Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1622-1629
ตอนที่ 1622 ติดกับค่ายกลศักดิ์สิทธิ์
ตอนนั้นที่เย่หยวนลงมายังเหวนี้เขาต้องพึ่งพาฟ้าหน่วงหยวนฉือ
แต่ตอนนี้เขาไม่ต้องใช้มันอีกต่อไป
ด้วยความเข้าใจที่ตัวเย่หยวนมีต่อแนวคิดแห่งห้วงมิติมันทำให้การลงมาในนี้ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
แต่ถึงจะไม่ยาก เย่หยวนและฝ่ายมนุษย์ก็ยังต้องใช้เวลาหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มในการลงมาให้ถึงก้นเหว
“ไม่ดีแล้ว! พลัง… พลังข้ากำลังถูกกด!”
“ข้าเองก็ถูกกดเช่นกัน! นี่มัน… พลังของข้าในตอนนี้เหลือเทียบเท่าอาณาจักรราชันพระเจ้าหนึ่งดาว!”
“พวกเจ้ารู้สึกกันไหม? พลังแรงโน้มถ่วงในที่แห่งนี้มันช่างเข้มข้น! พวกเราไม่สามารถบินกลับขึ้นไปได้เลย”
…
เมื่อมาถึงทุกคนต่างอยู่ในสภาวะตื่นตระหนก
เพราะเรื่องที่เจออยู่ในตอนนี้มันช่างต่างจากที่พวกเขาคิดอย่างมากมาย
ยอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้าไม่สามารถเหาะเหินได้ พลังการบ่มเพาะถูกกด เป็นสถานการณ์ที่ทำให้ผู้เผชิญตื่นตระหนกอย่างที่สุด
ที่สำคัญแรงโน้มถ่วงที่ปกคลุมที่นี่อยู่นั้นมันช่างรุนแรงจนทำให้พวกเขารู้สึกได้เลยว่าหายใจลำบากขึ้น เป็นสภาพที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน
เกาหยุนมีสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก เพราะตอนนี้พลังการบ่มเพาะของเขาเองก็กำลังถูกกดไว้ไม่ต่างจากคนอื่นๆ ตอนนี้เขามีพลังแค่อาณาจักรราชันพระเจ้าสี่ดาวเท่านั้น
ด้วยพลังแค่นี้มันจึงทำให้เขาเริ่มกังวลเรื่องการสำรวจในครั้งนี้เสียแล้ว
แต่ทว่าเมื่อเขาได้หันไปเห็นเย่หยวน เกาหยุนกลับยิ่งมีสีหน้าที่มืดมนลงกว่าเก่า
เพราะตอนนี้เย่หยวนกลับยังมีพลังการบ่มเพาะเท่าเดิมไม่มีร่องรอยผลกระทบจากพลังงานในที่นี้เลยแม้แต่น้อย
เรื่องนี้มันทำให้เขาไม่พอใจอย่างมาก
ทางฝั่งคนจากเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นั้นได้เตรียมตัวมานานแล้วจากคำเตือนของเย่หยวนที่บอกไว้ ทำให้พวกเขาไม่ได้ตื่นตูมเท่าคนอื่นๆ
เย่หยวนค่อยๆ ปล่อยฟ้าหน่วงหยวนฉือออกไปสกัดพลังที่อยู่ด้านล่าง
พลังที่ยังเหลืออยู่ตอนนี้ไม่ได้ส่งผลอะไรกับเขามากมาย
“เอาล่ะทุกคน อย่าเพิ่งตื่นตกใจไป การกดพลังบ่มเพาะนี้มันไม่ได้มีเป้าหมายแค่พวกเรา ฝั่งยอดฝีมือของเผ่าปีศาจเองก็คงโดนไม่ต่างกัน ตอนนี้ที่พวกเราต้องระวังคือภัยอันตรายที่รออยู่ด้านหน้า พยายามอย่าแยกห่างจากกันไปไกลมาก” หลิงจี้คุนพูดขึ้นเตือนทุกคน
เหล่ายอดฝีมือในคราวนี้ล้วนแล้วแต่เป็นนักรบผ่านศึกกันทั้งนั้น ทำให้หลังผ่านเวลาแห่งความตื่นตกใจไปได้ พวกเขาก็สามารถยอมรับความจริงตรงหน้าและเริ่มสงบจิตสงบใจลงได้อย่างไม่ยากเย็น
ตอนนี้นอกจากเมืองจักรพรรดิธารนิรันดร์แล้วก็มีเมืองหลวงอีกสามแห่งที่ส่งกำลังคนมาช่วยในครานี้ นั่นคือเมืองจักรพรรดิยอดสันติ เมืองจักรพรรดิกวางตะวัน และเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์
ในจำนวนเหล่าคนที่มาในครานี้เห็นได้ชัดว่ากำลังจากเมืองจักรพรรดิยอดสันตินั้นแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่ม ตามมาด้วยเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์
ส่วนเมืองจักรพรรดิกวางตะวันนั้นส่งคนมาได้แค่ผู้อาวุโสอาณาจักรราชันพระเจ้าแปดดาว จึงเรียกได้ว่ามีกำลังน้อยที่สุดแล้ว
ทางเมืองจักรพรรดิธารนิรันดร์นั้นส่งคนมาเกือบสามสิบคน นอกจากหลิงจี้คุนผู้มีพลังระดับอาณาจักรราชันพระเจ้าเก้าดาวแล้วก็มียอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้าแปดดาวตามมาด้วยอีกสองคน
กำลังพลแบบนี้นับได้ว่าเหนือล้ำมาก
แต่เพราะเหตุการณ์เมื่อสักครู่นี้ ทำให้เกาหยุนที่ก้าวขึ้นอาณาจักรนภาสวรรค์ไปครึ่งก้าวกลับมามีพลังระดับอาณาจักรราชันพระเจ้าสี่ดาว เหล่ายอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้าเก้าดาวเองก็กลับมามีพลังระดับอาณาจักรราชันพระเจ้าสามดาว
ส่วนพวกที่ยังอยู่ในอาณาจักรราชันพระเจ้าขั้นกลางก็จะถูกกดจนเหลือแค่อาณาจักรราชันพระเจ้าสองดาว พวกอาณาจักรราชันพระเจ้าขั้นต้นก็จะเหลือพลังเทียบเท่าอาณาจักรราชันพระเจ้าหนึ่งดาว
นั่นทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นเมื่อสักครู่อย่างช่วยไม่ได้
ตอนนี้กลุ่มคนทั้งหมดเดินออกมาเรื่อยๆ โดยที่รอบตัวมีแต่หินรูปร่างประหลาดไร้ซึ่งพืชพรรณและสิ่งมีชีวิตใดๆ รอบตัวของพวกเขามีแต่ความมืดมิดจนหลายๆ คนต้องจุดไฟศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาเพื่อส่องดูทางเดินต่อไป
“จนถึงตอนนี้เราก็ยังไม่เจอร่องรอยของพวกปีศาจเลย เป็นไปได้หรือไม่ว่าพวกมันยังลงมาไม่ถึงกัน?” หลิงจี้คุนพูดออกมาหลังมองดูรอบๆ ด้วยความตื่นเต้น
เมื่อได้ยินดังนั้นเกาหยุนเองก็พูดขึ้นด้วยดวงตาที่ลุกวาว “หากเป็นเช่นนั้นจริง โอกาสของพวกเราก็คงมีเพิ่มขึ้นมาก!”
ก่อนที่จั๋วชิงแห่งเมืองจักรพรรดิกวางตะวันจะพูดเสริมขึ้นมา “ข้าไม่คิดว่าพวกปีศาจมันจะมียอดฝีมือที่เข้าใจแนวคิดแห่งห้วงมิติหรอก คนที่ลงมาได้คงมีไม่มาก แต่เราได้เปรียบด้านจำนวน การกำจัดพวกมันไม่น่าจะเป็นเรื่องยากเลย!”
แต่เย่หยวนก็ขัดขึ้นมา “พวกเจ้ามันคิดง่ายกันเกินไป! ร้อยปีก่อนเผ่าปีศาจได้สร้างเรือเหาะที่อยู่เหนือธรรมชาติขึ้น ด้วยความสามารถของยอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้าร่วมกับความเร็วของเรือเหาะนั้น พวกยอดฝีมือเผ่าปีศาจน่าจะลงมาถึงก้นเหวนี้ก่อนเราแล้ว”
คำพูดของเย่หยวนนั้นเป็นดั่งถังน้ำเย็นที่ราดลงบนหัวของทุกๆ คน ทำให้พวกเขาต้องขนลุกเกรียวไปตามๆ กัน
“ฮ่าฮ่า… ไอ้เด็กคนนี้มันฉลาด!”
“ฉลาดไปแล้วจะทำไม? ยังไงก็ต้องตายลงตรงนี้อยู่ดีใช่ไหมล่ะ?”
“พวกมนุษย์นี้มันโง่กันจริงๆ ถึงขนาดคิดว่าเรายังมาไม่ถึงแบบนี้ ฮ่าฮ่าฮ่า…”
…
เป็นจังหวะนี้เองที่จู่ๆ เกิดเสียงดังก้องไปทั่ว ทำให้สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน
แน่นอนว่าต้นเสียงนี้ต้องเป็นยอดฝีมือเผ่าปีศาจ
ไม่มีใครคาดคิดว่าจู่ๆ พวกมันจะปรากฏตัวขึ้นมาแบบนี้
ที่สำคัญที่สุดคือไม่ว่าพวกเขาจะมองหาไปทางไหน ก็ไม่มีใครพบเจอร่องรอยของเหล่าเผ่าปีศาจเลย
มีแต่เสียง ไม่มีตัว
“พวกปีศาจเลว แน่จริงก็ออกมาเจอหน้าพ่อแก่นี่มา! พวกเก่งแต่ปากไม่กล้าออกมาพบหน้าพวกเราตรงๆ”
“หากมีฝีมือพอก็จงออกมาต่อสู้กันให้รู้ดำรู้แดงไป อย่าเอาแต่มุดหัวอยู่ในกระดอง!”
…
ตอนนี้แม้ท่าทางของเหล่ายอดฝีมือฝั่งมนุษย์จะดูน่าเกรงขาม แต่ภายในใจของพวกเขามันเริ่มสั่นไหว
พวกเขาอยากจะลากเหล่าปีศาจออกมาต่อสู้กันตรงๆ แต่อีกฝ่ายจะยอมทำตามง่ายๆ เหรอ?
เป็นตอนนั้นเองที่เย่หยวนตะโกนสั่งทุกคน “เลิกตะโกนได้แล้ว ตอนนี้เราตกอยู่ภายในค่ายกลของพวกปีศาจมันแล้ว พวกมันอยู่ไม่ไกลจากเราหรอก เพียงแต่พวกเจ้ามองไม่เห็นพวกมันก็เท่านั้น”
เมื่อได้ยินแบบนั้นสีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไปอีกครา
เหล่าปีศาจดูท่าจะดักรอโจมตีพวกเขาอยู่นานแล้ว และพวกเขาเองก็เดินเข้ามาติดกับดักอย่างโง่งม!
หลังจากเย่หยวนบอกแบบนั้นไปก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา “เฮอะ เด็กเวรนี้มันมีสมองดีนี่ รู้ตัวด้วยว่าตัวเองตกอยู่ในค่ายกลแล้ว แต่มันไม่มีประโยชน์หรอก! นี่คือค่ายกลเมฆาปีศาจกลืนกินวิญญาณ ค่ายกลศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่ ขั้นสูง ต่อให้เป็นยอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้าเก้าดาวก็ไม่มีทางรอดออกมาได้ ที่สำคัญ ตอนนี้พวกเจ้าทุกคนล้วนต่างถูกกดพลังบ่มเพาะไว้ทั้งสิ้น!”
เกาหยุนมีสีหน้าที่มืดมนลงหลังได้ยินแบบนั้น ตอนนี้เขายังไม่พบสมบัติใดๆ แต่กลับต้องเดินเข้ามาติดกับดักของศัตรูเข้าเสียก่อนแล้ว
ค่ายกลศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่ ขั้นสูง หากเขาไม่ถูกกดพลังไว้ เกาหยุนก็คงสามารถออกไปได้ไม่ยากนัก
แต่ตอนนี้ด้วยพลังแค่อาณาจักรราชันพระเจ้าสี่ดาว เขาจะหนีออกไปได้อย่างไร?
หรือคราวนี้เขาต้องตายลงก่อนที่จะทันได้เห็นสมบัติใดๆ แล้ว?
“พวกเจ้าลองลิ้มรสของค่ายกลเมฆาปีศาจกลืนกินวิญญาณให้ดีเถอะ สมบัติเชียนเทียนจะต้องตกเป็นของเผ่าปีศาจเรา!”
สิ้นเสียงก็เกิดหมอกสีแดงขึ้นมารอบๆ ตัวพวกเขาจนล้อมรอบทุกๆ คนไว้จนหมด
หมอกสีแดงนี้ไหลเข้ามาปิดบังสายตาของทุกคนจนไม่สามารถเห็นได้แม้แต่นิ้วมือของตัวเอง ทำให้ทุกคนพลัดจากกันทันทีทันใด
“ฆ่า ฆ่า ฆ่า ข้าจะฆ่าเจ้าพวกปีศาจ!”
จู่ๆ ก็เกิดเสียงมนุษย์ตะโลนลั่นขึ้นมา และใช้ดาบฟันเพื่อนที่อยู่ข้างๆ เข้าอย่างแรง
ฉัวะ!
คนที่อยู่ข้างๆ นั้นถูกโจมตีทีเผลอทำให้หัวของเขาลอยละลิ่วไปโดยที่เจ้าตัวยังไม่ทันได้รู้ตัวว่าตัวเองได้ตายลงแล้ว
นี่คือผลจากค่ายกลเมฆาปีศาจกลืนกินวิญญาณ มันจะเข้าไปปั่นป่วนจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของคน ทำให้พวกเขาหลอนและเริ่มเข่นฆ่ากันเอง
ในตอนนี้เหล่าเพื่อนมนุษย์ทุกคนได้กลายเป็นยอดฝีมือเผ่าปีศาจไปแล้วในสายตาของคนที่ติดค่ายกล ช่างเป็นภาพที่อุบาทว์อย่างหาเปรียบมิได้
เหล่ายอดฝีมือเหล่านั้นเริ่มโจมตีกันและกันอย่างเต็มที่ราวกับอีกฝ่ายเป็นศัตรูที่ฆ่าพ่อแม่ของตนไป
แสงสีแดงปรากฏขึ้นในสายตาของเย่หยวน เหมือนว่าเขาจะสามารถมองทะลุผ่านม่านหมอกสีแดงพวกนี้ไปได้
จากนั้นร่างของเขาก็ขยับและหายไปจากสายตาของผู้คนทันที
ในจำนวนทัพของเผ่าปีศาจนั้น ดาราสวรรค์ก็เป็นคนแรกที่ขมวดคิ้วและหันไปพูดกับตี้เอิ่นทันที “เจ้าคิดว่าเด็กคนเมื่อกี้มันดูคุ้น ๆ ไหม?”
ด้วยสมบัติเชียนเทียนในครั้งนี้ทำให้ทั้งโถงโลหิตมรณะและเมืองจักรพรรดิกล้วยไม้อริยะได้ส่งทัพร่วมพร้อมยอดฝีมือมากมายมายังที่แห่งนี้
ดาราสวรรค์และตี้เอิ่นก็เป็นหนึ่งในนั้น
ตี้เอิ่นนั้นไม่ได้รู้จักกับเย่หยวนมากมาย แต่ดาราสวรรค์มีเรื่องราวกับเย่หยวนมาอย่างยาวนาน
และตอนนี้ดาราสวรรค์ก็เริ่มรู้สึกว่ามันมีบางอย่างแปลกๆ ไป
ตอนที่ 1623 ไร้ยางอาย
ตี้เอิ่นถามขึ้นด้วยสีหน้าสุดสงสัย “เจ้าหมายความถึง?”
ดาราสวรรค์ตอบกลับมา “นั่นแหละ! ตอนนั้นเจ้าเด็กบรรพกาลราตรีปลอมตัวเป็นปีศาจ รูปร่างของมันดูไม่คล้ายกับเจ้าเด็กคนเมื่อกี้หรือ?”
ตี้เอิ่นหลับตาลงทันทีที่ได้ยิน ไม่นานนักเขาก็พูดขึ้นมาต่อ “หากเจ้าไม่บอกข้าก็คงจำไม่ได้ มันเป็นเจ้าเด็กนั่นจริงๆ ด้วย!”
