Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1608-1611
ตอนที่ 1608 การจากลาอันกะทันหัน
Ink Stone_Fantasy
ที่คฤหาสน์เย่ตอนนี้กำลังมีชายหนุ่มคนหนึ่งก้มหัวเคารพเย่หยวนอย่างนอบน้อมพร้อมพูดขึ้น “ผู้อาวุโสเย่ โจวเหว่ยนั้นถูกส่งไปยังเมืองเจียงกูแล้วพร้อมทำการผนึกพลังบ่มเพาะและตีตราทาสเป็นเวลาสามร้อยปี สำหรับทางซ่งฉีหยางนั้นแม้จะมีผู้อาวุโสใหญ่คุ้มกะลาหัวแต่ผู้อาวุโสใหญ่ก็ได้สั่งให้เขาไปนั่งคุกเข่ากลางลานหอโอสถเป็นเวลาหนึ่งเดือนเพื่อบรรเทาความพิโรธของผู้อาวุโสเย่”
หลังจากได้ฟังเย่หยวนก็กล่าวออกมาอย่างเย็นชา “ตาแก่หรงซูมันฉวยโอกาสลงโทษคนของตัวเองก่อนเพื่อเอาความได้เปรียบมาไว้ในมือ! แต่ว่าการนั่งคุกเข่าหนึ่งเดือนมันก็เป็นการลงโทษที่ดีแล้วสำหรับซ่งฉีหยาง เหนื่อยหน่อยนะเทียนปิง”
ชายหนุ่มก้มหัวลงและตอบกลับมา “การจัดการความกังวลของผู้อาวุโสเย่นั้นหาใช่เรื่องที่ต้องเหนื่อยใด ๆ เลย”
เย่หยวนหันไปมองและพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “เทียนปิง ด้วยความสามารถของเจ้าจริง ๆ เจ้าไม่ต้องมาเป็นผู้ติดตามของข้าก็ได้นะ ทำไมไม่คิดจะไปหาตำแหน่งที่มันสูงส่งกว่านี้ให้ตัวเองล่ะ?”
ชายหนุ่มคนนี้มีนามว่าหนิงเทียนปิงเป็นอันดับหนึ่งของคนตระกูลหนิงรุ่นใหม่
แม้แต่หนิงฟางหรงก็ยังไม่สามารถเทียบเคียงกับหนิงเทียนปิงได้ในด้านพรสวรรค์
ตอนนั้นหนิงลี่เซียวได้จ่ายถึงสามล้านห้าแสนเพื่อซื้อโอสถสุริยันจักรวาลเพื่อนำมาให้เขา
หลังจากเขากินโอสถสุริยันจักรวาลเข้าไป หนิงเทียนปิงก็ได้รับรู้ถึงความเหนือชั้นของโอสถตัวนี้ในทันที
ตัวเขาที่ตอนนั้นยังเป็นแค่นักยุทธอาณาจักรบรรพชนพระเจ้ากลับสามารถบรรลุขึ้นสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าครึ่งก้าวได้สำเร็จทันที และไม่นานจากนั้นเขาก็สามารถบรรลุสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าได้เต็มตัว
หลังจากบรรลุอาณาจักรมาได้ เขาก็ได้รู้สึกถึงพลังที่เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือของตัวเอง มันต่างกันราวฟ้ากับเหว
ในเวลาแค่หนึ่งร้อยปีมานี้เขากลับสามารถเข้าสู่จุดสุดยอดของอาณาจักรราชันพระเจ้าสองดาวได้
ความเร็วในการบ่มเพาะระดับนี้มันแตกต่างจากที่เคยมีมาอย่างสิ้นเชิง
นั้นทำให้หนิงเทียนปิงรู้ทันทีว่านี่คือผลจากโอสถสุริยันจักรวาล
เดิมทีเขานั้นอยากจะไปกล่าวขอบคุณเย่หยวน แต่ข่าวร้ายที่ว่าเย่หยวนตายลงในห้วงมิติสืบทอดก็กระจายไปทั่วก่อนที่เขาจะได้ทำอะไร นั้นทำให้จิตใจของหนิงเทียนปิงขุ่นมัวไปพักใหญ่
แต่ตอนนี้เขาได้ยินเรื่องการกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ของเย่หยวนที่สั่นสะท้านทั้งเมือง
เมื่อหนิงเทียนปิงได้รับรู้ว่าเย่หยวนกำลังจะหาคนติดตามใหม่ เขาก็รีบเสนอตัวลงแข่งขันในทันที
เดิมทีด้วยตำแหน่งของเขาแล้วเขาเคยมีแต่คนมาติดตาม ไม่เคยต้องไปติดตามใคร
แม้แต่เหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายก็ไม่มีใครกล้าใช้งานหนิงเทียนปิง
แต่ตระกูลหนิงกลับสนับสนุนการมาเป็นผู้ติดตามเย่หยวนของหนิงเทียนปิงในครั้งนี้อย่างมาก ถึงขนาดลงมือช่วยหนิงเทียนปิงในหลาย ๆ เรื่องเลยด้วย ทำให้หนิงเทียนปิงสามารถก้าวขึ้นมาทำคะแนนนำผู้ลงสมัครคนอื่น ๆ
เพราะตอนนี้การจะมาเป็นผู้ติดตามของเย่หยวนนั้นมันไม่ง่ายเหมือนก่อนแล้ว
เมื่อก่อนนั้นเย่หยวนเพียงแค่มีพรสวรรค์สะท้านฟ้า
แต่เย่หยวนหลอมโอสถได้แค่โอสถศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงซึ่งมันไร้ประโยชน์กับพวกเขาอย่างสิ้นเชิง
แต่ตอนนี้เย่หยวนกลับเข้าใกล้การเป็นจอมเทพโอสถหนึ่งสี่ดาวเข้าไปเต็มที
เมื่อใดก็ตามที่เขาสามารถบรรลุอาณาจักรได้ ความแตกต่างมันก็จะขยายวงกว้างขึ้นในทันที
และผลประโยชน์ที่คนสนิทของเขาจะได้รับมันก็คงมากตามไปด้วย ใครก็ตามที่ได้เป็นผู้ติดตามผู้อาวุโสเย่ในตอนนี้จะได้รับผลประโยชน์มากมายมหาศาลอย่างไม่สามารถจินตนาการได้
นั่นทำให้การหาผู้ติดตามเย่หยวนในครั้งนี้มันมีการแข่งขันที่สูงมาก
น่าเสียดายที่ตอนนี้หลินตงนั้นทำให้แค่ถอนหายใจอยู่บ้านด้วยความเสียดายอย่างสุดซึ้ง
ครั้งหนึ่งเขาเคยได้รับโอกาสอันหวานหอมตรงหน้า แต่เขากลับไม่รักษามันไว้ให้ดี ตอนนี้เมื่อต้องเสียมันไปก็ไม่สามารถบ่นอะไรได้แล้ว
เขาไม่คิดที่จะทำงานให้เย่หยวนนั้นเป็นเพราะว่าเย่หยวนเป็นเพียงแค่จอมเทพโอสถสามดาว แค่เพราะเหตุผลนี้เหตุผลเดียว
เขาไม่เคยคิดเลยว่าวันนี้มันจะมาถึงอย่างรวดเร็วปานนี้
ในเวลาแค่หนึ่งร้อยปีนี้เย่หยวนกลับสามารถบรรลุถึงระดับสุดยอดของอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าชั้นสุดได้
แม้จะอยากย้อนกลับไปเป็นเหมือนก่อนมันก็คงไม่มีทางแล้ว
ที่สำคัญหลังเขารู้ว่าเย่หยวนหายตัวไปในห้วงมิติสืบทอดในตอนนั้น เขายังไปทำตัวเลวร้ายใส่พวกลี่เอ๋อไปอีกด้วย
หนิงเทียนปิงยิ้มออกมา “หนึ่งร้อยปีก่อน ตระกูลหนิงเราซื้อโอสถสุริยันจักรวาลของผู้อาวุโสเย่มาด้วยเงินมากมายมหาศาล ผู้คนต่างเชื่อว่าตระกูลหนิงเราจ่ายผลึกปราณเทวะไปในราคาที่เหมาะสมแล้ว ตอนนั้นข้าเองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน แต่หลังจากได้ลองกินโอสถสุริยันจักรวาลและบรรลุเข้าสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าข้าก็ได้รู้ว่าจริง ๆ แล้วราคาที่เราจ่ายไปมันไม่สามารถเทียบเคียงกับสิ่งที่ผู้อาวุโสเย่ทำได้เลย! โอสถเม็ดนั้นมันมีค่ามากกว่าที่จะใช้ผลึกปราณเทวะทดแทนได้”
เย่หยวนจึงยิ้มออกมา “งั้นเจ้าก็มาเพื่อตอบแทนบุญคุณข้าเรอะ?”
