Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1580-1585
ตอนที่ 1580 คลายคำสาป
Ink Stone_Fantasy
ภายในห้องลับที่ซ่อนอยู่ เผยปรากฏแสงสีแพรวพราวสดใสคล้ายกำลังร่ายรำ งดงามหาที่เปรียบไม่
ดวงตาของฟางเทียนพลันสว่างไสวขึ้นเสมือนว่าตรัสรู้บรรลุถึงบางสิ่งอย่าง
แท้ที่จริงเขาค้นพบว่า ตนเองสามารถเชื่อมต่อกับศาสตร์แห่งสวรรค์ได้แล้ว!
ยามนี้คล้ายมีสายใยบางอย่างผูกเระหว่างเขากับศาสตร์แห่งสวรรค์ขอบงดินแดนแห่งนี้!
สายใยนี้ทำให้เขารู้สึกทรงพลังไม่น่าเชื่อ!
ทันทีทันใดแสงสีแพรวพราวประกายเหล่านั้นก็หวนกลับสู่ความเงียบสงบ ทั้งหมดได้อันตรธานหายวับไป
ฟางเทียนเหลือบมองเย่หยวนตรงหน้าด้วยความตื่นตกใจยิ่ง ไม่มีสิ่งใดน่าตกไปเกินกว่านี้แล้ว
แม้ว่าเขาจะตรวจสอบตัวเองอยู่สม่ำเสมอ และแม้นพรสวรรค์ของเขาจะไร้เทียมทานหาผู้ใดเปรียบ ทว่าหากกล่าวถึงการจะขึ้นกลายเป็นผู้ควบคุมศาสตร์แห่งสวรรค์ เรื่องนี้กลับอยู่ไกลเกินเอื้อมนัก
ทว่าในความเป็นจริง เย่หยวนกลับช่วยสร้างสายใยระหว่างตัวเขาให้เชื่อมหากับศาสตร์แห่งสวรรค์ได้ จนทำให้ฟางเทียนกลายมาเป็นผู้ควบคุมได้โดยสมบูรณ์!
เจ้าหนูคนนี้ประสบความสำเร็จถึงระดับชั้นใดแล้วกันแน่!?
“นี่เจ้าทำเรื่องเหลือเชื่อเหล่านี้ได้อย่างไร?”
ฟางเทียนสูดหายใจแช่มลึกพลางเอ่ยถาม
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“ศิลาจารึกบัลลังก์พิภพทรงพลังกว่าที่ท่านจินตนาการนัก ทั้งหมดนี้ล้วนต้องขอบคุณมันที่ทำให้ข้าประสบความสำเร็จจวบจนวันนี้!”
เขามิได้บอกฟางเทียนเกี่ยวกับเรื่องหุบเขาถงเทียนจำลอง มิใช่ว่าเย่หยวนไม่ไว้วางใจฟางเทียน แต่เพราะความลับแห่งสรวงสวรรค์ที่น่าตกใจนี้ อีกฝ่ายรู้ไปก็หาใช่ว่าเป็นประโยชน์ไม่
เมื่อเขาสัมผัสได้ถึงการดำรงอยู่ของหุบเขาถงเทียน แต่แม้เหล่าบรรพกาลเต๋ายังให้ความสนใจ
การที่รู้เรื่องเหล่านี้กลับไม่เป็นประโยนช์อันใดเลยต่อฟางเทียน
การกลับมาและเผชิญหน้ากับเทพนอกรีตบาปสวรรค์ในครั้งนี้ ทำให้เย่หยวนตระหนักถึงตัวแปรที่ไม่สามารถควบคุมได้อีกมากมายในดินแดนพฤกษานิรันดร์แห่งนี้
ดังนั้นเขาจึงหยิบยืมพลังของศิลาจารึกบัลลังก์พิภพ เพื่อทำให้ฟางเทียนกลายมาเป็นผู้ควบคุมคนใหม่
เมื่อได้ยินคำกล่าวของเย่หยวน ฟางเทียนก็อดคลี่ยิ้มแสนขมขื่นออกมามิได้
“ดูเหมือนว่าการที่ศิลาจารึกบังลังก์พิภพอยู่กับข้า ข้ากลับใช้เสียของโดยแท้!”
นับแต่ที่ศาสตร์แห่งสวรรค์ฟื้นคืนกลับทมา ระดับพลังที่ฟางเทียนสั่งสมมาโดยตลอดหลายหมื่นปีก็ทำให้เขาทะยานขึ้นสู่อาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าในพริบตา ทั้งนี้พัฒนาการของเขายังสูงขึ้นต่อเนื่อง จนยามนี้ทะลวงขึ้นเป็นอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าชั้นต้นแล้ว แม้แต่กวนกวานเทียนยังติดอยู่ที่อาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าขั้นสุดเองเท่านั้น
แต่ฟางเทียนกลับไม่คิดไม่ฝันเลยว่า ระยะเวลาแค่สั้นๆหนึ่งร้อยปี เย่หยวนจะมีระดับพลังเหนือชั้นกว่าเขาไปเสียแล้ว ทั้งนี้ในแง่ของพลังการต่อสู้ก็เทียบเทียมได้กับยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าครึ่งขั้น
ต้องทราบก่อนว่า ฟางเทียนสั่งสมแนวคิดและพลังมาเป็นเวลากว่าห้าหมื่นปีกว่าที่เขาจะทะลวงขึ้นหนึ่งอาณาจักรหลักภายในอึดใจ
แต่เย่หยวนล่ะ?
ต่อให้นับเวลาชีวิตของชาติก่อน นี่เพิ่งผ่านไปไม่กี่ร้อยปีเท่านั้น!
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ความเหลื่อมล้ำระหว่างพวกเขามันมีมากมหาศาลเกินไป!
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“ท่านอาวุโสฟางเทียน จากนี้เรื่องของดินแดนพฤกษานิรันดร์ในอนาคตต้องฝากท่านดูแลแล้ว การกลับมาครั้งนี้ ข้าจะพาอิ้งหมัวหู่ ลี่เอ๋อและทูตเพลิงออกไปด้วย ท้ายที่สุดแล้วผืนพิภพแห่งนี้ยังประกอบไปด้วยศาสตร์แห่งสวรรค์ที่ไม่สมบูรณ์ และมีข้อกำจัดเยอะเกินไป”
ฟางเทียนพยักหน้าและกล่าวว่า
“สิ่งที่เจ้ากล่าวไปล้วนถูกต้องแล้ว! ด้วยพรสวรรค์ของพวกเราควรหยุดอยู่แค่ดินแดนพฤกษานิรันดร์แห่งนี้ เราชายชราเองก็แก่มากแล้ว ไม่สามารถออกเดินทางบุกน้ำลุยไฟได้ดั่งกาลอดีต มิเช่นนั้นข้าคงติดตามเจ้าออกเดินทางไปที่มหาพิภพถงเทียนด้วยเป็นแน่”
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“ท่านอาวุโสโปรดมั่นใจได้ หลังจากที่ข้าตั้งหลักแหล่งบนมหาพิภพถงเทียนได้มั่นคงเมื่อใด ข้าจะพาท่านและท่านอาวุโสกวนควางเทียนไปอยู่ด้วยแน่นอน”
ฟางเทียนยิ้มกล่าวว่า
“ถ้าเช่นนั้น จะอยู่รักษาตัวเพื่อรอวันที่เจ้ารับข้าไป! อ่อ…กลับมาคราวนี้เจ้าวางแผนจะอยู่ต่อนานเพียงใด?”
เย่หยวนกล่าวว่า
“คงอยู่ไม่นานนัก ทางด้านมหาพิภพถงเทียนยังมีฝูงหมาป่าจ้องกินข้าอยู่! หลังจากที่ข้าจัดการคลายคำสาปที่แดนเนรเทศออกไปได้ ข้าก็วางแผนที่จะออกไปทันที”
แม้ว่าตอนนี้เย่หยวนจะขึ้นกลายเป็นผู้อาวุโสแห่งหอโอสถแล้ว แต่การปรากฏตัวของเขา ยิ่งไปกระตุ้นให้ผู้อาวุโสใหญ่ออกโรงรุกหน้ารุนแรงขึ้น
นอกจากนี้ยังมีหลู่เมิงที่เย่หยวนไปสร้างความขุ่นเคืองให้อีก ในอนาคตมันต้องวางแผนจัดการเขาแน่นอน
ฝ่ายผู้อาวุโสรองของเขาอ่อนแอเกินไป ดังนั้นอนาคตจากนี้ต่อไปคงมิได้ราบรื่นนัก
ยิ่งไปกว่านั้น เย่หยวนที่เป็นเพียงเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้า แต่ต้องมาอยู่รวมกับเหล่ายอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าเช่นนี้ ยิ่งเพิ่มทวีความกดดันให้แก่เย่หยวนเป็นอย่างมาก!
แต่ฟางเทียนเอ่ยกล่าวด้วยความตื่นตะลึง
“เจ้าสามารถคลายคำสาปได้แล้วรึ? มิใช่เจ้าเคยบอกว่าเจ้าต้องทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรพลังที่สูงกว่านี้เสียก่อน จึงจะคลายผนึกคำสาปออกได้?”
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“ในอดีตอาจใช่ แต่ตอนนี้…ไม่จำเป็นแล้ว”
…
หลังจากที่เย่หยวนศึกษาหุบเขาถงเทียนจำลองมานาน ในที่สุดเขาก็เข้าใจลึกซึ้งต่อหุบเขาถงเทียน ดังนั้นเรื่องของดินแดนเล็กๆแค่นี้หาใช่ปัญหาอีกต่อไป
นอกบ่อน้ำเยือกเย็น ท่านบรรพบุรุษเผ่ามังกรกำลังนั่งบ่มเพาะพลังโดยสันโดษ
คล้อยหลังจากที่ศาสตร์แห่งสวรรค์ฟื้นตัวขึ้น เขาก็บ่มเพาะพลังจนขึ้นกลายเป็นเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าแล้ว
ทันทีทันใด เขาก็เบิกตาโตเบื้องลึกสาดสะท้อนแววประหลาดใจยิ่ง
“นี่…นี่เป็นไปได้อย่างไร? คำสาปถูกคลายออกแล้ว? หรือเป็นไปได้ไหมว่าท่านประมุขเผ่ากลับมาแล้ว?”
เข้ารีบลุกขึ้นทันทีและวิ่งไปที่บ่อน้ำเยือกเย็น ทันใดนั้นร่างของเขาพลันหยุดชะงักในบัดดล
เบื้องหน้าพลันปรากฏเป็นสาวงามในวัยกลางคนที่ค่อยๆย่างเท้าเดินออกมา
สีหน้าการแสดงออกของท่านบรรพบุรุษเผยรอยยิ้มสุดอิ่มเอมใจออกมา เขากล่าวว่า
“จุนเอ๋อ เป็นเวลาหลายปีแล้วในที่สุดเจ้าก็หายเป็นปกติ! หยวนเอ๋อจักต้องดีใจเป็นแน่ที่ได้เห็นเจ้าปลอดภัยแล้ว!”
สาวงามวัยกลางคนนางนี้มิใช่ใครอื่นนอกเสียจากแม่ของเย่หยวน อ้าวจุน
ปัจจุบันอ้าวจุนฟื้นคืนความเยาว์วัยของนางได้อย่างสมบูรณ์ ราวกับความอ่อนวัยในอดีตหวนคืนกลับมา
สีหน้าของอ้าวจุนเปี่ยมล้นไปด้วยความสับสน ขณะที่นางเอ่ยามว่า
“ท่านบรรพบุรุษ นี่เกิดอะไรขึ้น? นอกจากท่านบรรพชนต้นกำเนิดแล้วยังมีใครสามารถคลายคำสาปได้อีก?”
ท่านบรรพบุรุษส่ายหัวและกล่าวว่า
“ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน! หรือมีความเป็นไปได้ว่าท่านบรรพชนต้นกำเนิดกลับมาแล้ว! ท่านผู้นั้นอาจสงสารชนรุ่นหลังจึงกลับมาช่วยให้พวกเราพ้นจากทุกข์ในครั้งนี้?”
อ้าวจุนกล่าวตอบว่า
“ไม่มีทางใช่ไหม?! มิใช่ว่าท่านบรรพชนของเราหายสาบสูญไปตั้งแต่หลายล้านปีก่อนแล้ว?”
