Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1600-1607

 ตอนที่ 1600 ช่วงเวลาสั้นๆ

Ink Stone_Fantasy

เย่หยวนเก็บดาบจักรพรรดิล้ฟ้าในมือลง และเดินสำรวจรอบข้างเล็กน้อย ก่อนพบว่าทุกมุมของสถานที่แห่งนี้ล้วนมีความเสถียรค่อนข้างสูง แตกต่างจากห้วงมิติแห่งความโกลาหลก่อนหน้าโดยสิ้นเชิง


“สถานที่แห่งนี้เป็นจุดศูนย์กลางของห้วงมิติสืบทอด ทั้งยังเป็นสถานที่ปลอดภัยที่สุดอีกด้วย แต่เมื่อมาถึงที่นี่ก็หมายความได้ว่า เจ้าจะไม่มีวันออกไปได้อีก เว้นเสียแต่ เจ้าสามารถเข้าใจแนวคิดแห่งห้วงมิติทั้งสองระดับแรกได้โดยสมบูรณ์”


ดูคล้ายว่าเย่หยวนจักตระหนักได้ถึงบางสิ่งอย่างที่เมื่อชายคนนั้นปริปากอธิบายกล่าว


เย่หยวนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเช่นกัน เขาทราบดีว่าสิ่งที่ชายชุดดำกล่าวไปมิได้โกหก พื้นที่มิติบริเวณปลอดภัยมากจริงๆ แตกต่างจากภายนอกที่ดูวุ่นวาย


เย่หยวนประสานมือกล่าวว่า


“สงสัยเสียงจริง ท่านมีนามขานว่าอย่างไร? แล้วติดอยู่ที่นี่มากี่ปีแล้ว?”


คู่คิ้วของชายชุดดำขมวดเข้ม กล่าวตอบน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า


“สามหาว! ไฉนรุ่นเยาว์ถึงกล่าววาจาเช่นนี้กับข้า! หากมิใช่เพราะพลังวิญญาณของสถานที่แห่งนี้เบาบาง ข้าคงกลายมาเป็นผู้อาวุโสแห่งหอยุทธไปแล้วตอนนี้!”


ในมุมมองของชายชุดดำ ตามลำดับความอาวุโส เย่หยวนควรเคารพตนในฐานที่มีอายุมากกว่า


แต่ใครจะรู้ว่าเด็กคนนี้คิดเพิกเฉยกลับเรียกเขาแค่ว่า‘ท่าน’


แม้ว่าเขาจะถูกขังอยู่ที่นี่ แต่ความภาคภูมิของเขายังคงอยู่ภายในใจไม่เสื่อมคลาย


ที่เขายังมีชีวิตรอดจวบจนปัจจุบัน นี่เป็นที่บ่งชี้ชัดแจ้งแล้วว่า เขาคืออัจฉริยะที่น่าเกรงยามอย่างยิ่งในยุคนั้น


เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า


“ผู้อาวุโสงั้นรึ? เช่นนั้นเอ่ยสนทนาอย่างเท่าเทียมนับว่าไม่มีปัญหาอะไร”


“ฮ่าๆๆๆ!”


เมื่อชายชุดดำได้ยินแบบนั้นก็ระเบิดเสียงหัวเราะแหบแห้งดังลั่น และกล่าวว่า


“เจ้าหนูน้อย เจ้าคิดว่าข้าติดอยู่ในนี้นานเกินไปจนสติฟั่นเฟือนแล้วกระมัง? ผมยังไม่ขึ้นเต็มที่ด้วยซ้ำ เท่าเทียมงั้นรึ? ช่างเป็นเรื่องน่าขันนัก!”


หากไม่เห็นแก่ว่า เย่หยวนเป็นชนรุ่นหลังของหอยุทธ์ ทั้งยังเป็นคนแรกที่เข้ามาในสถานที่แห่งนี้ได้ในรอบหลายปี ปานนี้เขาคงตบเย่หยวนตายคามือนานแล้ว


เจ้าหนูคนนี้กล้าปั่นหัวเขาเล่นจริงๆ!


แต่ทันทีทันใด สายตาคู่นั้นของเขาพลันเบิกโพลงขึ้นด้วยความตกใจสุดขีด พร้อมจับจ้องไปที่มือของเย่หยวนแลดูจริงจังขนานหนัก


ในมือของเย่หยวนมีป้ายตราผู้อาวุโสอยู่!


ป้ายตราผู้อาวุโสจริงๆ!


รูม่านตาดับของชายชุดดำบีบแคบโดยพลัน เผยท่าทีสุดเหลือเชื่อขณะกล่าวลั่นอุทานว่า


“เจ้า…ไฉนเข้าถึงมีป้ายตราผู้อาวุโสแห่งหอโอสถ? จอมเทพโอสถสามดาวรึจะกลายมาเป็นผู้อาวุโสได้?! ไม่! เดี๋ยวก่อน! นี่ต้องเป็นของปลอมแน่นอน!”


เย่หยวนที่ได้ยินเช่นนั้นพลันคลี่ยิ้มออกมา และโยนป้ายตราให้อีกฝ่ายโดยตรง


อีกฝ่ายรับเข้ามือพร้อมตรวจสอบทันทีโดยละเอียด ก่อนจะเผยสีหน้าประหลาดใจหนักกว่าเก่า


ป้ายตราชิ้นนี้มิใช่ของปลอม!


“เย่หยวน! ผู้อาวุโสแห่งหอโอสถ! เจ้า…เจ้าทำได้อย่างไร?”


ชายชุดดำจับจ้องไปที่เย่หยวนพร้อมเอ่ยถามด้วยความตกใจยิ่ง


เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า


“การจะขึ้นมาเป็นผู้อาวุโสแห่งหอโอสถ ย่อมต้องผ่านเกณฑ์การหลอมกลั่นเป็นธรรมดา ซึ่งคุณสมบัติของข้าก็ครบถ้วนเพียงพอ มันก็แค่นั้น หากท่านสามารถออกจากที่นี่ไปได้ ท่านจะทราบโดยธรรมชาติเองว่าเกิดอะไรขึ้น”


สายตาการจับจ้องของชายชุดดำเผยแววเศร้าโศกออกมาทันที เอ่ยปากกล่าวขึ้นอย่างปวดร้าวใจว่า


“ออกไป? มาถึงที่นี่แล้วเจ้ายังจะกล้าออกไปด้านนอกนั้นอีก? ข้าเล้งหยูถูกขังอยู่ที่นี่มาเป็นเวลาหนึ่งแสนสามหมื่นปีแล้ว จวบจนตอนนี้ก็ยังหาทางออกไม่เจอ! แม้เจ้าจะเป็นถึงผู้อาวุโสหอโอสถ แต่เจ้าก็ไม่มีทางออกไปจากที่นี่ได้เช่นกัน!”


เย่หยวนกล่าวเสียงเย็นตอบว่า


“หนึ่งแสนสามหมื่นปี? ข้าไม่มีเวลามากขนาดนั้น! ข้าจักต้องออกไปให้ได้!”


เล้งหยูตะคอกเสียงแข็งกร้าวตอกว่า


“ประเมินความสามารถตนเองสูงส่งเกินไป! ทุกคนที่เข้ามาในห้วงมิติสืบทอดเพื่อศึกษาแนวคิดแห่งห้วงมิติ ยามนี้…ล้วนตายกันไปหมดแล้ว! มีเพียงข้าเท่านั้นที่ยังรอดชีวิตอยู่ได้จวบจนวันนี้! ในอดีต เราชายชราเองก็เป็นเหมือนเจ้า คิดว่าพรสวรรค์ของข้าเหนือชั้นกว่าใครๆ แต่สุดท้ายก็บรรลุได้แค่ชั้นสวรรค์ระดับหนึ่งขั้นปลายเท่านั้น! แม้พรสวรรค์ของเจ้าจะน่าประทับใจกว่าเราชายชรา แต่แสนกว่าปีที่ข้าเรียนรู้ คิดหรือว่าจะตามทันเราได้เร็วปานนั้น?”


เย่หยวนหยิบป้ายตราผู้อาวุโสเก็บเข้าที่และยิ้มกล่าวว่า


“ไม่ลองแล้วจะรู้ได้อย่างไร?”


ทันทีทันใด เล้งหยูก็ดูสงบลงเล็กน้อยและกล่าวเสียงเย็นขึ้นว่า


“ย้อนกลับไปในตอนที่เราชายชราเพิ่งมาถึงที่นี่ เราเองก็เหมือนกับเจ้าในตอนนี้ไม่มีผิด จิตใจลุกโชนใฝ่เรียนรู้ แต่สุดท้ายกลับถูกความสิ้นหวังกลืนกินไม่เหลือ! ไม่เชื่อลองดูก็ได้!”


เย่หยวนยิ้มแต่มิได้เอ่ยตอบอันใด จากนั้นเขาก็เริ่มนั่งขัดสมาธิทันที


สามปีที่ผ่านมานี้ ความเข้าใจของเย่หยวนต่อแนวคิดแห่งห้วงมิติผ่านเต๋าดาบได้บรรลุไปอีกขั้นแล้ว


เขาจำต้องหาที่สงบเพื่อนั่งสมาธิไตร่ตรองต่อผลกำไรในระยะสามปีนี้ให้ถี่ถ้วนและลึกซึ้ง


เย่หยวนค่อยๆเข้าสู่ห้วงสมาธิ


สำหรับเล้งหยู่ที่อยู่ข้างๆ มีหวู่เฉินค่อยเฝ้าระวังอยู่อบบนั้น เย่หยวนหาได้กังวลไม่


หากเล้งหยูโจมตีขึ้นมา หวู่เฉินจะเข้าควบคุมโถงบัลลังก์ม่วง ดึงเย่หยวนเข้าไปข้างในทันที


เล้งหยูยังคงจับจ้องเย่หยวนที่กำลังนั่งสมาธิไม่คลายอ่อน สายตาคู่นั้นเปี่ยมล้นไปด้วยความรังเกียจ


เล้งหยูหัวเราะเยาะคำโต กล่าวเย้ยขึ้นว่า


“คำเตือนของเราชายชราไม่เข้าหูเจ้าเลยรึไง! พยายามวิ่งชนกำแพงจนสะบักสะบอม ยามนั้นเจ้าจะเข้าใจความสิ้นหวังแบบเดียวกับที่เราชายชราคนนี้รู้สึก!”



เวลาผ่านไป เย่หยวนยังคงนั่งสมาธิอยู่แบบนั้นมานานกว่าครึ่งปีแล้ว


ในวันนี้จู่ๆพลันเกิดแรงกระเพื่อมขึ้นกลางห้วงมิติ


ทันทีทันใด เล้งหยูเลืมตาตื่นขึ้น จับจ้องไปที่เย่หยวนด้วยความประหลาดใจยิ่งยวด


“เจ้าเด็กนี่ทะลวงขึ้นสู่ชั้นสวรรค์ระดับหนึ่งขั้นกลางแล้ว? เร็วปานนี้เชียว? ปรากฏว่าเขาเข้าใจแนวคิดแห่งห้วงมิติขั้นต้นตั้งแต่แรกแล้ว! ไม่น่าแปลกใจที่ไฉนถึงฝ่ามาถึงที่นี่ได้! ดูท่าความสามารถของเจ้าเด็กนี่จะไม่ธรรมดาจริงๆ!”


ปฏิกิริยาของเล้งหยูอ่อนไหวต่อแนวคิดแห่งห้วงมิติอย่างมาก เย่หยวนที่สามารถแรงสั่นกระเพื่อมกลางห้วงมิติได้ขนาดนี้ อีกฝ่ายจักต้องบรรลุชั้นสวรรค์ระดับหนึ่งขั้นกลางแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย


ตลอดสามปีและนั่งทบทวนอีกครึ่งปีเต็ม ในที่สุดเย่หยวนก็ทะลวงปัญหาคอขวดผ่านไปได้


ในเวลานี้เอง เย่หยวนค่อยๆลุกขึ้นพร้อมหยิบดาบจักรพรรดิล้ำฟ้าออกมา และกระโดดจนเข้าสู่ห้วงแห่งความโกลาหลอีกครั้ง


เล้งหยูจับจ้องภาพฉากนี้ด้วยความมึนงงสุดขีด จับจ้องเงาหลังเย่หยวนที่หายไป ยามนี้อดฉงนใจมิได้เลย


“เจ้าเด็กนั้นจะออกไปทรมานตัวเล่นที่ห้วงมิติด้านนอกเพื่ออันใด?”


เย่หยวนจากไปเป็นเวลานานหลายปี


เมื่อเขากลับมาอีกครั้ง ทั่วร่างกายของเย่หยวนเต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์เหวอะหวะ เห็นได้ชัดว่าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสจากห้วงมิติด้านนอกมา


โชคยังดีที่เย่หยวนพกโอสถติดตัวมาจำนวนไม่น้อย หลังจากที่กินโอสถฟื้นฟูลงไป เขาก็กลับไปนั่งสมาธิอย่างเงียบงันอีกครั้ง


หลังจากที่ทบทวนผลกำไรที่ได้มาในช่วงหลายปี เขาก็ถือดาบกระโจนออกไปยังห้วงมิติด้านนอกอีกครั้ง และกลับมาพร้อมบาดแผลฉกรรจ์ ทำแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเหล่า


เล้งหยูยังคงจับจ้องภาพฉากนี้โดยมิได้ปริปากแสดงความคิดเห็นใดๆ


ในมุมมองของเขา ที่เย่หยวนบรรลุได้ก่อนหน้าล้วนเกิดการความบังเอิญเท่านั้น


แต่อย่างไร ยิ่งแนวคิดแห่งห้วงมิติลึกซึ้งขึ้นเท่าไหร่ เวลาที่ใช้ย่อมเพิ่มขึ้นเป็นหลายสิบทวี


อาจมากถึงสิบถึงสองหมื่นปี หรืออย่างเลวร้ายที่สุดคือใช้เวลาทั้งชั่วชีวิตที่เหลือก็ไม่สามารถบรรลุได้อีกต่อไป!


หากแนวคิดแห่งห้วงมิติบรรลุกันได้ง่ายปานนั้น เล้งหยูคงไม่ต้องติดอยู่ที่นี่มากว่าหนึ่งแสนสามหมื่นปี



“เจ้าเคยได้ยินหรือไม่? ผู้อาวุโสเย่สิ้นใจอยู่ในห้วงมิติสืบทอดแล้ว!”


“ข่าวใหญ่ขนาดนี้เป็นไปได้ไหมที่ข้าไม่เคยได้ยิน?”


“ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก ยอดอัจฉริยะเฉกเช่นเขา ไฉนถึงต้องหาเรื่องตายเช่นนี้ด้วย!”


“ไม่มีใครเคยออกมาจากห้วงมิติสืบทอดได้ เขาคิดว่าตนเองเป็นใครถึงตัดสินใจทำเรื่องบ้าบิ่นเช่นนี้?”



เป็นเวลากว่าสามปีแล้วที่เย่หยวนเข้าไปในห้วงมิติสืบทอด ในที่สุดจุดแสงของเขาก็หายไป


สิ่งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เย่หยวนได้ตายลงไปแล้วในห้วงมิติสืบทอด


เมื่อข่าวนี้แพร่กระจายออกมาจากหอยุทธ์ ก็ต่างทำให้เขตเมืองชั้นในทั้งหมดต้องสั่นสะเทือน!


ยอดอัจฉริยะที่เคยสว่างไสวดุจแสงสุริยันในช่วงเวลาสั้นๆ ยามนี้กลับอับแสงไปตลอดกาลเสียแล้วในห้วงมิติสืบทอด


บางคนรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งยังมีเห็นใจและทั้งหัวเราะเยาะ


แต่ยามนี้ไม่มีใครสงสัยอีกต่อไปแล้วว่า เย่หยวนจะออกมาจากที่นั่นได้หรือไม่?


“ฮึก ฮึก…ข้าไม่เชื่อ! ข้าไม่เชื่อ!! ผู้อาวุโสเย่จะต้องออกมาจากที่นั่นได้แน่นอน! เขาไม่มีทางตายอยู่ในนั้น!”


หนิงซื่ออวี๋ทิ้งตัวซบลงบนไล่ของผู้อาวุโสรอง นางร้องไห้คร่ำครวญไม่หยุดหย่อน


ตอนที่ 1601 ความมั่นใจที่เปี่ยมล้น

Ink Stone_Fantasy

เมื่อได้เห็นภาพหนิงซืออวี๋อันเศร้าสร้อยตรงหน้า ทางซวนอี้ก็ไม่รู้จะต้องปลอบยังไง


เขาถอนหายใจยาวออกมา “นี่คือทางที่ตัวเขาเลือกเอง ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้ เฮ้อ… ก่อนจากไปเขาก็สั่งให้ข้าดูแลคนใกล้ชิดของเขาให้ดีเสียด้วย คงมีแค่เรื่องนี้จริง ๆ ที่ข้าพอจะทำเพื่อเขาได้”


เพราะการเข้าไปยังห้วงมิติสืบทอดนี้ทางเย่หยวนไม่ได้พาพวกลี่เอ๋อเข้าไปด้วย


เพราะยังไงเสียการเดินทางครั้งนี้ของเขามันก็เป็นอะไรที่แสนจะอันตราย หากเขาติดอยู่ภายในห้วงโกลาหลนั้นต่อให้เย่หยวนจะมีผลึกปราณเทวะมากมายเพียงใดมันก็คงไม่พอต่อการเดินทางครั้งนี้


และเมื่อไม่มีผลึกปราณเทวะมาเป็นพลังงาน โถงบัลลังก์ม่วงเองก็เป็นได้แค่เศษเหล็ก


เป็นตอนนั้นเองที่จู่ ๆ ลู่ยี่ก็เข้ามาหาก่อนเขาจะก้มหัวลงเคารพซวนอี้และพูดขึ้นอย่างรีบร้อน “ท่านอาจารย์ ผู้อาวุโสใหญ่เรียกท่านไปเข้าประชุมผู้อาวุโส”


ซวนอี้หน้าเสียทันทีก่อนจะหัวเราะเยาะขึ้นมา “เร็วกันเสียจริง! รอกันไม่เป็นเลยรึยังไง?”