แต่หนิงเทียนปิงกลับส่ายหัวออกมา “ข้ารู้ดีว่าผู้อาวุโสเย่ไม่ต้องการการตอบแทนใด ๆ ตอนนี้ข้าไม่มีอะไรต้องปิดบังอีก ตอนนี้ทั้งเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์มีใครบ้างที่ไม่หวังเป็นผู้ติดตามผู้อาวุโสเย่? ตราบเท่าที่พวกเขาติดตามท่านพวกเขาก็จะได้รับผลประโยชน์อย่างไม่มีสิ้นสุดในวันข้างหน้า ให้พูดง่าย ๆ ทุกคนต่างก็อยากพึ่งใบบุญของท่านกันทั้งนั้น!”
เย่หยวนมองดูใบหน้าของหนิงเทียนปิงด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย เขาไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะพูดได้ตรงไปตรงมาขนาดนี้
การรู้อยู่แก่ใจ กับการกล้าพูดออกมาต่อหน้าคนอื่นแบบนี้มันคนละเรื่องกันเลย
อย่างน้อย ๆ ในด้านนี้มันก็ทำให้เย่หยวนเกิดประทับใจในตัวหนิงเทียนปิงขึ้นมาบ้างแล้ว
เพราะหากหนิงเทียนปิงทำตัวอ้อมค้อมเอาแต่พูดปัดไม่ยอมรับ เย่หยวนก็คงไม่ค่อยจะประทับใจกับท่าทางนั้นสักเท่าไหร่ มุมมองที่เขามีต่อหนิงเทียนปิงก็น่าจะแย่กว่านี้
เพราะเขานั้นไม่สามารถที่จะเชื่อใจใครง่าย ๆ ได้อีกแล้ว
สำหรับคนที่เขาไม่เคยรู้จักคุ้นเคย เย่หยวนจะต้องเฝ้าสังเกตและศึกษาคน ๆ นั้นอย่างถี่ถ้วน
เหมือนเรื่องของหลินตง หลินตงนั้นช่วยเขาจัดการกับฉินเซียว แต่สุดท้ายหลินตงก็เกรงกลัวในอำนาจซ่งฉีหยางจนแปรพักตร์ไป เย่หยวนจึงไม่คิดจะให้โอกาสคนแบบนั้นอีกเป็นครั้งที่สอง
ส่วนทางด้านหนิงเทียนปิงนั้นแม้เขาจะเป็นคนของตระกูลหนิง แต่หากเขาไม่สามารถผ่านการตรวจสอบของเย่หยวนไปได้ เขาก็คงถูกไล่กลับไปเหมือนกัน
ระหว่างที่ทั้งสองคุยกันไปเยวี่ยเมิ่งลี่ก็มาถึงพร้อมพวกอิ้งหมัวหู่อย่างกะทันหัน
เมื่อเย่หยวนเห็นร่องรอยการต่อสู้บนร่างของพวกเขาทั้งหลาย เย่หยวนก็เริ่มรู้สึกร้อนใจขึ้นมา
“พวกเจ้ามีเรื่องอะไรกัน?” เย่หยวนถามขึ้นอย่างสงสัย
ส่วนหนิงเทียนปิงที่เห็นภาพนั้นก็รีบขอตัวลาปล่อยให้เขาทั้งหลายได้คุยกันอย่างเป็นส่วนตัว การทำแบบนั้นทำให้มุมมองของเย่หยวนที่มีต่อเขายิ่งดีมากขึ้น
พวกเขาทั้งหลายนี้ดูมีท่าทางร้อนรนอย่างมาก แต่เมื่อมาอยู่ต่อหน้าเย่หยวนพวกเขากลับปิดปากเงียบไม่มีใครพูดอะไร
พวกเขาทั้งหลายหันมองหน้ากัน โดยที่ไม่รู้ว่าจะให้ใครเป็นคนเริ่มพูดก่อนดี
ภาพตรงหน้านี้ทำให้เย่หยวนยิ่งแปลกใจหนักกว่าเก่า
“พี่สะใภ้ ท่านพูดเถอะ!” อิ้งหมัวหู่กล่าวขึ้น
เมื่อเยวี่ยเมิ่งลี่ได้ยินดังนั้นก็เงียบไปพักใหญ่ก่อนที่เหมือนว่านางจะรวบรวมความกล้าเปิดปากขึ้นจนได้ในที่สุด “พี่หยวน จริง ๆ ที่พวกเรามาก็เพื่อจะบอกพี่ว่าเราจะออกไปฝึกด้วยตัวเราเอง”
นั่นทำให้หน้าของเย่หยวนเปลี่ยนสีไปในทันทีก่อนเขาจะตะโกนขึ้นมาอย่างหนักแน่น “ไม่มีทาง!”
ในมหาพิภพถงเทียนนี้มียอดฝีมือมากมายราวดาวบนท้องฟ้า ด้วยพลังฝีมือของพวกเยวี่ยเมิ่งลี่ในตอนนี้การออกไปฝึกด้วยตัวเองมันก็ไม่ต่างจากการรนหาที่ตายเลย
เพราะในมหาพิภพถงเทียนนี้บ้านเมืองมันไม่ได้สงบเรียบร้อยมากนัก อันตรายนั้นรอคอยผู้คนอยู่ทุกที่
ดูอย่างเล่งหยู จะมียอดฝีมือที่ไหนอีกไหมที่จะสามารถอยู่รอดมาได้เป็นแสนปีอย่างเขา?
พวกลี่เอ๋อในตอนนี้ หากเกิดเรื่องร้ายอะไรขึ้นกับพวกนางเย่หยวนคงไม่มีทางยอมยกโทษให้ตัวเองไปชั่วชีวิตแน่ ๆ
เย่หยวนนั้นค้านออกมาเสียงแข็งตามที่เยวี่ยเมิ่งลี่คาดการณ์
“พี่หยวน ลี่เอ๋อรู้ดีว่าท่านพี่เป็นห่วงเรามากแค่ไหน แต่การอยู่ใต้ร่มเงาของพี่ต่อไปมันก็หมายความว่าเราต้องคอยตามเงาพี่ตลอดไปด้วย! ด้วยความสามารถของท่านพี่ ความห่างชั้นของเรามันจะมีแต่เพิ่มขยายตัวขึ้น จนสุดท้ายเราจะตามรอยเท้าพี่ไม่ทันเสียด้วยซ้ำ ข้ารู้ดีว่าตลอดเวลาหลายปีมานี้พี่ทนลำบากมากมายเพื่อพี่หลินเสวีย รู้ดีว่าพี่ต้องทนกดดันมากแค่ไหน แต่เราก็ไม่คิดที่จะเอาแต่มองพี่ทนรับมันไว้คนเดียวอย่างเงียบ ๆ หรอกนะ! เราหวังว่าสักวันหนึ่งตัวเองจะสามารถต่อสู้เคียงข้างพี่ได้ ไม่ใช่เป็นแค่ตัวถ่วงให้พี่ต้องคอยปกป้องอยู่ข้างหลัง” เยวี่ยเมิ่งลี่บอกความรู้สึกที่มีออกมา
และคราวนี้เป็นอิ้งหมัวหู่ที่พูดขึ้นมาตามบ้าง “พี่ใหญ่ ตอนนั้นที่เราเที่ยวอาละวาดไปทั่วดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ตอนนั้นข้ายังตามพี่ใหญ่ทันบ้าง แต่ตอนนี้ข้าทำได้แต่คอยให้กำลังใจพี่ใหญ่จากด้านข้าง พี่ใหญ่รู้ไหมว่าเรื่องนี้มันทรมานมากมายแค่ไหน? ตอนอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เราได้เจอกับเทพนอกรีตบาปสวรรค์พี่ใหญ่ไม่รู้หรอกว่าข้ารู้สึกว่าตัวเองไร้พลังและสิ้นหวังแค่ไหน! ข้าไม่อยากต้องคอยภาวนาให้พี่ใหญ่มาช่วยทุกครั้งที่ได้เจออันตราย! พี่ใหญ่ช่วยเราวันนี้ ช่วยเราวันพรุ่งนี้ แล้ววันต่อ ๆ ไปล่ะ?”
