Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1598-1599
ตอนที่ 1598 ห้วงมิติแห่งความโกลาหล
Ink Stone_Fantasy
“นี่ พวกเจ้าได้ยินหรือยัง? ผู้อาวุโสเย่ต้องการจะเข้าไปในห้วงมิติสืบทอดในหอยุทธ!”
“ไม่มีทาง? นี่หาใช่แสวงหาความตายหรอกรึ! ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่า จะมีใครสามารถออกมาจากที่นั่นได้!”
“ผู้อาวุโสเย่นับเป็นการดำรงอยู่ที่น่าเกรงขามแห่งยุค! แต่ไฉนเขาถึงต้องแสวงหาความตายเช่นนี้!”
“หรือเป็นไปได้ไหมว่า เหล่าผู้อาวุโสคนอื่นๆจะไม่คิดห้ามปราม แล้วเฝ้าดูอีกฝ่ายฆ่าตัวตายเช่นนี้จริงๆ?”
…
เรื่องนี้มิอาจปกปิดได้ ข่าวที่เย่หยวนวางแผนเข้าไปในห้วงมิติสืบทอด ได้แพร่กระจายไปทั่วเขตเมืองชั้นในอย่างรวดเร็ว
การกระทำครั้งนี้ของเย่หยวนต่างทำให้ทุกคนเสียสูญอย่างหนัก
ผู้อาวุโสแห่งหอโอสถวิ่งไปยังหอยุทธ์เพื่ออันใด? สรรหาความตื่นเต้นให้ชีวิตตนเอง?
พอทำเนาหากอีกฝ่ายต้องการขัดเกลาฝีมือการต่อสู้บ้าง จึงต้องการเข้าไปในหอยุทธ์เฉยๆ แต่นี่อีกฝ่ายเล่นวิ่งตรงเข้าหาห้วงมิติสืบทอด สถานที่ต้องห้ามและอันตรายที่สุดในหอยุทธ์
หรือผู้อาวุโสเย่เหนื่อยหน่ายกับชีวิตนี้แล้ว?
“หุหุ เด็กหนุ่มล้วนเป็นแบบนี้กันทุกคน คิดว่าตนเองมีความสามารถและไร้ผู้ใดทัดเทียม คิดว่าตนเองแตกต่างจากคนอื่นๆ ย่อมสามารถออกจากห้วงมิติสืบทอดได้อย่างปาฏิหาริย์ แต่ไหนเลยจะมีปัญญาออกมาได้? ตั้งแต่เมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ก่อตั้งมา ยังไม่เคยมีใครสามารถออกมาได้!”
เมื่อผู้อาวุโสใหญ่ทราบข่าว เขาก็หัวใจพองโตขึ้นทันที
สองสามวันมานี้ เขาไม่กล้าแม้แต่ออกจากหน้าประตูจวนด้วยซ้ำ เขาไม่เหลือหน้าไปมองใครแล้ว
ผู้อาวุโสใหญ่ผู้สูงศักดิ์กลับพ่ายลงให้แก่เด็กน้อยที่เป็นเพียงจอมเทพโอสถสามดาว สิ่งนี้ช่างอัปยศเกินทานทน
แต่พอมาวันนี้ เขาค่อนข้างอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะเย่หยวนกำลังจะคิดท้าทายห้วงมิติสืบทอด
“ท่านอาจารย์ เย่หยวนคนนี้มีความหยิ่งผยองและทะนงตนเป็นที่สุด ไม่รู้จักความกว้างใหญ่ของฟ้าดิน ไม่ว่าคนประเภทนี้จะมีความสามารถมากมายมหาศาลเพียงใด สักวันย่อมมีก้าวพลาดเช่นกัน!”
ซ่งฉีหยางกล่าวเสริมอยู่ข้างกาย
หลายวันมานี้ นับเป็นเรื่องลำบากใจยิ่งสำหรับศิษย์อาจารย์คู่นี้ พวกเขารู้สึกละอายใจเกินกว่าจะเสนอหน้าไปพบใคร
หรงซูพยักหน้า ยิ้มกล่าวว่า
“แนวคิดแห่งห้วงมิติเป็นเรื่องยากเกินจะเข้าใจ กระทั่งเหล่าบรรพชนรุ่นก่อนยังต้องใช้เวลากว่าหลายหมื่นปี แต่ก็ยังไม่สามารถบรรลุชั้นสวรรค์ระดับสองได้ด้วยซ้ำ แล้วเย่หยวนคิดว่าตนเองเป็นใครกัน?”
