Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1592-1597
ตอนที่ 1592 โอสถสุริยันจักรวาล
Ink Stone_Fantasy
การผสานรวมเพื่อขึ้นรูปโอสถนับเป็นหนึ่งในขั้นตอนที่สำคัญที่สุดของการหลอมกลั่นโอสถ!
กล่าวได้ว่าเสมือนกับ ชักพาสายน้ำนับหมื่นสายให้บรรจบกลายเป็นธารน้ำใหญ่
สุ่มเสียงเย็นของเย่หยวนประดุจคมมีดสับ บริเวณจุดบรรจบของสายน้ำเหล่านั้น
รสชาติชนิดแบบนี้ประดุจขัดขากันอย่างแรง
สีหน้าผู้อาวุโสใหญ่พลันแปรเปลี่ยน น้ำเสียงเอ่ยกล่าวเยือกเย็นยิ่งยวด
“เย่หยวน! เจ้าหมายความอย่างไร?”
เย่หยวนเอ่ยกล่าวแสดงท่าทีไร้เดียงสาโต้ตอบ
“ข้าทำอะไรงั้นรึ? โอ้ พอดีข้ารู้สึกไม่ค่อยสบายคอเล็กน้อย จึงกระแอมเค้นเสียงออกมา หรือตอนนี้เองผู้อาวุโสใหญ่เองก็รู้สึกไม่ค่อยสบายคอนัก?”
“เจ้า!”
หรงซูโกรธเกรี้ยวจัดจนใบหน้ามืดทมิฬลง แต่ความจริงแล้ว เขากลับมิอาจเสาะหาถ้อยคำใดมาหักล้างได้เลย
เหล่าผู้อาวุโสที่เหลือกลั้นขำจนหน้าแดงก่ำ เย่หยวนคนนี้ช่างปั่นประสาทเกินไปจริงๆ
แต่เรื่องนี้ ผู้อาวุโสใหญ่ไปปฏิบัติตามกฎก่อน ไม่มีใครสามารถกล่าวโทษได้
แม้วาจาของเย่หยวนจะมิได้ถึงขั้นทำให้ซงฉีหยางเสียสมาธิทั้งหมดไป แต่อย่างไรก็ส่งผลกระทบต่อคุณภาพโอสถอย่างยิ่ง
“เกิดอะไรขึ้นกับข้า? หรือเป็นไปได้ไหมว่าข้ากระทำอันใดผิดไป? ถึงทำให้ผู้อาวุโสใหญ่บันดาลโทสะปานนี้?”
เย่หยวนเอ่ยกล่าวพร้อมสีหน้าไร้เดียงสาดูไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์และสัตว์ใดๆ
สีหน้าของหรงซูดูมืดทมิฬลงอย่างไม่น่าเชื่อ ขณะเดียวกัน เขาปริปากเค้นเสียงขรึมยิ่งว่า
“ผู้อาวุโสเย่ เจ้าเก่งมาก! เก่งมากจริงๆ! คล้อยหลังจากนี้ เราจะได้เห็นกันเสียทีว่า เจ้าจะมีความสามารถแกร่งกล้าปานใด!”
เย่หยวนยิ้ม กล่าวตอบว่า
“ได้รับคำชี้แนะจากผู้อาวุโสใหญ่ทั้งที โอกาสเช่นนี้มิได้มีมาอยู่บ่อยครั้ง เราผู้อาวุโสยินดีเป็นอย่างยิ่ง”
ท่ามกลางบรรยากาศอันเย็นสะท้านปะทะคารมปานนี้ โอสถของศิษย์ทุกคนก็ถูกหลอมกลั่นกันเสร็จสมบูรณ์
เหล่าศิษย์ที่ผ่านเข้าถึงรอบสามสิบคนสุดท้ายได้ จุดแข็งของพวกเขาล้วนโดดเด่นอย่างยิ่ง
แม้ว่าโอสถจิตสวรรค์วชิระพิโรธจะหลอมกลั่นยากเข็ญ แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่ว่าพวกเขาจะไม่สามารถหลอมกลั่นได้เลย
“เปิดหม้อหลอม! เหล่าผู้อาวุโสโปรดตรวจสอบเม็ดโอสถ!”
ผู้ดดูแลที่เป็นกรรมการเอ่ยกล่าวเสียงดังฟังชัด
ทุกคนต่างเปิดหม้อหลอมของตนออกมา โอสถเม็ดแล้วเม็ดเล่าบินเหินออกมา
เมื่อหนิงซื่ออวี๋เห็นโอสถจิตสวรรค์วชิระพิโรธของตน นางก็อดดีใจมิได้
นางทำได้จริงๆ!
ขั้นสูงสุด!
เพียงอีกก้าวเดียวก็สามารถทะลวงขึ้นเป็นขั้นยอดเยี่ยมได้!
กลุ่มผู้อาวุโสเดินลงมาจากบนอัฒจันทร์สูง เมื่อเห็นโอสถสีแดงทับทิมเป็นประกายของหนิงซื่ออวี๋ ชั่วขณะทันที ทุกคนอดตื่นตะลึงมิได้
พวกเขาหรือจะคาดหวังว่าหนิงซื่ออวี๋จักสามารถหลอมกลั่นได้ถึงขั้นสูงสุด?
“ดูเหมือนว่ารอบนี้จะค่อนข้างชัดเจนมากแล้ว หนิงซื่ออวี่คว้าอันดับหนึ่งในบรรดาทั้งสามสิบคน!”
ผู้อาวุโสกล่าวขึ้น
เหล่าผู้อาวุโสจำนวนหนึ่งต่างแห่เข้ามาแสดงความยินดีต่อหน้าซวนอี้
“ผู้อาวุโสรองขอแสดงความยินดีด้วย! หนึ่งในสิบสิทธิ์ที่จะเข้ารับตำแหน่งในหอโอสถครั้งนี้ เป็นของศิษย์เชื้อสายท่านแล้ว! นี่นับว่าน่าทึ่งโดยแท้!”
ขณะเดียวกัน ซวนอี้คลี่ยิ้มกล่าวหันมากล่าวว่า
“แค่โชคดีเท่านั้น ทั้งหมดต้องขอบคุณผู้อาวุโสเย่เป็นอย่างยิ่ง!”
ซวนอี้ย่อมรู้สึกยินดีปรีใจเป็นธรรมชาติ แต่เขาก็ทราบดี ทั้งหมดเป็นความดีความชอบของเย่หยวน และมิได้เกี่ยวข้องกับตัวเขาเลย
หลายปีมานี้ถูกผู้อาวุโสใหญ่กดขี่รังแกมาโดยตลอด ในที่สุดวันนี้ก็ได้ระบายความในใจออกมาจนหมดสิ้น
ผู้อาวุโสใหญ่เดินลงมาตรวจดูโอสถของทุกคนเพียงเที่ยวเดียว และขึ้นกลับไปยังอัฒจันทร์สูงในทันที เขายังมีหน้ายืนอยู่ตรงนั้นได้อย่างไร?
เสียงอุทานของเย่หยวนที่ดังขึ้นชั่วขณะ ทำให้โอสถของซ่งฉีหยางกลายมาเป็นขั้นต่ำ
แล้วโอสถขั้นต่ำจะมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะติดสิบอันดับแรกได้อย่างไร?
ซ่งฉีหยางยามนี้ หายไปไหนไม่ทราบ เขาเองก็ไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้อีกต่อไป
วันนี้เขาเสียหน้าโดยสมบูรณ์
หลังจากผ่านไป หนึ่งชั่วยามเต็ม ลวี่อี้ และ ติงซุนเองก็ได้รับสิทธิ์เข้าสู่หอโอสถได้สำเร็จเช่นกัน
เมื่องานประลองจบลง หรงซูลุกขึ้นพรวดสุดเหลืออด คำรามเสียงเย็นว่า
“ผู้อาวุโสเย่ ถึงตาพวกเราแล้ว!”
เย่หยวนค่อยๆลุกขึ้นกิริยาแสนใจเย็น ยิ้มกล่าวว่า
“ผู้อาวุโสใหญ่ดูตื่นเต้นเสียจริง ระวังส่งผลกระทบต่อสมาธิของท่านเอาได้”
หรงซูเค้นเสียงเย็นตะคอกดังลั่น
“ไม่ต้องแส่กังวลแทนข้า! วันนี้เราชายชราจักสั่งสอนเจ้าเองว่า ตำแหน่งผู้อาวุโสใช่ว่าใครจะเป็นก็ได้”
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“ผู้อาวุโสใหญ่ เช่นนั้นประลองอย่างไรดี?”
หรงซูกล่าวเสียงเย็นตอบ
“เดี๋ยวหาว่าเราชายชรากำลังกลั่นแกล้งเจ้า โอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสามชนิดใดก็ได้ เจ้าเลือกตามใจอิสระ!”
สุดท้ายนี้ผู้อาวุโสยังคงกังวลเรื่องภาพพจน์ตนเองเป็นที่สุด และไม่ต้องการเป็นที่ครหาว่าตนกลั่นแกล้งผู้เยาว์ดังนั้นแล้ว เขาจึงให้เย่หยวนเลือกชนิดโอสถเอง
ในมุมมองของเขา ไม่ว่าจะเป็นโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสามชนิดใด เขาก็ไม่มีปัญหา สามารถบดขยี้เย่หยวนได้สบายเขาเป็นถึงผู้อาวุโสใหญ่แห่งหอโอสถ ซึ่งเป็นจอมเทพโอสถสี่ดาว มีหรือจะพ่ายให้แก่จอมเทพโอสถสามดาว?
แม้ว่าเย่หยวนจะแตกต่างจากคนอื่นๆอยู่บ้าง แต่สุดท้ายก็ยังเป็นเพียงจอมเทพโอสถสามดาว ในมุมนี้หรงซูมั่นใจเต็มเปี่ยม
เย่หยวนที่ได้ยินเช่นนั้นก็กล่าวว่า
“ผู้อาวุโสใหญ่เป็นคนใจกว้างโดยแท้ แล้ว…ข้าจะเลือกโอสถชนิดใดดี?”
หรงซูตะคอกสวนเสียงเย็นตอบกลับไปว่า
“เจ้าก็รีบเลือกมา! เราชายชราอาวุโสกว่าเจ้า หรือเป็นไปได้หรือไม่ที่ยังต้องลดตัวกลั่นแกล้งเจ้า? อย่าลืมไปเสีย เจ้ายังเป็นแค่จอมเทพโอสถสามดาว หรือต้องการให้คนทั้งเมืองเย้ยหยันข้า?”
เย่หยวนพยักหน้าและกล่าวว่า
“ผู้อาวุโสรอง ข้าสงสัยเสียจริงว่าโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสามชนิดใดที่ผู้อาวุโสใหญ่เชี่ยวชาญที่สุด?”
ซวนอี้เข้าใจความหมายในคำกล่าวทันที ยิ้มตอบไปว่า
“โอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสามที่ผู้อาวุโสใหญ่เชี่ยวชาญที่สุด มีมากมายเกินชี้แจง แต่หากกล่าวว่าผลงานใดที่เขาเคยสร้างไว้และตราตรึงที่สุดคงเป็น โอสถสุริยันจักรวาล โอสถเม็ดนี้สามารถหลอมสร้างขุมกำลังระดับชั้นราชันพระเจ้าขึ้นได้เป็นกองทัพได้เชียว!”
เย่หยวนเลิกคิ้วมองไปที่หรงซู เขารู้สึกแปลกใจไม่น้อย
ไม่คิดไม่ฝันเลยว่า หรงซูจะเชี่ยวชาญในเรื่องโอสถสุริยันจักรวาลที่สุด!