ลู่ยี่เองก็มีสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก “ท่านอาจารย์ แม้เราจะไม่ได้รู้จักผู้อาวุโสเย่มานานมากนัก แต่เขาก็ได้ดูแลช่วยเหลือเรามาอย่างดี พวกเรา…”


ซวนอี้จึงตอบกลับไปอย่างเย็นชา “เจ้าโง่ หรือว่าจริง ๆ แล้วในใจเจ้าคิดว่าอาจารย์ของเจ้าคนนี้เป็นคนไม่รู้จักคุณคนอย่างนั้นรึ?”


ลู่ยี่จึงได้แต่ยิ้มออกมาด้วยสีหน้าท่าทางแสนละอาย ก่อนที่ซวนอี้จะลุกขึ้นและเดินทางไปยังหอผู้อาวุโส



หรงซูหันมองหน้าซวนอี้ด้วยหางตาก่อนจะพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มอันมืดมน “แม้ชายแก่คนนี้จะไม่ค่อยลงรอยกับผู้อาวุโสเย่ แต่ข้าเองก็ยังเคารพในพลังฝีมือของเขา! เดิมทีผู้อาวุโสเย่คงได้กลายมาเป็นเสาหลักแห่งเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ของเรา น่าเสียดายที่เขาต้องจบชีวิตลงในห้วงมิติสืบทอด ชายแก่คนนี้เศร้าเสียใจยิ่งนัก!”


หรงซูทำท่าทางบีบน้ำตา คงไม่มีใครเชื่อหากจะบอกว่าการประชุมผู้อาวุโสครั้งนี้มันเกิดขึ้นเพื่อมาร่วมกันไว้อาลัยแก่เย่หยวน


และแน่นอนว่าไม่นานนักสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปและหันมาพูดกับซวนอี้ “ผู้อาวุโสที่สอง เรื่องในครั้งนี้เจ้าเป็นคนที่มีส่วนรับผิดชอบโดยตรง! เจ้านั้นเป็นผู้ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้อาวุโสเย่มากที่สุด เจ้าเองก็น่าจะรู้ดีว่าห้วงมิติสืบทอดมันเป็นสถานที่ที่อันตรายเพียงใด เหตุใดถึงไม่คิดที่จะห้ามเขากัน?”


เรื่องนี้จริง ๆ ซวนอี้เองก็รู้สึกผิดกับมันอยู่เต็มหัวใจ


เขาถอนหายใจยาวก่อนจะพยักหน้ารับ “ที่ผู้อาวุโสใหญ่พูดมามันก็ถูก เรื่องในครั้งนี้ข้านั้นมีส่วนรับผิดชอบอย่างมากจริง ๆ หากตอนนั้นข้าห้ามเขาอย่างดึงดันมากกว่านี้บางทีผู้อาวุโสเย่ก็อาจจะไม่ได้เข้าไปในนั้น”


หรงซูจึงพยักหน้าและพูดอย่างเย็นชาออกมา “มาคิดได้ตอนนี้มันจะช่วยอะไร? เมื่อเจ้าไม่คิดจะปฏิเสธเช่นนั้นข้าขอสั่งริบทรัพยากรฝึกฝนของเจ้าเป็นเวลาสิบปี มีอะไรจะค้านไหม?”


ใบหน้าของซวนอี้กระตุกขึ้นทันทีที่ได้ยิน แต่เขาก็ไม่ตอบอะไรกลับไปและเดินออกมาจากที่ประชุมทันที


ผู้อาวุโสใหญ่มองดูแผ่นหลังที่ค่อย ๆ จากไปของซวนอี้พร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก



ในวันเดียวกันนี้เองทางหลินตงเองก็ได้พาคนมากมายมายังคฤหาสน์เย่


วันนี้เขามาเพื่อไล่พวกลี่เอ๋อออกไป


ตอนนี้เย่หยวนได้ตายลงไปแล้ว เพราะฉะนั้นผู้อาวุโสใหญ่จึงคิดที่จะไล่ล้างสิ่งต่าง ๆ ที่เย่หยวนเหลือทิ้งไว้ให้หมด


“พ่อบ้านหลง เจอกันอีกแล้วนะ” หลินตงมองดูหลงซานด้วยรอยยิ้มที่ไม่เหมือนเป็นการยิ้มสักเท่าไหร่


หลงซานจึงหัวเราะตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าดูท่ามีความสุขเสียจริงนะ เฮอะ!”


หลินตงรักษารอยยิ้มเดิมไว้และตอบกลับไป “จะไม่ให้ข้ามีความสุขได้อย่างไรกัน? ไม่นานมานี้เจ้ายังเอาแต่ว่ากล่าวสั่งสอนข้า แต่ดูสภาพเจ้าตอนนี้สิ ไม่มีแม้แต่ที่จะซุกหัวนอนอีกต่อไป ดูท่าสิ่งที่ข้าเลือกมันจะไม่ผิดจริง ๆ”


หลงซานสะอึกขึ้นมาทันทีที่ได้ยิน แต่ฝั่งอิ้งหมัวหู่ที่อยู่ข้าง ๆ กลับไม่สามารถทนได้และพูดแทรกขึ้นมา “หลินตง ขอข้าบอกเข้าเลยนะ พี่ข้าไม่มีทางตายแน่! เมื่อเขากลับมาพวกเจ้าเตรียมตัวกันไว้ให้ดีเถอะ!”


หลินตงหัวเราะออกมาเสียงดังทันทีที่ได้ยินแบบนั้น “ฮ่าฮ่า ดูสีหน้าเจ้าสิ ดูท่าเจ้าจะไม่เชื่อจริง ๆ สินะว่าเย่หยวนได้ตายลงแล้ว! พวกเจ้ามันช่างมีความมั่นใจที่เปี่ยมล้นเสียจริง ๆ ห้วงมิติสืบทอดแห่งหอยุทธ์นั้นเป็นสถานที่ไม่เคยมีใครเข้าไปแล้วรอดกลับออกมาได้! แล้วเจ้ายังจะเชื่อว่าเย่หยวนจะกลับมาได้อีก? ช่างน่าขันเสียจริง ๆ ให้ตายสิ!”


ลี่เอ๋อหันไปมองหน้าหลินตงอย่างเย็นชา “แค่คนอื่นไม่มีปัญญากลับออกมา ไม่ได้หมายความว่าพี่เย่จะออกมาไม่ได้เสียหน่อย! หากเจ้าไม่เชื่อเราก็มารอดูกัน!”


หลินตงได้แต่คิดในใจว่าคนกลุ่มนี้มันช่างหัวแข็งไม่ยอมรับความเป็นจริง วันนี้ทีแรกเขาคิดจะมาไล่พวกเขาออกไปอย่างสุภาพ ใครจะไปคิดกันล่ะว่าคนพวกนี้มันจะหัวแข็งไม่ยอมเชื่อว่าเย่หยวนได้ตายลงไปแล้ว


สีหน้าของเขาเริ่มแสดงความไม่พอใจก่อนจะพูดขึ้น “พวกเจ้าทั้งหลาย อย่าคิดว่าแค่มีผู้อาวุโสที่สองคุ้มกะลาหัวแล้วจะทำตัวกร่างยังไงก็ได้เหมือนเมื่อก่อนนะ! ข้าขอบอกเลยว่าหากไม่มีเย่หยวนพวกเจ้ามันก็เป็นแต่ได้มดปลวก! ไม่นานศพของพวกเจ้าจะต้องตายอยู่ข้างถนน! รีบ ๆ ไส้หัวออกไปได้แล้ว!”


อิ้งหมัวหู่ยังคิดจะที่ต่อปากต่อคำต่อ แต่ลี่เอ๋อกลับเป็นคนที่ห้ามไว้และพูดออกมาอย่างเรียบ ๆ “ไปกันเถอะ!”



“เด็กน้อย เจ้าอย่าได้ทำอะไรเปลืองตัวอีกเลย! ถ้าเจ้ายังคิดทำแบบนี้สักวันเจ้าจะได้ตายไปจริง ๆ นะ” เล่งหยูหันมามองเย่หยวนที่ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลพร้อมพูดเตือนอย่างเย็นชา


เขาเองก็ไม่ได้อยากจะอยู่ในนี้นัก แต่ว่าห้วงโกลาหลที่ด้านนอกมันอันตรายจนเกินไป


พลาดพลั้งแค่ครั้งเดียวมันก็มากพอจะส่งเขาลงนรกไปได้


ในช่วงเวลาหลายปีมานี้เขาเฝ้ามองดูเย่หยวนในห้วงโกลาหลซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงตายจนเจ็บหนักกลับมาทุกครั้ง เพราะฉะนั้นในใจของเล่งหยูจึงมักจะคอยด่าเย่หยวนว่าเป็นพวกบ้าอยู่เสมอ ๆ


ความเหงาที่ต้องอยู่เดียวดายกว่าหนึ่งแสนสามหมื่นปีมันทำให้เล่งหยูต้องการใครสักคนคุยด้วยอย่างมาก


และหากคน ๆ นั้นที่เขาได้เจอต้องตายลงเสียก่อน เล่งหยูคงได้ร้องไห้ออกมาเป็นสายเลือดแน่ ๆ


แต่เย่หยวนกลับหัวเราะและตอบกลับมา “ข้ามาที่นี่เพื่อจะฝึกฝนทำความเข้าใจแนวคิดแห่งห้วงมิติ หากไม่เข้าไปในห้วงโกลาหลแล้วจะให้ข้าทำอย่างไร? ให้นอนรอความตายอยู่ในนี้อย่างนั้นรึ?”


“เฮอะ ตอนที่ข้าเข้ามาใหม่ ๆ ข้าก็คิดแบบนั้นแหละ วิ่งเข้าวิ่งออกห้วงโกลาหลทุกวี่วัน คิดว่าตัวเองจะฝึกฝนทำความเข้าใจแนวคิดแห่งห้วงมิติได้ แต่เวลาที่ผ่านไปนับพันปีมันทำให้ข้ายิ่งเข้าใจแนวคิดแห่งห้วงมิติน้อยลง ๆ กลับกันบาดแผลที่ข้าได้มันกลับหนักหนาขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงวันหนึ่งที่ข้าแทบเอาชีวิตรอดกลับมาไม่ได้ ข้าจึงเลิกคิดที่จะเข้าไปยังห้วงโกลาหล” เล่งหยูเล่า


เล่งหยูนั้นหวาดกลัว ตอนนั้นเขาบาดเจ็บหนักมากจนเกือบตายในห้วงโกลาหล


และหลังจากกลับมาถึงหลุมมิตินี้ เขาก็ต้องใช้เวลาในการพักฟื้นรักษาตัวกว่าสิบปี


ตั้งแต่นั้นมาเขาก็ไม่กล้าที่จะเข้าไปยังห้วงโกลาหลอีกต่อไป


ห้วงโกลาหลที่เย่หยวนได้เคยสัมผัสนั้นมันยังเป็นแค่ส่วนเล็ก ๆ ส่วนหนึ่งของห้วงมิติสืบทอดทั้งหมด พลังของมันนั้นไม่ได้นับว่าแข็งแกร่งอะไรมากมายนัก


แต่หลุมมิติห้วงโกลาหลนี้ต่างออกไป หากมันเกิดพังลงมา พลังที่มันมีคงเรียกได้ว่าเกิดจินตนาการ


แค่ผิดพลาดไปก้าวเดียวชีวิตและการฝึกฝนทั้งหมดคงกลายเป็นศูนย์ในทันที


เย่หยวนยิ้มและตอบ “หากข้าเป็นเจ้าข้าคงเข้าไปอีก!”


พูดจบเย่หยวนก็ไม่สนใจเล่งหยูอีกต่อไป เขาเริ่มการทำสมาธิทันที


เล่งหยูนั้นไม่ได้รู้เลยว่าในช่วงเวลาไม่กี่ปีมานี้ความเข้าใจในแนวคิดแห่งห้วงมิติของเย่หยวนนั้นเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย การที่เขานั่งสมาธิในหลุมมิติแห่งนี้ก็เพื่อทำการไตร่ตรองถึงจุดบกพร่องต่าง ๆ เท่านั้น


และตราบใดที่เย่หยวนยังไม่บรรลุระดับ เล่งหยูก็ไม่มีทางรู้ถึงเรื่องนี้ได้เลย


การศึกษาแนวคิดแห่งห้วงมิติด้วยแนวคิดแห่งดาบนั้นมันนับว่าเป็นทางลัดจริง ๆ


แม้ว่าตอนนี้ระดับความยากของมันจะเพิ่มขึ้นมากเป็นร้อยเท่า หรืออาจจะเป็นพันเท่า แต่เย่หยวนนั้นก็สามารถพัฒนาตัวเองได้อย่างไม่มีหยุดเช่นกัน


เย่หยวนพูดออกมา และเขาก็ทำมันได้จริง ๆ


หลาย ๆ ครั้งเย่หยวนจะกลับออกมาจากห้วงโกลาหลในสภาพใกล้ตาย


ทำให้เล่งหยูได้แต่ด่าและท้าทายเขาอยู่ไม่ไกล แต่หลังจากเย่หยวนรักษาอาการบาดเจ็บของตัวเองได้แล้วเขาก็จะมุ่งหน้ากลับเข้าไปในห้วงโกลาหลอีกครั้งอย่างไม่ลังเล


สีหน้าของเล่งหยูในตอนนั้นมันเป็นอะไรที่ยากเกินจะอธิบาย


นอกเสียจากการด่าว่าเย่หยวนอย่างไม่มีหยุดแล้วเล่งหยูก็ไม่รู้จริง ๆ ว่าเขาจะพูดคุยอะไรกับคนบ้าแบบนี้ได้อีก


วันเวลาได้ผ่านไปเช่นนี้ จากวันต่อวัน สู่ปีต่อปี ความเข้าใจในแนวคิดแห่งห้วงมิติของเย่หยวนเองก็เพิ่มมากขึ้นในทุกวัน


ตอนที่ 1602 100 ปีแห่งการตรัสรู้

Ink Stone_Fantasy

เวลาแห่งความหนุ่มสาวได้ผ่านพ้นไปถึงสิบปีอย่างรวดเร็ว


ในวันนี้จู่ ๆ ก็เกิดคลื่นมิติขึ้นในหลุมมิติ


สิ่งนั้นทำให้ร่างของเล่งหยูต้องสั่นสะท้านในทันที เขาเบิกตากว้างและหันไปมองหน้าเย่หยวน


“บ้าน่า! ในเวลาแค่สิบปีเจ้ากลับสามารถเข้าใจแนวคิดแห่งห้วงมิติหนึ่งดาวระดับปลายได้แล้ว?”


เล่งหยูนั้นแทบจะไม่เชื่อสัมผัสของตัวเองจนคิดว่าตัวเขาเข้าใจผิดไปเอง เพราะตอนนี้ตัวของเล่งหยูเองก็ยังอยู่ในแนวคิดแห่งห้วงมิติสวรรค์หนึ่งดาวระดับปลายเช่นกัน!


ตอนนั้นเขาใช้เวลากว่าหมื่นปีในการพัฒนามันให้ขึ้นมาถึงขั้นนี้ และเขาเองก็พอใจกับมันอย่างมากด้วย


เพราะคนที่เข้ามาในห้วงมิติสืบทอดและรอดชีวิตอยู่ได้จนทุกวันนี้มันก็มีแค่เขาเท่านั้น


แต่ทว่าเด็กน้อยที่ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมตรงหน้าเขานี้กลับสามารถไล่ตามเขาจนทัน!


เล่งหยูนั้นเกิดหวั่นไหวขึ้นในจิตใจ


เวลาหลายปีมานี้เขาได้ด่าว่าเย่หยวนอย่างไม่หยุดหย่อน


แต่ที่เขาทำลงไปไม่ใช่เพราะว่ามีแผนการใด ๆ แต่เป็นเพราะว่าเขาเห็นว่าเย่หยวนจะเอาชีวิตไปทิ้งต่างหาก


เขารู้สึกได้ว่าทำแบบนี้ต่อไปสักวันเย่หยวนต้องมาเสียใจภายหลัง


แต่ตอนนี้เขากลับได้รู้ตัวแล้วว่าตัวเขามันช่างอวดดีเสียเหลือเกิน


เด็กหนุ่มคนนี้สามารถขึ้นจากระดับกลางสู่ระดับปลายได้ด้วยเวลาแค่สิบกว่าปี!


แค่นี่มันก็แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างที่ราวฟ้ากับเหวแล้ว


นี่มันเรียกอะไร?


นี่มันตรงกับคำที่ว่า ไม่เข้าถ้ำเสือไม่ได้ลูกเสือ!


ในที่สุดเย่หยวนก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา ดวงตานั้นมีความตื่นเต้นปะปนอยู่ไม่น้อย


เพราะแนวคิดแห่งห้วงมิตินั้นมันแตกต่างจากแนวคิดใด ๆ ที่เขาเคยศึกษามาก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง ความยากของมันนั้นสูงกว่าลิบลับ!