ซ่งฉีหยางเอ่ยกล่าวอย่างตื่นเต้นขึ้นว่า
“ผู้อาวุโสรองเองยังมิอาจหยุดเขาได้เช่นกัน ดังนั้นแล้ว ขุนพลตัวสำคัญของฝ่ายผู้อาวุโสรองก็หายไปอีกหนึ่ง! ฮ่าๆๆๆ!”
หรงซูระเบิดหัวเราะเยาะและกล่าวว่า
“เจ้าคิดว่าซวนอี้สามารถควบคุมเด็กนั้นได้ดั่งใจ? ด้วยความทะเยอทะยานของเด็กนั้น เขาไม่ยอมให้ใครอยู่เหนือหัวแน่นอน! ยิ่งไปกว่านั้นซวนอี้ก็มีฝีมือไม่ต่างจากข้าเท่าไหร่ แล้วเขาหรือจะมีสิทธิ์อะไรจะให้เย่หยวนกลายมาเป็นหนึ่งในขุนพลของมัน?”
สีหน้าการแสดงออกของซ่งฉีหยางแปรเปลี่ยนไปทันที เขาคิดไม่ถึงเรื่องนี้ไปจริงๆ
“เช่นนั้นแล้ว…ทั้งสองคนนั้นมีความสัมพันธ์กันแบบใด?”
ซ่งฉีหยานตระหนักถึงจุดยืนของเย่หยวนได้ทันที ซึ่งจุดยืนของอีกฝ่ายก็อยู่เหนือกว่าทั้งท่านอาจารย์ของเขาและซวนอี้ไปแล้ว
หรงซูแสยะยิ้มเย็นกล่าวว่า
“แบบไหนงั้นรึ? หากการสันนิษฐานของข้าถูกต้อง ซวนอี้น่าจะศึกษาเรียนรู้จากเย่หยวนมาไม่น้อย! หากเจ้าต้องการทราบว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาเป็นแบบใด คงกล่าวได้ว่าพันธมิตรคงเหมาะสมที่สุด! ด้วยความแข็งแกร่งของเย่หยวน ซวนอี้ไม่มีทางควบคุมอีกฝ่ายได้!”
“ฟู่วว…”
ซ่งฉีหยางดูดไอเย็นแช่มอย่างแสนยำเกรง
จวบจนตอนนี้เขาก็ยังไม่อยากจะเชื่อว่า เด็กน้อยที่อ่อนเยาว์ยิ่งกว่าตนจะบรรลุได้ถึงระดับชั้นที่น่ากลัวปานนี้แล้วจริงๆ
แม้แต่ท่านอาจารย์และผู้อาวุโสรองยังไม่สามารถยั่วยุได้เช่นกัน!
…
ผู้ดูแลหอยุทธ์เอ่ยถามเย่หยวนด้วยความสงสัยไม่คลายใจเสียที
“ผู้อาวุโสเย่ ท่านคิดจะเข้าท้าทายห้วงมิติสืบทอดจริงรึ?”
เขาไม่เชื่อว่า มีหรือที่เย่หยวนยังไม่เคยได้ยินเกียรติศักดิ์ของห้วงมิติสืบทอด แต่กระนั้นเย่หยวนก็ยังจะมา
เขารู้สึกว่านี่มันดูปลอมเกินไป ยังมีใครบางคนกล้าทำเรื่องโง่ๆปานนี้จริงๆ?
เพราะมั่นใจในความสามารถของตนเอง?
แน่นอน…หากเป็นหอโอสถ ย่อมไม่มีใครกล้ากังขา
แต่ที่นี่มันหอยุทธ์!
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“ผู้ดูแลหลิงกล่าวถูกต้องแล้ว ส่งข้าเข้าไปเถิด!”