ท่านบรรพบุรุษยิ้มและกล่าวว่า
“อย่าไปคิดมากเลย! ไม่ว่าเหตุใดนี่นับเป็นเรื่องดี ทุกคนสามารถออกไปสู่โลกกว้างได้แล้ว! เช่นนั้นไปกันเถอะ!”
ในเวลาเดียวกัน ทั่วทั้งดินแดนเนรเทศก็กลับสู่ความมีชีวิตชีวาอีกครั้ง
พวกเขาทั้งหมดต่างรู้สึกได้ทันทีว่า พลังคำสาปที่ผนึกพวกเขาอยู่ได้สลายลงไปแล้ว ทุกคนล้วนดีใจแทบคลั่ง
ขณะที่ท่านบรรพบุรุษและอ้าวจุนกำลังเดินออกจากถ้ำ พวกเขาก็เห็นร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ตรงปากทางเข้า
“หยวนเอ๋อ! เจ้ามิได้เดินทางไปที่มหาพิภพถงเทียนแล้วหรอกรึ? ไฉนเจ้าถึงมาที่นี่ได้?”
ทั้งสองแทบจะส่งเสียงร้องอุทานลั่นพร้อมกัน
สายตาของเย่หยวนที่จับจ้องไปที่อ้าวจึนนั้นเปี่ยมล้นไปด้วยความอบอุ่นใจยิ่งนัก
หลังจากที่วันเวลาผ่านไปร้อยปี ในที่สุดเขาก็ช่วยให้แม่ของตนหลุดพ้นจากความทรมานนี้ไปได้เสียที
ทันทีทันใดท่านบรรพบุรุษนึกอะไรขึ้นได้ สีหน้าเผยความตื่นตะลึงเหลือเชื่อก่อนร้องอุทานขึ้นอย่างตกใจว่า
“หรือเป็น…เป็นไปได้ไหมว่า ที่คำสาปคลายออกเป็นเพราะเจ้า?”
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“ท่านบรรพบุรุษ ท่านแม่ มหาพิภพถงเทียนกว้างใหญ่ไพศาลกว่าที่พวกท่านจินตนาการไว้มากนัก เพียงเชื้อสายสี่สัตว์เทวะนับเป็นส่วนเล็กๆส่วนหนึ่งเท่านั้น”
เนื้อตัวของท่านบรรพบุรุษสั่นสะท้านหนักหน่วง เขากล่าวขึ้นว่า
“นี่เจ้า…เจ้าทำได้แล้วจริงๆ? แต่เจ้าเป็นแค่…หื้ม? เจ้า…เจ้าทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรบรรพชนพระเจ้าชั้นกลางแล้ว?!”
ท่านบรรพบุรุษสูดไอเย็นแช่มลึกด้วยความหวั่นเกรงยิ่ง
ความเร็วในการบ่มเพาะพลังของเย่หยวนมันไม่เร็วเกินไปหน่อยรึ?
แต่อ้าวจุนในยามนี้กลับดูภาคภูมิใจอย่งางยิ่ง
นางไม่คิดเลยว่าลูกชายของตนจะน่าทึ่งถึงขนาดนี้!
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“ข้าได้พบกับบางสิ่งที่สามารถช่วยคลายคำสาปบนมหาพิภพถงเทียนโดยบังเอิญ ดังนั้นการจะคลายคำสาปของที่นี่ออกจึงหาใช่เรื่องใหญ่”
ท่านบรรพบุรุษอึ้งแข็งค้างไปครู่ใหญ่ เด็กคนนี้ช่างเจียมเนื้อเจียมตัวเกินไป
สิ่งหนึ่งที่ควรทราบ ในยุคที่ศาสตร์แห่งสวรรค์รุ่งเรือง มีเหล่าเซียนหลายต่อหลายคนพยายามทำลายคำสาปนี้ลง
แต่พวกเขาก็พยายามอย่างหนัก ผ่านมาหลายชั่วอายุคนก็ยังไม่สามารถคลายคำสาปนี้ได้
ทว่าเย่หยวนพึ่งออกไปแค่ร้อยปี กลับคลายคำสาปออกได้เสียแล้ว?
ตอนที่ 1581 ไถ่ถาม
Ink Stone_Fantasy
“หยวนเอ๋อ เจ้าจะออกไปแล้วรึ?”
อ้าวจุนจับมือเย่หยวนแน่นราวกับไม่เต็มใจที่จะแยกทางกับลูกชายตนเองมากนัก
ในที่สุดพวกเขาก็หลุดพ้นจากคำสาปได้ และนางเองก็สามารถสนทนากับลูกชายได้อย่างคนทั่วไป ทว่าบัดนี้ลูกชายของเขากำลังจะจากไปอีกแล้ว
เย่หยวนร่วมใช้ชีวิตอยู่กับนางในดินแดนเนรเทศนี้มานานกว่าหนึ่งเดือนแล้ว แต่ในที่สุดจำต้องอำลากันเสีย
อ้าวจุนทราบข่าวการตายของจี้เฉินหยังแล้ว หลายวันมานี้นางเองก็รู้สึกหดหู่ไม่น้อย
เย่หยวนและลี่เอ๋อต่างพยายามปลอบโยนอ้าวจุน พยุงจิตใจของนางให้กลับมาสดใสร่าเริง
“ท่านแม่ ลูกคนนี้ติดหนี้บุญคุณหลินเสวียมากมายเกินไป ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ข้าเอาแต่โทษตัวเองมาโดยตลอด หากไม่สามารถช่วยชีวิตนางได้ในวันข้างหน้า ตัวข้าเองก็ไม่สบายใจไปตลอดชีวิต!”
เย่หยวนเอ่ยกล่าวขึ้นพร้อมคลื่นอารมณ์แสนแปรปรวน
ในที่สุดเขาก็กลับมาอาศัยร่วมกับท่านแม่ได้ดั่งครอบครัวปกติ ดังนั้นภายในใจลึกๆของเย่หยวนแล้ว เขาเองก็ไม่ต้องการที่จะลาจากแม้ตนเองไปเช่นกัน
แต่มหาพิภพถงเทียนยังมีอีกหลายสิ่งอย่างรอเข่าอยู่ และมิอาจล่าช้าได้นานกว่านี้แล้ว
เมื่อเห็นท่าทางที่ดูไม่เต็มใจของท่านแม่ เย่หยวนก็ยิ้มกล่าวว่า
“ตอนนี้ลูกชายคนนี้มีสมบัติวิเศษติดตัวอยู่ ดังนั้นการจะเดินทางเข้าออกห้วงอวกาศก็หาใช่ปัญหาอีกต่อไป ตราบใดที่อนาคตข้ามีเวลาว่างเมื่อใด ข้าจะรับกลับมาหาท่านทันที!”
ท่านบรรพบุรุษกล่าวเสริมขึ้นว่า
“บุตรแห่งสวรรค์มีความทะเยอทะยานกว้างไกลนับว่าเป็นเรื่องดีแล้วมิใช่รึ? ในเมื่อรู้ดีว่าโลกภายนอกกว้างใหญ่ไพศาลเพียงใด อนาคตของเขาจะหยุดอยู่แค่ในมุมเล็กๆได้อย่างไร?”
เมื่อได้ยินท่านบรรพบุรุษกล่าวเช่นนั้น อ้าวจุนก็อดเศร้าใจมิได้ แต่นางก็รู้ดีว่าตนก็ไม่สามารถรั้งเย่หยวนได้เช่นกัน ดังนั้นนางจึงกล่าวพร้อมรอยยิ้มอันขื่นขมว่า
“หยวนเอ่อ แม่รู้ดีว่าตลอดเส้นทางที่ฝ่าฟันมานี้มันไม่ง่ายเลยสำหรับลูก เช่นนั้นเจ้าต้องระมัดระวังตัวให้มากขึ้นในมหาพิภพถงเทียน!”
เย่หยวนพยักหน้าหนักแน่นกล่าวตอบว่า
“มั่นใจได้เลยท่านแม่ ข้าจะระมัดระวังตัวให้ดี!”
เย่หยวนออกจากดินแดนเนรเทศ เพื่อออกไปพบคุนหวูอีกครั้ง
ในอดีตที่พานพบกัน ระดับพลังความลึกล้ำของคุนหวู เย่หยวนไม่สามารถหยั่งรู้ได้เลย และเมื่อพบกันในครั้งนี้ก็ยิ่งทำให้เย่หยวนประหลาดใจเข้าไปใหญ่
เขาในปัจจุบันก็ไม่สามารถหยั่งรู้ถึงระดับพลังของคุนหวูได้เหมือนเดิม!
คุนหวูมีพลังอยู่ในอาณาจักรใดแล้วกันแน่?!
เย่หยวนตกใจที่ได้เห็นเขา แต่แท้จริงแล้ว คุนหวูกลับตกใจที่ได้เห็นเย่หยวนเสียยิ่งกว่า
นึกถึงตอนที่เย่หยวนจากออกไป ตอนนั้นคุนหวูมองเย่หยวนในแง่ร้ายนับร้อยพันเท่า
แต่ใครจะไปคิด หลังผ่านไปแค่ร้อยปี ไม่เพียงเขาจะสามารถกลับมาที่นี่ได้อย่างปลอดภัย แต่เย่หยวนยังทะลวงขึ้นไปยังอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าชั้นกลางราวกับเสือติดปีกขึ้นทะยาน!
นอกจากนี้เขายังสัมผัสได้อย่างชัดแจ้งว่า เย่หยวนได้สะบั้นศาสตร์แห่งสวรรค์ที่เชื่อมต่อไปแล้ว แต่ทว่าเขาก็ยังสามารถระดมใช้ศาสตร์แห่งสวรรค์ได้ดังเดิม ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นไปได้เลย
“เจ้าหนู เจ้าทำเรื่องอัศจรรย์เช่นนี้ได้อย่างไร?”
คุนหวูจับจ้องไปที่เย่หยวนพลางเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ
ศึกสัประยุทธ์ระหว่างเย่หยวนกับเทพนอกรีตบาแสวรรค์ คุนหวูย่อมทราบตระหนักดี
ในตอนนั้นทำให้เขาประหลาดใจอย่างมากเช่นกัน
ทันทีทันใด ร่างของหวูเฉินก็ปรากฏกายออกมาและยิ้มกล่าวว่า
“ตาแก่ ทั้งข้าและเจ้าต่างคิดผิดกันทั้งคู่! ศักยภาพของไอ้เด็กนี่เหนือชั้นกว่าตาเฒ่าจอมเทพนิรันดร์อย่างมาก!”
สายตาคู่นั้นของคุนหวูขยับขยายจับจ้องเย่หยวนดูจริงจังขึ้นหลายส้วน
“แล้ว?”
หวูเฉินพลางลูบเครายาวของตนเล็กน้อยและกล่าวว่า
“สิ่งที่จอมเทพนิรันดร์เคยทำสำเร็จ เขาเองก็ทำสำเร็จแล้ว ส่วนเรื่องที่จอมเทพนิรันดร์ยังทำไม่สำเร็จ เขาเองก็ทำสำเร็จแล้วเช่นกดัน! ข้าตั้งหน้าตั้งตาคอยดูอยู่ว่า ความสำเร็จของเขาจะสูงส่งเพียงใด!”
รูม่านตาดำของคุนหวูตีบแคบลงในทันใด เขาเอ่ยกล่าวขึ้นด้วยความติ่นตะลึงยิ่งว่า
“หากตาเฒ่าจอมเทพนิรันดร์ไม่ตายไปเสียก่อน เขาเองก็ขึ้นกลายเป็นจักรพรรดิเทพสวรรค์ได้เช่นกัน! หรือเป็นไปได้ไหมว่า เจ้าเด็กนี่จะมีแววไต่เต้าขึ้นเป็นจักรพรรดิเทพสวรรค์ได้เช่นกัน?”