มันไม่ใช่เพราะว่าตี้เอิ่นเป็นคนขี้ลืมหรืออะไรแบบนั้น แต่เย่หยวนตอนเป็นมนุษย์กับเย่หยวนตอนปลอมตัวเป็นปีศาจมันมีท่าทางและรูปแบบพลังแตกต่างกันมาก
บวกกับเรื่องที่เย่หยวนตัดแปลงรูปร่างตัวเองไปนิดหน่อยด้วยแล้ว มันจึงทำให้ตี้เอิ่นจำเขาไม่ได้เลย
แต่ตอนนี้เมื่อได้ยินคำพูดของดาราสวรรค์เขาก็จำได้ขึ้นมาทันที
ตี้เอิ่นตะโกนขึ้น “หยุดก่อน! กลับไปตรวจสอบดูอีกรอบ!”
ด้วยตำแหน่งของตี้เอิ่นที่มีในทัพ ทำให้คำพูดของเขามีความหมายมาก
ทำให้ผู้นำทัพอีกคน เชียนอันถามขึ้น “มีเรื่องอันใดตี้เอิ่น? เจ้าจะบอกว่าพวกมนุษย์มีปัญญารอดออกมาจากค่ายกลเมฆาปีศาจกลืนกินวิญญาณได้อย่างนั้นหรือ?”
ตี้เอิ่นจึงตอบไป “หากมันเป็นแค่คนพวกนั้นก็คงไม่มีทาง! แต่ตอนนี้ในกลุ่มพวกมันมีตัวแปรที่น่ากลัวอยู่ด้วย!”
เชียนอันที่ได้ยินแบบนั้นจึงถามขึ้นด้วยความสงสัยทันที “เจ้าหมายถึงคนที่พวกเจ้าพูดถึงก่อนหน้านี้น่ะหรือ? แต่แค่อาณาจักรบรรพชนพระเจ้าจะเก่งกาจปานนั้นเชียว?”
และเป็นดาราสวรรค์ที่สวนขึ้นมาพร้อมเสียงหัวเราะ “มันทำให้เมืองจักรพรรดิกล้วยไม้อริยะและโถงโลหิตมรณะกลายเป็นแค่ของเล่นในกำมือของมัน พร้อมขโมยสมบัติออกไปก่อนที่จะหนีไปได้ด้วย เจ้าคิดว่ามันน่ากลัวไหมล่ะ?”
แม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าโถงบัลลังก์ม่วงมีค่าแค่ไหน แต่พวกเขาก็รู้ดีว่ามันเป็นสมบัติล้ำค่าอย่างหนึ่ง
คำพูดนั้นทำให้เชียนอันพูดขึ้นมาด้วยท่าทางประหลาดใจ “เจ้าเด็กคนนี้คือคนที่ทำให้พวกเจ้าต้องสูญเสียในครั้งนั้นรึ?”
ดาราสวรรค์จึงตอบกลับไป “เจ้าเด็กเวรนั่น ต่อให้มันปลอมตัวเป็นฝุ่นข้าก็ยังจำมันได้! คราวนี้แหละที่ข้าจะไปสอนให้มันรู้จักคำว่า ‘สิ้นหวัง’”
…
“ไปไกลๆ เดี๋ยวนี้!”
ในหมอกสีแดงนั้น เกาหยุนมีดวงตาสีแดงก่ำ ตอนนี้เขาแทบจะควบคุมตัวเองไว้ไม่อยู่แล้ว
ค่ายกลนี้มันช่างทรงพลัง ทั้งๆ ที่มีจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ระดับเขา แต่เกาหยุนกลับไม่สามรถต้านทานมันไว้ได้
แม้ว่าเขาจะพยายามลืมตาตั้งสติไว้แค่ไหน สติของเขาก็ยังค่อยๆ หลุดลอยออกไปเรื่อยๆ
“ให้ตายสิ! ข้าคนนี้เอาตัวรอดมาได้ในทุกสถานการณ์ นี่ต้องมาตายลงด้วยค่ายกลโง่ๆ แบบนี้หรือ?”
เกาหยุนได้แต่ร่ำร้อง เขาอยากจะออกไปจากค่ายกลนี้เสียเหลือเกิน แต่สติของเขากลับเลือนลางไปเรื่อยๆ อย่างหยุดไม่ได้
ตู้ม!
จู่ๆ ก็เกิดเสียงเหมือนอะไรสักอย่างระเบิดดังขึ้น เป็นวินาทีนั้นเองที่เกาหยุนรู้สึกได้ว่าจิตวิญญาณของตัวเองเริ่มสบายขึ้น และค่อยๆ กลับมาตั้งสติได้
“นี่มัน… เกิดอะไรขึ้นกันนี่? ข้าทำอะไรลงไป?”
“อ่า! ศิษย์น้อง ใครกันที่มันฆ่าเจ้า? ข้า… ข้าจะแก้แค้นให้เจ้าให้จงได้!”
“นี่มัน… ผู้อาวุโสเย่ช่วยเราไว้!”
…
ไม่ไกลไปนัก ตอนนี้ที่ข้างๆ กายเย่หยวนมีฐานค่ายกลที่ถูกทำลายลงอยู่
และที่รอบๆ เองก็มีอีกหลายฐานที่ถูกทำลายลง
มันชัดเจนมากว่าผู้ที่ทำลายค่ายกลลวงคือเย่หยวนนี่เอง
“ขอบพระคุณมาก… ขอบพระคุณมากผู้อาวุโสเย่ที่ช่วยชีวิตพวกเรา!”
“ต้องขอบคุณผู้อาวุโสเย่ ไม่เช่นนั้นเราคงถูกสังหารหมู่ไปแล้ว!”
“ผู้อาวุโสเย่นั้นไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ชายแก่คนนี้ขอคารวะ!”
…
ตอนนี้เหล่ายอดฝีมือที่รอดออกมาจากค่ายกลได้ต่างเข้ามาขอบคุณเย่หยวนกันเป็นการยกใหญ่
เพราะหากไม่มีเย่หยวน พวกเขาก็คงต้องตายลงโดยที่ยังไม่ได้ทันได้สู้ศัตรูเสียด้วยซ้ำ
สิ่งเดียวที่ทุกคนยังคาใจอยู่ก็คือทำไมเย่หยวนถึงไม่โดนผลของค่ายกลไปด้วย?
เหตุผลนั้นง่ายดาย เพราะว่าค่ายกลนี้มันจะเข้าไปปั่นป่วนจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ แต่เย่หยวนนั้นมีไข่มุกสยบวิญญาณคอยป้องกันจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของตัวเองไว้ มีหรือที่ค่ายกลแบบนี้จะทำอะไรเขาได้?
แถมเย่หยวนยังมีเนตรสุริยันจันทราเทวะที่มองทะลุผ่านภาพมายาได้ทุกชนิด ทำให้เขาสามารถเห็นฐานของค่ายกลได้อย่างง่ายดาย
และตราบเท่าที่ฐานค่ายกลถูกทำลายลง ค่ายกลนี้เองก็จะพังลงเช่นกัน
เจิ่งชีนั้นยังรู้สึกกลัวไม่หาย ตอนนี้เขาได้มั่นใจแล้วว่าการพาเย่หยวนมาด้วยเป็นความคิดที่ถูกต้องจริงๆ
หากไม่มีเย่หยวน พวกเขาทั้งหลายคงต้องสิ้นชีพลงตรงนี้แล้ว
“ฮึ่ม! หากมันไม่ช่วยเรา ตัวมันก็คงไม่รอดจากพวกปีศาจไปได้หรอก!” เกาหยุนพูดขึ้นมา
เมื่อเจิ่งชีได้ยินแบบนั้นเขาก็สวนกลับไปด้วยอารมณ์โกรธในทันที “เจ้าแก่หงำเหงือกนี่ช่างไร้ยางอาย กล้าพูดแบบนี้ออกมาต่อหน้าผู้มีพระคุณ”
เกาหยุนสวนกลับมาทันที “แล้วข้ากล่าวผิด? ด้วยพลังฝีมืออย่างมันมีหรือที่จะต่อกรกับปีศาจจำนวนมากมายได้? พูดอย่างกับว่ามันไม่ได้อยากได้สมบัติอย่างนั้นแหละ!”
แน่นอนว่าด้วยคำพูดนี้ ความรู้สึกขอบคุณของคนรอบๆ ก็เริ่มลดน้อยลง
เพราะคนเรามันเห็นแก่ตัว แม้เรื่องที่ว่าเย่หยวนช่วยชีวิตตัวเองไว้จะเป็นความจริง แต่พอคิดได้ว่าเย่หยวนอาจจะขโมยสมบัติไปพวกเขาก็เริ่มกังวลใจขึ้นมา
เกาหยุนมีสีหน้าพึงพอใจทันทีที่ได้เห็นภาพตรงหน้า
เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นมันเป็นเพราะพวกเขานั้นประมาท หากต่อจากนี้ไปพวกเขาเดินทางไปอย่างระมัดระวัง พวกปีศาจเหล่านั้นมันก็ไม่มีอะไรน่ากลัว
จะให้เขาไปขอบคุณเย่หยวนเหรอ? ไม่มีทาง!
“ไร้ยางอายสิ้นดี!” เจิ่งชีสบถออกมา
เย่หยวนที่อยู่ใกล้ๆ จึงยิ้มและพูดบอกเจิ่งชีไป “ผู้อาวุโสใหญ่ อย่าได้โกรธเคืองไปเลย สุภาพบุรุษนั้นซื่อตรงเปิดเผย ส่วนผู้ร้ายนั้นมักคิดเล็กคิดน้อยถึงแต่ผลประโยชน์ส่วนตัว ปล่อยเขาไปเถอะ”
เย่หยวนเข้าใจดีว่าเกาหยุนคือคนที่มีจิตใจคับแคบเป็นทุนเดิม
เมื่อจิตใจของเขามืดหม่น เขาก็จะคิดว่าทุกคนมีจิตใจชั่วช้าเหมือนตัวเอง
ไม่ว่าจะทำดีต่อคนแบบนี้ไปมากแค่ไหน พวกเขาก็จะหาเรื่องตำหนิว่าจนได้ในที่สุด
สำหรับคนแบบนี้ วิธีจัดการที่ดีที่สุดคือ อยู่ให้ห่างไว้
แต่แน่นอนว่าหากมีโอกาสเย่หยวนก็ไม่ลังเลที่จะต้อนเขาให้จนมุมเพื่อแก้แค้นให้แก่เจิ่งชี
ซุ่บ! ซุ่บ! ซุ่บ!
จู่ ๆ ก็มีเงาร่างพุ่งออกมาหาพวกเขาทั้งหลาย เงาร่างเหล่านั้นมันกำลังขวางทางไปต่อของพวกเขาไว้อย่างพอดิบพอดี ไม่ต้องถามก็รู้ว่าเงาร่างเหล่านี้คือยอดฝีมือเผ่าปีศาจที่กลับมาตรวจดูค่ายกล
ตี้เอิ่นพูดขึ้นด้วยเสียงเย็นเหยียบ “เจ้าเด็กคนนี้มันมีปัญญาจริงๆ ด้วย แม้แต่ค่ายกลเมฆาปีศาจกลืนกินวิญญาณก็ยังไม่สามารถจับตัวมันไว้ได้! โชคยังดีที่เรากลับมาทัน ไม่เช่นนั้นอนาคตคงมีแต่เรื่องแน่!”
การปรากฏตัวของคนเหล่านี้ทำให้สีหน้าของยอดฝีมือฝ่ายมนุษย์เปลี่ยนไปทันที ตอนนี้พวกเขาเพิ่งรอดพ้นจากค่ายกลมาได้ ยังมีสภาพไม่เต็มที่นัก แต่จู่ๆ ยอดฝีมือของเผ่าปีศาจก็ปรากฏตัวออกมาแบบนี้
ที่สำคัญ นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นทัพของฝ่ายปีศาจ และนั่นทำให้พวกเขาต้องขนลุกตั้งชัน
เรียกได้ว่าเผ่าปีศาจนั้นมียอดฝีมือมากมายราวกับดวงดาว!
หากนับกันแค่จำนวน พวกมันก็มีมากมายกว่าพวกเขาหลายขุมแล้ว!
ที่สำคัญพวกเผ่าปีศาจยังมีแต่ยอดฝีมือที่มากมายกว่าเผ่ามนุษย์มากนัก
พวกมันมีอาณาจักรราชันพระเจ้าสามดาวมากมายมหาศาล
นี่เป็นทัพที่ทำให้มนุษย์ต้องรู้สึกสิ้นหวังไปเลย
ดาราสวรรค์หันหน้ามามองเย่หยวนและทักขึ้นด้วยรอยยิ้ม “คงไม่คิดไม่ฝันล่ะสิเจ้าหนู? ว่าเราจะได้มาเจอกันอีกในที่แบบนี้!”
แต่จริงๆ เย่หยวนเห็นพวกดาราสวรรค์มาก่อนแล้วด้วยเนตรสุริยันจันทราเทวะ การพบพานในครั้งนี้ไม่ได้เป็นอะไรที่เหนือความคาดหมายสำหรับเขาเลย
เย่หยวนยิ้มน้อยๆ ออกมาก่อนจะตอบกลับไป “ดูสารรูปเจ้าสิ ช่างเจ้าคิดเจ้าแค้นเสียจริง!”
คำพูดและรอยยิ้มนั้นทำให้ดาราสวรรค์ระเบิดอารมณ์ออกมา “เจ้าคิดว่ายังไงล่ะ? สมบัติที่เจ้าขโมยไป เฒ่าคนนี้จะนำมันกลับคืนมาเอง! พร้อมด้วยหม้อหลอมมณีเหลืองพิสุทธิ์และชีวิตของเจ้าด้วย เฒ่าคนนี้จะรับมันไปทั้งหมดเลย!”
ตี้เอิ่นพูดเสริมขึ้นมา “ในโลกนี้ไม่เคยมีใครกล้าหาเรื่องกับโถงโลหิตมรณะเรามาก่อน เด็กน้อยบรรพกาลราตรีเจ้ามันช่างกล้าเสียจริงๆ”
เย่หยวนจึงสวนกลับไปอย่างไม่แยแส “หากเจ้าทำได้ก็ลองทำ เชิญเข้ามาเอาไปได้เลย!”
ดาราสวรรค์จึงตะโกนขึ้นสั่ง “สังหารพวกมัน! อย่าให้มีใครเหลือรอด!”
แต่ก่อนที่เหล่ายอดฝีมือของฝั่งปีศาจจะได้เคลื่อนไหว เกาหยุนก็ตะโกนขึ้นมาขัดพวกเขาก่อน “ช้าก่อน!”
ดาราสวรรค์หรี่ตามองและถามขึ้น “มีอะไรจะสั่งเสียก็บอกมา!”
ได้ยินแบบนั้นสีหน้าของเกาหยุนจึงกระด้างขึ้นมา แต่เขาก็พยายามกดความโกรธของตัวเองและกล่าวออกไป “พวกเจ้าล้วนมีเรื่องราวกับเจ้าเด็กเหลือขอนี่ ชายแก่คนนี้เองก็เช่นกัน! ตอนนี้ทุกผู้คนมาที่นี่เพื่อสมบัติที่กำลังจะถือกำเนิดขึ้น เส้นทางข้างหน้ายังไม่แน่นอน ตอนนี้พวกเราทั้งหลายควรจะร่วมมือกันก่อนมากกว่า เราจะมอบเด็กเวรคนนี้ให้ จากนั้นเราค่อยไปตามหาสมบัติด้วยกัน แล้วใครจะได้มันไปก็เป็นเรื่องของความสามารถที่มีแล้ว เจ้าว่ายังไงล่ะ?”
ใบหน้าของเจิ่งชีเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำทันทีที่ได้ยินแบบนั้น เขาตะโกนออกไปอย่างโกรธเคือง “เกาหยุน! เจ้าคิดจะทำสัญญากับพวกมันและขายเพื่อนพ้องของตัวเองจริงๆ เรอะ!”