ผู้ดูแลหลิงทำอะไรไท่ถูกอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะเปิดใช้งานค่ายกลประตูมิติ
เย่หยวนเดินตรงเข้าไปในประตูมิตินั้นทันที ประกายแสงสว่างวาบสาดกะพริบ ทันทีทันใดเขาก็เข้ามาถึงภายในหอยุทธ์
“สถานที่แห่งนี้คือ…”
เย่หยวนกวาดสายตามองโดยรอบ ยามนี้อดสูดหายใจเย็นเจือเหลือเชื่อมิได้
ราวกับตอนนี้ เขายืนอยู่ท่ามกลางกระจกเงานับไม่ถ้วน
เพียงปราดตามองผ่านแค่แวบเดียว เย่หยวนก็รู้สึกได้ทันที สายตาของเขาพล่ามัวอย่างหนักจนเวียนหัว
“สถานที่แห่งนี้คือ ห้วงแห่งความโกลาหล ภาพสะท้อนจะฉายปรากฏนับไม่ถ้วนรอบสารทิศ หากไม่สามารถหาทางออกที่แท้จริงได้ เจ้าจะหลงทางอยู่ในห้วงแห่งความโกลาหลตลอดกาล นอกจากนี้เองช่องว่างระหว่างมิติที่ก่อตัวขึ้นยังเสมือนกับห้วงอากาศระหว่างดินแดน ก้าวพลาดเพียงก้าวเดียว ร่างของเจ้าจะถูกบดขยี้ไม่เหลือ!”
สุ้มเสียงของหวู่เฉินดังก้องออกมาผ่านห้วงความคิดของเย่หยวน
เย่หยวนเข้าใจในทันที แต่ด้วยความประหลาดใจ เขาจึงเอ่ยกล่าวขึ้นว่า
“คิดค้นวิธีเช่นนี้เพื่อปลูกฝังแนวคิดแห่งห้วงมิติลงไป เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงเสียจริง ท่านอาวุโสคนใดสามารถทิ้งมรดกเช่นนี้ได้? นับเป็นยอดอัจฉริยะอย่างแท้จริง!”
“เหอะ อย่าเพิ่งรีบเอ่ยชมคนอื่นไป ห้วงมิติซ้อนทับนี้มิใช่เรื่องง่ายที่จะฝ่าฟันออกไป มิฉะนั้นคงไม่มีเหล่าอัจฉริยะจำนวนมากมายพลาดท่าในที่แห่งนี้เป็นแน่ แม้แต่เจ้าเอง…หากก้าวพลาดไปเพียงก้าวเดียว เจ้าอาจตายได้ทันที!”
หวู่เฉินเอ่ยปากเตือนทันใด
เย่หยวนพยักหน้ากล่าวว่า
“ข้ารู้สึกได้ถึงแนวคิดแห่งห้วงมิติในที่แห่งนี้ แม้ตอนนี้ข้าจักเข้าใจเพียงผิวเผิน แต่เพียงชั้นสวรรค์ระดับหนึ่งก็สามารถย่อขนาดดินแดนให้เล็กจิ๋วเหลือเพียงนิ้วเดียวได้! ข้าไม่ควรประมาทเด็ดขาด!”
ในทีแรก เย่หยวนเข้าใจแนวคิดแห่งห้วงมิติผ่านเต๋าแห่งดาบเท่านั้น และที่เหลือกลับไม่รู้อะไรเลย
ต่อมา ความเข้าใจของเย่หยวนที่มีต่อแนวคิดแห่งห้วงมิติก็เพิ่มพูนขึ้นจนลึกซึ้งมากขึ้นเรื่อยๆ
ชั้นสวรรค์ระดับหนึ่ง ถือเป็นการประยุกต์ใช้กับพื้นที่บริเวณเล็กๆ
กล่าวคือ สามารถย่อหดดินให้เล็กเท่าอณู
ความเข้าใจเพียงแค่นี้ก็สามารถทำให้ผู้คนประหลาดใจเกินพรรณนาแล้ว
แต่อย่างไร ความเข้าใจของเย่หยวนกลับเป็นเพียงหางอึ่งเท่านั้น สิ่งที่อาศัยพึ่งพาจริงๆยังคงเป็นเต๋าแห่งดาบ
แนวคิดแห่งห้วงมิติที่เย่หยวนใช้ได้ จำต้องสำแดงผ่านเต๋าแห่งดาบออกมาเท่านั้น
หากผู้ใดสามารถทำความเข้าใจต่อแนวคิดแห่งห้วงมิติชั้นสวรรค์ระดับหนึ่งได้โดยสมบูรณ์ ความแข็งแกร่งที่ได้รับจจะแตกต่างไปจากแต่ก่อนโดยสิ้นเชิง
“แย่แล้ว! ห้วงมิติแห่งนี้เคลื่อนไหวอยู่ตลอดมิได้หยุดนิ่ง! เย่หยวน ระวังตัว!”
