Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1564-1573

 ตอนที่ 1564 ขุมพลังที่แท้จริงของขอบเขตแห่งเต๋า!

โดย

Ink Stone_Fantasy

ซวนอี้ปิดปากเงียบมิได้ส่งเสียงใดๆ เขายังคงยืนนิ่งอยู่เคียงข้างหวังต้องการเห็นว่า เย่หยวนคิดจะทำอะไรกันแน่


แม้เขาจะไม่ชอบมีเรื่อง แต่หลู่เมิงก็เปรียบเสมือนตัวปัญหาก่อกวนพวกเขาไม่เว้นวาย


ข้อเสนอที่เย่หยวนเปิดฉากออกไปนั้น เขาเองก็ตั้งตารอดูเป็นอย่างมาก


ความแข็งแกร่งของลวี่อี้คนเป็นอาจารย์ย่อมชัดเจนเกินไป และนั้นยังคงห่างไกลจากหลู่เมิง


แม้ว่าบุคลิกนิสัยของหลู่เมิงจะน่ารังเกียจ แต่เขาก็นับเป็นอีกหนึ่งคนที่มีความสามารถอย่างแท้จริง มิฉะนั้นคงไม่มีทางไต่เต้ามาเป็นผู้ดูแลระดับสูงของหอโอสถได้เช่นกัน


เย่หยวนเหลือบมองหลู่เมิงอย่างแยแสกล่าวว่า


“หยุดพล่ามวาจาขยะเถอะ ไม่รู้สึกรำคาญตัวเองบ้างรึ? แค่บอกมาว่าเจ้ากล้าหรือไม่? หากไม่กล้าก็อย่าใช้อายุกระดูกของเจ้าเข้าข่มขู่คนไปทั่ว!”


สีหน้าการแสดงออกของหลู่เมิงมืดทมิฬถึงขีดสุด กล่าวเถียงกับไอ้เด็กเหลือขอคนนี้ยิ่งกว่าโดนถอนหงอก


“แข่งก็แข่ง! เราชายชราอยากเห็นเสียจริงว่า พวกเจ้าจะปั้นหน้าอย่างไรในภายหลัง? แต่…หากเราผู้นี้ชนะจะได้อะไรตอบแทน?”


เย่หยวนกล่าวตอบเสียงเย็นเอ่ยขึ้นว่า


“เจ้ามิได้มาที่นี่เพื่อทวงความเป็นธรรมแทนลูกศิษย์ของตนรึไง? หากลวี่อี้แพ้ ข้าจะปิดร้านขายโอสถรับจ้างสารพัดและออกไปจากเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์”


สีหน้าของอีกฝ่ายตกลงทันทีกล่าวโต้ไปว่า


“ขอให้เป็นอย่างที่เจ้ากล่าวเสียแล้วกัน! หากเราชายชราคนนี้ชนะ ข้ายังขอให้ลวี่อี้ต้องโขกศีรษะขอโทษข้าต่อหน้าสาธารณะ!”


เย่หยวนเม้มปากเล็กน้อย ก่อนกล่าวเสียงเรียบกลับไปว่า


“เช่นนั้นเจ้าเลือกชนิดโอสถมาได้เลย ข้าขอเวลาเตรียมตัวแค่หนึ่งชั่วยามเท่านั้น! แน่นอนว่าชนิดโอสถที่เลือกจำต้องสอดคล้องกับขอบเขตความสามารถของลวี่อี้ด้วย!”


โอ้วว!


คำกล่าวของเย่หยวนได้ทำให้ฝูงชนโดยรอบระเบิดความโกลาหลในทันใด!


แม้แต่ซวนอี้ยังเผยแสดงสีหน้าความประหลาดใจอย่างหาที่เปรียบไม่!


ปล่อยให้อีกฝ่ายเลือดชนิดโอสถได้ตามอิสระ?


