขาจะไม่ครองโลกได้เลยเหรอ?”
“อ่า ไม่ว่าจะเป็นอาณาจักรราชันพระเจ้าสามดาว อาณาจักรราชันพระเจ้าห้าดาว ไม่ว่าใครก็ตามที่ทำอะไรขัดใจเขา เขาสามารถขว้างเขายักษ์นั่นใส่พวกเขาได้ในทันที!”
…
เมื่อไล่พวกปีศาจไปจนหมด เย่หยวนก็เก็บเขาหน่วงเทพบรรพกาลไว้และเข้ามาหาหนิงเทียนปิง
หนิงเทียนปิงที่ได้เห็นภาพตรงหน้ากล่าวขึ้นมาด้วยความยินดี “ยินดีด้วยผู้อาวุโสเย่! การได้สมบัติล้ำค่าชิ้นนี้มามันก็เท่ากับว่าอนาคตผู้อาวุโสเย่สามารถทำอะไรได้โดยไม่ต้องเกรงกลัวผู้ใดแล้ว!”
เย่หยวนยิ้มรับออกมาและเพิ่งได้เห็นว่าตอนนี้เจิ่งชีไม่ได้อยู่ในกลุ่มด้วย จึงอดไม่ได้ที่จะถามออกมา “ผู้อาวุโสใหญ่ล่ะ?”
เมื่อเย่หยวนถามถึงผู้อาวุโสใหญ่ ทางหนิงเทียนปิงแสดงดวงตาแดงก่ำออกมาทันทีก่อนจะค่อยๆ เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้เย่หยวนฟัง เย่หยวนได้แต่ขมวดคิ้วแน่นก่อนจะตอบออกมา “เกาหยุนคนนี้มันเจ้าเล่ห์มากกล ผู้อาวุโสใหญ่อาจจะเทียบเคียงมันไม่ได้ในเรื่องนั้น พวกเจ้ารออยู่ที่นี่! ข้าจะไปหาตัวผู้อาวุโสใหญ่เอง!”
ตอนที่ 1637 ชำระแค้นอันแสนใหญ่ยิ่ง
“เกาหยุน เจ้าจงออกมา!” เจิ่งชีตะโกนลั่นด้วยความโกรธแค้น
การโจมตีก่อนหน้านี้ของเขามันรุนแรงจนซัดร่างของเกาหยุนลอยไปไกล
แต่ใครจะไปคาดคิดว่าชายแก่คนนี้จะใช้โอกาสนั้นกลิ้งตัวหลบหายไปจากสายตา!
เจิ่งชีรู้ดีว่าอีกฝ่ายคงซ่อนตัวอยู่ไม่ไกลนัก แต่ไม่ว่าจะพยายามหาไปมากเท่าไหร่เขาก็ไม่พบแม้แต่เงาของเกาหยุน จึงอดไม่ได้ที่ต้องตะโกนออกมาอย่างโกรธแค้น
เพราะตอนนี้เวลาของเขาเองก็เหลือไม่มากแล้ว หากร่างกายของเขาหมดพลังวิชา เขาคงอ่อนแอจนเกินกว่าจะต่อสู้กับใครได้
ตอนนั้นเขาคงได้แค่นอนรอความตายภายใต้เงื้อมมือของผู้อื่น
เจิ่งชีรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าพลังชีวิตของตัวเองค่อยๆ จางหายไปเรื่อยๆ ทำให้ร่างกายของเขายิ่งอ่อนแรงลงจนเริ่มไม่กล้าที่จะไล่ตามศัตรูอีกต่อไป
เขาเกลียดความอ่อนแอของตัวเองนี้ ความอ่อนแอที่ทำให้เขาพลาดโอกาสครั้งสำคัญ
เจิ่งชีรู้ดีว่าตัวเองไม่สามารถฝืนทนอยู่ที่นี่ได้อีกต่อไป ไม่เช่นนั้นจะเป็นเขาเองที่ถูกเกาหยุนสังหาร
เจิ่งชีกัดฟันแน่นและพยายามขยับร่างกายกลับไปทางที่เขามา
แต่ตอนนั้นเองที่เกาหยุนก็ปรากฏตัวออกมาปิดทางหนีของเขาไว้
“หึหึ ไหนว่าจะฆ่าข้าไง? จะรีบไปไหนเสียล่ะ?” เกาหยุนยิ้มเยาะเจิ่งชี
เมื่อเจิ่งชีได้เห็นเกาหยุนใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความโกรธแค้นอีกครั้งก่อนจะยกดาบขึ้นมาฟันออกไป “หนีมาอยู่ตรงนี้นี่เอง!”
แต่ในจังหวะที่เขาโจมตีออกไป ร่างของเกาหยุนกลับเลือนลางจางหายไปอีกครา
เจิ่งชีมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปทันที ตอนนี้เขาได้รู้แล้วว่าเป้าหมายของเกาหยุนคือการถ่วงเวลาของเขาไว้
แต่ถึงจะรู้ไปมันก็เปล่าประโยชน์ เพราะตั้งแต่ที่เขาพื้นที่นี้มาเขานั้นไม่สามารถที่จะหาร่างของเกาหยุนได้อีกเลย
ความสามารถในการซ่อนตัวของเกาหยุนนั้นมันแข็งแกร่งจนเจิ่งชีไม่มีปัญญาที่จะรับมือได้
เจิ่งชีพยายามเร่งความเร็วฝีเท้ามากขึ้นเพื่อหวังจะสลัดเกาหยุนให้หลุดไปจากเงามืดของตัวเอง ตอนนี้ตำแหน่งของพวกเขาทั้งสองได้กลับด้านกันไปแล้วเรียบร้อย เจิ่งชีหนีและเกาหยุนไล่ แต่เกาหยุนกลับไม่ปรากฏตัวออกมาให้เจิ่งชีได้เห็นแม้แต่เงา
จู่ๆ เจิ่งชีก็เริ่มรู้สึกวิงเวียน เท้าของเขาหยุดลงกับที่จนเกือบจะล้มลงกับพื้น
นั่นทำให้เกาหยุนต้องยิ้มกว้าง ก่อนจะซัดฝ่ามือออกมาอย่างรวดเร็วปานสายฟ้า
บัง!
