Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1630-1635

 ตอนที่ 1630 เขาหน่วงเทพบรรพกาล

เจิ่งชี หนิงเทียนปิง และเหล่าคนของเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นั้นต่างมองดูไปที่ข่านซัวเป็นตาเดียว ดวงตาของพวกเขาทุกคนเปี่ยมไปด้วยเพลิงแค้นที่แทบจะเผาพลาญผู้คนได้


เย่หยวนนั้นคืออนาคตและความหวังของเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ แต่กลับต้องมาถูกคนเช่นนี้สังหารลงง่ายๆ


พวกเขาทั้งหลายกล้าที่จะโกรธแค้น แต่ไม่มีใครกล้าเอ่ยคำพูด


เพราะข่านซัวนั้นแข็งแกร่งจนเกินไป!


หากตอนนี้ไม่มีซ่งหยูอยู่ ข่านซัวคงจัดการสังหารคนของเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ตามไปพร้อมๆ กันแล้ว


แต่การสังหารเย่หยวนคนเดียวและสังหารพวกเจิ่งชีทั้งหมดนั้นมันคนละเรื่องกันอย่างสิ้นเชิง


เรื่องนี่ข่านซัวก็เข้าใจดี เขาจึงไม่ได้คิดที่จะลงมือทำอะไรอีก


“จัดการแมลงเจ้าปัญหาได้แล้ว ไปกันเถอะ” ข่านซัวบอกออกมาอย่างไม่คิดจะสนใจ ราวกับว่าเรื่องที่เขาทำไปนั้นเป็นเรื่องปกติธรรมดาในโลกหล้า


พวกซ่งหยูจึงพยักหน้ารับและมุ่งหน้าตามข่านซัวไป


ทั้งสามคนโจมตีออกไปด้วยระหว่างทาง ส่งร่างของเต่าดำแม่เหล็กอนันต์กระเด็นไปไกลจนมันไม่สามารถลุกขึ้นมาต่อต้านใดๆ พวกเขาได้อีก


แต่ทว่าพลังป้องกันของเต่าดำแม่เหล็กอนันต์นั้นมันก็ช่างแข็งแกร่ง แม้จะโดนกระหน่ำโจมตีหนักแค่ไหน มันก็ยังไม่แสดงทีท่าว่าใกล้จะสิ้นใจออกมาเลย


พลังของยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์นั้นมันทำให้ผู้คนที่ได้เห็นต้องตกตะลึง ตอนนี้พวกเขาได้เห็นภาพอย่างชัดเจนแล้วว่าอาณาจักรนภาสวรรค์มันแข็งแกร่งมากแค่ไหน


ยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์นั้นมันแข็งแกร่งเกินกว่าจะมีใครต้านทานจริงๆ


ต่อให้พลังการบ่มเพาะของพวกเขาถูกกด แต่พวกเขาก็ยังแข็งแกร่งและเหาะเหินเดินอากาศได้อย่างไร้ความกังวล


ไม่นานนักเงาร่างของคนทั้งสามก็หายลับไปจากสายตาของทุกผู้คน


สีหน้าของเกาหยุนนั้นเต็มไปด้วยความขัดแย้งในตัวเอง หลังลังเลอยู่อีกนิดหน่อยเขาก็เร่งฝีเท้าตามเข้าไปในหุบเขา


ส่วนอีกหลายๆ คนที่เหลือเลือกที่จะหยุดและไม่ลงมือทำเรื่องใดๆ ต่ออีก พวกเขาเริ่มนั่งตั้งสติอยู่กับที่


“ผู้อาวุโสใหญ่ เราจะเอายังไงกันดี?” หนิงเทียนปิงกล่าวขึ้นถามเจิ่งชี


เจิ่งชีนั้นมีใบหน้าเสียใจถึงขั้นสุด “ข้าทำผิดต่อเย่หยวน! ข้าไม่ควรพาเขาลงมายังที่แห่งนี้ด้วยเลยจริงๆ ตอนนี้… ข้าจะต้องทำยังไงต่อไปดี?”


หนิงเทียนปิงจึงพูดขึ้น “ผู้อาวุโสใหญ่ เรื่องนี้หาใช่ความผิดท่านไม่ มันเป็นความผิดเผ่าปีศาจทั้งนั้น!”


เจิ่งชีกัดฟันแน่น “ข้าเกลียดตัวเอง! ศัตรูของท่านอาจารย์อยู่ตรงหน้าข้าแท้ ๆ แต่ข้ากลับทำอะไรมันไม่ได้! แถมตอนนี้เย่หยวนยังถูกสังหารไปต่อหน้าต่อตาข้าง แต่ข้ากลับไม่มีปัญญาจะแก้แค้นให้เขา! ข้ามัน… ช่างไร้ประโยชน์เสียจริงๆ”


ความเสียใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของคนจากเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ทั้งหมด พวกเขาทั้งหลายต่างมีความรู้สึกไม่แตกต่างกันนัก


ทุกคนไม่ได้สังเกตเลยว่ามีฝุ่นผงก้อนหนึ่งกำลังลอยผ่านหน้าพวกเขาไป ลอยเข้าไปยังส่วนลึกของหุบเขา



ร่างทั้งสามนั้นบินเข้ามาลึกในหุบเขา


“เด็กคนเมื่อกี้ ดูท่ามันจะยังมีความลับอะไรซ่อนไว้อีกเยอะ น่าเสียดายที่ต้องตายลงแบบนั้น” ซ่งหยูบอก


“แน่นอนสิ! เด็กคนนั้นมันสามารถปลอมตัวเป็นเผ่าปีศาจได้อย่างแนบเนียนจนไม่มีใครจับสังเกตมันได้ เรียกทำนองแห่งยอดเต๋า แถมตอนนี้ยังบรรลุแนวคิดแห่งห้วงมิติอีก คงอย่างมันจะไม่มีความลับใดๆ ซ่อนอยู่ได้อย่างไร?” ข่านซัวบอก


“ทั้ง ๆ อย่างนั้นเจ้ากลับสังหารมันลงง่ายๆ อย่างนั้น?” ซ่งหยูสวน


“หรือยังไง? เจ้าจะปล่อยให้ข้าพาตัวของมันไปต่อหน้าต่อตาเจ้ารึ?” ข่านซัวถามกลับมา


“เรื่องนั้นคงเป็นไปไม่ได้!” ซ่งหยูตอบกลับมาด้วยรอยยิ้ม


“งั้นก็จบเรื่องกันได้แล้ว! ด้วยความสามารถของมันรีบๆ ตายไปก่อนจะดีกว่า! ต่อให้ข้าจะมีโอกาสรีดความลับของมันได้ แต่ข้านั้นรักชีวิตตัวเองมากกว่า บางทีอาจจะไม่ต้องให้มันขึ้นถึงอาณาจักรนภาสวรรค์มันก็อาจจะมาตามล่าข้าแล้วก็ได้” ข่านซัวหรี่ตาพูดออกมา


ใช่แล้ว ความสามารถอันเหนือล้ำของเย่หยวนนั้นมันทำให้เขาเกิดกลัวขึ้นมาในใจ


จริงๆ ข่านซัวเองก็ไม่คาดคิดว่าตัวเองจะได้มาเจอเย่หยวนเข้าที่นี่เสียด้วยซ้ำ


พวกเขาทั้งหลายนั้นตามดูกองกำลังของตนจากมุมมืดและประเมินสถานการณ์อยู่เสมอ


ตอนที่ดาราสวรรค์และตี้เอิ่นจำเย่หยวนขึ้นมาได้ ข่านซัวก็ต้องสะท้านขึ้นมาด้วย


เพราะเรื่องที่เย่หยวนก่อไว้ในเผ่าปีศาจนั้นมันใหญ่เกินกว่าที่จะลืม ทางโถงโลหิตมรณะเองก็ได้บอกเรื่องราวของเย่หยวนให้แก่ข่านซัวจนสิ้น


แต่ตัวตนอย่างบรรพกาลราตรีนั้นมันเป็นเพียงแค่ตัวตนปลอมๆ ที่ถูกสร้างขึ้น ข่านซัวจึงไม่รู้เลยว่าจะไปเริ่มค้นหาจากที่ไหนดี


จนมาถึงวันนี้ ที่จู่ๆ เขาก็ได้เจอโชคใหญ่ มาพบกับเย่หยวนเข้า


หากเขาเป็นคนธรรมดาๆ คงไม่เท่าไหร่ แต่เย่หยวนนั้นมีความสามารถที่น่าสะพรึงจนข่านซัวต้องเกรงกลัวขึ้นมา


เด็กน้อยอาณาจักรบรรพชนพระเจ้ากลับสามารถรับมือนักยุทธอาณาจักรราชันพระเจ้าหนึ่งดาวได้ถึงห้าคน การปล่อยให้เขาฝึกฝนตัวต่อไปมีหรือที่ข่านซัวจะยอม?


ที่สำคัญความเร็วในการบ่มเพาะของเย่หยวนนั้นมันเร็วเหนือฟ้ามาก


ด้วยความเร็วระดับนี้การที่เขาจะขึ้นมายังอาณาจักรนภาสวรรค์นั้นคงกินเวลาอีกไม่นานนัก!


ด้วยภัยร้ายระดับนี้ข่านซัวจึงไม่คิดจะปล่อยให้เย่หยวนได้เติบโตอีกต่อไป


เมื่อครั้งนี้ได้มาเจอกันเข้า เขาจึงตัดสินใจสังหารอีกฝ่ายเพื่อเป็นการตัดไฟเสียแต่ต้นลม


ซ่งหยูพยักหน้ารับออกมา เขาเข้าใจเหตุผลในการกระทำของข่านซัวดี


เพราะหากเขาอยู่ในตำแหน่งนั้น เขาก็คงทำเช่นนี้เหมือนกัน


หางตาซ่งหยูกระตุกเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มอันเย็นเหยียบ “เหมือนว่าจะมีหนูตามเรามาหลายตัวเลยทีเดียว!”


ข่านซัวจึงตอบกลับไปอย่างไม่สนใจ “แค่หนูสกปรก มันไม่มีทางทำอะไรได้มากมายหรอก หากมันคิดจะทำอะไรจริงๆ เราจะจัดการมันตอนนั้นก็ยังไม่สาย”


ซ่งหยูจึงยิ้มตอบ “พวกโง่เหล่านี้มันไม่ประเมินความสามารถตนเอง คิดว่าจะเข้ามาลุ้นเสี่ยงโชค หาได้รู้ไม่ว่าโชคนั้นจะมาพร้อมกับความตาย!”


จู่ๆ สีหน้าของคนทั้งสาม ก็เปลี่ยนไปเมื่อได้พบเจอกับคลื่นแรงโน้มถ่วงที่แสนรุนแรงตรงหน้า


ร่างของทั้งสาม ร่วงลอยลงมาที่พื้นด้านล่างอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้


หลังหายตกใจ ทั้งสามก็มีสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความโลภทันที


“เหมือนว่ามันจะอยู่ไม่ไกลแล้ว! คลื่นที่รุนแรงระดับนี้ อย่างน้อยๆ คงเป็นสมบัติเซียนเทียนนภาสวรรค์!” ข่านซัวบอก


นั้นทำให้ใบหน้าของซ่งหยูตื่นตระหนกขึ้น “เป็นสมบัติเซียนเทียนนภาสวรรค์จริงๆ ด้วย!”


หลังความปีติยินดีจางหายไป ข้อตกลงที่ทั้งสามทำร่วมกันมันก็เกิดรอยร้าวขึ้น


ตอนนี้ระหว่างทั้งสามคนนั้นมีบรรยากาศที่ยากจะอธิบายได้อยู่


ท่าทางอันเยือกเย็นของทุกคนเปลี่ยนกลางเป็นเทพอสูรผู้กระหายสงครามไป


ซู้ม!


ซ่งหยูที่หนุ่มที่สุดเป็นคนแรกที่ห้ามตัวเองไว้ไม่ไหว


ข่านซัวเห็นแบบนั้นจึงหัวเราะรับและโจมตีออกมาบ้าง


ตอนนี้เล่ออี้นั้นคิดจะใช้จังหวะที่ทั้งสองปะทะกันแอบหลบหนีไปหาสมบัติเพียงคนเดียว


แต่ทว่าทั้งสองคนไม่ยอมให้เป็นแบบนั้นแน่ๆ การโจมตีของทั้งสองคนนั้นมุ่งหน้าเข้ามาหาเล่ออี้แทน


นั่นทำให้ทั้งสามต้องเข้าปะทะกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ กลายร่างเป็นสามเหลี่ยมพลังงาน


การต่อสู้ของยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์ครึ่งก้าวนั้นมันรุนแรงจนฟ้าถล่มดินทลาย


แต่ด้วยความที่ฝีมือของทั้งสามนั้นไม่ได้ทิ้งห่างกันมากมาย สุดท้ายจึงไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ


บัง! บัง! บัง!