การประลองเช่นนี้ใครที่มีสิทธิ์เลือกชนิดโอสถย่อมมีชัยไปกว่าครึ่ง เพราะความถนัดของแต่ละคนกลับไม่เหมือนกัน


ยิ่งไปกว่านั้น โดยพื้นฐานแล้วความแข็งแกร่งของหลู่เมิงก็เหนือกว่าลวี่อี้อยู่แล้ว แถมยังปล่อยให้อีกฝ่ายมีอิสระในการเลือกชนิดโอสถ นี่ไม่ต่างกับรนหาที่ตายกระมัง?


“ท่านปรมาจารย์เย่ นี่มันไม่เกินไปหน่อยรึ? ท่าน…ท่านไม่เอาคมมีดสะบั้นคอข้าเลยล่ะ?”


“ข้ายอมรับว่าปรมาจารย์เย่ท่านนี้น่าเกรงขามยิ่ง แต่นี่ทั้งๆที่มิได้ออกโรงเอง ทว่าอาละวาดแทนคนอื่นปานนี้ จะไหวจริงๆรึ?!”


“ข้าไม่รู้เลยว่าท่านปรมาจารย์เย่กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่? ใช้เวลาเตรียมตัวแค่หนึ่งชั่วยาม? แค่หนึ่งชั่วยาม…มันจะไปเพียงพออะไร?”



หลู่เมิงอึ้งไปพักใหญ่ ก่อนจะระเบิดหัวเราะดังสนั่นอย่างชอบอกชอบใจ


“ฮ่าๆๆ ไอ้เด็กเหลือขอ หากจะหยิ่งผยองช่วยดูคนของเจ้าบ้าง! คิดว่าตนเองไร้เทียมทานปานนั้น? ถึงขั้นให้เราชายชราเลือกชนิดโอสถเอง? เช่นนั้นเตรียมตัวตาย!”


สิ้นเสียงกล่าวจบ เขาเหลือบมองลวี่อี้เล็กน้อยและยิ้มกล่าวว่า


“ลวี่อี้ ข้าได้ยินมาว่าเจ้ากำลังศึกษาเรื่องโอสถเจ็ดตรัสรู้อริยะอยู่ใช่หรือไม่? แล้วทำไม…เราถึงไม่ประลองกันด้วยโอสถชนิดนี้ล่ะ?”


ทันทีที่วาจาคำนี้ระเบิดออกมา ลวี่อี้พลันหน้าเสียหนัก ยามนี้แทบจะพุ่งเข้าไปตะครุบหลู่เมิงให้รู้แล้วรู้รอด


ในขณะเดียวกัน เขาเองก็ได้แต่ตำหนิเย่หยวนอยู่ภายในใจเช่นกัน


เด็กคนนี้ตัดสินใจอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าเกินไปจริงๆ!


ตอนนี้ทุกอย่างเข้าทางอีกฝ่ายไปหมด จนเขาแทบไม่เหลือแสงแห่งความหวังอีกต่อไป!


“ไม่มีทาง! หลู่เมิง เจ้ามีดีแต่รังแกผู้เยาว์รึไง!”


ติงซุนโพล่งคำรามด่าสุดโกรธเกรี้ยว


ศิษย?พี่สามกล่าวเสริมต่อว่า


“เจ้าก็รู้อยู่แก่ใจดี ศิษย์พี่ใหญ่ไม่สามารถหลอมกลั่นโอสถเจ็ดตรัสรู้อริยะได้! แต่ก็ยังจงใจเลือกโอสถชนิดนี้ ไร้ยางอายสิ้นดี!”


ยิ่งศิษย์พี่สองและสามดูกังวลมากเท่าไหร่ หลู่เมิงก็ยิ่งได้ใจเข้าไปใหญ่ เขาระเบิดหัวเราะลั่นขึ้นว่า


“เหอะ ก็ไอ้เด็กเหลือขอนี่ปล่อยให้ข้าเลือกชนิดโอสถเอง! ข้าก็เลือกตามที่มันบอก! แล้วไฉนตอนนี้พวกเจ้ากลับดูไม่เต็มใจเสียล่ะ? ประลองด้วยโอสถเจ็ดตรัสรู้อริยะ เจ้ารับคำท้าหรือไม่?”