เย่หยวนได้แต่มองดูพวกเขาทั้งหลายโดยที่พยายามจะเปิดปากพูดอะไรสวนกลับไป แต่กลับไม่มีคำพูดใด ๆ หลุดออกจากปากเขามาเลย
ตอนที่ 1609 จงเชื่อมั่นในตัวเอง!
Ink Stone_Fantasy
เย่หยวนนั้นเคยต้องปวดใจเจียนตายตอนที่เสียพ่อไป จากนั้นเขาก็ยังต้องมาพบกับความสูญเสียของมู่หลินเสวียด้วย เพราะฉะนั้นเขาถึงได้ยิ่งให้ความสำคัญกับการปกป้องคนรอบตัวอย่างมาก
เขาไม่คิดที่จะให้คนใกล้ชิดของตัวเองต้องเจอกับอันตรายหรือความยากลำบากแม้แต่น้อย
เพราะฉะนั้นตอนที่เขากลับไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์และได้พบเจอกับเทพนอกรีตบาปสวรรค์เขาถึงได้รับมือกับอีกฝ่ายด้วยวิธีการสุดคลื่นไส้แบบนั้น
หลายต่อหลายปีมานี้เขาได้ปกป้องดูแลผู้คนรอบกายอย่างไม่ได้คิดเลยว่าคนเหล่านั้นจะกำลังคิดและรู้สึกอย่างไรอยู่
ดูเหมือนว่าวิธีการของเขามันจะทำให้เยวี่ยเมิ่งลี่ อิ้งหมัวหู่หรือแม้แต่ลู่เอ๋อต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างอึดอัดใจ
สำหรับเยวี่ยเมิ่งลี่ อิ้งหมัวหู่หรือแม้แต่ลู่เอ๋อนั้นพวกเขาทั้งหลายต่างเป็นคนที่มีศักดิ์ศรีของตัวเองทั้งนั้น
หากไม่เอามาเทียบกับเย่หยวน พวกเขาเองก็เป็นยอดนักยุทธระดับแนวหน้าเหมือนกัน
แม้แต่ในสถานที่ที่เปี่ยมล้นไปด้วยยอดฝีมืออย่างมหาพิภพถงเทียนนี้ พวกเขาเองก็ยังนับได้ว่าเป็นระดับหัวกะทิ
แต่วิธีการที่เย่หยวนใช้มันได้จำกัดพรสวรรค์ของทุก ๆ คนไว้
และดูเหมือนว่าในช่วงเวลาหนึ่งร้อยปีที่เขาหายไปนี้มันจะทำให้ศักดิ์ศรีที่คนเหล่านี้มีได้เผชิญหน้ากับวิกฤต
เย่หยวนถอนหายใจยาวก่อนจะพูดขึ้น “เย่เอ๋อ อิ้งหมัวหู่ ขอโทษทีนะแต่ดูท่าข้าจะไม่ได้สนใจความรู้สึกของพวกเจ้ามากจนเกินไป”
แต่อิ้งหมัวหู่กลับตอบสวนมา “พี่ใหญ่พูดบ้าอะไร! เรื่องที่พี่ใหญ่ทำให้เรา พวกเราต่างเข้าใจมันดีทั้งสิ้น ที่สำคัญพี่ใหญ่เองก็มีปัญญาที่จะทำมันได้ดีด้วย! เพียงแค่ว่าเราเองก็รู้ดีว่าหลายปีมานี้พี่ใหญ่ต้องทนลำบากตรากตรำมากแค่ไหน! เรื่องที่พวกเราอยากแข็งแกร่งนั้นมิใช่เพียงแค่เราไม่อยากเป็นภาระของพี่ใหญ่หรอก แต่เราอยากจะช่วยเป็นกำลังให้พี่ใหญ่ด้วยต่างหาก!”
เยวี่ยเมิ่งลี่จึงกล่าวขึ้นตาม “พี่หยวน ข้า…ข้าแค่อยากช่วยเป็นกำลังให้แทนที่พี่หลินเสวีย”
เย่หยวนพยักหน้าน้อย ๆ ออกมา “ได้ ข้าเข้าใจแล้ว ทุกคนนั้นต่างล้วนมีทางเดินเป็นของตัวเอง เวลาหลายปีที่ผ่านมานี้เป็นข้าเองแหละที่กังวลจนไปปิดกั้นพรสวรรค์ของพวกเจ้า พวกเจ้าจงไปเถอะ แต่…เอาเป็นว่าอีกห้าร้อยปีเท่านั้น! ห้าร้อยปีจากนี้ไม่ว่าพวกเราจะอยู่ที่ไหนกันเราก็จะกลับมาพบกันที่เมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นี้!”
เมื่อทุกคนได้ยินแบบนั้นพวกเขาก็ต่างแสดงสีหน้าท่าทางโล่งใจออกมา เงื่อนไขแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่พวกเขาทั้งหลายคิดจะปฏิเสธอยู่แล้ว
เย่หยวนเองก็เข้าใจในตัวพวกเขาดี หากพวกเขาตั้งใจมาหาตัวเขาขนาดนี้แล้ว มันก็หมายความว่าการตัดสินใจทั้งหมดมันจบลงไปก่อนแล้ว นี่เป็นแค่การมาบอกกล่าวผลการตัดสินใจเท่านั้น
ลี่เอ๋อนั้นแม้จะดูอ่อนโยนต่างจากอิ้งหมัวหู่ แต่ภายในจิตใจของนางจริง ๆ แล้วก็เป็นคนที่เข้มแข็งไม่น้อย
ไม่เช่นนั้นตอนนั้นนางคงไม่คิดลงไปโลกเบื้องล่างจนได้พบกับเย่หยวนหรอก
และในจำนวนคนทั้งหลาย คนที่เย่หยวนเป็นห่วงที่สุดก็คือลู่เอ๋อ
ลู่เอ๋อนั้นเป็นคนที่ใสซื่อบริสุทธิ์ไม่รู้จักความโหดร้ายของโลกที่แท้จริง ในโลกแห่งจอมยุทธที่บิดเบี้ยวแบบนี้นางคงไม่พ้นต้องไปเจอเรื่องแย่ ๆ เข้าสักวันแน่
เพื่อการนั้นเย่หยวนจึงได้มอบกุ้ยหยุนไปให้แก่ลู่เอ๋อเพื่อให้เขาปกป้องดูแลลู่เอ๋อตลอดการเดินทาง
นอกจากนี้เย่หยวนยังได้มอบสมบัติราชันพระเจ้าเลิศล้ำให้กับทุก ๆ คนไปด้วย
ด้วยสมบัติราชันพระเจ้าเลิศล้ำในมือ พวกเขาทั้งหลายจะสามารถต่อสู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้โอกาสรอดชีวิตของทุก ๆ คนเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย
ในวันที่พวกเขาออกเดินทาง เย่หยวนกลับไม่คิดที่จะออกไปส่งแม้แต่น้อย
เพราะต่อให้เขาจะออกไปส่งไกลถึงหมื่นลี้แต่สุดท้ายพวกเขาก็ต้องลาจากอยู่ดี
เรื่องราวต่าง ๆ นั้นไม่สามารถคาดเดาได้เลยในการเดินทางครั้งนี้ ทำให้เย่หยวนไม่กล้ามากพอที่จะเผชิญหน้ากับมัน
เขาเก็บตัวอยู่ในคฤหาสน์เย่ด้วยท่าทางที่แสนเศร้าหมอง
“ผู้อาวุโส ข้ามันยังไม่แข็งแกร่งพอ!” เย่หยวนถอนหายใจยาวพร้อมกล่าวคำบ่นให้หวู่เฉินฟัง
หวู่เฉินเงียบไปพักใหญ่ก่อนจะเปิดปากพูดขึ้น “เจ้าทำได้ดีมากแล้ว! ชีวิตเรามันก็เหมือนดวงจันทรา มีข้างขึ้น มีข้างแรม คนเราเองก็มีความโศกเศร้าและการลาจาก เหล่ายอดฝีมืออาณาจักรเต๋าบรรพกาลนั้นยืนอยู่เหนือโลกหล้า แต่ในชีวิตของพวกเขาเองก็ย่อมมีการจากลา จะมีสักกี่คนที่ทนทานรับมันไว้ได้อย่างง่ายดาย? สุดท้ายยอดฝีมืออาณาจักรพระเจ้าก็หาใช่พระเจ้าที่แท้จริงไม่!”