มหาพิภพถงเทียนนี้มันมีโครงสร้างมิติที่แตกต่างจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างสิ้นเชิง


มิติอวกาศนั้นคือต้นกำเนิดแห่งสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วน มันเป็นกฎพื้นฐานที่สุดของโลกนี้


หากไม่มีมิติอวกาศ มันก็จะไม่มีแนวคิดแห่งดาบ ไม่มีแนวคิดแห่งไฟ ไม่มีแนวคิดแห่งลม ไม่มีแนวคิดไหนที่จะเกิดขึ้นมาได้เลย


และยิ่งเขาทำความเข้าใจมันไปเรื่อย ๆ เย่หยวนก็ยิ่งเข้าใจในความยิ่งใหญ่และอลังการของมัน


“เจ้า…เจ้าบรรลุแล้ว?” แม้ตัวเขาจะรู้คำตอบดีอยู่แก่ใจ แต่เล่งหยูก็อดไม่ได้ที่จะถามออกไป


เย่หยวนยิ้มและตอบกลับมา “เวลาหลายปีที่เหน็ดเหนื่อยนี้ไม่ได้ไร้ค่า! แต่สิ่งที่ท่านว่ามามันก็ถูก ความยากของแนวคิดแห่งห้วงมิตินั้นมันหนือล้ำกว่าที่ข้าจะจินตนาการได้! คงไม่สามารถสำเร็จมันได้ด้วยเวลาสั้น ๆ แน่”


เย่หยวนนั้นไม่ได้กลัวความอันตรายของห้วงโกลาหลเลย เขาแค่พูดออกมาว่ามันคงไม่สำเร็จในระยะเวลาสั้น ๆ ตอนนี้สิ่งเดียวที่เย่หยวนจะห่วงก็คงเป็นพวกลี่เอ๋อ


แต่เย่หยวนก็วางใจไปได้เปลาะหนึ่งเพราะมีซวนอี้คอยดูอยู่ข้างนอก คน ๆ นี้เป็นผู้มีจิตใจดี ทั้งอาจารย์และศิษย์ต่างได้รับความช่วยเหลือของเขาไปไม่มากก็น้อย เพราะฉะนั้นพวกเขาทั้งสองน่าจะคอยดูแลลี่เอ๋ออย่างดีเป็นแน่


เล่งหยูนั้นได้แต่กลืนน้ำลายอึกใหญ่ เขารู้สึกคอแห้งผากก่อนจะถามออกมา “นี่มันคือแนวคิดแห่งห้วงมิติ ไม่ว่าคน ๆ นั้นจะมีพรสวรรค์ที่เหนือฟ้าเพียงใดแต่ข้าก็ไม่เคยได้ยินเลยว่าจะมีใครบรรลุได้ในเวลาอันแสนสั้นเช่นนี้! เจ้าทำได้ยังไงกัน?”


เย่หยวนยิ้มและตอบ “จริง ๆ แล้วข้าเองก็บังเอิญเข้าใจแนวคิดแห่งห้วงมิติได้ ตอนที่ข้าฝึกฝนทำความเข้าใจแนวคิดแห่งดาบข้าก็บังเอิญอนุมานความเข้าใจของแนวคิดแห่งห้วงมิติได้ด้วย”


เล่งหยูเบิกตากว้างด้วยความตกใจ “หมายความว่า…เวลาที่เจ้าเข้าไปในห้วงโกลาหลเจ้าเข้าไปทำความเข้าใจแนวคิดแห่งห้วงมิติด้วยวิชาดาบเช่นนั้นรึ?”


เย่หยวนพยักหน้ายอมรับเรื่องนั้นออกมากลาย ๆ


เล่งหยูไม่เคยได้ยินเลยว่าจะมีใครสามารถทำความเข้าใจแนวคิดแห่งห้วงมิติได้ด้วยวิธีการเช่นนี้


การอนุมานความเข้าใจนั้นเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาเองก็รู้ แต่การอนุมานความเข้าใจแนวคิดอื่นจากแนวคิดที่ตัวเองฝึกนั้น มันล้วนจะเป็นการเข้าใจแนวคิดที่อยู่ต่ำกว่าทั้งสิ้น


นี่เป็นครั้งแรกของเขาเลยที่เขาได้ยินว่ามีคนใช้แนวคิดที่ต่ำกว่าเพื่ออนุมานความเข้าใจแนวคิดที่อยู่ระดับสูงกว่า!


แม้ว่าแนวคิดแห่งดาบนั้นมันจะยิ่งใหญ่ไม่น้อย แต่หากเอามาเทียบกับแนวคิดแห่งห้วงมิติมันก็ยังห่างชั้นกันมากโข


เย่หยวนเดินเข้ามากุมมือของเล่งหยูไว้ก่อนจะพูดขึ้น “พี่เล่ง ข้าขอตัวกลับเข้าไปก่อนล่ะ หากวันหนึ่งข้าสามารถบรรลุได้จริง ๆ ข้าจะพาท่านออกไปด้วย!”


พูดจบเย่หยวนก็มุ่งหน้าเข้าสู้ห้วงโกลาหลพร้อมดาบจักรพรรดิล้ำฟ้าในมือ ทิ้งเล่งหยูอ้าปากค้างไว้ด้านหลัง


จู่ ๆ เล่งหยูก็รู้สึกว่าร่างทั้งร่างของเขากำลังสั่นเทา


เมื่อกี้เย่หยวนว่ายังไงนะ?


ข้า…ออกไปได้?


เล่งหยูผู้นี้ยังสามารถที่จะออกไปสู่โลกภายนอกได้!


ในเวลานับแสนปีนี้เล่งหยูได้ทิ้งความหวังที่จะออกไปด้านนอกแล้ว


เขาคิดว่าตัวเองคงได้ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในนี้ไปจนค่อย ๆ แก่เฒ่าตาย


แต่จู่ ๆ วันหนึ่งก็มีเด็กหนุ่มเดินมาบอกเขาว่า “ข้าจะพาท่านออกไป!”


ความรู้สึกที่เขามีในตอนนี้ใครจะสามารถเข้าใจได้?


หากเย่หยวนบอกแบบนี้ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาเล่งหยูก็คงหัวเราะเยาะเย้ยเด็กในความโอหังหนุ่มออกไปแน่ ๆ


เพราะจริง ๆ เขาก็ได้ทำแบบนั้นออกไปแล้ว


แต่ตอนนี้เล่งหยูกลับแห่งแสงแห่งความหวัง!


หากเขาสามารถพัฒนาไปได้ในระดับนี้จริง ๆ บางทีเย่หยวนอาจจะสามารถเข้าใจแนวคิดแห่งห้วงมิติได้จริง ๆ ก็ได้


ตอนนี้เล่งหยูได้รู้แล้วว่าตัวเขา ตัวเขาที่เคยเชื่อว่าตัวเองเป็นอัจฉริยะนั้นด้อยกว่าเย่หยวนมากเพียงใด


ไม่ใช่แค่ความสามารถในการเข้าใจ แม้แต่จิตใจแห่งวิชายุทธของเขาทั้งสองก็แตกต่าง!


เล่งหยูรู้สึกว่าการฝึกฝนนั้นน่าเบื่อไร้รสชาติ


หลังพัฒนาตัวเองไปได้หนึ่งระดับ คนเราก็จะรู้สึกว่าตัวเองทำอะไรสำเร็จและเริ่มเกิดความเกียจคร้านขึ้นมาในใจ


แต่เย่หยวนนั้นไม่เคยคิดที่จะหยุดและก้าวกลับเข้าไปฝึกฝนต่อไปในทันที


ที่สำคัญแม้แย่หยวนจะผ่านช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายในห้วงโกลาหลไปมากมายเพียงใด แต่หลังจากรักษาตัวหายเขาก็กล้าที่จะเข้าไปท้าทายมันใหม่อย่างไม่ลังเล


แต่ตัวเล่งหยูเองล่ะ?


เขานั้นกลัว!


เขากลัวคำว่าตายอย่างถึงที่สุด!


แต่เย่หยวนนั้นไม่ได้ถอยกลับแม้แต่ก้าว เขาสามารถเอาชนะความกลัวในหัวใจได้อย่างเด็ดขาด



เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนในที่สุดเวลาอีกยี่สิบปีก็ได้ผ่านพ้นไป


ในห้วงโกลาหลนี้ ภาพร่างของเย่หยวนนั้นเป็นเหมือนเงาลวง บิดพลิ้วไหวไปอย่างไม่มีหลักแหล่ง


แต่จู่ ๆ เขาก็หยุดเท่าลงในจุดหนึ่งของมิติอวกาศด้วยคิ้วที่ขมวดจนชนกันแน่


“ข้าได้ฝึกฝนแนวคิดแห่งห้วงมิติหนึ่งดาวมานานมากแล้ว แต่กลับไม่สามารถบรรลุขึ้นสองดาวได้เสียที ข้าตามหาจุดที่จะนำไปสู่การบรรลุมานาน การบรรลุสู่ระดับสองดาวนี้มันต้องทำยังไงกันนะ?” เย่หยวนบ่นกับตัวเอง


ห้วงมิติสืบทอดนั้นมีสิ่งที่สืบทอดต่อกันมาเพียงแค่ไม่มาก และคนที่จะเข้าใจถึงความลึกซึ้งของมันได้นั้นยิ่งมีน้อยกว่า


เย่หยวนนั้นสามารถบรรลุแนวคิดแห่งห้วงมิติหนึ่งดาวได้ด้วยการคลำหาอย่างสะเปะสะปะ


แต่กับระดับสองดาวนั้นเขากลับไม่สามารถหาจุดที่จะใช้ในการบรรลุได้เสียที


เย่หยวนเงยหน้าขึ้นมองไปยังมิติที่ด้านบน


ที่ตรงนั้นมีเงาของเขาอยู่


นั้นทำให้สายตาของเย่หยวนลุกวาว ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมาแล้ว



เวลาหนึ่งร้อยปีได้ผ่านพ้นไป เวลาแค่นี้มันเป็นช่วงเวลาที่แสนสั้นสำหรับยอดยุทธอาณาจักรพระเจ้า


แต่กับเย่หยวนแล้วมันเป็นเวลาที่พลิกผันตัวเขาไปอย่างสิ้นเชิง


หลังจากจุติใหม่ เวลาที่เขาใช้ในการฝึกฝนทั้งชีวิตมามันแค่ร้อยกว่าปี


แต่การเข้าใจแนวคิดแห่งห้วงมิตินี้กลับกินเวลาของเขาไปแล้วหนึ่งร้อยปี


ในวันนี้เย่หยวนได้เข้าสู่การเก็บตัวในหลุมมิติ


และจู่ ๆ พื้นที่รอบ ๆ ก็เกิดการสั่นไหวขึ้น


หลุมมิติที่เคยเสถียรตอนนี้กลับค่อย ๆ แสดงถึงสัญญาณในการพังทลายลง


เล่งหยูที่เห็นแบบนั้นจึงตะโกนขึ้นด้วยสีหน้าท่าทางตกใจ “เกิดอะไรขึ้น? หืม? เย่หยวน เขา…เขาบรรลุแนวคิดแห่งห้วงมิติแล้ว?”


เล่งหยูหันไปมองเย่หยวนและได้เห็นว่าร่างของเย่หยวนกำลังอยู่ตรงหน้าเขาจริง ๆ แต่ภาพที่เขาเห็นมันกลับเหนือล้ำเกินกว่าที่เขาจะเชื่อลงได้


ความขัดแย้งในใจของเขามันมาถึงจุดสูงสุด


ในเวลาหนึ่งร้อยปีมานี้เขาได้เห็นการเติบโตของเย่หยวนจนเกิดความเลื่อมใสอยู่ในใจแล้ว


เขาได้รู้แล้วว่าระหว่างตัวเขาและเย่หยวนนั้นมีระยะห่างที่ไม่สามารถวัดได้อยู่


คำว่าอัจฉริยะมันน้อยเกินไปที่จะใช้อธิบายเด็กหนุ่มคนนี้


แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น เขาก็ไม่เคยคิดเลยว่าวันนี้มันจะมาถึงได้รวดเร็วปานนี้!


โครม…


หลุมมิติเริ่มการพังทลายลง ส่งชิ้นส่วนแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ทำให้เกิดพลังงานอันรุนแรงพุ่งตรงเข้ามาหาเล่งหยู


สิ่งนั้นทำให้เล่งหยูหน้าถอดสีก่อนจะตะโกนขึ้น “เย่หยวน…ช-ช่วยข้าด้วย!”


ตอนที่ 1603 ข่มเหงผู้คนมากเกินไป

Ink Stone_Fantasy

เย่หยวนลืมตาขึ้นทันทีและก้าวเข้าไปหาเล่งหยูในพริบตา


เขาจับคอของเล่งหยูและกล่าวขึ้นอย่างเย็นชา “ไปกัน ออกไปกันเถอะ”


พูดจบเย่หยวนก็ก้าวเท้าเดินออกไปอีกครั้ง ตอนนี้พวกเขาก้าวเข้าสู่ห้วงโกลาหลแล้วเรียบร้อย


พื้นที่มิติรอบ ๆ ตัวของพวกเขากำลังพังทลายลงอย่างต่อเนื่อง ปล่อยคลื่นพลังอันรุนแรงที่ทำให้เล่งหยูใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม


พลังเหล่านี้มันรุนแรงเกินบรรยาย หากตัวเขาไปสัมผัสกับมันเข้าสักนิด ร่างกายของเขาคงแหลกเหลวอย่างไม่มีอะไรให้กลบฝังแน่


แต่ทว่าเย่หยวนกลับสามารถพาเขาออกมาได้อย่างง่ายดายราวกับกำลังเดินอยู่ในสวนหลังบ้าน เดินหลบเลี่ยงพลังเหล่านั้นอย่างไม่บาดเจ็บตรงไหนเลยแม้แต่น้อย


แม้จะเห็นภาพรอบตัวค่อย ๆ แตกสลายลงเช่นนั้น แต่ตัวเขาทั้งสองคนกลับไม่ได้รับผลกระทบอะไรราวกับว่าพวกเขาอยู่อีกในอีกโลกหนึ่ง


หลังจากความตื่นเต้นจางหาย ตอนนี้เล่งหยูก็รู้สึกอิจฉาขึ้นมาจับใจ


เขาเข้ามาในห้วงมิติสืบทอดนี้ทำไมกัน?


ไม่ใช่ว่ามาเพื่อทำความเข้าใจแนวคิดแห่งห้วงมิติหรอกหรือ?


เมื่อไม่นานมานี้เขาเอาแต่หลงอยู่กับความโอหัง คิดว่าจะใช้พรสวรรค์ที่มีในการทำความเข้าใจแนวคิดแห่งห้วงมิติเพื่อกลายเป็นยอดคน


แต่ความเป็นจริงที่เขาต้องเจอกลับทำให้เล่งหยูได้ทิ้งความหวังลง


แนวคิดแห่งห้วงมิตินั้นไม่ใช่อะไรที่อัจฉริยะทั่ว ๆ ไปจะเข้าใจมันได้


จนเมื่อไม่นานมานี้เล่งหยูก็ยังเชื่อว่ามันเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่มีทางเข้าใจ คนเราไม่สามารถเข้าใจแนวคิดแห่งห้วงมิติในห้วงมิติสืบทอดนี้ได้เลย


เพราะฉะนั้นตอนที่เขาเห็นเย่หยวนเข้ามาเล่งหยูถึงได้ดูถูกดูแคลนเด็กหนุ่มอย่างเต็มที่ ว่ากล่าวว่าเขาประเมินตัวเองสูงเกินไป


แต่วันนี้เขาได้เห็นแล้วว่าเด็กหนุ่มคนนี้มันสามารถสำเร็จได้จริง ๆ


ที่สำคัญเขายังใช้เวลาแค่หนึ่งร้อยปีเท่านั้น!


นั่นมันทำให้เขาแทบต้องกระอักเลือด


เด็กคนนี้มันสัตว์ประหลาดชัด ๆ


เขานั้นเป็นผู้อาวุโสแห่งหอโอสถและยังสามารถทำความเข้าใจแนวคิดแห่งห้วงมิติได้


จะเก่งกาจอะไรขนาดนั้นกัน?!



ส่วนอีกด้านในเวลาหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมานี้มันเป็นชีวิตที่แสนลำบากของพวกเยวี่ยเมิ่งลี่


แม้ว่าพวกนางทั้งหลายจะได้รับการดูแลจากซวนอี้ผู้ที่เป็นผู้อาวุโสลำดับสอง แต่เขาก็เป็นถึงผู้อาวุโสลำดับสองผู้ยิ่งใหญ่ จะให้เขามาดูแลชีวิตประจำวันให้มันก็คงไม่ใช่เรื่อง


เมื่อเวลาผ่านนานเข้า ชีวิตของพวกนางทั้งหลายก็ยิ่งเจอแต่ปัญหามากขึ้น


ซวนอี้นั้นจัดที่พักขนาดใหญ่ให้พวกเขาในเมือง ปล่อยให้พวกลี่เอ๋อได้อยู่อย่างสบายใจ


ทั้งอาหารและเสื้อผ้าต่างไม่ใช่ปัญหาเลย


แต่เพียงแค่ว่าคำสั่งของซวนอี้มันก็เป็นได้แค่คำสั่งของเจ้านาย เมื่อมันมาถึงคนเบื้องล่างแล้ว เรื่องที่ว่าจะทำตามแบบไหนมันก็อีกเรื่องอย่างสิ้นเชิง


“ขี้เหนียวกันเสียจริง! ทุกวันนี้ผลึกปราณเทวะที่พวกเราได้รับมันมีแต่จะน้อยลง ๆ เป็นแบบนี้แล้วเราจะฝึกฝนบ่มเพาะวิชากันอย่างไร?” อิ้งหมัวหู่ตะโกนอย่างโกรธเคือง


ลี่เอ๋อจึงถอนหายใจและกล่าวขึ้น “พี่หยวนนั้นหายตัวไปได้หนึ่งร้อยปีแล้ว อำนาจที่เขาเคยมีมันได้จางหายไปจนหมด ตอนนี้ผู้อาวุโสที่สองยังจำบุญคุณเก่าก่อนได้และคอยดูแลเรา แต่ใครจะรู้ว่าบุญคุณนี้มันจะคอยอยู่ค้ำจุนเราไปอีกนานแค่ไหน”


อิ้งหมัวหู่จึงตอบกลับมาอย่างขุ่นแค้น “ไอ้เจ้าโจวเหว่ยนั่น มันจะข่มเหงผู้คนมากเกินไปแล้ว! ไม่ยอมล่ะ วันนี้ข้าจะไปหาผู้อาวุโสที่สอง!”