โอสถเจ็ดตรัสรู้อริยะเป็นโอสถประเภทบริโภค มันช่วยให้ความสามารถในการเรียนรู้ต่อยอดเต๋าของเหล่านักสู้สูงขึ้นได้ในชั่วระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งเป็นโอสถที่ได้รับความนิยมมาก


แต่ความยากซับซ้อนในการหลอมกลั่นก็ยากเกินบรรยายเช่นกัน


ลืมไปได้เลยสำหรับจอมเทพโอสถสี่ดาวชั้นต้น ต่อให้เป็นจอมเทพโอสถสี่ดาวชั้นกลางหรือปลาย ยังไม่สามารถหลอมกลั่นได้โดยง่าย


พรสวรรค์ของลวี่อี้ค่อนข้างน่าประทับใจ แต่ในเวลานี้ยังไม่ถึงระดับที่เขาจะหลอมกลั่นโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่ที่ยากเช่นนี้ได้


โอสถเจ็ดตรัสรู้อริยะลวี่อี้พยายามศึกษาเรียนรู้อยู่นานเพื่อพัฒนาฝีมือ แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับไม่ค่อยดีนัก


จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่สามารถหลอมกลั่นได้เช่นกัน


ความยากในการหลอมกลั่นโอสถชนิดนี้ ทำเอาหลู่เมิงเหงื่อตกไม่ต่าง


แต่ปัญหาคือ ท้ายที่สุดนี้เขาก็ยังพอที่จะหลอมกลั่นได้


ในขณะที่ลวี่อี้ไม่เคยประสบความสำเร็จเลยสักครั้ง


แต่เย่หยวนยังคงกล่าวตอบอย่างมั่นใจว่า


“ไม่ว่าจะเป็นอะไร ย่อมรับคำท้า ไปเตรียมสมุนไพรวิญญาณมาให้พร้อม ส่วนพวกเจ้า…ตามข้าเข้ามา”


สิ้นเสียงกล่าวจบ เย่หยวนก็หันกลับเข้าไปในห้องด้านในทันที


กลุ่มของซวนอี้เหลือบสบตากันไปมา ก่อนจะติดตามเย่หยวนเข้ามา


“ท่านปรมาจารย์เย่ ข้า…ข้ามิอาจหลอมกลั่นโอสถเจ็ดตรีสรู้อริยะได้! แล้วจะเอาอะไรไปแข่งกับอีกฝ่ายฦ”


ขณะที่เดินตรงกลับเข้าไป ลวี่อี้โพล่งกล่าวขึ้นทันทีด้วยความวิตก


“ถูกต้องแล้ว ท่านปรมาจารย์เย่ ครั้งนี้ท่านประมาทเกินไป แม้ว่าเราจะต้องการตัดสินกับมันให้รู้ดำรู้แดง แต่ท่านไม่ควรให้สิทธิ์อีกฝ่ายเลือกชนิดโอสถ!”


ติงซวนยังคงกล่าวเสริมเติมต่อ


“นี่…ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้แข่งแต่กลับแพ้แล้ว!”


ศิษย์พี่สี่กล่าวขึ้นด้วยความสิ้นหวัง


มีเพียงดวงเนตรคู่งามของหนิงซื่อวี๋ที่ยังส่องไสวราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง


“ที่ปรมาจารย์เย่กล้ากล่าวออกไปเช่นนั้นแสดงว่าเขาต้องมีแผนรับมือแล้วแน่นอน จึงหาได้หวาดกลัวต่ออีกฝ่ายเลย พวกท่านเลิกกังวลกันแล้วและทำตามที่ข้าพูดต่อจากนี้!”


หนิงซื่ออวี๋กล่าวตอบ


เย่หยวนส่งยิ้มให้ซวนอี้และกล่าวว่า


“ท่านไม่ต้องการช่วยลูกศิษย์ของตนรึ? ตาแก่นี่ไม่กินเส้นกับเหล่าศิษย์เชื้อสายของท่านก็นานแล้ว และข้าเองก็ไม่ค่อยพอใจมันเช่นกัน!”