เจิ่งชีถูกซัดลอยละลิ่วไปไกลจนต้องกระอักเลือดออกมาคำใหญ่
เพราะตอนนี้เจิ่งชีได้เผาอายุขัยและเลือดของตัวเองไปมากเกินกว่าที่จะต่อสู้ไหวแล้ว ทำให้อาการบาดเจ็บที่โดนก่อนหน้านี้กลับมาแสดงอาการจนร่างของเขาไม่สามารถขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวได้
เมื่อเกาหยุนได้เห็นแบบนั้นเขาก็พูดขึ้นด้วยรอยยิ้มแสนชั่วร้าย “เด็กน้อยเจิ่ง! หากอยากต่อสู้กับชายแก่คนนี้มันยังเร็วไปหมื่นปี! ต่อให้เป็นอู๋ซิงถังก็ยังไม่มีปัญญาจัดการชายแก่คนนี้ มีหรือที่คนอย่างเจ้าจะชนะได้?”
เจิ่งชีกระอักเลือดออกมาอีกครั้งก่อนจะกัดฟันตอบกลับไป “น่ารังเกียจ!”
เกาหยุนจึงหัวเราะขึ้นมาลั่น “น่ารังเกียจ? เฮอะ เฮอะ ผู้ชนะนั้นเขียนประวัติศาสตร์! เพราะว่าอู๋ซิงถังมันไม่น่ารังเกียจพอยังไงล่ะมันถึงได้กลายเป็นฝุ่นดินไป แต่ชายแก่คนนี้มันน่ารังเกียจถึงได้กลายมาเป็นผู้อาวุโสใหญ่แห่งเมืองจักรพรรดิยอดสันติอยู่ทุกวันนี้! และวันนี้เจ้าเองก็จะได้ตามไปอยู่กับอาจารย์ที่รักของเจ้าแล้ว หายไปกลายเป็นแค่ฝุ่นผงยังไงล่ะ! ฮ่าฮ่าฮ่า!”
สภาพของเจิ่งชีในตอนนี้ไม่สามารถที่จะรวบรวมพลังทำอะไรได้เลย
เขารู้ดีว่าตัวเองคงต้องตายลงแล้ว
เกาหยุนหัวเราะอย่างบ้าคลั่งและซัดฝ่ามือลงมายังเจิ่งชีที่ล้มตัวอยู่
แต่จู่ๆ เกาหยุนก็หน้าถอดสีเพราะสัมผัสได้ถึงอันตรายอันใหญ่หลวงที่ใกล้เข้ามา
เกาหยุนใช้แรงที่มีทั้งหมดพยายามดีดตัวออกมาด้านข้างด้วยสัญชาตญาณ
ตุบ!
เขาสีดำลูกยักษ์ร่วงหล่นลงมาอย่างแรงจนทำให้ห้วงเหวทั้งหมดสั่นไหว
“อ้าก! ขาข้า!”
พร้อมๆ กับเสียงภูเขาที่ตกลงมานั้นก็มีเสียงกรีดร้องดังขึ้นสนั่นหุบเขา
เกาหยุนจับต้นขาของตัวเองไว้แน่นพร้อมด้วยเม็ดเหงื่อขนาดยักษ์กลางหน้าผากที่กำลังไหลลงมาอย่างหยุดไม่ได้
เขานั้นหลบออกมาแล้ว สามารถเลี่ยงจุดสำคัญได้จริง แต่ด้วยความเร็วในการตกของเขาหน่วงเทพบรรพกาลที่แสนจะรวดเร็วมันจึงทำให้เขาไม่สามารุหลบมันได้อย่างปลอดภัย เกาหยุนต้องเสียขาทั้งสองข้างไป
ตอนนี้ขาทั้งสองข้างของเขาหายไป ความเจ็บปวดอันรุนแรงแทรกซึมขึ้นมาในร่างก่ายทำให้ระบบการทำงานต่างๆ ของร่างกายเริ่มรวน
เขาพยายมที่จะใช้ปราณเทวะที่เหลือน้อยนิดนั้นในการดึงต่อร่างกายที่ขาดหายไป แต่มันไม่มีประโยชน์
เพราะแนวคิดแห่งแรงโน้มถ่วงของเขาหน่วงเทพบรรพกาลนั้นมันรุนแรงจนเกินไป ไม่มีช่องว่างใดๆ ให้เขาได้รักษาตัวเลย
เย่หยวนเดินเข้ามาและหันมองดูเกาหยุนอย่างเย็นชาก่อนจะพูดขึ้น “ไม่เลวนี่ หืม การตอบสนองของเจ้ามันไม่เลวเลย!”
เกาหยุนมองดูใบหน้าของเย่หยวนด้วยความกลัวอย่างสุดขีด ใบหน้าซีดเผือด พร้อมลมหายใจที่หนักหน่วง
“เจ้า… เจ้าเร็วขนาดนี้ได้ยังไงกัน?” เกาหยุนกล่าวขึ้นอย่างหวาดกลัว
เพราะในความคิดของเขาตอนนี้เย่หยวนน่าจะยังทำการหลอมเขาหน่วงเทพบรรพกาลอยู่ มันจะเป็นไปได้ยังไงที่เขาจะหลอมเขาหน่วงเทพบรรพกาลได้เร็วปานนี้?
เย่หยวนจึงตอบกลับไป “เรื่องนั้นเจ้าไปต้องไปคิดให้หนักหัวหรอก เรื่องเดียวที่เจ้าควรคิดตอนนี้คือตัวเองจะชดใช้หนี้แค้นนี้ยังไง!”
นั่นทำให้ใบหน้าของเกาหยุนยิ่งแย่ลง ตอนนี้สมองของเขาทำงานอย่างเต็มที่จนควันขึ้น พยายามจะคิดหาวิธีที่จะหนีรอดออกไปจากสถานการณ์แบบนี้
“ข้า… ข้าเองก็อยากมีชีวิตรอดเหมือนกัน! เจิ่งชีมัน… มันบ้า คิดแต่จะเอาสังหารข้า!” เกาหยุนกัดฟันพูดอย่างเจ็บแค้น
เย่หยวนเดินมาจนถึงตัวเจิ่งชี เมื่อเย่หยวนได้เห็นสภาพของเขาในตอนนี้เขาก็ถึงกับต้องขมวดคิ้วแน่น
“ผู้อาวุโสใหญ่ ท่านจะบ้าบิ่นเกินไปแล้ว! การล้างแค้นนั้นหาใช่การใช้ชีวิตแลกชีวิตไม่ ต่อให้ท่านตายไปพร้อมมันแล้วจะมีประโยชน์อะไร?”