ลี่เอ๋อได้ยินแบบนั้นจึงรีบดึงตัวของอิ้งหมัวหู่ไว้ “หยุดเลย อย่าได้สร้างปัญหาอีก! ก่อนที่พี่หยวนจะกลับออกมาเราต้องไม่หาเรื่องให้ตัวเองเพิ่มอย่างเด็ดขาด! หากตอนนี้เจ้าไปหาผู้อาวุโสที่สอง แม้จะไม่นับเรื่องที่ว่าเขามีเวลาว่างมาพบเราไหม ต่อให้เจ้าได้พบเขาจริง เขาก็คงจัดการโจวเหว่ยให้แหละ แต่ต่อจากนั้นล่ะ? ในวันข้างหน้าจิตใจของโจวเหว่ยจะเปลี่ยนจากแย่กลายเป็นร้าย! บุญคุณที่พี่หยวนมีมันจะช่วยปกป้องเราได้ระยะหนึ่ง แต่หากบุญคุณนั้นถูกชดใช้จนหมดแล้วล่ะ หากพี่หยวนคิดจะอยู่ในนั้นเป็นพันปีล่ะ เจ้าคิดว่าผู้อาวุโสที่สองจะยังปกป้องเราไปได้นานขนาดนั้นรึ?”


ลี่เอ๋อนั้นสามารถมองสถานการณ์ภาพรวมในตอนนี้ได้อย่างเด็ดขาด


เดิมทีด้วยพลังของพวกนางทั้งหลาย มันไม่มีทางเลยที่จะได้เข้ามาอยู่เขตชั้นในของเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์


เหตุผลเดียวที่พวกนางยังอยู่ในนี้ได้นั้นเป็นเพราะบารมีของเย่หยวน


ผู้อาวุโสที่สองนั้นเป็นยอดคนดีที่หาตัวจับได้ยาก แต่เขาก็ยังมีหน้าที่ต้องคอยจัดการอย่างไม่หยุดหย่อน เขาไม่ได้อยู่ในโลกเดียวกับคนทั่ว ๆ ไปเลย


ทีแรกบางทีผู้อาวุโสที่สองอาจจะดูแลพวกเขาเพราะบุญคุณที่ติดค้างเย่หยวน


แต่ทว่าบุญคุณเมื่อตอบแทนไปเรื่อย ๆ สักวันมันก็ต้องหมด


และยอดฝีมือระดับผู้อาวุโสที่สองนั้นหากเข้าสู่การเก็บตัวทีหนึ่งมันอาจจะกินเวลานับร้อยปี พันปี แล้วเขาจะยังดูแลพวกนางต่อได้ยังไง


เพราะพวกนางหลายคนเป็นได้แค่ประชากรชั้นต่ำของเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ การได้มาอยู่ในคฤหาสน์ใหญ่โตแบบนี้มันแปลกประหลาดมาตั้งแต่แรกแล้ว


ในสถานการณ์แบบนี้ มีหรือที่คนจะไม่หันมามองด้วยความริษยา?


เยวี่ยเมิ่งลี่นั้นมองเห็นภาพอย่างชัดเจน ตราบใดที่เย่หยวนยังไม่กลับมา สถานการณ์แบบนี้ก็จะดำเนินต่อไปอย่างไม่สิ้นสุด


การไปหาผู้อาวุโสที่สองตอนนี้มันอาจจะทำให้พวกเขาได้รับการช่วยเหลือชั่วคราวมา แต่มันจะทำให้สถานการณ์โดยภาพรวมนั้นแย่ลง


“งั้น…งั้นเราสมควรที่จะถูกข่มเหงแบบนี้ต่อไปรึ?” อิ้งหมัวหู่พูดออกมาอย่างไม่ค่อยพอใจนัก


ลี่เอ๋อนั้นจึงได้แต่ถอนหายใจ “เมื่อพี่หยวนไม่อยู่ เพราะก็มีต้องดูแลตัวเองเท่านั้น! หากมีใครสักคนในหมู่พวกเราเป็นอันตรายไป เจ้าคิดว่าผลที่ตามมามันจะเป็นยังไง? หากเป็นอย่างนั้นพี่หยวนต้องเผชิญหน้ากับเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นี้เลยนะ!”


อิ้งหมัวหู่เปลี่ยนสีหน้าไปทันทีที่ได้ยิน ตอนนี้เหงื่อเย็นเหยียบค่อย ๆ ไหลท่วมกายของเขาหลังนึกภาพตาม


ด้วยนิสัยของเย่หยวนแล้ว เขาต้องแสดงออกมาอย่างไม่ปิดบังแน่ เมื่อเกิดความขัดแย้งกับกองกำลังของเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์แล้ว ต่อให้ผลมันจะออกมาเป็นยังไงมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ ๆ


“พี่ลี่เอ๋อ นายน้อยไม่ได้ออกมาตั้งนานขนาดนี้ หรือว่าเขาจะไปเจอกับอันตรายใดเข้า?” ลู่เอ๋อพูดอย่างกังวลใจ


ลี่เอ๋อจึงยิ้มขึ้นปลอบ “นี่คือนายน้อยของเจ้านะ หรือว่าเจ้าจะยังไม่รู้จักเขาดี? ต่อให้คนทั้งโลกคิดว่าเขาตาย เราก็ต้องเชื่อมั่นในตัวเขาไว้!”


ลู่เอ๋อจึงพยักหน้ารับออกมา “อืม หากนายน้อยออกมาเมื่อไหร่เขาคงทำให้ทั้งเมืองปั่นป่วนอีกครั้งแน่ ๆ ให้พวกที่มารังแกเราได้รู้ซึ้งถึงรสชาติ!”


“ฮ่าๆๆ! นี่มันก็ผ่านมาตั้งหนึ่งร้อยปีแล้วพวกเจ้ายังไม่ตื่นจากฝันหวานเสียทีเรอะ? นายน้อยของพวกเจ้า เย่หยวนมันออกมาอีกไม่ได้แล้ว!”


ตอนนั้นเองที่มีเสียงหัวเราะหนึ่งดังก้องกังวานขึ้น พร้อมประโยคที่เต็มไปด้วยคำดูถูก


เมื่ออิ้งหมัวหู่ได้เห็นใบหน้าของผู้มาเยือน เขาก็ตะโกนขึ้นดว้ยความโกรธทันที “โจวเหว่ย เจ้ามาทำไม?”


นี่คือโจวเหว่ย ผู้พิทักษ์ระดับต่ำของหอยุทธ มีตำแหน่งในจวนเจ้าเมือง


และตอนนี้เขาก็ได้รับหน้าที่ให้มาดูแลพวกเยวี่ยเมิ่งลี่


เพราะนี่เป็นคำสั่งของผู้อาวุโสที่สองโดยตรง ในตอนปีแรก ๆ เขาจึงไม่ได้ทำตัวเลวทรามมากนัก


แต่ไม่นานนักเขาก็โดนซ่งฉีหยางซื้อตัวไป


ทำให้วันเวลาหลังจากนั้นของพวกเยวี่ยเมิ่งลี่ลำบากมากขึ้นในทุก ๆ วัน


ยิ่งนานวันเข้า ผู้อาวุโสที่สองก็ยิ่งงานยุ่ง ทำให้ไม่มีเวลามาสนใจเรื่องนี้อีก


แม้เขาจะได้สั่งให้ลู่ยี่จัดการเรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับพวกลี่เอ๋อไปแล้ว แต่ลู่ยี่เองก็มีหน้าที่และการฝึกฝนบ่มเพาะพลังของตัวเอง เพราะฉะนั้นแค่เขาหาเวลามาพบพวกลี่เอ๋อได้ปีละครั้งก็ถือว่าดีมากแล้ว


เมื่อเวลาแบบนั้นผ่านไป ความกล้าของโจวเหว่ยจึงยิ่งเพิ่มพูน


โจวเหว่ยเดินเข้ามากลางโถงและพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มแสนเย็นชา “ข้ามาบอกน่ะ จากกฎของจวนเจ้าเมือง ตั้งแต่วันนี้ไปพวกเจ้าต้องจ่ายห้าแสนผลึกปราณเทวะต่อคนในทุก ๆ ปี หากไม่มีปัญญาจะจ่ายก็จงออกไปจากเมืองชั้นในเสียให้เร็ว! เมืองชั้นในของเราไม่ต้อนรับพวกขี้เกียจสันหลังยาว!”


คนละห้าแสนผลึกปราณเทวะ นี่ไม่ใช่จำนวนที่น้อย ๆ เลย


แม้เย่หยวนจะทิ้งผลึกปราณเทวะไว้ให้พวกเขาในจำนวนหนึ่ง แต่หากต้องจ่ายแบบนี้ไป พวกเขาคงอยู่ได้ไม่นานนัก


เมื่ออิ้งหมัวหู่ได้ยินแบบนั้นเขาก็คำรามขู่ขึ้นทันที “โจวเหว่ย อย่าคิดข่มเหงกันให้มากไป! ที่เราได้อยู่ที่นี่มันเป็นเพราะคำสั่งของผู้อาวุโสที่สอง เจ้ากล้าขู่บังคับเราแบบนี้เรอะ?”


โจวเหว่ยจึงหัวเราะคิกคักก่อนจะตอบมา “เจ้าต่างหากล่ะที่ต้องรู้จักขอบเขตบ้าง! หากข้าเป็นพวกเจ้าข้าคงออกจากเมืองชั้นในไปด้วยตัวเองแล้ว อยู่ที่นี่ต่อไปก็มีแต่จะสร้างความอับอายให้ตัวเอง! ผู้อาวุโสที่สอง? ผู้อาวุโสที่สองท่านมีงานให้ทำไม่มีหมด ท่านจะมาสนใจพวกคนไร้ค่าอย่างพวกเจ้าเรอะ?”


ตอนที่ 1604 กลับมาอย่างยิ่งใหญ่

Ink Stone_Fantasy

“พวกเจ้ามันก็เป็นได้แค่มดปลวกที่อยู่ใต้ปีกของเย่หยวน! หากไร้ซึ่งเย่หยวนพวกเจ้ามันก็ไร้ค่าใด ๆ”


คำของโจวเหว่ยนั้นปักลงลึกในจิตใจของทุกผู้คน มันทำให้ผู้ที่ทะนงตัวต้องเดือดดาลขึ้น


โดยเฉพาะอย่างยิ่งอิ้งหมัวหู่ที่ตอนนี้เขาโกรธจนควันออกหูแล้ว


“ลูกผู้ชายฆ่าได้หยามไม่ได้! นายน้อยคนนี้จะขอเสี่ยงชีวิตสู้กับเจ้าดูสักตั้ง!”


ร่างของอิ้งหมัวหู่พลันเปลี่ยนกลายเป็นพยัคฆ์ร้ายพุ่งเข้าหาโจวเหว่ยทันที


นั้นทำให้โจวเหว่ยต้องอมยิ้มออกมา ก่อนที่เขาจะส่งฝ่ามือของตัวเองออกมาด้านหน้า


อิ้งหมัวหู่รู้สึกได้ว่าพลังของฝ่ามือนั้นมันช่างแข็งแกร่งจนทำให้ผู้ที่ต้องพบเจอต้องรู้สึกสิ้นหวังขึ้นมาทันที


“อ๊อก!”


อิ้งหมัวหู่กระอักเลือดออกมา เขารู้สึกว่ากระดูกทั้งร่างของเขาในตอนนี้มันหักจนหมดสิ้น


เยวี่ยเมิ่งลี่ที่เห็นแบบนั้นก็หน้าซีดขึ้นทันทีก่อนจะรีบพุ่งเข้าไปรับตัวของอิ้งหมัวหู่ไว้


แต่พลังอันรุนแรงนั้นกลับส่งร่างของนางกระเด็นลอยไปพร้อม ๆ กันด้วย


ยอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้าช่างแข็งแกร่ง!


โจวเหว่ยมองดูภาพตรงหน้าอย่างเย็นชาก่อนจะพูดขึ้น “เห็นไหมล่ะ? รับฝ่ามือจากข้าไม่ได้สักฝ่ามือด้วยซ้ำ แล้วยังมีหน้ามาบอกว่าตัวเองมิใช่มดปลวกอีกรึ? หากพวกเจ้าไม่ได้อยู่ที่นี่พวกเจ้าคนตายไปนานแล้ว แต่ทว่า…ต่อให้อยู่ก็คงไม่นาน”


เยวี่ยเมิ่งลี่มองดูหน้าของโจวเหว่ยก่อนจะพูดขึ้นอย่างเยือกเย็น “เจ้าปฏิบัติกับเราแบบนี้ ไม่กลัวว่าผู้อาวุโสที่สองจะรู้เรื่องเลยรึ?”


โจวเหว่ยจึงหัวเราะออกมาเสียงดัง “ผู้อาวุโสที่สองกำลังอยู่ในการเก็บตัว ศิษย์ของท่านที่ใกล้ชิดกับเย่หยวนเองก็กำลังยุ่งมือเป็นพัลวัน หากเจ้าโดนไล่ออกไปจากเมืองชั้นในและไปตายที่อื่นเสียก่อน เจ้าคิดว่าผู้อาวุโสที่สองจะมาล้างแค้นให้คนตายอย่างพวกเจ้ารึ?”


ใบหน้าของเยวี่ยเมิ่งลี่เปลี่ยนเป็นสีแดงฉานก่อนจะตะโกนกลับไป “เหมือนว่าผู้อาวุโสใหญ่ของฝั่งนั้นจะควบคุมอะไรไม่ได้แล้วสินะ!”


โจวเหว่ยจึงยิ้มตอบกลับไป “เพราะฉะนั้น หากอยู่ก็จงหาผลึกปราณเทวะมาจ่ายเสีย! ตอนนี้จงมอบผลึกปราณเทวะมา พวกเจ้ามีกันห้าคน ก็จงจ่ายมาตามกฎสองล้านห้าแสนผลึกปราณเทวะ”


อิ้งหมัวหู่กัดฟันกรอดพยายามที่จะส่งตัวเองลุกขึ้น แต่ร่างกายของเขากลับไม่เชื่อฟังคำสั่ง


สายตาของเยวี่ยเมิ่งลี่มองไปทางโจวเหว่ยอย่างโกรธแค้นก่อนจะพูดขึ้น “เราจะจ่าย!”


และอย่างที่นางว่า เยวี่ยเมิ่งลี่หยิบแหวนออกมาและโยนมันไปทางโจวเหว่ยอย่างเต็มแรง


ที่ด้านข้างเองหลงซานก็กำลังกัดฟันแน่นก่อนจะบอกขึ้นมา “แม่นางลี่เอ๋อ ข้า…ข้าจะออกจากเมืองไปเอง ท่านมิต้องจ่ายให้ข้าหรอก!”


เยวี่ยเมิ่งลี่ตะโกนสวนกลับไป “หยุดเลย! หากเจ้าออกไปจากเมืองตอนนี้เจ้าคิดว่าตัวเองจะมีชีวิตรอดถึงวันพรุ่งนี้ได้รึ?”


หลงซานจึงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นคง “หลงซานผู้นี้เป็นแค่คนชั้นต่ำ แต่นายท่านกลับให้โอกาสข้าได้มาเกิดใหม่! หากวันนี้ข้าจะขอชดใช้บุญคุณด้วยชีวิตมันจะผิดด้วยหรือ?”


เยวี่ยเมิ่งลี่เองก็แสดงท่าทางหนักแน่นออกมาก่อนจะพูดขึ้น “เรามาด้วยกัน หากมีใครอยากไป เราก็จะไปด้วยกัน! วันข้างหน้าอย่าได้คิดพูดจาอะไรแบบนี้อีก”


โจวเหว่ยกลั้นขำมองดูสภาพละครน้ำเน่าตรงหน้า “เหมือนว่าพวกเจ้าแต่ละคนจะยังมีความหวังกันอยู่สินะ! คนที่ได้เข้าไปในห้วงมิติสืบทอดนั้นไม่เคยมีใครกลับออกมาได้ พวกเจ้าจงลืมเรื่องนั้นไปเสียเถอะ! ฮ่าๆ…”


โจวเหว่ยเดินกลับออกไปพร้อมเสียงหัวเราะอันน่ารังเกียจ ใบหน้าอันโกรธแค้นของทุกคนแสดงออกมาให้เห็นกันอย่างชัดเจน


แต่ก็อย่างที่โจวเหว่ยว่า หากไม่มีเย่หยวนพวกเขาก็เป็นได้แค่คนไร้พลังที่ไม่มีปัญญาทำอะไรเมื่ออยู่ต่อหน้ายอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้า


ตอนที่เย่หยวนจากไป เขาทิ้งผลึกปราณเทวะไว้ให้ราวร้อยล้านชิ้น


แต่หลังจากเวลาผ่านไปกว่าหนึ่งร้อยปี คนทั้งห้าเองก็ใช้ทรัพยากรบ่มเพาะฝึกฝนตัวไม่น้อย


เดิมทีด้วยความช่วยเหลือจากผู้อาวุโสที่สอง พวกเขายังพอจะอยู่รอดต่อไปได้


แต่ช่วงหลายปีมานี้ ด้วยการขูดรีดของโจวเหว่ย ทำให้ตอนนี้พวกนางเหลือผลึกปราณเทวะเพียงสี่ถึงห้าล้านชิ้น


และในวันนี้ยังต้องเสียไปกว่าครึ่งในคราเดียว!


หากโจวเหว่ยมาอีกครั้ง พวกนางทั้งหลายคงไม่มีปัญญาที่จะจ่ายอีกต่อไป



เดิมทีทุกคนเชื่อว่าโจวเหว่ยจะกลับมาอีกในปีหน้า แต่ใครจะไปคิดว่ามันเป็นเวลาแค่ไม่กี่วันเท่านั้นที่โจวเหว่ยกลับมาอีกครา!


“โจวเหว่ย ภาษีที่เจ้าว่าให้เราจ่ายเราก็จ่ายไปแล้ว ยังจะอยากได้อะไรอีก?” ลี่เอ๋อถามด้วยอารมณ์โกรธอย่างไม่ปิดบังอีกต่อไป


โจวเหว่ยจึงยิ้มตอบ “ใครบอกเจ้าว่าภาษีของเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์เรามีแค่อย่างเดียว? ที่เก็บไปคราที่แล้วนั้นเรียกว่าภาษีรายหัว แต่ที่ข้าจะมาเก็บคราวนี้เรียกว่าภาษีพลังวิญญาณ! เมืองชั้นในมันเข้มข้นไปด้วยพลังวิญญาณที่หนาแน่นกว่าเมืองชั้นนอกนับสิบเท่า และพวกเจ้าก็มาอยู่ที่นี่ความเร็วการฝึกฝนของพวกเจ้าย่อมเร็วกว่าคนที่เมืองชั้นนอกมากนัก แล้วยังจะมาหลบเลี่ยงไม่ยอมจ่ายภาษีอีกรึ?”