โอสถสุริยันจักรวาลชนิดนี้ หาใช่โอสถทั่วไป แต่เป็นโอสถที่ช่วยให้ราชันพระเจ้าครึ่งขั้นหรือบรรพชนพระเจ้าขั้นสุด เปิดขอบเขตกว้างไพศาลทั่วฟ้าด ขยายโลกทัศน์ให้กว้างใหญ่ยิ่งขึ้นหลายเท่าตัว
ไม่มีโอสถชนิดใดที่ช่วยให้เหล่าเซียนทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าได้โดยตรง แต่โอสถสุริยันจักรวาลจะช่วยเพิ่มโอกาสในการบรรลุของเหล่าเซียน ให้ก้าวข้ามขีดจำกัดได้ง่ายขึ้น
โอสถชนิดนี้กล่าวได้ว่าหายากมาก
ไม่จำต้องคำนึงถึงวัตถุดิบที่ใช้หลอมกลั่นว่าหายากปานใด แต่มันยังต้องการฝีมือการหลอมกลั่นระดับวิปลาสขั้นสุด
แม้แต่จอมเทพโอสถสี่ดาวหลายคนยังไม่สามารถหลอมกลั่นโอสถชนิดนี้ได้
ส่วนจอมเทพโอสถสามดาว ไม่มีใครเคยได้ยินมาก่อนเลยว่าสามารถหลอมกลั่นกันได้
ระดับชั้นอย่างหรงซูและซวนอี้ย่อมสามารถหลอมกลั่นได้โดยธรรมชาติ แต่กลับเป็นหรงซูที่เชี่ยวชาญกว่าในตัวโอสถชนิดนี้
ทันทีที่หรงซูได้ยินแบบนั้น เขาก็กลืนความโกรธลงท้องทันใด สีหน้าดูหยอกเย้าคลี่ยิ้มเย้ยหยันขึ้นว่า
“หุหุ ยังหนุ่มยังแน่นอย่าพึ่งใจร้อนเกินไป! เจ้าคิดจะใช้โอสถที่ข้าเชี่ยวชาญที่สุดเพื่อต่อกร? ข้าขอชื่นชมในความคิดนี้ แต่เจ้า…ยังอ่อนแอเกินไป!”
ความหมายของหรงซูคือ หากเลือกโอสถชนิดนี้ใช้แข่งจริง นี่ไม่เท่ากับว่าตบหน้าตนเองหรอกรึ?
เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่า เย่หยวนต้องการประลองโดยใช้โอสถชนิดที่เขาถนัดที่สุด?
อย่างไรก็ตาม ความเป็นจริงกลับไม่เป็นไปตามที่หวังเสมอไป!
เขาไม่คิดเลยว่า เย่หยวนจะกล้าตบปากตกลงโดยใช้โอสถสุริยันจักรวาลในการประลอง เพราะสุดท้ายนี้ มันหาใช่โอสถที่จอมเทพโอสถระดับสามจะสามารถหลอมกลั่นได้!
ผู้อาวุโสคนอื่นๆต่างเผยสีหน้าดูถูกดูแคลน รู้สึกว่าเย่หยวนคนนี้โอ้อวดเกินไป
“ผู้อาวุโสเย่คนนี้ ยิ่งข้ามองเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกไม่น่าเชื่อถือมากเท่านั้น”
“ถูกต้อง จะบอกว่าหนิงซื่ออวี๋ได้รับคำชี้แนะจากเขาเลยเก่งขึ้นทันตา? ข้าไม่มีทางเชื่อจนวันตาย!”
“เด็กน้อยไร้ซึ่งพละกำลัง กลับไม่รู้จักความยิ่งใหญ่ของฟ้าดิน โอสถสุริยันจักรวาลหรือจะหลอมกลั่นได้?”
…
เย่หยวนเพียงยิ้มตอบและกล่าวกับซวนอี้ว่า
“ผู้อาวุโสรอง ข้าประลองกับเขาด้วยโอสถชนิดนี้ดีหรือไม่?”
ซวนอี้ยิ้มตอบ
“นี่เป็นการประลองของเจ้า ตัดสินใจเอาเองได้เลย”
เย่หยวนพยักหน้าและหันมากล่าวกับหรงซูว่า
“ผู้อาวุโสใหญ่ อย่าตำหนิว่าข้ามิให้โอกาสท่าน เช่นนั้นประลองด้วยโอสถสุริยันจักรวาล!”
“อะไรกัน?! เขาคิดจะประลองด้วยโอสถสุริยันจักรวาลจริงๆน่ะรึ?”
“นี่มันเรื่องตลกอันใด? เด็กนี่มันจงใจก่อกวนสร้างปัญหาใช่ไหม?”
“จอมเทพโอสถสามดาวน่ะรึหลอมกลั่นโอสถสุริยันจักรวาล? เด็กนี่มันปัญญาอ่อนรึเปล่า?”
ประโยคเดียวของเย่หยวน ทำเอาเหล่าผู้อาวุโสระเบิดความโกลาหลออกมาทันใด
ตอนที่ 1593 กลิ่นอายปะทุคลั่ง
Ink Stone_Fantasy
“เจ้าคิดจะประลองกับข้าด้วยโอสถสุริยันจักรวาลจริงรึ? หึหึ เจ้าหนุ่มคนนี้ ข้าเริ่มสงสัยแล้วว่า เจ้ารู้จักศาสตร์แห่งโอสถจริงๆหรือไม่?”
เมื่อหรงซูได้ยินแบบนั้นก็ระเบิดเสียงหัวเราะชนิดไม่มีหยุดพัก
“จะรู้จักหรือไม่ อีกไม่นานคงได้ทราบ ถึงตอนนั้นอย่าหาวาจาแก้ตัวเสีย?”
เย่หยวนเอ่ยกล่าวน้ำเสียงเย็นสะท้าน
“เหอะ ในเมื่อเจ้ากำลังรนหาที่ตายด้วยตนเองแล้ว เราชายชราคนนี้จะไม่ทำให้ผิดหวัง เตรียมเอาหน้ามุดดินเสียโดยเร็ว”
หรงซูเอ่ยกล่าวประดับยิ้มแสยะเย็น
หากกล่าวถึงความเชี่ยวชาญในการหลอมกลั่นโอสถสุริยันจักรวาลของหรงซู กล่าวได้ว่าเป็นหนึ่งในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาหลอมกลั่นโอสถสุริยันจักรวาล ทะลวงถึงจุดสูงสุดแห่งขั้นสวรรค์ ขาดอีกเพียงก้าวเดียวก็จะบรรลุสู่ขั้นเทวะ
สำหรับโอสถสุริยันจักรวาล นี่นับเป็นเรื่องอัศจรรย์อย่างยิ่งยวด
มีคำกล่าวเล่าขานในหมู่จอมเทพโอสถว่า โอสถสุริยันจักรวาลคือโอสถที่หลอมกลั่นได้ยากที่สุดในบรรดาระดับสามทั้งหมด!
สำหรับจอมเทพโอสถสามดาวที่ต้องการทดลองหลอมกลั่นโอสถสุริยันจักรวาล นับเป็นเรื่องโง่เขลาที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
อาจกล่าวได้ว่าโอสถสุริยันจักรวาล เป็นสิ่งต้องห้ามไปโดยปริยายสำหรับจอมเทพโอสถสามดาว
แม้มันจะเป็นเพียงโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสามก็ตาม
เพียงได้กลืนมันลงไปก็สามารถขยายขอบเขตความเข้าใจต่อยอดเต๋า ประดุจเปิดโลกทัศน์ใบใหม่แก่เหล่าเซียน ตราบใดที่กินมันลงไปจะสามารถเพิ่มพูนความเข้าใจให้อยู่ในระดับลึกซึ้งได้ทันที
นี่จะเห็นได้ว่า ความยากลำบากในการหลอมกลั่นโอสถชนิดนี้มันสูงส่งปานใด
อย่างไรก็ตามแต่ เมื่อทุกคนได้ยินว่า ผู้อาวุโสใหญ่กำลังจะหลอมกลั่นโอสถสุริยันจักรวาล แต่ละคนล้วนตื่นเต้นจนเนื้อตัวสั่นเทาอย่างหาที่เปรียบไม่
“ช่างยอดเยี่ยมเกินไปจริงๆ! การได้มีโอกาสเห็นผู้อาวุโสใหญ่หลอมกลั่นโอสถสุริยันจักรวาลโดยตาตนเองเช่นนี้ นับเป็นครั้งเดียวในชั่วชีวิต!”
“แม้ว่าผู้อาวุโสเย่จะเชื่อถือมิได้ แต่ครั้งนี้เขาได้มอบประโยชน์แก่พวกเราเหล่านักหลอมโอสถระดับล่างอย่างแท้จริง!”
“เหอะ เหอะ ผู้อาวุโสเย่ก็แค่คนโง่เขลาที่ไม่รู้จักเกรงกลัวต่อฟ้าดิน ริอาจประชันกับผู้อาวุโสใหญ่ด้วยโอสถสุริยันจักรวาล? นี่มิใช่พาเด็กน้อยมาทรมานเล่นหรอกรึ?”
“บางทีเขาคงคิดว่า หากพ่ายแพ้ภายใต้การประลองหลอมกลั่นโอสถระดับยากปานนี้ คงจะทำให้ขายหน้าน้อยกว่ากระมัง? แต่ด้วยเหตุนี้จะทำให้เขามีปัญหาแน่นอนในอนาคต!”
…
สมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้หลอมกลั่นโอสถสุริยันจักรวาลหายากอย่างมาก แต่ด้วยอิทธิพลของเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ การรวบรวมสมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ระดับสามเพียงไม่กี่ชุด นับว่ามิใช่เรื่องยากไม่
เพียงว่าราคาโอสถชนิดนี้นับว่าสูงเกินประเมิน มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จ่ายเงินเพื่อเชิญผู้อาวุโสใหญ่มาหลอมกลั่นให้ได้
ไม่นานนัก ก็มีคนนำวัตถุดิบทั้งสองชุดส่งตรงมาที่หอโอสถ
“ผู้อาวุโสเย่ สมุนไพรวิญญาณเหล่านี้ได้มาจากเหล่าสาวกหอยุทธ์ที่เสี่ยงตายเพื่อชิงมันมา แต่การหลอมกลั่นของเจ้ากล่าวได้ว่าสิ้นเปลืองโดยแท้!”
หรงซูชี้ไปที่กองสมุนไพรวิญญาณเหล่านั้นพลางเอ่ยกล่าวขึ้นด้วยความเสียดาย
เย่หยวนหัวเราะเช่นนั้นทั้งๆกับตนเองเมื่อได้ยิน และกล่าวว่า
“คำกล่าวของผู้อาวุโสใหญ่ไม่ถูกต้องเสียทีเดียว จะสิ้นเปลืองหรือไม่คงทราบหลังจากนี้เท่านั้น หากคุณภาพโอสถของท่านแย่กว่า กลับเป็นตัวท่านเองที่ใช้สิ้นเปลือง!”
หรงซูที่ได้ยินแบบนั้นพลันตะคอกเสียงเย็นใส่และกล่าวว่า
“ฝีปากคมดีหนิ! ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะสามารถหลอมกลั่นโอสถสุริยันจักรวาลได้จริงๆ!”
เย่หยวนยักไหล่กล่าวขึ้นว่า
“ไม่มีประโยชน์อันใดที่จะมากล่าวตอนนี้ เริ่มกันเลยเถิด! หึหึ…ผู้อาวุโสใหญ่เริ่มก่อนเลย ข้าขอศึกษาจากท่านก่อน”
หรงซูระเบิดหัวเราะลั่นเมื่อได้ยิน
“เช่นนั้นก็จงดูให้ดี!”
ทันทีที่กล่าวจบ ฝ่ามือทั้งสองของผู้อาวุโสใหญ่ก็วาดลวดลายกลายมาเป็นตราผนึกทันที รัศมีกลิ่นอายแห่งยอดเต๋าพุ่งเฉียดฟ้าสูง สร้างความปั่นป่วนไปทั่วหอโอสถ
เมื่อบรรลุถึงขอบเขตจอมเทพโอสถสี่ดาวได้สำเร็จ ระหว่างการหลอมกลั่นโอสถในแต่ละครั้งจะสามารถกระตุ้นกลิ่นอายแห่งยอดเต๋าออกมาเด้ หากเป็นผู้แกร่งกล้าเฉกเช่นผู้อาวุโสใหญ่จะสามารถดึงพลังออกมาได้มากเป็นพิเศษ
สายตาคู่นั้นของหรงซูแปรเปลี่ยน ดูจริงจังขึ้นถนัดตา เขาเอ่ยพึมพำกับตนเองว่า
“ดูเหมือนว่าความแข็งแกร่งของเขาจะพัฒนาขึ้นอีกแล้ว!”