เสียงการโจมตีอันหนักหน่วงนั้นส่งเศษฝุ่นเศษดินกระจายไปทั่วบริเวณ


ทั้งสามคนพยายามเดินหน้าไประหว่างที่ปะทะกันไป


จู่ๆ ก็เกิดแสงหนึ่งเลื่อนส่องสว่างผ่านศีรษะของพวกเขาไป ทั้งสามคนที่ได้เห็นนั้นสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันมหาศาลของมัน ทำให้ร่างกายของพวกเขาเคลื่อนไหวได้ยากขึ้นมาก


ที่ด้านหน้าไกลออกมา มีเนินเขาสีดำตั้งอยู่ ปล่อยพลังงานที่สะท้านไปถึงจิตวิญญาณออกมาเรื่อยๆ


แรงโน้มถ่วงในพื้นที่นี้มันเกิดขึ้นมาเพราะเจ้าเนินเขานี้นี่เอง!


“แสงหน่วงเทพบรรพกาล! นั่นมัน… เขาหน่วงเทพบรรพกาล! ฮ่าฮ่าฮ่า… ที่แห่งนี้มันให้กำเนิดเขาหน่วงเทพบรรพกาลขึ้นมา! ด้วยเขาหน่วงเทพบรรพกาลนี้พลังของข้าคงเพิ่มพูนขึ้นไปอย่างมหาศาลแน่ๆ” ซ่งหยูกล่าวออกมาราวกับคนคลั่ง


ตอนนี้อีกสองคนเองก็มีอารมณ์ไม่ต่างจากซ่งหยูนัก ข่านซัวหัวเราะออกมา “เข้ามันคิดง่ายเกินไป! เขาหน่วงเทพบรรพกาลนี่ชายแก่คนนี้จะรับมันไว้เอง!”


เล่ออี้จึงพูดแทรกขึ้นมา “พวกเจ้าเลิกหวังได้เลย เขาหน่วงเทพบรรพกาลนั้นเป็นของข้า!”


ข่านซัวหัวเราะออกมาเสียงดัง “งั้นก็มาแสดงพลังฝีมือกันให้เต็มที่เถอะ!”


เขาหน่วงเทพบรรพกาลนั้นเป็นยอดสมบัติที่เหนือล้ำกว่าการคาดการณ์ของคนทั้งสามมาก จึงไม่แปลกที่พวกเขาจะตื่นเต้นมากขนาดนี้


เมื่อได้เห็นมันแล้วคนทั้งสามก็ไม่คิดจะออมมืออีกต่อไป แต่ละคนต่างปล่อยกระบวนท่าใหญ่ออกมาอย่างไม่ยั้งมือ


แต่การที่พวกเขามาถึงที่นี่นั้นมันหนักหน่วงเกินกว่าที่คนทั้งสามจะเคลื่อนไปด้านหน้าพร้อมๆ กันแล้ว


คนทั้งสามนั้นต่างมีแผนการในใจของตัวเอง ไม่มีใครคิดจะให้อีกฝ่ายได้เปรียบไปเลยแม้แต่น้อย


ไกลออกไป เกาหยุนก็กำลังพรางร่างตัวเองอยู่ด้วยสีหน้าที่แสนสับสน


เขานั้นเหมือนหมาป่าที่รอให้มีโอกาสเหมาะและจะเข้าไปคาบเหยื่อมากินเสียเอง


นี่คือความหวังใหญ่ในการบรรลุขึ้นอาณาจักรนภาสวรรค์ของเขา เขาไม่มีทางปล่อยมันหลุดมือไปแน่!


ตอนที่ 1631 เชือกมัดเซียน

การต่อสู้ของยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์ที่เอาจริงกันอย่างสุดตัวนั้นมันจะรุนแรงแค่ไหนคงไม่ต้องคาดเดาให้เหนื่อย


หลังจากต่อสู้กันมาอย่างรุนแรงได้ระยะหนึ่งจนในที่สุดคนทั้งสามก็บาดเจ็บไปตามๆ กัน


ซุ่บ! ซุ่บ! ซุ่บ!


เมื่อได้เห็นว่ายอดฝีมือทั้งสามกำลังบาดเจ็บ เหล่านักยุทธอาณาจักรราชันพระเจ้าที่มารอโอกาสก็เริ่มห้ามตัวเองไม่อยู่ รวบรวมความกล้าเข้าไปร่วมวงต่อสู้ด้วย


คนทั้งสามได้แต่หัวเราะเยาะในใจ ก่อนจะยกมือขึ้นมาส่งการโจมตีอันรุนแรงออกมาหลายต่อหลายครั้ง


ปัง! ปัง! ปัง!


คนเหล่านั้นถูกโจมตีร่างกายฉีกกระจายจนไม่เหลือแม้แต่เศษชิ้นกระดูกใดๆ


ซ่งหยูยิ้มออกมา “พวกโง่แสนอ่อนแออย่างนี้คิดหรือว่าจะมีปัญญาเอาเขาหน่วงเทพบรรพกาลไปเป็นของตน!”


เล่ออี้กล่าวขึ้นตาม “แต่การที่เรามาสู้กันต่อไปเช่นนี้มันก็ไม่ดีเหมือนกัน! ด้วยกำลังของเราทั้งสาม สุดท้ายพวกเราคงมีแต่เสียกับเสีย ไม่มีใครชนะไปได้อย่างขาดลอย!”


ข่านซัวจึงถามขึ้น “งั้นเจ้าว่าทำอย่างไรดีล่ะ?”


เล่ออี้จึงบอกออกมา “ก่อนอื่นเราไปให้ถึงตัวเขาหน่วงเทพบรรพกาลก่อนแล้วค่อยมาสู้ตัดสินกัน! ไม่เช่นนั้นหากเรามาสู้กันจนตายไปตรงนี้แต่สุดท้ายไม่มีใครได้เขาหน่วงเทพบรรพกาลไปมันจะไม่เสียท่าผู้คนมากจนเกินไปรึ?”


ข่านซัวและซ่งหยูนิ่งเงียบไป เพราะตอนนี้พวกเขาต่างเห็นด้วยกับคำพูดของเล่ออี้


ตอนนี้ ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ มันเป็นการยากมากที่จะคาดเดาผลลัพธ์สุดท้าย


“ได้ เอาตามที่เจ้าเสนอมา!” ข่านซัวตกลง


“ข้าเองก็ไม่คิดตะค้านใดๆ เช่นกัน!” ซ่งหยูตกลงตาม


เล่ออี้จึงกล่าวขึ้น “งั้นก็ไปกัน!”


ร่างของทั้งสามเริ่มขยับและพุ่งตัวออกไปยังเขาหน่วงเทพบรรพกาลในทันที


แต่ไม่นานนักพวกเขาก็ต้องหน้าเสียอีกครั้ง


เพราะยิ่งเข้ามาใกล้เขาหน่วงเทพบรรพกาลมากเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าการก้าวเดินช่างยากลำบากไปเท่านั้น!


พลังแรงโน้มถ่วงอันรุนแรงนั้นกดทับร่างของพวกเขาไว้จนแทบจะหายใจไม่ออก


พวกเขานั้นรู้สึกราวกับว่าเท้าของตัวเองมีรากงอกออกมาก็ไม่ปาน


พวกเขาทั้งสามนี้เป็นถึงยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์ พวกเขาจึงพอคาดเดาความรุนแรงของสนามแรงโน้มถ่วงนี้ได้ตั้งแต่เห็นบ้างแล้ว


“ให้ตายสิ! สนามแรงโน้มถ่วงของเขาหน่วงเทพบรรพกาลมันมีแต่จะหนักหน่วงขึ้นและหนักหน่วงขึ้น แบบนี้เราคงไปไม่ถึงมันแน่ๆ” ซ่งหยูกล่าวออกมา


ข่านซัวนั้นมีร่างกายที่แข็งแกร่งกว่าคนทั้งสอง แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นเขาก็ยังไม่สามารถนำคนทั้งสองไปได้ไกลมากนัก


ตอนนี้ยอดฝีมือทั้งสามนั้นได้ปล่อยพลังออกมาจนสุดขีดจำกัดของตัวเอง แต่ความเร็วในการเดินของพวกเขากลับมีแต่จะช้าลงเรื่อยๆ


“ด้านหน้าเราอีกประมาณสามร้อยเมตร ใครที่ไปถึงก่อนก็จะได้สิทธิในการครอบครองเขาหน่วงเทพบรรพกาลไป!” ข่านซัวตะโกนบอก


ระยะทางแค่ราวสามร้อยเมตร สำหรับคนทั้งสามแล้วจริงๆ มันควรจะเป็นการก้าวย่างแค่ครั้งเดียวเสียด้วยซ้ำ


แต่ตอนนี้ระยะสั้นๆ แค่นี้กลับดูแสนไกล ไกลเกินกว่าที่พวกเขาคนใดจะเอื้อมถึง


“อ้า!!”


ข่านซัวตะโกนร้องออกมาอย่างบ้างคลั่ง ฝืนเดินต่อจนมีใบหน้าสีแดงก่ำ กว่าจะก้าวออกมาได้อีกก้าวหนึ่ง


แค่ก้าวเดียวนี้กลับใช้พลังกายของเขาแทบทั้งหมดไป


ข่านซัวกัดฟันแน่น “ทำไมเขาหน่วงเทพบรรพกาลมันถึงได้มีสนามพลังที่รุนแรงขนาดนี้กัน?”


“อ่อก!”


ในที่สุดซ่งหยูก็ทนรับมันไม่ไหวจนต้องกระอักเลือดออกมา


ตอนนี้ซ่งหยูนั้นรู้สึกราวกับว่าตัวเองได้แบกภูเขาทั้งลูกไว้บนบ่า ทำให้เขาไม่สามารถที่จะยืนตัวตรงได้อีกต่อไปแล้ว


แต่เมื่อตรงหน้ามีสมบัติอันแสนล้ำค่าอยู่ พวกเขาจึงไม่มีใครคิดที่จะยอมแพ้ พยายามใช้พลังโลกในร่างกายทั้งหมดออกมาจนถึงขีดสุด เพื่อที่จะต่อต้านกับแรงโน้มถ่วงอันแสนรุนแรงนี้


แต่ทว่ามันก็เปล่าประโยชน์


ตอนนี้แค่ก้าวไปได้ก้าวเดียวมันก็หรูแล้ว


จนในที่สุดเวลาผ่านไปได้ถึงหกชั่วโมง แต่พวกเขากลับเดินมาได้แค่ในระยะประมาณ หกสิบเมตร ยังเหลืออีกกว่า สองร้อยเมตรให้พวกเขาต้องก้าวเดินต่อ จึงจะไปถึงเขาหน่วงเทพบรรพกาลได้


ภายใต้สนามแรงโน้มถ่วงอันรุนแรงนั้น ทั้งสามคนยังได้รับบาดเจ็บมาไม่น้อย มันจึงยากเย็นกว่าเวลาปกติมากมายนัก


แต่ตอนนี้ที่โขดหินที่ด้านหลัง มีเสียงหัวเราะเยาะเย้ยอันหนึ่งดังขึ้นมาจากปากของเกาหยุน


การที่เกาหยุนมีชีวิตรอดมาได้จนป่านนี้นั้นเขาไม่ได้แค่ใช้ประโยชน์จากอายุของตัวเอง แต่เขานั้นมีความสามารถอยู่จริงๆ


ความสามารถในการซ่อนตัวของเขานั้นเรียกได้ว่าไม่เป็นรองใคร เขาเคยใช้วิธีการเช่นนี้เอาชีวิตรอดในมิติลึกลับมาได้นับครั้งไม่ถ้วน


วันนี้เองเขาก็หยิบนำมันมาใช้อีกครั้ง


เขาค่อยๆ ปรากฏกายออกมาจากหลังหินและมองดูเหล่าคนที่บาดเจ็บสาหัสตรงหน้า ดูท่าทางพอใจกับตัวเองอย่างมาก