เย่หยวนยิ้มออกมาอย่างขื่นขม “ข้าเข้าใจเหตุผลทั้งหมดดี แต่เมื่อวันนี้มาถึงสุดท้ายข้าก็ยังทำใจยอมรับมันไม่ลง ข้าต้องรีบแข็งแกร่งขึ้นให้เร็วที่สุด แข็งแกร่งจนไม่ต้องให้พวกลี่เอ๋อมาห่วงอีกต่อไป แข็งแกร่งจนไม่มีใครกล้าต้านทานข้าอีก!”
หวู่เฉินจึงพูดขึ้น “เรื่องนั้นข้าไม่เคยสงสัยอยู่แล้ว!”
…
การจากลาไปของพวกลี่เอ๋อมันยิ่งทำให้เย่หยวนตั้งใจแน่วแน่มากขึ้นกว่าเก่า
จากนั้นมาเขาก็ยิ่งโยนตัวเองเข้าสู่การฝึกฝนบ่มเพาะที่หนักหน่วงกว่าเดิม
หลายวันมานี้เย่หยวนได้เก็บตัวอยู่ในศิลาจารึกบัลลังก์พิภพเพื่อพยายามทำให้บัญญัติเทพแห่งถงเทียนขึ้นสู่ระดับสี่
แต่ความเป็นจริงกลับไม่เป็นดั่งหวัง เพราะแม้เขาจะเก็บตัวอยู่ในศิลาจารึกบัลลังก์พิภพมานานนับสิบปีเขาก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะมองเห็นทางไปต่อเลย
การพัฒนาจากอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าสู่อาณาจักรราชันพระเจ้านั้นเป็นเส้นทางที่ยากเย็นมากสำหรับนักยุทธ
คนอย่างหนิงเทียนปิงนั้นเป็นเพียงแค่คนส่วนน้อยมาก ๆ
หลาย ๆ คนนั้นไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าอะไรที่กำลังปิดขวางทางขึ้นสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าของตัวเอง
และตอนนี้การบ่มเพาะของเย่หยวนก็ได้มาเจอเข้ากับทางตันเป็นครั้งแรก
“ผู้อาวุโส ทำไมข้าถึงได้รู้สึกสับสนเช่นนี้กัน? เหล่าอาณาจักรราชันพระเจ้านั้นจะศึกษาเส้นทางของตนและเปิดโลกภายในของตัวเองขึ้น มีพลังเหนือฟ้าดิน นั่นคือวิธีการที่คนเราจะก้าวเข้าสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าไม่ใช่รึ แต่ทำไมในเวลาสิบกว่าปีที่ข้าศึกษาวิธีนั้นมามันกลับไม่มีทีท่าว่าจะสำเร็จเลยล่ะ? ข้าไปพลาดตรงไหนกัน? หรือว่า…จริง ๆ แล้วข้าจะพลาดมาตั้งแต่ต้น?”
หลังไม่สามารถเดินหน้าได้เป็นเวลานาน เย่หยวนก็เริ่มเกิดความรู้สึกสับสนขึ้นในใจจนสุดท้ายทนไม่ไหวต้องบ่นระบายออกมา
ในเวลาสิบกว่าปีมานี้เย่หยวนได้ลองหาทางมากมายมหาศาลที่เขาถงเทียนเพื่อที่จะเปิดโลกภายในของตัวเองออก
แต่ไม่ว่าจะพยายามไปมากเท่าไหร่ เสี่ยงดวงดูมากแค่ไหน คำตอบเดียวที่เขาได้มาก็คือ เส้นทางนี้ปิดตาย!
ศึกษาเส้นทางของตัวเองในฐานะราชันพระเจ้า เปิดโลกภายใน และปกครองทุกสิ่ง นี่คือเส้นทางที่เหล่ายอดฝีมือในมหาพิภพถงเทียนล้วนเคยผ่านกันทั้งสิ้น
แต่เย่หยวนกลับไม่เข้าใจเลยว่าทำไมจากการที่เขาดูวรยุทธ์การบ่มเพาะสามระดับแรกของตัวเองมา เส้นทางที่อยู่ตรงหน้านี้มันกลับไม่ถูกต้อง
เขาเองก็พยายามที่จะใช้กำลังในการบรรลุมาหลายครั้งเช่นกัน แต่มันกลับล้มเหลวลงอย่างไม่เป็นท่าทุก ๆ ครั้งไป
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยที่เย่หยวนเกิดรู้สึกไม่มั่นใจในเส้นทางที่ตัวเองเลือกเดิน
แน่นอนว่าหวู่เฉินเห็นทุกการกระทำของเย่หยวนอยู่ตลอด
แต่สำหรับตัวเขาเองแล้ว หากให้พูดตรง ๆ เขาเองก็ไม่เข้าใจมันเหมือนกัน หวู่เฉินได้แต่ถอนหายใจออกมา “ตั้งแต่ตอนข้าก็ได้บอกเจ้าไว้แล้วว่าเส้นทางที่เจ้าเลือกนี้มันจะยากเย็นแสนเข็ญ เพราะมันเป็นเส้นทางที่ไม่เคยมีใครเดินบุกเบิกมาก่อน การบ่มเพาะสามระดับแรกของเจ้านั้นมันแข็งแกร่งมากจริง ๆ ชายแก่คนนี้ใช้ชีวิตในดินแดนศักดิ์สิทธิ์และเดินทางไปทั่วมหาพิภพถงเทียนมานับล้านปี แต่ก็ยังไม่เคยพบเจอวรยุทธ์การบ่มเพาะที่แข็งแกร่งขนาดนี้มาก่อน! แต่ตอนนี้การบ่มเพาะของเจ้าได้มาถึงริมแม่น้ำใหญ่แล้ว หากเจ้าข้ามไปได้จากนี้มันก็คงไม่มีอะไรที่ยากเย็นอีก แต่หากเจ้าไม่สามารถข้ามมันไปได้…เจ้าก็คงต้องหยุดใช้วรยุทธ์นี้และไปเริ่มต้นทำการบ่มเพาะเอาใหม่!”
สีหน้าของเย่หยวนเปลี่ยนไปในทันที เพราะนั่นคือผลที่เขาไม่อยากยอมรับมากที่สุด
เขานั้นมั่นใจว่าแม้ตัวเองจะทิ้งบัญญัติเทพแห่งถงเทียนและหันไปเริ่มใช้การบ่มเพาะจอมเทพนิรันดร์อีกครั้งมันก็น่าจะสามารถพาเขาขึ้นสู่จุดที่สูงส่งได้
แต่วิธีการแบบนั้นมันคงทำให้เขาต้องเสียโอกาสในการช่วยมู่หลินเสวียไปในชีวิตนี้
นั่นเป็นเรื่องที่เขาไม่ต้องการมากที่สุด
หากเขาไม่สามารถช่วยมู่หลินเสวียได้ แล้วเขาจะยังต้องทนทุกข์ทรมานไปอีกทำไม?