ตอนที่ 1624 หนูยักษ์แทะกระดูกกลายพันธุ์
ทั้งดาราสวรรค์และตี้เอิ่นต่างหันไปมองหน้ากันอย่างช่วยไม่ได้ ตอนนี้ดวงตาของทั้งคู่เปี่ยมไปด้วยความเจ้าเล่ห์
เหล่ายอดฝีมือของฝ่ายมนุษย์นี่มันมีแต่ขยะอย่างที่พวกเขาคิดจริงๆ
ดาราสวรรค์จึงตอบกลับไป “ฮุฮุ ข้อเสนอนี้ไม่เลวเลย! แต่พวกเจ้าต้องแสดงความจริงใจออกมาก่อน พวกเจ้าต้องจัดการเจ้าเด็กนี่ลงให้ข้าดูก่อน”
เมื่อสิ้นคำ สีหน้าของทุกคนก็ปรากฏความลังเลขึ้นมาทันที
เพราะพวกเขาทั้งหลายเองก็ไม่ใช่คนโง่งม เย่หยวนในสายตาของพวกเขามีความน่ากลัวที่ไม่แพ้เหล่าปีศาจเลย
การมอบตัวเขาให้แล้วจบเรื่องราว ทั้งสองฝ่ายหันหน้าคุยกันและออกไปช่วยกันตามหาสมบัติ นั่นคือทางออกที่ดีที่สุด
เจิ่งชีเดินออกมาบังหน้าเย่หยวนไว้ในทันทีพร้อมดึงดาบของตนออกจากฝัก เขากล่าวขึ้นมาด้วยเสียงเย็นเหยียบ “ใครที่กล้าแตะต้องเย่หยวนมันต้องข้ามศพชายแก่คนนี้ไปให้ได้ก่อน! เกาหยุน ต่อให้วันนี้ต้องตายข้าก็จะลากเจ้าลงนรกไปด้วยกัน!”
เกาหยุนหัวเราะและกล่าวขึ้นอย่างเยือกเย็น “งั้นเจ้าก็จงถูกกลบฝังไปพร้อมกันกับมันเสียเถอะ! ใครๆ ต่างก็เห็นว่าพวกปีศาจมันแข็งแกร่งและมีจำนวนมากกว่าเราแค่ไหน ทุกคน จงไปจัดการเย่หยวนลงเสีย!”
เจิ่งชีหันไปมองหน้าหลิงจี้คุนและกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเหยียบ “หลิงจี้คุน แบบนี้มันหมายความว่ายังไงกัน? เรามาเพื่อช่วยเหลือเจ้า แต่เจ้ากลับตอบแทนเราแบบนี้น่ะรึ?”
หลิงจี้คุนถอนหายใจและตอบสวนกลับไป “พี่เจิ่งชี ตอนนี้เด็กคนนี้มันกลายเป็นเป้าหมายของทุกคนไปแล้ว ทำไมพวกเราจึงต้องยอมสละตัวตายไปพร้อมมันด้วยเล่า? ตราบเท่าที่เราจัดการมันลงเสีย ทุกคนก็จะได้รอดออกไปอย่างปลอดภัย”
หลิงจี้คุนนั้นไม่ค่อยชอบหน้าเย่หยวนมาตั้งแต่แรกแล้ว
หลังจากที่ตอนนี้เขาถูกเกาหยุนต้อนจนมุม พร้อมด้วยถูกสถานการณ์บีบบังคับ เขาจึงเลือกที่จะเปลี่ยนข้างอย่างไม่ลำบากใจมากนัก
แต่ทว่าสิ่งที่ทำให้เย่หยวนต้องแปลกใจก็คือ ตอนนี้กู่ฮั่น ศิษย์ของหลิงจี้คุนกลับพูดขัดขึ้นมาแทน “ท่านอาจารย์ หากไม่มีเย่หยวนแล้วเราจะสามารถลงมายังที่แห่งนี้ได้อย่างไร เมื่อสักครู่นี้เขายังช่วยเหลือพวกเราทั้งหลายไว้ด้วย! ในฐานะเจ้าภาพหากเราตอบแทนบุญคุณด้วยความโหดร้ายเช่นนี้ หากวันนี้มีใครสักคนสามารถรอดกลับไปได้ วันข้างหน้าจะยังมีใครกล้ามาช่วยเหลือเมืองจักรพรรดิธารนิรันดร์เราอีก?”
สิ่งนั้นทำให้หลิงจี้คุนเปลี่ยนสีหน้าไปในทันที ก่อนที่จะเริ่มลังเลใจขึ้นมา
แต่ก็เป็นเกาหยุนที่พูดขึ้นมาก่อน “เจ้าหนู นี่ไม่ใช่เรื่องที่แกจะมาแส่ได้! หลิงจี้คุนลงมาที่นี่ได้ก็เพราะพวกเราต่างหวังใช้งานกันและกัน! ที่เด็กคนนี้มันพาเราลงมาด้วยก็เพื่อว่าจะได้ใช้กำลังของเราในการต่อสู้ ไม่มีอะไรน่าชื่นชมเลยสักนิด!”
ตอนนี้หลิงจี้คุนกลายเป็นคนกลางที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่กล้าตัดสินใจไปแล้ว
เหล่าปีศาจที่อยู่ฝั่งตรงข้ามต่างได้แต่มองหน้ากันไปมาด้วยความงุนงง
เพราะเหตุการณ์แบบนี้มันเป็นเรื่องอะไรที่พวกเขาไม่ได้คิดได้ฝันมาก่อนเลย
ค่ายกลเมฆาปีศาจกลืนกินวิญญาณนั้นทำให้คนฆ่ากัน แต่พวกเขาไม่นึกเลยว่าแม้ไม่ต้องพึ่งค่ายกลพวกเขาเหล่านี้ก็ยังจะทะเลาะกันไม่ขาด
เย่หยวนที่นิ่งเงียบมาตลอดได้เปิดปากพูดขึ้นในที่สุด “หากข้าเป็นพวกเจ้า ข้าคงห่วงเรื่องของตัวเองก่อน!”
นั่นทำให้เกาหยุนหัวเราะขึ้นมา “เด็กน้อย เจ้าคิดจะมาขู่คนแก่อย่างข้าหรือ? วิธีการแบบนี้เจ้ามาหลอกช้าไปแสนปีแล้ว!”
เย่หยวนได้แต่ยักไหล่ให้คำพูดนั้น ดูท่าแล้วเขาไม่คิดจะอธิบายอะไรอีก
แต่ในวินาทีต่อมาก็เกิดเสียงดังแปลกๆ ขึ้นจากรอบด้าน
นั่นทำให้หน้าของทุกคนเปลี่ยนสีไปในทันที พวกเขาทั้งหลายหันหน้าไปมองและภาพตรงหน้ามันก็ทำให้พวกเขาต้องขนลุกชัน
เพราะที่รอบด้านตอนนี้มันมีแต่ความมืดสีดำสนิทเต็มไปหมด พวกเขาทั้งหลายกำลังถูกรุมล้อมด้วยฝูงหนู
หนูพวกนี้มันมีขนาดใหญ่ผิดปกติจากหนูทั่วๆ ไป ที่สำคัญ จำนวนมันยังมีมากมายมหาศาลอีกด้วย
แม้หนูเหล่านี้จะมีพลังไม่มาก มันมีพลังแค่ระดับสัตว์เทวะขั้นสามเท่านั้น แต่ด้วยจำนวนที่มากมายปานนี้มันก็ทำให้ผู้ที่เห็นต้องตกอยู่ในสภาพหมดหวังไปตามๆ กัน
“หนูยักษ์แทะกระดูก! พวกนี้มันหนูยักษ์แทะกระดูก! เรา… เราตกอยู่กลางคลื่นฝูงหนูแล้ว!” เกาหยุนร้องขึ้น
เสียงของเขานั้นสูงแหลมเพราะการตะโกนที่รุนแรงจนเกินไป เห็นได้ชัดว่าตอนนี้เขากำลังตกอยู่ในสภาพหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด
หนูยักษ์แทะกระดูกนั่นเป็นสัตว์ที่ดุร้าย ทุกที่ที่พวกมันผ่านไปจะกลายเป็นความว่างเปล่า ไม่เหลือแม้แต่หญ้าสักใบ
หากได้เจอกับสิ่งมีชีวิตเข้า พวกมันก็จะกัดแทะจนไม่เหลือแม้แต่กระดูก ทำให้ได้ชื่อนี้มา
ดวงตาของเหล่าหนูยักษ์แทะกระดูกนั้นส่องสีแดงขึ้นภายในความมืด ทำให้ผู้คนรู้สึกได้ถึงความน่าหวาดกลัวของมัน
ตอนนี้ไม่มีใครที่ไม่ขนลุก พวกเขาต่างรับรู้ถึงความตายที่ใกล้เข้ามาได้อย่างเต็มที
“จบแล้ว มันจบแล้ว! ข้า… ข้าไม่อยากตายลงที่นี่!”
“เอายังไงดี? ได้ยินว่าหากเจอเข้ากับฝูงหนูยักษ์แทะกระดูกมันจะไม่มีทางรอดได้เลย!”
“ทำไมกัน? ทั้ง ๆ ที่มีพลังงานอัดแน่นมากขนาดนี้ทำไมถึงยังมีสัตว์เทวะสุดแกร่งอย่างหนูยักษ์แทะกระดูกอยู่ได้กัน?”
…
ตอนนี้ฝั่งมนุษย์นั้นตื่นตระหนกจนไม่เป็นอันทำอะไร
เสียงกรีดร้องอันสิ้นหวังแสดงให้เห็นได้อย่างดีว่าพวกเขานั้นหวาดกลัวแค่ไหน
แต่เย่หยวนกลับพูดออกมาอย่างใจเย็น “ขอให้สนุกกันให้เต็มที่ ตัวนายน้อยคนนี้ขอไม่อยู่เล่นด้วยก็แล้วกัน!”
พูดจบก็เกิดคลื่นมิติขึ้น เย่หยวนดึงตัวเจิ่งชีและคนอื่นๆ บินขึ้นไปบนอากาศทันที
เมื่อทุกคนได้เห็น ดวงตาของพวกเขาก็แทบจะหลุดออกมาจากเบ้า
ดาราสวรรค์และตี้เอิ่นนั้นมองดูเย่หยวนด้วยความตื่นตกใจอย่างมาก “แนวคิดแห่งห้วงมิติ! เจ้าบ้านี่มันสามารถเข้าใจแนวคิดแห่งห้วงมิติได้จริงๆ พรสวรรค์ของมันจะน่ากลัวเกินไปแล้ว!”
ดาราสวรรค์รู้ดีว่าเย่หยวนสามารถปั่นป่วนมิติและเข้าใจแนวคิดแห่งห้วงมิติได้ไม่น้อย
แต่ตอนนี้เมื่อเขาได้เห็นเย่หยวนบินขึ้นไปบนอากาศภายในแรงกดดันอันมหาศาลนี้เขาก็เข้าใจแล้วว่าความเข้าใจในแนวคิดแห่งห้วงมิติของเย่หยวนนั้นสูงมาก
เรื่องแบบนี้จะให้เขามองผ่านๆ ไปได้อย่างไร?
เพราะพวกเขารู้ดีว่าเย่หยวนเป็นผู้ที่ทำให้ทำนองแห่งยอดเต๋าบรรเลง
และไม่ใช่แค่นั้น เด็กคนนี้ยังมีพลังความรู้ในด้านการโอสถอย่างมากเหลือ และมีความสามารถในการต่อสู้ที่น่ากลัว
นี่ไม่ใช่เรื่องที่ดีสำหรับพวกเขาเลย
เกาหยุนหันไปมองเย่หยวนและกล่าวด้วยน้ำเสียงดุดัน “จะไปไหน? เรื่องอะไรข้าจะปล่อยเจ้ารอดไปคนเดียว!”
เกาหยุนปล่อยคลื่นพลังออกไปใส่พวกเย่หยวนที่ลอยอยู่กลางอากาศ
แต่คลื่นพลังของเขานั้นกลับทำให้พวกหนูยักษ์มันแตกตื่นขึ้น
แซ่ก! แซ่ก! แซ่ก!
คลื่นหนูจำนวนมหาศาลค่อยๆ ไหลเข้ามากลืนกินผู้คนไป
เกาหยุนนั้นไม่มีเวลาที่จะทันได้โจมตี ตัวเขาถูกกลืนเข้าไปในคลื่นหนูยักษ์เสียแล้ว
หากเป็นเวลาปกติ เขาสามารถเข้าออกคลื่นพวกนี้ได้อย่างไม่ยากเย็น
แต่ตอนนี้ด้วยพลังบ่มเพาะที่ถูกกดดันไว้ พลังฝีมือของเขาจึงตกลงไปมาก
เมื่อต้องมาเจอกับหนูยักษ์แทะกระดูกในสภาพแบบนั้นเขาจึงลำบากไม่น้อยเลย
เล็บของเจ้าหนูยักษ์แทะกระดูกนั้นคมกริบ ที่สำคัญหนังและขนของพวกมันยังหนาอย่างมาก
ต่อให้พวกมันออกมาแค่ตัวเดียวก็มาพอที่จะจัดการกับยอดฝีมืออาณาจักรบรรพชนพระเจ้าได้ง่ายๆ ไม่ต้องนึกเลยว่าด้วยจำนวนขนาดนี้พวกมันจะน่ากลัวแค่ไหน
“บุกทะลวงเข้าไปในทีเดียว! หากเราถูกมันล้อมไว้เราตายแน่นอน!” เกาหยุนตะโกนสั่งทุกคน
ตอนนี้เกาหยุนใช้คลื่นฉีอย่างเต็มแรงและพยายามพุ่งทะลวงคลื่นเข้าไป
พลังของเขานั้นแข็งแกร่งมาก นั่นทำให้คนที่เหลือต่างพยายามตามเขาออกไปอย่างไม่ได้นัดหมาย มุ่งหน้าเข้าสู่คลื่นสีดำสนิทนั้น
ตอนนี้เหล่ายอดฝีมือเผ่าปีศาจเองก็ไม่ได้สนใจพวกมนุษย์อีกต่อไปแล้ว พวกเขาเองก็ต้องทุ่มกำลังเต็มที่เพื่อต้านฝูงหนูยักษ์แทะกระดูก
แต่ไม่นานนัก พวกเขาก็ได้รู้สึกว่ามันมีอะไรแปลกไป
เพราะหนูยักษ์แทะกระดูกพวกนี้มันไม่ใช่หนูยักษ์แทะกระดูกธรรมดาๆ
หนูยักษ์แทะกระดูกพวกนี้มีสนามพลังอยู่ในร่าง แถมพวกมันยังสามารถสื่อสารและประสานงานกันได้จากระยะไกล ทำให้ย่างเท้าแต่ละก้าวของเหล่านักยุทธเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ
“พวกมันเป็นหนูยักษ์แทะกระดูกกลายพันธุ์! มันจบแล้ว เท่านี้ทุกสิ่งอย่างมันก็จบกันแล้ว!” เสียงหนึ่งพูดตัดพ้อ
จึก!
เล็บคมๆ ของมันตัดผ่านลำตัวของนักยุทธ
หลังจากนั้นก็มีฝูงหนูอีกมากรุดเข้ามายังร่างของเขา ไม่นานเสียงของเขาก็เงียบลง
ที่ด้านล่างนั้นกลายเป็นทะเลเลือด แต่เย่หยวนกลับบินไปเรื่อยๆ อย่างสบายอารมณ์
ตอนนี้ยิ่งเจิ่งชีก้มหน้ามองไปลงมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งพบเจอแต่ความสยดสยองมากขึ้นเท่านั้น
เพราะฝูงหนูเหล่านี้มันไม่มีสิ้นสุด
ในระยะเวลาที่พวกเขาบินมานี้ เจิ่งชียังไม่เห็นเลยว่าจุดสิ้นสุดของคลื่นฝูงหนูเหล่านี้มันอยู่ที่ไหน
ตอนที่ 1625 พลังยุทธโลกตะลึง!
พึ่บ!
เมื่อพวกเขาทั้งหลายร่อนตัวลงเรียบร้อยกู่ฮั่นก็รีบก้มหัวลงต่อหน้าเย่หยวนในทันที
“ผู้อาวุโสเย่ ข้าขอร้อง กลับไปช่วยอาจารย์ข้าด้วยเถอะ!” กู่ฮั่นกล่าวขึ้นด้วยดวงตาที่มีน้ำตาคลอ
ตอนที่พวกเขาบินออกมาจากวงล้อมเมื่อสักครู่เย่หยวนบังเอิญได้ดึงตัวกู่ฮั่นออกมาด้วย
เพราะการที่เด็กคนนี้กล้าที่จะพูดอะไรแบบนั้นออกมาในสถานการณ์เมื่อสักครู่ มันแสดงให้เห็นได้อย่างดีว่าตัวเขาเองก็ไม่ใช่คนที่มีจิตใจคับแคบเลวร้ายใดๆ เรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตมันเป็นเพียงเพราะว่าตัวเขาหยิ่งยโสและไม่ยอมใครก็เท่านั้น
เย่หยวนได้ยินแบบนั้นจึงหันไปพูด “เมืองจักรพรรดิธารนิรันดร์ของพวกเจ้านั้นมีสงครามกับพวกปีศาจมานานปีและควรจะเป็นคนที่เกลียดชังพวกมันที่สุดแท้ๆ แต่พอหลิงจี้คุนได้เจอหน้าพวกปีศาจ เขากลับเลือกที่จะทำตัวสุภาพอ่อนน้อมกับพวกมัน ทำไมข้าถึงต้องไปช่วยคนแบบนี้ด้วย?”