คุนหวูยิ้มแต่กลับมิได้ปริปากกล่าวใดๆ นี่ยิ่งเพิ่มความสับสนให้แก่คุนหวูเข้าไปใหญ่
เดิมทีเย่หยวนต้องการปลดปล่อยคุนหวูออกจากหุบเขาเหวพระเจ้าเช่นกัน แต่กลับค้นพบว่าแม้ศาสตร์แห่งสวรรค์ในปัจจุบันจะฟื้นตัวขึ้นมากแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถรองรับระดับชั้นการดำรงอยู่เฉกเช่นคุนหวูได้ ดังนั้นเย่หยวนจึงจำต้องตัดใจจากเรื่องนี้ทิ้งไปก่อน
หลังจากที่ทุกอย่างเสร็จสิ้น เย่หยวนก็นำลี่เอ๋อ ลู่เอ๋อ อิ้งหมัวหู่และภูตเพลิง เข้าสู่โถงบัลลังก์ม่วงและข้ามฝ่าห้วงอวกาศออกไป
ทั้งลี่เอ๋อ อิ้งหมัวหู่ และภูตเพลิงยามนี้พวกเขาต่างทะลวงขึ้นกลายมาเป็นเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้ากันหมดแล้ว
แม้แต่ลู่เอ๋อเองยังทะลวงขึ้นเป็นเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าขั้นสุดแล้วเช่นกัน
พวกเขาเหล่านี้ที่กำลังเดินทางไปยังมหาพิภพถงเทียน ยามนี้ดูจะตื่นออกตื่นเต้นอย่างมาก พวกเขาเร่งคว้าร่างของหนิงซืออวี๋และเหลียงหวางหรูเพื่อมาไถ่ถามต่างๆนาๆไม่หยุดหย่อน ราวกับเด็กน้อยทั้งสี่ที่เปี่ยมไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เหลียงหวานหรูอาศัยอยู่ในมหาพิภพถงเทียนตั้งแต่กำเนิด นางจึงเอ่ยอธิบายออกไปตามที่อีกฝ่ายเอ่ยถาม ยามนี้นางรู้แล้วว่า ตนควรเว้นระยะห่างกับเย่หยวนในฐานะพี่น้องเท่านั้น
เย่หยวนไม่แม้แต่จะกล้าสัญญาใจกับลี่เอ๋อ แล้วนี่นับประสาอะไรกับนาง?
ด้วยเหตุนี้ทำให้เหลียงหวางหรูทำใจได้ในที่สุด และกลับมาเป็นคนร่าเริงผูกมิตรกับพวกเขาทั้งสี่จนสนิทกันอย่างรวดเร็ว
แต่ในขณะเดียวกัน เย่หยวนตรงมายืนข้างเจ้าท้วมและเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มว่า
“การเดินทางครั้งนี้ เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง?”
“เฮ้อ ข้านึกไม่ถึงจริงๆว่า แม้แต่เจ้าก็ยังมีอดีตที่น่าเศร้าเพียงนี้!”
สถานที่แห่งนี้คือบ้านเกิดของเย่หยวน ทั้งเจ้าท้วมและคนอื่นๆล้วนสงสัยเรื่องราวในอดีตของเย่หยวนเป็นธรรมดา ดังนั้นพวกเขาจึงไล่ตระเวนสอบถามจากคนอื่นๆพร้อมทราบว่า ในอดีตเย่หยวนเคยถูกพี่ชายของตนทรยศหักหลัง และท่านพ่อของเขาก็ยังถูกฆ่าโดยพี่ชายที่เคยไว้ใจคนนั้น
ต่อมาจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์คนที่เป็นที่รักของเขาก็ยังมีถูกทรมานไม่จบไม่สิ้น นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เย่หยวนต้องออกเดินทางมาที่มหาพิภพถงเทียนเพื่อหาทางช่วยเหลือนาง
ดูเหมือนว่าความโชคร้ายของเหลียงหวางหรูและเจ้าท้วมไม่มีคุณสมบัติกล่าวถึงเลย เมื่อเปรียบเทียบกับอดีตอันเลวร้ายของเย่หยวน
หากมิได้ยินเรื่องราวเหล่านี้จากหูของพวกเขาเอง พวกเขาก็นึกไม่ออกเช่นกันว่าคนที่โชคดีอย่างเย่หยวนยังคงมีอดีตแสนน่าเศร้าเช่นนี้จริงๆ
เมื่อนึกถึงสิ่งต่างๆที่ผ่านมา เจ้าท้วมย้อนกลับมานึกถึงเรื่องของตัวเองพลางคิดไปว่า หากตัวเขาเป็นเย่หยวน เขาคงกลายเป็นบ้าและฆ่าตัวตายไปนานแล้ว
แต่เย่หยวนกลับไม่เคยโทษสรวงสวรรค์หรือสิ่งใดเลย
เขาพยายามยืนหยัดด้วยลำแข้งของตนและค่อยๆเดินหน้าต่อไปทีละก้าวอย่างมั่นคง ทั้งนี้ก็เพื่อแก้แค้นให้แก่ท่านพ่อและช่วยเหลือคนอันที่เป็นรัก
กว่าจะก้าวมาถึงจุดนี้ เย่หยวนต้องเข้มแข็งขนาดไหนกัน!?
เย่หยวนพยายามอย่างมากกว่าจะเดินมาถึงจุดนี้ได้
เจ้าท้วมหันมองเย่หยวนด้วยความซาบซึ้งใน ใบหน้าของเขายามนี้คลี่เผยถึงรอยยิ้มที่ห่างหายไปเสียนาน และกล่าวว่า
“เย่หยวน ข้าต้องขอบคุณเจ้าจริงๆสำหรับทุกอย่าง!”
เย่หยวนหัวเราะคิกคักกล่าวว่า
“นั้นมินับเป็นอันใดเลย! เพื่อทำให้รอยยิ้มดั่งวันวานของเจ้ากลับคืนมา นี่นับว่าคุ้มค่าแล้ว!”
….
ภายในหอโอสถ ปัจจุบันหลู่เมิงยังคงเอ่ยปากด่าสบถให้ผู้อาวุโสใหญ่โย่วซวี๋ไม่หยุดหย่อน
“ท่านผู้อาวุโสใหญ่ จะให้ไอ้เด็กเหลือขอไร้ความสามารถขึ้นมาเป็นผู้อาวุโสได้อย่างไร! จอมเทพโอสถสามดาวกลายมาเป็นผู้อาวุโสในหอโอสถเช่นนี้ ใครรู้ต่างไม่เป็นที่ขำขันของผู้คนเกินไปรึ?”
ผู้อาวุโสใหญ่ยังคงนั่งฟังอย่างเงียบงัน สีหน้าไร้ซึ่งการแสดงออกใดๆไม่ว่าเป็นสุขหรือทุกข์โศก
เมื่อหลู่เมิงกล่าวจบ โย่วซวี๋ก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างแช่มช้าว่า
“เรื่องนี้ได้รับการตัดสินโดยบุคคลระดับสูง ข้าเองจึงไม่ทราบรายละเอียดเช่นกัน! ข้าขอถามเจ้าเสียว่า เด็กนั้นแข็งแกร่งเพียงใด?”
หลู่เมิงกล่าวตอบอย่างไม่พอใจว่า
“มีดีอะไรกัน! มันหรือแข็งแกร่ง? ในความเห็นของข้ามันจงใจแสร้งทำเป็นลึกลับให้ผู้คนหวาดกลัวเสียมากกว่า!มันเป็นแค่จอดเทพโอสถสามดาว มีหรือจะปัญญาชี้แนะลวี่อี้ได้? ข้ามั่นใจอย่างยิ่งว่า แท้ที่จริงแล้วลวี่อี้เก็บงำฝีมือที่แท้จริงมาโดยตลอด แต่แสร้งว่าตนได้รับความชี้แนะจากไอ้เด็กเหลือขอนั้นจึงทำให้ตนเองเก่งขึ้นในชั่วพริบตา! ทั้งหมดเป็นเพราะความโชคร้ายของข้าเองเสีย ถึงหลงกลติดกับดักของมันเข้าเต็มเปา!”
จนถึงตอนนี้หลู่เมิงก็ไม่เชื่ออยู่ดีว่า เย่หยวนจะสามารถชี้แนะลวี่อี้ภายในหนึ่งชั่วยามจนสามารถหลอมกลั่นโอสถเจ็ดตรัสรู้อริยะได้จริงๆ
สิ่งเหล่านี้ไร้สาระสิ้นดี
คู่คิ้วผู้อาวุโสใหญ่ขมวดถักแน่น เขากล่าวว่า
“ความหมายของเจ้าคือ เด็กนั้นเป็นเพียงตัวหมากตัวหนึ่งของซวนอี้เพื่อหลอกพวกเรา?”
หลู่เมิงพยักหน้าและกล่าวว่า
“นอกเหนือจากความเป็นไปได้ในข้อนี้ก็ไม่มีอื่นใดแล้ว! อย่างไรก็ตาม ท่านผู้อาวุโสใหญ่ต้องระวังตัวให้ดี ศาสตร์แห่งโอสถจของซวนอี้พัฒนายาลึกล้ำยิ่งนัก ถึงนั้นที่ว่าหลอมกลั่นโอสถชำระไขกระดูกสวรรค์ขึ้นได้ ข้าได้ยินมาว่าโรคที่รักษาไม่หาย แต่เด็กนั้นกลับรักษาได้ มีความเป็นไปได้สูงว่าซวนอี้ยืมเย่หยวนมาเป็นฉากหน้าเท่านั้น!”
ผู้อาวุโสใหญ่อดรำพึงกับตนเองมิได้ การปรากฏตัวของเย่หยวนทำให้การเตรียมการทั้งหมดของเขาหยุดชะงักไป
แต่เขาก็ยอมรับว่าความกังงวลของหลู่เมิงหาใช่เรื่องไร้สาระ
มิอาจปฏิเสธได้ว่า เย่หยวนคนนี้มีความแข็งแกร่งอยู่บ้างจริงๆ มิฉะนั้นซวนอี้คงไม่แยแสเช่นกัน
แต่หากบอกว่าเย่หยวนทรงพลังถึงขนาดสั่งสอนชี้แนะจอมเทพสี่ดาวได้ เรื่องพรรค์นี้เขาไม่มีทางเชื่อเป็นอันขาด
“เรื่องการแต่งตั้งตำแหน่งเกินอิทธิพลข้าจะตัดสินใจ เย่หยวนมีความสามารถแค่ไหนไม่ทราบ แต่การประลองในหอโอสถครั้งนี้ เจ้าต้องไปท้าทายมันด้วยตัวเจ้าเอง!”
ผู้อาวุโสใหญ่กล่าวสั่งการทันที
ตอนที่ 1582 ดักประท้วงหน้าประตู
Ink Stone_Fantasy
“ผู้อาวุโสเย่! ผู้พิทักษ์หลิน!”
“ทำความเคารพผู้อาวุโสเย่! ทำความเคารพผู้พิทักษ์หลิน!”
เมื่อเข้าสู่ตัวเมืองชั้นใน ก็เริ่มมีผู้คนจำนวนไม่น้อยลุกขึ้นทำความเคารพเย่หยวนทันที
แต่เย่หยวนมองผ่านอ่านแววตาของพวกเขาออกได้ชัดแจ้ง ช่างเป็นสายตาที่เปี่ยมล้นไปด้วยคำดูถูกและไม่พอใจอย่างยิ่ง
ในขณะที่เวลาที่พวกเขาเอ่ยทักทายผู้พิทักษ์หลินสีหน้ากลับเต็มไปด้วยความเลื่อมใส
เห็นได้ชัดว่าในสายตาของพวกเขา หลินตงเป็นบุคคลที่เคารพรักของพวกเขา ในขณะที่เย่หยวนเป็นเพียงเด็กคนหนึ่งที่จำใจต้องทำความเคารพให้
จอมเทพโอสถสามดาวในเมืองชั้นในแห่งนี้ไม่นับว่าเป็นอันใด มีผู้คนจำนวนเล็กน้อยที่อยู่ในระดับชั้นนี้
และโดยส่วนใหญ่จะเป็นเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าชั้นปลายหรือขั้นสุดแทบทั้งหมด
ดังนั้นแล้ว เรื่องราวเช่นนี้อย่างการที่เย่หยวนขึ้นกลายเป็นผู้อาวุโสได้ หลายต่อหลายคนจึงไม่สามารถยอมรับได้เลย
ในขณะที่เย่หยวนเข้ารับตำแหน่ง เขาก็เรียกใช้หลินตงให้ไปแก้แค้นแทนตนในเรื่องส่วนตัวทันที โดยส่วนมากไม่มีผู้อาวุโสของหอโอสถคนใดทำเช่นนี้
พวกเขาไม่รู้จักเย่หยวนก็จริง แต่พอเห็นว่าข้างกายเด็กหนุ่มคนนี้คือหลินตง ทั้งหมดก็พอที่จะคาดเดาได้ทันทีว่า ไอ้เด็กเหลือขอนี่แหละคือเย่หยวนแน่นอน
“ผู้อาวุโสเย่ นี่…”
แต่หลินตงที่อยู่ข้างกายกลับรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก เขาเอ่ยถามขึ้นทันที
เย่หยวนโบกมือปัดกล่าวขัดด้วยรอยยิ้มบางขึ้นว่า
“ผู้พิทักษ์หลินอย่าได้กังวลใจไป สถานการณ์เช่นนี้ ข้าคาดการณ์ไว้นานแล้ว ข้าจะโกรธเคืองได้อย่างไร? วิธีที่ดีที่สุดในการลบข้อกังขาของพวกเขาคือ ใช้ฝีมือเข้าพิชิต หวังใช้แต่อารมณ์เข้าแก้ไข มีแต่จะทำให้คนอื่นดูถูกเพิ่มมากขึ้น”
หลินตงอ้าปากค้าง เขาไม่คิดเลยว่าเย่หยวนจะกล่าวออกมาเช่นนี้
ผู้อาวุโสเย่อายุเพียงร้อยกว่าปีเองมิใช่รึ?