ทั้งสองสู้รบปรบมือกันมานานหลายร้อยพันปี มักมีหลายครั้งที่ทะเลาะกันอย่างลับๆ
สำหรับพลังฝีมือของหรงซู ซวนอี้ย่อมตระหนักชัดแจ้งดีที่สุด
จากคลื่นพลังสุดน่าประทับใจนี้ เขาสามารถรับรู้ได้ทันทีความแข็งแกร่งของหรงซูพัฒนาเพิ่มขึ้นแล้วเล็กน้อย
พัฒนาการของผู้อาวุโสใหญ่ในครั้งนี้ เดิมที มันย่อมสามารถสลัดหลุดออกจากเขา และนำหน้าไปแล้วก้าวหนึ่ง
แต่ช่างน่าเศร้านัก…ซวนอี้ดันมาพบเจอกับเย่หยวนเสียก่อน!
ครั้งล่าสุดที่ซวนอี้เฝ้าศึกษาเย่หยวนหลอมกลั่นโอสถ นั้นทำให้เขาได้รับผลกำไรไปอย่างมหาศาล
หลายวันที่ผ่านมานี้เอง ซวนอี้ฝีมือพัฒนาขึ้นมากทันตาเห็น
“สมแล้วที่เป็นผู้อาวุโสใหญ่! ขณะที่เขาเริ่มลงมือเคลื่อนไหว ช่างเป็นภาพฉากที่สวยงามยิ่ง!”
“มิอาจทราบได้เลยว่า ในครั้งนี้ผู้อาวุโสใหญ่สามารถทะลวงฝ่าโซ่ตรวนสู่ขั้นเทวะได้แล้วรึยัง!”
“หากผู้อาวุโสใหญ่สามารถทะลวงโซ่ตรวนได้แล้ว เหล่าตระกูลใหญ่คงจับจ้องเชื้อเชิญกันให้ควับ!”
“ก็ควรเป็นเช่นนั้นมิใช่รึ! โอสถสุริยันจักรวาลขั้นเทวะแทบการันตีได้เลยว่า ใครกินผู้นั้นย่อมทะลวงขึ้นเป็นราชันพระเจ้าได้โดยตรง! ยังมีตระกูลใดนิ่งนอนใจได้?”
…
วรยุทธหลอมกลั่นของผู้อาวุโสใหญ่ทั้งสง่างามและซับซ้อน ที่สำคัญเลยคือ มันยังดูเสถียรมั่นคงอย่างหาที่เปรียบไม่
เหล่าปรมาจารย์นักหลอมโอสถมากมาย หรือแม้แต่เหล่าผู้อาวุโสแห่งหอโอสถยังรู้สึกละอายใจในความอ่อนด้อยกว่าเมื่อได้เห็น
จุดแข็งที่ต้องชื่นชมผู้อาวุโสใหญ่เลยก็คือสมาธิและความเพียรพยายามอันไร้สิ้นสุด นั้นทำให้ผู้อาวุโสใหญ่ทรงพลังอย่างยิ่ง
เย่หยวนที่เฝ้าดูอยู่เคียงข้างยังแอบกล่าวชมภายในใจไม่รู้จบ
“จุจุ สมควรยิ่งแล้วที่ได้ตำแหน่งผู้อาวุโสใหญ่ไปครอง ความแข็งแกร่งของเขาไม่ธรรมดาเลยจริงๆ!”
เย่หยวนเอ่ยพึมพำเอ่ยชื่นชมอีกฝ่าย
คนอื่นๆที่ได้ยินแบบนั้นถึงกับพูดไม่ออก ชายคนนี้กล่าวยกย่องอีกฝ่ายแล้วทั้งๆที่ตนเองยังไม่ได้เริ่ม?
หรือเขาไม่สามารถหลอมกลั่นได้อยู่แล้ว และเลือกที่จะยอมแพ้โดยตรง?
“เหอะ! หากเจ้าไม่สามารถหลอมกลั่นได้ก็รีบๆยอมแพ้ไปซะ ตอนนี้เจ้าดูเหมือนตัวตลกน่าขันนัก!”
ในบรรดาเหล่าผู้อาวุโส มีคนหนึ่งเอ่ยปากกล่าวเย้ยหยันทันทีด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
เย่หยวนเองก็มิได้โมโหเช่นกันที่ได้ยิน เขายิ้มตอบว่า
“ไม่ต้องรีบ รอให้เขาหลอมกลั่นไปก่อน ไม่ว่าข้าจะเป็นตัวตลกหรือไม่ เดี๋ยวเจ้าจะได้ทราบหลังจากนี้”
ผู้อาวุโสคนนั้นก่นเสียงเย็นใส่ไปคำหนึ่งและกล่าวว่า
“ข้าจะรอดูว่าเจ้าจะมาไม้ไหน!”
หรงซูเข้าสู่สภาวะสมาธิแล้วโดยสมบูรณ์ ความตั้งใจทั้งหมดล้วนจดจ่ออยู่กันการหลอมกลั่นตรงหน้า
บทสนทนาระหว่างเย่หยวนและผู้อาวุโสคนนั้น เขาย่อมมิได้ยินโดยธรรมชาติ
การประลองครั้งนี้ เดินทีก็เป็นการแสดงฝีมือของผู้อาวุโสใหญ่อยู่ฝ่ายเดียวตั้งแต่ทีแรกแล้ว
ในไม่ช้า ทุกคนต่างก็เพลิดเพลินไปกับฝีมือหลอมกลั่นโอสถอันยอดเยี่ยมของผู้อาวุโสใหญ่ และไม่มีใครให้ความสนใจกับเนย่หยวนอีกต่อไป
พวกเขาในตอนนี้มั่นใจอย่างยิ่งว่า เย่หยวนเป็นแค่เด็กคุยโมที่ไม่รู้จักศาสตร์แห่งโอสถด้วยซ้ำ!
แต่อย่างไร ในเวลานี้เย่หยวนก็เคลื่อนไหวบ้างแล้ว!
ทันทีทันใด รัศมีกลิ่นอายแห่งยอดเต๋าแสนเข้มข้นก็พวยพุ่งทะยานเฉียดฟ้า เหล่าผู้คนพากันตกตะลึงอย่างยิ่งที่ได้เห็น
“นี่เกิดอะไรขึ้น?”
“รัศมีกลิ่นอายแห่งยอดเต๋า! ช่างชัดเจนอะไรเช่นนี้! มันถูกปลดปล่อยออกมาโดยเย่หยวน?”
“นี่เป็นไปได้อย่างไร? รัศมีกลิ่นอายของเขาแกร่งกล้ากว่าของผู้อาวุโสใหญ่หหลายขุมปานนี้?!”
“สวรรค์! สายตาข้ามีปัญหาแล้วกระมัง! จอมเทพโอสถสามดาวสามารถกระตุ้นรัศมีกลิ่นอายแห่งยอดเต๋าได้น่ากลัวอะไรขนาดนี้!”
…
เมื่อเข้าสู่สภาวะหลอมกลั่นโอสถ ร่องรอยความหยิ่งผยองไร้แก่นสารก็พลันอันตรธานหายสิ้นไปจากตัวเย่หยวน
สิ่งที่มาแทนที่คือสมาธิและความนิ่งสงบดุจบ่อน้ำบรรพกาล
ทุกคนต่างจ้องมองไปที่เย่หยวนด้วยสายตาสุดยืนตกตลึง อ้าปากขากรรไกรค้างเติ่งกันเป็นแทบ วรยุทธหลอมกลั่นเสมือนความฝันผสานรวมกับกลิ่นอายแห่งยอดเต๋านี้ ทำเอาทุกคนสามารถสัมผัสรับรู้ได้ทันทีว่า ระดับความเข้าใจของเย่หยวนบรรลุถึงขอบเขตแห่งเต๋าแล้ว!
ภาพฉากการหลอมกลั่นโอสถของผู้อาวุโสใหญ่ดูจืดชืดไปโดยปริยาย เมื่ออยู่ต่อหน้าเย่หยวน!
หลังจากความประหลาดใจอยู่นาน ในที่สุดทุกคนก็ตกอยู่ในภวังค์ของเย่หยวนโดยไม่รู้ตัว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบรรดานักหลอมโอสถมือฉกาจ บางคนเฝ้าจับจ้องราวกับหลงเสน่ห์เข้าเต็มเปา
ปัจจุบัน ภาพฉากการหลอมกลั่นโอสถของเย่หยวน เหมือนกับตอนที่เรียกปรากฏการณ์ท่วงทำนองแห่งยอดเต๋าในตอนนั้นไม่มีผิด สิ่งนี้ทำให้คนรอบตัวจมอยู่กับท่วงทำนองอันแสนไพเราะเหล่านั้น ชนิดจมลึกถึงแก่นจิตวิญญาณ!
พวกเขาค้นพบได้ในทันที วรยุทธการหลอมกลั่นโอสถของเย่หยวนเป็นสิ่งที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน
ช่างเป็นวรยุทธที่ลึกซึ้งและซับซ้อนเกินพรรณนา พวกเขาไม่สามารถเข้าใจได้แม้สักนิด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้อาวุโสเหล่านั้น สีหน้าของพวกเราในตอนนั้นราวกับๆได้รับสมบัติล้ำค่า ยามนี้เปรียบเสมือนเหล่าศิษย์ที่กระหายวิชาจากเย่หยวน
ตอนที่ 1594 ขั้นเทวะโมฆะ
Ink Stone_Fantasy
“นี่…นี่หรือความแข็งแกร่งของผู้อาวุโสเย่?”
“ไม่น่าแปลกใจเลยสักนิดที่ไฉนถึงได้รับตำแหน่งผู้อาวุโสได้ทั้งๆที่เป็นแค่จออมเทพโอสถสามดาว! นี่ไร้ซึ่งข้อกังขาแล้ว!”
“เหลือเชื่อ! เหลือเชื่อจริงๆ! ข้าไม่แม้แต่กล้าจินตนาการเลยว่า จอมเทพโอสถสามดาวจะทรงพลังปานนี้!”
…
เมื่อทุกคนได้สติตื่นขึ้นจากภวังค์แห่งยอดเต๋า แต่ละคนต่างตื่นตะลึงสุดน่าเหลือเชื่อ
การหลอมกลั่นโอสถของเย่หยวนเปรียบเสมือนการเปิดโลกทัศน์ของพวกเขาให้กว้างขวางยิ่งขึ้น
ทันทีทันใด พวกเขาก็เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่า เย่หยวนพึ่งพาสิ่งใดกันถึงได้ตำแหน่งผู้อาวุโสมาครอง
เย่หยวนในยามนี้หลอมกลั่นเสร็จสิ้นแล้ว ในขณะที่หรงซูยังคงตั้งใจหลอมกลั่นอย่างขยันขันแข็ง
เดิม เหล่าผู้คนยังคงตื่นตะลึงกับภาพฉากการหลอมกลั่นของผู้อาวุโสใหญ่ ทว่ายามนี้ เมื่อย้อนกลับมาดูอีกครั้ง มันช่างน่าเบื่อหน่ายเสียเหลือเกิน
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด แต่ในที่สุดโอสถสุริยันจักรวาลของผู้อาวุโสใหญ่ก็เสร็จสมบูรณ์
สำหรับการหลอมกลั่นครั้งนี้ เขาพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง
ตามที่ประเมินไว้ อย่างน้อยต้องเป็นขั้นสวรรค์อย่างไม่ผิดเพี้ยน
ความสามารถในการหลอมกลั่นของเขา ไม่มีใครสามารถเอาชนะเขาได้อีกแล้ว
เมื่อเห็นว่าเย่หยวนยังคงนั่งนิ่งไม่ขยับไปไหน เขาก็พลางคิดว่า อีกฝ่ายยังไม่เริ่มด้วยซ้ำ
“หุหุ ยอมแพ้แล้วรึ? ตอนนี้เจ้าคงตระหนักดีแล้วใช่หรือไม่? อายุกระดูกระหว่างเรามันแตกต่างกันเกินไป!”