จู่ๆหวู่เฉินก็เอ่ยกล่าวออกมา
แน่นอนว่าห้วงมิติเหล่านั้นเริ่มทับซ้อนเคลื่อนขยับ
แกร๊ก! แกร๊ก!
เสียงบีบตัวของห้วงมิติค่อยๆเคลื่อนเข้าชนกัน
บริเวณที่เย่หยวนยืนอยู่แทบแหลกสลายกลายเป็นผุยผง
เพียงแค่ยืนอยู่นิ่งๆโดยไม่ทำอะไรก็สามารถฆ่าเย่หยวนได้ในชั่วพริบตา
เย่หยวนหรือยังใจแข็งยืนอยู่เฉยๆ เขาระดมแนวคิดแห่งห้วงมิติที่มี ก่อนเคลื่อนขยับไปยังบริเวณอื่น
แต่ในไม่ช้า พื้นที่บริเวณเหล่านั้นก็เริ่มพังทลายลงอีกครั้ง!
เย่หยวนรู้สึกถึงภัยอันตรายอย่างหาที่เปรียบไม่ เขาเร่งทะยานเหาะเหินผ่านห้วงมิติออกไปอย่างต่อเนื่อง
แต่ในไม่ช้า เขาก็ค้นพบว่า ความเข้าใจต่อแนวคิดแห่งห้วงมิติของเขายังไม่เพียงพอ
ห้วงมิตแห่งนี้เริ่มจมดิ่งสู่คาวมโกลาหล รอยแตกและช่องโหว่ระหว่างห้วงมิติเริ่มแสดงให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ
หากเป็นคนอื่นที่ไม่มีความเข้าใจต่อแนวคิดแห่งห้วงมิติเลย ปานนี้คงหลุดออกไปยังห้วงอวกาศและถูกฉีกเป็นชิ้นๆนานแล้ว
…
หอยุทธ์ชั้นแรก ซึ่งเป็นโถงหลักใจกลางของหอยุทธ์ทั้งหมด
หลังผ่านไปหลายวัน ใบหน้าที่แสนคุ้นเคยอย่างผู้อาวุโสใหญ่หรงซูก็ปรากฏตัวขึ้นที่นี่
“หลิงหยุน ข้าได้ยินมาว่า ผู้อาวุโสเย่เข้าท้าทายในห้วงมิติสืบทอดแล้ว ตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?”
หรงซูเอ่ยถาม
หลิงหยุนคือผู้ดูแลคนนั้นที่คอยเฝ้าประตูมิตินี้เอาไว้
เมื่อเห็นผู้อาวุโสใหญ่เอ่ยถามถึงเรื่องนี้ เขาก็ส่ายหัวกล่าวว่า
“สถานการณ์ไม่ดีนัก กลิ่นอายของผู้อาวุโสเย่เริ่มเบาบางลงต่อเนื่อง เป็นไปได้ว่า…ในไม่ช้าเขาอาจหลงเข้าสู่ห้วงอวกาศได้”
ขณะที่เอ่ยกล่าว เขาก็ร่ายอาคมแขนงหนึ่งและยิงออกไปเบื้องหน้า ภาพฉายพลันสว่างขึ้น
บนภาพฉากปรากฏจุดเหลืองจุดหนึ่งอยู่ หรงซูรู้ได้ทันทีว่า นี่เป็นสัญญาณแสดงกลิ่นอายชีวิตของเย่หยวน
และในเวลานี้จุดสีเหลืองบนนั้นก็จางอ่อนแทบจะมองไม่เห็นแล้ว
ตอนที่ 1599 บุคคลผู้ถูกขังในห้วงมิติสืบทอด
Ink Stone_Fantasy
เมื่อมองไปยังจุดแสงสลัวที่หรี่ลงทุกที หลิงหยุนก็ถอนหายใจกล่าวขึ้นว่า
“ช่างน่าเสียดายนัก! ยอดอัจฉริยะนักหลอมโอสถแห่งยุคกลับต้องมาเผชิญพบชะตากรรมเช่นนี้!”