เย่หยวนเองก็ไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำอะไร แต่เรื่องที่อีกฝ่ายทำมันทำให้เขาทนรับไม่ไหวจริงๆ
กู่ฮั่นได้แต่กัดฟันตอบกลับไป “ท่านอาจารย์ได้ดูแลข้ามาอย่างดี ข้าคงปล่อยให้ท่านตายไปทั้งๆ แบบนี้ไม่ได้! ผู้อาวุโสเย่… หากท่านไม่คิดจะช่วยเช่นนั้นข้าก็ขอกลับไปช่วยท่านอาจารย์ด้วยตัวเองแล้วกัน!”
เย่หยวนจึงตอบกลับไปอย่างไม่แยแส “งั้นก็จงกลับไปเถอะ ข้าแค่บังเอิญช่วยเจ้ามาด้วย หากตอนนี้เจ้าคิดอยากตายเอง มันก็เป็นเรื่องของเจ้าแล้วใครจะมาห้าม?”
ใบหน้าของกู่ฮั่นเปลี่ยนเป็นสีแดง ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นยืนและรีบมุ่งตรงไปยังที่ที่พวกเขาจากมาในทันที
แต่เพียงแค่ก้าวไปได้ไม่กี่ก้าว สายตาสีแดงฉานนับไม่ถ้วนก็หันมาจ้องมองกู่ฮั่นในทันที
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
หนูยักษ์แทะกระดูกนับไม่ถ้วนพุ่งเข้ามาหาเขา
สภาพของกู่ฮั่นตอนนี้เหมือนคนที่โดนสาดถังน้ำแข็งใส่หน้า เส้นขนในร่างกายของเขาลุกชันไปทั้งร่าง
พร้อมๆ กันนั้นสนามพลังงานก็เข้ามาปกคลุมตัวเขาในทันที ทำให้กู่ฮั่นไม่สามารถขยับตัวได้แม้แต่น้อย
อาณาจักรบรรพชนพระเจ้ามันอ่อนแอเกินกว่าที่จะสู้ที่นี่
ตุบ!
กู่ฮั่นพยายามที่จะก้าวถอยกลับมา แต่เท้าเจ้ากรรมก็ดันไปสะดุดก้อนหินจนล้มลง
“ช-ช่วยด้วย”
เป็นจังหวะนั้นเองที่เงาร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาพร้อมดาบในมือ
ฉัวะ ฉัวะ ฉัวะ
ด้วยการสะบัดดาบครั้งเดียวของเงาร่างนี้ มันทำให้หนูยักษ์แทะกระดูกกลายพันธุ์ร่างขาดออกจากกันเป็นสองท่อนในทันที
เขาคนนี้คือเย่หยวน ที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้ากู่ฮั่นก่อนจะพูดขึ้น “ยังอยากกลับไปอยู่ไหม?”
กู่ฮั่นส่ายหัวจนมันแทบหลุดออกจากบ่า พร้อมท่าทางสั่นกลัวอย่างสุดขีด
เป็นเวลานี้นี่เองที่เขาได้เห็นว่าฝีมือของตัวเองและเย่หยวนมันห่างชั้นกันมากมายแค่ไหน
เพราะเมื่อเขามาเจอสัตว์อสูรพวกนี้ เขาไม่กล้าแม้แต่จะต่อสู้ขัดขืนกลับไป
แต่เย่หยวนนั้นสังหารมันลงอย่างง่ายดายราวกับปอกกล้วยเข้าปาก
หากตอนนี้กู่ฮั่นคิดจะกลับไป มันก็คงไม่ต่างจากการเดินไปหาที่ตายเท่านั้น
ฉุบ! ฉุบ! ฉุบ!
ตอนนี้หนูยักษ์แทะกระดูกอีกหลายตัวเริ่มหันมาสนใจทางนี้กันมากขึ้นและมุ่งหน้าตรงมาในทันที
ส่วนเย่หยวนนั้นก็ยังสะบัดดาบไปมาราวกับชาวนาที่กำลังเกี่ยวข้าว เก็บเกี่ยวชีวิตของเหล่าหนูยักษ์แทะกระดูกลงอย่างง่ายดาย ไม่มีพวกมันตัวไหนที่ทนรับเขาได้มากกว่าหนึ่งกระบวนท่า
“ใจเย็นๆ พวกเฒ่าเหล่านั้นมันหนังเหนียวตายยาก แต่ละคนต่างเป็นยอดฝีมือที่มีพื้นฐานหนักแน่น ต่อให้พวกหนูยักษ์แทะกระดูกมันจะแข็งแกร่งแค่ไหน การจะสังหารพวกนั้นลงมันคงไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายนัก” เย่หยวนพูดออกมาอย่างเฉื่อยชาพร้อมสะบัดดาบในมือไม่หยุด
ตอนนี้ไม่ใช่แค่กู่ฮั่นเท่านั้น แม้แต่เจิ่งชีและคนจากเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ก็เพิ่งจะเคยเห็นเย่หยวนลงมือจริงๆ จัง ๆ เป็นครั้งแรก ตอนนี้จิตใจของพวกเขาเองก็อยู่ไม่สงบไม่ต่างจากกู่ฮั่น
เย่หยวนเคยหลบการโจมตีของกู่ฮั่นด้วยแนวคิดแห่งห้วงมิติโดยที่ไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับไป
แต่ตอนนี้พวกเขาได้รู้แล้วว่าเย่หยวนนั้นน่ากลัวแค่ไหน!
หากตอนนั้นเย่หยวนตอบโต้กลับไปจริงๆ กู่ฮั่นคงไม่ได้มีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้แน่ๆ
“แท้จริงแล้วผู้อาวุโสเย่ไม่ได้เก่งกาจแค่เรื่องแนวคิดแห่งห้วงมิติ ความน่ากลัวที่แท้จริงของเขานั้นมาจากการผสมผสานแนวคิดต่างๆ”
“ใครจะไปคิดว่าเขาจะผสานแนวคิดแห่งดาบเข้ากับแนวคิดแห่งห้วงมิติได้ขนาดนี้ ผู้อาวุโสเย่นั้นคืออัจฉริยะอย่างแท้จริง! ของแบบนี้มันยากกว่าการเข้าใจแนวคิดแห่งห้วงมิติธรรมดาๆ มากมายนัก!”
“แน่นอนอยู่แล้ว ผู้อาวุโสเย่นั้นมีอะไรเก็บซ่อนไว้อีกมากมาย! เราไม่มีทางรู้ได้หรอกว่าหากเขาเอาจริงขึ้นมา เขาจะแข็งแกร่งขึ้นได้อีกมากมายแค่ไหน!”
…
เดิมเมื่อทุกคนเห็นว่าเย่หยวนเข้าไปสู้ พวกเขาก็เตรียมพร้อมที่จะเข้าช่วยเหลือในทันที
แต่ดูสภาพการณ์ในตอนนี้แล้ว พวกเขานั้นไม่ต้องทำอะไรเลย
หนูยักษ์แทะกระดูกไม่สามารถเป็นคู่มือให้กับเย่หยวนได้ด้วยซ้ำ!
หนูยักษ์แทะกระดูกกลายพันธุ์เหล่านี้มันทรงพลังจนยอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้ายังต้องเกรงกลัว แต่เย่หยวนกลับสังหารมันได้ง่ายดายราวกับกำลังถอนหญ้าในสวน
ในเวลาแค่ไม่กี่อึดใจ เย่หยวนก็สังหารหนูยักษ์แทะกระดูกไปแล้วนับร้อยตัว แต่ท่าทางของเขาก็ยังคงสุขุมเยือกเย็น ไม่มีร่องรอยความเหนื่อยอ่อนใดๆ
จู่ๆ ก็มีหนูยักษ์แทะกระดูกตัวใหญ่น่าเกรงขามพุ่งตัวออกมาจากฝูงของมัน เปลี่ยนร่างของมันเป็นแสงสีดำพุ่งใส่เย่หยวนด้วยความเร็วสูง
“เย่หยวน ระวัง! นี่มันสัตว์อสูรระดับสี่” เจิ่งชีตะโกนขึ้นทันทีที่เห็น
พูดจบคำเขาก็เตรียมท่าจะเข้าไปช่วยเย่หยวนในทันที
แต่เป็นเย่หยวนที่พูดขึ้นมาขัดไว้ก่อน “พวกเจ้าอย่าขยับ! นี่แหละคือสิ่งที่ข้ากำลังรออยู่!”
เมื่อได้ยินแบบนั้นทุกคนก็หันมามองหน้ากันด้วยความไม่เชื่อในทันที
แม้ต้องเผชิญกับหนูยักษ์แทะกระดูกระดับสี่ เย่หยวนก็ไม่คิดที่จะถอย แต่เขากลับก้าวไปข้างหน้า พร้อมยกดาบขึ้นฟันใส่เจ้าหนูยักษ์แทะกระดูกที่พุ่งตัวเข้ามา
ตอนนี้พลังของเย่หยวนนั้นพุ่งขึ้นสูง คลื่นดาบฉีปรากฏขึ้นมารอบๆ ตัวเขาอย่างดุดัน
เย่หยวนนั้นบรรลุแนวคิดแห่งดาบในระดับสี่ดาวไปแล้วในห้วงมิติสืบทอด!
แนวคิดแห่งดาบในระดับสี่ดาวผสานกับแนวคิดแห่งห้วงมิติระดับสองดาว นี่เป็นสิ่งที่เหนือล้ำกว่าใครๆ
มันเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่และตอนนี้ก็ได้เวลาทดสอบมันแล้ว!
แคร่ง! แคร่ง! แคร่ง!
คลื่นดาบฉีของเย่หยวนเข้าปะทะกับกรงเล็บของเจ้าหนูยักษ์แทะกระดูกกลางอากาศ พร้อมด้วยพลังวิญญาณที่อัดแน่นของเขามันจึงส่งร่างของเจ้าหนูยักษ์แทะกระดูกลอยออกไปไกล
เมื่อเหล่าคนจากเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ได้เห็นแบบนี้พวกเขาก็ได้แต่อ้าปากค้างไปตามๆ กัน
“นี่… นี่มันเรื่องอะไรกัน? นักยุทธอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าต่อสู้กับสัตว์อสูรระดับสี่ ได้จริงๆ เรอะ?”
“ไม่สิ ดวงตาข้าต้องเพี้ยนไปแล้วแน่ๆ ระดับสี่ มันต่างจากระดับสาม อย่างสิ้นเชิง จะมีใครสามารถก้าวข้ามช่องว่างแห่งพลังนั้นได้กัน?”
“โลกใบนี้มันมียอดมนุษย์แบบนี้อยู่ด้วยเรอะเนี่ย! เย่หยวนมันไม่ใช่คนแล้ว!”
“ผู้อาวุโสเย่นั้นไม่ชอบอวดแสดงฝีมือ แต่พอได้ใช้พวกมันออกมาก็ทำให้ฟ้าถล่มดินทลายทันที!”
…
สัตว์อสูรระดับสี่ นั้นพัฒนาโลกใบเล็กในร่างตัวเองและสามารถใช้พลังแห่งโลกได้ไม่น้อย
แต่เย่หยวนกลับสามารถรับมือกับมันได้อย่างไม่เสียเปรียบ!
พลังการต่อสู้นี้มันเหนือล้ำความคาดหมายของทุกผู้คน ทำให้ผู้ที่ได้เห็นต้องอ้าปากค้าง
ตอนที่เย่หยวนยังอยู่อาณาจักรปฐมพระเจ้าเขาเองก็สามารถชนะนักยุทธอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าได้เช่นกัน
แต่เรื่องนั้นมันแตกต่างกับเรื่องนี้อย่างสิ้นเชิง
เพราะสำหรับสายตาคนทั่วๆ ไปแล้ว เรื่องแบบนี้มันไม่มีทางเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน
มันก็ยังมียอดอัจฉริยะกลุ่มเล็กๆ ที่สามารถใช้ความเข้าใจในแนวคิดมาผสานวิชาต่อสู้และล้มคู่ต่อสู้ที่มีระดับเหนือกว่าตนได้
ตอนที่เย่หยวนยังอยู่ในโลกเบื้องล่าง ความรู้ความสามารถประสบการณ์ของนักยุทธในโลกนั้นมันไม่มีทางเทียบเคียงกับนักยุทธในมหาพิภพถงเทียนได้เลย
ในมหาพิภพถงเทียนนี้ การที่อาณาจักรบรรพชนพระเจ้าจะชนะอาณาจักรราชันพระเจ้านั้นมันเป็นอะไรที่เป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด
และกฎเหล็กข้อนี้ก็ยังไม่มีใครสามารถทำลายมันลงได้!
จากระดับสาม ขึ้นสู่ระดับสี่ นั้นมันมีความแตกต่างที่ราวกับอยู่กันคนละโลก
เมื่อนักยุทธได้พลังของโลกมาไว้กับตัว พวกเขาก็จะสามารถปกครองเหนือทุกสิ่งและสังหารทุกอย่างที่อยู่ระดับต่ำกว่าได้ด้วยแค่การกระดิกนิ้ว
เพราะฉะนั้นภาพที่อยู่ตรงหน้านี้มันจึงทำให้เหล่าคนจากเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ต้องตกตะลึงอย่างบอกไม่ถูก
เย่หยวนถือดาบจักรพรรดิล้ำฟ้าไว้ในมือ ตัวของเขาราวกับว่าได้กลายเป็นเทพแห่งสงครามไปแล้ว แต่ละดาบที่ฟาดฟันออกมานั้นราวกับภาพลวง กวัดแกว่งไปมาจนมองตามไม่ทัน
เพลงดาบเมฆาลับแลที่เย่หยวนใช้อยู่ในตอนนี้เรียกได้ว่าอยู่ในจุดสูงสุด!
ตอนนี้ต่อให้เป็นสัตว์อสูรระดับสี่ ก็ยังทำไม่สามารถเทียบเคียงกับเย่หยวนได้!
ดวงตาของเจิ่งชีนั้นเบิกโพลง พร้อมด้วยปากที่ยังอ้าค้างไว้ตั้งแต่ต้นอย่างไม่สามารถหุบลงได้
ตอนนี้แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังสงสัยว่าเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ไปหาสัตว์ประหลาดแบบนี้มาจากที่ไหน
“ข้าเคยคิดว่าข้าเข้าใจความสามารถของเย่หยวนทั้งหมดแล้ว แต่ดูท่าสิ่งที่ข้ารู้จะเป็นเพียงแค่ยอดของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น! เด็กคนนี้ หากต่อไปเขาจะทำเรื่องเหลือเชื่ออะไรอีกข้าก็คงไม่แปลกใจแล้ว!” เจิ่งชีกล่าวด้วยรอยยิ้มอันขื่นขม
ตอนที่ 1626 สังหาร
หนึ่งคนหนึ่งสัตว์ต่อสู้กันอย่างดุเดือดจนสุดที่ผู้คนจะจินตนาการ
แม้ต้องมาเจอกับพลังแห่งโลกของหนูยักษ์แทะกระดูก เย่หยวนกลับไม่ได้ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบเลยแม้แต่น้อย
เพราะคลื่นดาบฉีของเขาในตอนนี้ดูท่าใกล้จะพังมิติที่ห่อหุ้มตัวอีกฝ่ายได้แล้วเสียด้วยซ้ำ
นั่นทำให้ทุกผู้คนที่ได้เห็นต้องเบิกตาค้าง แต่ตัวเย่หยวนเองกลับได้แต่ถอนหายใจ
ที่เขาออกมาสำรวจด้วยในครั้งนี้สมบัตินั้นเป็นแค่เพียงแค่ของแถม เป้าหมายที่แท้จริงของเย่หยวนคือการหาวิธีการบรรลุอาณาจักรต่างหาก
และการปรากฏตัวของเจ้าหนูยักษ์แทะกระดูกมันก็เหมาะสมที่จะให้เขาได้ทดสอบฝึกฝนตัวเอง
การต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายกับสัตว์อสูรที่ทรงพลังอาจจะช่วยให้เขาสามารถเข้าใจอะไรได้ มันอาจจะช่วยให้เขาก้าวขึ้นไปยังระดับสี่ได้
แต่ตอนนี้ที่เท่าที่ได้ลองต่อสู้ดูแล้ว มันเหมือนกับการโยนหินถามทางลงมหาสมุทร
การปล่อยเพลงดาบเมฆาลับแลออกมาพร้อมกับบัญญัติเทพแห่งถงเทียนนั้นสามารถยกระดับตัวเองให้ทัดเทียมกับสัตว์อสูรระดับสี่ได้
แต่สุดท้ายเขาก็ยังหาต้นเหตุไม่ได้ว่าปัญหามันอยู่ตรงไหนกันแน่
เย่หยวนในตอนนี้นั้นเหมือนคนที่กำลังหลงทางอยู่กลางมหาสมุทร
แม้จะดูยิ่งใหญ่แต่เส้นทางภายหน้าช่างมืดมน
หากเขาไม่สามารถหาเส้นทางไปต่อที่ถูกต้องได้ สุดท้ายศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุดที่เขาจะพอสู้ได้ก็คงมีแต่นักยุทธอาณาจักรราชันพระเจ้าหนึ่งดาวเท่านั้น
“เพลงดาบเมฆาลับแลสิ้นแนวมิติควบแน่น!”