หรงซูยิ้มกล่าว
เย่หยวนเอ่ยตอบพร้อมรอยยิ้มที่มิใช่รอยยิ้มว่า
“ข้าหลอมกลั่นเสร็จสิ้นนานแล้ว ท่านต่างหากที่ช้าเหลือเกิน”
หรงซูที่ได้ยินแบบนั้นก็นึกว่ากำลังฟังเรื่องตลกที่สุดในชีวิต เขาระเบิดหัวเราะลั่นกล่าวว่า
“ยังจะหน้าด้านเถียงคำไม่ตกฟาก คิดว่าโอสถสุริยันจักรวาลหลอมกลั่นง่ายดายดั่งกะหล่ำปลีหรืออย่างไร? ที่สามารถสำเร็จได้ภายในระยะเวลาอันสั้น? หรือเจ้าคิดว่าการหลอมกลั่นโอสถคล้ายกับการปรุงอาหาร?”
เย่หยวนเพียงคลี่ยิ้มบาง แต่มิได้เอ่ยกล่าวอันใด
ในเวลาเดียวกัน มีผู้อาวุโสคนหนึ่งรีบวิ่งไปข้างหรงซูและกระซิบสองสามคนข้างหู
สีหน้าการแสดงออกของหรงซูแปรเปลี่ยนไปทันที ก่อนหันควับจับจ้องเย่หยวนด้วยความประหลาดใจยิ่งยวด
เขาได้แต่อ้าปากอยู่แบบนั้น แต่กลับไม่รู้เลยว่าตนควรเอ่ยกล่าวอย่างไร
เย่หยวน…มันหลอมกลั่นได้จริงๆ!
จอมเทพโอสถสามดาวนี่น่ะรึ? หลอมกลั่นโอสถสุริยันจักรวาลได้? นี่เป็นไปได้อย่างไร?
โอสถชนิดนี้นับเป็นสิ่งต้องห้ามของจอมเทพโอสถสามดาว!
หรงซูสะดุ้งเฮือกทันควัน ดวงตากวาดไปยังฝูงชน พินิจปฏิกิริยาของพวกเขาเหล่านั้น พลันเข้าใจถึงบางสิ่งได้ทันใด
เขารู้สึกละอายใจเสียเหลือเกิน ขณะเค้นเสียงเย็นกล่าวกับเย่หยวนขึ้นว่า
“เปิดหม้อหลอม! เราชายชราอยากรู้เสียจริงว่า เจ้าหลอมกลั่นอะไรได้บ้าง!”
ขณะเดียวกัน สีหน้าของทุกคนยังคงเผยความหลงใหล ทุกคนต่างอยากรู้อยากเห็นเสียเหลือเกินว่า ด้วยวรยุทธสุดอัศจรรย์เช่นนี้ เย่หยวนจะหลอมกลั่นโอสถได้ถึงขั้นใด
เย่หยวนยิ้มกล่าวว่า
“เปิดย่อมได้ ผู้อาวุโสใหญ่เปิดก่อนดีกว่าหรือไม่?”
ผู้อาวุโสใหญ่เอ่ยกล่าวเสียงทุ้มต่ำว่า
“เจ้าเสร็จก่อน เช่นนั้นก็เปิดก่อน เราชายชราสงสัยเสียจริงว่า โอสถสุริยันจักรวาลของเจ้าจะได้ระดับชั้นใด! เป็นแค่จอมเทพโอสถสามดาวแท้!”
เย่หยวนยิ้มตอบว่า
“ตามที่ท่านต้องการ!”
ขณะที่เปิดหม้อหลอม ประกายแสงแพรวพราวก็พวยพุ่งออกมา ทะลวงลิบเฉียดไกลสุดขอบฟ้า จนทำเอาเหล่าผู้คนไม่สามารถลืมตาได้
เมฆาบนท้องนภาแปรเปลี่ยนเป็นเจ็ดสี แสนงดงามเกินพรรณนา ทันใดนั้นเองพลันก่อให้เกิดปรากฏการณ์รุ้งกินน้ำขนาดใหญ่!
บรรดาฝูงชนส่งเสียงร้องอุทานดังลั่น
“นี่มันโอสถขั้นอะไรกัน! ถึงขั้นสามารถเรียกปรากฏการณ์ฟ้าดินอันน่าอัศจรรย์ขนาดนี้ขึ้นได้!”
“เจ้าปัญญาอ่อนรึไง! ปรากฏการณ์อันน่าอัศจรรย์เช่นนี้ก็ต้องเป็นขั้นเทวะโมฆะเท่านั้นที่สามารถเรียกได้! โอสถของผู้อาวุโสเย่ทะลวงเกินขั้นเทวะม่วงไปแล้ว!”
“ละ-ล้อเล่นกันกระมัง? โอสถสุริยันจักรวาลขั้นเทวะโมฆะ?!”
“ช่างเป็นภาพฉากที่น่าทึ่งโดยแท้! ในชีวิตนี้ ข้ามีโอกาสได้เห็นโอสถสุริยันจักรวาลขั้นเทวะโมฆะจริงๆ!”
…
สีหน้าของผู้อาวุโสใหญ่เผยความประหลาดใจเกินกักเก็บ ด้วยประสบการณ์ชั่วชีวิตของเขา จะไม่เข้าใจปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างไร?
ช่างเป็นภาพฉากที่รำควาญใจเสียเหลือเกิน!
สามารถกระตุ้นให้ฟ้าดินเกิดปรากฏการณ์มหัศจรรย์ได้ปานนี้ ไม่มีโอสถขั้นใดสามารถทำได้อีกแล้ว นอกจากขั้นเทวะโมฆะขึ้นไป!
ดังนั้น โอสถสุริยันจักรวาลเม็ดนี้คือขั้นเทวะโมฆะอย่างไม่ต้องสงสัย!
แต่นี่มันเรื่องจริงรึนี่?
เย่หยวนเป็นแค่จอมเทพโอสถสามดาวเท่านั้น!
เขาสามารถทำขนาดนี้ได้อย่างไร?
หากไม่เห็นกับตาตนเอง หรงซูคงไม่มีวันเชื่อแน่นอนว่า จะมีจอมเทพโอสถสามดาวคนใดสามารถหลอมกลั่นโอสถสุริยันจักรวาลขั้นเทวะโมฆะได้!
นี่ช่างน่าขันสิ้นดี!
แม้ว่าจะเห็นปรากฏการณ์ฟ้าดินกับตา แต่เขาก็ยังรู้สึกว่านี่มันเรื่องไร้สาระชัดๆ!
นี่ต้องมิใช่ความจริง!
ซวนอี้ถอนหายใจ คลี่ยิ้มอย่างขมขื่น
“ที่แรกข้าคิดว่า เย่หยวนควรหลอมกลั่นได้แค่ขั้นเทวะม่วงเท่านั้น แต่กลับไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะได้ขั้นเทวะโมฆะจริงๆ ไม่รู้เลยว่าขีดจำกัดของชายคนนี้อยู่ที่ไหนกันแน่!”
ลวี่อี้ที่อยู่ข้างกาย อุทานน้ำเสียงประหลาดใจว่า
“ท่านอาจารย์ ปรมาจารย์เย่ช่างน่าทึ่งโดยแท้! โอสถสุริยันจักรวาลขั้นเทวะโมฆะ อาจทำให้เมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ต้องสั่นสะเทือน!”
ซวนอี้ยิ้มกล่าวว่า
“นั้นเป็นเรื่องแน่นอน! คราวนี้หรงซูเดินหมากผิดมหันต์ หากเย่หยวนไม่มีความสามารถจริงๆ แล้วทางเบื้องบนจะมอบตำแหน่งผู้อาวุโสให้เขาได้อย่างไร? ข้าอยากกจะเห็นเสียมากกว่าว่า หรงซูจะกล้าเปิดหม้อหลอมตนเองหรือไม่”
ลวี่อี้ที่ได้ยินแบบนั้น เนื้อตัวพลันสั่นสะท้านทันใด และเข้าใจความหมายได้ทันที
เขาเองก็ไม่คิดเลยว่า ท่านอาจารย์ผู้อสนดีของเขาจะมีด้านขี้เล่นเช่นนี้ด้วย
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หรงซูจะกล้าเปิดหม้อหลอมของตนเองหรือไม่ ช่างเป็นคำถามที่น่าอึดอัดใจเป็นอย่างยิ่ง
มีอัญมณีล้ำค่าหาประเมินไม่อยู่ตรงหน้า เขาไม่กล้านำเสนอเม็ดโอสถของตัวเองแน่นอน
แต่หากไม่เปิดหม้อหลอม นี่คงเป็นเรื่องตลกของชาวเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ไปอีกนานแสนนาน
ช่างเป็นภาพฉากที่น่าอึดอัดใจแทนเสียจริง!
หรงซูในตอนนี้รู้สึกโศกเศร้าเสียใจขั้นหนักจนลำไส้แปรเปลี่ยนเป็นสีเขียวได้แล้ว หากเขาทราบเช่นนี้แต่แรก ตนคงชิงจังหวะเปิดหม้อหลอมก่อนแน่นอน
ไม่รู้เลยว่า เวลาผ่านไปนานเพียงใด ในที่สุดปรากฏการณ์ท้องนภาประดับรุ้งเจ็ดสีก็จางหายไป ทุกอย่างกลับสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง
โอสถลอยเคว้งอยู่เหนือหม้อหลอมกลั่นแสนเงียบงัน กลิ่นหอมอบอวลไปทั่วทั้งจัตุรัสทันที
“หอมจริงๆ!”
“นี่เป็นครั้งแรกเลย ที่ข้าได้กลิ่นโอสถหอมปานนี้!”
“ทั่วทุกมุมจัสตุรัสต่างได้กลิ่นหอม สมแล้วที่เป็นโอสถขั้นเทวะโมฆะ ช่างไม่ธรรมดาเลย!”
…
สีหน้าทุกคนต่างเผยให้เห็นความตื่นอกตื่นเต้นจนใบหน้าแดงก่ำเจือแววโลภ เห็นได้ชัดว่า ใครๆต่างก็อยากได้โอสถของเย่หยวนไปครอบครอง
ปัจจุบัน ณ จัตุรัสแห่งนี้ มีเหล่าชนชั้นสูงจากตระกูลใหญ่จำนวนมากมาย สำหรับโอสถเม็ดนี้ พวกเขาแทบจะถวายทุกอย่างเพื่อให้ได้มันมา
โอสถขั้นนี้มิได้การันตีแค่สำเร็จถึงสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าเท่านั้น แต่นี่ยังเป็นใบเบิกทางสู่อนาคตอันไร้ขีดจำกัด!
โอสถขั้นเทวะโมฆะ แต่ต่างจากขั้นปกติลิบลับ!
สำหรับคนที่ไร้ซึ่งศักยภาพในการพัฒนาต่อ หลังจากกินโอสถเม็ดนี้ลงไป อย่างน้อยที่สุดต้องทะลวงไปถึงอาณาจักรราชันพระเจ้าไม่หนึ่งก็สองดาว หากโชคดีอาจไปได้ไกลถึงสามดาว!
นี่ยังคงเป็นแค่สำหรับคนที่ไร้ซึ่งศักยภาพ
หากให้เหล่าอัจฉริยะมากพรสวรรค์กินลงไป คิดหรือไม่ว่าความสำเร็จในอนาคตของพวกเขาจะเจิดจรัสเพียงใด”
ต่อหน้าโอสถเม็ดนี้ จะมิทำให้ผู้คนเป็นบ้าเป็นหลังได้อย่างไร?
“ผู้อาวุโสใหญ่ ถึงตาท่านแล้ว”
คำกล่าวของเย่หยวน ทำเอากล้ามเนื้อทั่วใบหน้าของหรงซูชักกระตุกไม่หยุดหย่อน
บรรยากาศโดยรอบราวกับถูกแช่งแข็งไปโดยปริยาย
ทุกคนต่างจับจ้องไปที่หรงซู เพียงดูว่าเขาจะลงจากหลังเสือนี้ได้อย่างไร
สุดท้ายนี้ สถานะศักดิ์ของผู้อาวุโสใหญ่นับว่าสูงส่งเกินไป
คำกล่าวเพียงหนึ่งวาจาเดียวของเย่หยวน กลับสามารถบังคับจนอีกฝ่ายติดมุมได้
วันนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น กล่าวได้ว่าผู้อาวุโสใหญ่เสียหน้าครั้งประวัติการณ์
“เจ้า…เจ้าชนะแล้ว!”
หรงซูบีบเค้นคำกล่าวออกมาผ่านร่องฟันอย่างยากลำบาก อับอายเสียเหลือเกิน
ตอนที่ 1595 ราคาโอสถอันหาประเมินไม่!