ยามใดที่จุดแสงหายไป นั้นแสดงว่าบุคคลผู้นั้นจะหายลับตลอดกาลนิรันดร์ จะไม่สามารถกลับออกมาจากห้วงแห่งความโกลาหลได้อีก
แต่หรงซูกล่าววาจาเหยียดหยามขึ้นว่า
“นี่เป็นเพราะเขารนหาที่ตายเอง! เขาคิดว่าการที่ตนเองหลอมกลั่นได้ขั้นเทวะโมฆะ จะทำให้เขาไร้เทียมทานและไม่จำต้องฟังคำตักเตือนของผู้ใดอีกต่อไป! ผ่านไปไม่กี่วัน ผยิ่งผยองถึงขั้นท้าทายห้วงมิติสืบทอดเสียแล้ว!”
หลิงหยุนเหลือบมองไปที่หรงซู แต่สุดท้ายก็ไม่กล้าเอ่ยเสริมเติมต่อใดๆ
ศึกการต่อสู้ระหว่างชนชั้นสูง ลูกปลาตัวน้อยที่มีตำแหน่งแค่ผู้ดูแลย่อมไม่สามารถเข้าไปข้องเกี่ยวได้
นอกจากนี้เอง เขายังเข้าใจดีถึงเจตนาของผู้อาวุโสใหญ่ที่มาในวันนี้ แต่เขาก็ไม่มีสิทธิ์พูดอะไรอยู่ดี
ทันทีทันใด ดวงตาคู่นั้นของหลิงหยุนพลันสว่างไสวขึ้นอีกครั้ง เขาเอ่ยกล่าวขึ้นด้วยความประหลาดใจขึ้นว่า
“หื้ม? จุดไฟสว่างขึ้นอีกครั้งแล้ว!”
สีหน้าการแสดงออกของหรงซูพลิกเปลี่ยนฉับพลัน ก่อนพบว่าจุดไฟนั้นสว่างขึ้นแล้วจริงๆ
“หุหุ ดูเหมือนว่าสิ่งนี้อาจทำให้ผู้อาวุโสใหญ่ต้องผิดหวังเสียแล้ว!”
ทันทีทันใด สุ้มเสียงของซวนอี้ก็ดังกึกก้องจากด้านหลัง
หลิงหยุนปวดเศียรขึ้นฉับพลัน สองขั้วอำนาจใหญ่ประหนึ่งคู่กัดตลอดมา กลับโคจรพบหน้าในเวลาเดียวกัน!
แต่ผู้อาวุโสเย่เองก็มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะชักพาสองขั้วอำนาจใหญ่ให้เคลื่อนไหวจริงๆ
หรงซูตะคอกเสียงเย็นตอกกลับทันทีว่า
“เพียงยื้อชีวิตต่ออายุไปอีกเล็กน้อย! อันตรายจากห้วงแห่งความโกลาหลนั้นวิปบาสเพียงใด ใช่ว่าอีกฝ่ายจะไม่รู้ตัว!”
ซวนอี้เหลือบมองหรงซู พร้อมคู่แววตาหลากความหมาย เขากล่าวว่า
“ผู้อาวุโสใหญ่ อารมณ์ค่อนข้างแปรปรวนมิใช่น้อย! ผู้อาวุโสเย่ถือเป็นเสาหลักของเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ หากเขาเสียชีวิตลงภายในนั้น ท่านกล่าวราวกับว่ามันไม่ส่งผลกระทบใดๆเลยต่อเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์?”
สีหน้าการแสดงออกของหรงซูมืดครึ้มลงทันใด ก่นเสียงเย็นใส่ว่า
“เราชายชราคนนี้อารมณ์มิค่อยจะดีนัก! การกระทำของผู้อาวุโสเย่นับว่าไม่สมควร! เขาเป็นถึงผู้อาวุโสแห่งหอโอสถ แต่กลับวิ่งแจ้นเข้ามาในหอยุทธ์เพื่อแสวงหาความบันเทิง! ซวนอี้ หากผู้อาวุโสเย่ตายลงไปจริงๆ กลับต้องเป็นเจ้าที่ต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด!”