คู่ดวงตาของซวนอี้สว่างไสวขึ้นทันใด


“หรือเป็นไปได้ไหมว่า ปรมาจารย์เย่มีวิธีหลอมกลั่นโอสถเจ็ดตรัสรู้อริยะให้เสร็จภายในเวลาหนึ่งชั่วยาม!”


เย่หยวนหัวเราะกับตนเองเล็กน้อยและกล่าวว่า


“แม้ข้าจะบรรลุขอบเขตแห่งเต๋าแล้วก็จริง แต่ก็เป็นไปไม่ได้เช่นกันที่ข้าจะหลอมกลั่นโอสถศักดิ์สิทธิ์สี่ดาว”


ทุกคนที่ได้ยินต่างรู้สึกผิดหวังในทันใด ซวนอี้เอ่ยขึ้นว่า


“แล้ว…”


เย่หยวนกล่าวว่า


“โอสถเจ็ดตรัสรู้อริยะข้าหลอมกลั่นไม่ได้ก็จริง แต่หากเป็นโอสถห้าตรัสรู้อริยะกลับหาใช่เรื่องยาก!”


ลวี่อี้ขมวดคิ้วเล็กน้อยกล่าวว่า


“โอสถห้าตรัสรู้อริยะ…ข้าเองก็สามารถหลอมกลั่นได้เช่นกัน แม้ว่าจะมิได้ประสิทธิภาพเทียบเคียงท่านปรมาจารย์เย่ แต่มันก็หาใช่ปัญหาเช่นกัน อย่างไรก็ตาม…โอสถทั้งสองชนิดนี้ถึงจะมีรากฐานเดียวกัน แต่กลับแตกต่างโดยสิ้นเชิง โอสถชนิดหนึ่งเป็นระดับสี่ ส่วนอีกชนิดเป็นระดับสาม!”


เย่หยวนหันมองไปที่ลวี่อี้เล็กน้อยพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มที่มิใช่รอยยิ้มว่า


“อย่างนั้นหรือ? ความเข้าใจต่อศาสตร์แห่งโอสถของเจ้ามันเป็นอย่างไรกันแน่? แม้แต่ยอดเต๋าทุกศาสตร์แขนงยังล้วนเชื่อมโยงสัมผัสกัน โอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่มีความยากห่างชั้นกับระดับสามเกินพรรณนาก็จริง แต่โอสถสองชนิดนี้กลับมีพื้นฐานเดียวกัน ลักษณะเด่นคล้ายคลึงกันมาก หากเจ้าปิดกั้นตัวเองเพียงเพราะว่ามันเป็นโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่หาใช่ระดับสามไม่ แสดงว่าเจ้าเดินพลาดแล้ว!”


ลวี่อี้ตกตะลึงอย่างยิ่งเมื่อได้ฟัง แต่ก็ทราบดีว่าสิ่งที่เย่หยวนกล่าวไปช้วนเป็นความจริง


แต่การจะจับจุดที่เชื่อมโยงกันระหว่างโอสถทั้งสองชนิดที่มีระดับชั้นต่างกัน กลับไม่ใช่เรื่องง่ายเลย


อันที่จริงในขณะที่เขาพยายามศึกษาค้นคว้าเรื่องโอสถเจ็ดตรีสรู้อริยะ ซวนอี้ก็เคยกล่าวเรื่องนี้กลับเขาแล้วเช่นกัน แต่ในท้ายที่สุดกลับไม่สามารถเข้าใจได้เลย


ในขณะที่ทุกคนกำลังครุ่นคิดอยู่นั้นเอง เย่หยวนก็หยิบหม้อหลอมกลั่นออกมาและวัตถุดิบหลอมกลั่นโอสถห้าตรัสรู้อริยะ ก่อนเอ่ยปากกล่าวว่า


“มีโอกาสเดียวเท่านั้น จงดูให้ดี!”


ทันทีทันใดรัศมีกลิ่นอายของเย่หยวนก็ฟุ้งไปทั่วทั้งห้องอบอวลไปด้วยรัศมีแห่งเต๋า


แต่ครั้งนี้กลับเข้มข้นกว่าก่อนหน้าไม่รู้กี่สิบเท่า!