ไฉนวาจาความใจเข็นของเขาไม่เหมือนเด็กหนุ่มเลือดร้อนเลยสักนิด? ราวกับชายชราผู้ผ่านประสบการณ์มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน?
กล่าวตามหลักเหตุและผล การที่เย่หยวนมีสถานะสูงส่งเช่นนี้ตั้งแต่ยังเด็ก เขาควรหัวสูงและหยิ่งผยองมิใช่รึ?
แต่เหตุใดเขาถึงไม่เห็นอารมณ์เหล่านี้จากตัวเย่หยวนเลย?
สิ่งที่เขามีคือความสุขุมราวกับผู้ใหญ่ และความรอบคอบประดุจถือครองไม้เท้าแห่งปัญญาภายในมือ
พวกเขาเดินสำรวจอย่างไม่เร่งไม่ร้อนและตรงมาถึงจวนของเย่หยวนในตัวเมืองชั้นในท้ายที่สุด
ทันทีทันใด ปรากฏกลุ่มคนจำนวนมากมายหลั่งไหลออกมาจากสองฝั่งถนน เข้าปิดกั้นประตูหน้าจวนของเย่หยวนอย่างแน่นหนา
แต่ในบรรดาผู้คนเหล่านี้ไม่มีแม้แต่ยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าสักคน แท้ที่จริงแล้ว พวกเขาเป็นเพียงเยาวชนหนุ่มสาวอาณาจักรบรรพชนพระเจ้า
อายุโดยเฉลี่ยของพวกเขาน่าจะเทียบเท่าได้กับหนิงซื่ออวี๋
หลินตงขมวดคิ้วเข้ม เอ่ยกล่าวเสียงเย้ยยันว่า
“ซ่งฉีหยาง พวกเจ้าคิดกบฏกระมัง?”
ผู้นำกลุ่อายุยังค่อนข้างน้อยทว่าใบหน้าช่างหล่อเหลา และระดับพลังก็สูงถึงอาณาจักรราชันพระเจ้าครึ่งขั้นแล้ว
แต่ซ่งฉีหยางกลับไม่แยแสสนใจ พร้อมกล่าวตอบไปว่า
“ผู้พิทักษ์หลิน พวกเราทราบดีว่านี่เป็นหน้าที่ของท่าน แต่ไหนเลยเด็กน้อยเช่นนี้จะเป็นผู้อาวุโสแห่งหอโอสถได้? ข้า ซ่งฉีหยางขอคัดค้าน! พวกเราทุกคน! พวกเจ้ายอมรับได้หรือไม่?!”
“พวกเราขอคัดค้าน!”
“พวกเราขอคัดค้าน!”
“หากจอมเทพโอสถสามดาวสามารถขึ้นกลายเป็นผู้อาวุโสแห่งหอโอสถได้ พวกเราคงกลายมาเป็นผู้ดูแลระดับสูงแล้วกระมัง?”
“ถูกต้อง! ข้าเองก็เป็นจอมเทพโอสถสามดาว เช่นนั้นข้าเองก็ควรได้รับตำแหน่งผู้อาวุโสด้วยใช่หรือไม่?”
…
คนกลุ่มนี้ส่งเสียงโหร้องหลากอารมณ์พุ่งพล่าน มีบางคนในหมู่พวกเขารู้สึกโกรธเกรี้ยวอย่างยิ่งจนใบหน้าแดงก่ำ เห็นได้ชัดว่า พวกเขาไม่พอใจเย่หยวนยิ่งกว่าอะไร
ข่าวลือก็ยังคงเป็นข่าวลือวันยังค่ำ ภายในเขตเมืองชั้นใน นอกจากซวนอี้และเหล่าศิษย์แล้ว ก็ไม่มีใครเคยเห็นเย่หยวนหลอมกลั่นโอสถกับตามาก่อน
ดังนั้นแล้ว การที่ให้จอมเทพโอสถสามดาวมาเป็นผู้อาวุโสของพวกเขาเช่นนี้ มีหรือที่พวกเขาจะยอมรับได้
ตำแหน่งผู้อาวุโสแห่งหอโอสถมีเพียงยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าชั้นปลายเท่านั้น ที่มีคุณสมบัติเข้ารับตำแหน่ง
หลินตงโกรธจัดจนกัดฟันกรอด กลุ่มคนพวกนี้เคลื่อนไหวโจ่งแจ้งและหน้าด้านเกินไป! ถึงกล้าออกมาตั้งคำถามกับผู้อาวุโสเย่!
เรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลยในหน้าประวัติศาสตร์ของหอโอสถ
กลุ่มคนที่ออกมาประท้วงไม่น้อยกว่าร้อยคน พวกเขาล้วนแต่เป็นเหล่าอัจฉริยะรุ่นเยาว์แห่งหอโอสถ
มีจำนวนไม่น้อยที่เป็นศิษย์เอกของเหล่าผู้อาวุโสแห่งหอโอสถอีกด้วย
ซ่งฉีหยางผู้รนี้เป็นศิษย์ของผู้อาวุโสใหญ่ เขายังเป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์อันดับหนึ่งแห่งหอโอสถอีกด้วย
ความแข็งแกร่งของเขากล่าวได้ว่า แทบจะโค้นล้มเหล่าเยาวชนทุกคนในหอโอสถได้
โอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสาม ไม่มีใครกล้าหลอมกลั่น เว้นแต่เขาที่หลอมกลั่นได้จนประสบความสำเร็จ
แม้แต่ผู้อาวุโสใหญ่เองยังเอ่ยปากชื่นชมอยู่บ่อยครั้ง ว่า ตอนที่เขายังเด็ก ฝีมือของตนกลับเทียบซ่งฉีหยางไม่ติด!
สำหรับศิษย์คนนี้ ผู้อาวุโสใหญ่ค่อนข้างพึงพอใจอย่างยิ่ง
ดังนั้นแล้ว คนธรรมดาที่ขึ้นกลายเป็นผู้อาวุโสเทียบชั้นกับอาจารย์เขาได้ ซ่งฉีหยางจะยอมรับได้อย่างไร?
ตอนที่เขาได้ยินว่า จอมเทพโอสถสามดาวขึ้นกลายเป็นผู้อาวุโสแห่งหอโอสถ เขาขำแทบตายคิดว่าฟังเรื่องตลก ก่อนจะพบว่ามันเป็นความจริง แน่นอนว่าเขายอมรับไม่ได้แม้สักนิดจนระดมเหล่าเยาวชนออกมาประท้วงเช่นนี้
แน่นอนว่าซ่งฉีหยางเองก็มิใช่คนโง่เช่นกัน เขาทราบดีว่าการทำร้ายผู้อาวุโสนับเป็นความผิดร้ายแรง
หากถึงขั้นตายขึ้นมาอาจรับโทษหนักเกินแบกรับ เขาจึงไม่ใจร้อนเข้าโจมตีในทันที
เช่นนั้นจึงปลุกระดมเหล่าจอมเทพโอสถสามดาวให้ออกมาประท้วงปิดกั้นประตูหน้าจวนเย่หยวนเช่นนี้
ตามที่กล่าวไปในเมื่อมิอาจใช้กำลังก็จำต้องใช้คลื่นมวลชน ซึ่งภูมิหลังของเหล่าศิษย์พวกนี้เองก็ค่อนข้างแข็งแกร่งไม่น้อย
สันนิษฐานได้ว่า เย่หยวนไม่กล้าทำอะไรพวกเขาแน่นอน
“เจ้าประท้วงเสร็จรึยัง?”
เย่หยวนกล่าวเสียงเย็นเอ่ยขึ้น
ซ่งฉีหยางหัวเราะคำโตกล่าวว่า
“ผู้อาวุโสเย่ หากท่านต้องการจะดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสต่อไป ท่านจำต้องมีความสามารถด้วย! วันนี้ข้า ซ่งฉีหยางขอเป็นตัวแทนของเหล่าศิษย์ทั้งหมดเพื่อประลองกับท่าน! ท่านกล้ารับคำท้าหรือไม่?”
ซ่งฉีหยางผู้นี้กล้าหาญไม่เกรงกลัวผู้ใด และไม่มีใครที่เขาต้องกลัว
ในขณะที่คำกล่าวเหล่านี้เอ่ยดังขึ้น กระทั่งดวงตาคู่นั้นของหลินตงยังฉายแววสนใจ
กล่าวตามตรง การที่เย่หยวนได้รับตำแหน่งสูงส่งเช่นนี้ตั้งแต่ยังเด็ก หลินตงก็อยากรู้ว่าแท้จริงแล้ว เย่หยวนทรงพลังเพียงใด
ในขณะเดียวกัน ซ่งฉีหยางนับเป็นมาตรฐานของเหล่าอัจฉริยะจอมเทพโอสถสามดาวแห่งหอโอสถอย่างไม่ต้องสงสัย
การให้เขาเข้าท้าทายเย่หยวนนับเป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว
ด้วยเหตุนี้หลินตงจึงตระหนักได้ทันทีว่า เรื่องในวันนี้คงไม่จบลงง่ายๆแน่นอน
ในฐานะผู้อาวุโสของเย่หยวน เขาต้องเอาชนะซ่งฉีหยางให้ได้เพื่อลบข้อกังขา
หากเย่หยวนแพ้เขาจักสูญเสียทุกอย่าง และอาจกระทบไปถึงผู้อาวุโสรองด้วยเช่นกัน
เรื่องนี้ต้องมีคนชักใยอยู่เบื้องหลังแน่นอน!
ยามนี้หลินตงอดเหลียวมองเย่หยวนมิได้ เขาต้องการดูว่าอีกฝ่ายจะตัดสินใจอย่างไร
แต่ใครจะรู้ว่า ในเวลานี้เย่หยวนกลับไม่สนใจแยแสมันเลย และเอ่ยตอบเสียงเย็นกลับไปว่า
“ผู้พิทักษ์หลิน โยนพวกมันทั้งหมดออกไป เกะกะลูกตาข้า”
ทันทีที่คำกล่าวเหล่านี้เอ่ยดังออกไป สีหน้าการแสดงออกของเหล่าเยาวชนพวกนั้นก็แปรเปลี่ยนในทันใด
ซ่งฉีหยางที่ได้ยินแบบนั้นยิ่งเย้ยหยันหนักข้อเข้าไปใหญ่
“ปรากฏว่าผู้อาวุโสเย่ที่เพิ่งได้รับแต่งตั้งขึ้นมา จะมีดีแต่ปากและไม่กล้าแม้แต่รับคำท้าของผู้เยาว์! เรื่องนี้ข้าจะส่งรายงานไปยังหอโอสถโดยตรงและบอกว่าผู้อาวุโสเย่ไม่คู่ควรแก่ตำแหน่งนี้! พวกเจ้าทุกคนคิดเห็นอย่างไร?”
เหล่าเยาวชนคนอื่นๆต่างพยักหน้าทันที และคิดกันไปว่าเย่หยวนเพียงเลี่ยงวลีมิอาจให้ทุกคนค้นพบความอ่อนแอที่หลบซ่อนอยู่
“ใช่แล้ว! จอมเทพโอสถสามดาวอย่างมันจะเป็นผู้อาวุโสได้อย่างไร!”
“ไม่แม้แต่กล้ารับคำท้า พวกเรายอมไม่ได้!”
“ชายคนนี้เป็นแค่พวกขี้โกหกเท่านั้นจรืงๆ! แสร้งทำตัวเป็นใหญ่ เช่นนั้น หอโอสถควรลงโทษะเขาสถานะหนัก!”