ลี่เอ๋อหน้าซีดลงทันทีที่ได้ยิน “แล้วเจ้าจะเอาเท่าไหร่ล่ะ?”


โจวเหว่ยยิ้มออกมา “ไม่มาก ไม่มากเลย แค่สองล้านก็เพียงพอแล้ว!”


“สองล้าน! เจ้าคิดจะปล้นพวกเรารึยังไงกันล่ะ!” ลี่เอ๋อตะโกนสวนออกมา


โจวเหว่ยตอบกลับอย่างเย็นชา “นี่คือกฎของจวนเจ้าเมือง หากเจ้าไม่จ่าย งั้นก็ขอโทษด้วย แต่คงต้องให้เจ้าออกจากเมืองชั้นในไปแล้วล่ะ”


คำพูดนั้นทำให้เยวี่ยเมิ่งลี่หน้าเสียทันที ตอนนี้นางไม่สามารถเอาผลึกปราณเทวะมากขนาดนั้นออกมาได้ง่าย ๆ อีกต่อไปแล้ว


นางหายใจเข้าลึกก่อนจะพูดขึ้นด้วยท่าทางที่หนักแน่น “ได้ เราจะออกไป!”


“ไม่นะ พี่สะใภ้ท่านต้องอยู่ เราจะออกไปเอง!” อิ้งหมัวหู่ขัดขึ้น


“พี่ลี่เอ๋อ ท่านออกไปไม่ได้นะ!” ลู่เอ๋อพูดเสริม


ลี่เอ๋อจึงหันไปบอกทั้งคู่ “พวกเจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ข้าตัดสินใจไปแล้ว! ทุกคนเก็บของ เราจะออกไปตอนนี้เลย!”


โจวเหว่ยจึงพูดขึ้นด้วยท่าทางอมยิ้ม “หึหึ ต้องแบบนั้นสิ มดปลวกอย่างพวกเจ้าน่ะสมควรไปอยู่เมืองชั้นนอกหรือไม่ก็ไปอยู่เมืองหลวงเสียเถอะ พื้นที่ในเมืองชั้นในมันล้ำค่าเกินกว่าที่พวกเจ้าจะครองไว้ได้มากมายนัก”


แม้จะถูกโจวเหว่ยว่าแบบนั้น พวกเขาทั้งหลายก็ได้แต่ทนรับฟัง


หลังเก็บของอยู่สักพัก ตอนที่ทุกคนกำลังจะเดินทางออกไปจู่ ๆ ก็เกิดคลื่นพลังขนาดใหญ่พวยพุ่งออกมาจากหอยุทธ์


นั่นทำให้พลังวิญญาณในเมืองจักรพรรดิทั้งหมดไหลรวมเข้าไปสู่จุดนั้น ไหลไปรวมกันยังหอยุทธ์


ตอนนี้เหมือนกับว่ามีท่อสูบพลังงานวิญญาณโผล่ออกมาในหอยุทธ์ กระแสพลังวิญญาณจึงไหลไปรวมกันที่นั่นอย่างบ้าคลั่ง


“หืม? เกิดอะไรขึ้น? มีใครบรรลุระดับหรือ?” อิ้งหมัวหู่กล่าวขึ้นด้วยท่าทางสงสัย


“ใครบรรลุระดับกัน? ถึงขนาดที่สร้างคลื่นพลังอันปั่นป่วนแบบนี้ได้?” หลงซานพูดด้วยสีหน้าสุดแตกตื่น


โจวเหว่ยเองก็มีท่าทีตกใจไม่น้อยเช่นกัน แต่เขาก็หันกลับมาบอก “ใครจะบรรลุระดับมันก็ไม่ใช่เรื่องของพวกเจ้า! เจ้าจะบอกว่านั้นเป็นการบรรลุของเย่หยวนรึไง? เฮอะ เฮอะ พลังขนาดนี้ต่อให้เป็นอาณาจักรราชันพระเจ้าก็ยังเทียบไม่ได้ รีบ ๆ ไสหัวไปได้แล้ว นี่ไม่ใช่ที่ของพวกเจ้า!”


เวลานั้นทั่วทั้งเมืองเกิดความโกลาหลขึ้นทันที


การบรรลุนี้มันเหมือนท่อสูบพลัง ดูดพลังวิญญาณของทั้งเมืองให้ไหลไปอยู่ในที่เดียว


“เกิดอะไรขึ้น? หรือมีผู้อาวุโสคนไหนกำลังบรรลุอย่างนั้นรึ?”


“ความโกลาหลระดับนี้ แม้แต่อาณาจักรราชันพระเจ้าสี่ดาวหรือห้าดาวก็ยังไม่น่าทำได้ขนาดนี้ใช่ไหม?”


“ใครกันที่กำลังบรรลุขั้นอยู่ นี่มันบ้าเกินไปแล้ว ใช่ไหม? ด้วยพลังวิญญาณที่มากมายมหาศาลขนาดนี้ต่อให้เป็นอาณาจักรราชันพระเจ้าก็ยังตัวแตกตายได้!”



ตอนนี้นักยุทธ์นับไม่ถ้วนกำลังมุ่งหน้าไปยังหอยุทธ์เพื่อดูว่ามีใครกันที่สามารถสร้างความปั่นป่วนได้ขนาดนี้ด้วยการบรรลุระดับ


เมื่อเห็นว่าเยวี่ยเมิ่งลี่เอาแต่ถ่วงเวลาไม่ยอมไปเสียที โจวเหว่ยจึงขมวดคิ้วแน่นและพูดออกมา “ยังไม่ไปกันอีกเรอะ หรืออยากต้องให้ข้าทำการส่งแขกให้?”


แต่เยวี่ยเมิ่งลี่ก็ยังไม่คิดจะขยับ และจู่ ๆ นางก็เปิดปากขึ้นพูด “พี่หยวนล่ะ! นี่มันการบรรลุของพี่หยวน! เขากลับมาแล้ว!”


หน้าของโจวเหว่ยเปลี่ยนสีไปทันทีก่อนเขาจะตะคอกขึ้น “พูดบ้าบออะไรของเจ้า? เย่หยวนมันตายในห้วงมิติสืบทอดไปนานแล้ว จะมาบรรลุอะไรได้ยังไง? ที่สำคัญต่อให้เป็นมัน การบรรลุระดับนี้จะเป็นของอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าได้ยังไงกัน?”


เยวี่ยเมิ่งลี่หันไปมองหน้าโจวเหว่ยก่อนจะพูดขึ้น “โจวเหว่ย หากนี่เป็นพี่หยวนจริง ๆ แล้วเจ้ายังคิดจะไล่เราออกไป เจ้าก็น่าจะรู้ถึงผลที่จะตามมาดีนะ!”


นั้นทำให้หน้าของโจวเหว่ยซีดลงทันที ตอนนี้หัวใจของเขาเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะแล้ว


…………………………………………………….ตอนที่ 1604 กลับมาอย่างยิ่งใหญ่


“พวกเจ้ามันก็เป็นได้แค่มดปลวกที่อยู่ใต้ปีกของเย่หยวน! หากไร้ซึ่งเย่หยวนพวกเจ้ามันก็ไร้ค่าใด ๆ”


คำของโจวเหว่ยนั้นปักลงลึกในจิตใจของทุกผู้คน มันทำให้ผู้ที่ทะนงตัวต้องเดือดดาลขึ้น


โดยเฉพาะอย่างยิ่งอิ้งหมัวหู่ที่ตอนนี้เขาโกรธจนควันออกหูแล้ว


“ลูกผู้ชายฆ่าได้หยามไม่ได้! นายน้อยคนนี้จะขอเสี่ยงชีวิตสู้กับเจ้าดูสักตั้ง!”


ร่างของอิ้งหมัวหู่พลันเปลี่ยนกลายเป็นพยัคฆ์ร้ายพุ่งเข้าหาโจวเหว่ยทันที


นั้นทำให้โจวเหว่ยต้องอมยิ้มออกมา ก่อนที่เขาจะส่งฝ่ามือของตัวเองออกมาด้านหน้า


อิ้งหมัวหู่รู้สึกได้ว่าพลังของฝ่ามือนั้นมันช่างแข็งแกร่งจนทำให้ผู้ที่ต้องพบเจอต้องรู้สึกสิ้นหวังขึ้นมาทันที


“อ๊อก!”


อิ้งหมัวหู่กระอักเลือดออกมา เขารู้สึกว่ากระดูกทั้งร่างของเขาในตอนนี้มันหักจนหมดสิ้น


เยวี่ยเมิ่งลี่ที่เห็นแบบนั้นก็หน้าซีดขึ้นทันทีก่อนจะรีบพุ่งเข้าไปรับตัวของอิ้งหมัวหู่ไว้


แต่พลังอันรุนแรงนั้นกลับส่งร่างของนางกระเด็นลอยไปพร้อม ๆ กันด้วย


ยอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้าช่างแข็งแกร่ง!


โจวเหว่ยมองดูภาพตรงหน้าอย่างเย็นชาก่อนจะพูดขึ้น “เห็นไหมล่ะ? รับฝ่ามือจากข้าไม่ได้สักฝ่ามือด้วยซ้ำ แล้วยังมีหน้ามาบอกว่าตัวเองมิใช่มดปลวกอีกรึ? หากพวกเจ้าไม่ได้อยู่ที่นี่พวกเจ้าคนตายไปนานแล้ว แต่ทว่า…ต่อให้อยู่ก็คงไม่นาน”


เยวี่ยเมิ่งลี่มองดูหน้าของโจวเหว่ยก่อนจะพูดขึ้นอย่างเยือกเย็น “เจ้าปฏิบัติกับเราแบบนี้ ไม่กลัวว่าผู้อาวุโสที่สองจะรู้เรื่องเลยรึ?”


โจวเหว่ยจึงหัวเราะออกมาเสียงดัง “ผู้อาวุโสที่สองกำลังอยู่ในการเก็บตัว ศิษย์ของท่านที่ใกล้ชิดกับเย่หยวนเองก็กำลังยุ่งมือเป็นพัลวัน หากเจ้าโดนไล่ออกไปจากเมืองชั้นในและไปตายที่อื่นเสียก่อน เจ้าคิดว่าผู้อาวุโสที่สองจะมาล้างแค้นให้คนตายอย่างพวกเจ้ารึ?”


ใบหน้าของเยวี่ยเมิ่งลี่เปลี่ยนเป็นสีแดงฉานก่อนจะตะโกนกลับไป “เหมือนว่าผู้อาวุโสใหญ่ของฝั่งนั้นจะควบคุมอะไรไม่ได้แล้วสินะ!”


โจวเหว่ยจึงยิ้มตอบกลับไป “เพราะฉะนั้น หากอยู่ก็จงหาผลึกปราณเทวะมาจ่ายเสีย! ตอนนี้จงมอบผลึกปราณเทวะมา พวกเจ้ามีกันห้าคน ก็จงจ่ายมาตามกฎสองล้านห้าแสนผลึกปราณเทวะ”


อิ้งหมัวหู่กัดฟันกรอดพยายามที่จะส่งตัวเองลุกขึ้น แต่ร่างกายของเขากลับไม่เชื่อฟังคำสั่ง


สายตาของเยวี่ยเมิ่งลี่มองไปทางโจวเหว่ยอย่างโกรธแค้นก่อนจะพูดขึ้น “เราจะจ่าย!”


และอย่างที่นางว่า เยวี่ยเมิ่งลี่หยิบแหวนออกมาและโยนมันไปทางโจวเหว่ยอย่างเต็มแรง


ที่ด้านข้างเองหลงซานก็กำลังกัดฟันแน่นก่อนจะบอกขึ้นมา “แม่นางลี่เอ๋อ ข้า…ข้าจะออกจากเมืองไปเอง ท่านมิต้องจ่ายให้ข้าหรอก!”


เยวี่ยเมิ่งลี่ตะโกนสวนกลับไป “หยุดเลย! หากเจ้าออกไปจากเมืองตอนนี้เจ้าคิดว่าตัวเองจะมีชีวิตรอดถึงวันพรุ่งนี้ได้รึ?”


หลงซานจึงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นคง “หลงซานผู้นี้เป็นแค่คนชั้นต่ำ แต่นายท่านกลับให้โอกาสข้าได้มาเกิดใหม่! หากวันนี้ข้าจะขอชดใช้บุญคุณด้วยชีวิตมันจะผิดด้วยหรือ?”


เยวี่ยเมิ่งลี่เองก็แสดงท่าทางหนักแน่นออกมาก่อนจะพูดขึ้น “เรามาด้วยกัน หากมีใครอยากไป เราก็จะไปด้วยกัน! วันข้างหน้าอย่าได้คิดพูดจาอะไรแบบนี้อีก”


โจวเหว่ยกลั้นขำมองดูสภาพละครน้ำเน่าตรงหน้า “เหมือนว่าพวกเจ้าแต่ละคนจะยังมีความหวังกันอยู่สินะ! คนที่ได้เข้าไปในห้วงมิติสืบทอดนั้นไม่เคยมีใครกลับออกมาได้ พวกเจ้าจงลืมเรื่องนั้นไปเสียเถอะ! ฮ่าๆ…”


โจวเหว่ยเดินกลับออกไปพร้อมเสียงหัวเราะอันน่ารังเกียจ ใบหน้าอันโกรธแค้นของทุกคนแสดงออกมาให้เห็นกันอย่างชัดเจน


แต่ก็อย่างที่โจวเหว่ยว่า หากไม่มีเย่หยวนพวกเขาก็เป็นได้แค่คนไร้พลังที่ไม่มีปัญญาทำอะไรเมื่ออยู่ต่อหน้ายอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้า


ตอนที่เย่หยวนจากไป เขาทิ้งผลึกปราณเทวะไว้ให้ราวร้อยล้านชิ้น


แต่หลังจากเวลาผ่านไปกว่าหนึ่งร้อยปี คนทั้งห้าเองก็ใช้ทรัพยากรบ่มเพาะฝึกฝนตัวไม่น้อย


เดิมทีด้วยความช่วยเหลือจากผู้อาวุโสที่สอง พวกเขายังพอจะอยู่รอดต่อไปได้


แต่ช่วงหลายปีมานี้ ด้วยการขูดรีดของโจวเหว่ย ทำให้ตอนนี้พวกนางเหลือผลึกปราณเทวะเพียงสี่ถึงห้าล้านชิ้น


และในวันนี้ยังต้องเสียไปกว่าครึ่งในคราเดียว!


หากโจวเหว่ยมาอีกครั้ง พวกนางทั้งหลายคงไม่มีปัญญาที่จะจ่ายอีกต่อไป



เดิมทีทุกคนเชื่อว่าโจวเหว่ยจะกลับมาอีกในปีหน้า แต่ใครจะไปคิดว่ามันเป็นเวลาแค่ไม่กี่วันเท่านั้นที่โจวเหว่ยกลับมาอีกครา!


“โจวเหว่ย ภาษีที่เจ้าว่าให้เราจ่ายเราก็จ่ายไปแล้ว ยังจะอยากได้อะไรอีก?” ลี่เอ๋อถามด้วยอารมณ์โกรธอย่างไม่ปิดบังอีกต่อไป


โจวเหว่ยจึงยิ้มตอบ “ใครบอกเจ้าว่าภาษีของเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์เรามีแค่อย่างเดียว? ที่เก็บไปคราที่แล้วนั้นเรียกว่าภาษีรายหัว แต่ที่ข้าจะมาเก็บคราวนี้เรียกว่าภาษีพลังวิญญาณ! เมืองชั้นในมันเข้มข้นไปด้วยพลังวิญญาณที่หนาแน่นกว่าเมืองชั้นนอกนับสิบเท่า และพวกเจ้าก็มาอยู่ที่นี่ความเร็วการฝึกฝนของพวกเจ้าย่อมเร็วกว่าคนที่เมืองชั้นนอกมากนัก แล้วยังจะมาหลบเลี่ยงไม่ยอมจ่ายภาษีอีกรึ?”


ลี่เอ๋อหน้าซีดลงทันทีที่ได้ยิน “แล้วเจ้าจะเอาเท่าไหร่ล่ะ?”


โจวเหว่ยยิ้มออกมา “ไม่มาก ไม่มากเลย แค่สองล้านก็เพียงพอแล้ว!”


“สองล้าน! เจ้าคิดจะปล้นพวกเรารึยังไงกันล่ะ!” ลี่เอ๋อตะโกนสวนออกมา


โจวเหว่ยตอบกลับอย่างเย็นชา “นี่คือกฎของจวนเจ้าเมือง หากเจ้าไม่จ่าย งั้นก็ขอโทษด้วย แต่คงต้องให้เจ้าออกจากเมืองชั้นในไปแล้วล่ะ”


คำพูดนั้นทำให้เยวี่ยเมิ่งลี่หน้าเสียทันที ตอนนี้นางไม่สามารถเอาผลึกปราณเทวะมากขนาดนั้นออกมาได้ง่าย ๆ อีกต่อไปแล้ว


นางหายใจเข้าลึกก่อนจะพูดขึ้นด้วยท่าทางที่หนักแน่น “ได้ เราจะออกไป!”


“ไม่นะ พี่สะใภ้ท่านต้องอยู่ เราจะออกไปเอง!” อิ้งหมัวหู่ขัดขึ้น


“พี่ลี่เอ๋อ ท่านออกไปไม่ได้นะ!” ลู่เอ๋อพูดเสริม


ลี่เอ๋อจึงหันไปบอกทั้งคู่ “พวกเจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ข้าตัดสินใจไปแล้ว! ทุกคนเก็บของ เราจะออกไปตอนนี้เลย!”