เย่หยวนพูดไปอีกมือก็พลางกดจุดหยุดพลังชีวิตของเจิ่งชีที่ค่อยๆ จางหายไปด้วย
แต่เจิ่งชีกลับมองใบหน้าของเขาด้วยสีหน้าท่าทางสุดโล่งใจและกล่าวขึ้น “เจ้า… เจ้าไม่รู้หรอก บุญคุณอาจารย์ที่ท่านมีต่อข้านั้นมันยิ่งใหญ่กว่าขุนเขา! วันนี้เป็นโอกาสแค่ครั้งเดียวในชีวิตที่ข้ามี ข้า… ข้าไม่อยากต้องปล่อยให้มันหลุดลอยไป เจ้าจงอย่าได้มากังวลเรื่องชายแก่คนนี้เลย ข้ารู้จักร่างกายของตัวเองดี มันไม่ไหวแล้วล่ะ! เจ้า… ช่วยไปล้างแค้นแทนข้าด้วย!”
เย่หยวนหยิบโอสถหลายต่อหลายเม็ดออกมายัดใส่ปากเจิ่งชีเข้าไปพร้อมบอกออกมา “เมื่อข้าอยู่ที่นี่แล้วข้าจะไม่ปล่อยให้ท่านต้องตายลง! การล้างแค้นนั้นเป็นเรื่องที่ตัวเราต้องทำด้วยตนเองมันถึงจะรู้สึกได้ถึงการปลดปล่อย!”
เมื่อโอสถเหล่านั้นเคลื่อนลงถึงท้องของเจิ่งชีเขาก็รู้สึกถึงความอบอุ่นที่ไหลเข้ามาในร่างทันที ตอนนี้พลังวิญญาณของเจิ่งชีได้ฟื้นฟูขึ้นมาอย่างมากมายแล้ว
เจิ่งชีจึงพูดขึ้นมาอย่างตื่นตกใจ “ท-ทำไมแค่โอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสาม มันถึงได้มีผลดีขนาดนี้กัน?”
ตอนนี้เจิ่งชีประหลาดใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นมาก ด้วยพลังบ่มเพาะของเขาในตอนนี้โอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับ มันไม่น่าจะช่วยอะไรใดๆ เขาได้เลย
แต่โอสถของเย่หยวนกลับได้ผลเสียอย่างนั้น!
เย่หยวนจึงยิ้มตอบ “ที่ข้าให้ท่านกินไปนั้นเป็นโอสถศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะโมฆะที่เน้นด้านการบำรุงและรักษาร่างกายทั้งสิ้น แม้มันจะไม่ทำให้ท่านหายดี แต่มันก็น่าจะพอประคองอาการได้”
ไม่ไกลไปนัก เกาหยุนที่ได้เห็นภาพนั้นได้แต่รู้สึกตื่นตกใจอย่างถึงที่สุด
โอสถศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะโมฆะนั้นเป็นดั่งของในตำนาน แต่เย่หยวนกลับนำมันออกมาใช้ตั้งมากมายในคราเดียว!
การใช้โอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสาม รักษาอาการบาดเจ็บของยอดฝีมือระดับสี่ เรื่องนี้คงมีแค่เย่หยวนที่กล้าทำและทำได้
เกาหยุนนั้นรู้สึกสิ้นหวังขึ้นจากส่วนลึกของจิตใจ ตอนนี้ขาทั้งสองข้างของเขานั้นถูกกดทับจนแหลกเละ มันจึงทำให้พลังงานร่างกายของเขานั้นอ่อนแรงลงอย่างมหาศาล
แต่ทว่าความอยากมีชีวิตของเขาก็ยังแรงกล้า เขายังไม่อยากมาตายลงตรงนี้
ฉะนั้นเกาหยุนจึงพยายามใช้มือทั้งสองข้างคืบคลานไปกับพื้นดิน
แต่เย่หยวนก็ไม่ได้สนใจเขาและหันมาบอกเจิ่งชี “ว่ายังไงบ้าง! ท่านพอจะลุกไหวไหม?”
เจิ่งชีเงยหน้าขึ้นมาพยักหน้ารับและมองเย่หยวน “อืม!”
เย่หยวนยิ้มขึ้นและค่อยๆ พยุงตัวเจิ่งชีลุก ก่อนจะค่อยๆ เดินเข้าไปหาเกาหยุน
เมื่อได้เห็นภาพสุดน่าสมเพชของเกาหยุนในตอนนี้ เจิ่งชีก็รู้สึกโล่งอกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก
“ฮ-ฮ่าฮ่า ไอ้เฒ่า คงไม่คิดล่ะสิว่าวันนี้มันจะมาถึง? เวลากว่าหกหมื่นปีมานี้! ข้ารอเวลานี้มากว่าหกหมื่นปี!” เจิ่งชีพยายามอดกลั้นความเจ็บปวดที่ยังไม่หายไปไหนและหัวเราะออกมาอย่างสะใจ
เกาหยุนหันมามองด้วยสีหน้าสุดน่าสมเพชพร้อมพูดขอร้อง “น-น้องเจิ่ง ข้าผิดไปแล้ว! ข้า… ปล่อยข้าไปเถอะ!”
เจิ่งชีได้แต่หัวเราะเยาะ “ปล่อยเจ้าไป? งั้นใครกันเล่าที่จะปล่อยอาจารย์ข้า?”
เย่หยวนยื่นดาบจักรพรรดิล้ำฟ้าให้เจิ่งชี เจิ่งชีหันมามองหน้าเย่หยวนเป็นการขอบคุณก่อนจะฟาดดาบนั้นลงเต็มแรง
ฉึก!
ม่านตาของเกาหยุนค่อยๆ เบิกขยายขึ้น พลังชีวิตของเขาค่อยๆ เลือนรางจนในที่สุดเขาก็หยุดหายใจลง
เจิ่งชีเงยหน้าขึ้นมองฟ้าด้วยน้ำตานองหน้าก่อนจะตะโกนออกมา “ท่านอาจารย์ ท่านเห็นหรือไม่? ศิษย์คนนี้… ได้ล้างแค้นให้ท่านสำเร็จแล้ว!”
ตอนที่ 1638 ช่างใจกว้าง
“เย่หยวน ขอบคุณเจ้ามาก!”