…
ซ่งฉีหยางรู้สึกยินดีปรีใจกับตัวเองยิ่ง เขาได้ข้อสรุปแล้วว่า สุดท้ายนี้เย่หยวนก็เป็นแค่พวกสวะไร้ความสามารถ!
ชายคนนี้กลัวว่าความจริงจะถูกค้นพบ!
ดูเหมือนว่าคำวิเคราะห์ของหลู่เมิงจะสมเหตุสมผลนัก ปรากฏว่าเย่หยวนเป็นเพียงหุ่นเชิดของผู้อาวุโสรองเท่านั้น
“ผู้พิทักษ์หลินยังมัวยืนเก้ออันใด? หรือเป็นไปได้ไหมว่า…ต้องให้ข้าจัดการเอง?”
เย่หยวนกล่าวเสียงเย็น
สีหน้าการแสดงออกของหลินตงยามนี้ค่อนข้างขัดแย้งหนัก คนที่เขาต้องจัดการเบื้องหน้าเป็นถึงศิษย์ของผู้อาวุโสใหญ่!
เมื่อเห็นว่าหลินตงไม่กล้าเคลื่อนไหว ซ่งฉีหยางยิ่งรู้สึกได้ใจมากขึ้นพร้อมกล่าวว่า
“ฮ่าๆ ผู้อาวุโสของข้า ไม่กล้าเผชิญหน้ากับข้าตรงๆรึไง? หรือมีดีแต่สั่งคนอื่น? คนอย่างท่านไม่เหมาะสมกับตำแหน่งผู้อาวุโสเลยแม้แต่น้อย!”
วูบบบ!
ซ่งฉีหยางระเบิดหัวเราะอย่างพึงพอใจ แต่ทันใดนั้นวิสัยทัศน์เบื้องหน้าพลันพล่ามัวหนัก กว่าจะรู้สึกตัวอีกทีร่างของตัวเองก็ถูกโยนทิ้งออกไปไกลแล้ว
ตอนที่ 1583 ไสหัวไป
Ink Stone_Fantasy
ซ่งฉีหน้าขมำไถพื้นเป็นทางยาวกว่าร้อยฉื่อ ก่อนราวจะหมอบลงกับพื้นทั้งแบบนั้น
ช่างเป็นท่วงท่าการขว้างที่งดงามนัก
ทุกคนโดยรอบต่างตื่นตะลึงหนัก เพียงพริบตาเดียวซ่งฉีหยางถูกเย่หยวนขว้างทิ้งราวกับโยนเศษชยะอย่างหน่าเวทนา พวกเขาทั้งหมดต่างคิดว่าตาฝาดไป
“อ๊ากก! เจ้า…เจ้ากล้าขว้างข้าเชียว?!”
ซ่งฉีหยางร้องโอ้อวดพร้อมตะโกนลั่นเพราะแสบหน้าที่ถูกไถ่ออกไป
ในเขตเมืองชั้นในแห่งนี้แม้แต่ผู้อาวุโสคนอื่นๆยังไม่กล้าปฏิบัติเช่นนี้กับเขา!
เห็นได้ชัดว่า ไอ้เด็กเหลือขอนี่มันไร้ศักดิ์ศรีถึงขั้นลอบโจมตีในขณะที่เขายังไม่ทันตั้งตัว
เพราะเหตุนี้จึงทำให้เขาถูกเย่หยวนโยนออกไปอย่างง่ายดาย
แต่ปัญหามิได้อยู่ตรงนั้น ปัญหาจริงๆคือเขาเสียหน้าต่อเหล่ารุ่นน้องที่เคารพรักเขาไปเสียแล้ว
สายตาที่จับจ้องยองเย่หยวนเหลือบมองอีกฝ่ายที่นอนหน้าขมำอยู่กับพื้นอย่างเยือกเย็น แววตาที่จับจ้องแสนเหยียดหยามราวกับมองคนทาน หลินตงที่เห็นสายตาแบบนั้นพลันเย็นสะท้านจับขั้วหัวใจ!
หลินตงไม่คิดเลยว่า เด็กน้อยอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าคนหนึ่งจะทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวได้ปานนี้!
หรือนี่อาจเป็นเพราะตัวตนในฐานะผู้อาวุโสของเย่หยวนกัน?
ครั้งนี้นับว่าเขาขัดดคำสั่งของผู้อาวุโสเย่จริงๆ
แต่ก่อนหน้า เย่หยวนกลับไม่กล้าแม้แต่จะรับคำท้าของซ่งฉีหยาง เช่นนี้แล้วเขายังมีคุณสมบัติเป็นผู้อาวุโสอีกงั้นรึ?
หลินตงอดลังเลใจมิได้เลย
อย่างไรก็ตาม หากเขาดำเนินการตามคำสั่งของผู้อาวุโสเย่ นี่ก็จะทำให้ผู้อาวุโสใหญ่ไม่พอใจเช่นกัน
อีกฝ่ายมิใช่ฉินเซียวที่ภูมิหลังอ่อนแอแบบนั้น
แต่เป็นถึงลูกศิษย์ของผู้อาวุโสใหญ่ เขาหรือจะรอดพ้นจากโทษทัณฑ์หากลงมือจริงๆ?
“ไสหัวไป!”
เสียงเย่หยวนคำรามกึกก้องประดุจสายอัสนีบาดฟันฟาดปราบปรามทุกคนจนร่างสั่นสะท้านในคราเดียว เหล่าเยาวชนทั้งหมดต่างรร่นถอยเปิดทางให้โดยมิตั้งใจ
เย่หยวพาลี่เอ๋อและคนอื่นๆเดินตรงเข้าไปในจวนพักอย่างมิแยแสใดๆ
“ไฉนแขนขาของข้าสั่นเทาปานนี้? ข้ากำลังกลัวอีกฝ่าย?”
“นี่…นี่ไม่ถูกต้อง! เห็นได้ชัดว่าข้าแข็งแกร่งกว่าเขายิ่ง แต่ไฉนข้ายังต้องกลัวเขา?”
ทุกคนต่างหลีกทางให้เย่หยวนแต่โดยดี แต่พวกเขากลับไม่เข้าใจเลยว่าไฉนร่างกายของพวกตนกำลังหวาดกลัวปานนี้?
หลินตงที่ยืนอยู่ข้างกายเคลื่อนเดินออกไปอย่างแช่มข้า เขาไม่รู้เลยว่า เย่หยวนในยามนี้กำลังไม่พอใจอย่างมาก
หลินตงเหลียวหลังกลับและจากไปประดับคู่เสียงและใบหน้าอันขมขื่น
“ศิษย์พี่ซ่ง ตอนนี้…พวกเราควรทำอย่างไรดี?”
มีบางคนเอ่ยถามซ่งฉีหยางขึ้นเสียงเบา
ซ่งฉีหยางคำรามด้วยความหงุดหงิดใจ
“กลับ! พวกเรายังทำอะไรได้อีก? หากเจ้าล้ำเข้าไปในเขตที่พักของผู้อาวุโสแม้แต่ก้าวเดียว เจ้าจะได้รับโทษสถานะหนักในข้อหาล่วงล้ำเข้าไปโดยมิได้รับอนุญาต!”
ซ่งฉีหยางจับจ้องแผ่นหลังของเย่หยวนที่เดินเข้าประตูจวนไป และกัดฟันกรอกเอ่ยกล่าวด้วยความเกลียดชังว่า
“ยังมีเวลาอีกสองสามวันก่อนที่งานประลองหอโอสถจะมาถึง! ข้าจะขอดูเสียว่ามันจะอวดดีได้สักกกี่น้ำ! เมื่อเวลานั้นมาถึง ข้าจะกระชากหน้ากากของเจ้าออกมาคอยดู! หึ!”
…
จวนพักของเย่หยวนเป็นของทางหอโอสถตระเตรียมไว้ให้ มันมีพื้นที่กว้างขวางอย่างยิ่งราวกับคฤหาสน์
กล่าวได้ว่าสวัสดิการของระดับชั้นผู้อาวุโสแห่งหอโอสถนับว่าดีเยี่ยมที่สุดแล้วในเขตเมืองชั้นใน
“ฮ่าๆ! ท่านปรมาจารย์เย่ เจ้าซ่งฉีหยางทำตัวหยิ่งผยองน่าหมั่นไส้มาแต่ไหนแต่ไร ข้าเองก็ไม่ชอบขี้หน้ามันนานแล้ว!”
เมื่อพวกเขาเข้ามาถึงจวนพักด้านใน หนิงซื่ออวี๋ก็เอ่ยปากกล่าวขึ้นพร้อมความสะใจ
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“พวกนั้นคิดต่อต้านผู้อาวุโสของพวกเขาเอง สำหรับข้าที่ไม่ลงโทษสถานะหนัก นับว่าเป็นเมตตายิ่งแล้วแก่พวกเขา”
หนิงซื่ออวี๋หัวเราะเย้ยหยัน ยิ้มกล่าวว่า
“แล้วท่านรู้หรือไม่ว่า คนที่ท่านเพิ่งโยนออกไปคือใคร?”
ตั้งแต่ต้นจวบจนตอนนี้ เย่หยวนก็ยังไม่รู้เลยว่า ซ่งฉีหยางเป็นใครและมีภูมิหลังอย่างไร
แต่เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“ดูท่าควรจะเป็นคนของผู้อาวุโสใหญ่กระมัง? นอกจากนี้ดูจากท่าทางการวางตัวแล้ว คงสถานะไม่ต่ำช้า?”
หนิงซื่ออวี๋อ้าปากค้าง พลางเอ่ยกล่าวอย่างตกตะลึงขึ้นว่า
“ท่านทราบได้อย่างไร?”
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“ข้าพอเดาออก!”
หนิงซื่ออวี๋จุปากยกนิ้วให้อีกฝ่ายและกล่าวยกย่องว่า
“สมแล้วที่เป็นปรมาจารย์เย่! ขนาดท่านที่เดาออกตั้งแต่แรกยังกล้าทำให้อีกฝ่ายเสียหน้าหนักขนาดนั้น ยอมใจท่านเลย!”
เย่หยวนยักไหล่และกล่าวว่า
“ทั้งหมดเป็นเพราะเส้นอำนาจของอาจารย์เจ้า ถึงทำให้ข้าเป็นผู้อาวุโสของที่นี่ได้ เช่นนั้นควรทราบว่าข้าอยู่ฝ่ายใด คิดหรือจะปล่อยให้พวกนั้นอยู่ดีมีสุข?”
หนิงซื่ออวี๋อดสำลักมิได้ ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า
“เข้าท่านัก! แต่หากข้าเป็นท่าน ข้าคงรับคำท้าและแสดงให้เห็นถึงความต่างชั้นไปแล้ว! สั่งสอนให้มันรู้ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้าเสมอ นอกจากนี้ท่านจะลบล้างข้อกังขาแก่ทุกคนได้ด้วย ไฉนถึงไม่ยอมรับคำท้าไป?”
เย่หยวนหัวเราะเล็กน้อยกล่าวว่า
“มีความเป็นไปได้ว่าหลินตงเองก็กังขาข้าไม่น้อยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม อีกฝ่ายมีคุณสมบัติอันใดที่ต้องให้ข้าลงมือเอง? ข้าชนะเขาก็ไม่เห็นได้อะไรเลย หากแพ้…เอ่ออ…นั้นเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว”
“ฮ่าๆๆๆๆ”
ทุกคนโดยรอบต่างระเบิดเสียงหัวเราะลั่น หลังถูกเย่หยวนจี้เส้นไปมุกใหญ่
เย่หยวนหรือจะแพ้ซ่งฉีหยาง?
หนิงซื่ออวี๋หัวเราะแทบขาดใจ นางพยายามกล่าวทั้งขำขันแบบนั้นว่า
“แต่หากเป็นแบบนี้ คนนอกยิ่งกังขาในตัวท่านเข้าไปใหญ่ มีความเป็นไปได้ว่าผู้อาวุโสใหญ่อาจใช้โอกาสนี้จัดการท่าน!”
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“แม้ข้าจะเคลื่อนไหว แต่กลับมิใช่ตัวข้าที่ลงมือเอง ในงานประลองหอโอสถุ เจ้าต่างหากที่ต้องตบสั่งสอนไอ้เด็กเหลือขอนั้น!”