Ink Stone_Fantasy
หรงซูตระหนักดี แม้นเขาจะเสี่ยงชีวิตเดิมพัน แต่คงเป็นไปไม่ได้อยู่ดีที่จะหลอมกลั่นให้ได้โอสถขั้นเทวะโมฆะ
โอสถชนิดนี้เป็นเพียงตำนานเท่านั้น
ในความเป็นจริง ตั้งแต่เขามีชีวิตอยู่จวบจนวัยชรา เขาเห็นอัจฉริยะมาแล้วมากมายนับไม่ถ้วน แต่เขากลับไม่เคยเห็นมาก่อนเลยว่า จะมีผู้ใดสามารถหลอมกลั่นโอสถสุริยันจักรวาลขั้นเทวะโมฆะได้ ถึงจะเป็นจอมเทพโอสถสี่ดาวก็ตาม
สำหรับจอมเทพโอสถสามดาว ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงเลย
ดังนั้นเขาจึงยอมรับความพ่ายแพ้โดยจำนน
แน่นอน หลังจากนี้เขาคงไม่มีหน้าอยู่ที่นี่อีกต่อไปเช่นกัน หลังจากที่ทำใจได้แล้ว เขาคงจากออกไปอย่างเงียบๆด้วยความหดหู่
แต่ในเวลานี้เอง ความสนใจของทุกคนต่างมิได้อยู่ที่ผู้อาวุโสใหญ่นานแล้ว
ผู้อาวุโสของตระกูลหวังเอ่ยกล่าวน้ำเสียงดังชัดเจนว่า
“ผู้อาวุโสเย่ ชายโอสถเม็ดนี้ให้แก่ตระกูลหวังของเราด้วยเถิด เรายินดีมอบผลึกปราณเทวะจำนวนสามร้อยล้านก้อน!”
“ผู้อาวุโสเย่อย่าไปฟังพวกขี้เหนียวพล่าม ขายให้กับพวกเราตระกูลหยาง! ท่านรับไปเลยห้าร้อยล้านผลึกปราณเทวะ!”
“ตระกูลหลิวของเราให้ไปเลยห้าร้อยห้าสิบล้าน!”
…
ทันทีทันใด เหล่าผู้นำตระกูลใหญ่ต่างโต้เถียงใช้วาจาฟาดฟันกันไปมา จนเย่หยวนปวดหัวระงม
ตามกฎของหอโอสถ แม้ว่าโอสถสุริยันจักรวาลจะถูกหลอมกลั่นขึ้นโดยเย่หยวน แต่กรรมสิทธิ์ย่อมตกเป็นของหอโอสถ
แต่หากหอโอสถตัดสินใจขายออกไป สามในสิบส่วนของราคาจะมอบให้แก่เย่หยวนโดยตรง
โอสถศักดิ์สิทธิ์ทั่วไป หรือแม้แต่โอสถชำระไขกระดูกสวรรค์ที่เย่หยวนหลอมกลั่นในเขตเมืองทางตอนใต้ ราคายังแค่ห้าสิบล้านก้อนเท่านั้น
ตระกูลใหญ่เหล่านี้ ทันทีที่พวกเขาประเดิมเปิดปากก็เสนอราคาสูงกว่าหลายร้อยล้านก้อน ราคานี้ถือว่าสูงกว่าราคาโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสามโดยทั่วไปมากโขแล้ว
“หยุด! หยุดก่อน!”
เย่หยวนตะโกนเสียงดังลั่น
แต่ก็ไม่มีใครฟังเขาอยู่ดี พวกคนเหล่านี้ยังคงโห่ร้องเสนอราคาไม่หยุดหย่อนท่ามกลางความบ้าคลั่ง
โอสถสุริยันจักรวาลขั้นเทวะโมฆะ มีใครบ้างที่ไม่ต้องการ?
สำหรับพวกเขา ราคาระดับนี้หาใช่ปัญหาไม่!
เย่หยวนสุดจะทนแล้วในยามนี้ เขาแหกปากตะโกนลั่นด้วยความโกรธว่า
“ทุกคนหุบปาก!”
เสียงแหกปากตะโกนกึกก้องนี้ เย่หยวนรวบรวมพลังปราณเทวะทั้งหมดไปที่ลำคอ พร้อมป่าวประกาศสุดเสียง ทำเอาทุกคนชะงักไปโดยพลัน
ทันทีที่เห็นว่าเย่หยวนเริ่มมีน้ำโหแล้ว พวกเขาจึงหยุดส่งเสียงทันที
ต้องล้อเล่นแล้ว ผู้อาวุโสเย่ท่านนี้ทรงพลังน่าเกรงขามเสียเหลือเกิน ยังมีใครกล้าทำให้เขาขุ่นเคืองอีก?
เมื่อเห็นว่าทุกคนเงียบเสียงลง เย่หยวนจึงหันมากล่าวกับซวนอี้ว่า
“ผู้อาวุโสรอง เรื่องนี้ให้ท่านตัดสินใจเป็นดีที่สุด”
ซวนอี้ยิ้มและกล่าวว่า
“เหล่าผู้อาวุโสทั้งหลาย เนื่องจากทุกคนปรารถนาต้องการโอสถสุริยันจักรวาลเม็ดนี้ของผู้อาวุโสเย่ ไฉนเรา…ไม่จัดการประมูลขึ้นเพื่อค้นหาเจ้าของโอสถเม็ดนี้ไป ทุกคนคิดเห็นอย่างไร?”
เมื่อทุกคนได้ฟังแบบนั้นก็อดประหลาดใจมิได้
ใครบอกว่าผู้อาวุโสรองเป็นคนใจดี วิธีนี้มันโหดร้ายที่สุดแล้ว!
การประมูลเช่นนี้นับว่า ไม่มีใครสามารถพึ่งพาเส้นสายใดๆได้เลย
หลังจากวันนี้เป็นต้นไป เหล่าตระกูลใหญ่ต่างใช้เส้นสายทั้งหมดที่มีเพราะเข้าถึงหอโอสถให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
แต่ถึงตอนนี้ หากเป็นงานประมูลกล่าวได้ว่าต้องใช้เงินฟาดเงิน ไม่มีใครสามารถกล่าวค้านใดๆได้เลย
ด้วยวิธีนี้ ทางฝ่ายหอโอสถจะได้รับผลประโยชน์สูงสุดจากโอสถเม็ดนี้ นี่นับเป็นผลกำไรสำหรับหอโอสถ
ท้ายที่สุดแล้ว หอโอสถมีทั้งผู้อาวุโสและสาวกจำนวนมากมาย ปริมาณสมุนไพรวิญญาณและผลึกปราณเทวะที่นำจ่ายออกไปในแต่ละครั้งเป็นจำนวนที่เยอะจนน่ากลัวยิ่ง
หอโอสถเองก็ต้องหาเงินเช่นกัน!
“ข้าไม่มีข้อขัดข้อง ทำตามที่ผู้อาวุโสรองกล่าวแล้วกัน”
“อืม เป็นเช่นนี้ย่อมมิใช่ปัญหา ข้าเองก็ไม่ขัดข้อง”
“ดีแล้ว สมกับเป็นโอสถขั้นเทวะโมฆะจริงๆ วิธีนี้เหมาะสมที่สุดแล้ว!”
…
ต่อหน้าฝูงชนมากมาย แม้ว่าเหล่าผู้อาวุโสหลายต่อหลายคนจะมีความคิดแตกแยกออกไป แต่พวกเขาก็ไม่กล้าหักล้างคำกล่าวของผู้อาวุโสรองเช่นกัน
ท้ายที่สุดแล้ว คำกล่าวขีดค้านต่อหน้าสาธารณชนอาจทำให้ทางหอโอสถเสียประโยชน์
พวกเขาเองก็ไม่กล้าเสี่ยงตั้งตนเป็นหัวหอกเช่นกัน
ผู้อาวุโสรองคลี่ยิ้มเล็กน้อยและกล่าวว่า
“เอาล่ะ เช่นนั้นได้ข้อสรุปแล้ว ผู้ดูแลจาง เจ้าชำนาญการเรื่องพวกนี้ที่สุดแล้ว เช่นนั้นมอบหน้าที่ให้เจ้าเป็นเจ้าภาพงานประมูล”
ผู้ดูแลจางก้าวขึ้นหน้าออกมาและกล่าวว่า
“รับทราบ ผู้อาวุโสรอง!”
ส่วนเบื้องล่าง เหล่าผู้นำจากตระกูลใหญ่ต่างร้องน้ำเสียงขมขื่นไม่หยุดหย่อน
พวกเขาทราบดีว่า โอสถเม็ดนี้เป็นที่นิยมเกินไป!
เมื่อเข้าสู่กระบวนการประมูลแล้ว โอสถเม็ดนี้อาจมีมูลค่าทะลุสามถึงห้าร้อยล้านแน่นอน
การประมูลแบบนี้ทำให้พวกเขาต้องควักเนื้อจ่ายมากขึ้น
ใครกันที่บอกว่า ผู้อาวุโสรองใจดีมีเมตตา นี่มันคนซื่อสัตย์ที่วางแผนลอบสังหารอย่างแนบเนียนยิ่ง ชนิดไม่มีเลือดไหลช้ำในตาย!
แต่อย่างไรเสีย โอสถสุริยันจักรวาลขั้นเทวะโมฆะเม็ดนี้ก็ทรงเสน่ห์เกินไป พวกเขาล้วนปรารถนาต้องการอย่างยิ่งยวด
สิ่งที่ควรทราบคือ โอสถเม็ดนี้สามารถเพิ่มระดับความแข็งแกร่งของตระกูลนั้นๆได้โดยตรง เมื่อเทียบกับโอสถศักดิ์สิทธิ์ทั่วไปแล้ว ต่อให้ต้องจ่ายเป็นพันล้านยังนับว่าคุ้มค่า
สุดท้ายนี้ นี่มิใช่โอสถที่ใครจะสามารถหลอมกลั่นก็ได้
เมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ดำรงอยู่เนิ่นนานกว่าไม่รู้กี่หมื่นปีแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่มีโอสถสุริยันจักรวาลขั้นเทวะโมฆะปรากฏขึ้น!
…
ผู้ดูแลจางค่อยๆรับโอสถเม็ดนั้นไว้ในฝ่ามืออย่างระมัดระวังสุดขีด และวางลงในกล่องบรรจุหยกบนโต๊ะตรงหน้า
“ทุกท่าน จางคนนี้ได้ปรึกษากับเหล่าผู้อาวุโสเป็นที่เรียบร้อย ราคาตั้งต้นของโอสถสุริยันจักรวาลเม็ดนี้คือ…ห้าร้อยล้านผลึกปราณเทวะระดับต่ำ! การเสนอราคาในแต่ละครั้งจักต้องไม่น้อยกว่ายี่สิบล้านก้อน”
ผู้ดูแลจางป่าวประกาศเสียงดังฟังชัด
ในเวลานี้เอง เหล่าตระกูลน้อยใหญ่ต่างส่งตัวแทนเข้าร่วมการประมูลเป็นที่เรียบร้อย
แม้แต่ตระกูลที่มิได้เข้าร่วมงาน พอทราบข่าวก็รีบแจ้นเข้ามาโดยไว
แต่เมื่อพวกเขาได้ยินราคาตั้งต้นของโอสถเม็ดนี้ เหล่าตระกูลเล็กต่างต้องสะดุ้งเฮือกขึ้นทันที
ผลึกปราณเทวะระดับต่ำจำนวนห้าร้อยล้านก้อน นี่มันราคาของโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่แล้ว!
นี่ยังคงเป็นเพียงราคาตั้งต้นเท่านั้น ราคาเสนอซื้อไม้สุดท้ายจะไม่ต่ำกว่าพันล้านแน่นอน!
ราคามหาโหดปานนี้น่ากลัวเกินไป
มิใช่ว่าพวกเขาไม่มีทุนรอนหนาพอ แต่การเดิมพันด้วยทรัพยากรทั้งหมดกับโอสถเพียงเม็ดเดียว หักลบกันแล้วดูจะมิใช่วิธีที่ฉลาดนัก
เหล่าที่จริงแล้ว เหล่าตระกูลเล็กต่างทราบดีอยู่แก่ใจ ไม่ว่าอย่างไรก็พวกตนก็ไม่สามารถต่อกรกับพวกตระกูลใหญ่ได้อยู่ดี
แต่หากไม่ลงประมูลเสียหน่อย คงรู้สึกเสียดายไปชั่วชีวิตเช่นกัน
“ณ ตอนนี้ การประมูลเริ่มขึ้นได้!”