แม้ว่าพวกซ่งหยูนั้นจะบาดเจ็บหนักแค่ไหน ประสาทสัมผัสของพวกเขาก็ยังเฉียบแหลม


เมื่อพวกเขาได้เห็นเกาหยุนปรากฏกายออกมาแบบนี้ สายตาของพวกเขาจึงเปี่ยมไปด้วยความตื่นตะลึง


“ฮ่าฮ่าฮ่า… พลังอาณาจักรนภาสวรรค์แล้วมันจะทำไม? สุดท้ายคนที่หัวเราะทีหลังก็ย่อมดังกว่าเสมอ เมื่อกี้นี้พวกเจ้ายังเอาแต่วางท่ากันอยู่เลยมิใช่รึ? ทำไมไม่ทำตัวอวดเก่งให้ได้เหมือนเมื่อกี้เล่า?” เกาหยุนหัวเราะออกมา


ตอนนี้พลังทั้งหมดของพวกซ่งหยูนั้นใช้ไปกับการรับมือพลังโน้มถ่วงของเขาหน่วงเทพบรรพกาลจนหมดสิ้นแล้ว


หากมีใครดึงพลังกลับมา พลังโน้มถ่วงอันมหาศาลนี้คงบดร่างของพวกเขาราวกับมีภูเขาตกใส่ตัว เปลี่ยนร่างกายมนุษย์ให้กลายเป็นเนื้อบดไปได้ง่ายๆ


หากพวกเขาอยากจะถอย ก็ต้องค่อยๆ เดินกลับหลังไปทีละก้าว


เพราะแบบนั้นนี่เองเกาหยุนถึงได้กล้าปรากฏตัวออกมาเช่นนี้


ไม่เช่นนั้นต่อให้ทั้งสามจะบาดเจ็บหนักแค่ไหน เขาก็คงไม่กล้าพอที่จะออกมาเผชิญหน้าตรงๆ แบบนี้


บึก!


เกาหยุนยิ้มเยาะ ก่อนจะเงยหน้าและส่งปราณเทวะออกมาพุ่งตรงใส่ซ่งหยู


ตอนนี้เท่าของซ่งหยูนั้นติดอยู่กับที่และเขาก็ไม่มีทางที่จะหลบมันได้เลย จึงต้องทนรับการโจมตีนี้ไปเต็มๆ


ด้วยพลังของสนามแรงโน้มถ่วงมันจึงทำให้เมื่อการโจมตีนี้มาถึงตัวซ่งหยู มันก็ได้เสียพลังดั้งเดิมไปมากแล้ว


แต่แม้จะเป็นฝ่ามืออันอ่อนแอนั้นมันก็ยังเป็นอันตรายถึงชีวิตเขาได้


ซ่งหยูกระอักเลือดคำโตออกมา!


กรุบ!


ฝ่ามือนั้นมันทำให้เกิดผลข้างเคียงตามมาเป็นสาย ตอนนี้ร่างกายของเขาที่ถูกใช้ต่อต้านแรงโน้มถ่วงจนถึงขีดสุดเริ่มส่งเสียงของกระดูกที่แตกร้าวออกมาอย่างชัดเจน


สีหน้าของซ่งหยูเริ่มไม่สู้ดี ตอนนี้เขารู้แล้วว่าตัวเองไม่มีปัญญาที่จะเดินหน้าต่อไปอีก เขาจึงคิดจะก้าวท้าวถอยกลับไป


“ซ่งหยู หากเจ้ากล้าที่จะถอยออกมา ชายแก่คนนี้จะส่งวิญญาณเจ้าข้ามภพให้เอง เชื่อไหมล่ะว่าข้าทำได้?!” เกาหยุนตะโกนขู่


ซ่งหยูนั้นตกใจจนไม่กล้าที่จะถอยออกมาอีก เขาได้แต่กัดฟันทนพลังที่กดแน่นบนร่างต่อไป


เมื่อเกาหยุนได้เห็นภาพนั้นเขาก็หัวเราะร่า “ซ่งหยู เจ้าอวดเก่งถือดีมานานหลายต่อหลายปีแท้ๆ ทำไมตอนนี้ไม่ทำตัวอวดดีอีกครั้งล่ะ?”


ตอนนี้ใบหน้าของซ่งหยูนั้นแทบดูไม่ได้ นี่มันเหมือนการที่เสือร้ายต้องมาถูกหมาขี้เรื้อนรังแกชัดๆ


เขาไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งเขาต้องมาพ่ายให้แก่เกาหยุน


ตอนนี้เจ้ามดปลวกตัวนี้มันกล้าที่จะล้อเล่นกับชีวิตของเขา!


เกาหยุนนั้นรู้สึกโล่งอกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก ความอัดอั้นนานปีของเขาปะทุออกมาในวันนี้


ตู้ม!


เกาหยุนยกมือส่งพลังฝ่ามือออกไปอีกครั้ง ซ่งหยูที่ไร้ทางต่อสู้จึงได้แต่รับมันไว้อย่างว่าง่ายเช่นเดิม


ฝ่ามือนี้มันไม่ได้หนักหน่วงจนสังหารเขาลงได้ แต่มันก็ทำให้ร่างกายของเขาต้องรับภาระที่หนักหน่วงขึ้น


“ฮ่าฮ่าฮ่า… ชายแก่คนนี้เคยวางแผนล่อให้อู๋ซิงถังต้องตายลงในครานั้น ตอนนี้ข้าจะจัดการเจ้าให้ถึงตายไปด้วย! มีพรสวรรค์แล้วจะทำไม? สุดท้ายก็พ่ายแพ้เมื่อต้องอยู่ต่อหน้าชายแก่คนนี้อยู่ดี ชายแก่คนนี้ต่างหากคือผู้ที่ได้หัวเราะทีหลัง!” เกาหยุนหัวเราะอย่างสะใจ


ซ่งหยูได้แต่กัดฟันตอบกลับไป “เกาหยุน อย่าได้ใจไปหน่อยเลย! สิ่งของที่เราไม่มีปัญญาเอามา เจ้าคิดว่าด้วยพลังอันน้อยนิดของเจ้า เจ้าจะมีปัญญาเอามันมาครองรึ?”


เล่ออี้พูดขึ้นตาม “หากเจ้าเข้ามาในระยะ หกร้อยเมตรได้เจ้าเรียกข้าว่าไอ้ขี้แพ้ได้เลย!”


เกาหยุนมองดูคนตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา “เจ้าโง่ทั้งสาม! ใครกันสั่งสอนเจ้าว่าหากอยากได้เขาหน่วงเทพบรรพกาลให้เดินเข้าไปเอาซึ่งๆ หน้า? เปิดตาหมๆ ของพวกเจ้าและมองดูนี่ให้ดี รู้จักมันไหม?”


พูดจบเกาหยุนก็นำเชือกสีเหลืองทองออกมา


เมื่อทั้งสามได้เห็นมันพวกเขาก็หน้าเปลี่ยนสีพร้อมตะโกนขึ้นพร้อมๆ กัน “เชือกมัดเซียน!”


เกาหยุนยิ้มตอบ “อย่างน้อยๆ พวกเจ้าก็ยังพอมีสมองอยู่บ้าง! ตอนที่ชายแก่คนนี้คิดจะมาที่นี่ ชายแก่คนนี้ได้ไปยืมสมบัตินภาสวรรค์เลิศล้ำ เชือกมัดเซียนมาจากท่านเจ้าเมืองผู้ยิ่งใหญ่! ตอนนี้พวกเจ้าก็จงเปิดตาหมาๆ ดูเอาไว้เสียเถอะว่าชายแก่คนนี้จะเอาเขาหน่วงเทพบรรพกาลมาได้อย่างไร!”


เกาหยุนค่อยๆ เดินเข้ามาหาเขาหน่วงเทพบรรพกาล ทำให้ร่างกายของเขาเองก็ค่อยๆ หนักหน่วงมากขึ้นเรื่อยๆ


แต่ว่าเกาหยุนหยุดตัวเองลงที่ระยะราว หนึ่งพันห้าร้อยเมตรก่อนจะถึงเขาหน่วงเทพบรรพกาล


จากนั้นก็มีตราหนึ่งปรากฏขึ้นบนมือของเขา ส่งเชือกสีเหลืองทองพุ่งออกไปราวกับงูร้าย เชือกนั้นมุ่งหน้าเข้าหาเขาหน่วงเทพบรรพกาลอย่างไม่มีการหยุดพัก


ตอนที่ 1632 งานอันหนักหน่วง

เชือกมัดเซียนนั้นพุ่งออกตรงออกไปรัดด้านในของเขาหน่วงเทพบรรพกาลไว้


เกาหยุนนั้นดีใจจนแทบคลั่ง เขาใช้พลังปราณทั้งหมดที่มีในร่างออกมาและดึงด้วยกำลังทั้งหมดที่มี!


เขาคิดว่าด้วยปราณเทวะรวมกับพลังของเชือกมัดเซียน สมบัตินภาสวรรค์เลิศล้ำชิ้นนี้มันคงสามารถดึงเขาหน่วงเทพบรรพกาลนี้ออกมาได้แน่ๆ


แต่ทว่าในวินาทีต่อมาเขากลับรู้สึกถึงแรงต้านที่หนักหน่วงจนเกินทน


เขาหน่วงเทพบรรพกาลนั้นไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย แต่เพราะว่าเกาหยุนทุ่มพลังดึงไปทั้งตัวทำให้ตัวของเขาเองกลับเป็นฝ่ายที่พุ่งออกไปด้านหน้าตรงไปทางเขาหน่วงเทพบรรพกาลแทน


“อุอ่อก!”


ด้วยการที่ใช้กำลังจนเกินพอดีบวกกับการที่ร่างกายของเขาลอยมาด้านหน้า มันจึงทำให้แรงโน้มถ่วงมหาศาลกดทับร่างของเขาในทันทีจนต้องกระอักเลือดออกมา


เกาหยุนนั้นบาดเจ็บมาก่อนหน้าแล้ว และตอนนี้ยังต้องมาเจ็บหนักซ้ำอีก


โชคยังดีที่ระยะทางที่เขามาด้านหน้านั้นมันไม่ไกลมากนัก คนทั้งสามจึงยังไม่สามารถหลุดหนี้ออกมาจัดการเขาได้


“ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าก็สงสัยตั้งนานว่าเจ้าจะทำได้แค่ไหน! หลังพูดมากอยู่ครึ่งค่อนวันสุดท้ายกลับมาสะดุดล้มลงโง่ๆ เอง!” ข่านซัวหัวเราะออกมา


ซ่งหยูที่ถูกทำร้ายและมีความเกลียดชังแก่เกาหยุนอย่างเต็มที่จึงกล่าวขึ้น มาด้วยรอยยิ้มที่พร้อมซ้ำเติมเต็มที่ “คนโง่นี่มันโง่วันยันค่ำจริง ๆ เจ้าคิดว่าเขาหน่วงเทพบรรพกาลนั้นมันมีน้ำหนักมากมายแค่ไหน? หากไม่หลอมมันให้ได้ก่อนมีหรือที่ใครจะยกมันออกมาได้ทั้งชิ้น! ต่อให้มีเจ้าอีกสิบคน เจ้าก็ไม่มีปัญญาขยับเขยื้อนสมบัติชิ้นนี้ได้หรอก!”


เกาหยุนนั้นคลานขึ้นมาอย่างทุลักทุเล เขารู้สึกราวกับว่าตอนนี้อวัยวะภายในของตนมันเคลื่อนออกจากที่ไหนหมด รู้สึกเหมือนกระดูกแทบจะแตกออกเป็นชิ้นๆ


สนามแรงโน้มถ่วงนี้มันรุนแรงจนเกินไป เขาจึงไม่คิดที่จะอยู่ต่อรีบถอยกลับมาหาวิธีใหม่ในทันที


แม้ต้องเจอกับการเย้ยหยันของคนทั้งสาม เกาหยุนก็ไม่คิดจะสนใจ


เพราะตอนนี้เขานั้นเป็นฝ่ายมีเปรียบและไม่คิดจะกลัวคนทั้งสาม นั้นแม้แต่น้อย


ตอนนี้เชือกมัดเซียนนั้นได้หลุดออกไปจากมือของเขาแล้วเรียบร้อย เกาหยุนจึงคิดที่จะเรียกมันกลับมาหาตัว แต่จู่ๆ เขาก็ต้องเบิกตาโพลง!