หนิงซื่ออวี๋สะดุ้งเฮือก เร่งโบกมือปัดทันทีพร้อมกล่าวว่า
“ข้าทำไม่ได้ ไม่ได้แน่นอน! ท่านก็ทราบดี ซ่งฉีหยางไม่นับว่าเป็นอันใดในสายตาท่านก็จริง แต่สำหรับข้า นั้นเป็นการดำรงอยู่ที่สูงเกินเอื้อมถึง! หากประลองหลอมกลั่นโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสาม ข้าไม่มีโอกาสชนะมันเลย!”
เย่หยวนเม้มปากพลางเอ่ยกล่าวอย่างหยามเหยียดขึ้นว่า
“ไม่มีโอกาสชนะ? แม้แต่เทพบรรพชนโอสถยังสร้างปาฏิหาริย์ที่ไม่มีทางเป็นจริงให้เป็นจริงได้ แล้วจะรับประกันได้อย่างไรว่า เจ้าจะไม่มีโอกาสชนะ? หลังจากที่ข้าบรรลุสู่ขอบเขตแห่งเต๋า ข้าก็ยังรู้สึกว่าฝีมือของตนยังอ่อนแออยู่มากนัก แล้วนับประสาอะไรกับมัน?”
หนิงซื่ออวี๋พูดไม่ออกอยู่ยกใหญ่ก่อนจะกล่าวว่า
“ก็นั้นสำหรับตัวท่าน! เมื่อท่านบรรลุถึงขอบเขตแห่งเต๋าแล้ว แม้แต่ท่านอาจารย์ข้ายังมิใช่คู่มือ แต่สำหรับตัวข้า ข้าหาใช่คู่มือของซ่งฉีหยางจริงๆ!”
เย่หยวนกล่าวเสียงเย็นว่า
“ผ่อนคลายเถอะ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปข้าจะฝึกพิเศษให้เจ้าเอง! หลังจากสิบวันนี้ เจ้าจักต้องบดขยี้ซงฉีหย่างแทนข้า!”
…
“หื้ม? หลินตง ข้าสั่งให้เจ้าไปเป็นผู้ติดตามของผู้อาวุโสเย่มิใช่รึ? แล้วเจ้ากลับมาทำไม?”
หลังจากที่ตัดสินใจได้หลินตงก็แยกทางกับเย่หยวน และเดินทางกลับมาที่หอยุทธ์แทน
เขาครุ่นคิดอย่างหนักจนท้ายที่สุดก็ตัดสินใจได้ เขาเงยหน้ามองผู้ดูแลเฟิงอวี้ไห่ผู้ที่จัดมอบภารกิจนี้ให้แก่ตน
เมื่อเห็นอีกฝ่ายเอ่ยถามเช่นนี้ หลินตงอดยิ้มขมขื่นเป็นคำตอบกลับไปมิได้ และเอ่ยกล่าวขึ้นว่า
“ข้าคงไม่สามารถเป็นผุ้ติดตามของเขาได้อีกแล้ว!”
เฟิงอวี้ไห่เลิกคิ้วสงสัยเอ่ยถามขึ้นว่า
“เกิดอะไรขึ้น? หน้าที่เช่นนี้มีแต่คนต้องการกันทั้งนั้น!”
การมาเป็นผู้ติดตามของผู้อาวุโสแห่งหอโอสถ ไม่เพียงจะมีอนาคตรุ่งโรจน์ท่านั้น แต่นี่ยังเป็นหลักประกันว่า ความแข็งแกร่งของพวกเขายังสามารถพัฒนาต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง
เหล่าผู้อาวุโสแห่งหอโอสถหลอมกลั่นแทบทุกวัน บางทีหลอมทิ้งหลอมขว้าง และแน่นอนว่าผู้ที่ได้รับโอสถเหล่านั้นก็มิใช่ใครอื่นนอกจากเหล่าผู้ติดตาม
ดังนั้นแล้ว งานเช่นนี้มีแต่คนต้องการกันทั้งสิ้น
แม้ว่าความแข็งแกร่งของเย่หยวนยังอ่อนแออยู่ แต่เบื้องหลังของเขาเป็นถึงผู้อาวุโสรองคอยหนุนหลัง
หลินตงเองก็ทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน ทำได้เพียงเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบริเวณหน้าประตูจวนพักของเย่หยวนให้ฟัง
เฟิงอี้ไห่ที่ได้ฟังดังนั้นก็เลิกคิ้ว พล่างถอนหายใจกล่าวว่า
“นี่เป็นเรื่องยากที่จะตัดสินใจสำหรับเจ้าเช่นกัน สุดท้ายนี้ผู้อาวุโสเย่อาจเป็นตัวหมากตัวหนึ่งของผู้อาวุโสรองก็เป็นได้ ในเมื่อเจ้าไม่สมัครใจ เช่นนั้นก็ควรเลือกที่จะถอนตัวออกมา!”
ตอนที่ 1584 ยังสำคัญอันใด?
Ink Stone_Fantasy
งานประลองหอโอสถเป็นงานแข่งขันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของหอโอสถ
ตั้งแต่เหล่าศิษย์สาวกจวบจนเหล่าผู้อาวุโส พวกเขาทั้งหมดต่างต้องมีส่วนร่วมในงานแข่งขันของหอโอสถทั้งสิ้น
ทั้งหมดนี้ก็เพื่อสิทธิ์ในการเข้าสู่หอโอสถ
หอโอสถเป็นหนึ่งในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ ทั้งนี้ยังมีหอยุทธ์ที่เหล่านักสู้ทั้งหลายต่อโหยหาเช่นกัน
หอโอสถและหอยุทธ์นับเป็นหอคอยศักดิ์สิทธิ์และยังเป็นกลุ่มอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนของเมืองก็สามารถมองเห็นหอคอยที่ตั้งสูงตระหง่านทั้งสองที่อยู่เคียงข้างกัน
ในเวลานี้เองบริเวณด้านล่างของหอโอสถต่างมีผู้คนเข้ามาร่วมตัวกันกลางจัตุรัสจำนวนมหาศาล
การประลองหอโอสถและหอยุทธ์ ต่างเป็นงานสำคัญยิ่งสำหรับเหล่าฝูงชนในเขตเมืองชั้นใน พวกเขาย่อมให้ความสนใจเป็นพิเศษ
ทันทีทันใดในบรรดาฝูงชนก็มีคนตะโกนขึ้นดังลั่น
“พวกเจ้าดูนั้นเร็ว เหล่าผู้อาวุโสออกมากันแล้ว!”
ณ มุมหนึ่งของจัตุรัสติดกับหอโอสถ มีอัฒจันทร์แท่นที่นั่งอันทรงเกียรติจัดวางไว้อยู่ นี่แห่งนี้ถูกจัดขึ้นเฉพาะเหล่าผู้อาวุโสเท่านั้น
แม้แต่ผู้ดูแลชั้นสูงยังไม่มีคุณสมบัติขึ้นไปนั่งเช่นกัน
ในเวลานี้เองเหล่าผู้อาวุโสต่างเดินกันออกมาและเข้าไปนั่งประจำตำแหน่ง
หลู่เมิงโกรธเกรี้ยวอย่างยิ่งภายในใจ
ทุกคนที่นั่งอยู่บนนั้นล้วนแต่เป็นบุคคลที่มีความสามารถเหนือชั้นกว่าเขาทั้งสิ้น
แต่ไฉนต้องมีเย่หยวนนั่งอยู่เหนือหัวตนด้วย!
“ทุกคนดูนั้นสิ! เขาคือผู้อาวุโสเย่ที่เพิ่งได้รับแต่งตั้งขึ้นมา เขายังดูเด็กมากจริงๆ!”
“เด็กเกินไป! เขาก็แค่เด็กตัวน้อยคนหนึ่งใช่หรือไม่? เหล่าศิษย์สาวกของหอโอสถบางคนยังมีอายุมากกว่าเขาเสียอีก!”
“เหอะ เหอะ มิอาจคาดพินิจได้แค่รูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม ข้าได้ยินมาว่า ก่อนหน้านี้เขาปฏิเสธคำท้าทานของซ่งฉีหยางมาด้วย ดูท่าจะกลัวความจริงถูกเปิดเผย!”
“เหอะ กลัวความอ่อนแอของตนจะถูกเปิดเผยเสียมากกว่า? ในตอนนี้ทั่วทั้งมุมเมืองต่างลือกันว่า ผู้อาวุโสเย่แท้จริงแล้วเป็นตัวหมากของผู้อาวุโสรอง ข้าว่าข่าวนี้น่าจะเป็นเรื่องจริง”
“ถูกต้องแล้ว เด็กตัวน้อยแค่นั้นหรือจะมีคุณสมบัติเป็นผู้อาวุโสได้? ช่างน่าขัน!”
…
เย่หยวนเองก็นั่งอยู่รวมกับเหล่าบรรดาอาวุโสเช่นกัน ซึ่งเป็นจุดเด่นของทุกคนยิ่งในยามนี้
เมื่อเทียบกับผู้อาวุโสคนอื่นๆ เย่หยวนอ่อนเยาว์กว่ามากนัก
แม้แต่เหล่าศิษย์สาวกบางคนยังมีอายุมากกว่าเขาด้วยซ้ำ
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ย่อมมิอาจเลี่ยงคำนินทาของเหล่าฝูงชนไปได้เลย
แน่นอนว่าคนที่รู้สึกไม่พอใจที่สุดคงหนีไม้พ้น ซ่งฉีหยาง
เขาเหลือบมองเย่หยวนอยู่เบื้องล่างพรางก่นเสียงเย้ยหยันไม่หยุดหย่อน
วันนี้ถึงวันเปิดเผยความจริงของเจ้าแล้ว! วันนี้ข้าจะท้าประลองกับเจ้าต่อหน้าทุกคน! ไม่เชื่อว่าวันนี้เจ้าจะเลี่ยงหลบหนีหายได้อีกต่อไป!
ซ่งฉีหยางระเบิดหัวเราะแสนขบขันภายในใจ
เมื่อเสร็จสิ้นพิธีเปิดทั้งหมดเรียบร้อย ซ่งฉีหยางก็ก้าวออกมาทันทีจากแถว และประสานมือกล่าวว่า
“ท่านผู้อาวุโสใหญ่ ข้าได้ยินมาว่า ความแกร่งกล้าของผู้อาวุโสเย่ที่เพิ่งได้รับแต่งตั้งมาเหนือชั้นยิ่ง ศิษย์คนนี้ไร้ซึ่งความสามารถ จึงต้องการคำชี้แนะจากเขาสักครา มีเหล่าศิษย์จำนวนมากมายเป็นสักขีพยาน เอาเป็นว่า ขอให้การแข่งของศิษย์คนนี้…เป็นนัดอุ่นเครื่อง!”
ทุกคนต่างไม่คิดไม่ฝันว่า เจตนาของซ่งฉีหยานจะชัดเจนเพียงรนี้ ถึงขั้นเอ่ยปากท้าทายเย่หยวนต่อหน้าสาธารณชน หากเย่หยวนยังไม่กล้ายอมรับคำท้า นี่คงกลายเป็นเรื่องตลกไปอีกนาน?
อย่างไรก็ตาม มีผู้คนไม่น้อยที่ตั้งหน้าตั้งตาคอยดูการแข่งอยู่เช่นกัน พวกเขาอยากรู้เสียว่า เย่หยวนคนนี้แท้จริงแล้วจะมีฝีมือปานใด?
ครู่หนึ่ง สายตาทั้งหมดต่างเหลียวจับจ้องมาที่เย่หยวนเป็นตาเดียว เพื่อต้องการดูว่าเย่หยวนจะรับมือตัดสินใจอย่างไร?
หรงซูเหลือบมองเย่หยวนเล็กน้อยและกล่าวว่า
“ผู้อาวุโสเย่ ยามนี้ผู้คนในเขตเมืองชั้นในต่างกังขาในตัวท่านและนำท่านไปวิจารณ์เสียๆหายๆ ทั้งบอกว่าท่านยังเด็กเกินรับตำแหน่งบ้าง ถูกชักใยโดยคนอื่นบ้าง ไฉนท่านถึงไม่ใช้โอกาสนี้แสดงความสามารถให้ทุกคนเป็นประจักษ์เสีย?”
ทั้งสองต่างกล่าวเสริมซึ่งกันและกัน หวังบีบคั้นให้เย่หยวนจนมุม
ในท้ายที่สุดแล้ว เหล่าผู้อาวุโสและเหล่าผู้ดูแลชั้นสูงทั้งหลายต่างมองเรื่องนี้เป็นเรื่องตลกอย่างหนึ่ง สุดท้ายนี้ไม่ว่าอย่างไร เย่หยวนก็เป็นเพียงหุ่นเชิดของผู้อาวุโสรอง
“ถูกต้องแล้ว ผู้อาวุโสเย่ ท่านควรใช้โอกาสนี้ลบข้อกังขาของทุกคนทิ้งไป!”