ต่อให้เขาได้กลายเป็นยอดจักรพรรดิสวรรค์ได้ในอนาคต มีพลังอำนาจเหนือฟ้าทั้งมหาพิภพถงเทียนต้องยอมสยบ แต่มันจะมีประโยชน์อะไร?
หากเจ้าไม่อยู่แล้วข้าจะยังมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่ออะไร?!
ตอนนี้เย่หยวนได้พบเจอกับอุปสรรคชิ้นใหญ่ที่สุดในชีวิตเท่าที่เคยเจอมา
หวู่เฉินหันมามองเย่หยวนและพูดขึ้น “เย่หยวน หากให้พูดตามหลักเหตุผลจริง ๆ ข้าคิดว่าเจ้าควรละทิ้งเส้นทางนี้เสีย! ความไม่แน่นอนของเส้นทางนี้มันมีมากเกินไป!”
เย่หยวนหันกลับไปมองหวู่เฉินอย่างเงียบงัน รอให้อีกฝ่ายพูดขึ้นต่อ
เพราะเขารู้ดีว่าหวู่เฉินไม่ได้อยากจะหมายความแบบนั้นออกมาแน่ ๆ
และไม่นานนักหวู่เฉินก็ยิ้มและพูดขึ้นอย่างอ่อนโยน “ชายแก่คนนี้เป็นวิญญาณประดิษฐ์ที่ใช้ชีวิตมาอย่างยาวนานจนยากจะนับ แต่ก็ยังไม่เคยทำเรื่องบ้า ๆ แบบนี้มาก่อน แต่วันนี้ชายแก่จะขอให้คำแนะนำแก่เจ้าอย่างหนึ่ง จงเชื่อมั่นในตัวเอง!”
ตอนที่ 1610 อัจฉริยะแห่งวิชายุทธและวิชาหลอมโอสถ
Ink Stone_Fantasy
ตัวหวู่เฉินเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเส้นทางนี้มันจะสามารถไปต่อได้หรือไม่ สิ่งเดียวที่เขารู้ตอนนี้คือมันเป็นทางตัน
ความสำเร็จที่เย่หยวนมีในมหาพิภพถงเทียนขณะนี้ หลาย ๆ ด้านมันล้วนแล้วแต่มาจากวรยุทธ์การบ่มเพาะของเขาทั้งสิ้น
เขาเข้าใจดีว่าภายในใจจิตใจของเย่หยวนนั้น การยอมแพ้เสียตอนนี้มันเป็นอะไรที่ไม่มีทางยอมได้
และเมื่อเป็นแบบนั้น คำแนะนำเดียวที่เขาให้ได้ก็คือการวิ่งชนมันไปจนกว่าจะตาย
แต่ให้ต้องล้มลุกคลุกคลานแค่ไหน มันก็ยังดีกว่ายอมแพ้และมาเสียใจภายหลัง
ความสับสนใจดวงตาของเย่หยวนหายไปในทันที แทนที่มาด้วยความแน่วแน่
เขาเริ่มทำสมาธิและกลับไปยังเขาแห่งถงเทียนอีกครั้งเพื่อพยายามทำความเข้าใจในเส้นทางอีกครา
แต่สุดท้ายโชคก็ไม่เข้าข้างเขา ในพริบตาเดียวเวลาอีกสิบปีก็ได้ผ่านพ้นไป แต่เขาก็ยังไม่เห็นหนทางในการพัฒนาการบ่มเพาะขึ้นสู่ระดับสี่เสียที
“ดูเหมือนว่าการเอาแต่เก็บตัวมันจะไม่ช่วยอะไรอีกแล้ว ข้าคงต้องออกไปเดินดูโลกบ้าง เผื่อว่ามันจะจุดประกายช่วยให้ข้าบรรลุอะไรได้” เย่หยวนถอนหายใจออกมา
“อืม ออกไปเดินเล่นด้านนอกก็ดี การอนุมานนี้ของเจ้าเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อมาก แต่ปล่อยไว้แบบนี้ต่อไปมันคงไม่เป็นประโยชน์ต่อการฝึกวรยุทธ์นัก” หวู่เฉินบอก
เย่หยวนพยักหน้ารับ “มันช่างเป็นเรื่องที่ยุ่งยากเสียจริง ๆ หากอาณาจักรต่อไปมิใช่อาณาจักรราชันพระเจ้าแล้วมันจะเป็นอะไร? เส้นทางนี้มันจะใช้งานได้จริง ๆ เหรอ?”
เวลายี่สิบปีมานี้เย่หยวนไม่รู้เลยว่าตัวเองได้อนุมานถึงเส้นทางบรรลุไปมากแค่ไหน แต่ผลที่ออกมามันกลับตรงกันข้ามกับระบบวรยุทธ์บ่มเพาะที่เติบโต
ก่อนหน้านี้เย่หยวนไม่เคยคิดเลยว่าบัญญัติเทพแห่งถงเทียนจะมาถึงขั้นนี้ได้
แต่สุดท้ายมันก็มาเจอทางตันเข้า
ตอนนี้ระบบวรยุทธ์การบ่มเพาะของมหาพิภพถงเทียนนั้นมันเติบโตจนไม่สามารถเติบโตไปได้มากกว่านี้แล้ว
หลังจากผ่านอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าไปก็จะเปิดโลกภายในตนเพื่อพัฒนาพลังแห่งโลกให้ตัวเองได้ใช้ กลายเป็นพลังที่เหนือล้ำจนยากหาสิ่งใดเปรียบ
แต่ไม่ว่าเย่หยวนจะพยายามคาดเดาและอนุมานไปมากแค่ไหนมันก็ไม่สามารถผ่านอาณาจักรนี้ไปได้
หวู่เฉินยิ้มออกมา “เวลามันจะช่วยทุกอย่างเอง! ตอนนี้ออกไปดูโลกภายนอกเถอะ บางทีสักวันเจ้าอาจจะได้เห็นเรื่องราวตรงหน้าอย่างกระจ่างชัดขึ้นมาก็ได้”
เย่หยวนพยักหน้าและออกจากการเก็บตัวอย่างไม่ลังเลอีก
ตอนที่เย่หยวนออกมาจากการเก็บตัว เขาก็ได้พบว่าหนิงเทียนปิงรีบมุ่งหน้ามาหาเขาทันที
“ผู้อาวุโสเย่ ในที่สุดท่านก็ออกมาจากการเก็บตัว! ตอนนี้เมืองจักรพรรดิกำลังแย่แล้ว!” หนิงเทียนปิงพูดอย่างร้อนรน
เย่หยวนนั้นแสดงสีหน้าตกใจขึ้นมา “ทำไมกัน? หรือเจ้าจะบอกว่าตอนนี้มีใครกำลังเข้าโจมตีเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์จนพินาศ?”
เพราะแม้เวลาด้านในศิลาจารึกบัลลังก์พิภพจะผ่านไปแล้วกว่ายี่สิบปี แต่เวลาด้านนอกมันก็เพิ่งจะผ่านไปได้แค่สองปีกว่า ๆ เท่านั้น
มันไม่ใช่เวลาที่ยาวนานเลย จึงไม่น่าจะเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนั้นขึ้นได้
หนิงเทียนปิงจึงพูดขึ้น “ไม่พินาศแต่ก็ใกล้มากแล้ว! ตอนนี้เมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ของเราแพ้อย่างราบคาบ!”