ซวนอี้อดสำลักมิได้เมื่อได้ยิน ทันทีทันใด เขาค้นพบได้ทันทีว่า เมื่อเย่หยวนไม่อยู่ข้างกาย เรื่องต่อฝีปากกลับต่อกรกับผู้อาวุโสใหญ่มิได้เลย
ที่ว่ากล่าวออกไปในทีแรก นับว่าดักตัวเองโดยแท้!
หรงซูกรนเสียงเย็นอีกคำโต และสะบัดแขนเสื้อไปทันที
เมื่อเห็นว่าจุดแสงของเย่หยวนสว่างไสวขึ้นอีกครั้ง ความจริงแล้ว เขาเองก็รู้สึกไม่สู้ดีนัก
ซวนอี้จับจ้องไปที่จุดแสงนั้นด้วยความกังวลใจยิ่ง
ซึ่งในความเป็นจริง สถานการณ์ในปัจจุบันของเย่หยวนก็ค่อนข้างเลวร้ายนัก
ห้วงมิติยิ่งนานเข้ายิ่งซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ ความเข้าใจต่อแนวคิดแห่งห้วงมิติของเนย่หยวนไม่ในขณะนี้ ไม่เพียงพอที่จะสนับสนุนร่างของเขาให้เหาะเหินผ่านอากาศได้อีกต่อไป
หลังจากใช้ความพยายามอย่างหนัก เขาก็ค้นพบพื้นที่ห้วงมิติบางส่วนที่มีความเสถียรอยู่บ้างเล็กน้อย เพื่อพักหายใจ
“ให้ตายเถอะ ภายใต้สภาพแวดล้อมแบบนี้ ข้าจะไปทำความเข้าใจต่อแนวคิดแห่งห้วงมิติได้อย่างไร? นี่พวกบรรพชนทิ้งมรดกเอาไว้หรือต้องการฆ่าคนเล่น?”
เย่หยวนเอ่ยปากบ่นไม่หยุดเจือโทสะไม่น้อย
หวู่เฉินกล่าวว่า
“ห้วงมิติแห่งความโกลาหลแห่งนี้อันตรายเป็นอย่างยิ่ง แต่ในเมื่อมีจุดเริ่มต้นก็ต้องมาจุดปลายเช่นกัน หากเจ้าค้นพบจุดสิ้นสุดของที่แห่งนี้ได้ เจ้าจะเปิดโลกทัศน์ครั้งใหม่!”
เย่หยวนพยักหน้าและกล่าวว่า
“ข้าเข้าใจสิ่งที่ท่านต้องการจะสื่อดี แต่จุดจบที่ว่าช่างหายากเย็นเสียเหลือเกิน กล่าวมักง่ายกว่าทำเสมอ”
หวู่เฉินยิ่มและกล่าวว่า
“เจ้าคิดหรือว่า แนวคิดแห่งห้วงมิติจะจับจ้องกันได้ง่ายดุจผักกะหล่ำปลี? ผู้ที่เข้าใจแนวคิดแห่งห้วงมิติล้วนแต่เป็นอัจฉริยะหนึ่งในล้าน แม้เจ้าจะสามารถอนุมานในความคิดจนเข้าใจแนวคิดแห่งห้วงมิติได้ แต่เจ้าก็ทราบดีว่านั้นเป็นเพียงเศษเสี้ยว ต่อให้ตายก็ไม่สามารถทำความเข้าใจต่อแนวคิดได้ง่ายๆ”
เมื่อได้ฟังคำกล่าวของหวู่เฉินไปแบบนั้น เย่หยวนก็คล้ายกับนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ในทันใด
“ผู้อาวุโส เมื่อครู่ท่านกล่าวว่าอย่างไร?”
เย่หยวนเอ่ยสวนกลับไปทันทีอย่างตื่นอกตื่นเต้น
หวู่เฉินกล่าวตอบไปว่า
“ข้าบอกว่า ต่อให้ตายก็ไม่สามารถทำความเข้าใจได้ง่ายๆ”
เย่หยวนโบกมือปัดและกล่าวว่า
“ไม่ใช่! ไม่ใช่! ก่อนหน้าประโยคนั้น!”