“ผู้อาวุโสเย่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย ท่านมีพื้นฐานที่สูงกว่ารุ่นเยาว์คนอื่นๆ ควรใช้โอกาสนี้แนะเหล่าผู้คน”
เหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายต่างเห็นดีเห็นงามกับผู้อาวุโสใหญ่ หวังกดดันให้เย่หยวนเผยสีหน้าที่แท้จริงออกมา
เหล่าผู้อาวุโสและผู้ดูแลโดยส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นคนของผู้อาวุโสใหญ่หมด
สุดท้ายนี้ ผู้อาวุโสรองเป็นพวกไม่ค่อยจะสู้คน ดังนั้นจึงถูกผู้อาวุโสใหญ่กดขี่มาโดยตลอด
เย่หยวนครุ่นนึกภายในใจ ก่อนจะเอ่ยถามกลับไปแทนว่า
“ผู้อาวุโสใหญ่ ซ่งฉีหยางคนนี้เป็นศิษย์ของท่านใช่หรือไม่?”
หรงซูพยักหน้ากล่าวตอบว่า
“ถูกต้องแล้วผู้อาวุโสเย่”
เมื่อได้ยินแบบนั้นเย่หยวนกรนเสียงเย็นกล่าวตอบอย่างไม่พอใจไปว่า
“ผู้อาวุโสใหญ่ ศิษย์คนนี้ของท่านเพิกเฉยต่อกฎเกณฑ์และหยิ่งผยองเกินไป! ไม่กี่วันนี้ท่านเองก็คงได้ยินข่าวคราวมาบ้างแล้วกระมัง? เขาเป็นแค่จอมเทพโอสถสามดาว แต่กล้าดีอย่างไรมาท้าทายเราผู้อาวุโส? วันนี้มีเหล่าผู้ชนมากมาย ศิษย์ของท่านกลับได้ใจใหญ่ หรือนี่ต้องการบีบให้ข้าสละตำแหน่งกัน? หากผู้อาวุโสใหญ่กับผู้อาวุโสอื่นมีเจตนาคิดเช่นนี้กลับข้าจริงๆ ในสายตาของทุกคน หอโอสถคงเป็นแค่ละครฉากใหญ่ฉากหนึ่งที่พวกท่านบงการอยู่เท่านั้น? เช่นนี้หอโอสถยังเหลือบารมีอันใดในอนาคต?”
ซ่งฉีหยางที่ได้ยินแบบนั้นถึงกับสำลักจนใบหน้าแดงก่ำ
แค่จอมเทพโอสถสามดาว มิใช่ว่าเย่หยวนเองก็เป็นจอมเทพโอสถสามดาวเหมือนกันหรอกรึ?!
นอกเหนือจากนี้ซ่งฉีหยางยังมีระดับชั้นเหนือกว่าเย่หยวนถึงสองขั้น แต่อีกฝ่ายกลับหน้าด้านกล่าวออกมาเช่นนี้จริงๆ?!
แต่ซ่งฉีหยางกลับโต้เถียงอะไรมิได้เลย
สถานะศักดิ์ระหว่างเขากับเย่หยวนแตกต่างกันเกินไป!
ทันใดนั้นเอง เย่หยวนที่โยนเรื่องลำบากใจสวนกลับมาเฉียบพลัน ก็ทำเอาหรงซูประหลาดใจมิใช่น้อย
เดิมเขาไม่คิดว่าเด็กหนุ่มนามเย่หยวคนนี้จะเล่ห์เหลี่ยมจัดถึงขั้นลอบกัดผู้คนได้แสบปานนี้
แม้ว่าคำกล่าวของเขาจะฟังดูเหมือนว่าตนกำลังปฏิเสธคำท้า แต่ไม่ว่าอย่างไร หรงซูก็มิอาจสรรหาวาจามาหักล้างได้เลย
หากวัดกันที่พลังฝีมือ ซ่งฉีหยางสามารถท้าทายเย่หยวนได้จริง
แต่อย่างไรก็ตาม หากเทียบสถานะกัน ซ่งฉีหยางไม่ได้เสี้ยวแม้แต่ปลายเล็บของเย่หยวน!
การกล่าวท้าทายผู้อาวุโสเช่นนี้ไม่ต่างอะไรกับการลบหลู่เลยจริงๆ
ทว่าอย่างไร การที่เย่หยวนพยายามปฏิเสธขนาดนี้ก็ยิ่งทำให้ผู้อาวุโสใหญ่มั่นใจว่า เย่หยวนแสร้งทำเป็นลึกลับจริงๆ!
ปฏิกิริยาของหรงซูต้านรับเตรียมตอบโต้เร็วมากเช่นกัน พร้อมส่งสัญญาณให้หลู่เมิงลงมือทันที
หลู่เมิงลอบพยักหน้าเข้าใจโดยไว และลุกขึ้นกล่าวว่า
“เย่หยวน! สงสัยยิ่งว่าเราชายชราผู้นี้มีคุณสมบัติท้าทายเจ้าหรือไม่?!”
“ไร้มารยาทสิ้นดี!”
ในขณะที่หลู่เมิงเอ่ยปากท้าทาย เย่หยวนลุกขึ้นพรวดพร้อมตบโต๊ะเสียงดังปัง
“เจ้าคิดว่าตนเองเป็นใครกัน ถึงกล้าพูดจาไม่มีหางเสียง ซ้ำร้ายยังเรียกชื่อผู้อาวุโสคนนี้ห้วนๆ!?”
สีหน้าการแสดงออกของหลู่เมิงมืดทมิฬลงในทันใด การที่เด็กน้อยคนหนึ่งที่รุ่นราวคราวเดียวกับหลานชายของตน กล้าเอ่ยปากตวาดเสียงดังใส่ตนเช่นนี้ นับว่าเป็นความอัปยศครั้งใหญ่หลวง!
อาศัยที่หลู่เมิงเป็นคนสนิทของผู้อาวุโสใหญ่ ดังนั้นแล้วโดยปกติทั่วไปเขามักจะเรียกชื่อผู้อาวุโสคนอื่นๆห้วนๆแบบนี้ทั้งนั้น
เพราะผู้อาวุโสบางคนยังเด็กกว่าเขาด้วยซ้ำ ทว่ากลับไม่มีใครใช้ประโยชน์จากสถานะศักดิ์ที่สูงกว่า เพื่อกดศีรษะของเขาลงเลยสักคน
แต่ใครจะไปรู้ว่า เย่หยวนกลับกระแทกเขาจมดินในชั่วอึดใจ!
เย่หยวนเผยสีหน้าไม่พอใจอย่างยิ่งออกมา และหันไปกล่าวกับหรงซูว่า
“ท่านผู้อาวุโสใหญ่ ข้าคิดว่า ทางหอโอสถจำต้องจัดระเบียบครั้งใหญ่ให้เหมาะสม พวกระดับชั้นต่ำกว่ากล้าปีนเกลียวเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด? ไฉน…หลังจากงานประลองนี้จบลง เราไม่ปรึกษาหาหรือเรื่องนี้กันเสียหน่อย?”
หรงซูยังไม่ทันเปิดปากเอ่ยตอบ ในเวลานั้นซวนอี้ก็คลี่ยิ้มเอ่ยตอบแทนไปว่า
“ผู้อาวุโสเย่กล่าวมีเหตุผล เรื่องเช่นนี้ไม่ควรปล่อยผ่าน หลังจากนี้ควรหารือร่วมกันหาทางแก้ไขอย่างเหมาะสม”
หลังจากกล่าวจบเขาก็ปิดปากหลับตาราวกับไม่เคยกล่าวอันใด
วาจาที่ออกมาจากปากผู้อาวุโสรอง ค่อนข้างมีน้ำหนักกว่าเย่หยวนมากนักต่อฝูงชน
เนื่องจากวันนี้เป็นวันประลอง เช่นนั้นการจะจัดการทันทีในวันนี้ ดูท่าจะไม่เหมาะสม ดังนั้นจึงถือว่าฉวยโอกาสได้ด่าไปโดยไม่เสียอะไรเลย
อย่างไรก็ตาม โดยปกติแล้วผู้อาวุโสรองมีปากมีเสียงต่อคำกับคนอื่นที่ไหน?
สิ่งนี้อดทำให้ผู้อาวุโสใหญ่ตกใจมิได้ เขาตื่นตะลึงอยู่ลับๆภายในใจ
ปรากฏว่าเย่หยวนคนนี้รับมือได้ยากโดยแท้!
เด็กคนนี้ฝีปากคมกล้าแตกต่างไปจากพวกซวนอี้และเหล่าลูกศิษย์ของมันโดยสิ้นเชิง!
ทันทีทันใดหรงซูเอ่ยปากกล่าวขึ้นอย่างช่วยมิได้ว่า
“ผู้ดูแลหลู่เมิง ไฉนเจ้ายังไม่รีบขอโทษผู้อาวุโสเย่อีก?”
ตอนที่ 1585 การประลองทักษะควบคุมไฟ
Ink Stone_Fantasy
หลู่เมิงเดือดดาลเป็นฟืนเป็นไฟ!
ใบหน้าชราของเขากล่าวได้ว่ามีเพียงผู้อาวุโสใหญ่เท่านั้นที่เขายอมก้มหัวให้!
ทว่าวันนี้กลับไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่า วันนี้เขากลับต้องก้มหัวให้เด็กน้อย!
แต่หากเขาไม่ยอมลดศีรษะในตอนนี้ก็เท่ากับว่าเป็นการท้าทายเหล่าผู้อาวุโสทั้งหมด
โทษสถานหนักปานนี้ เขาไม่สามารถแบกรับได้ไหว
หากเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ เขากลับไม่มีสิทธิ์ทำอะไรได้เลย!
หลู่เมิงกัดฟันกรอดเค้นเสียงพยายามกล่าวว่า
“ผ-ผู้อาวุโสเย่ เมื่อครู่กลับเป็นหลู่เมิงคนนี้ใจร้อน ผู้…ผู้อาวุโสเย่โปรดอย่าได้ถือสา!”
ยามที่เขาเอ่ยนามผู้อาวุโสเย่ เพียงสามพยางค์นี้ทำเอาเขาขนลุกซู่วซ่าสะท้านขึ้นยันหนังศีรษะ
เมื่อคนอื่นๆพบเห็นภาพฉากนี้ต่างก็อดแสดงสีหน้าประหลาดใจมิได้
หลู่เมิงอายุมากจนแทบลงโลงแล้ว แต่ไยต้องก้มหัวขอโทษเด็กคนหนึ่ง นี่มันรู้สึกขัดหยางอย่างสุดพรรณนายิ่งยวด
“หึ! เห็นแก่หน้าผู้อาวุโสใหญ่ คราวนี้ข้าจะละเว้นชีวิตเจ้า! หากเจ้ายังคิดกระทำผิดอีก ในครั้งหน้าเจ้าจักถูกลงโทษอย่างหนักตามกฎของหอโอสถ!”
เย่หยวนเค้นเสียงเย็นกล่าวตักเตือนราวกับกำลังสั่งสอนรุ่นน้อง
ไอ้เด็กคนนี้ก็ยังจะตามน้ำเขาไปอีก!
หลู่เมิงกล่าวเสียงเย็นชืดชาดังว่า
“ผู้อาวุโสเย่ วันนี้ข้าต้องการขอคำชี้แนะจากท่าน ทั้งหมดก็เพื่อทำให้งานประลองหอโอสถมีชีวิตชีวา ท่านว่าอย่างไร?”
เย่หยวนกล่าวเสียงเย็นตอบไปว่า
“เจ้าเป็นแค่ผู้ดูแล มีคุณสมบัติใดหาญกล้ามาขอคำชี้แนะจากข้า?”