ผู้ดูแลจางป่าวประกาศเสียงดังฟังชัด
“หกร้อยล้าน!”
“หกร้อยห้าสิบล้าน!”
“เจ็ดร้อยล้าน!”
…
“เก้าร้อนล้าน!”
“หนึ่งพันล้าน!”
ทุกคนรู้ดีว่า ราคาของการประมูลครั้งนี้จักต้องสูงลิบจนน่าสะพรึงแน่นอน แต่กลับไม่มีใครคาดคิดเลยว่า ราคาจะทยานขึ้นสู่ระดับพันล้านเร็วปานนี้
ผู้ดูแลจางยังอดใจสั่นมิได้ เขาเคยเป็นเจ้าภาพงานประมูลไม่รู้กี่งานต่อกี่งานแล้ว แต่ไม่มีครั้งใดที่เคยเห็นราคาทะยานขึ้นไวราวกับติดปีกปานนี้
โดยปกติในขั้นตอนการประมูล เขาจำต้องกล่าวบรรยายสรรพคุณเรียกน้ำย่อย เพื่อเพิ่มมูลค่าของตัวสินค้า นี่นับเป็นจิตวิทยาที่สำคัญที่เจ้าภาพการประมูลพึงมี
แต่คราวนี้ เขายังไม่ทันพูดอะไรสักคำ ราคากลับพุ่งทะยานเกินหยุดอยู่แล้ว!
“หนึ่งพันสองร้อยล้าน!”
“หึ! โอสถสุริยันจักรวาลเม็ดนี้ ตระกูลชือของเราขอสู้ตาย! หนึ่งพันห้าร้อยล้าน!!”
ผู้อาวุโสใหญ่ของตระกูลชือตะโกนสุดเสียง
ตระกูลชือและตระกูลหนิงเป็นกลุ่มอำนาจคานอิทธิพลกันมานาน นับเป็นสองตระกูลใหญ่ของเขตเมืองชั้นใน ที่มีกำลังทรัพย์มหาศาลอย่างยิ่ง
ราคาหนี่งพันห้าร้อยล้าน เมื่อทุกคนได้ยินต่างตกตะลึงสุดขีด
โอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสามถูกดันราคาประมูลให้สูงถึงหนึ่งพันห้าร้อยล้านในไม่กี่อึดใจ นี่ไม่มีใครกล้าแม้แต่จินตนาการด้วยซ้ำ
ผู้ดูแลจางเองยังต้องลอบปาดเหงื่อ นี่ยังคงเป็นครั้งแรกที่เขาพบเจอการประมูลดุเดือดปานนี้
ในเสี้ยวพริบตาราคากลับพุ่งทะยานเพิ่มขึ้นสามทวีเท่า!
“หนึ่งพันห้าร้อยล้าน! ผู้อาวุโสชือซ่งเสนอราคาหนึ่งพันห้าร้อยล้าน! มีใครให้ราคาสูงกว่านี้หรือไม่?”
ในที่สุดผู้ดูแลจางก็มีโอกาสเอ่ยปากกับเขาเสียที
หลังจากเงียบไปสักครู่หนึ่ง ชายวัยกลางคนค่อยๆปริปากกล่าวขึ้นว่า
“สองพันล้าน!”
ตอนที่ 1596 สร้างความประหลาดใจสะเทือนโลกา
Ink Stone_Fantasy
ทุกคนต่างแสดงสีหน้าตื่นตกใจยิ่ง จ้องมองไปที่ชายชราคนนั้นสุดเหลือเชื่อ
“ปรากฏว่าเป็นผู้อาวุโสแห่งตระกูลหนิง! หนิงลี่เซียว! สวรรค์! เขาใจใหญ่นักถึงขั้นเพิ่มราคารวดเดียวห้าร้อยล้าน!”
“ตระกูลหนิงต้องการมอบลูกพลัมคืนกลับเป็นลูกท้อกระมัง? คิดใช้โอกาสนี้สร้างสัมพันธ์กับผู้อาวุโสเย่?”
“สองพันล้านเพื่อซื้อโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสามเพียงเม็ดเดียว! บ้า! บ้าบิ่นเกินไป!”
…
ชือซ่งคาดไม่ถึงเลยว่า จะมีคนเข้ามาขวางทางเช่นนี้ เขาเหลือบมองหนิงลี่เซียวเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ
ชือซ่งกัดฟันประกาศก้องไปว่า
“สองพันหนึ่งร้อยล้าน!”
“สองพันห้าร้อยล้าน!”
หนิงลี่เซียวเกทับเพิ่มไปอีกสี่ร้อยล้านชนิดไม่แยแสแม้สักนิด
สีหน้าการแสดงออกของซือซ่งแปรเปลี่ยนไปอย่างมาก เขาหันควับกล่าวกับหนิงลี่เซียว น้ำเสียงขรึมว่า
“หนิงลี่เซียว! เจ้าเสียสติไปแล้วรึไง! ราคาสูงปานนี้กลับไม่เป็นประโยชน์ต่อฝ่ายใด!”
หนิงลี่เซียวกล่าวตอบเสียงเย็นว่า
“ที่ข้ากล่าวไปเพราะเห็นว่าราคาคุ้มค่ายิ่งแล้ว! ชือจรือโหย่งต้องการมัน เทียนปิงเองก็ต้องการเช่นเดียวกัน! หยุดพร้อมหากไม่กล้าสู้!”
สีหน้าของซือซ่งดูรวนเรไม่หยุดหย่อน เขากัดฟันแน่นกล่าวขึ้นว่า
“สองพันหกร้อยล้าน! หนิงลี่เซียว หากเจ้าแน่ใจก็เสนอให้ถึงสามพันล้าน!”
หนิงลี่เซียวเหลือบมองเขาก่อนเอ่ยปากขึ้นว่า
“สามพันห้าร้อยล้าน!”
“ฟู่วว…”
ทุกคนต่างสูดไอเย็นแช่มไม่หยุดหย่อน พวกเขาคาดการณ์กันได้แต่แรกแล้วว่า มูลค่าของโอสถสุริยันจักรวาลนี้จักต้องสูงมาก แต่พวกเขากลับคิดไม่ถึงเลยว่าราคาจะสูงปานนี้!
มูลค่ากว่าสามพันห้าร้อยล้าน พวกเขาสามารถนำไปซื้อสมบัติราชันพระเจ้าที่มีตำหนิได้แล้ว
อย่างไรเสีย นี่กลับแลกมาด้วยโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสามเพียงเม็ดเดียว!
สีหน้าการแสดงออกของชือซ่งแปรเปลี่ยนไปอย่างมาก เขากล่าวอย่างไร้ความสุขขึ้นว่า
“หนิงลี่เซียว ใจคอเจ้าโหดเหี้ยมเกินไป! โอสถสุริยันจักรวาลเม็ดนี้เป็นของเจ้า!”
หนิงลี่เซียวประสานมือ เอ่ยกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า
“ท่านพี่ชือซ่ง ขอบคุณที่เปิดทางให้”
“สามห้าร้อยพันล้าน! ตระกูลหนิงเสนอราคาตั้งสามพันห้าร้อยล้านเชียว! ราคาสูงกว่านี้มีใครกล้าต่อกรหรือไม่!”
ผู้ดูแลจางชะงักค้างแข็งไปชั่วขณะ สายตาของเขากวาดมองฝูงชนเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวขึ้นทันทีว่า
“สามพันห้าร้อยล้านครั้งที่หนึ่ง! สามพันห้าร้อยล้านครั้งที่สอง! สามพันห้าร้อยล้านครั้งที่สาม! ปิดประมูล! โอสถสุริยันจักรวาลขั้นเทวะโมฆะเม็ดแรกในประวัติศาสตร์ของเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ตกเป็นของตระกูลหนิง!”
เสียงค้อนทุบปิดประมูลดังลั่น!
ทุกคนยังคงตกอยู่ในภวังค์ท่ามกลางความตกตะลึง พร้อมอ้าปากค้างด้วยความเหลือเชื่อ
ไม่เคยมีโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสามชนิดใดที่มีราคาขายสูงถึงสามพันห้าร้อยล้าน!
พวกเขาล้วนรู้สึกว่า ตระกูลหนิงครั้งนี้ถูกเอาเปรียบเกินไปหน่อย
แม้ว่าโอสถเม็ดนี้นับเป็นหนึ่งในล้าน แต่ราคาตั้งสามพันห้าร้อยล้าน คิดอย่างไรก็ไม่คุ้มค่าเลย
อย่างไรเสีย หนิงลี่เซียวก็มองข้ามเรื่องเหล่านั้นไปโดยชัดเจน
หลังจากที่ได้รับโอสถเม็ดนั่นไป เขาก็ประสานมือกล่าวกับเย่หยวนด้วยรอยยิ้มว่า
“ผู้อาวุโสเย่ หลายวันมานี้ซืออวี๋อยู่ภายใต้การดูแลของท่าน ข้าขอเป็นตัวแทนตระกูลหนิง กล่าวขอบพระคุณท่านไม่รู้จบ”
หนิงลี่เซียวผู้นี้นับว่าฉลาดแยบยลมาก แม้ว่าเขาจะซื้อโอสถด้วยเงินกว่าสามพันล้าน แต่เขาก็มิได้มีเจตนาเรียกร้องความดีความชอบจากเย่หยวนเลย
ราวกับว่าโอสถมูลค่านี้สมควรกับราคาสามพันห้าร้อยล้านแล้ว เขามิได้ทำไปเพื่อสายสัมพันธ์กับเย่หยวน
ในความเป็นจริง ตระกูลหนิงให้ความสำคัญกับหบิงซืออวี๋เป็นอย่างมาก
ตระกูลหนิงนับว่ามีอำนาจอิทธิพลอย่างมากในหอยุทธ์ แต่อิทธิพลในหอโอสถแทบจะเป็นศูนย์เลยก็ว่าได้
ไม่น่าแปลกใจที่ไฉน พวกเขาให้ความสำคัญกับอัจฉริยะด้านโอสถมากกว่าด้านการต่อสู้
แต่สิ่งที่ทำให้ตระกูลหนิงปวดเศียรที่สุดคือ หนิงซืออวี๋วันๆเอาแต่ขี้เกียจ ไม่คิดที่จะฝึกปรือพัฒนาตนเอง
แต่วันนี้ตระกูลหนิงได้เห็นฝีไม้ลายมือของหนิงซื่ออวี๋เต็มตา กล่าวได้ว่านางพัฒนาขึ้นยิ่งกว่าก้าวกระโดด จนสมาชิกทุกคนของตระกูลหนิงต่างมีความสุขอย่างยิ่ง พวกเขาดีใจอย่างมากที่เห็นแบบนั้น
จนถึงตอนนี้ยังมีใครกล้ากังขาอีกว่า หนิงซื่ออวี๋ได้รับการฝึกอบรมพิเศษจากเย่หยวนจริงๆหรือไม่?
นอกจากเย่หยวนผู้ทรงพลังปานนี้ ยังมีใครสามารถเปลี่ยนหนิงซื่ออวี๋เป็นคนละคนได้ภายในเวลาสิบวัน?
นอกจากนี้ ความสามารถในศาสตร์แห่งโอสถของเย่หยวนยังน่ากลัวเกินพรรณนา ต่อให้จ่ายแพงกว่านี้พวกเขาก็ยอมเพื่อสานสัมพันธ์กับเขา
แม้เงินจำนวนสามพันห้าร้อยล้านจะดูแพงไปเสียหน่อย แต่มันก็คุ้มค่าอย่างยิ่ง!