ตอนนี้แม้จะอยู่ต่อหน้าเย่หยวนแต่เจิ่งชีก็ไม่สามารถห้ามน้ำตาที่ไหลนองหน้าได้
การบรรลุเป้าหมายที่เขาหมายตามานับหมื่นๆ ปีนี้มันทำให้จิตใจของเขาโล่งขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ถูก
เดิมทีเขานั้นหมดสิ้นซึ่งความหวังใดๆ แล้ว แต่เป็นเย่หยวนที่นำเขาขึ้นมาจากห้วงแห่งความสิ้นหวังนั้น
ความขอบคุณในจิตใจของเขานั้นมันยากเกินกว่าจะใช้คำใดๆ อธิบายออกมา จึงได้แต่พูดคำสั้นๆ ง่ายเช่นนี้
เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “ผู้อาวุโสใหญ่นั้นช่างมีจิตใจที่แน่วแน่นัก เย่หยวนผู้นี้ขอนับถือ ความช่วยเหลือของข้านั้นมันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตเลย แต่เราก็ไม่ควรจะอยู่ที่นี่ต่อนานนัก รีบกลับไปกันก่อนดีกว่า”
คนทั้งสองกลับมาหาพวกหนิงเทียนปิงและเย่หยวนก็ใช้แนวคิดแห่งห้วงมิติออกมา นำพาผู้คนที่เหลือรอดทั้งหลายกลับขึ้นมาจากเหวลึก
“ในที่สุดก็ได้เห็นตะวันอีกครา! การเดินทางครั้งนี้มันช่างแสนเหนื่อยยากนัก!”
“อืม จู่ๆ ก็ถูกกดพลังบ่มเพาะอย่างไม่มีเหตุผล มันรู้สึกแย่เสียจริงๆ”
“ต้องขอบคุณผู้อาวุโสเย่! ไม่เช่นนั้นคงไม่มีพวกเราคนใดรอดออกมาได้แน่”
…
คนฝั่งเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นั้นถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
สถานที่ที่ความเป็นความตายคาบเกี่ยวขนาดนี้ แม้แต่พวกเขาที่เป็นผู้อาวุโสและผู้พิทักษ์ก็ยังไม่เคยพบเจอกับสถานที่ใดที่จะอันตรายได้ขนาดนี้มาก่อนเลย
พวกเขานั้นไม่ได้หวาดกลัวเหล่าสัตว์อสูรอันทรงพลังนั้น แต่สิ่งที่พวกเขาเกรงกลัวที่สุดคือการถูกกดพลังบ่มเพาะต่างหาก
ความไร้พลังนั้นมันทำให้ผู้คนรู้สึกสิ้นหวังขึ้นอย่างไม่สามารถควบคุมตัวเองได้
โชคยังดีที่พวกเขามีเย่หยวนด้วย จึงสามารถรอดกลับออกมาได้
ทางเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นั้นก็มีผู้สูญเสียไปไม่น้อยเพราะการต่อสู้กับปีศาจ แต่หากเทียบกับเมืองจักรพรรดิอื่นๆ แล้วความเสียหายที่พวกเขามีนั้นนับได้ว่าน้อยที่สุด
เพราะฉะนั้นตอนนี้จิตใจของพวกเขาทั้งหลายจึงรู้สึกขอบคุณและซาบซึ้งเย่หยวนอยู่อย่างเต็มอก
เมื่อพวกเขาทั้งหลายกำลังจะแยกย้ายกันกลับไป ก็มีเงาร่างสองเงาปรากฏขึ้นมาจากภายในเหว แน่นอนว่ามันคือซ่งหยูและเล่ออี้ที่เพิ่งจะกลับขึ้นมา
ทั้งสองคนนั้นร่วมมือกันจัดการข่านซัวจนบาดเจ็บสาหัส แต่ก็ไม่สามารถปลิดชีวิตอีกฝ่ายลงได้
สุดท้ายพวกเขาจึงกลับขึ้นมาพ้นจากสนามแรงโน้มถ่วงและกลับมาเป็นยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์เต็มตัวอีกครั้ง
ทั้งสองคนคุยกันพักหนึ่งและหันหน้ากลับมา
เย่หยวนมองดูพวกเขาทั้งสองด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความเย็นชา “อะไรรึ? หรือพวกเจ้าคิดจะปล้นคนกลางวันแสกๆ เช่นนี้?”
ซ่งหยูจึงกล่าวขึ้น “ส่งเขาหน่วงเทพบรรพกาลมา! มิเช่นนั้นเจ้าก็ลืมไปได้เลยว่าจะรอดออกไปจากอาณาเขตของเมืองจักรพรรดิธารนิรันดร์ได้! ต่อให้ตอนนี้เราสังหารเจ้าไม่ได้แต่เจ้าคิดหรือว่าจะหนีรอดออกไปได้?”
เย่หยวนจึงนำเขาหน่วงเทพบรรพกาลออกมาถือไว้ในมือ ก่อนจะยิ้มขึ้นน้อยๆ “หากเจ้าอยากได้ก็เอาไปเถอะ!”
พูดจบเย่หยวนก็ส่งมันออกมาเบาๆ ส่งเขาหน่วงเทพบรรพกาลอันใหญ่มหึมานั้นพุ่งตรงไปยังคนทั้งสองด้วยความเร็วสูง
คนทั้งสองไม่ได้รู้สึกถึงแนวคิดใดๆ จึงคิดว่าเย่หยวนยอมที่จะมอบมันออกมาดีๆ จริงๆ
เพราะเมื่อทั้งสองได้กลับมาเป็นยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์แล้ว หากเย่หยวนไม่ได้ใช้แนวคิดใดๆ ออกมาแบบนี้น้ำหนักของเขาหน่วงเทพบรรพกาลเองมันก็ไม่ได้เป็นภัยกับพวกเขาเลย
เมื่อทั้งสองเห็น พวกเขาจึงตื่นเต้นดีใจอย่างบอกไม่ถูก พยายามจะยื่นมือออกมารับเขาหน่วงเทพบรรพกาลไว้ด้วยตัวเอง
แต่ทว่าเมื่อพวกเขาแตะโดนเขาหน่วงเทพบรรพกาลเข้า พวกเขาก็ได้รู้สึกพลังความหนักหน่วงของยอดเขาใหญ่มหาสมุทรไพศาลส่งมายังร่าง
ตู้ม!
“อ่อก!”