ทุกคนต่างเฝ้าจับจ้องเย่หยวนหลอมกลั่นโอสถด้วยความติ่นตะลึงใจยิ่ง


ในขณะนี้เย่หยวนเปรียบเสมือนปรมาจารย์แห่งการสร้างสรรค์สรรพสิ่งขึ้นมา


สายตาการจับจ้องของซวนอี้แปรเปลี่ยนเป็นความตั้งใจในบัดดล เขาร้องอุทานขึ้นลั่นว่า


“นี่…นี่…นี่คือขุมพลังที่แท้จริงของขอบเขตแห่งเต๋า!”


ตอนที่ 1565 จะไม่มีวันลืมจนวันตาย!

โดย

Ink Stone_Fantasy

“นี่มันหนึ่งชั่วยามแล้ว! หากยังไม่ออกมา…ถือว่ายอมแพ้!”


แม้ว่าหลู่เมิงจะมั่นใจยิ่งว่าชัยชนะอยู่แค่เอื้อม แต่เขาเองก็ไม่คิดจะให้เวลาเย่หยวนไปมากกว่านี้เช่นกัน


เขาเริ่มส่งเสียงดังโวยวายขึ้นทันทีเมื่อใกล้ถึงหนึ่งชั่วยามเต็มทน


เขาเป็นถึงยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าหกดาว เพียงรวบรวมพลังปราณเทวะเพื่อแผดเสียงตะโกนออกมา ย่อมส่งผ่านไปถึงห้องหลอมชั้นในโดยธรรมชาติ


เอี๊ยดด…


ประตูห้องด้านในพลันเปิดขึ้นอย่างแช่มช้า คนกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นสู่สายตาทุกคนอีกครั้ง


สายตาคู่นั้นของหลู่เมิงจับจ้องไปที่ลวี่อี้ จนอดสะดุ้งในใจมิได้


ไม่รู้ว่าทำไม แต่ไฉนเขาถึงรู้สึกว่ามีบางอย่างเปลี่ยนไปกับลวี่อี้


‘ไร้สาระ! แค่เวลาหนึ่งชั่วยาม เด็กคนนั้นจะพลิกฟ้าคว่ำสวรรค์ได้ปานนั้น? ไม่…เดี๋ยวก่อน! ที่ต้องคิดไปเองแน่นอน เราคิดมากไปเองกระมัง!’


หลู่เมิงแอบอุทานขึ้นในใจ


ที่จริงมิใช่แค่เขาคนเดียวที่รู้สึกแปลกไป กระทั่งคนอื่นๆเองก็เช่นกัน


เนื่องจากเวลาแค่หนึ่งชั่วยามกลับไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย ผลลัพธ์ที่ออกมายังคงเป็นเหมือนเดิมอย่างแน่นอน


ศาสตร์แห่งโอสถจำต้องใช้ประสบการณ์และเวลาในการบ่มเพาะหลอมสร้างเส้นทางขึ้นมา ความแตกต่างระหว่างหลู่เมิงและลวี่อี้ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่เวลาแค่หนึ่งชั่วยามจะสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้


หากเวลาเพียงหนึ่งชั่วยามสามารถพลิกฟ้าคล่ำสวรรค์ลงได้จริงๆ แล้วนักหลอมโอสถที่บ่มเพาะฝึกปรือปีแล้วปีเล่าคงกลายมาเป็นเรื่องตลกแล้วกระมัง?


“เหอะ นี่ยังไม่สายเกินไปที่จะยอมรับความพ่ายแพ้ หากเจ้ายอมแพ้เสียตั้งแต่ตอนนี้ บางทีเรื่องใดที่มองข้ามผ่านไปได้ ข้าก็จักมองข้ามไป แต่ไอ้เด็กเหลือขอนั้นยังต้องปิดร้านและไสหัวไปจากที่นี่อยู่ดี!”