เย่หยวนร้องออกมาพร้อมผสานวิชาเข้าด้วยกัน ดาบนี้ของเขาทะลุผ่านโลกของเจ้าหนูยักษ์แทะกระดูกระดับสี่ ได้ทันที ส่งร่างของมันลงไปกองกับพื้นอย่างง่ายดาย
สิ้นแนวมิติควบแน่นนี่คือกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เย่หยวนมีในตอนนี้ด้วยการผสานแนวคิดแห่งดาบและแนวคิดแห่งห้วงมิติเข้าด้วยกัน เป็นไม้ตายของเย่หยวน
เขาผสมแนวคิดแห่งห้วงมิติเข้ากับเพลงดาบ ด้วยคลื่นดาบฉีที่เข้ารวมพลังกันในช่องว่างแห่งมิติ ทำให้นี่กลายเป็นการโจมตีที่รุนแรงที่สุดเท่าที่เย่หยวนทำได้
เมื่อนำมันมารวมกับพลังจากดาบจักรพรรดิล้ำฟ้าที่เป็นสมบัติราชันพระเจ้าเลิศล้ำนี่ทำให้เย่หยวนสามารถเจาะทะลุโลกของสัตว์อสูรระดับสี่ได้
ตอนนี้เจ้าหนูยักษ์แทะกระดูกระดับสี่ ได้แต่นอนอยู่กับพื้นพร้อมดิ้นอย่างทุรนทุราย ดูท่าคงไม่มีชีวิตรอดแล้ว
ทุกคนที่ได้เห็นแบบนั้นตกตะลึงจนตาแทบทะลุออกมาจากเบ้า
คมดาบนั้นมันทำให้พวกเขาเริ่มรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาจริงๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่ายอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้าหนึ่งดาว สายตาที่พวกเขามีต่อเย่หยวนนั้นตอนนี้มันมีอารมณ์แห่งความกลัวเข้ามาผสมไปด้วย
เพราะนี่คือนักยุทธอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าที่สังหารสัตว์อสูรระดับสี่ ลงได้ มันช่างเป็นอะไรที่เหนือจินตนาการของทุกผู้คน
เพราะหากตัวพวกเขาเหล่านั้นต้องไปต่อสู้กับสัตว์อสูรระดับสี่ ด้วยตัวเอง พวกเขาก็ยังไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าจะจัดการมันลงได้!
เพราะฉะนั้นมันจึงหมายความว่าเย่หยวนเองก็สามารถสังหารพวกเขาลงได้ไม่ยากเช่นกัน!
เย่หยวนเก็บดาบลงและยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น ร่างกายผอมบางของเขาในตอนนี้มันกลับดูยิ่งใหญ่หนักแน่นในสายตาของผู้ที่ได้เห็น
“ผู้อาวุโสเย่ช่าง… ข-แข็งแกร่ง!”
“อาณาจักรบรรพชนพระเจ้าสังหารอาณาจักรราชันพระเจ้ามันเป็นเรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อน!”
“อาณาจักรบรรพชนพระเจ้าแข็งแกร่งได้ถึงขั้นนี้เลยรึนี่?”
“แนวคิดแห่งห้วงมิติช่างเหนือล้ำ มีพลังถึงขนาดนี้เลยเชียว! หากข้าสามารถเข้าใจมันได้แม้สักเล็กน้อยมันคงมีประโยชน์กับข้าไม่น้อยเลย!”
…
เหล่าผู้ดูแลและผู้พิทักษ์ต่างจ้องมองไปด้วยสายตาเปี่ยมความชื่นชมในตัวเย่หยวน
เจิ่งชีเองก็มองไปทางเย่หยวนก่อนจะกล่าวพึมพำกับตัวเองขึ้น “เย่หยวนสามารถสังหารสัตว์อสูรระดับสี่ ลงได้แบบนี้มิใช่เพราะว่าเขาพึ่งพาแนวคิดแห่งห้วงมิติเพียงอย่างเดียว! พลังการบ่มเพาะของเขาเองก็เหนือล้ำไม่แพ้ใคร เพราะแบบนั้นมันถึงสามารถรองรับวิชาแบบนั้นได้! ข้าเกรงว่าสิ่งที่น่าเกรงขามที่สุดในตัวเย่หยวนนั้นจะเป็นวรยุทธบ่มเพาะของเขานั่นแหละ!”
เมื่อทุกคนได้ยินแบบนั้นพวกเขาก็ยิ่งตื่นตะลึงหนักเข้าไปอีก
จะเป็นวรยุทธบ่มเพาะแบบไหนที่สามารถช่วยให้อาณาจักรบรรพชนพระเจ้าสังหารสัตว์อสูรระดับสี่ ลงได้?
วรยุทธบ่มเพาะแบบนั้นมันจะไม่แข็งแกร่งเกินไปหน่อยรึ?
ดวงตาของเจิ่งชีเปี่ยมไปด้วยความชื่นชม แต่ในวินาทีนั้นเขากลับเห็นความผิดหวังในดวงตาของเย่หยวน มันทำให้ เจิ่งชีต้องประหลาดใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
พลังการต่อสู้ที่เหนือล้ำขนาดนี้ อย่าบอกนะว่าเด็กคนนี้ยังไม่พอใจกับมัน?
ความผิดหวังนั้นไม่ใช่สิ่งที่เย่หยวนต้องการจะแสดง
เย่หยวนนั้นพยายามอย่างที่สุดเพื่อที่จะเก็บอารมณ์เหล่านั้นไว้ในใจ แต่เจิ่งชีกลับทันสังเกตเห็นมันได้
เด็กหนุ่มคนนี้กำลังตามล่าอะไร? เขาต้องการจะไปให้ถึงระดับไหน?
ตอนนี้กู่ฮั่นลืมเรื่องการไปช่วยอาจารย์จนหมดสิ้นแล้ว
เพราะเขากำลังตื่นตกใจกับพลังฝีมือของเย่หยวนจนหัวสมองคิดอะไรไม่ได้อีก
หลังจบศึกเย่หยวนก็กลับมาหาคนอื่นๆ และการกลับเข้ามาของเย่หยวนในครั้งนี้ทำให้ผู้คนมากมายต่างมารุมล้อมเขาไว้ทุกด้าน ส่วนเย่หยวนก็ได้แต่ยิ้มฝืนๆ ตอบกลับไป
บูม! บูม! บูม!
จู่ ๆ ก็เกิดเสียงดังราวกับระเบิดดังขึ้นมากลางฝูงหนูยักษ์แทะกระดูก ส่งร่างของหนูยักษ์แทะกระดูกมากมายกระเด็นขึ้นฟ้าไป
ฟุบ! ฟุบ! ฟุบ!
และเงาร่างมากมายก็ฝ่าวงล้อมของเหล่าสัตว์อสูรออกมาพร้อมๆ กัน
แน่นอนว่าผู้ที่นำกลุ่มคนนั้นมาคือเกาหยุน
ตอนนี้ร่างกายของเขาอาบไปด้วยบเลือดสีแดงฉาน ดูท่าแล้วคงบาดเจ็บมาไม่น้อย
หนูยักษ์แทะกระดูกนั้นไม่ใช่ปัญหาเลยสำหรับเย่หยวน แต่กลับเป็นงานยากถึงตายของคนอื่นๆ
ที่สำคัญกว่านั้นคือเหล่าหนูยักษ์แทะกระดูกกลายพันธุ์พวกนี้มีม่านพลังที่ทำให้คนต้องเสียจังหวะง่ายๆ
“ท่านอาจารย์!”
เมื่อกู่ฮั่นได้เห็นหน้าของหลิงจี้คุนเขาก็รีบวิ่งเข้าไปหาทันที ตอนนี้เขารู้สึกสุขใจอย่างมาที่เห็นว่าอาจารย์ยังไม่ตายจึงคิดจะเข้าไปช่วยพยุงร่างที่บาดเจ็บของอาจารย์
เมื่อเกาหยุนได้เห็นหน้าเย่หยวนดวงตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีเลือดด้วยความโกรธแค้นในทันที ใบหน้าอันหงิกงอนั้นราวกับว่าอยากจะกลืนกินเย่หยวนลงไปทั้งตัว
แต่ทว่าเขากลับตะโกนขึ้นมาก่อน “รีบไปเร็ว! ข้างหลังมีราชันหนูยักษ์แทะกระดูกระดับกลางกำลังไล่ตามมา!”
ได้ยินแบบนั้นสีหน้าของเจิ่งชีก็เปลี่ยนไปทันที เขารีบพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงร้อนรน “ทุกคน รีบไปเร็ว!”
คนกลุ่มใหญ่นี้รีบวิ่งหนีออกมาอย่างไม่คิดชีวิต ปล่อยพลังที่มีในร่างกายออกมาอย่างเต็มกำลัง
ไม่นานนักพวกเขาก็ได้พบว่าที่ด้านหลังไม่มีอะไรตามมาอีกแล้ว ทำให้พวกเขาได้หยุดพักในที่สุด
การต่อสู้เสี่ยงชีวิตพร้อมๆ กับการวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตนี้ทำให้คนทั้งกลุ่มเหนื่อยอ่อนกันจนถึงที่สุด
เดิมทีทั้งสองเผ่านั้นมีกำลังคนนับร้อยแต่ตอนนี้มันกลับเหลือเพียงแค่ไม่ถึงครึ่งแล้ว
เห็นได้ชัดเลยว่ามีคนมากมายพลาดท่าในดงหนูยักษ์แทะกระดูก ตอนนี้ร่างของพวกนั้นคงไม่เหลือแม้กระทั่งกระดูกแล้ว
เมื่อได้หยุดพักแบบนี้สายตาของดาราสวรรค์ ตี้เอิ่น เกาหยุนและคนอื่นๆ ก็หันมามองทางเย่หยวนในทันที
แน่นอนว่ามันไม่ใช่สายตาที่เปี่ยมมิตรนัก สายตาพวกนี้เปี่ยมไปด้วยความโกรธแค้นราวกับอยากจะกลืนกินแย่หยวนลงไปทั้งตัว
เพราะทุกคนในที่นี้ต่างพยายามดิ้นรนใช้ที่สิ่งอย่างที่มีกันอย่างไม่คิดชีวิตเพื่อที่จะฝ่าวงล้อมนั้นออกมา คงเรียกได้ว่าพวกเขาสูญเสียไปมาก
แต่พอได้มาเห็นเย่หยวนอีกครั้ง เย่หยวนที่ร่างกายไม่มีแม้แต่รอยฝุ่นผง!
นั่นทำให้ทุกผู้คนรู้สึกเสียเปรียบอยู่ในใจ
“เกาหยุน เผ่าปีศาจเราขอยอมรับข้อเสนอพันธมิตรของพวกเจ้า! ตอนนี้เป้าหมายของพวกเราคือเจ้าเด็กคนนี้!” ดาราสวรรค์กล่าวขึ้น
เมื่อเกาหยุนได้ยินแบบนั้นเขาก็แสดงรอยยิ้มอันชั่วร้ายขึ้นมาและตอบกลับไป “ได้สิ! หลิงจี้คุน เจ้าล่ะว่ายังไง? แม้เจ้าเด็กคนนี้มันจะช่วยศิษย์ของเจ้าไว้แต่มันก็ทิ้งเจ้าไว้กลางวงล้อม! เจ้าคงไม่คิดจะเข้าข้างมันใช่ไหม?”
หลิงจี้คุนแสดงสีหน้าลังเลออกมา เขาหันมองเกาหยุนและกล่าวขึ้น “ไม่ เย่หยวนช่วยชีวิตศิษย์ข้าไว้ มันก็เท่ากับว่าช่วยชีวิตชายแก่คนนี้ไว้เหมือนกัน! คราวนี้ชายแก่คนนี้ขอยืนข้างเจ้าหนุ่มเย่หยวน!”
หลิงจี้คุนนั้นเสียใจกับการกระทำของตัวเองก่อนหน้านี้มาก เพราะหากเขายืนยันที่จะอยู่เคียงข้างเย่หยวนต่อไป คนจากเมืองจักรพรรดิธารนิรันดร์ก็คงไม่ต้องสูญเสียมากมายขนาดนี้
และเพราะว่าเย่หยวนได้ช่วยกู่ฮั่นออกมา เขาถึงสามารถพาคนอื่นๆ ออกมาได้
กู่ฮั่นนั้นเป็นศิษย์ที่เขารักมากที่สุด เขาตั้งใจอบรมสั่งสอนกู่ฮั่นมาอย่างดี
หากไม่ใช่เพราะเย่หยวน หากกู่ฮั่นตกอยู่ในวงล้อมด้วย เขาไม่มีทางเลยที่จะรอดชีวิตออกมาได้
เพราะฉะนั้นตอนนี้หลิงจี้คุนจึงเลือกที่จะเข้าข้างเย่หยวน
คำตอบนั้นทำให้เกาหยุนเสียหน้าไปนิดหน่อย เพราะเขาไม่คาดคิดเลยว่าผลมันจะออกมาเป็นอย่างนี้
“เฮอะ! หลิงจี้คุนหากเจ้าคิดเช่นนั้นเราก็ต้องแยกทางกันแล้ว! เจ้าไปทางหลวงส่วนข้างจะข้ามสะพานขอนไม้นี่เอง! การต่อสู้นี้เราไม่มีทางเลี่ยงมันได้แล้ว!” เกาหยุนข่มขู่
หลิงจี้คุนหายใจเข้าลึกก่อนจะตอบกลับมา “งั้นก็เข้ามา! กู่ฮั่นเจ้าถอยไปก่อน”
เจิ่งชีหันไปมองหน้าเกาหยุนก่อนจะกล่าวออกมาอย่างเย็นเยือก “เกาหยุน เจ้าคนชั่วช้า! ถึงขนาดคิดคบกับเผ่าศัตรูเพื่อทำร้ายฝ่ายเดียวกันเองแบบนี้! วันนี้แหละเรามาตัดสินให้มันรู้ดำรู้แดงกันไป!”
พูดจบเจิ่งชีก็ชักดาบออกมาและพุ่งตัวเข้าใส่เกาหยุนในทันที
ตอนที่ 1627 ห้า ต่อ หนึ่ง
หากเป็นสถานการณ์ปกติเจิ่งชีคงไม่มีทางต่อกรกับเกาหยุนได้เลย
แต่ตอนนี้เกาหยุนนั้นกำลังบาดเจ็บหนัก ทั่วร่างเต็มไปด้วยแผลฉกรรจ์ ทำให้พลังการต่อสู้ของเขาตกลงอย่างมาก มากจนเจิ่งชีสามารถรับมือเขาได้สบายๆ
เจิ่งชีเข้าโจมตีอย่างดุดัน แต่ละกระบวนท่าที่ปล่อยออกมาไม่เคยเล็งที่อื่นนอกเสียจากจุดตาย
เกาหยุนนั้นเทียบกับเจิ่งชีไม่ได้เลยในตอนนี้ เขาถูกผลักดันกลับมาอย่างช่วยไม่ได้
เมื่อดาราสวรรค์ได้เห็นแบบนั้นเขาก็ร้องตะโกนสั่งขึ้น “ไปสังหารเย่หยวนให้ข้า!”