โจวเหว่ยจึงพูดขึ้นด้วยท่าทางอมยิ้ม “หึหึ ต้องแบบนั้นสิ มดปลวกอย่างพวกเจ้าน่ะสมควรไปอยู่เมืองชั้นนอกหรือไม่ก็ไปอยู่เมืองหลวงเสียเถอะ พื้นที่ในเมืองชั้นในมันล้ำค่าเกินกว่าที่พวกเจ้าจะครองไว้ได้มากมายนัก”


แม้จะถูกโจวเหว่ยว่าแบบนั้น พวกเขาทั้งหลายก็ได้แต่ทนรับฟัง


หลังเก็บของอยู่สักพัก ตอนที่ทุกคนกำลังจะเดินทางออกไปจู่ ๆ ก็เกิดคลื่นพลังขนาดใหญ่พวยพุ่งออกมาจากหอยุทธ์


นั่นทำให้พลังวิญญาณในเมืองจักรพรรดิทั้งหมดไหลรวมเข้าไปสู่จุดนั้น ไหลไปรวมกันยังหอยุทธ์


ตอนนี้เหมือนกับว่ามีท่อสูบพลังงานวิญญาณโผล่ออกมาในหอยุทธ์ กระแสพลังวิญญาณจึงไหลไปรวมกันที่นั่นอย่างบ้าคลั่ง


“หืม? เกิดอะไรขึ้น? มีใครบรรลุระดับหรือ?” อิ้งหมัวหู่กล่าวขึ้นด้วยท่าทางสงสัย


“ใครบรรลุระดับกัน? ถึงขนาดที่สร้างคลื่นพลังอันปั่นป่วนแบบนี้ได้?” หลงซานพูดด้วยสีหน้าสุดแตกตื่น


โจวเหว่ยเองก็มีท่าทีตกใจไม่น้อยเช่นกัน แต่เขาก็หันกลับมาบอก “ใครจะบรรลุระดับมันก็ไม่ใช่เรื่องของพวกเจ้า! เจ้าจะบอกว่านั้นเป็นการบรรลุของเย่หยวนรึไง? เฮอะ เฮอะ พลังขนาดนี้ต่อให้เป็นอาณาจักรราชันพระเจ้าก็ยังเทียบไม่ได้ รีบ ๆ ไสหัวไปได้แล้ว นี่ไม่ใช่ที่ของพวกเจ้า!”


เวลานั้นทั่วทั้งเมืองเกิดความโกลาหลขึ้นทันที


การบรรลุนี้มันเหมือนท่อสูบพลัง ดูดพลังวิญญาณของทั้งเมืองให้ไหลไปอยู่ในที่เดียว


“เกิดอะไรขึ้น? หรือมีผู้อาวุโสคนไหนกำลังบรรลุอย่างนั้นรึ?”


“ความโกลาหลระดับนี้ แม้แต่อาณาจักรราชันพระเจ้าสี่ดาวหรือห้าดาวก็ยังไม่น่าทำได้ขนาดนี้ใช่ไหม?”


“ใครกันที่กำลังบรรลุขั้นอยู่ นี่มันบ้าเกินไปแล้ว ใช่ไหม? ด้วยพลังวิญญาณที่มากมายมหาศาลขนาดนี้ต่อให้เป็นอาณาจักรราชันพระเจ้าก็ยังตัวแตกตายได้!”



ตอนนี้นักยุทธ์นับไม่ถ้วนกำลังมุ่งหน้าไปยังหอยุทธ์เพื่อดูว่ามีใครกันที่สามารถสร้างความปั่นป่วนได้ขนาดนี้ด้วยการบรรลุระดับ


เมื่อเห็นว่าเยวี่ยเมิ่งลี่เอาแต่ถ่วงเวลาไม่ยอมไปเสียที โจวเหว่ยจึงขมวดคิ้วแน่นและพูดออกมา “ยังไม่ไปกันอีกเรอะ หรืออยากต้องให้ข้าทำการส่งแขกให้?”


แต่เยวี่ยเมิ่งลี่ก็ยังไม่คิดจะขยับ และจู่ ๆ นางก็เปิดปากขึ้นพูด “พี่หยวนล่ะ! นี่มันการบรรลุของพี่หยวน! เขากลับมาแล้ว!”


หน้าของโจวเหว่ยเปลี่ยนสีไปทันทีก่อนเขาจะตะคอกขึ้น “พูดบ้าบออะไรของเจ้า? เย่หยวนมันตายในห้วงมิติสืบทอดไปนานแล้ว จะมาบรรลุอะไรได้ยังไง? ที่สำคัญต่อให้เป็นมัน การบรรลุระดับนี้จะเป็นของอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าได้ยังไงกัน?”


เยวี่ยเมิ่งลี่หันไปมองหน้าโจวเหว่ยก่อนจะพูดขึ้น “โจวเหว่ย หากนี่เป็นพี่หยวนจริง ๆ แล้วเจ้ายังคิดจะไล่เราออกไป เจ้าก็น่าจะรู้ถึงผลที่จะตามมาดีนะ!”


นั้นทำให้หน้าของโจวเหว่ยซีดลงทันที ตอนนี้หัวใจของเขาเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะแล้ว


ตอนที่ 1605 เล่งหยูผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่

Ink Stone_Fantasy

บนท้องฟ้าสูงขึ้นไปพลังวิญญาณกำลังบ้าคลั่งก่อตัวเป็นคลื่นพายุอันรุนแรง


พลังวิญญาณอันมหาศาลนี้มันทำให้ผู้คนที่พบเจอต้องรู้สึกใจสั่นระรัวอย่างช่วยไม่ได้


นั่นทำให้ยิ่งมีคนมามุงดูที่นี่กันมากขึ้นและมากขึ้นเพื่อจะดูว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่


“น-นั่นมันผู้อาวุโสเย่เรอะ?”


“ผู้อาวุโสเย่? ผู้อาวุโสเย่ไหน?”


“จะมีผู้อาวุโสเย่ที่ไหนอีกเล่า? มันก็มีแต่ผู้อาวุโสเย่ที่หลอมโอสถสุริยันจักรวาลขั้นเทวะโมฆะไว้เมื่อร้อยปีก่อนไง!”


“จริง ๆ ด้วย! เขา…ไม่ใช่ว่าเขาตายในห้วงมิติสืบทอดไปแล้วรึ? ทำไมถึงปรากฏตัวออกมาได้แบบนี้?”


“เจ้าจะโง่อะไรขนาดนั้นกัน? การที่เขาออกมาจากหอยุทธ์แบบนี้มันก็หมายความว่าเขาสามารถรอดออกมาจากห้วงมิติสืบทอดได้ยังไงล่ะ! เจ้าดูเขาสิ อาณาจักรบรรพชนพระเจ้าธรรมดา ๆ ที่ไหนจะสามารถลอยตัวอยู่กลางอากาศได้แบบนั้นกัน?”


“บ้าน่า! นี่มันจะน่ากลัวเกินไปแล้ว! เวลาร้อยปีที่ผ่านมาผู้คนลืมเลือนเขาไปหมดแล้ว คงไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะกลับออกมาได้แบบนี้แน่นอน! เขาเป็นคนแรกที่สามารถรอดกลับมาจากห้วงมิติสืบทอดได้เลย!”



เมื่อทุกคนเริ่มจำได้ว่าร่างที่ลอยอยู่นั้นคือเย่หยวน พวกเขาก็ต่างแตกตื่นกันยกใหญ่


เพราะตั้งแต่บรรพบุรุษทิ้งห้วงมิติสืบทอดนี้ไว้มันก็ไม่มีใครสามารถรอดออกมาจากที่แห่งนั้นได้เลย


แต่ทว่าตอนนี้ เมื่อทุกคนคิดว่าเขาได้ตายลงในนั้นไปแล้ว ตัวเย่หยวนกลับออกมาได้อย่างปลอดภัย!


แค่การปรากฏตัวนี้ของเขามันก็ทำให้สวรรค์ต้องสั่นสะเทือน!


และเรื่องราววุ่นวายที่เกิดในตอนนี้มันก็ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความตั้งใจของเย่หยวนเสียด้วยซ้ำ แต่ความรู้ความเข้าใจที่เขามีในแนวคิดมันเพิ่มพูนขึ้นอย่างมากมายในช่วงหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมา


แต่หากไร้ซึ่งน้ำ แม่น้ำก็ไม่มีทางไหล ภายในห้วงมิติสืบทอดนั้นมันมีพลังวิญญาณเบาบางจนเกินไป ทำให้เย่หยวนไม่สามารถบรรลุระดับขั้นใด ๆ ได้เลยในช่วงเวลาหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมา มันเหมือนกับเป็นการกดอาณาจักรบ่มเพาะของตัวเองไว้อย่างแรง


แต่ตอนนี้พอเขาได้ออกมาเจอกับพลังงานอันหนาแน่นของเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ชั้นใน มันก็ทำให้เขาไม่สามารถควบคุมได้อีกต่อไป จึงเริ่มทำการบรรลุอย่างบ้าคลั่งขึ้นมาเช่นนี้


ทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของเย่หยวนนั้นเหมือนทะเลสาบที่แห้งเหือดซึ่งพร้อมจะรับน้ำฝนทุกหยดที่ตกลงมา


และพลังวิญญาณที่เขาได้เห็นในตอนนี้มันก็เป็นเหมือนฝนห่าใหญ่ที่ไม่ได้ตกมานาน น้ำฝนจึงถูกดูดซับไว้อย่างเต็มแรง


หากเป็นใครคนอื่น การดูดกลืนพลังงานวิญญาณที่รุนแรงเช่นนี้มันคงทำให้เส้นปราณทั่วร่างของพวกเขาแตกเป็นเสี่ยง ๆ ไปแล้ว


แต่เย่หยวนนั้นกลับรู้สึกว่าพลังงานวิญญาณเพียงเท่านี้มันไม่มากพอเสียด้วยซ้ำ ไม่พอเลยสักนิด


พลังวิญญาณเพียงแค่นี้มันไม่พอที่จะรองท้องความกระหายของเขาเลยแม้แต่น้อย


ไม่นานนักเรื่องมันก็ไปถึงหูของเหล่าผู้ใหญ่ในหอโอสถและหอยุทธ์


หรงซูมองดูเงาร่างนั้นที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าด้วยสีหน้าที่ดูไม่สู้ดี


เป็นไปได้ยังไงกัน? เป็นไปไม่ได้! เขาตายในห้วงมิติสืบทอดไปแล้ว ทำไมยังมาอยู่ที่นี่อีก? ทำไม?! หรงซูได้แต่กรีดร้องอยู่ในใจ


การกลับมาในครั้งนี้ของเย่หยวนมันเป็นเหมือนสายฟ้าที่ผ่าลงกลางหัวของเขา!


นักหลอมโอสถที่สามารถหลอมโอสถศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะโมฆะได้ การทดแทนตัวตนเช่นนี้ในอนาคตนั้นเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำ


แต่เขาไม่ได้ต้องการให้มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น


ไม่ไกลไปนักเหล่าผู้อาวุโสหลายคนก็มีสีหน้าที่อธิบายได้ยากอยู่


“นั่นมันผู้อาวุโสเย่จริง ๆ ด้วย! เขาออกมาจากหอยุทธ์! หรือเขาจะสามารถเข้าใจแนวคิดแห่งห้วงมิติได้แล้วกัน? พรสวรรค์เช่นนี้มันจะไม่ท้าทายสวรรค์เกินไปหน่อยรึ?”


“ใช่เลย! ความสามารถในด้านการหลอมโอสถของเขาเองก็สูงส่งมากจนทำให้ผู้ที่พบเห็นต้องสิ้นหวังอยู่แล้ว ใครจะไปคาดคิดว่าพรสวรรค์ด้านการยุทธ์ของเขาเองก็เหนือล้ำฟ้าเช่นกัน”


“มรดกที่สืบทอดมาในห้วงมิติสืบทอดมันเป็นสิ่งที่ไม่มีใครสามารถทำความเข้าใจได้ แต่ชายคนนี้กลับสามารถทำมันได้จริง ๆ ช่างน่าเหลือเชื่อนัก!”


“หืม? ใครน่ะ? หน้าตาไม่คุ้นเลย!”


จู่ ๆ เหล่าผู้อาวุโสก็ได้เหลือบไปเห็นเงาร่างอีกร่างในชุดคลุมสีดำภายในหอยุทธ์


ชายชุดดำคนนี้กำลังเงยหน้ามองดูเย่หยวนที่ลอยตัวอยู่บนท้องฟ้า ดวงตาของเขานั้นเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย แต่ไม่มีใครคาดเดาได้ว่าจริง ๆ แล้วเขากำลังคิดอะไรอยู่


แต่จู่ ๆ ก็มีใครบางคนเดินเข้าไปหาและตะโกนใส่ชายชุดดำ “เจ้าเป็นใครกัน? ไม่รู้รึไงว่านี่เป็นเขตหวงห้ามของหอยุทธ์? เจ้ารู้ไหมว่าการบุกเข้ามาในเขตหวงห้ามนี้ต้องรับโทษยังไง?”


เล่งหยูขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะฟาดฝ่ามือออกไปอย่างรวดเร็วปานสายฟ้า


คน ๆ นั้นยิ้มออกมาก่อนจะตั้งท่าเตรียมรับมือ แต่ทว่าฝ่ามือนั้นของเล่งหยูกลับจางหายไปจากสายตาเขา


เพียะ!


ฝ่ามือนี้ทรงพลังจนส่งร่างของเขาลอยไปไกล!


“เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครกันถึงได้กล้ามาพูดแบบนั้นต่อหน้าข้า?” เล่งหยูพูดอย่างเย็นชา


หลินตงยกมือขึ้นมาลูบใบหน้าของตัวเองด้วยดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความหวาดกลัว


เดิมทีเมื่อเขาได้เห็นว่าเย่หยวนกลับออกมา จิตใจของเขามันก็อยู่ไม่สุขแล้ว


พอเขาได้เห็นร่างของเล่งหยูในเขตหวงห้ามเขาจึงเข้าไปคิดจะระบายอารมณ์กับบุคคลต้องสงสัยคนนี้


เขาคิดว่าพลังฝีมือของอีกฝ่ายคงไม่ได้สูงส่งกว่าตัวเองมากมายนัก หากได้สู้กันจริง ๆ มันก็อาจจะรบกวนการบรรลุระดับของเย่หยวนได้ด้วย


แต่เขาไม่เคยคิดเลยว่าอีกฝ่ายจะแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้ ส่งร่างของเขาลอยละลิ่วด้วยการโจมตีแค่ฝ่ามือเดียว


หัวใจของหลินตงแทบร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่ม เพราะฝ่ามือเมื่อสักครู่นี้ของอีกฝ่ายนั้นมันใช้แนวคิดแห่งห้วงมิติด้วย!


แล้วทำไมชายน่าสงสัยคนนี้จึงสามารถใช้แนวคิดแห่งห้วงมิติได้กัน?


“เจ้า…เจ้ากล้ามาบุกหอยุทธ์วันนี้ อย่าคิดว่าจะได้รอดชีวิตออกไปจากหอยุทธ์เชียว!” หลินตงตะโกนขึ้นอย่างเจ็บใจ


และเรื่องราวความวุ่นวายที่ด้านล่างนี้เองก็ดึงดูดสายตาของยอดฝีมือหลายต่อหลายคนให้หันมาสนใจ จนสุดท้ายสายตาของผู้อาวุโสคนหนึ่งมาหยุดลงที่ร่างของเล่งหยู


เขารู้สึกว่าใบหน้าของชายคนนี้ช่างดูคุ้นตาเสียเหลือเกิน


เล่งหยูหันมาเหลือบมองหลินตงด้วยท่าทางที่ไม่คิดจะใส่ใจคำพูดของเขาเลย


และจู่ ๆ ก็มีชายแก่คนหนึ่งเดินเข้าไปหาเล่งหยู


หลินตงที่ได้เห็นภาพนั้นก็เกิดดีใจขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เขาได้แต่อมยิ้มในใจและตะโกนใส่เล่งหยูไป “เจ้าช่างอาจหาญนัก! แต่ตอนนี้เมื่อต้องเจอกับผู้อาวุโสใหญ่เจ้าก็ไม่มีทางรอดไปได้!”


เล่งหยูจึงหันไปมองที่ชายแก่คนนั้นด้วยใบหน้าครุ่นคิด


หลินตงรีบพยุงตัวขึ้นทักทายชายแก่พร้อมกล่าวขึ้น “ผู้อาวุโสใหญ่ เจ้าคนไม่มีหัวนอนปลายเท้านี้มันกล้าทำร้ายผู้คน ไม่คิดที่จะไว้หน้าหอยุทธ์เลยแม้แต่น้อย!”


ชายแก่คนนี้นั้นไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือผู้อาวุโสใหญ่แห่งหอยุทธ์ เจิ่งชี


เจิ่งชียกมือขึ้นมาบอกปัดหลินตง ทำท่าทางเหมือนบอกให้เขาอย่าได้เก็บมันใส่ใจ ก่อนจะหันไปหาเล่งหยูพร้อมก้มหัวคารวะ “ผู้น้อยขอถาม ท่านคือ…เล่งหยู อาจารย์ปู่เล่งใช่หรือไม่?”


นั้นทำให้เล่งหยูแสดงสีหน้าอันประหลาดใจออกมา “หืม? เข้ารู้จักข้ารึ?”


เมื่อเจิ่งชีเห็นว่าอีกฝ่ายยอมรับว่าตัวเองคือใครแล้วเขาก็อดไม่ได้ที่จะดีใจขึ้นมา เจิ่งชีก้มหัวลงต่ำกว่าเดิมต่อหน้าเล่งหยูและพูดขึ้น “ไม่คิดว่าเลยจะได้มาเจออาจารย์ปู่เล่งหยู ตัวศิษย์มีนามว่าเจิ่งชีเป็นศิษย์ของท่านอาจารย์อู๋ซิงถัง!”


เล่งหยูแสดงใบหน้าที่แปลกประหลาดใจขึ้นมาอีกครั้ง “เจ้าคือศิษย์ของอู๋ซิงถัง? ดูท่าแล้วตอนนี้เจ้าคงเป็นผู้อาวุโสใหญ่แห่งหอยุทธ์กระมัง?”