จากนั้นหนิงเทียนปิงก็อธิบายเรื่องราวให้เย่หยวนฟังจนได้เข้าใจในที่สุดว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ดูเหมือนว่าไม่นานมานี้ทางผู้อาวุโสใหญ่ของเมืองจักรพรรดิธารนิรันดร์จะได้พาศิษย์หลายคนมายังเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ บอกว่ามาเพื่อพูดคุยเรื่องสำคัญ
เดิมทีมันก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่โตอะไร แต่ภายในกลุ่มที่ติดตามมาด้วยมียอดศิษย์อัจฉริยะนามกู่ฮั่น เมื่อพวกเขาทั้งหลายมาถึงเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ เขาก็มุ่งหน้าไปท้าทายศิษย์ของหอโอสถและหอยุทธ์ไปทั่วในทันที
และกู่ฮั่นคนนี้ก็เป็นยอดคนอัจฉริยะที่รอบหมื่นปีจะมีสักคน
ในเวลาเดือนที่ผ่านมา เขาท้าดวลกับยอดศิษย์ของทั้งหอโอสถและหอยุทธ์ไปทั่ว โดยไม่แพ้เลยแม้สักครั้ง
กู่ฮั่นผู้นี้เป็นเพียงยอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้าครึ่งก้าว แต่ในคนที่มีพลังรุ่นเดียวกันกลับไม่มีใครสามารถจัดการเขาลงได้เลย
ที่น่าเกรงขามที่สุดก็คือกู่ฮั่นนั้นเก่งกาจทั้งด้านวิชาโอสถและวิชายุทธ ไม่เพียงแต่มีความสามารถด้านยุทธที่ล้นเหลือแต่เขายังเชิดหน้าใส่เหล่านักหลอมโอสถได้อย่างง่ายดายด้วย
หนิงซืออวี๋นั้นทนไม่ไหวจนไปท้ากู่ฮั่นดวลฝีมือ สุดท้ายแม้แต่นางเองก็ยังแพ้พ่าย
หลังจากหนิงซืออวี๋บรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้าได้นางก็ได้กลายเป็นจอมเทพโอสถสี่ดาวไป และกลายเป็นอันดับหนึ่งในบรรดาศิษย์จอมเทพโอสถสามดาวไปแล้ว
แต่แม้แต่นางก็ยังพ่ายให้กับกู่ฮั่นคนนี้ แล้วเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์จะยังเอาหน้าไปไว้ที่ไหนได้?
ที่สำคัญกู่ฮั่นคือคนนี้สามารถท้าทายยอดฝีมือของหอโอสถและหอยุทธ์ได้ทั้งหมด
ทำให้หนิงเทียนปิงถึงขั้นบอกว่าตอนนี้เมืองจักรพรรดิใกล้พินาศเต็มที
เล่าจบหนิงเทียนปิงก็พูดเสริม “ข้าเสียดายจริง ๆ ที่ตัวเองดันบรรลุชั้นมาก่อน ไม่เช่นนั้นข้าคงได้ไปสั่งสอนเด็กน้อยคนนี้ด้วยตัวเองแล้ว! ผู้อาวุโสเย่ ท่านคงไม่เข้าใจว่าเจ้าเด็กคนนั้นมันเหลือขอแค่ไหน!”
เมื่อเย่หยวนได้ยินหนิงเทียนปิงเล่ามาทั้งหมด ได้รู้ว่าแม้แต่หนิงซืออวี๋ยังต้องพ่ายแพ้ลงเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกใจ
เพราะตอนนี้หนิงซืออวี๋นั้นมีความเข้าใจในศาสตร์แห่งโอสถในระดับที่ประทับใจเขามาก
มันก็ไม่ถึงขั้นที่ว่านางแข็งแกร่งที่สุดในเหล่าจอมเทพโอสถสามดาว แต่ในหมู่จอมเทพโอสถสาวดาวคงมีแค่ไม่กี่คนที่จะชนะนางลงได้
เพราะแม้แต่ซ่งฉีหยางก็ยังแพ้พ่ายให้แก่นาง
แม้ว่าคนระดับซ่งฉีหยางจะเอามาเทียบเคียงกับเย่หยวนไม่ได้ แต่เขาเองก็เก่งกาจอย่างไม่ต้องสงสัย
และที่น่ากลัวที่สุดก็คือเด็กคนที่ว่านี้แข็งแกร่งทั้งด้านยุทธและด้านโอสถ ไม่ใช่แค่วิชาโอสถที่เหนือล้ำ แต่วิชายุทธเองก็เก่งกาจเหนือทุกผู้คน ถึงขนาดชนะศิษย์อาณาจักรบรรพชนพระเจ้าอันดับหนึ่งของเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ได้
ได้ยินแบบนั้นเย่หยวนก็เกิดสงสัยขึ้นทันที “ตอนนี้เขาสามารถชนะเหล่าคนรุ่นใหม่ของเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ได้หมดแล้ว มันก็น่าจะจบแล้วไม่ใช่รึ? ยังมีอะไรให้ต้องรีบร้อนอีก?”
หนิงเทียนปิงตอบมาด้วยสีหน้าไม่สู้ดี “มันจะจบง่าย ๆ แบบนั้นได้อย่างไรกัน? ตอนนี้เจ้าเด็กคนนั้นมันกำลังท้าประลองกับซ่งฉีหยาง! ในวิชายุทธเขาไม่สามารถก้าวข้ามระดับได้ง่าย ๆ แต่ในวิชาโอสถเขากลับคิดที่จะล้มจอมเทพโอสถสี่ดาวลง!”
ตอนนี้เวลาได้ผ่านไปกว่าหนึ่งร้อยปีแล้ว ด้วยความสามารถระดับซ่งฉีหยาง มันไม่แปลกเลยที่จะสามารถบรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้าได้
และในตอนนี้เขาก็ได้ขึ้นเป็นผู้พิทักษ์ชั้นล่างของหอโอสถแล้ว เป็นจอมเทพโอสถสี่ดาว
ด้วยฝีมือระดับนี้ เขาจึงถูกยกย่องให้เป็นยอดคนในหมู่จอมเทพโอสถสี่ดาว
และการเอาชนะคนแบบนี้ลงมันก็เท่ากับการทุบหน้าจอมเทพโอสถสี่ดาวทั้งหลายไปด้วย
เย่หยวนหัวเราะออกมาหลังได้ยินแบบนั้น “เด็กคนนี้มันน่าสนใจ!”
แน่นอนว่าวิชาหลอมโอสถนั้นมันแตกต่างจากวิชายุทธมาก
ในวิชายุทธแล้ว อาณาจักรบรรพชนพระเจ้าไม่มีทางสู้อาณาจักรราชันพระเจ้าได้อย่างเด็ดขาด
แต่วิชาหลอมโอสถมันต่างกัน แม้จะเป็นจอมเทพโอสถสี่ดาวมันก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะหลอมโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสามได้ทุกตัว
และต่อให้หลอมได้ คุณภาพที่ได้มันก็ไม่แน่นอน
หนิงเทียนปิงจึงถามขึ้นอย่างสงสัย “เช่นนั้นรึ? ตอนนี้เหล่านักยุทธทั้งเมืองต่างพูดถึงเรื่องของหอโอสถและหอยุทธอย่างไม่ขาดปาก ปล่อยไว้แบบนี้เราคงได้เสียหน้าจนต้องมุดแผ่นดินหนีเป็นแน่”
เย่หยวนเดินเข้าไปตบบ่าและกล่าวขึ้น “พาข้าไปดูที”
…
ในลานหอโอสถ ซ่งฉีหยางกำลังเหงื่อไหลท่วมหน้าพร้อมด่าว่ากู่ฮั่นไปจนถึงโคตรเหง้า
เด็กคนนี้มันช่างร้ายกาจเสียจริง ถึงกับเลือกโอสถที่ยากเย็นระดับนี้ขึ้นมาได้
ตอนนี้สิ่งที่พวกเขากำลังหลอมอยู่เป็นโอสถที่ยากเย็นและสามารถผิดพลาดลงได้ง่าย ๆ ทุกเวลา
หลังจากขึ้นมาเป็นจอมเทพโอสถสี่ดาวแล้ว คนผู้นั้นก็ย่อมต้องเข้าใจวิชาการหลอมโอสถมากกว่าเก่า
เพราะฉะนั้นการที่เลือกโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสามมาแบบนี้มันจึงน่าจะเป็นความได้เปรียบ
แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นมันก็ยังยากเย็น
เพราะโอสถที่พวกเขากำลังหลอมนั้นมีนามว่าโอสถดวงใจเมฆาอมตะ เป็นหนึ่งในโอสถที่หลอมยากที่สุดในหมู่โอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสาม
ความยากง่ายของการหลอมโอสถนั้นเป็นเรื่องที่วัดได้ยาก เพราะโอสถแต่ละตัวก็มีความยากง่ายที่ต่างกันไป
แต่หากต้องจัดออกมาจริง ๆ นับเป็นเก้าระดับ โอสถศิลาวายุสวรรค์หรือโอสถวิญญาณอัสนีสวรรค์สีชาดก็น่าจะอยู่ในระดับห้าส่วนโอสถดวงใจเมฆาอมตะนี้จะจัดอยู่ในระดับหก
ส่วนโอสถสุริยันจักรวาลนั้นเป็นอะไรที่อยู่ในระดับเก้า!