เพราะกองกำลังทั้งสองกองนี้จะสู้ศึกต่อเนื่องขนาดนี้ได้อย่างไรไหว?
แม้ทางฝั่งเผ่าปีศาจบวกกับเมืองจักรพรรดิยอดสันติจะมีจำนวนกำลังที่มากกว่าอีกฝ่าย แต่ทางเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ก็ได้เปรียบในด้านความพร้อมของกำลังที่ยังไม่ต้องสู้อะไรกับใคร
ด้วยสภาพที่สมบูรณ์พร้อมขนาดนั้น แน่นอนว่าการจัดการทหารที่เพิ่งจบศึกมาใหม่ๆ แบบนี้มันไม่ใช่เรื่องยากเย็นเลย
เมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นั้นมีกำลังคนมากมายพร้อมกับกำลังเสริมของเมืองจักรพรรดิธารนิรันดร์ที่มีจำนวนมาก มันจึงทำให้ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายสามารถรับมือกันได้อย่างไม่มีฝ่ายไหนเสียเปรียบได้เปรียบ
แต่ทว่าสุดท้ายฝ่ายเย่หยวนก็ยังเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบด้านปริมาณ ทำให้มียอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้าห้าคนหลุดเข้ามาถึงตัวเย่หยวนจนได้
คนทั้งห้านั้นล้อมเย่หยวนไว้ตรงกลาง พวกเขาใช้สายตาเย็นชาจ้องมองเหยื่อที่ไม่มีทางหนีรอดอย่างเย่หยวนตรงหน้า
ผู้นำกองกำลังมาได้กล่าวขึ้น “บรรพกาลราตรี คราก่อนเจ้ามีโถงโลหิตมรณะคอยคุ้มกะลาหัวหรอกนะ ข้าถึงไม่สามารถแตะต้องตัวเจ้าได้ แต่วันนี้เห็นทีชะตาเจ้าคงขาดเสียแล้ว!”
เย่หยวนหันไปมองและถามขึ้น “เรารู้จักกันด้วยรึ?”
ก่อนที่อีกฝ่ายจะตอบมาด้วยเสียงเย็นเหยียบ “เจ้าไม่รู้จักข้า แต่เจ้าสังหารเจ้าชายที่ข้ารักไป วันนี้แหละข้าจะสะสางบัญชีแค้นนั้นเอง!”
เมื่อเย่หยวนได้ยินดังนั้นเขาก็นึกออกในทันที
ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะเป็นพ่อของไคซิน เจ้าเมืองหลวงคาโปนนามไคหลง!
“หึหึ ชีวิตข้ามันอยู่ตรงนี้แล้วไง เจ้ามีปัญญาก็เข้ามาเอาไปสิ” เย่หยวนตอบกลับไปอย่างไม่คิดจะใส่ใจ
ตอนนี้เกาหยุนและดาราสวรรค์ต่อสู้ด้วยกัน พวกเขาทั้งคู่จึงจะพอรับมือกับเจิ่งชีได้บ้าง
เกาหยุนที่เห็นภาพของเย่หยวนจากด้านข้างกล่าวขึ้นมาอย่างดีอกดีใจ
เพราะตอนนี้มียอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้าหนึ่งดาวถึงห้า คนกำลังรุมล้อมเด็กหนุ่มอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าแค่คนเดียว ต่อให้เขาใช้แนวคิดแห่งห้วงมิติได้เก่งกาจแค่ไหน มันก็ไม่มีทางรอดออกไปได้เลย!
เกาหยุนหัวเราะและกล่าวออกมา “ฮ่าฮ่า เจ้าเด็กนรกนั่นคงต้องตายลงที่นี่แล้ว เจ้าไม่คิดจะไปช่วยมันหน่อยรึ? อ่ะ จริงด้วย เจ้าไปไม่ได้นี่นา ฮ่าฮ่าฮ่า…”
เจิ่งชีจึงหัวเราะเยาะความคิดนั้นและตอบสวนไป “เย่หยวนน่ะไม่จำเป็นต้องให้ข้าช่วยหรอก!”
เกาหยุนจึงถามขึ้นอีก “ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่ต้องให้เจ้าช่วย? งั้นใครจะช่วยมันดีล่ะ? สวรรค์เรอะ? ฮ่าฮ่าฮ่า…”
เจิ่งชียิ้มอย่างเย็นเยือก “เจ้าห่วงตัวเองก่อนเถอะ!”
แม้จำนวนอีกฝ่ายจะมีมากกว่ามาก แต่เจิ่งชีกลับไม่คิดว่าจำนวนจะเป็นปัญหาใดๆ เลย
เพราะเย่หยวนสามารถสังหารสัตว์อสูรระดับสี่ ลงได้ ปัญหาด้านจำนวนมันก็คงไม่ส่งผลอะไรมาก
หมัดของเกาหยุนที่ต่อยออกมาเหมือนจะมีแต่ต่อยลมจนทำให้เขาเริ่มสิ้นหวังขึ้นมา
“เจ้าเด็กโง่ จอมปีศาจผู้นี้จะเอาชีวิตเจ้าไปเอง!”
ไคหลงหัวเราะออกมาอย่างชั่วร้าย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นต่อยออกไปยังเย่หยวนอย่างเต็มแรง
หมัดนี้มันผสานพลังโลกเข้าไปด้วย ทำให้มีอำนาจทำลายล้างที่สูงมาก
เดิมทีหากเป็นนักยุทธอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าธรรมดาๆ คงไม่มีโอกาสรอดจากหมัดนี้ไปได้อย่างแน่นอน
แต่น่าเสียดายที่เย่หยวนนั้นไม่ใช่นักยุทธอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าธรรมดา
เย่หยวนใช้แนวคิดแห่งห้วงมิติออกมาและหลบหมัดนั้นอย่างง่ายดาย
คนทั้งสี่นั้นรู้ดีว่าเย่หยวนใช้แนวคิดแห่งห้วงมิติเป็น พวกเขาจึงรีบเข้ามาล้อมปิดทางหนีของเย่หยวนไว้และพุ่งตัวเข้าไปหาเย่หยวนจากรอบด้าน
ด้วยกำลังของยอดยุทธอาณาจักรราชันพระเจ้าพวกเขาจึงสามารถใช้พลังโลกรบกวนมิติรอบๆ ได้ไม่ยากนัก
แต่ทว่าเย่หยวนก็ไม่ได้คิดจะหนีมาตั้งแต่แรกแล้ว
เมื่อเย่หยวนชักดาบจักรพรรดิล้ำฟ้าออกมา คลื่นดาบฉีมันก็กระจายตัวออกมาทั่วร่างของเขา!
คู้ม!
จู่ ๆ พลังของเย่หยวนก็พุ่งสูงล้ำฟ้า ทำให้หนึ่งในคนที่ล้อมเขาอยู่ผู้ไม่ทันระวังตัวถูกเย่หยวนอัดกระแทกจนลอยละลิ่วไปไกล
ไคหลงและคนอื่นๆ ตื่นตะลึงกับภาพตรงหน้าจนขี้หดตดหาย
พวกเขากำลังดูอะไรอยู่กัน?
นักยุทธอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าสามารถส่งนักยุทธอาณาจักรราชันพระเจ้าลอยลิ่วได้ด้วยการโจมตีแค่กระบวนท่าเดียว
มันเป็นมุกตลกที่ไม่ขำเลยสักนิด!
แต่ทว่าเย่หยวนก็ไม่ได้ปล่อยเวลาให้พวกเขาตื่นตกใจกันมากนัก ดาบในมือของเขาปรากฏขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะพุ่งตัวเข้าใส่ไคหลงทันที
คลื่นดาบอันรุนแรงปะทะกันเข้าอย่างจัง ทำให้สีหน้าของไคหลงเปลี่ยนไปในทันทีก่อนที่เขาจะยกดาบของตัวเองขึ้นมารับ
แคร้ง!
การปะทะกันของคลื่นดาบและพลังแห่งโลก แต่กลับไม่มีฝ่ายใดได้เปรียบเสียเปรียบ!
หัวใจของไคหลงตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่มทันทีก่อนที่จะตะโกนขึ้น “ทุกคน อย่าได้ประมาทศัตรูเชียว! เจ้าเด็กคนนี้… เด็กคนนี้มีพลังมากพอจะสังหารนักยุทธอาณาจักรราชันพระเจ้าหนึ่งดาวได้!”
เสียงคำรามนั้นดังก้องไปทั่วเข้าหูของทุกผู้คน
นอกจากคนของเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์กับกู่ฮั่นแล้ว ทุกคนที่เหลือต่างตื่นตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก
เจิ่งชียิ้มและกล่าวขึ้นตามเสียงนั้น “เห็นไหมล่ะ? เย่หยวนไม่ต้องให้สวรรค์มาช่วยหรอก เขาช่วยตัวเองได้!”
เกาหยุนตื่นตะลึงจนลูกตาแทบหลุดออกมาจากเบ้า เขาไม่เคยจะตื่นตกใจอะไรขนาดนี้มาก่อน
แค่เด็กอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าจะมีปัญญาสู้อาณาจักรราชันพระเจ้าหนึ่งดาวได้อย่างไร?
เดี๋ยวนะ!
เจ้าปีศาจนั้นมันไม่ได้บอกว่าเย่หยวนมีพลังพอที่จะสู้ แต่เป็นมีพลังพอที่จะสังหารอาณาจักรราชันพระเจ้าหนึ่งดาวได้!
เมื่อเห็นถึงความหมายที่ไคหลงสื่อแบบนั้นเกาหยุนก็ยิ่งตื่นตกใจหนักขึ้นกว่าเดิม
“ฆ่ามัน! พวกเจ้ายอดฝีมือระดับสี่ตั้งห้าคนมาแพ้เด็กอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าคนหนึ่งได้อย่างไร?” เกาหยุนตะโกนกลับไป
คำพูดนั้นของเกาหยุนทำให้ไคหลงไม่พอใจมาก
เป็นแค่มนุษย์แต่กลับกล้ามาสั่งสอนปีศาจแบบนี้
แต่ตอนนี้ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดต้องถูกแก้ไขก่อน และปัญหาที่ว่านี้ก็คือการสังหารเย่หยวนลงให้ได้!
“ทุกคนจงระวัง พยายามรักษาระยะไว้อย่าให้มันควบคุมสถานการณ์ไว้ได้!” ไคหลงเองก็มีประสบการณ์มามาก จึงสามารถสงบสติและสั่งการคนทั้งสี่ ให้เปลี่ยนแผนได้ในทันที
ตอนนี้คนทั้งห้า ล้อมเย่หยวนไว้แต่ไม่มีใครพุ่งเข้าไปโจมตีแบบสุ่มสี่สุ่มห้าอีกแล้ว พวกเขาคิดที่จะล้อมเย่หยวนไว้และสู้แบบตัดกำลัง
แต่มีหรือที่เย่หยวนจะวิ่งไปตามแผนของคนพวกนี้?
ร่างของเขาขยับสลับไปมาซ้ายทีขวาทีทำให้คนทั้งห้า ไม่สามารถยืนอยู่กับที่ได้
เย่หยวนใช้เพลงดาบเมฆาลับแลออกมาอย่างเต็มที่ แต่ละดาบของเขาไม่สามารถคาดเดาได้ ทำให้คนทั้งห้า ต้องเจอปัญหาหนัก
โชคยังดีที่คนทั้งห้า นั้นเป็นยอดฝีมือระดับสี่ที่ผ่านสนามรบมามาก แม้สองคนจะถูกกดลงจากระดับสามดาวแต่ก็ยังพอที่จะรักษารูปแบบการต่อสู้ไว้ได้
เย่หยวนต่อสู้แบบหนึ่ง ต่อห้า แต่สามารถกลับมาพลิกได้เปรียบได้
เกาหยุน ดาราสวรรค์ ตี้เอิ่นและคนอื่นๆ ต่างตกตะลึงในหัวใจ พวกเขาต่างไม่เคยคาดคิดว่าผลการต่อสู้มันจะออกมาเป็นอย่างนี้ไปได้
เพราะตามแผนเดิมแล้ว พวกเขาจะสังหารเย่หยวนและจบการต่อสู้ลงตรงนั้น ให้ทุกคนได้มีเวลาไปตามล่าหาสมบัติต่อไป
แต่ตอนนี้การต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายกลับกำเนิดมาถึงทางตัน
ฉึก!
จู่ ๆ ก็เกิดน้ำพุเลือดขึ้น!
แค่เสี้ยววินาทีแห่งความผิดพลาดของยอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้ามันก็มาพอที่จะเปิดโอกาสให้เย่หยวนได้โจมตี ดาบของเย่หยวนแทงเข้าไปยังลำตัวของอีกฝ่าย ดูท่าแล้วเขาคนนี้คงไม่มีชีวิตอีกต่อไป
เมื่อพวกไคหลงได้เห็นภาพนั้นพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะขนลุกชัน
แม้จะเป็นห้า ต่อหนึ่ง พวกเขาก็ยังไม่สามารถทำอะไรนักยุทธอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าคนนี้ได้ แถมยังถูกอีกฝ่ายสวนจนคนฝั่งตัวเองตายไปด้วย!
ผลลัพธ์นี้มันช่างน่าเหลือเชื่อ
เมื่อพวกเกาหยุนได้เห็นแบบนั้นหัวใจของก็เต้นแรงขึ้นมา
ตอนนี้พวกเขาทั้งหลายต่างรู้แล้วว่าเย่หยวนไม่ใช่แนวหลัง เขาคนนั้นเป็นนักสู้แนวหน้าคนหนึ่ง
ด้วยสภาพที่ทุกคนถูกกดพลังบ่มเพาะแบบนี้ เย่หยวนกลับสามารถต่อสู้แบบห้า ต่อหนึ่ง ได้ พลังนี้แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาไม่ได้มีดีแต่ปาก!
บัง!
เกาหยุนดีดตัวออกจากเจิ่งชีและพูดขึ้น “หยุดก่อน! พวกเราอย่าได้สู้กันอีกเลย!”
ดาราสวรรค์และตี้เอิ่นเองก็ออกคำสั่งหยุดเหล่ายอดฝีมือฝ่ายปีศาจเช่นกัน ทำให้ตอนนี้สนามรบกลับมาสู่ความเงียบอีกครั้ง
เจิ่งชีที่เห็นภาพนั้นจึงพูดขึ้น”เจ้าอยากสู้เราสู้ เจ้าอยากหยุดคิดว่าเราจะหยุดอย่างนั้นเหรอ? พวกเจ้าคิดว่าเราเป็นตัวอะไร?”
เกาหยุนหน้าเสียเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น “ตอนนี้พวกเราต่างฝ่ายต่างสูญเสียกันมามากแล้ว! หากยังสู้ต่อไปแบบนี้คงไม่มีใครได้สมบัติไปแน่ ๆ ชายแก่คนนี้เข้าใจแล้วว่าเจ้าเด็กคนนั้นมันไม่ธรรมดา! ตอนนี้ทุกคนจงวางอาวุธก่อน รอให้เราหาสมบัติเจอแล้วใครอยากสู้กันก็ค่อยสู้กันตอนนั้นมันก็ยังไม่สายไป!”
ตอนที่ 1628 เต่าดำแม่เหล็กอนันต์
คำพูดนั้นของเกาหยุนทำให้ทุกผู้คนเงียบลงในทันที
เพราะหากเทียบกับการเอาชีวิตเย่หยวนแล้วการหาสมบัตินั้นเป็นเรื่องที่สำคัญกว่ามากอย่างไร้ข้อเปรียบ
เหตุผลเดียวที่พวกเขาคิดจะฆ่าเย่หยวนมาแต่แรกก็เพราะพวกเขาคิดว่าเย่หยวนนั้นอ่อนแอ เป็นเป้าหมายที่จัดการได้ง่ายดาย
แต่ใครจะคิดล่ะว่าเย่หยวนจะแข็งแกร่งปานนี้ สามารถรับมือกับยอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้าห้าคนได้ด้วยตัวคนเดียว แถมยังสังหารไปได้อีกตั้งหนึ่งคนหนึ่ง
ด้วยพลังฝีมือขนาดนี้ยังจะมีใครกล้าดูถูกเขาอีก?