เพราะมีเงาร่างหนึ่งปรากฏออกมาจากอากาศอันว่างเปล่า เข้ามาปิดเส้นทางระหว่างตัวเกาหยุนและเชือกมัดเซียนที่กำลังมุ่งหน้ากลับมา


ฟุ่บ!


เชือกมัดเซียนนั้นหายไปในอากาศต่อหน้าต่อหน้าเขา!


เกาหยุนนั้นตกใจจนหัวใจแทบหยุดเต้น เขาพยายามที่จะสัมผัสหาเชือกมัดเซียนอีกหลายต่อหลายครั้ง ใช้ตราที่มีเรียกเชือกมัดเซียนซ้ำแล้วซ้ำเล่าพยายามจะให้มันกลับมาหาตัว


แต่เชือกมัดเซียนนั้นกลับไม่ตอบสนองใดๆ กลับมา ตอนนี้เขาไม่สามารถสัมผัสถึงตัวตนของมันได้อีกต่อไปแล้ว


คน ๆ นั้นหันมามองเกาหยุนด้วยรอยยิ้มบางๆ “เจ้าเชือกนี่ดูทนดีนี่ ข้าขอรับไปล่ะนะ”


เกาหยุนเบิกตากว้างอีกครั้งก่อนจะตะโกนออกมาด้วยใบหน้าอันเดือดดาล “เย่หยวน คืนเชือกมัดเซียนมาให้ข้านะ! ไม่เช่นนั้นอย่าได้หาว่าชายแก่คนนี้โหดร้าย!”


เย่หยวนมองดูคนตรงหน้าราวกับเขาเป็นคนปัญญาอ่อน ก่อนจะพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “นี่สมองเจ้ายังอยู่ดีไหม? ของที่ข้าเอามันมาแล้วมีหรือที่ข้าจะคืนให้ใคร?”


เมื่อพวกข่านซัวเห็นเย่หยวนปรากฏตัวออกมาแบบนั้น พวกเขาต่างมีสีหน้าอันตื่นตะลึงจนหุบปากแทบไม่ลง


โดยเฉพาะอย่างยิ่งข่านซัว ตอนนี้เขามีสีหน้าเหมือนได้เห็นผีคนตายเข้า


เขานั้นมั่นใจในพลังฝ่ามือของตัวเองมาก อย่าว่าแต่อาณาจักรบรรพชนพระเจ้า ต่อให้เป็นอาณาจักรราชันพระเจ้าชั้นกลางก็ไม่มีปัญญาจะรับมันไว้ได้แน่ๆ


แต่ตอนนี้เย่หยวนกลับปรากฏกายออกมาโดยไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน!


“นี่มัน… เป็นไปได้ยังไงกัน? ทำไม… ทำไมมันถึงได้ไม่มีแม้แต่ร้อยแผลเช่นนี้ได้?” ข่านซัวพูดขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง


“เด็กคนนี้มันลึกลับเกินไป! เมื่อสักครู่นี้ข้าไม่รู้เลยว่ามันใช้วิธีใดกัน แต่มันกลับสามารถทำให้เชือกมัดเซียนหายไปได้ต่อหน้าต่อตา!” ซ่งหยูกล่าวขึ้น


“แปลก ๆ แล้ว! ด้วยพลังของมันมีหรือที่มันจะเข้ามายืนในระยะ หกร้อยเมตรได้?” เล่ออี้บอก


นั่นทำให้ซ่งหยูหน้าเสียหนักกว่าเก่าพร้อมด้วยลางสังหรณ์ไม่ดีในใจ “พลังโน้มถ่วงในที่นี้มันรุนแรงเกินกว่าที่แนวคิดแห่งห้วงมิติจะรับไหวแน่ ๆ ต่อให้มันจะบรรลุแนวคิดแห่งห้วงมิติสองดาวก็ตาม มันก็ไม่น่าจะเข้ามายังที่ที่มันยืนอยู่ได้! แล้วเจ้าเด็กคนนี้มันใช้วิธีการใดกัน?”


ข่านซัวคิดถึงความเป็นไปได้ต่างๆ นาๆ ก่อนจะพูดขึ้น “เป้าหมายของเจ้าเด็กคนนี้คงไม่ใช่เขาหน่วงเทพบรรพกาลหรอกใช่ไหม?”


เป็นตอนนั้นเองที่เย่หยวนหันหน้ามาหาข่านซัวและกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ยินดีด้วย เจ้าเดาถูก! เดิมทีข้านั้นไม่ได้สนใจในเขาหน่วงเทพบรรพกาลมากมายนัก แต่ไหนๆ พวกเจ้าก็ไม่มีปัญญาเอาไป นายน้อยคนนี้จึงขอรับมันไว้เองแล้วกัน”


เมื่อคำพูดเหล่านั้นถูกกล่าวออกมา สีหน้าของคนที่เหลือก็เปลี่ยนไปทันที


ซ่งหยูกล่าวด้วยท่าทางสงสัยเต็มทน “เป็นไปไม่ได้! ด้วยพลังของเจ้า เจ้าคงโดนสนามแรงโน้มถ่วงนี้กดทับจนตายก่อนแน่ๆ”


แม้อีกสองคนจะไม่ได้พูดอะไรออกมาแต่พวกเขาก็มีใบหน้าที่แสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าพวกเขาคิดเหมือนซ่งหยู


เย่หยวนจึงยิ้มออกไป “โอ้? งั้นเรอะ? แต่ไม่ลองจะรู้ได้อย่างไร?”


พูดจบเขาก็เริ่มเดินมุ่งหน้าเข้าไปยังเขาหน่วงเทพบรรพกาลทันที


ภาพนั้นทำให้คนทั้งสี่ ต้องตกตะลึง


แม้จะมีสนามแรงโน้มถ่วงที่แสนจะรุนแรง แต่เย่หยวนกลับเดินออกไปราวกับกำลังเดินชมดอกไม้ในสวน ไม่มีท่าทางว่าจะถูกกดเลยแม้แต่น้อย


ในระยะ หกร้อยเมตรนั้นแม้แต่พวกข่านซัวยังไม่สามารถเดินได้สบายๆ แบบนี้ พวกเขาต้องลำบากไม่น้อยในการก้าวเข้ามา


ส่วนเย่หยวนกลับเดินเข้าไปใกล้อย่างไม่คิดจะพูดจา


ด้วยพลังของเขาแค่เข้ามาอยู่ในระยะ หนึ่งพันเมตรมันก็น่าจะบีบกดร่างของเขาจนแหลกเละแล้วแท้ๆ


“บ้าน่า! เป็นไปไม่ได้! ทำไม… ทำไมมันถึงได้ทนสนามแรงโน้มถ่วงได้มากขนาดนี้?” ข่านซัวกล่าวขึ้นอย่างตื่นตกใจ


ซ่งหยูจึงกัดฟันแน่นและพูดเสริมขึ้น “ร่างของเจ้าเด็กน้อยคนนี้มันมีความลับมากเกินไป วิธีการที่มันใช้นั้นมีมากมายราวสายน้ำ ไม่มีใครสามารถคาดเดาป้องกันได้! ใครจะไปคิดว่าผู้ที่ได้หัวเราะทีหลังสุดจะกลายเป็นเด็กน้อยคนนี้กัน?”


เล่ออี้นั้นมีสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีแต่ก็พยายามพูดออกมา “ใครจะหัวเราะทีหลังสุดนั้นมันยังไม่แน่หรอก! ตอนนี้มันแค่อยู่ในระยะ หกร้อยเมตร ยิ่งเข้าใกล้เขาหน่วงเทพบรรพกาลมากเท่าไหร่พลังแรงโน้มถ่วงมันก็จะยิ่งรุนแรงมากเท่านั้น ข้าไม่เชื่อหรอกว่ามันจะเดินเข้าไปจนถึงได้!”


ทั้งสองคนเองก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วยออกมาหลังได้ยิน


เพราะคำพูดนั้นของเล่ออี้มันเต็มไปด้วยเหตุผลที่น่าเชื่อ เพราะพวกเขาทั้งสามนั้นเดินมาจนถึงจุดนี้ในระยะ สองร้อยห้าสิบเมตร แต่มันกลับมีแรงโน้มถ่วงที่หนักหน่วงเหมือนแบกเขาไว้ทั้งลูกแล้ว พลังของเขาหน่วงเทพบรรพกาลนั้นมันมากมายเกินกว่าที่จะจินตนาการได้จริงๆ


พวกเขาไม่มีใครเชื่อว่าเย่หยวนจะเดินไปได้จนสุดทาง


คนทั้งสี่ได้แต่จ้องมองดูเย่หยวนตาเป็นมัน เฝ้าดูการเดินอย่างสบายใจของเย่หยวน


หกร้อยเมตร ห้าร้อยเมตร สี่ร้อยเมตร สามร้อยเมตร!


เย่หยวนนั้นเดินเข้ามาด้วยความเร็วที่เท่าเดิมตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ ไม่นานนักเขาก็เดินมาจนถึงจุดที่พวกซ่งหยูอยู่ในที่สุด


เมื่อคนทั้งสาม เห็นได้ว่าเย่หยวนเดินเข้าระยะสามเมตรมาได้อย่างไม่มีท่าทีเหนื่อยยากใดๆ พวกเขาก็ต้องรู้สึกเหมือนใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม


“ไม่มีทาง! เราจะมอบสมบัติให้เจ้าเด็กคนนี้ไปไม่ได้! ไม่เช่นนั้นมันจะเหมือนเป็นเสือติดปีก!”


ความกดดันที่เย่หยวนมีต่อหัวใจของพวกเขานั้นมันรุนแรงมาก


ตอนนี้ต่อให้เป็นอาณาจักรนภาสวรรค์ก็ไม่สามารถทนทานได้!


เย่หยวนเดินผ่านหน้าคนทั้งสาม ไปก่อนจะหันมามองพวกข่านซัวและยิ้มขึ้น “เจ้ารอก่อนเถอะ แค้นนี้ข้าต้องชำระแน่!”


ข่านซัวที่ได้ยินแบบนั้นก็ต้องใจเต้นแรงขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ เด็กคนนี้มันกล้าจะข่มขู่เขาจริงๆ


แต่เขานั้นไม่ได้กังวลเลยว่าเย่หยวนจะสังหารเขาลงตรงนี้ เพราะต่อให้เย่หยวนจะมีพลังเหนือฟ้าทัดเทียมอาณาจักรราชันพระเจ้าหนึ่งดาว แต่มันก็ยังอ่อนแอเกินไปสำหรับเขา


ด้วยพลังของร่างกายเขาในตอนนี้ ข่านซัวสามารถรับมือท่าสังหารของอาณาจักรราชันพระเจ้าหนึ่งดาวได้สบายๆ โดยไม่ต้องขยับตัว


เย่หยวนนั้นต่างจากเกาหยุน เพราะเกาหยุนนั้นคือยอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้าครึ่งก้าว ต่อให้พลังบ่มเพาะของเขาจะถูกกดลงแค่ไหนแต่พลังการโจมตีของเขาก็ยังน่ากลัวไม่เปลี่ยน ทำให้เขาเป็นภัยต่อคนทั้งสามมาก


แต่สุดท้ายเย่หยวนนั้นก็เป็นแค่นักยุทธอาณาจักรบรรพชนพระเจ้า


เย่หยวนเองก็เข้าใจเรื่องนี้ดีเขาถึงไม่ได้โจมตีใดๆ ออกไป


“เด็กน้อย อย่าได้ใจไป! เมื่อชายแก่คนนี้เป็นอิสระได้เมื่อไหร่ข้าจะสังหารเจ้าลงเสีย!” ข่านซัวกันฟันแน่นด้วยความเกลียดชัง


เย่หยวนจึงยิ้มตอบกลับไป “หากเจ้ามีปัญญาสังหารข้ามีหรือที่ข้าจะยังมายืนอยู่ตรงนี้? เพราะฉะนั้นเจ้าจงสวดภาวนาเสียเถอะ ภาวนาว่าข้าจะเติบโตช้ากว่านี้ ภาวนาว่าตัวเองจะมีชีวิตอยู่รอดไปได้อีกวัน”


ตอนที่ 1633 หมากัดกัน

ข่านซัวนั้นอึดอัดมากๆ หากนี่เป็นคำพูดของนักยุทธอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าคนอื่นๆ เขาคงสามารถหัวเราะเยาะเย้ยออกมาได้อย่างเต็มที่


เพราะขยะพวกนั้นมันไม่มีทางที่จะไล่ตามเขาทันได้ไปชั่วชีวิต


แต่เย่หยวนั้นต่างออกไป!