หลังจากซ่งฉีหยางบรรลุมาเป็นจอมเทพโอสถสี่ดาวได้แล้ว เขาจึงพอจะเริ่มหลอมโอสถระดับความยากหกได้บ้าง
เพราะฉะนั้นการหลอมของเขาในตอนนี้จึงเป็นเรื่องที่ยากเย็นมาก
ตอนที่ 1611 ชำระแค้นด้วยบุญคุณ
Ink Stone_Fantasy
หลังจากตั้งใจหลอมอย่างยากลำบากในที่สุดเขาก็สามารถหลอมโอสถดวงใจเมฆาอมตะได้สำเร็จ
นั่นทำให้เขาต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ พร้อมยกมือขึ้นปานเหงื่อที่ไหลท่วมพร้อมบ่นในใจว่า “เหนื่อยแท้!”
แม้ว่าจะมีระดับแค่ไหนแต่ความยากในการหลอมของโอสถดวงใจเมฆาอมตะนั้นมันก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่ขั้นต่ำเลย
แต่ตอนนั้นเองที่จู่ ๆ ก็มีเสียงหนึ่งหัวเราะเยาะเย้ยเขาดังขึ้น
“ดูเจ้าสิ แค่หลอมโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสามทำไมถึงต้องทำท่าทางเหนื่อยอ่อนปานนั้นด้วย? ข้าชักเริ่มสงสัยแล้วสิว่าเจ้าเป็นจอมเทพโอสถสี่ดาวจริง ๆ ใช่ไหม? ได้ยินเขาว่ากันว่าเจ้าเคยเป็นถึงจอมเทพโอสถสามดาวอันดับหนึ่ง แต่ถ้าได้แค่นี้มันก็ไม่เท่าไหร่ล่ะนะ!” กู่ฮั่นเย้ยหยันเขาออกมาอย่างไม่คิดจะไว้หน้าใด ๆ
เพราะฝั่งกู่ฮั่นนั้นหลอมโอสถเสร็จไปนานแล้ว และได้มานั่งมองดูซ่งฉีหยางหลอมต่ออย่างสบายใจ
ซ่งฉีหยางนั้นโกรธจนหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานก่อนจะตะโกนขึ้นอย่างเดือดดาล “เด็กเวร เจ้าอย่าได้ทำตัวอวดดีให้มากนัก! เอาโอสถของเจ้าออกมาให้ทุกผู้คนได้ดูเถอะว่ามันจะเทียบเคียงกับของที่ข้าหลอมได้จริงไหม!”
กู่ฮั่นจึงยักไหล่ตอบ “ดูก็ดูสิ คิดว่าข้ากลัวเรอะ?! หลังข้าจัดการหลอมมันเสร็จแล้วข้าก็ได้มาดูเจ้าหลอมต่อ และข้าขอบอกเลยว่าข้ามั่นใจสุด ๆ ว่าจะชนะมือใหม่อย่างเจ้าได้ง่าย ๆ”
พูดจบทางกู่ฮั่นก็เปิดเตาหลอมออก
เมื่อทุกคนเห็นโอสถของกู่ฮั่นสายตาของพวกเขาก็ปรากฏความสิ้นหวังขึ้นทันที
“ทำไมกัน? เจ้าเด็กคนนี้มันสามารถหลอมโอสถดวงใจเมฆาอมตะขั้นสูงได้จริง ๆ”
“จะห่างชั้นกันเกินไปแล้ว! ด้วยสภาพซ่งฉีหยางระหว่างหลอมเขาคงทำได้ดีสุดแค่ขั้นกลาง หรืออาจจะต่ำ”
“เฮ้อ หรือเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์เราจะไม่มีใครสามารถจัดการเจ้าเด็กคนนี้ลงได้แล้ว?”
…
ผู้คนเหล่านี้ต่างถอนหายใจออกมาอย่างไม่หยุดพัก หลายวันมานี้พวกเขาพ่ายแพ้ให้แก่กู่ฮั่นอย่างราบคาบ
แต่ก็ไม่มีใครคิดถึงเย่หยวนขึ้นมาเลย ด้วยตำแหน่งของเย่หยวนในตอนนี้มันทำให้เขาหลุดจากกลุ่มคนรุ่นใหม่ไปนานแล้ว
เย่หยวนนั้นเป็นผู้อาวุโสหอโอสถ เป็นตัวตนที่มีสถานะสูงส่ง มีหรือจะมาร่วมกับการแข่งขันประลองเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้?
แต่หากไม่ใช่เย่หยวนแล้วใครจะสามารถจัดการอัจฉริยะอย่างกู่ฮั่นลงได้อีกกัน
เขาคนนี้ได้ทำให้เมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์เสียหน้าไปอย่างกู่ไม่กลับแล้ว
สีหน้าของซ่งฉีหยางในตอนนี้มันเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เพราะตัวคนทำย่อมรู้ตัวเองดี ซ่งฉีหยางรู้ดีว่าโอสถที่เขาหลอมขึ้นมันมีคุณภาพแค่ขั้นต่ำ
โอสถที่เขาทนหลอมขึ้นมาอย่างยากเย็นนี้
กู่ฮั่นหันมามองอย่างเยาะเย้ยและถามขึ้น “มีอะไรอีก? ทำไมยังไม่เปิดเตาของตัวเอง? หรือเจ้าจะยอมรับแล้วว่าตัวเองแพ้? ช่างเถอะ ตามที่เราได้ตกลงกันไว้ ผู้แพ้ต้องก้มคารวะผู้ชนะสามครั้ง พร้อมพูดว่า ‘ข้าน้อยเป็นแค่มือใหม่ขอคารวะนายท่านกู่ฮั่น’ แล้วถือว่าจบเรื่องกัน”
ใบหน้าของซ่งฉีหยางแดงขึ้นมาอีกครา เขาเอาแต่ยืนนิ่งไม่รู้ต้องทำยังไง
ส่วนที่มุมหนึ่งของตัวอาคาร ผู้อาวุโสใหญ่แห่งเมืองจักรพรรดิธารนิรันดร์ก็พูดออกมาด้วยสีหน้าเสียดาย “พี่หรงซู ดูท่าเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ของท่านจะไม่มีผู้สืบทอดเสียแล้วกระมัง! ข้าได้ยินว่านี่คือศิษย์เอกของท่านรึ? เขาทำได้แค่นี้จริง ๆ น่ะรึ?”
ใบหน้าของหรงซูหมองหม่นลงพร้อมพูดเข้าเรื่องทันที “หลิงจี้คุน เจ้าก็แค่บังเอิญโชคดีไปได้ศิษย์เก่งกาจมา จะภูมิใจอะไรนักหนา?”
หลิงจี้คุนจึงยิ้มตอบไป “พี่หรงซูอย่าได้โกรธเกี้ยวไป แค่เด็กมันประลองกันเล็ก ๆ น้อย ๆ ทำไมต้องเดือดดาลขนาดนั้นด้วย? ดูอย่างตอนที่ศิษย์หญิงของซวนอี้แพ้ไปวันนั้นสิ ทางนั้นเขายังใจเย็นกว่าพี่เยอะเลย!”
หรงซูจึงหัวเราะเยาะออกมา “หลิงจี้คุนเจ้ามาที่เมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์เพื่ออวดอ้างตัวรีว่ามีเรื่องสำคัญจะคุยจริง ๆ ? หากไม่มีก็กลับเมื่องของเจ้าไปเสียเถอะ!”