หลู่เมิงเอ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้มจอมปลอม แต่สายตาสุดเดือดดุกลับพุ่งตรงใส่เย่หยวน


ลวี่อี้เม้มปากแน่น กล่าวเหยียดหยามขึ้นว่า


“หากข้าไม่สามารถเอาชนะตาแก่อย่างเจ้าได้ในวันนี้ ข้าคงไม่มีหน้าไปเงยมองใครแล้ว! ข้าจะบอกอะไรให้เอาบุญ ตาแก่อย่างเจ้าไม่มีคุณสมบัติมาหยิ่งผยองต่อหน้าข้า!”


“ฮ่าๆๆ ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม เจ้าปากเก่งขึ้นแล้วหนิ! แต่หากต้องการอวดดอ้างจำต้องมีทุนรอนเช่นกัน! ทว่าฝีมือของเจ้ายังคงห่างชั้นกับข้านัก!”


หลู่เมิงระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่น


ลวี่อี้คลี่ยิ้มและกล่าวว่า


“พล่ามไร้สาระมาพอแล้ว หลังจากนี้เดี๋ยวจะได้เห็นดีกัน!”


หลู่เมิงกล่าวตอบว่า


“ในเมื่อเจ้าเป็นคนไร้เหตุผลเช่นนี้ ข้าจะสั่งสอนบอกกล่าวเจ้าเองว่า สิ่งใดที่เรียกว่าผู้อาวุโสกว่า!”


ทั้งสองต่างไม่เรื่องมากเกี่ยวกับสถานที่เช่นกัน โดยแยกห้องหลอมกลั่นภายในร้านขายโอสถรับจ้างสารพัดเพื่อแข่งขัน


เมื่อได้ยินว่า จอมเทพโอสถสี่ดาวมาประชันเดชกันในร้านขายโอสถรับจ้างสารพัด ข่าวนี้ก็ดังกึกก้องไปทั่วทั้งเขตเมืองทางตอนใต้ แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วราวกับสายลม


นักหลอมโอสถจำนวนมากต่างไม่รอช้า รีบแห่กันมารับชมเพื่อเป็นสักขีพยานในการประลองระหว่างจอมเทพโอสถสี่ดาว


การหลอมกลั่นโอสถระดับนี้ยากนักที่พวกเขาจะมีโอกาสเข้าถึง หากอยู่ภายใต้สถานการณ์ปกติ พวกเขาคงไม่มีโอกาสได้เห็นแน่นอน


ตอนนี้ด้านหน้าประตูร้านชายโอสถรับจ้างสารพัดแทบจะระเบิดแจกออก ทุกคนจากทั่วทั้งสารทิศในเขตเมืองทางตอนใต้ต่างแห่แหนเข้ามาดั่งสายธารผู้คน


สมุนไพรวิญญาณนานาชนิดถูกจัดเรียงพร้อมตรงหน้า ทั้งสองเริ่มหลอมกลั่นแล้ว


ทันทีที่เริ่มต้น ด้วยความเจนจัดมากประสบการณ์การณ์ของหลู่เมิงเผยให้เห็นโดดนเด่นกว่าอย่างชัดเจน


เมื่ออยู่ต่อหน้าการหลอมกลั่นโอสถเจ็ดตรัสรู้อริยะ ทุกขั้นตอนจากคนแสนน่ารังเกียจกลับดูสุขุมประณีตขึ้นทันตา ไม่มีแม้แต่เสี้ยวอึดใจที่ประมาทเลย


ทรวดทรงของคำว่าปรมาจารย์จัดเต็มครบถ้วน


ในทางตรงข้าม ลวี่อี้ดูจะควบคุมสถานการณ์ไม่ดีเท่าหลู่เมิง


เมื่ออู๋เฟินเห็นดังนั้นก็พลันถอนหายใจโล่งอก


“เหอะ อาจารย์ยังคงเป็นอาจารย์จริงๆ เขาหรือหาใช่คนที่ไอ้เด็กน้อยนั้นจะเทียบเคียง? เย่หยวน ไอ้เด็กเหลือขอคนนี้คงมัวแต่หลุ่มหลงอยู่กับคำชื่นชม จนหลงคิดว่าตัวเองเป็นเทพบรรพชนโอสถคนที่สองกระมัง? คิดว่าการสั่งสอนผู้คนเพียงหนึ่งชั่วยามจะทำให้คนเหล่านั้นเก่งขึ้นทันตา?”