เพราะคนส่วนใหญ่ที่มาในครั้งนี้ก็ไม่ใช่ยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์ครึ่งก้าวหรืออาณาจักรราชันพระเจ้าเก้าดาว แต่คนส่วนใหญ่ที่มาล้วนแล้วแต่เป็นนักยุทธอาณาจักรราชันพระเจ้าสามถึงสี่ดาวทั้งนั้น
ต่อให้พวกเขาจะเก่งกาจกว่านักยุทธอาณาจักรราชันพระเจ้าสามดาวธรรมดาๆ มากแค่ไหน มันก็ยังไม่ได้ห่างชั้นจนมองข้ามตัวตนของเย่หยวนไปได้
หากเข่นฆ่ากันต่อไปแบบนี้ ทั้งสองฝ่ายมีแต่จะต้องสูญเสียอย่างหนักหน่วง ไม่มีประโยชน์ใดๆ เลยแม้แต่นิด
เจิ่งชีจึงพูดเยาะออกมา “ไอ้คนแก่ไร้สมอง เจ้ามันผันตัวเข้ากับพวกปีศาจเพื่อทำร้ายพวกพ้องเผ่าพันธุ์ตัวเอง! รอให้พวกเราออกได้ก่อนเถอะ ข้าล่ะอยากรู้จริงๆ ว่าเจ้าจะตอบคำถามคนทั่วหล้ายังไง”
แต่เกาหยุนกลับตอบมาอย่างไม่แยแสใดๆ “เรื่องแบบนั้นมันจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อพวกเจ้าได้ออกไปจากที่นี่!”
หลิงจี้คุนเองก็ไม่ได้อยากจะสู้กันจนตายไปข้างมาแต่แรกแล้ว เขาจึงขึ้นมาช่วยเป็นตัวกลางให้ “ไหนๆ มันก็เป็นแบบนี้แล้ว ตอนนี้เราก็มาหยุดพักรบกันไว้ก่อน ให้ทุกคนได้มีโอกาสออกไปหาสมบัติด้วยกัน! เย่หยวน เจ้ามีข้อโต้แย้งอะไรไหม?”
พูดจบเขาก็หันไปหาเย่หยวน
แน่นอนว่าความเห็นของเย่หยวนนั้นสำคัญที่สุดในการตัดสินเรื่องราวครั้งนี้
เย่หยวนพยักหน้ารับและตอบกลับมา “ข้าไม่มีอะไรจะแย้ง”
เมื่อทุกคนได้เห็นแบบนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกออกมา
วันนี้พวกเขามาหาสมบัติ ไม่ได้มาเพื่อทำสงครามเสี่ยงชีวิต
หากสุดท้ายพวกเขาไม่ได้เจอสมบัติ การตายไปตรงนี้มันก็คงมีแต่ความเสียเปล่า
ดาราสวรรค์พูดขึ้น “ถ้าเป็นเช่นนั้น ทุกคนก็เริ่มออกเดินทางกันเถอะ!”
แต่เย่หยวนกลับขัดขึ้น “หากข้าเป็นพวกเจ้า ข้าจะหยุดพักรักษาตัวกันก่อน”
ดาราสวรรค์ได้ยินแบบนั้นก็หัวเราะเยาะเย่หยวนออกมา “เด็กน้อย เรื่องอะไรข้าต้องฟังเจ้าด้วย?”
เย่หยวนจึงได้แต่ยักไหล่ตอบกลับไป “งั้นก็จงไปเถอะ ข้ายังไม่อยากออกไปหาที่ตายหรอก”
และเป็นตี้เอิ่นที่เข้ามาห้ามดาราสวรรค์ก่อนจะหันไปถามเย่หยวน “ตอนนี้พวกเราทั้งหลายนั้นเหมือนมดในรังเดียวกันแล้ว หากเจ้ามีความเห็นว่าอย่างไรทำไมไม่พูดมันออกมาเล่า?”
เย่หยวนได้แต่กลอกตาตอบ “เจ้าสิมดปลวก! ตระกูลเจ้ามันมีแต่มดปลวกทั้งนั้น แล้วใครอยู่รังกับเจ้า? อย่าคิดว่าข้าผู้นี้จะไม่รู้เชียวว่าเจ้าคิดวางแผนอะไรกันไว้ อยากหลอกลวงข้าเรอะ? ไม่มีทางเสียล่ะ!”
ตี้เอิ่นแทบสำลักหลังได้ยินแบบนั้น ตอนนี้เขาได้รู้แล้วว่าเด็กคนนี้มันช่างฉลาดเฉลียวแยบยล แผนการของพวกเขากลับถูกเปิดเผยออกมาด้วยคำพูดเดียวของเขา
มันไม่มีทางเลยที่พวกเขาจะปล่อยเย่หยวนไปง่ายๆ เช่นนี้ ตราบเท่าที่ยังมีโอกาสพวกเขาก็จะทำทุกทางเพื่อกำจัดเย่หยวน
มันเป็นเพราะว่าตอนนี้เป้าหมายของทุกผู้คนต่างเป็นการตามหาสมบัติ นั่นจึงทำให้ทั้งสองเผ่าพันธุ์ในตอนนี้ยังอยู่ร่วมกันได้
“ตอนนี้ฝูงหนูยักษ์แทะกระดูกที่ตามเรามาได้หายไปแล้ว มันไม่ได้หมายความว่าพวกมันตามความเร็วเราไม่ทัน แต่มันเป็นเพราะว่าข้างหน้ามีบางอย่างที่ทรงพลังจนพวกมันกลัวอยู่ต่างหากเล่า! เอาจริงๆ ตอนนี้เราอาจจะอยู่ในเขตแดนของมันแล้วก็ได้!” เย่หยวนบอกทุกคน
คำพูดนี้ของเย่หยวนมันเปลี่ยนให้ทุกคนหน้าซีดลงได้อย่างฉันพลัน
เพราะเมื่อสักครู่พวกเขาวิ่งหนีกันมาอย่างไม่คิดชีวิตโดยที่ไม่มีใครทันคิดเรื่องนี้เลย
แต่ตอนนี้พอได้ยินคำเตือนของเย่หยวน มันจึงทำให้พวกเขาได้สติขึ้น
ตึบ! ตึบ! ตึบ!
เย่หยวนยังพูดไม่ทันขาดคำเสียงฝีเท้าของบางอย่างก็ดังขึ้น ปรากฏร่างของเต่าขนาดมหึมาต่อสายตาของทุกผู้คน
เมื่อทุกคนได้เห็นร่างของเต่าตัวนี้ สีหน้าของพวกเขาก็ซีดเซียวลงในทันที
เพราะเต่าตัวนี้มันปล่อยคลื่นพลังที่รุนแรงมากออกมา แค่ดูก็รู้ได้ว่ามันอยู่ในระดับสี่ขั้นปลาย
หากพวกเขาไม่ถูกกดพลังไว้ มันก็อาจจะยังพอมีทางสู้
แต่ตอนนี้คนที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างเกาหยุนกลับมีพลังเทียบแค่อาณาจักรราชันพระเจ้าสี่ดาว
ที่สำคัญเขายังบาดเจ็บหนักจนต่อสู้ไม่ได้มากมายนัก
“โฮ่ก!”
เสียงกู่ร้องของมันดังสะท้อนไปทั่ว แรงสั่นสะเทือนของเสียงทำให้หินหลายก้อนร่วงลงมาจากพื้นที่รอบๆ
เกาหยุนที่หน้าซีดเผือดได้แต่พูดออกมาอย่างเจ็บใจ “ให้ตายสิ ทำไมมันถึงได้มีสัตว์อสูรระดับนี้อยู่ที่นี่ได้กัน!”
และเป็นดาราสวรรค์ที่พูดขึ้นต่อ “ยิ่งผู้เฝ้าสมบัติแข็งแกร่งแค่ไหน สมบัติที่มันเฝ้าก็จะยังทรงคุณค่ามากเท่านั้น! ต่อให้เจ้าเต่ายักษ์ตัวนี้มันจะทรงพลังแค่ไหนมันก็น่าจะช้าตามประสาเต่า เราจะใช้ความเร็ววิ่งผ่านมันไปกัน!”
ได้ยินแบบนั้นดวงตาของทุกคนก็ลุกวาวขึ้นทันที แต่เกาหยุนไม่คิดจะรอช้าเขาเปลี่ยนร่างเป็นเงาแสงพุ่งไปข้างหน้า หมายว่าจะใช้ความเร็วอ้อมตัวเต่ายักษ์ไปด้านหลัง!
“ไปกัน!” ดาราสวรรค์ตะโกนและวิ่งไล่หลังเกาหยุนไป
ตอนนี้ทุกคนใช้ความสามารถที่ตัวเองมีพยายามรีดความเร็วออกมาให้ได้มากที่สุด หวังเพียงว่าจะวิ่งผ่านเต่าไปโดยไม่ให้มันได้ทันทำอะไร
เจิ่งชีเองก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่ก่อนที่เขาจะได้ทันออกตัวเขากลับเห็นว่าเย่หยวนยังนั่งอยู่ที่เดิมไม่คิดจะไปที่ไหน เขาจึงอดสงสัยไม่ได้ต้องถามออกไป “เย่หยวน สมบัติน่าจะอยู่ไม่ไกลแล้ว หากเราไม่รีบมันจะไม่ทันพวกนั้นเอานะ!”
เย่หยวนจึงยิ้มตอบกลับมา “ไม่ต้องรีบร้อนไปหรอก เต่าดำแม่เหล็กอนันต์ไม่ใช่สัตว์ที่เรารับมือได้ง่าย ๆ แบบนั้น”
เจิ่งชีได้แต่มองหน้าเย่หยวนอย่างไม่อยากจะเชื่อขึ้นมา ก่อนจะหันไปมองภาพตรงหน้าด้วยหางตาอีกครา
ตอนนี้เขาเห็นว่าเต่าดำแม่เหล็กอนันต์กำลังอ้าปากกว้าง ก่อนจะมีลูกบอลแสงพุ่งออกมา
บุ่ม! บุ่ม! บุ่ม!
บอลแสงพวกนั้นถูกยิงออกมาเหมือนเป็นกระสุนปืนใหญ่ มันลอยล่องไปกระแทกหินจากทั้งสองฝั่งผาให้ร่วงลงมาอย่างรุนแรง
แรงดึงดูดของก้นเหวนี้มันรุนแรงมาก เมื่อหินตกลงมา มันยิ่งมีพลังมากกว่าการตกปกติหลายเท่า
“อ้ากกก!”
ตอนนี้มียอดฝีมือเผ่าปีศาจคนหนึ่งถูกหินยักษ์ร่วงลงมาทับจบแหลกคาที่พร้อมเสียงร้องนั้นที่เงียบหายไป ดูแล้วแม้แต่วิญญาณของเขาก็คงไม่สามารถหนีออกมาได้
จังหวะนั้นเองที่รอบๆ ตัวมันมีหินร่วงลงมาเต็มไปหมด พวกมันร่วงลงทุกที่ ทุกทิศรอบตัวเต่า
เมื่อเต่าดำโกรธ โลหิตจะไหลเป็นสายธาร
ไม่กี่อึดใจพวกเขาก็เสียเหล่ายอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้าไปเกือบครึ่ง
เกาหยวนและพวกคนที่เหลือที่ไปได้แค่ครึ่งทางจึงเลือกที่จะวิ่งกลับมาอย่างเต็มแรง ตอนนี้พวกเขาทั้งหลายต่างมีสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก
เพราะแค่สัตว์ตัวเดียวที่ขวางทางไว้ พวกเขาทั้งหลายกลับไม่สามารถผ่านไปได้สักคน
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน? ทำไมมันถึงได้แข็งแกร่งปานนี้?” เกาหยุนพูดด้วยเสียงหอบ
“ไม่รู้ ข้าเองก็เพิ่งจะเคยเจอมันเหมือนกัน!” ดาราสวรรค์ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจนัก
“ไม่แปลกใจเลยที่พวกหนูยักษ์แทะกระดูกมันไม่กล้าไล่เราเข้ามาในบริเวณนี้! เพราะที่นี่เป็นอาณาเขตของยอดสัตว์อสูรสุดทรงพลัง! ต่อให้เป็นพวกเราตอนสภาพสมบูรณ์พร้อมก็ยังไม่แน่เลยว่าจะสามารถรับมือกับเจ้าเต่ายักษ์นี่ได้!” ตี้เอิ่นพูดขึ้น
“ให้ตายสิ สมบัติอยู่แค่เอื้อมแล้วแท้ๆ จะให้เรากลับไปทั้งๆ แบบนี้เหรอ?” เชียนอันเองก็มีสีหน้าไม่สู้ดีเหมือนกัน
เย่หยวนจึงกล่าวขึ้นมาอย่างเย็นชา “เต่าดำแม่เหล็กอนันต์นั้นเป็นเผ่าพันธุ์ที่หายากและชอบอาศัยอยู่ในที่ที่มีสนามแม่เหล็กรุนแรง พลังสนามแม่เหล็กแรงดึงดูดที่ปกคลุมที่นี่ไว้นี่แหละคือสิ่งที่เต่าดำแม่เหล็กอนันต์ชอบมากที่สุด มันสามารถใช้พลังวิญญาณผสานกับสนามแม่เหล็กสร้างปืนใหญ่พลังงานได้ เฒ่าเกา ต่อให้เป็นเจ้าในตอนสมบูรณ์พร้อมก็ยังไม่ใช่คู่มือของมันหรอก”
เกาหยุนได้แต่กัดฟันแน่นเมื่อได้ยินแบบนั้น “กลายเป็นว่าเจ้ารู้ว่ามันคือตัวอะไร! เพราะแบบนั้นเจ้าถึงปิดปากเงียบและเอาแต่รอ! เจ้าอยากให้เราไปตายกับปืนใหญ่วิญญาณของมันนี่เอง!”
เย่หยวนจึงกลอกตาก่อนจะตอบกลับไป “ถ้าใช่แล้วมันจะทำไม? ข้าแค่หวังว่าจะให้พวกเจ้าโดนทับตายไปให้หมดเสีย! นี่ข้า… เคยปิดบังเรื่องนั้นด้วยเหรอ?”
“เจ้า!” เกาหยุนแทบสำลักหลังได้ยินแบบนั้น เกือบจะทำให้แผลที่กำลังสมานตัวเปิดออกอีกครั้ง
“หึ! หากชายแก่คนนี้ผ่านไปไม่ได้ เจ้าจะมีปัญญาผ่านไปได้หรือ? เมื่อต้องอยู่ต่อหน้าสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังขนาดนี้ ทั้งเจ้าทั้งข้าต่างก็ไม่มีใครจะได้สมบัติไปทั้งนั้นแหละ!” เกาหยุนพูดอย่างคับแค้น
แต่เย่หยวนก็ยักไหล่สวนและตอบ “เจ้ามันคิดอะไรตื้นเกินไป! เจ้าคิดว่าหากเจ้าผ่านไปได้เจ้าจะมีปัญญาเอาสมบัติรึ?”
เกาหยุนหันมาถามด้วยความแปลกใจทันที “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
เย่หยวนยิ้มตอบ “นี่เจ้าโง่จริงหรือแกล้งโง่กันเนี่ย? หากมียอดสัตว์อสูรที่ทรงพลังขนาดนี้เฝ้า มีหรือที่มันจะเป็นแค่สมบัติเชียนเทียนธรรมดาๆ เจ้าคิดว่าของระดับนั้นคนอย่างเจ้าที่มีพลังแค่อาณาจักรนภาสวรรค์ครึ่งก้าวจะเอามันมาครองได้รึ?”
เมื่อทุกคนได้ยินดังนั้น สีหน้าของพวกเขาทั้งหลายก็เปลี่ยนไปทันที
และเป็นตอนนั้นเองที่จู่ๆ ก็มีพลังงานวิญญาณหนาแน่นก่อตัวเป็นรูปดาบพุ่งออกมา ราวกับว่ามันมาจากเส้นขอบฟ้าและพุ่งตรงเข้าไปหาเต่าดำแม่เหล็กอนันต์ในทันที!
ฉัวะ!
ร่างมหึมาของเต่าดำแม่เหล็กอนันต์ถูกฟันเข้าอย่างแรงส่งชิ้นเนื้อกระจายไปทั่ว
ตอนที่ 1629 สังหารผู้ไม่เห็นด้วย
“โฮ่ก โฮ่ก!”