ทันทีที่คำกล่าวเหล่านี้เอ่ยดดัง คลื่นเสียงโหร้องก็ดังกังวานจากทั่วเบื้องล่าง
เห็นได้ชัดว่าเย่หยวนกำลังเลี่ยงวลี คิดหนีไม่เผชิญหน้าแม้แต่น้อย
การใช้อค่ศักดิ์สถานะผู้อาวุโสเพื่อบีบคั้นฝูงชนให้ศรัทธา นับเป็นเรื่องยาก
ดังนั้นเมื่อหลู่เมิงพบเห็นภาพฉากเช่นนี้ เขาก็อดมีความสุขมิได้อยู่ภายในใจ
หลู่เมิงยิ้มแสยะเย็นชายิ่ง เขากล่าวว่า
“เหอะ เหอะ ผู้อาวุโสเย่เป็นเพียงจอมเทพโอสถสาวกดาว ไม่ว่าข้าจะอ่อนด้อยเพียงใด ก็เป็นถึงจอมเทพโอสถสี่ดาวชั้นกลาง หรือเป็นไปได้ไหมว่า ข้าไร้ซึ่งคุณสมบัติที่จะให้ท่านชี้แนะปานนั้น? หรือท่านกลัวว่าจะมีความลับบางอย่างเปิดเผย จึงไม่กล้าชี้แนะข้าถึงปานนี้?”
เมื่อเผชิญหน้ากับเสียงโห่ร้อง เย่หยวนกลับหาได้สนใจไม่ แต่อย่างใด เขาก็ยังกล่าวท่าทางแสนเหยียดหยามตอกไปว่า
“หากข้าไม่สามารถเอาชนะเจ้าได้ ข้ายังมีคุณสมบัติใดเป็นผู้อาวุโสได้? ลืมไปเลย เอาล่ะ! ในเมื่อทุกคนอยากเห็นความแกร่งกล้าของข้าผู้นี้นัก เช่นนั้นข้าจักทำให้ทุกคนได้เห็นจนพอใจ!”
หลู่เมิงเผยสีหน้าประหลาดใจออกมาทันที เขาไม่คิดเลยว่าเย่หยวนที่แสนหัวรั้นนี้ กลับเป็นฝ่ายเปิดศึกเองในท้ายที่สุด
เขาไม่คิดเลยว่าเย่หยวนจะยอมตกลงจริงๆ
“หุหุ เช่นนั้น ผู้อาวุโสเย่โปรดชี้แนะข้าด้วย!”
หลู่เมิงประสานมือและกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
เขามั่นใจอย่างที่สุดว่า เย่หยวนไม่มีทางเอาชนะเขาได้เลย และหากเขาไม่สามารถโค่นจอมเทพโอสถสามดาวได้จริงๆ เขาก็ขอตายเสียดีกว่า
อย่างไรก็ตามแต่ เย่หยวนก็เอ่ยกล่าวขึ้นว่า
“ข้าบอกตั้งแต่เมื่อใดว่าจะประลองกับเจ้า?”
หลู่เมิงตัวแข็งค้างไปในทันใด แต่ขณะนั้นเองเย่หยวนก็ประสานมือหันมากล่าวกับหรงซูว่า
“ท่านผู้อาวุโสใหญ่ นับตั้งแต่ที่ข้าเข้ามาภายในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์แห่งนี้ ข้าก็ได้ยินมาว่าศาสตร์แห่งโอสถของท่านน่าเกรงขามที่สุดแล้ว ไม่มีใครในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ที่สามารถเอาชนะท่านได้ เราผู้อาวุโสสงสัยเสียว่า วันนี้ท่านโปรดชี้แนะข้าได้หรือไม่? ท่านผู้อาวุโสใหญ่คิดเห็นอย่างไร?”
ทุกคนต่างตกตลึงยิ่งเมื่อได้ยินเช่นนั้น! เด็กนี่ต้องการท้าทายผู้อาวุโสใหญ่?
มันบ้าไปแล้วใช่ไหม?!
ทั่วทั้งเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์แห่งนี้ นอกเหนือจากผู้อาวุโสรองแล้ว ปรากฏว่ายังมีใครบางคนกล้าท้าทายผู้อาวุโสใหญ่!
ผู้อาวุโสใหญ่และผู้อาวุโสรองนับเป็นสองการดำรงอยู่ประดุจพระเจ้าแห่งเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์!
พวกเขาเป็นนักหลอมโอสถระดับแนวหน้า!
ผู้อาวุโสคนอื่นๆต่างไม่สามารถเทียบชั้นได้กับพวกเขาทั้งสองเลย
ทว่า จอมเทพโอสถสามดาวตัวน้อยคนนี้กลับหาญกล้าเอ่ยปากท้าทายผู้อาวุโสใหญ่โดยตรง!
มีเพียงรอยยิ้มจางๆปรากฏขึ้นบนมุมปากของผู้อาวุโสรอง ซวนอี้
สำหรับเขาแล้ว ไม่มีใครเก่งกล้าไปกว่าเย่หยวนอีกแล้วในด้านโอสถ
กระทั่งตัวเขาเองยังหาใช่คู่มือขอเด็กคนนี้!
มีความเป็นไปได้ว่าทุกคนต่างคิดว่าเย่หยวนประเมินตนสูงส่งเกินไป แต่หารู้ไหมว่า หากลงกลเย่หยวนเมื่อใด หรงซูเป็นฝ่ายลำบากแน่นอน!
การเคลื่อนไหวของเย่หยวนในครานี้ช่างยอดเยี่ยมไร้ที่ติ!
ในเวลานั้นเองสีหน้าของหรงซูพลันมืดทมิฬลงทันที
หากหรงซูใช้ประโยชน์จากสถานะผู้อาวุโสใหญ่ กล่าวปฏิเสธเย่หยวนย่อมทำได้ แต่เย่หยวนก็จะใช้โอกาสนี้ในการรุกรานเขาในครั้งต่อๆไป
หากหรงซูฉลาดพอ เขาไม่ควรผลักดันเย่หยวนจนติดมุมเกินไป
แต่อย่างไรโอกาสก็มาแล้ว วันนี้เย่หยวนจักต้องตตายอย่างน่าสยดสยอง!
หรงซูระเบิดหัวเราะดังลั่นและกล่าวว่า
“โอ้? ผู้อาวุโสเย่ต้องการท้าทายเราชายชราจริงๆรึ? หุหุ หนุ่มสาวไร้ซึ่งความกลัวโดยแท้! หากวันนี้เราชายชราปฏิเสธไปงานประลองคงกร่อยเป็นแน่ เอาล่ะ เราชายชราเห็นด้วย!”
ซวนอี้เหลือบมองไปยังหรงซูเล็กน้อย ก่อนจะหลับตาลงดังเดิม
มันเลือกที่จะประหารชีวิตตัวเองเสียแล้ว ช่วยไม่ได้!
“ผู้อาวุโสใหญ่เห็นด้วยจริงๆ!”
“การได้เห็นผู้อาวุโสลงมือเป็นการส่วนตัวเช่นนี้ นับว่าหาได้ยากยิ่ง!”
“ฮ่าๆ เด็กนั้นคงคิดว่าผู้อาวุโสใหญ่คงกล่าวปัดเป็นพิธี แต่ที่ไหนได้ ผู้อาวุโสใหญ่กลับเห็นด้วย! ฮ่าๆๆๆ!”
…
หลายฝักฝ่ายต่างระเบิดหัวเราะเยาะล้อเลียนเย่หยวนไม่หยุดหย่อน เจ้าเด็กคนนี้ประเมินตนเองสูงส่งเกินไป และทั้งหมดต่างตั้งหน้าตั้งตารอดูผู้อาวุโสใหญ่ตบเด็กสั่งสอน!
การประลองหลอมกลั่นโอสถระหว่างหรงซูและเยาหยวน ต้องเป็นโอสถศักดิ์สืทธิ์ระดับสามโดยธรรมชาติ
และเรื่องความรู้ความเข้าใจของผู้อาวุโสใหญ่เกี่ยวกับโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสาม ก็นับว่าถ่องแท้นานแล้ว ไม่ว่าอย่างไร เขาก็สามารถจัดการเย่หยวนลงได้อย่างง่ายดาย
เย่หยวนยิ้มกล่าวเล็กน้อยว่า
“ผู้อาวุโสใหญ่ เนื้อความหลักของวันนี้คือการประลองหอโอสถ เราไม่ควรโดดเด่นเกินหน้าเกินตาคนอื่น ไฉนถึงไม่จัดการประลองของเราอยู่ท้ายสุดล่ะ?”
หรงซูพยักหน้ากล่าวว่า
“ขึ้นอยู่กับตัวเจ้าเลย! การประลองหอโอสถเริ่มต้นขึ้นได้!”
มีผู้ดูแลคนหนึ่งปรากฏขึ้นกลางลานจัตุรัส เอ่ยปากป่าวประกาศน้ำเสียงดังฟังชัด
“รอบแรกของการประลอง ประลองด้านทักษะการควบคุมไฟ! ไฟจงมา!”
ทันทีที่สุ้มเสียงจางหายไป ยอดบนสุดของหอโอสถก็พ่นปะทุเปลวเพลิงออกมา
ชั่วพริบตาขณะ ประดุจห่าพิรุณเปลวเพลิงโปรยปรายลงมาทั่วทุกแห่งหน
ในเวลานั้นเอง เหล่าศิษย์ทีท่าเป็นจอมเทพโอสถสามดาวต่างรวมตัวกันเป็นวงกลม เปลวไฟเหล่านั้นตกลงอยู่ข้างกายของพวกเขา
ห่าพิรุณเปลวไฟเหล่านี้คือไฟศักดิ์สิทธิ์ระดับสาม แต่ไม่มีคุณสมบัติพิเศษโดดเด่นใดๆ ราวกับถูกตั้งค่าให้เท่าเทียมกัน
รอบแรกของการประลองคือการแข่งขันทักษะการควบคุมไฟ เหล่าศิษย์จอมเทพโอสถสามดาวต้องควบคุมไฟศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ เพื่อกำจัดไฟศักดิ์สิทธิ์ของคนอื่นๆ
รอบนี้เป็นการกำจัดเหล่าศิษย์ออกไปจำนวนมาก และจะเหลือเพียงหนึ่งร้อยคนเท่านั้นเพื่อเข้าสู่ในรอบที่สอง
การแข่งนี้นับว่ายุติธรรมยิ่งแก่ทุกคน ไฟศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้เหมือนกันไม่มีใครได้เปรียบหรือเสียเปรียบ
สิ่งที่พวกเขาต้องทำคือใช้ไฟเหล่านี้เพื่อควบคุมไปปราบปรามคนที่เหลือ
เหล่าศิษย์ที่อยู่ในลานเวทีตามตื่นอกตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง เหล่าผู้คนเองก็เช่นกัน
“การแข่งทักษะควบคุมไฟ ค่อนข้างเห็นผลชัดแจ้งดีอยู่แล้ว!”
“ถูกต้อง ทักษะการควบคุมไฟของซ่งฉีหยางเหนือชั้นกว่าทุกคนจนไม่ติดฝุ่น ภายใต้จอมเทพโอสถสามดาวทั้งหมดไม่มีใครสามารถทัดเทียมเขาได้เลย”
“ครั้งนี้ซ่งฉีหยางไม่ปล่อยไว้แน่ เหล่าศิษย์ของผู้อาวุโสรองเองก็ลงแข่งขันเช่นกัน พวกเขาดวงถึงฆาตแล้ว!”
…
เนื่องจากเป็นการแข่งทักษะการควบคุมไฟ พวกเขาต้องทำอย่างไรก็ได้เพื่อกำจัดไฟของคนอื่นอย่างไร้ปรานี
ซ่งฉีหยางโกรธเคืองเย่หยวนเต็มหน้าท้อง เป้าหมายของเขาไม่พ้นใดอื่นนอกเสียจากศิษย์ของผู้อาวุโสรองแน่นอน
“เริ่มได้!”
คล้อยหลังเสียงป่าวประกาศดังลั่น การแข่งขันในรอบแรกก็เปิดฉากอย่างเป็นทางการ
รอยยิ้มแสยะเย็นพลันฉีกกว้างบนมุมปากของซ่งฉีหยาง เพียงกระดิกปลายนิ้ว ไฟศักดิ์สิทธิ์นั้นก็พุ่งทะยานออกไปอย่างเชื่อฟัง
วูบ! วูบ! วูบ!
เห็นเพียงเปลวไฟจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งโฉบไปมาจนพัลวัน ทั่วทั้งเวทีตกสู่ความโกลาหลขึ้นในทันใด
“พร๊วดด!”
เปลวไฟของซ่งฉีหยางเปรียบเสมือนคมดาบ ไล่ล่าดับไฟศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าศิษย์ผู้อาวุโสรองโดยตรง
สงครามการเข่นฆ่าเริ่มขึ้นแล้ว!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น