หลิงจี้คุนยิ้มตอบ “ดูสิว่าท่านพูดอะไรออกมา ชายแก่คนนี้ย่อมมาที่นี่เพราะมีธุระสำคัญแน่อยู่แล้ว แต่มันไม่ได้เป็นเรื่องด่วน ข้าจึงมาอยู่ได้นานเท่าที่ต้องการ และระหว่างนั้น… ก็ให้เด็ก ๆ มันได้ประลองกันไปเพื่อทำความรู้จักมักคุ้นกันไว้!”
“เฮอะ!” หรงซูได้แต่พ่นล่มออกมาเยาะเย้ยคำแก้ตัวหน้าด้าน ๆ นี้และเงียบปากลง
ในมุมหนึ่งของฝูงชนที่มามุงดู เย่หยวนหันไปถามหนิงเทียนปิงที่ด้านข้างอย่างแผ่วเบา “คนอื่น ๆ ก็โดนเช่นนี้รึ?”
หนิงเทียนปิงจึงตอบกลับมาอย่างไม่พอใจนัก “ไม่เช่นนั้นมันจะกล้า? ไอ้เด็กเหลือขอคนนี้มันโอหังเกินไป และที่ผ่าน ๆ มาก็ไม่มีใครทำอะไรมันได้มันถึงได้ใจมาจนทุกวันนี้”
นั่นก็หมายความว่าหนิงซืออวี๋เองก็ต้องก้มหัวให้กู่ฮั่นเช่นกัน
เย่หยวนนั้นไม่ได้มีอารมณ์โกรธเคืองใด ๆ เรื่องแค่นี้มันเล็กน้อยเหมือนการทะเลาะกันของเด็ก ๆ สำหรับตัวเขา
สายตาของเขานั้นกว้างไกลกว่าเด็กน้อยอย่างกู่ฮั่นมาก การกระทำเช่นนี้เขาเองก็เข้าใจได้
แต่ปัญหาคือหนิงซืออวี๋ก็นับว่าเป็นศิษย์ของเขาด้วยครึ่งหนึ่ง การต้องมาแพ้จนเสียหน้าแบบนั้นมันก็ทำให้เย่หยวนเสียหน้าไปด้วย
“ทำไม? หรือศิษย์พี่ซ่งที่ผู้อาวุโสใหญ่รักนักรักหนาคนนั้นจะไม่สามารถทนความพ่ายแพ้และไม่ทำตามข้อตกลง?” กู่ฮั่นยิ้มด้วยรอยยิ้มที่ชั่วร้าย
ตอนนี้ใบหน้าของซ่งฉีหยางนั้นแดงเดือด การที่เขา จอมเทพโอสถสี่ดาวต้องมาก้มหัวให้จอมเทพโอสถสามดาวเช่นนี้ แถมยังต้องเรียกอีกฝ่ายว่านายท่านอีก มันยากเสียยิ่งกว่าให้กลืนแมลงเป็น ๆ ทั้งตัว
แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนมากขนาดนี้ การกลับคำพูดของตัวเองมันก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้เข้าไปใหญ่ เพราะนี่คือสายตาของคนในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ทั้งเมือง
“ให้ตายสิ โลกนี้มันเป็นอะไรกัน? ทำไมถึงได้มีตัวประหลาดมากมายขนาดนี้?”
ซ่งฉีหยางได้แต่บ่นด่าในใจ เมื่อตัดสินใจได้เขาตอนที่เขากำลังจะก้มหัวลง กลับมีมือขึ้นมาจับคอเสื้อของเขาไว้จากด้านหลัง
เมื่อหันไปมองว่าเป็นใครเขาก็ต้องเปิดอ้าปากค้าง
เมื่อคนรอบ ๆ ได้เห็นชายหนุ่มคนนี้ พวกเขาทั้งหลายต่างเกิดอาการตื่นเต้นดีใจขึ้นจนหลายคนเกือบตะโกนออกมา
แต่เป็นเย่หยวนที่ยกมือขึ้นมาห้ามไว้ก่อน ส่งสัญญาณว่าอย่าได้เรียกชื่อเขาตอนนี้
คนเหล่านั้นต่างเข้าใจได้ในทันทีและเงียบปากลง
แต่ความตื่นเต้นที่ปรากฏออกมาบนใบหน้านั้นมันก็ไม่สามารถที่จะปกปิดได้
กู่ฮั่นที่เห็นท่าทางของคนรอบ ๆ แบบนั้นจึงเกิดสงสัยขึ้นมา
ใครกัน? ทำไมคนรอบ ๆ ถึงได้ทำสีหน้าแบบนั้นออกมา?
เหมือนว่าตั้งแต่วินาทีที่เด็กคนนี้ปรากฏตัว ทุกคนต่างก็ตื่นเต้นดีใจอย่างท่วมท้น
แต่เด็กคนนี้เป็นเพียงแค่นักยุทธอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าขั้นสุด
ในด้านพลังบ่มเพาะนั้นเขาดูจะต่ำกว่าตัวกู่ฮั่นเสียด้วยซ้ำ!
จะบอกว่าเด็กพรรค์นี้คิดจะล้มเขาหรือ?
ฝันไปเถอะ!
เขาไม่เห็นหรือว่าแม้แต่จอมเทพโอสถสี่ดาวตรงหน้านี้ยังต้องพ่ายแพ้?
“เย่…”
วินาทีที่ซ่งฉีหยางกำลังจะพูด เขาก็ถูกเย่หยวนพูดขึ้นขัด “เอาล่ะ ๆ ปล่อยให้ข้าจัดการเอง เจ้าไปนั่งดูเถอะ”
เมื่อเย่หยวนพูดแบบนั้นออกมา ซ่งฉีหยางก็รู้สึกเหมือนได้รับยาวิเศษจนต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
เขาไม่เคยคิดเลยว่าเย่หยวนจะออกมาช่วยเขาไว้ในเวลานี้
เพราะอดีตของเขาและเย่หยวนนั้นมันไม่ดีนัก!
หากซ่งฉีหยางเป็นเย่หยวน เขาคงไม่ออกมา ปล่อยให้เย่หยวนเสียหน้าและค่อยขึ้นมาจัดการเจ้าเด็กคนนี้เอาทีหลัง
คิดได้แบบนั้นซ่งฉีหยางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกประทับใจขึ้นมา
เขาได้รู้แล้วเมื่อเทียบกับเย่หยวนแล้วเขามันเป็นได้เพียงแค่คนใจแคบคนหนึ่งเท่านั้น!
เย่หยวนคนนี้ชำระแค้นด้วยบุญคุณ ช่วยให้เขาสามารถรอดออกจากสถานการณ์ในตอนนี้ได้ มันเรียกได้ว่าเป็นการช่วยรักษาหน้าเขาไว้อย่างถึงที่สุด
นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ซ่งฉีหยางรู้สึกเสียใจกับการหาเรื่องเย่หยวนที่ผ่านมา
“หยุดเลย! ศิษย์พี่ซ่ง นี่เจ้าคิดจะกลับคำอย่างนั้นรึ? หากคิดทำแบบนั้นข้าล่ะอยากรู้จริง ๆ ว่าผู้อาวุโสใหญ่หรงซูจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?” กู่ฮั่นไม่คิดสนใจเย่หยวนแม้แต่น้อยและหันไปว่าซ่งฉีหยางแทน
ซ่งฉีหยางหยุดเท้าลงทันที แน่นอนว่าเขาไม่กล้าเดินต่อไปหลังได้ยินแบบนั้น
แต่เย่หยวนกลับยกมือขึ้นไล่เขาไปนั่งพร้อมหันมาบอกกู่ฮั่น “เขาไม่ได้กลับคำ สัญญาที่ตกลงกันไว้ข้าจะเป็นคนรับช่วงต่อเอง”
กู่ฮั่นจึงหันมามองเย่หยวนอย่างหัวจรดเท้าและหัวเราะขึ้น “เจ้า? จอมเทพโอสถสามดาวอย่างเจ้าจะมาช่วยรับคำแทนจอมเทพโอสถสี่ดาว? อย่างเจ้าจะมีปัญญาทำอะไร!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น