หวู่เฉินเกาหัวแกรกแสนมึนงง ครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนเอ่ยตอบไปว่า
“ข้ากล่าวไปว่า แม้เจ้าจะสามารถอนุมานในความคิดจนเข้าใจแนวคิดแห่งห้วงมิติได้ แต่นั่นก็เป็นเพียงเศษเสี้ยว เจ้ามีปัญหาอันใดรึ?”
เย่หยวนตบต้นขาตัวเองฉะใหญ่ อุทานลั่นด้วยความดีใจ
“นั้นไงล่ะ! ไฉนข้าโง่ปานนี้! ก็ที่ข้าเข้าใจเป็นเพราะข้าอนุมานมันผสานเข้ากับเต๋าแห่งดาบ แล้วไฉนข้าต้องเริ่มต้นเข้าใจอะไรใหม่ ทั้งๆที่มีรุนรอนพื้นฐานตั้งแต่ต้นแล้ว!”
หวู่เฉินเอ่ยถามเจือสีหน้าฉงนใจว่า
“หมายความอย่างไร? หรือเจ้าจะใช้เพลงดาบเพื่อเป็นตัวกลาง? มันจะได้ผลรึ?”
เย่หยวนรวนหัวเราะเล็กน้อย กล่าวตอบไปว่า
“ต้องได้ผลแน่นอน! ขอบคุณท่านอาวุโสยิ่งสำหรับคำชี้แนะ มิฉะนั้นข้าคงต้องตายเกิดเป็นชาติที่สามแล้วกระมัง!”
ทันทีที่กล่าวจบ เย่หยวนก็ชักดาบจักรพรรดิล้ำฟ้าขึ้นมาทันที
“เพลงดาบเมฆาลับแล!”
ดาบยาวในมือเย่หยวนเคลื่อนขยับ เข้าสู่สภาวะตัดชั่วฟ้าในทันใด
ท่ามกลางเพลงดาบไสว ห้วงมิติยังคงโกลาหลสับสนวุ่นวายไปหมด
แต่ทันทีทันใด ห้วงมิติทั้งหมดก็ปะทุเดือดราวกับกำลังจะถล่มลงมา
อย่างไรเสีย เย่หยวนประดุจไร้ความรู้สึกโดยสิ้นเชิง ทั่วกายายังคงมีเพลงดาบของเขาห่อหุ้มไว้อยู่
แกร๊ก! แกร๊ก!
ห้วงมิติกำลังแตกสลาย!
ทว่าในเวลานั้นเอง ร่างของเย่หยวนก็อันตรธานหายวับไปทันใด ตรงเข้าสู่บริเวณต่อไป
เย่หยวนยังไม่หยุดแค่นั้น แต่ยังคงร่ายรำเพลงดาบต่อไป
พื้นที่ห้วงมิติโดยรอบแตกกระจายออก ร้าวรานลามมาถึงบริเวณที่เย่หยวนยืนอยู่อย่างรวดเร็ว
ยามนี้เย่หยวนตระหนักพบแล้วว่า เป็นเพราะเขาสำแดงใช้เพลงดาบเมฆาลับแลจึงทำให้ห้วงมิติแห่งนี้บ้าคลั่งยิ่งขึ้น
ราวกับว่าห้วงมิติแห่งนี้รับรู้ได้ถึงพลังของแนวคิดแห่งห้วงมิติ มันจึงเพิ่มระดับแนวคิดให้อยู่สูงกว่าผู้มาท้าทายเล็กน้อย
แต่ถึงอย่างไร แนวคิดแห่งห้วงมิติก็ไม่ใช่เรื่องที่จะเข้าใจเพิ่มระดับเองได้ในทันที
ฤดูใบไม้ร่วงสู่ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูกาลภายในห้วงมิติแปรเปลี่ยนเป็นวัฏจักร เวลาผ่านไปแล้วสามปี
สามปีที่ผ่านมา เย่หยวนยังคงร่ายรำเพลงดาบไม่หยุดหย่อน
พินิจมองให้ดี เพลงดาบที่เย่หยวนสำแดงใช้ในปัจจุบัน ช่างงดงามและประณีตกว่าแต่ก่อนเสียเหลือเกิน
เห็นได้ชัดยิ่งว่า ความเข้าใจของเขาต่อแนวคิดแห่งห้วงมิติยามนี้ ลึกซึ้งไปอีกขั้นแล้ว
ในวันนี้เย่หยวนเกิดความเข้าใจมากยิ่งขึ้นภายในใจ
บูมมม!