คนทั้งสองถูกโจมตีอย่างไม่ทันตั้งรับจึงทำให้ร่างของทั้งคู่ลอยกระเด็นออกไปไกล
และเขาหน่วงเทพบรรพกาลเองก็รับแรงกระแทกสะท้อนกลับมายังมือของเย่หยวนอีกครา
“พวกเจ้านี่มันช่างใจกว้างกันเสียจริงๆ หากพวกเจ้าไม่อยากได้งั้นข้าก็จะรับมันไว้เอง” เย่หยวนพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม
เรื่องนี้มันทำให้คนรอบๆ ต้องยืนนิ่งไม่กล้าไหวติง ได้แต่ยืนมองภาพตรงหน้าอย่างไม่รู้ต้องทำตัวยังไง
ซ่งหยูและเล่ออี้นั้นคือยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์!
แม้ว่าพวกเขาจะบาดเจ็บหนักหน่วงแค่ไหน แต่อาณาจักรนภาสวรรค์นั้นก็ยังเป็นอาณาจักรนภาสวรรค์อยู่วันยันค่ำ พวกเขาคือตัวตนที่ไม่มีทางพ่ายแพ้แก่ใคร
แต่ตอนนี้เย่หยวนกลับส่งร่างของคนทั้งสองลอยละลิ่วด้วยเขาลูกนั้น!
พลังของเขาลูกนี้มันช่างทรงพลังจนเกินกว่าจะทนทานไหว
สายตาที่ทุกคนใช้มองเขาหน่วงเทพบรรพกาลนั้นเปี่ยมไปด้วยความอิจฉาริษยาและความโลภ
แต่เย่หยวนนั้นล้มยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์จนลอยลิ่วได้ มีหรือที่ยังจะมีใครกล้าลงมือแย่งชิงเขาหน่วงเทพบรรพกาลอีก?
อวัยวะภายในของซ่งหยูและเล่ออี้นั้นบาดเจ็บหนักมาก ลมหายใจของพวกเขาติดขัดจนไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้อีก
พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าพลังของการขว้างแค่นั้นมันจะรุนแรงขนาดนี้
ประมาท!
เด็กคนนี้มันจะยอมคายของที่มันกินไปแล้วออกมาง่ายๆ ได้อย่างไรกัน?
แต่พวกเขาก็ไม่เคยคาดคิดเหมือนกันว่าเขาหน่วงเทพบรรพกาลมันจะหนักหน่วงถึงขนาดนี้ หนักถึงขนาดที่ปะทะร่างกายของยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์จนบาดเจ็บได้ขนาดนี้
แน่นอนว่าเรื่องนี้มันเกิดขึ้นได้ก็เพราะว่าเดิมทีพวกเขานั้นบาดเจ็บหนักมาก่อน จึงมีกำลังเหลือไม่ถึง หนึ่งในสิบ
ตอนนี้เมื่ออาการบาดเจ็บเดิมซ้ำเข้ากับอาการบาดเจ็บใหม่ พวกเขาทั้งสองจึงไม่สามารถขยับเคลื่อนไหวใดๆ ได้เลย
เย่หยวนยกมือขึ้นมาประกบขอบคุณหลิงจี้คุน “ผู้อาวุโสใหญ่ พวกเราขอตัวไม่ต้องไปส่งพวกเราหรอก”
หลิงจี้คุนนั้นมีสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีเช่นกัน เพราะยังไงเสียซ่งหยูก็เป็นคนของพวกเขา เป็นยอดผู้อาวุโส
แต่ขนาดคนระดับนั้นยังพ่ายแก่เย่หยวน มีหรือที่หลิงจี้คุนจะกล้าลงมือทำอะไรอีก?
เพราะฉะนั้นเย่หยวนจึงพาคนเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์บินกลับออกไปได้อย่างง่ายดาย
…
ข่าวเรื่องที่ว่าเย่หยวนได้รับสมบัติกลับมานั้นมันโด่งดังไปทั่ว จนทำให้เบื้องบนของเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ต้องเกิดความปั่นป่วน
นอกเสียจากเรื่องนี้มันยังมีเรื่องอื่นเกิดขึ้นมาอีก เพราะผู้อาวุโสที่สองซวนอี้ได้บรรลุสู่อาณาจักรนภาสวรรค์ครึ่งก้าวแล้ว!
แน่นอนว่าทั้งหมดนี้มันต้องขอบคุณเย่หยวน!
คนเบื้องบนจึงได้ประกาศออกมาว่าจะให้ซวนอี้ดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสใหญ่หอโอสถแทนหรงซู
นั่นทำให้ภายในเมืองประดับประดาไปด้วยธงจักรพรรดิ
ซวนอี้เมื่อได้รับข่าวการกลับมาของเย่หยวนเขาก็รีบออกมาต้อนรับในทันที
“หึหึ ยินดีด้วยผู้อาวุโสใหญ่!” เย่หยวนยกมือขึ้นประกบแสดงความคารวะ
ซวนอี้จึงหัวเราะขึ้น “เด็กน้อยเจ้ายังจะมีหน้ามาพูดเช่นนี้อีก! หากไม่ใช่เพราะเจ้ามีหรือที่ข้าคนนี้จะบรรลุอาณาจักรได้”
เย่หยวนจึงยิ้มตอบไป “เรื่องนั้นมันล้วนมาจากความสามารถอันยิ่งใหญ่ของผู้อาวุโสใหญ่ ข้าไปเกี่ยวอะไรด้วยกัน? แล้วก็… ผู้อาวุโสที่สองคงไม่ค่อยพอใจใช่หรือไม่?”
ซวนอี้ถอนหายใจ “เรอะ? ชายแก่คนนี้มันไม่ได้สนใจเรื่องชื่อเสียงใดๆ หรอก แต่หรงซุมันต่างกัน ทุกวันนี้เขาเอาแต่อ้างว่าไม่สบายและไม่ยอมออกมาเสียที เรียกว่าใกล้จะถอนตัวแล้วด้วยซ้ำ”
เย่หยวนพยักหน้า “หากเขาไม่ทำอะไรเลย งั้นท่านก็ยิ่งต้องระวัง เพราะแค่ตอนนี้เขาเองก็ยังไม่น่าจะทำอะไรได้มากนัก”
ซวนอี้พยักหน้ารับ เพราะเรื่องพวกนี้มันไม่ใช่ของถนัดของเขาเลยจริงๆ
แต่ที่เขามาวันนี้ไม่ได้มาเพื่อคุยเรื่องเหล่านี้ เขาจึงขมวดคิ้วขึ้น “เจิ่งชีใช้ดาบคลั่งเลือนสลายลงไปในครั้งนี้ มันทำให้ตอนนี้พลังบ่มเพาะของเขาลดต่ำลงมาก อายุขัยเองก็เสียหาย ข้า… ข้าไม่รู้แล้วจริงๆ ว่าต้องทำอย่างไร!”