เด็กน้อยคนนี้มันมีพรสวรรค์ที่มากล้นเกินไป ที่สำคัญด้วยพลังการต่อสู้ที่เหนือฟ้านั้นทั้งๆ ที่ยังอยู่ในอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าเขากลับสามารถต่อสู้รับมือกับยอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้าหนึ่งดาวได้อย่างไม่ยากเย็น


หากคนเช่นนี้เติบโตขึ้นไปได้ เขาคงเป็นภัยร้ายที่วัดค่าความอันตรายไม่ได้เลย!


“การจะสังหารเจ้าลงตอนนี้มันคงเป็นเรื่องที่ยากเกินมือข้า แต่หากแค่ทำให้เจ้าต้องพบความลำบากในชีวิตต่อจากนี้ไปมันก็พอทำได้”


เย่หยวนยิ้มออกมาระหว่างพูด เป็นรอยยิ้มที่แม้แต่ข่านซัวยังต้องขนลุก


“เจ้า… เจ้าคิดจะทำอะไร? เด็กน้อยอาณาจักรบรรพชนพระเจ้ากลับคิดจะมาทำร้ายผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้รึ?” ข่านซัวปั้นหน้าเข้าสู้ด้วยคำขู่ แต่ภายในใจของเขานั้นไม่ได้แข็งแกร่งอย่างที่แสดงออกมา


เย่หยวนขยับนิ้ว แสดงให้เห็นเข็มสีเงินปรากฏออกมาที่ปลายนิ้ว


เข็มสีเงินนี้มันคือสมบัติราชันพระเจ้าเลิศล้ำ!


เขามองดูใบหน้าของข่านซัวด้วยรอยยิ้มที่แสนเยือกเย็น “เฮอะ แค่อาณาจักรบรรพชนพระเจ้า? ข้าจะบอกให้นะว่านายน้อยคนนี้คือผู้อาวุโสแห่งหอโอสถเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์! เห็นเข็มเงินนี่ไหม? นี่คือเข็มที่อาบไปด้วยน้ำตาปีศาจสวรรค์สลายกระดูกระดับสาม ของแบบนี้… เจ้าเองก็คงเคยได้ยินชื่อมันมาก่อนกระมัง?”


ข่านซัวจ้องมองไปอย่างรุนแรงท่าร่างของเขาอ่อนแรงลงทันทีที่ได้ยินจนเกือบจะถูกแรงโน้มถ่วงกดจนตัวตาย


“เจ้า… เจ้าไปรู้วิธีหลอมของแบบนั้นมาจากไหนกัน?” ข่านซัวกล่าวขึ้นด้วยเสียงสั่นเครือ


น้ำตาปีศาจสวรรค์สลายกระดูกนั้นคือพิษร้ายที่แสนรุนแรงในหมู่เผ่าปีศาจ มันรุนแรงจนไม่มีพิษใดเทียบเคียง


ด้วยน้ำตาปีศาจสวรรค์สลายกระดูกระดับห้า เพียงหยดเดียวมันก็มากพอที่จะสังหารยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์อย่างเขาให้ตายลงได้นับร้อยครั้ง!


และแม้อาณาจักรนภาสวรรค์ระดับสาม นั้นจะไม่สามารถสังหารเขาลงได้ แต่มันก็ต้องทำให้เขาบาดเจ็บสาหัสแน่นอน


โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสภาพในตอนนี้ หากเขาต้องโดนพิษเข้าไปอีก มันคงทำให้ร่างกายของเขาอ่อนแอลงมาก ถึงตอนนั้นต่อให้เย่หยวนยืนมองนิ่งๆ เขาก็คงโดนสนามแรงโน้มถ่วงนี้กดทับจนแบนราบแน่


หากอาวุธในมือเย่หยวนนั้นเป็นเครื่องรางนภาสวรรค์ข่านซัวคงไม่คิดที่จะเกรงกลัว เพราะเครื่องรางนภาสวรรค์มันไม่สามารถเจาะการป้องกันของเขาได้แม้แต่น้อย!


แต่ทว่าในมือของเย่หยวนนั้นกลับเป็นสมบัติราชันพระเจ้าเลิศล้ำ!


นี่มันคืออาวุธร้าย!


ข่านซัวมองดูเข็มในมือเย่หยวนพร้อมมือของเขาที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนในที่สุดเขาก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป


ฟุ่บ!


ข่านซัวปลดปล่อยพลังที่คานแรงโน้มถ่วงไว้ทั้งหมดออกเพื่อรีบมุ่งหน้าหนีออกไป


ระหว่างที่เขารีบหนีออกไป ข่านซัวก็ต้องกระอักเลือดอย่างรุนแรง ร่างกายทั้งร่างของเขาอ่อนแรงมากเมื่อต้องมาอยู่ใต้สนามแรงโน้มถ่วงตรงๆ เช่นนี้


ตุบ…


เขาพุ่งตัวไปในระยะหนึ่งพันเมตร ในคราเดียวจนสุดท้ายหมดแรงล้มหน้าทิ่มพื้นลง


ซ่งหยูและเล่ออี้เองก็มีสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีเช่นกัน พวกเขาทั้งสองหันมามองดูเย่หยวนอย่างหวาดกลัว


และแน่นอนว่าเย่หยวนเองก็หยิบขวดใบเล็กออกมาใหม่ นั่นทำให้คนทั้งสองต้องขนลุกชันทันที


ตอนนี้ไม่ต้องถามแล้ว ขวดใบเล็กนั้นมันไม่มีทางเป็นโอสถไปได้แน่!


มีหรือที่พวกเขาจะให้เวลาเย่หยวนหยิบเข็มออกมาอีก? หลังได้เห็นเรื่องของข่านซัวแล้วพวกเขาทั้งสองจึงตัดสินใจพุ่งตัวหนีออกไปในทันที


ด้วยการหลบหนีในครั้งนี้มันทำให้พวกเขาทั้งสองต้องเจอกับแรงกดทับอันมหาศาลเช่นกัน


ทั้งสามคนหนีออกไปจนสุดทาง ต่างคนต่างกระอักเลือดออกมาตามๆ กัน เป็นภาพที่น่าเหลือเชื่อจนเกินจะบรรยาย


ไม่ไกลไปนักเกาหยุนเองก็มีใบหน้าที่ดูไม่ค่อยสู้ดีเช่นกัน


เพราะเขาไม่คิดเลยว่าเย่หยวนจะใช้แค่เข็มเล็กๆ ในการข่มขู่ยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์จนพวกเขาต้องมามีสภาพเช่นนี้


เย่หยวนมองดูที่ใบหน้าคนทั้งสามที่หนีไปไกลก่อนจะพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “จะรีบวิ่งไปไหนกันเล่า? ข้าแค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง จะจริงจังอะไรขนาดนั้นกัน? ข้านั้นคือนักนักหลอมโอสถ มีหรือที่จะพกพิษติดตัวไปไหนมาไหนด้วย?”


“อ่อก!”


“อ่อก!”


“อ่อก!”


คนทั้งสามกระอักเลือดออกมาพร้อมๆ กันหลังได้ยินเช่นนั้นอย่างมิได้นัดหมาย


เจ้าเด็กคนนี้มันข่มขู่ผู้คนให้กลัวแทบตายโดยที่จริงๆ ไม่มีอะไรกับตัวเลย


“เย่หยวน เจ้า! หากข้าผู้นี้รักษาอาการบาดเจ็บจนหายดีแล้วข้าจะไม่มีทางปล่อยเจ้าให้มีชีวิตรอดแน่! แต่ให้เจ้าเป็นผู้อาวุโสแห่งเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ข้าก็ไม่สนใจ!” ซ่งหยูจะโกนออกมา


ตอนนี้กำลังของคนทั้งสามนั้นเหลืออยู่แค่ไม่ถึง หนึ่งในสิบ เพราะอาการบาดเจ็บที่ได้รับ


เย่หยวนจึงยิ้มออกมา “งั้นพวกเจ้าก็จงรักษาอาการบาดเจ็บไปให้หายก่อนเถอะ ข้าขอตัวไปจัดการเก็บเขาหน่วงเทพบรรพกาลล่ะ อ่ะ จริงด้วย ที่ข้างๆ พวกเจ้านั้นมันยังมีตัวเกะกะอยู่นี่ พวกเจ้าคงไม่คิดว่ามันจะปล่อยให้พวกเจ้าพักฟื้นตัวสบายๆ หรอกใช่หรือไม่?”


นั่นทำให้ใบหน้าของคนทั้งสามเปลี่ยนไปทันที พวกเขาหันไปมองเกาหยุนพร้อมๆ กันด้วยไฟแค้นที่โหมไหม้


เกาหยุนหน้าซีดลงเล็กน้อย เขาไม่เคยคิดเลยว่าคำพูดเดียวของเย่หยวนมันจะสามารถทำให้เป้าหมายกลายมาเป็นตัวเขาได้จึงตะโกนขึ้นลั่น “เย่หยวน อย่าได้คิดเปลี่ยนเป้าหมาย! ชายแก่คนนี้จะรีบออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้ พวกเจ้าทั้งสามจงรักษาตัวกันไปตามสบายเถอะ!”


ซ่งหยูหัวเราะเย้ยขึ้น “เมื่อกี้ที่เจ้าลอบทำร้ายข้าเจ้ายังดูอวดดีอยู่เลยนี่? ข้าล่ะอยากรู้จริงๆ ว่าตอนนี้เจ้ายังจะอวดเก่งได้มากแค่ไหน!”


ข่านซัวและเล่ออี้นั้นเป็นคนฉลาดไม่น้อย มีหรือที่พวกเขาจะปล่อยให้หมาป่าหิวโหยรอดกลับออกไปได้ง่ายๆ เช่นนี้?


เพราะแม้เย่หยวนนั้นจะไม่สามารถสังหารพวกเขาลงได้ แต่เกาหยุนนั้นสามารถ


ที่สำคัญสภาพร่างกายของเกาหยุนในตอนนี้มันยังดูดีกว่าพวกเขาเสียด้วย


หากไม่สังหารเขาลงเสียมีหรือที่พวกเขาจะรักษาตัวได้อย่างสบายใจ?


ข่านซัวตอบกลับมา “ใครจะสนกันเล่า! จัดการมันลงก่อนแล้วค่อยว่ากัน! เจ้าเฒ่านี้มันมากแผนการ ไม่ได้ดีไปกว่าเด็กน้อยเย่หยวนนั่นเลย! ให้มันมีชีวิตต่อไปใครจะรู้ว่ามันจะมีลูกไม้ไหนมาอีก?”


เกาหยุนนั้นมีสีหน้าเลวร้ายอย่างถึงที่สุด แผนการโยนไฟของเย่หยวนในครั้งนี้มันช่างรุนแรงนัก!


มันเป็นการยุแยงที่ชัดเจน ชายแก่ทั้งสามเองก็ไม่ใช่เด็กน้อยอ่อนต่อโลก ไม่มีทางที่พวกเขาจะมองมันไม่ออก


แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นพวกเขาก็ยังต้องลงมือ


เหตุผลนั้นแสนง่ายดาย เพราะพวกเขากังวล!


เด็กคนนี้มันรับมือยากเสียจริงๆ


ฟุบ! ฟุบ! ฟุบ!


คนทั้งสามทนรับแรงโน้มถ่วงไว้และพุ่งเข้าโจมตีใส่เกาหยุนทันที


ข่านซัวนั้นบาดเจ็บหนักมาก จึงอยากที่จะจัดการจบการต่อสู้ให้รวดเร็วที่สุด


ไม่เช่นนั้นด้วยสถานะของพวกเขามีหรือที่จะกล้ารุมโจมตีคนอื่นเช่นนี้?