ห้วงมิติอันว่างเปล่าถูกเคมดาบเย่หยวนสะบั้นแตกสลายโดยตรง!
ทันทีทันใด ภาพฉากเบื้องหน้าเย่หยวน แปรเปลี่ยนกลายเป็นวิสัยทัศน์แปลกตาไม่รู้จัก
ภายในห้วงพื้นที่แห่งนี้ คงความเสถียรมากเสียยิ่งกว่าพื้นที่ก่อนหน้า
ทันใดนั้นเอง สายตาการจับจ้องของเย่หยวนก็แปรเปลี่ยนไปทันใด คลื่นยักษ์ถาโถมเข้าสู่จิตใจโดยพลัน
เพราะไม่ใกล้ไม่ไกลกลับมาใครบางคนอยู่จริงๆ!
คนที่มีชีวิต!
ใครคนนั้นกำลังนั่ง่สมาธิอยู่ ในเวลาต่อมา เขาก็ค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นพร้อมกับจ้องไปที่เย่หยวน
เย่หยวนเผยท่าทีแสนระวังตัว พร้อมกระชับดาบจักรพรรดิล้ำฟ้าในมือแน่น
ดาบจักรพรรดิล้ำฟ้าเป็นสมบัติราชันพระเจ้าเลิศล้ำก็จริง แต่ก็ยากที่จะรับประกายได้ว่า จะใช้ป้องกันตัวจากคนๆนี้ได้!
เย่หยวนไม่สามารถหยั่งถึงอีกฝ่ายได้เลยสักนิด แต่ด้วยขอบเขตอันไกลโพ้นของหวู่เฉิน เขาตระหนักได้ทันทีว่า อีกฝ่ายเป็นถึงขุมพลังอาณาจักรราชันพระเจ้าสามดาว!
แม้ว่าเย่หยวนจะมิได้เกรงกลัวอีกฝ่าย แต่สุดท้ายนี้ยังต้องใช้ความระมัดระวังตัวอย่างมาก
ปรากฏว่าเบื้องหน้าของเขาเป็นชายชราคนหนึ่งในชุดสีดำ สายตาที่จับจ้องคู่นั้นไร้ประกายชีวิตชีวาราวกับว่าเขาตายลงไปแล้ว
เย่หยวนมั่นใจได้ในทันทีว่า อีกฝ่ายน่าจะเป็นอัจฉริยะแห่งหอยุทธ์เมื่อนานมาแล้ว เขายังคงอยู่ที่นี่เพื่อพยายามทำความเข้าใจต่อแนวคิดแห่งห้วงมิติแห่งนี้
เว้นเสียแต่ว่า เขายังคงถูกขังอยู่ที่นี่และไม่สามารถออกไปไหนได้
เย่หยวนคิดไม่ถึงเลยว่า ยังมีคนรอดชีวิตจากห้วงมิติแห่งนี้จริงๆ
คนๆนั้นขนาดตัวเท่าเย่หยวน เขาปริปากกล่าวขึ้นพร้อมเสียงแหบแห้งขึ้นว่า
“มาที่นี่เท่ากับแสวงหาบทลงโทษให้ตัวเอง! เจ้าหนูน้อย ไม่จำเป็นต้องตั้งท่าป้องกันเช่นนั้น เมื่อมาถึงที่นี่ เจ้าจะไม่มีวันออกไปได้อีก ส่วนสมบัติราชันพระเจ้าเลิศล้ำนั้น ข้ามิได้ต้องการ”
เย่หยวนรู้สึกมึนงงอย่างยิ่งยวด
“หมายความว่าอย่างไร?”
ชายชราคนนั้นหลับตาลงอีกครั้งและกล่าวว่า
“เดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น