อู๋เฟินเอ่ยกล่าวขึ้นด้วยวาจาแสนเหยียดหยาม


แม้ว่าถังรุยจะไม่รู้จักเรื่องหลอมกลั่นโอสถเท่าไหร่นัก แต่ระดับชั้นความต่างระหว่างทั้งสอง เขาเองก็ยังพอที่จะแยกแยะได้


“หุหุ เมื่อการประลองสิ้นสุดลง เหล่าเชื้อสายของผู้อาวุโสสองจักต้องสูญสิ้นไม่เหลือ ยามนั้นคงต้องซุกหางเก็บขาอีกเป็นเวลานาน”


ถังรุยกล่าวเย้ยเยาะพร้อมรอยยิ้ม


เมื่อหนิงซื่ออวี๋เฝ้ามองเปรียบเทียบระหว่างกระบวนการหลอมกลั่นของทั้งสอง ยามนี้สีหน้าของนางเองพลันเผยปรากฏความกังวลขึ้นเช่นกัน


“ท่านปรมาจารย์เย่ ศิษย์พี่ใหญ่เขา…ดูท่าจะตกเป็นรองตาแก่นั้น?”


เย่หยวนยิ้มกล่าวว่า


“ผ่อนคลายเสีย นี่เพิ่งเริ่มเท่านั้น! สิ่งที่เขาเพิ่งเรียนรู้ไปจะสามารถเข้าใจอย่างถ่องแท้ทันทีได้อย่างไร ดังนั้นข้าจึงดูเก่ๆ กังๆเล็กน้อยในยามนี้ อย่างน้อยที่สุดก็ยังไม่เผยข้อผิดพลาดใดๆออกมาหเห็น”


เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ เย่หยวนก็เหลียวมองซวนอี้มิได้พร้อมกล่าวชื่นชมว่า


“ท่านพี่ซวน ข้าขอยอมรับเลยว่า ท่านมีสายตาที่เฉียบคมอย่างยิ่ง! ศิษย์ของท่านทุกคนล้วนมีพรสวรรค์โดดเด่น”


ทว่าซวนอี้กลับยิ้มตอบแสนขมขื่นใจเมื่อได้ยินและกล่าวว่า


“พวกเขาล้วนแต่เป็นต้นกล้าชั้นเลิศ แต่ช่างน่าเศร้าที่เราชายชราไม่มีความสามารถมากพอที่จะดึงศักยภาพของพวกเขาออกมืทั้งหมด หากเป็นเจ้าที่สอนสั่งพวกเขาแทน บางทีอาจเหนือชั้นกว่าข้าคนนี้ไปแล้ว!”


ซวนอี้หาได้กล่าวเยิ่นยอเย่หยวนแต่อย่างใด คล้อยหลังที่ได้เห็นพลังที่แท้จริงของเย่หยวนแล้ว ในที่สุดเขาก็เข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างตนกับเย่หยวน


ความเหลื่อมล้ำกว้างไพศาลปานนี้ หาใช่สิ่งที่ซวนอี้จะหาสิ่งใดเข้าชดเชยได้เลยชั่วชีวิต


ความลึกซึ้งของขอบเขตแห่งเต๋าเกินกว่าที่จะอธิบายเป็นคำพูดได้แล้ว


เขาถามใจตนเองอย่างถี่ถ้วนก่อนจะพบว่าชีวิตของตนเองก็เดินอยู่บนเส้นทางแห่งโอสถมานานมาแล้ว มิใช่ว่าตนไร้เทียมทานต่อทุกสรรพสิ่ง แต่อย่างน้อยๆเขาก็มั่นใจว่าในบรรดานักหลอมโอสถสี่ดาวทั้งหมด คนที่เหลือชั้นกว่าตนกลับไม่ค่อยมีมากนัก


ทว่ายามนี้เขากลับเปรียบเสมือนลูกศิษย์เมื่ออยู่ต่อหน้าเย่หยวน


“จอมเทพโอสถสี่ดาวช่างน่าเกรงขามหาที่เปรียบไม่! ทักษะหลอมกลั่นช่างน่าเหลือเชื่อโดยแท้!”