แต่อีกด้าน เกาหยุนนั้นแม้จะบาดเจ็บมาไม่น้อย แต่ก็ยังเบาหากเทียบกับอีกฝ่าย


ไม่นานคนทั้งสี่ ก็เริ่มลงมือต่อสู้กันอย่างสุดแรง


แต่เกาหยุนนั้นจะทนรับการโจมตีของคนทั้งสามได้อย่างไร? ไม่กี่กระบวนท่าเขาก็ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบและเริ่มได้รับบาดเจ็บ


เมื่อเย่หยวนเห็นแบบนั้นเขาก็อดที่จะอมยิ้มออกมาไม่ได้


แม้จะเป็นคนเจ้าแผนการแค่ไหน หลายๆ ครั้งพวกเขากลับตกหลุมพรางง่ายๆ


เรื่องการต่อสู้ทางนั้นเย่หยวนไม่ได้สนใจอีกต่อไป ตอนนี้เขาต้องเข้าไปเอาเขาหน่วงเทพบรรพกาลมาไว้ในมือให้ได้ก่อน


แต่ก็อย่างที่ข่านซัวว่ามา ด้วยพลังของเย่หยวนในตอนนี้เขามีทางที่จะเดินไปจนถึงเขาหน่วงเทพบรรพกาลได้เลย


เพราะแรงโน้มถ่วงที่ด้านหน้ามันรุนแรงจนเกินไป ต่อให้เขาจะใช้ฟ้าหน่วงหยวนฉือเช่นนี้แต่มันก็ไม่มีทางเทียบเคียงกับพลังของเขาหน่วงเทพบรรพกาลได้เลย


แต่ทว่าเย่หยวนนั้นยังมีแผนการอื่นไว้รองรับ


สำหรับเขาแล้ว ฟ้าหน่วงหยวนฉือนั้นคือตัวกลางชั้นยอดที่เขาจะสามารถสื่อสารกับเขาหน่วงเทพบรรพกาล


เย่หยวนนำฟ้าหน่วงหยวนฉือออกมาและใส่พลังปราณลงไปอย่างรุนแรง


ด้วยเสียงดังฟุบ ฟ้าหน่วงหยวนฉือนั้นก็พุ่งตรงไปยังเขาหน่วงเทพบรรพกาลในทันที


เคร้ง!


ฟ้าหน่วงหยวนฉือนั้นเข้าไปเกาะอยู่กับเขาหน่วงเทพบรรพกาลอย่างไม่มีร่องรอยของความเสียหายใดๆ


ตู้ม!


ตอนนี้เขาหน่วงเทพบรรพกาลนั้นเหมือนกำลังถูกเปิดใช้งานขึ้น ส่องแสงแรงกล้าไปทั่วพื้นที่


ตอนนี้คนทั้งสี่ที่กำลังปะทะกันอยู่อย่างดุเดือด เมื่อได้เห็นแสงนั้นพวกเขาก็จำต้องหยุดมือลงด้วยสีหน้าท่าทางไม่อยากจะเชื่อสายตา


“เป็นไปได้อย่างไร? มันสามารหลอมเขาหน่วงเทพบรรพกาลไว้ได้จริง!” ซ่งหยูหน้าซีดลงทันที


ข่านซัวกัดฟันแน่นออกมาพร้อมพูดด้วยความเกลียดชัง “ให้ตายเถอะ! เสียเวลามาตั้งนานทั้งยังบาดเจ็บกันไม่น้อย แต่สุดท้ายกลับเป็นเจ้านั่นที่ได้มันไป! หากอาการบาดเจ็บของข้าหายดีแล้วข้าจะต้องไปสังหารมันให้ได้!”


ฟุ่บ!


ระหว่างที่คนทั้งสามกำลังตกตะลึงกับภาพตรงหน้า เกาหยุนก็ใช้โอกาสนั้นในการเปลี่ยนร่างของจนเป็นลำแสงพุ่งตัวหนีออกไปยังโลกภายนอกในทันที


ส่วนคนทั้งสามเองก็ไม่ได้สนใจในตัวเขาอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้สายตาของพวกเขาต่างจับจ้องไปยังเย่หยวน


“เขาหน่วงเทพบรรพกาลนั้นมิใช่สมบัติล้ำค่าธรรมดาๆ มันมีระดับที่สูงจนวัดค่าไม่ได้! หากมันถูกหลอมสำเร็จแม้จะเป็นยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์ก็คงถูกสังหารลงได้อย่างง่ายดาย!” เล่ออี้พูดออกมาด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความกลัว


ตอนที่ 1634 เจ้าเล่ห์เพทุบาย

เย่หยวนนั้นได้รับฟ้าหน่วงหยวนฉือมานานหลายต่อหลายปีแล้ว เขาสามารถผสานจิตของตัวเองเข้ากับมันได้จนเป็นหนึ่ง ไม่มีความแตกแยกใดๆ ในตัวตนทั้งสอง


การใช้มันเป็นตัวเชื่อมต่อกับเขาหน่วงเทพบรรพกาลในครั้งนี้นับว่าไม่ได้เป็นเรื่องที่ยากเย็นเลย


ฟ้าหน่วงหยวนฉือและเขาหน่วงเทพบรรพกาลนั้นมีพลังอำนาจคล้ายคลึงกัน จะเรียกว่ามันเกิดขึ้นมาจากพลังเดียวกันก็คงไม่ผิดนัก เพราะฉะนั้นมันจึงไม่ได้เกลียดชังเย่หยวนมากมาย


ภายใต้สายตาอันตื่นตะลึงของคนทั้งสามเย่หยวนค่อยๆ เดินหน้าเข้าไปหาเขาหน่วงเทพบรรพกาล


“ทำไมสนามพลังโน้มถ่วงอันรุนแรงนั้นมันกลับไม่มีผลใดๆ ต่อเจ้าเด็กคนนี้เลยกัน?” ซางหยุถามขึ้นด้วยความสงสัย


“สนามพลังแรงโน้มถ่วงมันค่อยๆ อ่อนพลังลงแล้ว! มันทำอะไรลงไปกันแน่?” ข่านซัวตะโกนขึ้นตาม


เล่ออี้ที่มีสายตาเฉียบคมจึงตอบออกมา “พวกเจ้ามองดูที่เขาหน่วงเทพบรรพกาลสิ! นั่นมัน… ฟ้าหน่วงหยวนฉือ!”


เมื่อทั้งสามได้เห็นฟ้าหน่วงหยวนฉือพวกเขาก็ได้รู้ในทันทีว่าทำไมเย่หยวนถึงสามารถเดินผ่านเข้ามาในสนามแรงโน้มถ่วงของเขาหน่วงเทพบรรพกาลได้อย่างไม่ยากลำบากใดๆ


เพราะแนวคิดแห่งแรงโน้มถ่วงนั้นเป็นแนวคิดที่แปลกและหายาก ผู้ที่สำเร็จมันได้มีแค่เพียงหยิบมือเท่านั้น


คนอย่างพวกซ่งหยูทั้งสามนั้นย่อมสามารถปล่อยพลังโลกของตัวเองออกมาด้านพลังแรงโน้มถ่วงได้


แต่เย่หยวนั้นกลับใช้ความเข้าใจในแนวคิดแห่งแรงโน้มถ่วงเพื่อต่อต้านสนามแรงโน้มถ่วง!


“ให้ตายสิ! เด็กคนนี้มันช่างมีโชคเหนือฟ้า ไม่เพียงแต่สามารถเข้าใจแนวคิดแห่งห้วงมิติได้ แต่มันกลับมีของล้ำค่าอย่างฟ้าหน่วงหยวนฉือด้วย!” ข่านซัวกล่าว


โชคของเย่หยวนมันทำให้เขาอิจฉาริษยาเป็นอย่างมาก


ภายใต้สายตาอันสับสนของคนทั้งสาม เย่หยวนก็เดินมาจนถึงเขาหน่วงเทพบรรพกาลในที่สุด


เขาหน่วงเทพบรรพกาลนั้นมีสีดำสนิทด้วยความสูงราวสามช่วงตัวคน และความใหญ่ที่น่าจะเกินกว่า สิบคนโอบ


เย่หยวนค่อยๆ ยกมือขึ้นมาจับฟ้าหน่วงหยวนฉือและค่อยๆ ปล่อยปราณเทวะออกมาเริ่มทำการหลอมจับเขาหน่วงเทพบรรพกาล


ตอนนั้นเองที่สายตาของซ่งหยูและเล่ออี้ได้เปลี่ยนไปเป็นสีหน้าที่เปี่ยมด้วยแผนร้าย


ข่านซัวนั้นคือปีศาจเฒ่าที่อยู่มานับล้านปี เขาจึงรู้สึกได้ถึงความผิดแปลกในทันที


ซุ่บ!


ซุ่บ!


ร่างทั้งสองพุ่งผ่านอากาศเข้ามาหาเขาในทันที


ข่านซัวหลบได้อย่างทันท่วงที ทำให้การโจมตีของคนทั้งสองต้องพลาดเป้า


“เฮอะ เจ้าพวกมนุษย์มันมีแต่คนชั่วช้า!” ข่านซัวหัวเราะออกมา


ซ่งหยูจึงตอบกลับไป “เผ่าปีศาจเองก็มีแต่ความโหดร้ายทารุณ ทำลายชีวิตไปทั่ว! คำพูดกับสิ่งมีชีวิตผิดแปลกอย่างพวกเจ้ามันจะมีความหมายอะไร?”


เล่ออี้พยักหน้ารับ “ไม่ต้องคุยกับมันให้มากความแล้ว สังหารมันเถอะ!”


ข่านซัวจึงหัวเราะลั่น “อยากจะสังหารข้าผู้นี้มันยังเร็วไปหมื่นปี!”


ก่อนหน้านี้เพื่อที่จำเอาเขาหน่วงเทพบรรพกาลมาไว้ในครอบครองพวกเขาทั้งหลายต่างไม่คิดที่จะใช้พลังออกมาให้สิ้นเปลืองเปล่าๆ จึงได้ทำข้อตกลงแบบนั้นออกมา


แต่ตอนนี้มันเป็นที่ชัดเจนแล้วว่าเขาหน่วงเทพบรรพกาลคงต้องตกไปอยู่ในมือของเย่หยวน ทำให้สภาพก่อนหน้านั้นพังทลายลง


เพราะแม้เล่ออี้จะเป็นนักยุทธพเนจรแต่เขาเองก็รู้ว่ามนุษย์และปีศาจนั้นเป็นศัตรูกันมาแต่กาลก่อน หากตอนนี้มีโอกาสสังหารข่านซัวลงมือหรือที่เขาจะปล่อยมันหลุดมือไป


ที่สำคัญข่ายซัวคนนี้ยังมีชีวิตอยู่มาอย่างยืนยาวถึงหนึ่งล้านปี ตัวเขาต้องมีสมบัติอะไรติดตัวไว้บ้างไม่มากก็น้อยแน่ ๆ


การสังหารเขาลงมันอาจจะช่วยชดเชยประโยชน์ส่วนที่พวกเขาเสียไปในครั้งนี้


ส่วนเย่หยวนนั้นพวกเขาไม่สนใจอีกต่อไปแล้ว


เขาและซ่งหยูนั้นเข้าใจดีว่าสภาพของตัวเองในตอนนี้คงไม่มีปัญญาสังหารเย่หยวนลงได้


ฉะนั้นพวกเขาจึงหันมาโจมตีข่านซัวแทน


หากเขาคนนี้อยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อม ข่านซัวก็คงไม่คิดจะกลัวคนทั้งสองเลย แต่ตอนนี้ร่างกายของเขาที่เจ็บหนักกลับต้องมารับการโจมตีของคนทั้งสองพร้อมๆ กัน


“ปีศาจเฒ่าข่านซัว หากสังหารเจ้าลงได้เมืองจักรพรรดิกล้วยไม้อริยะเองก็คงเหมือนเสียแขนไปข้างหนึ่ง! วันนี้เจ้าจงนอนตายอยู่ที่นี่เสียเถอะ!” ซ่างหยูตะโกนออกมา


ซ่งหยูนั้นได้กลืนโอสถรักษาไปและใช้มันกดอาการบาดเจ็บไว้ก่อนหน้าจะเริ่มการต่อสู้นี้แล้ว เขาจึงไม่ต้องออมมือใด ๆ ทั้งสิ้น


“ให้ตายสิ! เด็กน้อยซ่งหยู ความแค้นในวันนี้ชายแก่คนนี้จะจำไปจนตายแน่ๆ”


ข่านซัวพยายามจะถอยไปเรื่อยๆ ระหว่างที่รับมือคนทั้งสองมุ่งหน้าออกมาจากหุบเขา


ไม่นานนักคนทั้งสามก็หายไปจากระยะสายตาของเย่หยวนและปล่อยให้เย่หยวนทำการหลอมเขาหน่วงเทพบรรพกาลไปคนเดียวอย่างสบายใจ



ที่ด้านนอกหุบเขา กลุ่มคนทั้งหลายนั้นไม่สามารถกลับขึ้นไปได้ด้วยตัวเองจึงได้แต่นั่งรอ


ฝั่งเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นั้นเปี่ยมไปด้วยความโศกเศร้า การเสียเย่หยวนไปเป็นอะไรที่หนักหน่วงต่อพวกเขามาก


จู่ๆ สายตาของเจิ่งชีก็แดงขึ้นมาก่อนจะมุ่งหน้าไปทางปากหุบเขา


มีเงาร่างหนึ่งกำลังพุ่งหนีออกมาจากด้านใน จะเป็นใครไปได้เสียอีกนอกจากเกาหยุน?