เย่หยวนเข้าใจทุกอย่างดี ยามนี้ยิ้มตอบไปว่า
“ศักยภาพของสาวน้อยนางนี้ค่อนข้างดีเยี่ยม หากเป็นเศษไม้ผุ ต่อให้เป็นข้าก็ไม่สามารถเจียระไนได้เช่นกัน”
หนิงลี่เซียวหัวเราะเบาๆ กล่าวตอบอย่างสุภาพไปว่า
“สิ่งที่ผู้อาวุโสเย่กล่าวไปล้วนถูกต้อง ท่านคงไม่ทราบ นางเกิดมาพร้อมพรสวรรค์มากมาย แต่วันๆดีแต่เที่ยวเล่น จนทำให้ตระกูลหนิงปวดหัวไม่น้อย จนกระทั่งนางได้พบกับผู้อาวุโสเย่! ในที่สุดนางก็รู้เสียทีว่าอะไรเป็นอะไร และเหนือฟ้ายังมีฟ้าเสมอ! ต่อหน้าผู้อาวุโสเย่ ยอดอัจฉริยะปานใดล้วนต้องดับมอด!”
ถึงวาจาคำกล่าวเหล่านี้เสมือนกับคำเยินยอ แต่แท้จริงมันมาจากก้นบึ้งในหัวใจของหนิงลี่เซียว
พรสวรรค์ขอองหนิงซื่ออวี๋แข็งแกร่งเกินใคร แต่ที่ซ่งฉีหยางเหนือกว่าเพราะพรแสวง หากนางมีทั้งพรสวรรค์และพรแสวงอยู่ในตัว ผลลัพธ์ที่ได้จะน่ากลัวปานใด?
ส่วนซ่งฉีหยางงั้นรึ? เทียบมิได้แม้แต่ปลายเล็บเย่หยวนด้วยซ้ำ!
เย่หยวนผู้นี้คือใคร?
เขาคือการดำรงอยู่ที่เหนือชั้นยิ่งกว่าผู้อาวุโสใหญ่!
ทันทีที่เย่หยวนทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรราชันพระเจ้า ต่อให้อำนาจอิทธิพลทั้งหมดของหอโอสถก็ไม่สามารถล้ำเส้นเขาได้ กล่าวได้ว่าแทบจะอยู่เหนือหัวผู้อาวุโสใหญ่และผู้อาวุโสรองไปแล้ว!
หลังจากวันนี้ชื่อเสียงของเย่หยวนจักขจรไปไกลทั่วหล้า ทุกมุมเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์จักต้องรู้จักชายหนุ่มนามว่าเย่หยวน!
“ฟางหรง ไฉนเจ้ายังไม่ทำความเคารพผู้อาวุโสเย่อีก? รู้จักมารยาทบ้างหรือไม่?”
ทันใดนั้นหนิงลี่เซียวพลันขมวดคิ้วกล่าวตำหนิหนิงฟางหรงที่อยู่ข้างกายทันที
หนิงฟางหรงในปัจจุบันก้มหน้าก้มตาไม่กล้าเผยตัวออกมา ราวกับเมียน้อยที่ถูกรังแก
หากย้อนกลับไป ในตอนนั้นเขาเคยตะคอกเสียงดังทั้งยังขู่เย่หยวน ใครจะไปคิดว่าเพียงเสี้ยวพริบตา เย่หยวนคนนั้นกลับกลายมาเป็นผู้อาวุโสแห่งหอโอสถไปแล้วในตอนนี้
นี่ราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ!
“ฟางหรง…คาราวะท่านผู้อาวุโสเย่!”
หนิงฟางหรงกล่าวคาราวะพร้อมประสานมือทันที
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“ไม่ได้เจอกันตั้งนานนายน้อยหนิง ไม่จำเป็นต้องแสดงท่าทีอึดอัดปานนั้น”
หนิงฟางหรงเอ่ยกล่าวอย่างเขินอายว่า
“ในอดีต ฟางหรงมีตาหามีแววไม่ ท่านผู้อาวุโสเย่โปรดอย่าถือสา…”
เย่หยวนพยักหน้าและกล่าวว่า
“ข้าเองก็มิใช่เด็กเล็ก เรื่องในอดีตให้มันแล้วกันไปเถอะ”
ความขัดแย้งเล็กน้อยระหว่างเย่หยวนกับหนิงฟางหรง หนิงลี่เซียวย่อมรับรู้ได้เช่นกัน
เมื่อได้ยินแบบนั้น เขาก็ลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ในเวลานี้เอง ชือซ่ง ผู้อาวุโสใหญ่แห่งตระกูลชือก็ตรงเข้ามาหาเย่หยวน พร้อมประสานมือกล่าวว่า
“ผู้อาวุโสเย่ ความสามารถของท่านจักต้องทำให้ผืนพิภพสั่นสะเทือน! กระทั่งข้าที่ได้เห็นโอสถสุริยันจักรวาลขั้นเทวะโมฆะ ชือคนนี้ยังต้องน้ำลายไหล สงสัยเสียจริงว่า…หากชือคนนี้ขอร้องให้ท่านลงมืออีกสักครั้นหนึ่งจะเป็นไปได้หรือไม่? ตระกูลชือของเรายินดีเสนอค่าเหนื่อยเป็นจำนวนสองพันล้านผลึกปราณเทวะ!”
ความแข็งแกร่งของตระกูลชือ กล่าวได้ว่าเทียบเท่าได้กับตระกูลหนิง ดังนั้นการจะรวบรวมวัตถุดิบหลอมกลั่นโอสถสุริยันจักรวาลหาใช่เรื่องยากเลย
เรื่องสมุนไพรหาใช่ปัญหา แต่จะมีนักหลอมโอสถคนไหนบ้างที่ไม่เพียงหลอมกลั่นโอสถชนิดนี้ได้ แต่ยังสำเร็จถึงขั้นเทวะโมฆะ?
เย่หยวนเพียงยิ้มตอบว่า
“ขอบคุณมากสำหรับคำเชื้อเชิญของผู้อาวุโสชือ มิใช่ว่าเย่หยวนคนนี้ไม่ต้องการดำเนินการให้ แค่โอสถขั้นเทวะโมฆะหาใช่ว่าข้าจะหลอมกลั่นได้ทุกครั้งไป ความสำเร็จในวันนี้มีหลากหลายองค์ประกอบรวมกัน นั้นหมายถึงโชคด้วย ไฉนผู้อาวุโสชือถึงไม่รอข้าอีกสักหน่อย เมื่อใดที่ระดับพลังของเย่คนนี้เพิ่มขึ้น ข้ามั่นใจว่าฝีมือการหลอมกลั่นของข้าย่อมเสถียรกว่านี้แน่นอน ว่าอย่างไร?”
อันที่จริงแล้ว การจะหลอมกลั่นให้ได้ขั้นเทวะโมฆะ เย่หยวนมีความมั่นใจสูงถึงหกถึงเจ็ดส่วนเลยทีเดียว
แต่เรื่องเหล่านี้เขาย่อมมิได้นำออกมากล่าวกับชือซ่งโดยธรรมชาติ
ตระกูลหนิงเสนอราคาตั้งสามพันห้าร้อยล้าน ในขณะที่อีกฝ่ายเสนอมาแค่สองพันล้าน หากเย่หยวนตอบตกลงไป นี่มิใช่การหักหน้าตระกูลหนิงหรอกรึ?
ยิ่งไปกว่านั้น ยอมรับในราคาที่ถูกกว่าหนึ่งพันห้าร้อยล้าน นี่ไม่ดูถูกตระกูลหนิงมากเกินไปหน่อยหรือ?
ตระกูลชือรู้สึกว่า โอสถสุริยันจักรวาลเม็ดนี้มีมูลค่าไม่ถึงสามพันห้าร้อยล้าน
อย่างไรเสีย เย่หยวนเองก็ค่อนข้างยุติธรรม ตระกูลหนิงยอมจ่ายสูงถึงสามพันห้าร้อยล้าน เขาย่อมยกผลประโยชน์ให้พวกเขาแน่นอน!
ตระกูลหนิงเองก็เข้าใจดี
สามพันห้าร้อยล้านมิใช่ได้มาแค่โอสถเม็ดเดียว แต่ยังได้ความสนิทชิดเชื้อกับเย่หยวนมาอีกด้วย ส่วนทางด้านเย่หยวนเองก็ไม่มีทางทำเรื่องน่ารังเกียจโดยการกัดมือผู้มอบอาหารเช่นกัน
ซือซ่งถอนหายใจเหลือบมองด้วยความโศกเศร้าใจ
“เช่นนั้น…หลังจากที่ผู้อาวุโสเย่เลื่อนระดับชั้นแล้ว ชือคนนี้จะรวบรวมความกล้ามาขอใหม่!”
ตอนที่ 1597 ห้วงมิติสืบทอด
Ink Stone_Fantasy
ไม่ต้องสงสัยแต่อย่างใด หลายวันต่อมา หน้าประตูจวนเย่หยวนอัดแน่นไปด้วยธารฝูงชนนับไม่ถ้วน
ทั้งขอความช่วยเหลือให้หลอมกลั่นโอสถ ทั้งขอฝากตัวเป็นศิษย์ และต่างๆนาๆ
หลงซานรับหน้าที่เป็นพ่อบ้านประจำจวนของเย่หยวน หลายวันที่ผ่านมากล่าวได้ว่างานยุ่งอย่างยิ่ง
เหล่าศิษย์สาวกรุ่นน้องอาณาจักรบรรพกาลพระเจ้า ต่างพากันปฏิบัติตามอย่างเชื่อฟัง ด้วยความเคารพนับถือที่มีต่อเย่หยวน
เดิมทีหลงซานเองก็ยังไม่ค่อยคุ้นชินกับเรื่องเหล่านี้ แต่ต่อมา เขากลับพบว่าทุกคนต่างให้ความเคารพ มีมารยาทต่อเขาอย่างไม่น่าเชื่อ
ในตอนนั้น เขาทราบดีว่านี่เป็นเพราะบารมีของเย่หยวน แม้ระดับพลังของหลงซานจะมิได้สูงนัก แต่เขาที่รับหน้าที่พ่อบ้านประจำจวนของเย่หยวน กล่าวได้ว่าทรงอิทธิพลเกือบที่สุดแล้วในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์แห่งนี้
กระทั่งบารมีของผู้อาวุโสใหญ่และผู้อาวุโสรองยังมิอาจเทียบเท่าเขาในยามนี้ได้เลย
หลังจากที่รับใช้เย่หยวนมาหลายปี ในที่สุดอีกฝ่ายก็คืนความเป็นอิสรภาพให้แก่เขาอีกครั้งง
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หลงซานยิ่งรู้สึกผูกพันกับเย่หยวนแน่นแฟ่ยิ่งขึ้น
หลงซานตระหนักชัดแจ้งดีว่า เย่หยวนสามารถทำให้เขามีอนาคตที่สดใสไร้สิ้นสุดได้
ในเวลานี้เอง หลงซานเหลือบมองหลินตงเล็กน้อยและเค้นเสียงเย็นกล่าวไปว่า
“เจ้ากลับไปเสีย นายท่านไม่อยากเห็นหน้าเจ้า”
หลินตงในยามนี้เปี่ยมล้นความขมขื่นยิ่งภายในใจ เขาจะรู้ได้อย่างไรว่า แท้จริงแล้ว เย่หยวนจะเก็บซ่อนพรสวรรค์อันน่าประทับใจปานนี้?
ช่วงเวลาแห่งความลังเลของเขาในตอนนั้น ทำให้ผู้อาวุโสเย่ขุ่นเคืองใจจวบจนบัดนี้
หลินตงยิ้มอย่างขมขื่นใจ กล่าวว่า
“ท่านพ่อบ้านหลง ข้ารู้ดีว่าผู้อาวุโสเย่ไม่พอใจหลินคนนี้ แต่อย่างไรครั้งนี้ข้าก็มาเพื่อขอโทษ ท่านพ่อบ้านหลงโปรดเรียนเรื่องนี้ให้ผู้อาวุโสเย่ทราบ!”