เย่หยวนนั้นใช้โอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสาม เพื่อรักษาชีวิตเจิ่งชีไว้ได้ แต่ไม่สามารถรักษาเขาให้หายขาดได้
ตอนนี้พลังบ่มเพาะของเจิ่งชีลดเหลือแค่อาณาจักรราชันพระเจ้าชั้นต้นเท่านั้น ที่สำคัญอายุขัยของเขาเองก็เหลือไม่มากนัก เป็นสภาพที่สาหัสปางตายอย่างแท้จริง
ซวนอี้นั้นเพิ่งจะขึ้นมารับตำแหน่งผู้อาวุโสใหญ่ ภาระนี้จึงตกลงมาที่เขาอย่างเต็มแรง
แต่ความเสียหายที่เจิ่งชีได้รับมันรุนแรงมากเกินไป โอสถธรรมดาๆ ไม่มีผลใดๆ กับเขาเลยแม้แต่น้อย แต่ให้ซวนอี้บรรลุอาณาจักรได้ เขาก็ยังไม่สามารถหลอมโอสถที่ดีพอได้
การหลอมโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่ นั้นมันต่างจากการหลอมโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับ 3 อย่างสิ้นเชิง สำหรับซวนอี้แล้วการจะหลอมโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่ คุณภาพสูงนั้นมันเป็นไปไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้นเขาถึงได้มาหาเย่หยวนเพื่อขอคำแนะนำ
เย่หยวนที่ได้ยินเรื่องราวก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา “ตอนนี้ข้าเองก็หลอมโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับ 4 ไม่ได้จนไม่รู้ต้องทำยังไงแล้วเหมือนกัน! ข้าจะแนะนำวิธีการเฉพาะหน้าให้ ตอนนี้ท่านแค่ต้องพยายามรักษาชีวิตผู้อาวุโสใหญ่เจิ่งชีไว้ให้ได้นานที่สุดก่อน ที่เหลือคงต้องรอให้ข้าบรรลุขึ้นอาณาจักรราชันพระเจ้าก่อนถึงจะพอทำอะไรได้”
ซวนอี้เบิกตากว้างด้วยความดีใจ “การออกไปเดินทางครั้งนี้เจ้าคงพบวิธีในการบรรลุแล้วกระมัง?”
แต่เย่หยวนได้แต่ยิ้มแห้งๆ ตอบกลับไป “เอาจริงๆ ข้าเองก็ยังไม่ทราบเลย”
ซวนอี้นั้นเปลี่ยนสีหน้าไปเมื่อได้ยิน เดิมทีด้วยพรสวรรค์อันเหนือล้นของเย่หยวน การบรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้ามันไม่น่าจะเป็นเรื่องยากเลยแม้แต่น้อย
ต่อให้เขาจะไม่สามารถทำได้ในช่วงเวลาหนึ่ง แต่มันก็ไม่น่าจะถึงขั้นไม่รู้แนวทางในการบรรลุเลย!
“เป็นไปได้ยังไงกัน? วรยุทธบ่มเพาะที่เจ้าใช้มันแกร่งกล้ามากแท้ๆ การที่เจ้าจะขึ้นสู่อาณาจักรราชันพระเจ้ามันน่าจะไม่ใช่เรื่องยากเย็นเลยหาเจ้าคิดจะทำ” ซวนอี้บอก
ตอนที่ 1639 อัจฉริยะผู้ตกอับ
“ผู้อาวุโสเย่ ท่านกลับมาแล้วหรือ?” เย่หยวนนั้นกำลังเดินกลับเข้ามาในเมืองชั้นในและก็ได้เจอกับพวกหลินตงที่ออกมายิ้มกว้างต้อนรับเย่หยวน
เย่หยวนหันไปมองอีกฝ่ายด้วยหางตาก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ และเดินผ่านมาโดยไม่คิดจะตอบกลับใดๆ ไป
แม้คำพูดหลินตงจะฟังดูสุภาพ แต่น้ำเสียงของเขานั้นไม่ได้มีความสุภาพอยู่เลย
ตรงกันข้ามมันกลับเต็มไปด้วยความเย้ยหยันต่อสภาพของอีกฝ่ายมากกว่า
ตอนนี้เพื่อนๆ ที่ข้างกายของเขาเองก็มีสีหน้าไม่ต่างกัน
ได้เห็นว่าเย่หยวนไม่สนใจจะตอบกลับมา หลินตงจึงหันไปพูดกับเพื่อนๆ “จะอวดดีเพื่อ? มันคิดว่าตัวเองยังเป็นผู้อาวุโสอยู่หรือไร? ไม่มีปัญญาจะบรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้าแท้ๆ ยังจะมีหน้ามาเรียกตัวเองว่าอัจฉริยะ น่าขันเสียจริงๆ”
“เฮอะ เฮอะ ไม่มีปัญญาบรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้า ไม่ว่ามันจะเป็นอัจฉริยะมาจากที่ไหนมันก็เป็นได้แค่อัจฉริยะขี้โม้!”
“ข้าได้ยินข่าวลือจากเบื้องบนมาว่า พวกเขาจะจัดการถอดมันออกจากตพแหน่งผู้อาวุโสด้วย! เฮอะ หากเป็นจริงขึ้นมาเมื่อใดใครมีความแค้นความอับอายใดๆ คงได้มาสะสางกันในวันนั้นแน่!”
“มันยังคิดว่าตัวเองนั้นเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในเมืองจักรพรรดิอยู่เลยน่ะสิถึงได้ทำท่าทางอวดดีแบบนั้นออกมาใส่เรา!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
…
คนเหล่านั้นนินทาเขาต่อหน้าอย่างไม่เกรงกลัวเย่หยวนเลยแม้แต่น้อย
ดูท่าแล้วคนพวกนี้คงไม่ได้เห็นเย่หยวนเป็นผู้อาวุโสแล้วจริงๆ
ตอนนี้เวลาได้ผ่านไปกว่า สามร้อยปีแล้วหลังจากเย่หยวนกลับมาจากเหวอัญเชิญปีศาจ!