จิตใจของเจิ่งชีนั้นเปี่ยมไปด้วยความโกรธแค้นและโศกเศร้าอย่างไม่มีที่จะระบาย เมื่อได้เห็นหน้าเกาหยุนในครานี้เขาจึงเจอเป้าหมายที่จะระบายอารมณ์เหล่านั้นออกมา


ร่างกายของเขาพุ่งตรงไปรับหน้าเกาหยุนทันที


“ไอ้เฒ่า! วันนี้แหละข้าจะจัดการแค้นแต่เก่าก่อนลงให้หมด ตายซะ!”


เจิ่งชีตะโกนออกมาเสียงดังพร้อมใช้ดาบเข้าโจมตี


เกาหยุนนั้นมีจิตใจที่เปี่ยมไปด้วยความกังวล กลัวว่าคนด้านหลังจะตามออกมามันแต่เขาไม่เคยคิดเลยว่าหนีเสือกลับต้องมาปะจระเข้แบบนี้ ตอนนี้เขาจึงได้แต่รับการโจมตีของเจิ่งชีไว้อย่างจัง


“เจิ่งชี ชายแก่คนนี้ไม่มีเวลามาเล่นกับเจ้า! จงไปให้พ้นเสีย!” เกาหยุนตะโกนด้วยความโกรธ


วันนี้เป็นวันที่เกาหยุนเสียท่าอย่างหมดรูป


เขาคิดว่าตัวเองคำนวณทุกอย่างไว้ได้อย่างสมบูรณ์ แต่เขาไม่เคยจะคิดเลยว่าตัวเองต้องมาเสียท่าให้กับเด็กน้อยอาณาจักรบรรพชนพระเจ้า


ในมิติลึกลับนั้นเขาหลอกลวงวางแผนล่อคนมานับครั้งไม่ถ้วน แต่มีครั้งไหนบ้างไหมที่เขาโดนกลับ?


แต่คราวนี้ตั้งแต่บนเหวอัญเชิญปีศาจมาจนถึงตอนนี้เขากลับตกอยู่ในเงื้อมมือของเย่หยวนอย่างถอนตัวไม่ขึ้น จนสุดท้ายเกือบต้องพลาดท่าตายด้วยน้ำมือของยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์


ตอนนี้แม้แต่ขยะอย่างเจิ่งชียังมีหน้ามาทำร้ายเขาด้วย


แต่เจิ่งชีจะยอมง่ายๆ ได้อย่างไร? เมื่อเขาเห็นว่าเกาหยุนกำลังบาดเจ็บหนักเขาจึงรู้ได้ทันทีว่านี่คือโอกาสล้างแค้นแล้ว เขาไม่มีทางปล่อยอีกฝ่ายให้หนีออกไปได้แน่ๆ


ตอนนี้ทางเมืองจักรพรรดิยอดสันติยังเหลือคนอยู่บ้าง เมื่อพวกเขาได้เห็นว่าเกาหยุนถูกเจิ่งชีดักโจมตีแบบนั้นพวกเขาต่างก็รีบรุดเข้าไปช่วยเหลือทันที


แต่มีหรือที่คนจากฝั่งเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์จะปล่อยให้คนเหล่านี้เข้าไปช่วยได้?


ยอดฝีมือจากเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์รีบเข้ามาล้อมพวกเขาทั้งหลายไว้ทันที โดยมีหนิงเทียนปิงกล่าวขึ้น “เรื่องนี้มันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ ข้าอยากเห็นจริงๆ ว่าจะมีใครกล้าเข้าไปยุ่งไหม!”


เมืองจักรพรรดิยอดสันตินั้นเสียกำลังไปแล้วกว่าครึ่ง ที่สำคัญคนที่เหลือตอนนี้ก็บาดเจ็บกันไปไม่มากก็น้อยด้วย


ตอนนี้ฝั่งเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นั้นมีกำลังที่เหมือนเสือร้าย พวกเขากำลังล้อมรอบแมวตัวน้อย หากต้องสู้กันขึ้นมาจริงๆ พวกเขาคงไม่มีโอกาสที่จะรอดออกไปได้เลย


หนิงเทียนปิงนั้นได้แต่ถอนหายใจยาวในใจ เพราะหากไม่ใช่เพราะผู้อาวุโสเย่มีหรือที่พวกเขาจะมีสภาพเหมือนปัจจุบันได้?


แต่น่าเสียดายที่อัจฉริยะคนนั้นกลับต้องพลาดท่าลงในที่แบบนี้


อีกด้านทางเจิ่งชีก็เริ่มโจมตีออกมาอย่างไม่คิดชีวิต แต่ละกระบวนท่ามีแต่ท่าสังหารทั้งสิ้น


เกาหยุนที่บาดเจ็บสาหัสขนาดนั้นมีหรือที่จะต้านทานไว้ได้?


“เจิ่งชี เจ้าบ้าไปแล้วรึยังไง? หากเจ้ากล้าสังหารข้า เมืองจักรพรรดิยอดสันติจะไม่มีทางปล่อยพวกเจ้าไว้แน่ๆ”


“เรื่องตอนนั้นเจ้าจะมาโทษข้ามันก็ไม่ถูก มันเป็นตัวอู๋ซิงถังเองที่โลภมากจนตัวตาย!”


“เจิ่งชี ข้าผิดไปแล้ว นะ? มาปรับความเข้าใจกันอย่างสันติเถอะ!”


เกาหยุนนั้นร่ำร้องออกมาจนถึงขั้นร้องขอชีวิต แต่เจิ่งชีกลับทำหูทวนลมไม่ได้ยินใดๆ ทั้งสิ้น


เจิ่งชีนั้นไม่ใช่คนโง่เง่า โอกาสแบบนี้มันคงหาที่ไหนไม่ได้อีกต่อไปแล้ว!


วันนี้เขาต้องสังหารอีกฝ่ายลงให้ได้!


ได้เห็นว่าเจิ่งชีไม่สนใจทั้งคำขู่ทั้งคำขอร้องใดๆ ทางเกาหยุนก็ได้แต่ร่ำร้องขึ้นมา “เจิ่งชี เจ้าจะมาเสี่ยงตายกับข้าทำไม? เด็กน้อยเย่หยวนมันยังไม่ตายเสียหน่อย หากเจ้ามีเวลาว่างมาจัดการข้าทำไมไม่เข้าไปในหุบเขาเพื่อช่วยมันเล่า?!”


ใบหน้าของเจิ่งชีกระตุกขึ้นทันทีที่ได้ยิน


เขาหยุดดาบลงและถามขึ้น “เจ้าว่ายังไงนะ?!”


ตอนนี้ไม่ใช่แค่เขา แต่คนฝั่งเเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ทุกคนต่างหันมามองเกาหยุนเป็นตาเดียว


เพราะพวกเขาทั้งหลายเห็นเย่หยวนถูกสังหารลงต่อหน้า แล้วเหตุใดเขาถึงยังไม่ตาย?


เกาหยุนจึงพูดขึ้น “ข้าเองก็เคยเชื่อว่าเจ้าเด็กน้อยเย่หยวนมันสิ้นใจไปแล้ว แต่ใครจะไปคิดล่ะว่ามันยังไม่ตายแต่กลับแอบลอบเข้าไปด้านในด้วย ตอนนี้มันกำลังถูกสามยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์รุมโจมตีอยู่ ไม่รู้ว่าชีวิตของมันจะยังอยู่หรือตายยังไง แล้วทั้งๆ ที่เป็นแบบนั้นเจ้ายังจะมีเวลามาเสียกับข้าอีกเรอะ?”



 

 

 


ตอนที่ 1635 ยกภูเขามาทั้งลูก

 

ปัง!


ระหว่างที่เจิ่งชีกำลังยืนนิ่งเกาหยุนก็ได้ใช้โอกาสนั้นในการลอบโจมตีซัดฝ่ามือเข้าใส่อกของอีกฝ่าย


ข่าวเรื่องที่ว่าเย่หยวนยังไม่ตายนั้นเป็นเรื่องที่ทำให้เจิ่งชีตั้งสติไม่ทัน จนสุดท้ายต้องยืนนิ่งไปพักหนึ่ง และมีหรือที่เกาหยุนจะปล่อยโอกานี้ไป?


เจิ่งชีนั้นถูกซัดจนลอยออกไปอย่างรุนแรง จนต้องกระอักเลือดออกมาคำโต


ฝ่ามือนี้มันโจมตีเจิ่งชีอย่างไม่ทันตั้งรับใดๆ ทำให้เขารับมันไว้ด้วยร่างกายตรงๆ จนไม่สามารถที่จะลุกขึ้นยืนได้อีกแล้ว


มันเป็นเพราะว่าเกาหยุนนั้นบาดเจ็บหนักมามีพลังปราณเทวะเหลือไม่ถึง หนึ่งในสิบ จากที่มี ทำให้เขาไม่สามารถสังหารเจิ่งชีลงได้ด้วยการโจมตีนี้


แต่แค่นี้มันก็พึงพอแล้วสำหรับเกาหยุน


เพราะเป้าหมายของเขาคือการหนี หาใช่การสังหารเจิ่งชี!


“เจ้า… ช่างน่ารังเกียจ!” เจิ่งชีเอามือทาบอกตะโกนออกมาอย่างโกรธแค้น


เกาหยุนจึงหัวเราะขึ้น “หากมีเวลาชายแก่คนนี้คงให้เกียรติส่งเจ้าขึ้นสวรรค์เองแล้ว! แต่ชายแก่ผู้ใจดีคนนี้จะบอกข่าวดีให้ เย่หยวนยังไม่ตายจริงๆ ที่สำคัญ… หากมันไม่มีเรื่องอะไรผิดพลาดมันน่าจะเป็นคนที่ได้สมบัติในครั้งนี้ไปครองด้วย!”


เมื่อคำพูดเหล่านั้นถูกกล่าวออกมา ทุกคนก็เปลี่ยนสีหน้าไปทันที


“นั่นมัน… เป็นไปได้ยังไง? ข้าเห็นกับตาแท้ๆ ว่าเขาถูกยอดฝีมือเผ่าปีศาจนั้นสังหารลง เป็นไปได้ยังไงที่เขาจะยังไม่ตาย?”


“ไม่ใช่เพียงแค่นั้น เขาถึงกับกลายเป็นผู้ที่แย่งสมบัติจากมือยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์ไปด้วย!”


“เขาทำได้ยังไงกัน? เราเองก็มีสายตามากมายหลายคู่จ้องมองดู จะบอกว่าพวกเราทุกคนเข้าใจสถานการณ์นั้นผิดอย่างนั้นรึ?”



ความตื่นตระหนกในใจของทุกคนนั้นมันยิ่งใหญ่จนอธิบายไม่ถูก คนที่พวกเขาต่างเชื่อว่าได้แตกสลายกลายเป็นฝุ่นผงไปแล้วกลับกลายเป็นผู้ที่จะได้รับสมบัติไปครองเสียอย่างนั้น


เรื่องแบบนี้มันเกินความคาดหมายของทุกผู้คนไปมาก


ที่สำคัญเรื่องนี้ยังมียอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์อยู่ถึงสามคน เป็นไปได้หรือที่พวกเขาจะยืนมองเย่หยวนแย่งชิงสมบัติไปเฉยๆ อย่างนั้น?