ร่างของเต่าดำแม่เหล็กอนันต์นั้นลอยถอยหลังไปไกลจนมันเข้าสู่สภาวะบ้าคลั่ง
จู่ๆ เงาร่างหนึ่งก็ปรากฏกายขึ้นมาพร้อมมือที่ไขว้หลัง ด้วยบรรยากาศรอบตัวที่ราวกับเป็นยอดปรมาจารย์
เมื่อทุกคนได้เห็นเงาร่างที่ว่านี้พวกเขาต่างตื่นตกใจจนหน้าซีดเผือดไปตามๆ กัน
อาณาจักรนภาสวรรค์ครึ่งก้าว!
ทั้งๆ ที่อยู่ในสนามพลังกดการบ่มเพาะแท้ๆ แต่กลับสามารถมีระดับสูงได้ถึงอาณาจักรนภาสวรรค์ครึ่งก้าว ทั้งยังสามารถทนทานแรงโน้มถ่วงอันรุนแรงและลอยตัวอยู่กลางอากาศได้ คนเช่นนี้จะเป็นใครไปได้นอกจากยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์ตัวจริงเสียจริง?
“ยอดผู้อาวุโสที่สอง!”
“ซ่งหยู!”
หลิงจี้คุนและเกาหยุนตะโกนออกมาทันทีอย่างพร้อมเพรียง
ต่างกันแค่ใบหน้าของหลิงจี้คุนแสดงออกมาถึงความยินดี แต่ใบหน้าของเกาหยุนแสดงออกมาถึงความกังวล
เพราะซ่งหยูและเกาหยุนนั้นเป็นนักยุทธในรุ่นเดียวกัน จึงไม่แปลกที่เกาหยุนจะจำใบหน้าของเขาคนนี้ได้ในทันทีที่เห็น
เพียงแค่ว่าซ่งหยูนั้นมีพรสวรรค์ที่มากล้ำกว่าเกาหยุนมาก จึงบรรลุอาณาจักรนภาสวรรค์ไปได้นับหมื่นๆ ปีแล้ว
การปรากฏตัวของเขาในครานี้มันทำให้เกาหยุนต้องเหงื่อตก
เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของหลิงจี้คุนสีหน้าของทุกคนก็แย่ลงไม่ต่างจากเกาหยุนมากนัก
“ซ่งหยู เมืองจักรพรรดิธารนิรันดร์ของเจ้าทำแบบนี้มันหมายความว่าอย่างไร? ทั้งๆ ที่คิดจะส่งยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์มาแต่แรกแล้วยังจะไปขอกำลังเรามาด้วยทำไม? คิดจะใช้พวกเราเป็นหินรองเท้ารึ?” เกาหยุนกล่าวขึ้น
ตอนนี้ทุกคนที่มา นอกจากเมืองจักรพรรดิธารนิรันดร์แล้ว ทุกคนต่างแสดงสีหน้าท่าทางไม่พอใจออกมาอย่างเต็มที่
ดูท่าคำพูดของเกาหยุนคงไปสะกิดใจของพวกเขาทั้งหลายเข้าอย่างจัง ความรู้สึกที่โดนหลอกลวงนี้มันทำให้พวกเขาไม่พอใจเป็นอย่างมาก
ยอดผู้อาวุโสที่สองซ่งหยูนั้นดูแลร่างกายอย่างดีจนมีรูปร่างหน้าตาไม่ต่างไปจากชายวัยกลางคนนัก
เขาหันมามองหน้าเกาหยุนและกล่าวขึ้นอย่างเย็นชา “เกาหยุน อย่าได้กล่าวหาคนส่งเดช! อาณาจักรราชันพระเจ้าก็มีวิธีของอาณาจักรราชันพระเจ้า อาณาจักรนภาสวรรค์ก็มีวิธีของอาณาจักรนภาสวรรค์ หนึ่งที่ข้ามานั้นก็เพื่อให้ความช่วยเหลือ สองคือข้าได้ให้โอกาสทองแก่พวกเจ้า หากพวกเจ้าคว้าโอกาสนั้นไว้ได้ข้าคนนี้ก็คงไม่คิดจะออกมายุ่งย่าม แต่ตอนนี้เจ้าคิดว่าตัวเองยังมีปัญญาอีกรึ? โอกาสทองในครั้งนี้มันเกินกว่าที่มือของพวกเจ้าจะคว้าจับไว้ได้แล้ว”
ตอนนี้มิใช่แค่เกาหยุน แต่สีหน้าของทุกผู้คนต่างก็ไม่สู้ดี
เพราะคำพูดนั้นของซ่งหยูมันถูกต้อง ด้วยเต่าดำแม่เหล็กอนันต์ที่ปิดทางไว้เช่นนี้ มันไม่มีทางเลยที่พวกเขาจะมีปัญญาผ่านไปได้
การใช้กำลังมุ่งผ่านไปอย่างไม่คิดนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับการรนหาที่ตาย
ซ่งหยูจึงพูดขึ้นต่อ “เกาหยุน เจ้าคงไม่ได้คิดโง่ๆ ว่าข้าเป็นนักยุทธอาณาจักรนภาสวรรค์คนเดียวที่มาที่นี่หรอกใช่ไหม?”
คำพูดนั้นทำให้ร่างของเกาหยุนต้องสั่นสะท้าน ดวงตาของเขาปรากฏความสิ้นหวังออกมา
เพราะตั้งแต่ตอนที่เขาเห็นเจ้าเต่าดำแม่เหล็กอนันต์ เกาหยุนก็รู้ตัวแล้วว่าโอกาสในครั้งนี้มันคงไม่ตกมาถึงมือของเขาเป็นแน่
แต่เขาก็ยังพยายามทำใจแข็ง หวังว่าจะฉวยโอกาสจังหวะดีๆ แย่งชิงมันมาได้
คนอื่นๆ เองก็คิดไม่ต่างกันนัก ความเป็นจริงช่างโหดร้าย
เมื่อพูดจบซ่งหยูก็กล่าวขึ้นอย่างเต็มเสียง “ออกมาได้แล้ว คงไม่ต้องให้ข้าไปเชิญพวกเจ้าออกมาด้วยตัวเองหรอกมั้ง?”
ตอนนี้พื้นที่รอบๆ นั้นเกิดความเงียบงันขึ้นด้วยคำพูดของซ่งหยู
ซ่งหยูถอนหายใจยาวก่อนจะปล่อยลำแสงดาบออกมาสองครั้ง
ฟู่ว!
ดาบนั้นตัดผ่านอากาศจนเกิดเสียงดัง ทลายหินก้อนหนึ่งจนแหลกเป็นฝุ่นผงไป
จากนั้นก็มีร่างของยอดฝีมือเผ่าปีศาจคนหนึ่งปรากฏกายออกมาจากอากาศที่ว่างเปล่าและพูดขึ้น “เฮอะ เด็กน้อยซ่งหยู เจ้ากล้าท้าทายชายแก่คนนี้เลยรึ? เบื่อที่จะหายใจแล้วกระมัง?”
เมื่อเชียนอันเห็นยอดฝีมือคนนี้เขาก็ตะโกนขึ้นมาอย่างสุดเสียง “ท่านข่านซัว!”
ส่วนอีกด้านฝั่งเย่หยวนนั้นหรี่ตาลงทันที โดยที่สายตาของเขาจ้องมองร่างของยอดฝีมือเผ่าปีศาจนั้นอย่างไม่วางตา
นี่คือคนร้ายที่สั่งการให้ข่านนั่วโจมตีดินแดนศักดิ์สิทธิ์!
เย่หยวนไม่เคยคิดเลยว่าจะได้มาเจอเขาในที่แบบนี้
มันแย่มาก ด้วยพลังของเขาในตอนนี้มันไม่มีทางใดเลยที่เขาจะต่อต้านอีกฝ่ายได้
“ฮึ่ม! เจ้าเฒ่า อยู่จนแก่หงำเหงือกแล้วก็ยังไม่สามารถบรรลุขึ้นไปจากอาณาจักรนภาสวรรค์หนึ่งดาวได้ จะมาทำตัวอวดดีเรอะ?” ซ่งหยูตอบกลับไปอย่างไม่เกรงกลัว
ข่านซัวจึงตอบกลับมา “เด็กน้อย ขิงนั้นยิ่งแก่ยิ่งเผ็ดร้อน! เจ้าได้ใจในความสำเร็จแต่หนุ่ม หากไม่ระวังแม้สักก้าวเจ้าจะต้องมาเสียใจภายหลัง!”
ซ่งหยูจึงพูดขึ้น “เลิกพูดไร้สาระได้แล้ว มาแสดงพลังฝีมือที่แท้จริงกันหน่อยจะเป็นอย่างไร! เล่ออี้เจ้าว่าอย่างไร?”
จากนั้นก็มีเงาร่างอีกร่างปรากฏออกมาจากช่องว่างมิติ นี่คืออีกเป้าหมายการโจมตีของดาบแสงเมื่อสักครู่
คนๆ นี้คือยอดฝีมือเผ่ามนุษย์ ใบหน้าดูมีอายุไม่เบา และยังมีพลังบ่มเพาะระดับอาณาจักรนภาสวรรค์ครึ่งก้าวเช่นกัน
เล่ออี้หันมามองซ่งหยูและกล่าวขึ้นอย่างเย็นชา “ข้านั้นมาที่นี่เพียงเพื่อสมบัติเซียนเทียน เรื่องอื่นๆ ข้าไม่เกี่ยวด้วย!”
ซ่งหยูจึงหัวเราะขึ้น “ช่างเป็นคนโลภมากเห็นแก่ตัวนัก! มาจัดการเจ้าสัตว์อสูรนี่ลงก่อนแล้วเราค่อยคุยกัน”
เล่ออี้หันไปมองเขาหนึ่งครั้ง แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธออกมาอีก แม้จะดูท่าไม่ค่อยเต็มใจนัก
เมื่อเหล่ายอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์ทั้งสามปรากฏกายออกมา ผู้คนที่เหลือก็ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงๆ
เพราะแม้พวกเขาเหล่านี้จะมีพลังบ่เฉพาะแค่อาณาจักรนภาสวรรค์หนึ่งดาว แต่พวกเขาก็ยังแข็งแกร่งกว่าเกาหยุนที่มีพลังบ่มเพาะอาณาจักรนภาสวรรค์ครึ่งก้าวหลายเท่าตัวนัก
แม้ตอนนี้พวกเขาทั้งหลายจะถูกกดพลังบ่มเพาะไว้เหมือนๆ กับคนอื่น แต่มันกลับทำได้แค่กดพวกเขาลงมาอยู่ในอาณาจักรนภาสวรรค์ครึ่งก้าว
“เฮอะ อย่างน้อยเจ้าก็ยังมีเหตุผลบ้าง รอให้เราได้เห็นสมบัติเซียนเทียนจริงๆ ก่อนแล้วค่อยมาตกลงกัน ชายแก่คนนี้อยากเห็นมันกับตาเต็มทีแล้ว!” ข่านซัวตอบ
“โฮ่ก! โฮ่ก! โฮ่ก!”
เสียงร่ำร้องของเต่าดำแม่เหล็กอนันต์ดังขึ้นอย่างบ้าคลั่งหลังได้ยินคำพูดของคนทั้งสาม
จากนั้นมันก็เปิดปากออกและยิ่งปืนใหญ่พลังวิญญาณอันมหาศาลออกมาใส่คนทั้งสาม
พลังการโจมตีในครั้งนี้มันเหนือล้ำกว่าคราวก่อนๆ มาก
“ฮึ่ม! เจ้าสัตว์ชั้นต่ำ!”
ซ่งหยูสบถออกมาและเงยหน้าขึ้นฟันดาบออกไป
ส่วนอีกสองคนก็ไม่ได้เอาแต่อยู่นิ่งๆ พวกเขาต่างแสดงพลังฝีมือของตัวเองออกมา
ไม่นานนักพวกเขาก็ได้เห็นภาพของพลังวิญญาณปลิวลอยไปทั่วทั้งหุบเขา
ปัง! ปัง! ปัง!
เต่าดำแม่เหล็กอนันต์นั้นจะสามารถต้านทานคนทั้งสาม ได้อย่างไร? สุดท้ายมันจึงถูกรุมโจมตีอย่างหนักหน่วง
แต่ทว่าตัวมันเองก็ไม่ได้รับบาดเจ็บเท่าที่ควร
ข่านซัวพูดขึ้นด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เจ้าเต่ายักษ์นี่มันมีหนังที่แข็ง เนื้อที่หนา เราไม่สามารถทำอะไรมันได้มากมายเลย เราไม่ควรมายุ่งง่วนอยู่กับมันแล้วมุ่งหน้าไปยังสมบัติเลยจะดีกว่า!”
ทั้งสองคนนั้นพยักหน้าเห็นด้วยอย่างไม่มีการลังเล
แต่ตอนนั้นเองที่สายตาของข่านซัวหันมามองเย่หยวน
เย่หยวนสะดุ้งตัวขึ้นในทันทีราวกับว่าตอนนี้เขากำลังถูกสัตว์ร้ายหมายเอาชีวิต
และเย่หยวนก็รีบหันหน้าวิ่งหนีออกไปอย่างไม่รีรอ!
ข่านซัวจึงหัวเราะขึ้น “เด็กน้อย ไม่ว่าเจ้าจะโกรธแค้นข้ายังไง แต่ชายแก่คนนี้ก็ไม่อยากจะปล่อยให้ตัวอันตรายเช่นเจ้ามีชีวิตอยู่อีกต่อไป!”
พูดจบข่านซัวก็ชี้นิ้วออกมา ปล่อยพลังงานอันมหาศาลพุ่งทะลุผ่านอากาศเข้าตรงใส่เย่หยวนในทันที
ข่านซัวนั้นแค่โจมตีอย่างสบายๆ แต่มันกลับกลายเป็นท่าสังหารเมื่ออยู่ต่อหน้าเย่หยวน!
ไม่มีใครขยับตัวได้ทันทีทำอะไร ตอนที่เจิ่งชีหันไปเห็นการโจมตี พลังนั้นมันก็เคลื่อนที่ไปอยู่ตรงหน้าเย่หยวนเสียแล้ว
“เย่หยวน!” เจิ่งชีตะโกนลั่น
มุมปากของข่านซัวกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ตอนนี้เขาเห็นภาพของเย่หยวนที่ถูกทำลายจนกลายเป็นฝุ่นผงได้แล้ว
แม้เย่หยวนจะมีพลังแนวคิดแห่งห้วงมิติ แต่แล้วมันจะทำไม?
เมื่อต้องอยู่ต่อหน้ายอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์ แนวคิดแห่งห้วงมิติเองมันก็ไม่ได้พิเศษมากมายขนาดนั้น!
ตู้ม!
เศษฝุ่นดินลอยฟุ้งไปทั่ว ด้วยพลังของข่านซัวที่แตกออกกลางอากาศ
หลังม่านควันจางหายไป ร่างของเย่หยวนก็ได้หายไปจากที่ตรงนั้นแล้ว
ข่าวซัวยิ้มขึ้นมาที่มุมปาก “เด็กน้อยที่ไม่รู้จักฟ้าดิน กล้ามาปั่นป่วนโถงโลหิตมรณะของชายแก่คนนี้! ช่างรนหาที่ตายเก่งนัก!”
ด้วยกำลังของซ่งหยู จริงๆ เขาสามารถที่จะหยุดข่านซัวไว้ได้ แต่เขากลับไม่ลงมือ
เพราะจิตใจของเขาคนนี้รู้สึกว่าพรสวรรค์ของเย่หยวนมันจะเป็นภัยต่อเมืองจักรพรรดิธารนิรันดร์
สัตว์ประหลาดแบบนั้นมันน่ากลัวเกินไป
ดีแล้วที่มันตายลง!
“เด็กคนนี้มันน่าสนใจจริงๆ ในจำนวนคนตั้งมากมาย แต่เหมือนจะมีมันแค่คนเดียวที่รู้สึกถึงตัวตนของพวกเรา” ซ่งหยูกล่าว
ข่านซัวจึงตอบกลับ “รู้แล้วมันทำไม? มาเล่นกับไฟต่อหน้าอาณาจักรนภาสวรรค์ มันแปลกตรงไหนที่พวกมันจะต้องมอดไหม้ไปเอง? เจ้าเฒ่ามองหาอะไร? อยากให้ชายแก่คนนี้สังหารเจ้าลงอีกคนรึ?”
คำพูดสุดท้ายของเขานั้น ข่านซัวพูดใส่เจิ่งชี
สายตาของเจิ่งชีที่มองไปยังข่านซันนั้นมันเปี่ยมไปด้วยความโกรธแค้น
เพราะเย่หยวนตายไปต่อหน้าต่อตาเขาทั้ง ๆ อย่างนั้น! จะให้ทนทานอย่างไรไหว!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น