อู๋ซิงถังจึงตอบออกมา “ศิษย์ไร้ความสามารถ อับอายนักที่ได้มาเป็นผู้อาวุโสใหญ่แห่งหอยุทธ์ด้วยพลังฝีมือเพียงเท่านี้”


เล่งหยูพยักหน้าและถอนหายใจออกมา “ซิงถังเอ้ย เด็กคนนี้มันมารยาทดีจริง ๆ เจ้าพัฒนาตัวเองได้สูงส่งจนกลายเป็นผู้อาวุโสใหญ่ได้แบบนี้ แล้วตอนนี้อาจารย์ของเจ้าไปไหนเสียแล้วล่ะ?”


เจิ่งชีตอบกลับมาด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย “หลายหมื่นปีก่อนท่านอาจารย์ตายลงในแดนลึกลับ”


เล่งหยูเองก็แสดงท่าทางเศร้าสร้อยออกมาเช่นกันพร้อมถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ช่างน่าเสียดาย! ซิงถังนั้นคือหนึ่งในศิษย์ที่ข้าคนนี้ภาคภูมิใจมากที่สุด ไม่นึกเลยว่าทั้งอาจารย์และศิษย์จะอับโชคได้ถึงขนาดนี้!”


หลินตงที่อยู่ด้านข้าตอนนี้แทบจะกัดลิ้นตัวเองตาย สมองของเขาว่างเปล่าไม่สามารถคิดอะไรได้อีก


ผู้อาวุโสใหญ่เรียกชายแปลกหน้าคนนี้ว่าอาจารย์ปู่!


อาจารย์ปู่!


หลินตงไม่เคยนึกไม่เคยฝันเลยว่าชายนิรนามคนนี้จะกลายเป็นสุดยอดของยอดผู้อาวุโส!


แล้วตัวเขาเพิ่งจะทำอะไรลงไปกัน?


แต่ดูท่าตอนนี้พวกเล่งหยูจะกำลังโศกเศร้าจนไม่ได้สนใจในตัวเขาอีกต่อไปแล้ว


เจิ่งชีค่อย ๆ ถามขึ้นมา “อาจารย์ปู่เล่งหยูได้เข้าไปเสี่ยงตายในห้วงมิติสืบทอดเมื่อนานมาแล้ว ตอนนั้นแม้แต่ท่านอาจารย์เองก็คิดว่าท่านได้…ตายลงในห้วงมิติสืบทอดแล้ว ท่านอาจารย์เองก็คงไม่คิดไม่ฝันเหมือนกันว่าท่านจะยังมีชีวิตอยู่! วิญญาณของท่านอาจารย์บนสวรรค์คงต้องโล่งใจมากแน่ ๆ”


แต่เล่งหยูกลับหัวเราะด้วยท่าทางเหยียดหยันตัวเองออกมา “ไม่ตาย แต่ก็ไม่ต่างจากตายนัก หากข้าไม่ได้พบเจอกับเย่หยวนเข้า ข้าคงต้องใช้เวลาชีวิตที่เหลือทั้งหมดอยู่ในห้วงมิติสืบทอดนั้น เป็นคนที่ไม่ตาย แต่ก็ไม่ได้มีชีวิต”


ตอนที่ 1606 บรรลุอย่างต่อเนื่อง

Ink Stone_Fantasy

พายุพลังวิญญาณบนท้องฟ้านั้นไม่มีทีท่าจะจางหายไปง่ายๆ ตรงกันข้ามมันดูจะรุนแรงขึ้นกว่าก่อนเสียด้วยซ้ำ


ตอนนี้พลังของเขาพึ่งขึ้นสูงจนผ่านช่วงคอขวดของอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าชั้นกลางได้แล้ว และกำลังบรรลุสู่ชั้นปลายด้วย


เย่หยวนนั้นเป็นเหมือนกับหลุมดำที่ดูดพลังวิญญาณรอบตัวอย่างบ้าคลั่ง


เวลาร้อยปีที่ไม่ได้รับพลังวิญญาณอย่างเหมาะสมนี้มันทำให้เขาหิวกระหายในพลังอย่างมาก จึงดูดกลืนทุกสิ่งอย่างเข้าไปอย่างไม่มีหยุด


เมื่อเจิ่งชีได้เห็นภาพนั้นเขาก็เกิดมีสีหน้าสุดประหลาดใจก่อนจะกล่าวขึ้น “ท่านอาจารย์ปู่ หรือว่าเย่หยวนเขา…”


เล่งหยูพยักหน้ารับ “หากข้าไม่ได้มาเห็นด้วยตาของตัวเองก็คงไม่เชื่อหรอกว่าจะมีใครที่สามารถบรรลุแนวคิดแห่งห้วงมิติสองดาวได้จริง ๆ ด้วยเวลาแค่ร้อยปี ข้าไม่รู้หรอกนะว่าเจ้าหนุ่มคนนี้ใช้วรยุทธบ่มเพาะแบบไหน แต่การที่จะสามารถทำได้ขนาดนี้มันต้องไม่ธรรมดา ชิชิ เด็กคนนี้มันเป็นตัวตนแห่งความแข็งแกร่งจริงๆ”


เล่งหยูพูดออกมาอย่างเรียบง่าย แต่นั่นกลับกลายเป็นคลื่นลูกใหญ่ซัดเข้าสู่ดวงใจของเจิ่งชี


สองสุดยอดแนวคิดนั้นคือสิ่งที่ทุกคนต่างใฝ่ฝันหา


แต่นอกเสียจากบรรพบุรุษของหอยุทธ์แล้วมันก็ไม่เคยมีใครที่จะสามารถเข้าใจถึงมันได้อีก


หลายต่อหลายปีผ่านไป ตอนนี้หากจะบอกว่าเจิ่งชีไม่ประทับใจมันก็คงเป็นคำโกหก


แต่เขาเองก็ไม่มีปัญญาที่จะลองทำดู


กว่าแสนปีก่อนว่ากันว่าเล่งหยูเป็นอัจฉริยะที่ไม่เคยปรากฏตัวขึ้นมาก่อนในโลกหล้า!


และขนาดคนแบบนั้นยัง ‘ตาย’ ลงในห้วงมิติสืบทอด ใครจะยังกล้าเข้าไปอีก?


ไม่มีใครคาดฝันเลยว่าเย่หยวนจะสามารถเข้าใจมันได้จริงๆ



จิตใจของโจวเหว่ยในตอนนี้มันปั่นป่วนสับสนไปหมด ความขมขื่นที่เขามีในตอนนี้มันยากจะหาคำใดมาอธิบาย


เหตุผลที่โจวเหว่ยกล้าปฏิบัติแบบนั้นต่อเยวี่ยเมิ่งลี่ อิ้งหมัวหู่และพรรคพวกมันเป็นเพราะเขาเชื่อว่าเย่หยวนได้ตายลงไปแล้วในห้วงมิติสืบทอด


แต่ความเป็นจริงกลับไม่เป็นไปดั่งที่เขาคาด


“นี่…นี่มันเป็นไปไม่ได้! เขา…ไม่ใช่ว่าเขาตายลงในห้วงมิติสืบทอดแล้วรึ? ทำไมถึงได้ปรากฏตัวออกมาเช่นนี้?!”


ร่างของโจวเหว่ยนั้นสั่นสะท้านอย่างห้ามไม่อยู่ เมื่อเขาได้เห็นร่างของเย่หยวนเขาก็รู้ได้ทันทีว่าชีวิตของเขาคงจบสิ้นกันแล้ว


เมื่อร้อยปีก่อน เย่หยวนนั้นเหนือล้ำกว่าใครๆ มาก กล้าท้าทายแม้กระทั่งท่านผู้อาวุโสใหญ่หรงซู


แต่ตอนนี้เย่หยวนกลับมาพร้อมด้วยแนวคิดแห่งห้วงมิติในมือ


เย่หยวนที่เก่งกาจทั้งด้านการโอสถและการยุทธนั้นเป็นตัวตนที่ยากจะหาใครมาเปรียบในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นี้


หากคนอย่างเขาคิดจะกล่าวโทษใครสักคนเข้า มันก็คงไม่มีใครกล้าขัด!


“ฮ่าฮ่าฮ่า สมเป็นพี่ใหญ่จริงๆ โจวเหว่ย ไหนเจ้าว่าพี่ข้าตายในนั้นไปแล้วไง? ลองเบิกตาหมา ๆ ของเจ้าดูดี ๆ อีกทีสิว่าคนที่อยู่ตรงนั้นคือใครกัน!” อิ้งหมัวหู่หัวเราะลั่น


หลายปีมานี้พวกเขาทั้งหลายถูกโจวเหว่ยข่มเหงรังแกมามาก


ตอนนี้เมื่อได้เห็นท่าทางหัวหดเป็นตัวติดกระดองของโจวเหว่ยมันจึงทำให้ผู้คนรู้สึกปลอดโปร่งอย่างบอกไม่ถูก


โจวเหว่ยฝืนยิ้มและพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เหมือนคนกำลังจะร้องไห้ พร้อมก้มลงคุกเข่าต่อหน้าอิ้งหมัวหู่และพูดขอร้องอย่างขื่นขม “นายน้อยอิ้งหมัวหู่ มัน…มันเป็นเพราะข้าน้อยโง่งมเอง! เรื่อง…เรื่องนี้ข้าน้อยถูกผู้คนบงการมา เพราะเช่นนั้นข้าจึงกล้าทำเรื่องราวสุดโง่งมแบบนั้นออกมา! น-นายน้อยอิ้งหมัวหู่ ช่วยโปรดแสดงความเมตตาอันล้ำฟ้าของท่านแก่ข้าน้อยด้วยเถอะ!”


เยวี่ยเมิ่งลี่และคนอื่นๆ หันมามองโจวเหว่ยราวกับเขาเป็นแค่ขยะชิ้นหนึ่ง เจ้าหมอนี่มันช่างเป็นคนเหลวแหลกไร้จุดยืด ข่มเหงผู้อ่อนแอ หวาดกลัวผู้แข็งแกร่ง เป็นแค่หญ้าที่ทำได้แค่อ่อนไหวไปตามลม


ตอนที่เย่หยวนไม่อยู่เขาทำเรื่องให้ทุกคนต้องลำบากไว้มากมาย


แต่พอเย่หยวนกลับมาเขากลับทำตัวอ่อนน้อมถ่อมตนทันที


นิสัยแบบนี้เป็นสิ่งที่ทุกผู้คนทั้งร้ายดีต่างเกลียดชังและดูแคลนอย่างถึงที่สุด


“เฮอะ จะให้นายน้อยอิ้งหมัวหู่คนนี้ช่วยเมตตาเจ้า? เจ้าไม่มีโอกาสนั้นอีกต่อไปแล้ว! มาขอร้องตอนนี้มันก็เปล่าประโยชน์ เรื่องนี้ข้าจะปล่อยให้พี่ใหญ่จัดการตัดสิน” อิ้งหมัวหู่พูดด้วยรอยยิ้มอันเย็นเยือก


“หากเจ้ารู้ว่าวันนี้จะมาถึงทำไมเมื่อก่อนถึงกล้าทำตัวเช่นนั้นเล่า! ทั้งเจ้าและซ่งฉีหยางต่างรวมหัวกัน แต่เจ้านั้นเป็นคนที่ลงมือทำทุกอย่างออกมา ข้าล่ะอยากรู้จริงๆ ว่าซ่งฉีหยางจะออกมารับหน้าแทนเจ้าไหม!” เยวี่ยเมิ่งลี่ตะคอกออกไป


ตอนนี้จิตใจของโจวเหว่ยนั้นเปี่ยมไปด้วยความเสียใจกับสิ่งที่เคยทำ!


คนเราทำอะไรต้องเหลือทางเลือกไว้หนีเสมอ แต่เขาคนนี้กลับกดดันพวกเยวี่ยเมิ่งลี่จนถึงที่สุด


“ข้า…ข้าน้อยผิดไปแล้ว! ข้าน้อยรู้ตัวดีว่าได้ทำความผิดไว้มากมายแค่ไหน ข้าน้อยมีตาหามีแววไม่ ข้ามันถูกความโลภเข้าครอบงำ ข้า…” โจวเหว่ยพูดไปก็ตบหน้าตัวเองไปด้วย


การกระทำนั้นทำให้สายตาของคนที่ผ่านไปมาต้องหันมามอง แต่โจวเหว่ยเองก็ไม่สนใจกับสายตาดูถูกพวกนั้นอีกแล้ว


โจวเหว่ยรู้ตัวอย่างดีว่าหากเขาไม่สามารถได้รับการอภัยจากคนเหล่านี้ได้ ชีวิตของเขาคงจบสิ้นลงแน่ๆ


ด้วยตำแหน่งของเขาในตอนนี้การไปหาเรื่องผู้อาวุโสนั้นมันไม่ต่างอะไรกับการรนหาที่ตาย


ที่สำคัญด้วยความสามารถของเย่หยวนในตอนนี้เขาคงได้รับตำแหน่งสำคัญในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ในไม่ช้า เป็นตัวตนที่แม้แต่ผู้อาวุโสใหญ่ก็ยังไม่กล้าไปยุ่งด้วยง่าย ๆ


โจวเหว่ยทั้งตบและต่อยตัวเองอย่างต่อเนื่องพร้อมพูดคำขอโทษออกมาไม่ขาดสาย มันดังและชัดเจนไปทั่วทั้งบริเวณ


แม้จะอยู่ต่อหน้าผู้คน แต่ยอดยุทธอาณาจักรราชันพระเจ้าผู้อาจหาญอย่างเขากลับตบต่อยด่ากล่าวตัวเองอย่างไม่คิดถึงศักดิ์ศรีใด ๆ


“นั่นมันผู้พิทักษ์โจวเหว่ยไม่ใช่เรอะน่ะ? ทำไมเขาถึงได้ก้มหัวทำตัวแบบนั้นต่อหน้าเหล่านักยุทธอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าแบบนั้นกัน?”


“คนพวกนั้นคือคนสนิทของผู้อาวุโสเย่ไงล่ะ โจวเหว่ยนี่ช่างโง่งม หลายปีมานี้เขานึกว่าผู้อาวุโสเย่ตายลงไปแล้วและข่มเหงรังแกคนพวกนั้นมาตลอด”


“เฮอะ ก็คงไม่มีใครคาดคิดหรือกว่าจะมีคนรอดออกมาจากห้วงมิติสืบทอดได้ แต่ผู้อาวุโสเย่กลับทำได้จริงๆ”


“อ่า เมื่อคนเรามีอำนาจขึ้นมา ขี้หมูขี้หมารอบๆ ตัวเขาก็จะได้ขึ้นสูงสู่สวรรค์ไปด้วย ต่อให้คนสนิทของเขาจะมีพลังยุทธแค่อาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าแล้วจะทำไม? จะมีใครกล้าไปลบหลู่พวกเขาเล่า?”



คำพูดของผู้คนที่เดินผ่านไปมานี้มันเหมือนเสียงผายลม แต่เมื่อมันลอยมาเขาหูของพวกลี่เอ๋อมันกลับทำให้เกิดความระคายเคืองไม่น้อย


ตอนนี้จิตใจของทุกผู้คนต่างล้วนเกิดอารมณ์ที่แปลกประหลาดขึ้น


และเป็นอิ้งหมัวหู่ที่พูดขึ้นมาอย่างไร้เยื่อใย “เจ้าไปให้พ้นหน้าข้า ข้าไม่อยากเห็นหน้าสวะของเจ้า! หากยังเอาแต่พูดไม่รู้จักจบแบบนี้ข้าจะไปรายงานพี่ใหญ่ให้จัดการเจ้าให้ถึงตายเลย เชื่อไหมล่ะว่าข้าทำได้จริง?”


โจวเหว่ยจึงดีดตัวขึ้นจากท่าคุกเข่าในทันที “ขอรับ ขอรับ ขอรับ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ จะไปให้พ้นหน้าท่านเดี๋ยวนี้!”


พูดจบเขาก็พุ่งตัวออกไปทันที



คงไม่มีใครคาดคิดว่าเย่หยวนจะใช้เวลาในการบรรลุถึงสิบวันสิบคืนติดต่อกัน


เหล่านักยุทธในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ต่างรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าพลังวิญญาณรอบๆ ตัวพวกเขามันเบาบางลงอย่างเห็นได้ชัด


เพราะพลังวิญญาณพวกนี้มันถูกเย่หยวนสูบไปจนหมดเกลี้ยง


ต่อให้มีคนฝึกฝนการบ่มเพาะมากแค่ไหน พวกเขาก็ทำได้แค่ทีละขั้นทีละตอน


ต่อให้พื้นที่นี้จะมีพลังงานวิญญาณที่หนาแน่น แต่พวกเขาก็ไม่มีทางดูดกลืนมันเข้าไปจนหมดได้เลย


แต่เย่หยวนล่ะ? นี่มันเป็นการกระทำที่ไม่สนใจชีวิตของตัวเองเลยแม้แต่นิด


ที่สำคัญคือพลังบ่มเพาะของเย่หยวนกลับยิ่งเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่มีหยุด


“การบรรลุของผู้อาวุโสเย่นี่มันช่างบ้าคลั่งจริงๆ ในเวลาไม่กี่วันมานี้เขากลับสามารถบรรลุจากอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าชั้นกลางไปสู่อาณาจักรบรรพชนพระเจ้าชั้นปลายได้”


“ดูท่าแล้ว เขาคงไม่ได้คิดจะบรรลุไปถึงอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าชั้นสุดใช่ไหมเนี่ย?”


“เป็นไปได้! เจ้าดูสิเขาบรรลุแล้ว! พระเจ้าช่วย คนเราสามารถทำการบ่มเพาะแบบนี้ได้ด้วยเรอะเนี่ย!”