เกาหยุนหันไปมองเจิ่งชีอีกครั้งด้วยหางตาก่อนที่จะมุ่งหน้าหนีออกไป


“ฮ่าฮ่าฮ่า… เกาหยุน ขอบคุณมากที่นำข่าวนี้มาบอกเรา! เมื่อเรารู้ว่าเย่หยวนไม่ตาย ความกังวลของชายแก่คนนี้ก็หายไปแล้ว! วันนี้แหละข้าจะจัดการลากเจ้าลงนรกไปด้วยให้ได้!”


จู่ๆ เจิ่งชีก็หัวเราะขึ้นมาอย่างไม่หยุดยั้ง ปล่อยพลังในกายออกมาอย่างรุนแรงล้นฟ้า!


เขาก็ลุกขึ้นยืนมาราวกับว่าบาดแผลที่เขามีมันได้หายไปจนหมดสิ้น ที่สำคัญร่างกายของเขายังปล่อยแสงสีแดงแห่งความบ้าคลั่งออกมาทั้งร่างกาย


เมื่อเกาหยุนได้เห็นเขาก็ต้องหน้าถอดสีทันที “เจิ่งชี เจ้ามันบ้า! ดาบคลั่งเลือนสลายมันเป็นวิชาที่กัดกินชีวิตและเลือดผู้ใช้!”


เจิ่งชีนั้นหัวเราะตอบกลับมาอย่างบ้าคลั่ง “แล้ว? ตอนนั้นที่อาจารย์ข้าสอนวิชานี้ให้ท่านบอกว่าจงอย่าได้ใช้มันออกมาจนกว่าจะถึงเวลาวิกฤตชีวิตจริงๆ แต่หากเสียโอกาสวันนี้ไปใครจะรู้ว่าชายแก่คนนี้จะมีโอกาสได้สังหารเจ้าอีกครั้งเมื่อไหร่! เพราะฉะนั้นวันนี้เจ้าจงตายลงเสียเถอะ!”


เดิมทีแม้เจิ่งชีจะใช้วิชาดาบคลั่งเลือนสลายนี้เขาก็ยังไม่มีพลังมากพอที่จะจัดการเกาหยุนลง


แต่วันนี้ฟ้าดินเป็นใจทำให้เจิ่งชีไม่คิดที่จะปล่อยโอกาสแบบนี้ออกไปจากมือ หากเขาพลาดในครั้งนี้ชีวิตนี้เขาอาจจะไม่สามารถแก้แค้นได้อีกต่อไป


เพราะแม้โอกาสที่เกาหยุนจะบรรลุสู่อาณาจักรนภาสวรรค์นั้นจะเลือนลาง แต่โอกาสที่ตัวเจิ่งชีเองจะบรรลุอาณาจักรนภาสวรรค์มันก็มีน้อยไม่ต่างกัน


หากอยากแก้แค้นมันก็คงไม่มีโอกาสอื่นอีกแล้ว


วันนี้อาจจะเป็นโอกาสสุดท้าย


เจิ่งชีเฝ้ารอวันนี้มานับหมื่นๆ ปี มีหรือที่เขาจะปล่อยโอกาสอันนี้ไปได้?


เกาหยุนหน้าซีดลงทันทีที่เห็นด้วยความหวาดกลัว “บ้า! เจ้ามันบ้า!”


เกาหยุนและอู๋ซิงถังนั้นเป็นคนในรุ่นเดียวกัน แน่นอนว่าเขาต้องรู้จักวิชาดาบคลั่งเลือนสลายนี้เป็นอย่างดี


การใช้วิชานี้แก้ปัญหาในยามฉุกเฉินนั้นนอกจากมันจะทำให้ร่างกายของผู้ใช้อยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อมแล้วมันยังช่วยเพิ่มพลังการต่อสู้ได้อย่างมหาศาลด้วย


แต่ราคาที่ต้องจ่ายนั้นมันคืออายุขัยและเลือด!


ตอนนี้ การที่เจิ่งชีใช้วิชานี้ออกมามันน่ากลัวมากๆ สำหรับเขา


เกาหยุนจึงตัดสินใจอย่างไม่ต้องหยุดคิดใดๆ เขารีบพุ่งตัวหนีออกไปในทันที


เจิ่งชีหัวเราะตามหลังมา “เจ้าคิดจะไปที่ไหน?!”


เจิ่งชีที่ใช้ดาบคลั่งเลือนสลายนั้นมีความเร็วในการเคลื่อนที่เพิ่มมากกว่าก่อนมาก จึงเข้าไปประชิดเกาหยุนได้ภายในพริบตา


ดาบแต่ละดาบที่ฟาดฟันออกมานั้นมันยิ่งรุนแรงขึ้น และรุนแรงขึ้นจนเกาหยุนแทบล้มลง


สภาพแบบนี้มีหรือที่เกาหยุนจะยังคิดสู้? ตอนนี้ความคิดเดียวในหัวของเขาคือการถอยหนี


เขารู้ดีว่าสภาพนี้ของเจิ่งชีนั้นจะอยู่ได้ไม่นาน และตราบเท่าที่เขาถ่วงเวลาไปได้ถึงตอนนั้นเขาก็มีโอกาสสวนกลับสังหารเจิ่งชีลงได้


คนทั้งสอง หนึ่งหนี หนึ่งไล่กันออกไปจนลับสายตาทุกผู้คน


แต่ก่อนที่จะจากไปเจิ่งชีได้สั่งเอาไว้ว่า “พวกเจ้าอยู่ที่นี่รอผู้อาวุโสเย่ออกมา!”


พวกหนิงเทียนปิงนั้นมีสีหน้าท่าทางลำบากใจ พวกเขาไม่คิดเลยว่าผู้อาวุโสใหญ่จะตั้งมั่นในการล้างแค้นถึงขนาดนี้


เจิ่งชีและเกาหยุนหายไปได้ไม่นานก็มีเสียงการต่อสู้อันดุเดือดตามหลังมาติดๆ


ไม่นานร่างของพวกข่านซัวก็ปรากฏแก่สายตาทุกผู้คน


แต่พวกเขาไม่ได้คิดที่จะหยุด ทั้งสามสู้ไปถอยไปตามล่าไป จนหายลับจากสายตาทุกผู้คนอย่างรวดเร็ว


ตอนนี้พวกเขาทั้งหลายต่างหันมามองหน้ากัน รู้แค่อย่างเดียวว่าสถานการณ์ในตอนนี้มันช่างสับสนวุ่นวาย ทำให้สมองของพวกเขาทั้งหลายเองก็ปรับตามไม่ทัน


“ฆ่ามัน!”


ดาราสวรรค์ตะโกนขึ้นอย่างดุดันก่อนจะเริ่มเข้าโจมตีสังหารยอดฝีมือฝ่ายมนุษย์ไป


เป็นตอนนั้นนั่นเองที่ฝ่ายมนุษย์ได้รู้ถึงสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้าและเริ่มที่จะโจมตีสวนกลับไปบ้าง


แต่ฝ่ายมนุษย์นั้นเป็นเหมือนมังกรที่ไร้หัว ตอนนี้พวกเขาไม่มีใครให้ยึดเหนี่ยว แล้วจะเอาอะไรที่ไหนไปสู้กับฝ่ายปีศาจได้?


เชียนอันนั้นทนไม่ไหวจึงพยายามเจ้าไปเพื่อหวังสมบัติ แต่สุดท้ายก็ถูกยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์สังหารไป


ตอนนี้พวกที่เหลือมีแต่ดาราสวรรค์และตี้เอิ่นที่เป็นผู้แข็งแกร่งในหมู่ปีศาจ


แต่ต่อให้พลังบ่มเพาะของพวกเขาถูกกด มันก็ยังเหมือนเสือที่หลุดเข้ามาในฝูงแกะอยู่ดี


โชคยังดีที่พลังบ่มเพาะของทุกผู้คนนั้นถูกกดไว้เหมือนๆ กัน ฝ่ายมนุษย์จึงไม่ได้เสียเปรียบมากมายขนาดนั้น แต่สถานการณ์ตอนนี้มันก็ไม่สู้ดีเลย


และตอนนี้เมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ก็ได้กลายเป็นกำลังหลักในการปะทะในครั้งนี้ไปโดยปริยาย


เพราะกำลังของพวกเขาในตอนนี้สมบุณณ์ที่สุดในหมู่ฝั่งมนุษย์ด้วยกัน จึงเป็นกำลังที่สำคัญมาก


ตอนนี้ในฝั่งมนุษย์นั้นมียอดฝีมือระดับผู้บัญชาการแค่หลิงจี้คุนเพียงคนเดียว


ตอนนี้เขาเองก็รู้สึกลำบากไม่น้อยที่ต้องมาเจอกับยอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้าสามดาวถึงสองคนตรงหน้า


แต่เดิมทีฝ่ายปีศาจนั้นก็ได้เปรียบเรื่องจำนวนมาก่อนอยู่แล้ว ทำให้การพ่ายแพ้ของมนุษย์นั้นมันก็ขึ้นอยู่กับแค่เวลาเท่านั้น


สถานการณ์ตอนนี้มันแย่ต่อฝั่งมนุษย์มาก


“ทุกคน อดทนไว้! ตราบเท่าที่เราทนไว้ได้จนท่านซ่งหยูและท่านเล่ออี้กลับมา เราจะชนะแน่นอน!” หลิงจี้คุนตะโกนบอก


แต่มนุษย์นั้นมันแตกแยกและไม่เป็นระเบียบแบบแผน มีหรือที่จะต่อต้านฝ่ายปีศาจที่มากความสามัคคีได้นานนัก?


หลังต่อสู้อย่างดุเดือดมาเรื่อยๆ ฝ่ายมนุษย์ก็เริ่มเสียหายมากขึ้นตามเวลา


ตอนนี้แม้แต่ยอดฝีมือของเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ก็มีคนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสไปไม่น้อย


ดาราสวรรค์หัวเราะออกมา “ไอ้เจ้าบ้าเย่หยวนนั่น มันกล้ามากที่มาขโมยสมบัติไปในครานี้! วันนี้พวกเจ้าต้องชดใช้การกระทำของมันด้วยชีวิต! ฮ่าฮ่าฮ่า!”


ตอนที่ดาราสวรรค์เห็นเย่หยวนถูกข่านซัวสังหารลงนั้นเขาดีใจมาก


แต่ใครจะไปคิดว่าจริงๆ แล้วเย่หยวนไม่ได้ตาย และกลับยังเข้าไปแย่งชิงสมบัติล้ำค่ามาได้อีก ดาราสวรรค์นั้นรู้สึกแย่เหมือนตัวเองได้ไปเหยียบขี้หมาเข้า


และตอนนี้เขาก็กำลังระบายอารมณ์อันขุ่นเคืองนั้นออกมาต่อเหล่ายอดฝีมือฝั่งมนุษย์


จำนวนพลของฝั่งมนุษย์ลดน้อยลงเรื่อยๆ จนทุกคนเริ่มแสดงสีหน้าท่าทางสุดสิ้นหวังออกมา


ตอนนั้นเองที่ร่างชายในชุดขาวปรากฏตัวออกมาจากด้านในหุบเขา เขาดูเหมือนจะค่อยๆ เดินออกมาช้าๆ แต่ความเร็วของเขานั้นกลับเหนือล้ำจินตนาการ


แต่ละย่างก้าวที่เด็กหนุ่มคนนี้เดิน มันจะทิ้งรอยเท้าฝังลึกไว้บนพื้นดิน


เพราะเขาคนนี้กำลังแบกภูเขายักษ์ออกมาทั้งลูก!


เมื่อเทียบกับขนาดร่างกายของเขาแล้ว เขาลูกนี้มันช่างใหญ่ยักษ์เสียจริงๆ


ภายใต้เขายักษ์นั้นมีร่างกายที่ดูแสนบอบบางอยู่ เป็นร่างกายที่เหมือนว่าจะถูกเขานั้นบดขยี้ได้ทุกเวลา


แต่เด็กหนุ่มคนนั้นกลับเดินออกมาอย่างไร้ท่าทางลำบากใดๆ การยกเขาใหญ่ขนาดนั้นกลับดูไม่ได้เป็นภาระต่อร่างกายของเขาเลย


“ผ-ผู้อาวุโสเย่! ผู้อาวุโสเย่ล่ะ!” หนิงเทียนปิงนั้นเป็นคนแรกที่จดจำใบหน้าของเย่หยวนได้จึงตะโกนลั่นขึ้นด้วยความดีใจ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)