ในช่วง สามร้อยปีที่ผ่านมาเย่หยวนพยายามไม่รู้กี่ทางต่อกี่ทาง แต่เขาก็ยังไม่สามารถหาส่วนสำคัญที่จะใช้สร้างการบ่มเพาะระดับสี่เสียที
เวลานี้ประตูบานนี้มันถูกปิดตายสำหรับเขา
เย่หยวนนั้นพยายามนึกถึงเขาแห่งถงเทียน พยายามใช้วิชาโอสถช่วยบรรลุ แต่ก็ไม่ได้ผลใดๆ
ต่อให้เก็บตัวฝึกไปเขาก็ไม่สามารถหาวิธีการบรรลุได้ เย่หยวนจึงมักจะออกมาฝึกฝนตัวเองและถึงขั้นหลอมโอสถสุริยันจักรวาลขั้นเทวะโมฆะกินอยู่บ่อยๆ
แต่ความพยายามทั้งหลายมันกลับจมหายไปในมหาสมุทร ไม่ส่งผลใดๆ กลับมาแม้แต่น้อย
ตอนนั้นเย่หยวนนั้นเป็นถึงตัวตนที่ทำให้เมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ต้องสั่นสะท้าน แม้แต่ยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์เบื้องบนของเมืองก็ยังยอมรับให้เย่หยวนขึ้นมาเป็นผู้อาวุโสแห่งหอโอสถ
ในช่วงเวลานั้นมันเป็นเรื่องที่ดังสนั่นไปทั่ว
ทุกคนต่างเชื่อว่าอีกไม่นานเย่หยวนคงบรรลุขึ้นเป็นยอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้า!
แต่ทว่า เหมือนกับที่ไม่มีใครคิดว่าเย่หยวนจะเก่งกาจปานนั้น พวกเขาไม่มีใครเลยที่คิดว่าเย่หยวนจะไม่สามารถบรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้าได้จนเวลาล่วงเลยมาถึง สามร้อยปี
สำหรับคนทั่วๆ ไปแล้วการบรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้าในเวลา สามร้อยปีถือได้ว่าเป็นเรื่องปกติ
แต่กับเย่หยวนนั้น สามร้อยมันนานจนเกินไป!
เมื่อเขาไม่สามารถบรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้าได้เสียที มันก็เริ่มมีคำร้องเรียนและคำบ่นว่าดังขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวตนที่เหนือความเข้าใจผู้คนอย่างเย่หยวนนั้นมันยิ่งดึงดูดความสนใจของผู้คนมากกว่าผุ้อาวุโสคนไหนๆ
เมื่อเกิดเสียงเหล่านี้ขึ้น นับวันมันก็จะยิ่งขยายวงออกกว้าง จนสุดท้ายแม้แต่หลินตงก็ยังกล้าที่จะมากล่าวว่าเย่หยวนต่อหน้าแบบนี้
เย่หยวนนั้นเพิ่งกลับมาจากการฝึกที่นอกเมืองและได้ยินเรื่องการปลดตำแหน่งของตัวเอง
เขาเชื่อว่ามันคงไม่ใช่ข่าวลือที่ไร้มูล ไม่เช่นนั้นหลินตงคงไม่กล้าออกมาทำเรื่องราวถึงขนาดนี้
แต่ทว่าเย่หยวนไม่ได้สนใจเลย
ตำแหน่งผู้อาวุโสนั้นมันเป็นของยิ่งใหญ่ เป็นสิ่งล้ำค่ากับคนอื่น แต่กับเย่หยวนแล้วเขาไม่ได้คิดอะไรมากมายเลยหากต้องออกจากตำแหน่งนี้
เพราะสายตาของเขามันกว้างไกลกว่าตำแหน่งผู้อาวุโสมาก
แม้จะถูกหลินตงว่ากล่าวดูถูกใดๆ เย่หยวนก็ไม่คิดจะสนใจและเดินจากมาทันที
แต่ยิ่งหลินตงได้เห็นเย่หยวนเงียบ พวกเขาก็ยิ่งคิดว่าเย่หยวนกลัว จึงยิ่งพูดจาหนักขึ้นไปต่างๆ นาๆ
พวกเขาถึงขั้นเดิมตามมาล้อเย่หยวนจนถึงที่
“ให้ตายสิ อัจฉริยะผู้ยิ่งใหญ่ของเรามันน่าสมเพชจริงๆ ฮ่าฮ่าฮ่า…”
“เรา เหล่าคนที่แสนจะธรรมดากลับบรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้ามาได้แล้วแท้ๆ แต่เย่หยวนผู้เคยถูกเรียกว่าอัจฉริยะกลับไม่มีปัญญาที่จะบรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้ามันทำให้ผู้คนที่ได้รู้เรื่องต้องอดขำไม่ได้จริงๆ เลย!”
“เฮอะ ทางเบื้องบนเมืองจักรพรรดิเองยอมให้มันเป็นผู้อาวุโสก็เพราะคิดว่าอีกไม่นานมันคงบรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้าได้ แต่ตอนนี้พวกเขาคงได้แต่เสียใจที่มองคนผิดไปแล้ว!”
…
ระหว่างที่คนเหล่านั้นกำลังพูดจาไปเรื่อยเปื่อย จู่ๆ ก็มีพลังกดดันอันรุนแรงปรากฏขึ้นมาพร้อมกับร่างชายแก่คนหนึ่งบนถนน เขาใช้สายตาอันเย็นเหยียบมองมาทางหลินตงอย่างอาฆาต
พวกหลินตงที่ได้เห็นเช่นนั้นก็ได้สติและหุบปากเงียบลงทันที
“ท-ท่านบรรพบุรุษ!” หลินตงและพวกตะโกนออกมา
“ไปให้พ้น!” เล่งหยูตะโกนไล่
“ข-ขอรับท่านบรรพบุรุษ!”
พวกหลินตงไม่คิดเลยว่าเล่งหยูจะออกมาด้วยตัวเองเช่นนี้ พวกเขากลัวจนฉี่แทบราดกางเกงก่อนจะหนีกันหัวซุกหัวซุน
เล่งหยูหันมามองเย่หยวนและกล่าวขึ้นอย่างไม่พอใจ “เจ้าเองก็เป็นถึงผู้อาวุโสแห่งหอโอสถ ทำไมยังปล่อยให้พวกมันว่ากล่าวเจ้าเช่นนั้นอีก?”