การบรรลุชั้นของเย่หยวนนี้มันทำให้ผู้คนที่ได้เห็นต่างเกิดอารมณ์ที่แตกต่างกันไป


อาณาจักรบรรพชนพระเจ้านั้นต่างจากอาณาจักรปกติมากมายนัก การบรรลุแต่ละชั้นมันต้องใช้พลังวิญญาณที่มากมายมหาศาลอย่างเทียบเคียงกันไม่ได้


เหล่านักยุทธต่างๆ ในมหาพิภพถงเทียนต่างใช้วรยุทธบ่มเพาะที่สูงส่งกันทั้งสิ้น แต่มันก็ยังไม่เคยมีใครได้ยินข่าวการบรรลุทีเดียวสองชั้นในเวลาสั้นๆ แบบนี้


แต่เย่หยวนทำได้!


ตอนนี้พลังของเย่หยวนนั้นพุ่งขึ้นสูงจนทะลุผ่านช่วงคอขวดของอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าชั้นปลายได้และเข้าสู่อาณาจักรบรรพชนพระเจ้าชั้นสุด


เมื่อเจิ่งชีได้เห็นแบบนี้เขาก็ตกตะลึงจนแทบลืมหายใจ


แต่เป็นเล่งหยูที่พูดขึ้นมา “เด็กคนนี้มันอยากจะชดเชยช่วงเวลาหนึ่งร้อยปีที่ไม่ได้ทำการบ่มเพาะพลัง! ดูท่าแล้วคงใช้เวลาอีกไม่นานนัก ตอนนี้มันได้เวลาชายแก่คนนี้บ้างแล้ว ชิชิ หากชายแก่คนนี้สามารถได้แบบนั้นบ้างล่ะก็มันจะดีสักแค่ไหนกัน!”


ตอนที่ 1607 ประโยชน์แก่ชนรุ่นหลัง

Ink Stone_Fantasy

อาณาจักรการบ่มเพาะของเย่หยวนพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดดจนไปถึงขั้นที่ไม่สามารถบรรลุได้อีกต่อไปเขาถึงได้หยุดการดูดกลืนพลังวิญญาณอย่างบ้าคลั่งลง


ในที่สุดตอนนี้พลังการบ่มเพาะของเขาก็มาถึงจุดสุดยอดของอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าชั้นสุด ตอนนี้เขาขาดอีกแค่ก้าวเดียวก็จะสามารถเข้าสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าได้แล้ว


เมื่อได้เห็นว่าเย่หยวนหยุดการบรรลุของตัวเองลงแล้วคนทั้งหลายที่เฝ้ามองดูเหตุการณ์ก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างโล่งอก


“พระเจ้า หยุดลงจนได้! ข้าก็กลัวว่าเขาจะบรรลุอาณาจักรไปทั้ง ๆ แบบนี้เลยเสียแล้ว!”


“ผู้อาวุโสเย่นี่ช่างน่าพรั่นพรึงนัก นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ได้เห็นอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าบรรลุชั้นติดต่อกันได้แบบนี้!”


“อย่างพวกเจ้าจะรู้อะไร? ผู้อาวุโสเย่นั้นแค่ปลดปล่อยความรู้ความเข้าใจที่เขามีในช่วงหลายต่อหลายปีที่ผ่านมาเท่านั้น คนอย่างเขามีหรือที่จะไม่บรรลุชั้นเลยในรอบหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมา? เขาเก็บรวบรวมมันมานับร้อยปีและมาดูดกลืนทุกสิ่งในวันนี้ก็เท่านั้น!”


“ก็น่าจะจริง แต่เวลาแค่หนึ่งร้อยปีแต่บรรลุจากอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าชั้นกลางไปอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าชั้นสุดมันก็ยังเป็นอะไรที่เหนือฟ้าอยู่ดี”



ในที่สุดคลื่นพลังวิญญาณในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ก็กลับมาเป็นปกติ ค่ายกลรวมวิญญาณเองก็เริ่มกลับมาเติมพลังให้แก่เมืองชั้นในได้เป็นปกติแล้ว


ช่วงหลายวันมานี้เย่หยวนได้ดูดซับพลังวิญญาณไปอย่างมหาศาลจนทำให้ค่ายกลรวมวิญญาณไม่สามารถหาพลังวิญญาณมาตามความเร็วในการดูดซับของเขาได้ทัน


การบรรลุชั้นของเขาในครั้งนี้มันเหมือนงานเลี้ยงครั้งใหญ่ที่มีการดื่มกินพลังวิญญาณอย่างไม่อั้น ต่อให้เป็นการบรรลุของนักยุทธอาณาจักรราชันพระเจ้าก็ยังไม่กินพลังงานวิญญาณมากมายขนาดนี้


“ฮ่าๆๆ ยินดีด้วยผู้อาวุโสเย่ที่สามารถเข้าใจแนวคิดและกลับออกมาได้!”


“ผู้อาวุโสเย่ช่างเป็นยอดคนอัจฉริยะเสียจริง ๆ ถึงขนาดที่ว่าใช้เวลาเพียงร้อยปีในการเข้าใจแนวคิดแห่งห้วงมิติ!”


“ยินดีด้วยผู้อาวุโสเย่!”



ตอนนี้เหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายต่างเข้ามารุมล้อมแสดงความยินดีกับเย่หยวน


พวกเขารู้ดีว่าเย่หยวนนั้นกลับมาในครั้งนี้อย่างร้อนแรงจนไม่มีใครแล้วที่จะสามารถหยุดคลื่นที่เขาก่อขึ้นได้


ที่สำคัญเขายังพายอดคนกลับออกมาด้วย


พวกเขาทั้งหลายนั้นได้ยินกับหูตัวเองว่าผู้อาวุโสใหญ่แห่งหอยุทธ์ เจิ่งชีเรียกชายแก่คนนั้นว่าอาจารย์ปู่!


และตอนนี้เจิ่งชีก็ได้พาเล่งหยูเข้ามาหาเย่หยวนบ้าง “ผู้อาวุโสเย่ การนำพาอาจารย์ปู่เล่งหยูที่หายตัวไปนับแสนปีกลับมานี้ช่างเป็นบุญคุณกับเจิ่งชีผู้นี้นัก!”


เย่หยวนยักคิ้วขึ้นทันทีที่ได้ยินด้วยสีหน้าท่าทางไม่ค่อยอยากเชื่อหูตัวเองสักเท่าไหร่ “พี่เล่ง…เอ่อ ผู้อาวุโสเล่งหยูเป็นอาจารย์ปู่ของท่านผู้อาวุโสใหญ่?”


ตอนที่เย่หยวนคิดจะเปิดปากพูดเขาก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติในทันที


ผู้อาวุโสใหญ่แห่งหอยุทธ์เรียกเล่งหยูว่าอาจารย์ปู่ แต่เย่หยวนกลับจะเรียกชายแก่คนนี้ว่าพี่เล่งหยู แบบนี้มันจะไม่ข้ามหน้าข้ามตาคนอื่นไปหน่อยรึ?


ตอนที่อยู่ในห้วงมิติสืบทอดมันยังไม่เท่าไหร่ แต่ตอนนี้พวกเขาได้กลับมายังเมืองจักรพรรดิและเย่หยวนได้รู้ถึงระดับรุ่นของเล่งหยูที่เหนือล้ำกว่าใครไปมาก เขาจึงไม่สามารถเรียกเล่งหยูแบบเก่าได้อีกแล้ว


เพราะแม้เย่หยวนจะเป็นคนอหังการไม่เกรงกลัวผู้ใด แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่รู้จักโลกเสียทีเดียว


หากตอนนี้เขาเรียกเล่งหยูออกไปแบบนั้นมันคงสร้างความไม่พอใจให้กับผู้อาวุโสหลาย ๆ คนในที่นี้เป็นแน่


เพราะยังไงเสียตอนนี้เขาก็เป็นเพียงแค่นักยุทธอาณาจักรบรรพชนพระเจ้า


แม้เย่หยวนจะไม่เกรงกลัวหากต้องสร้างศัตรู แต่เขาก็ไม่ได้โง่จนสร้างศัตรูไปทั่วอย่างสะเปะสะปะ


ตอนนี้เย่หยวนรู้สึกปวดหัวมากว่าจะใช้คำเรียกแบบไหนดี แต่กลับเป็นฝ่ายเล่งหยูที่พูดขึ้นอย่างไม่สนใจใด ๆ “เด็กน้อย เจ้าไม่ต้องมาทำตัวสุภาพกับข้าให้มากนักหรอก เราต่างก็มีเรื่องของตัวเองต้องทำ! ในวันหน้าเจ้าก็จงเรียกข้าว่าพี่เล่งหยูต่อไปเถอะ ส่วนที่เหลือก็เรียกกันไปตามสะดวก ชายแก่คนนี้ติดอยู่ในนั้นมานับแสนปี คิดว่าคนแบบนั้นจะยังมาสนใจเรื่องราวมารยาทเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้อีกเรอะ? เออ เจิ่งชีนี่เป็นหลานศิษย์ที่ข้าภูมิใจมาก ๆ ใครจะไปคิดล่ะว่าผ่านไปแสนปีเขาจะสามารถขึ้นเป็นผู้อาวุโสใหญ่แห่งหอยุทธ์ได้”


เล่งหยูไม่ได้สนใจเลย แต่ตอนนี้สีหน้าของเจิ่งชีและผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ดูท่าไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่


เพราะตอนนี้ตัวผู้อาวุโสคนนี้เป็นคนบอกออกมาเองแล้ว พวกเขาจะยังมีหน้าไปขัดอะไรได้อีก?


เย่หยวนเองก็ไม่ใช่คนนิสัยคิดอะไรมากความ เขาจึงยิ้มตอบกลับไป “เชื้อสายพี่เล่งหยูนี่มีแต่ยอดคนทั้งนั้นจริง ๆ แม้ข้ากับผู้อาวุโสใหญ่จะไม่ได้ข้องเกี่ยวกันมากมายนักแต่ข้าก็ได้ยินมาว่าพลังฝีมือของเขานั้นไร้เทียมทาน เป็นเสาทองที่ปักค้ำจุนเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ไว้!”


แต่เมื่อเล่งหยูได้ยินเขากลับตอบมาด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจนัก “ให้เจ้าได้หัวเราะไปก่อนเถอะ! เจ้าไม่เห็นรึ? ข้าในฐานะอาจารย์ปู่กลับมีการบ่มเพาะเพียงอาณาจักรราชันพระเจ้าสามดาว แต่หลานศิษย์ข้ากลับเป็นถึงยอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้าเก้าดาว!”


คำพูดแต่ละคำที่ออกมาจากปากของเล่งหยูมันทำให้ใบหน้าของเจิ่งชีเริ่มแสดงความอายออกมา


แต่ว่าเรื่องแบบนี้มันก็ทำให้ผู้คนไม่สามารถหาอะไรมาเถียงตอบได้


การที่คนคนหนึ่งจะเหนือล้ำกว่าบรรพบุรุษนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก แต่มันเป็นเพราะว่าตอนนั้นเล่งหยูเป็นถึงยอดอัจฉริยะความหวังของเมืองจักรพรรดิทั้งหมด


ใครจะไปคิดว่าโลกใบนี้มันจะโหดร้ายได้ขนาดนั้น? ในเวลาหนึ่งแสนสามหมื่นปีมานี้เขากลับบรรลุได้แค่อาณาจักรราชันพระเจ้าสามดาว


เย่หยวนได้แต่ยิ้มออกมา “พี่เล่งหยูอย่าได้กล่าวเช่นนั้นเลย ด้วยความเข้าใจในวิธีบ่มเพาะของท่านในตอนนี้การบรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้าเก้าดาวนั้นหาใช่เรื่องยากไม่ ความอับโชคจริง ๆ มันอาจจะกลายเป็นโชคก็ได้ บางทีท่านอาจจะใช้ความเข้าใจที่ฝึกฝนมาบรรลุขึ้นถึงอาณาจักรนภาสวรรค์เลยก็เป็นได้!”


เล่งหยูจึงหัวเราะตอบกลับมา “ก็จริง! หากในตอนนั้นชายแก่คนนี้ไม่ได้ติดอยู่ในห้วงมิติสืบทอด ข้าก็อาจจะบรรลุไปถึงอาณาจักรนภาสวรรค์แล้วก็ได้”


เย่หยวนยิ้มตอบมา “พี่เล่งหยู ข้าและท่านต่างมีชะตาร่วมกัน เมื่อใดที่ข้าสามารถบรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้าได้ข้าจะช่วยท่านหลอมโอสถเพื่อบรรลุอาณาจักรเอง!”


เล่งหยูถึงกับหยุดนิ่งไป เหมือนเขาจะเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าเย่หยวนมีตำแหน่งผู้อาวุโสหอโอสถ มิใช่ผู้อาวุโสหอยุทธ์


และเขาก็เริ่มสงสัยขึ้นมาว่าเย่หยวนคนนี้มีดีอะไรถึงไปเป็นผู้อาวุโสหอโอสถได้


ได้เห็นหน้าตางงของเล่งหยูแบบนั้นทางเจิ่งชีจึงพูดขึ้น “ดูเหมือนว่าอาจารย์ปู่จะยังไม่ทราบว่าผู้อาวุโสเย่นั้นผิดแปลกคนเพียงใด ร้อยปีก่อนเขาได้หลอมโอสถสุริยันจักรวาลขั้นเทวะโมฆะที่ทำให้เมืองจักรพรรดิทั้งเมืองต้องสั่นสะท้าน!”


เล่งหยูเบิกตากว้างก่อนจะพูดขึ้นอย่างตื่นตกใจ “โอสถขั้นเทวะโมฆะ! โอสถสุริยันจักรวาล! นี่เจ้าไม่ได้กำลังหลอกลวงผู้คนใช่หรือไม่?”


เจิ่งชีตอบกลับมาด้วยรอยยิ้ม “เจิ่งชีผู้นี้มีหรือจะกล้าหลอกลวงท่านอาจารย์ปู่? เรื่องนี้เหล่าผู้อาวุโสที่อยู่ตรงนี้ทุกคนต่างรู้เรื่องดี”


เล่งหยูหันไปชี้หน้าเย่หยวนในทันที “เจ้า เด็กน้อยเจ้ามันช่างผิดแปลกผู้คน! เมื่อก่อนชายแก่คนนี้ผู้ถูกเรียกว่าอัจฉริยะที่ไม่เคยปรากฏตัวมาก่อนในโลกหล้าแต่ก็ยังไม่สามารถเทียบเคียงเจ้าได้แม้แต่น้อย!”


เย่หยวนจึงยิ้มตอบ “ข้าแค่โชคดีเท่านั้น! อ่า จริงด้วย ผู้อาวุโสใหญ่ ตอนนี้ข้าได้ปรับแต่งห้วงมิติสืบทอดแห่งหอยุทธ์ไปแล้วเรียบร้อย หากต่อไปนี้ใครอยากเข้าไปเพื่อศึกษาแนวคิดแห่งห้วงมิติมันก็ไม่น่าจะอันตรายเหมือนก่อนแล้ว ผู้อาวุโสที่ทิ้งของแบบนี้ไว้ตั้งให้มันรุนแรงมากเกินไป แม้ว่าผลที่ได้มันจะออกมาดีตามแต่มันก็อันตรายจนเกินไป”


เย่หยวนนั้นไม่ได้คิดจะพูดคุยเรื่องนี้ให้นานนักเลยพยายามเปลี่ยนเรื่องคุย


แต่ร่างของเจิ่งชีกลับสั่นสะท้านขึ้นพร้อมพูดด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ “ผู้อาวุโสเย่พูดจริงรึ? เรื่อง…เรื่องแบบนี้เอามาล้อเล่นไม่ได้นา!”


ตอนนี้ไม่ใช่เพียงแค่เจิ่งชีเท่านั้น แต่เหล่าผู้อาวุโสและอาจารย์ทั้งหลาย รวมไปถึงผู้พิทักษ์ที่อยู่ห่างออกไปก็แสดงสีหน้าท่าทางสุดตื่นเต้นออกมาเช่นกัน


เรื่องที่ว่าพวกเขาสามารถศึกษาแนวคิดแห่งห้วงมิติได้นั้นมันเป็นอะไรที่หอมหวานจนทำให้เกิดความแตกตื่นไปทั่ว


แต่ความหอมหวานนั้นมันกลับถูกเคลือบมาด้วยพิษร้าย!


แค่ลองชิมดูมันก็ทำให้ผู้คนถึงตาย ของแบบนั้นจะยังมีใครกล้ากิน?


ตอนนั้นเล่งหยูที่ว่ากันว่าเป็นยอดอัจฉริยะสะท้านหล้านั้นเข้าไปในห้วงมิติสืบทอดก็เพราะแนวคิดแห่งห้วงมิตินี้ไม่ใช่รึไง?


แล้วผลล่ะ?


นอกจากเล่งหยูที่ติดอยู่ภายในแล้ว ทุกคนที่ไปด้วยล้วนตายลงสิ้น!


แต่ตอนนี้เย่หยวนกลับมาบอกว่าเขาได้ปรับเปลี่ยนห้วงมิติสืบทอดให้ดีขึ้น หากไม่ตื่นตกใจกับเรื่องแบบนี้แล้วจะให้ไปแตกตื่นกับเรื่องอะไรอีก?


เย่หยวนได้แต่หัวเราะหลังถูกถามแบบนั้น “ผู้อาวุโสใหญ่ เรื่องใหญ่ขนาดนี้มีหรือที่ข้าจะมาพูดจาโกหกเหลวไหล? แต่ว่าแม้เย่หยวนคนนี้จะปรับเปลี่ยนมันไปบ้างแล้วจนทำให้มันปลอดภัยกว่าเดิมมาก แต่มันก็จะทำให้คนที่เข้าไปทำความเข้าใจแนวคิดแห่งห้วงมิติได้ยากขึ้นเช่นกัน ด้วยความสามารถที่เย่คนนี้มีในตอนนี้ ข้าทำสุดความสามารถได้แค่นี้จริง ๆ”


แต่เจิ่งชีนั้นไม่ได้สนใจเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อีกต่อไป เขาพูดขึ้นด้วยท่าทางสุดตื่นเต้น “ผู้อาวุโสเย่ได้สร้างประโยชน์แก่ชนรุ่นหลังมากมายนัก!”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)