หลงซานหาได้ปริปากกล่าวใดๆ อีก และปิดประตูใส่ต่อหน้าหลินตง
หลงซานเค้นเสียงเย็นกล่าวว่า
“ผู้พิทักษ์หลินในบางครั้ง…คนเราก็มีโอกาสเพียงครั้งเดียว หากพลาดแล้วมิอาจย้อนกลับไปแก้ไขได้อีก ดังนั้นอย่าลังเลเมื่อมีโอกาสเข้ามา เพราะนั้นจะเป็นการทำลายอนาคตของท่านเอง”
หลินตงกล่าวตอบพร้อมท่าทีสุดแสนโศกเศร้าว่า
“ท่านพ่อบ้านหลง เรื่องนี้เป็นความผิดของหลินคนนี้ เพียงแค่…”
หลงซานกล่าวขัดขึ้นทันทีว่า
“เพียงเพราะว่า ผู้อาวุโสใหญ่ทรงอิทธิพลเกินที่ท่านจะยั่วยุได้ใช่หรือไม่? ผู้พิทักษ์หลิน หากท่านเป็นนายท่านของข้า ท่านยังจะรับคนเช่นนี้มาอยู่ข้างกายหรือไม่? เป็นเพราะผู้อาวุโสใหญ่ทรงพลังเกินล้ำเส้น หากเป็นช่วงเวลาวิกฤต ท่านจะออกหน้าเข้ามาปกป้องนายท่านของข้าอย่างหาญกล้าหรือไม่? ท่านเพียงรอดูว่า ศึกระหว่างผู้อาวุโสใหญ่กับผู้อาวุโสรอง ใครกันที่เป็นฝ่ายชนะ จากนั้นจึงค่อยเลือกข้าง ท่านไม่คิดว่าเรื่องเช่นนี้มันน่าละอายใจเกินไปหน่อยรึ?”
หลินตงได้แต่อ้าปากค้างเติ่งอยู่แบบนั้น ท้ายที่สุดนี้ เขาก็มิอาจสรรหาถ้อยคำมาหักล้างได้เลย
หลงซานเอ่ยกล่าวเสียงเย็นว่า
“ผู้พิทักษ์หลิน ข้าเป็นเพียงคนรับใช้คนหนึ่งเท่านั้น มิใช่ว่าข้าตั้งใจกลั่นแกล้งท่าน แต่ข้าเองก็พยายามไม่อยากสร้างปัญหาในอนาคตให้แก่นายท่านเช่นกัน ท่านเองก็เป็นถึงยอดเซียนราชันพระเจ้าผู้สูงส่งและสูงศักดิ์ เรื่องนี้โปรดเข้าใจข้าด้วย ท่านยังมีที่ไป แต่หากข้าสร้างปัญหาให้แก่นายท่าน จนเขาไล่ข้าออกมา กลับเป็นตัวข้าที่ไร้ที่ยืนในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์แห่งนี้!”
หลงซานเอ่ยกล่าววาจาเหล่านี้ออกไปตามจริง
หลินตงคลี่ยิ้มขื่นใจกล่าวว่า
“ติดตามผู้อาวุโสเย่ต่อไป ความสำเร็จของพ่อบ้านหลงจะมิได้อยู่ใต้หลินคนนี้แน่นอน! ข้ารบกวนพวกท่านมากแล้ว เช่นนั้นขอลา!”
สิ้นเสียงกล่าวจบ หลินตงก็จากไป
เย่หยวนที่สามารถหลอมกลั่นโอสถสุริยันจักรวาลขั้นเทวะโมฆะได้ การจะสร้างยอดเซียนราชันพระเจ้าสักคนนับเป็นเรื่องง่ายเกินไป
ลำพังแค่พรสวรรค์ของหลงซาน ไม่มีทางทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าได้เลย แต่หากติดตามนายดีอย่างเย่หยวน บางทีอีกฝ่ายอาจช่วยให้ความปรารถนาที่ไม่มีวันเป็นจริงสำเร็จได้!
หลงซานแง้มประตูออกเล็กน้อย พลางจับจ้องแผ่นหลังของหลินตงที่เดินลับออกไป
แท้ที่จริงแล้ว เขาเองก็ตระหนักเรื่องนี้ได้เช่นกัน
…
“เจ้าต้องการเข้าไปในหอยุทธ์เพื่อฝึกปรือ?”
ภายในห้องรับรองของจวนเย่หยวน ทันทีที่ซวนอี้ได้ยินว่า เย่หยวนต้องการจะเข้าไปในหอยุทธ์เพื่อฝึกฝน เขาก็อุทานลั่นด้วยความประหลาดใจ
ในฐานะผู้อาวุโส พวกเขาสามารถเข้าไปในหอโอสถหรือหอยุทธ์ได้ทุกๆร้อยปี
ณ ปัจจุบัน หอโอสถและหอยุทธ์ได้เปิดออกแล้ว จะมีเหลือศิษย์สาวกที่ถูกคัดเลือกมาอย่างดี มีสิทธิ์เข้าไปภายในนั้นเพื่อฝึกฝน
แต่ซวนอี้ไม่คิดไม่ฝันเลยว่า แทนที่เย่หยวนจะเข้าหอโอสถเพื่อขัดกเกลาทักษะหลอมกลั่น แต่เขากลับตัดสินใจเข้าไปในหอยุทธ์
แลเห็นซวนอี้ปั้นหน้าประหลาดใจไม่คลายอ่อน เย่หยวนก็ยิ้มและกล่าวว่า
“ผู้อาวุโสรอง แล้วข้าจะเข้าหอโอสถไปให้มันได้อะไร?”
เมื่อซวนอี้ได้ยินแบบนั้นก็อดสำลักมิได้ ก่อนตระหนักได้ว่า แทบจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย หากให้เย่หยวนเข้าไปในหอโอสถ
เพราะความแกร่งกล้าในศาสตร์แห่งอาโอสถของเย่หยวนก็แทบจะบรรลุถึงจุดสูงสุดแล้ว
ดังนั้นสิ่งที่อยู่ในหอโอสถโดยส่วนใหญ่ แทบจะไม่มีประโยชน์อันใดต่อตัวเขาอีกแล้ว
เย่หยวนสามารถหลอมกลั่นโอสถศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะโมฆะได้ คนที่มีความเข้าใจในระดับลึกซึ้งปานนี้กล่าวได้ว่ามีอยู่เพียงน้อยนิด
ซวนอี้คำนึงถึงเรื่องราวเหล่านี้ พลางหัวเราะกับตนเองกล่าวว่า
“เจ้าเด็กคนนี้ หากคนนอกได้ยินสิ่งที่เจ้ากล่าวไปเช่นนี้ พวกเขาจะคิดอย่างไรกัน? แต่…ที่เจ้ากล่าวไปก็ล้วนถูกต้อง หอโอสถแทบไม่มีประโยชน์ต่อเจ้าแล้ว”
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“ข้าได้ยินมาว่า มีแนวคิดแห่งห้วงมติอยู่ในหอยุทธ์ นี่เป็นความจริงรึ?”
สีหน้าของซวนอี้แปรเปลี่ยนไปทันที เขากล่าวขึ้นว่า
“เจ้าต้องการทำความเข้าใจต่อแนวคิดแห่งห้วงมิติ? ไม่มีทาง! นั้นอันตรายเกินไป!”
เย่หยวนเอ่ยถามด้วยความสงสัยขึ้นว่า
“ก็แค่ทำความเข้าใจมิใช่รึ? ไฉนถึงอันตรายได้?”
เหตุผลที่เขาวางแผนจะเข้าไปในหอยุทธ์ ก็เพื่อทำความเข้าใจต่อแนวคิดแห่งห้วงมิติ
ดูเหมือนว่า ระดับความเข้าใจของเขาจะบรรลุถึงคอขวดแล้ว แต่ยังไม่สามารถทะลวงฝ่าเลื่อนขั้นขึ้นไปได้
ฟังว่า ภายในหอยุทธ์แห่งนี้ มีแนวคิดแห่งห้วงมิติที่สมบูรณ์ซ่อนอยู่ แค่คิดเห็นแบบนั้นก็ทำให้ใจเขาปั่นป่วนแล้ว แต่คาดไม่ถึงเลยว่า มันจะเร้นแฝงไปด้วยภัยอันตราย
ซวนอี้กล่าวว่า
“แนวคิดแห่งห้วงมิติเป็นมรดกที่บรรพชนแห่งเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ทิ้งเอาไว้ให้ ภายในนั้นกอปรไปด้วยแนวคิดแห่งห้วงมิติชั้นสวรรค์ระดับหนึ่งและชั้นสวรรค์ระดับสอง แต่กระบวนการทำความเข้าใจกลับอันตรายอย่างยิ่งยวด ก้าวพลาดไปครั้งเดียว เจ้าจะหลงทางอยู่ภายในนั้นและไม่มีวันกลับออกไปได้อีก”
เย่หยวนขมวดดคิ้วถักแน่น เอ่ยกล่าวด้วยความประหลาดใจขึ้นว่า
“มันอันตรายปานนั้นเชียวรึ?”
ซวนอี้พยักหน้าและกล่าวว่า
“แนวคิดแห่งห้วงมิติเป็นหนึ่งในสองแนวคิดระดับตำนาน คิดหรือว่าจะไม่เป็นอันตราย? หลังจากที่ท่านบรรพชนผู้นั้นทิ้งทวนมรดกชิ้นนี้ให้ เขาก็เอ่ยเตือนกับชนรุ่นหลังไว้ว่า พินิจไตร่ตรองให้ดีก่อนลงมือทำความเข้าใจ อย่างไรเสีย จะมีสักกี่คนที่สามารถทนต่อแนวคิดห้วงมิติอันเป็นตำนานได้ไหว? ทั้งเหล่าศิษย์สาวกหรือแม้แต่ระดับผู้อาวุโสจำนวนมากมายต่างแห่แหนกันเข้าไป แต่…ไม่มีใครสักคนที่กลับออกมาได้เลย! ต่อมามีศิษย์หลายต่อหลายคนไม่เชื่อเรื่องพรรค์นี้เป็นธรรมชาติและได้เข้าไป จนถึงตอนนี้ก็ไม่เห็นว่ามีใครสามารถกลับออกมาได้สักคน! สถานที่แห่งนั้นได้กลายมาเป็นสถานที่ต้องห้ามของเหล่าผู้คนแห่งหอยุทธ์ไปแล้ว”
เย่หยวนตื่นตะลึงยิ่งเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาไม่คิดเลยว่า การจะทำความเข้าใจต่อแนวคิดแห่งห้วงมิติจะอันตรายปานนี้
เมื่อเห็นสีหน้าการแสดงออกของเย่หยวน ซวนอี้ก็พลางคิดไปว่าเย่หยวนกำลังหวาดกลัว เขายิ้มและกล่าวว่า
“เย่หยวน ความสามารถของเจ้าในศาสตร์แห่งโอสถน่าประทับใจยิ่งยวด ดังนั้นเจ้าควรมุ่งเน้นไปบนเส้นทางแห่งโอสถเถิด สิ่งนี้จะทำให้อนาคตของเจ้าไร้ขีดจำกัด! คิดจะจับปลาสองมือ เลือกเดินทั้งเส้นทางแห่งโอสถและเส้นทางแห่งการต่อสู้ ในท้ายที่สุดอาจกลับมามือเปล่า!”
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“ขอบคุณสำหรับความเป็นห่วงของผู้อาวุโสรอง แต่ข้ายังมีหน้าที่สำคัญ ดังนั้น…หอยุทธ์แห่งนี้ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จักลองเข้าไปดู!”
ซวนอี้คิดไปว่าเย่หยวนจะเชื่อฟังคำเตือนของเขาไปแล้ว แต่ใครจะรู้ว่าเย่หยวนจะทำหูทวนลม ทั้งยังยืนกรานที่จะเข้าไปในหอยุทธ์ให้ได้
ในที่สุด หอโอสถก็ถือกำเนิดยอดอัจฉริยะแห่งยุคจุติลงมา หากอีกฝ่ายประสบภัยในหอยุทธ์ นั้นคงเป็นความสูญเสียอย่างหาประเมินค่าไม่!
ไฉนเด็กหนุ่มคนนี้ถึงดื้อยิ่งนัก!
เย่หยวนเองก็มีแผนการของตนเองเช่นกัน ในมุมมองของผู้อาวุโสรอง ด้วยสถานะของเขายังมีผู้คนมากมายคอยปกป้อง
แต่สำหรับเย่หยวนแล้ว เขาไม่คิดที่จะพึ่งพาใคร
ตราบใดที่แข็งแกร่งพอ ย่อมสามารถปกป้องตนเองให้พ้นภัยได้!
นี่เป็นบทเรียนที่เขาเคยนำจ่ายออกไปด้วยเลือดเนื้อและชีวิต ดังนั้นเขาจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องแบบนั้นซ้ำเป็นคำรบสองขึ้นได้อีก!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น