ในเวลา 300 ปีมานี้มีจำนวนยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์เพิ่มขึ้น เพราะเขาคนนี้บรรลุอาณาจักรนภาสวรรค์ครึ่งก้าวได้สำเร็จ มันเป็นการสะสมพลังที่ยาวนานจริงๆ
ตอนนี้เล่งหยูจึงมีตำแหน่งในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ใหญ่ไม่แพ้อายุรุ่นของตัวเองแล้ว
เล่งหยูนั้นไม่ได้สนใจทางโลกมากมาย แต่ด้วยสภาพเจิ่งชีที่ปางตายนั้นมันจึงทำให้เล่งหยูได้รับหน้าที่ดูแลหอยุทธ์แทน
โลกใบนี้มันคือความเป็นจริง ต่อให้เล่งหยูจะแก่เฒ่าแค่ไหนแต่หากพลังฝีมือของเขาไม่ขยับเคลื่อนไปด้านหน้า และเอาแค่อายุรุ่นมาข่มขู่คนมันก็ไม่มีใครคิดที่จะเกรงกลัว
แต่ตอนนี้มันไม่มีใครกล้าที่จะดูถูกดูแคลนเขา
เย่หยวนหันไปมองหน้าเล่งหยูและพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “เรื่องที่ว่าตำแหน่งผู้อาวุโสของข้าจะถูกถอด?”
เล่งหยูเงียบลงทันที ก่อนจะถอนหายใจยาวออกมา “เจ้านั้นไม่สามารถบรรลุขึ้นสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าได้เสียที มันจึงเริ่มเป็นการยากที่จะปิดปากผู้คนไว้ได้! เรื่องนี้ชายแก่คนนี้เองก็ไม่เห็นด้วยอย่างสุดตัว แต่อีกสองคนนั้นก็มีเรื่องของตัวเองให้ต้องกังวล ไปโทษพวกเขาไม่ได้หรอก”
เย่หยวนนั้นรู้ดีว่าอีกสองคนที่เล่งหยูพูดถึงคือยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์แห่งเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์
คนทั้งสองนั้น คนหนึ่งมีอายรุ่นสูงกว่าเล่งหยู ส่วนอีกคนเป็นคนรุ่นเดียวกันกับเล่งหยู
นี่คือเรื่องภายในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ แน่นอนว่าคำพูดของพวกเขาจึงมีน้ำหนักมากที่สุด
เย่หยวนยิ้มออกมาหลังได้ยินแบบนั้น “พี่เล่งหยูท่านกล่าวอะไร? การได้เป็นผู้อาวุโสมันก็ดี แต่การเป็นคนธรรมดาเองมันก็ไม่เลว สุดท้ายมันก็เป็นแค่ชื่อตำแหน่ง หากข้าไม่มีพลังบ่มเพาะที่สูงพอ สุดท้ายทุกอย่างมันก็สูญเปล่า”
เล่งหยูนั้นตกใจในท่าทางของเย่หยวนมาก เขาไม่นึกเลยว่าเย่หยวนจะเปิดรับมันขนาดนี้
เพราะทุกคนต่างรู้ดีว่าทรัพยากรการบ่มเพาะที่เหล่าผู้อาวุโสได้นั้นมันมากมายกว่าคนธรรมดามากแค่ไหน
สำหรับนักยุทธแล้ว อะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุด?
หากไม่ใช่ทรัพยากรการบ่มเพาะ!
เล่งหยูถอนหายใจยาวอีกครั้ง “ข้าล่ะไม่เข้าใจจริงๆ ทำไมคนมากพรสวรรค์อย่างเจ้าที่สามารถยืนเหนือล้ำผู้คนได้ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันถึงไม่สามารถบรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้าได้เสียที! ระดับเจ้าต่อให้บรรลุขึ้นสู่อาณาจักรเทพถ่องแท้หรืออาณาจักรเทพสวรรค์ข้าก็ยังไม่คิดว่ามันแปลกเลยด้วยซ้ำ! เรื่องนี้มันกวนใจข้าจริงๆ”
เล่งหยูนั้นรู้ว่าบรรพบุรุษที่เข้าใจแนวคิดแห่งห้วงมิติระดับสองดาวได้นั้นแข็งแกร่งมากมายเพียงใด
แต่เย่หยวนใช้เวลา หนึ่งร้อยปีเท่านั้นเขากลับสามารถเข้าใจแนวคิดแห่งห้วงมิติสองดาวได้เช่นกัน พรสวรรค์และความสามารถของเด็กคนนี้มันไม่ได้ด้อยไปกว่าบรรพบุรุษคนนั้นเลย
แต่ทว่าทำไมเขาถึงไม่สามารถบรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้าได้เสียที?
การเปิดโลกเล็กภายในตัวเองนั้นมันเป็นเรื่องที่ยากเย็นสำหรับคนอื่นๆ แต่กับเย่หยวนแล้วมันน่าจะง่ายกว่าปอกกล้วยเสียอีก
จากที่เล่งหยูคาดการณ์ไว้ เย่หยวนน่าจะบรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้าได้ในเวลา ห้าสิบปี
แต่นี่เวลากลับผ่านไปแล้วกว่า สามร้อยปี เย่หยวนกลับยังไม่สามารถพัฒนาไปไหนได้เลย
เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่สามารถเข้าใจเหตุผลได้ไม่ว่าเขาจะพยายามคิดมันไปมากแค่ไหน
เย่หยวนยิ้ม “วรยุทธบ่มเพาะที่ข้าใช้มันค่อนข้างจะพิเศษไม่เหมือนใคร การบรรลุอาณาจักรต้องใช้โอกาส และโอกาสนั้นมันก็ยังมาไม่ถึงข้าเสียที ข้าจึงไม่สามารถบรรลุขึ้นไปได้”
เล่งหยูกล่าวขึ้น “ไม่รู้เลยจริงๆ ว่ามันเป็นวรยุทธบ่มเพาะแบบไหนถึงสามารถทำให้อัจฉริยะระดับเจ้าติดแหง็กอยู่ได้แบบนี้! ช่างเรื่องนั้นก่อน อีกสามวันข้างหน้าจะมีการประชุมผู้อาวุโส หลายๆ คนคงเตรียมการมาพูดเรื่องเจ้ากันแน่นอน จงระวังไว้ให้ดี”
เย่หยวนจึงยิ้มตอบกลับไป “แค่ตำแหน่งผู้อาวุโส มันมิใช่เรื่องใหญ่ใดๆ หรอก”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น