“ช่างน่าเกรงขาม! แต่ดูเหมือนว่าชายหนุ่มคนนั้นยังเป็นรองอยู่มาก ดั่งคำกล่าวที่ว่าของยิ่งแก่ยิ่งเผ็ดร้อน!”


“เหอะ จอมเทพโอสถสี่ดาวชั้นต้นหรือจะเป็นคู่มือของจอมเทพโอสถสี่ดาวชั้นกลางได้? ต่อให้ได้รับการอบรมจากท่านปรมาจารย์เย่ แต่เพียงแค่หนึ่งชั่วยามกลับช่วยอะไรได้?”


“หื้ม? พวกเจ้าดูนั้น! มีบางอย่างผิดแปลกไป! พวกเจ้าดูลวี่อี้เร็ว! เหมือนจะมีบางอย่างเปลี่ยนไป คล้ายกับว่าเขากำลังหลอมรวมทุกอย่างเป็นเนื้อเดียว!”



มีเหล่ายอดฝีมือและผู้คนจำนวนไม่น้อยที่เริ่มพบเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตัวลวี่อี้


ความลุกลี้ลุกลนในทีแรกยามนี้เริ่มจางหายไปแล้ว ลักษณะท่าทีคล้ายกับปรมาจารย์ผู้เจนจัดไล่ตามหลังหลู่เมิงมาอย่างต่อเนื่อง


มาตรฐานของอู๋เฟิงเองก็มิใช่ว่าอ่อนด้อย ในบรรดาจอมเทพโอสถสามดาวทั้งหมด เขานับเป็นผู้มีฝีมือน่าเกรงขามระดับแนวหน้า การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับลวี่อี้ไม่มีทางเล็ดลอดสายตาเขาได้เช่นกัน


สีหน้าที่ดูผ่อนคลายในทีแรกยามนี้ค่อยๆบิดเบี้ยวน่าเกลียดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง


ดูเหมือนว่าอู๋เฟิงจะรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จนถังรุยสังเกตเห็นอีกฝ่ายที่หน้าเสียจนต้องเอ่ยถามว่า


“นี่มันอะไรกัน?”


สีหน้าของอู๋เฟิงยามนี้ไม่สู้ดีนัก เขาเอ่ยร้องขึ้นว่า


“นี่มันไม่ถูกต้อง! นี่มันไม่ถูกต้อง! เป็น…เป็นไปไม่ได้! เรื่องพรรค์นั้นจะเป็นไปได้อย่างไร! ลวี่อี้จะเก่งขึ้นทันตาขนาดนี้ได้เยี่ยงไร!”


ตอนนี้เรื่องที่ไม่น่าจะเป็นไปได้กลับเผยปรากฏขึ้นต่อหน้าพวกเขาแล้ว


นอกจากนี้ พัฒนาการของลวี่อี้ยังคงเพิ่มขึ้นและเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนในที่สุดก็เผยปรากฏร่องรอยแห่งเต๋าที่เริ่มระดมสั่งสมเข้ามารวมในหม้อหลอมโอสถของเขา!


สุ้มเสียงของฝูงชนต่างร้องอุทานดังลั่น สีหน้าการแสดงออกของพวกเขาราวกับเผชิญพบปาฏิหาริย์แสนน่าอัศจรรย์


เวลาเลยผ่านไปอย่างช้าๆ หลังผ่านไปกว่าสามชั่วยาม ทันทีทันใดลวี่อี้ก็เอ่ยร้องขึ้นลั่นว่า


“ขึ้นรูปโอสถ!”


ร่องรอยแห่งเต๋าระดมควบแน่สั่งสมอยู่ในหม้อหลอม!


ในตอนนี้ลวี่อี้รู้สึกขนลุกซู่วไปทั่วร่าง คลื่นอารมณ์หลั่งไหลราวกับได้ปลดปล่อยจนสดชื่นถึงขีดสุด


ความรู้สึกที่ประสบความสำเร็จอย่างสมบูรณ์แบบเช่นนี้ เขาไม่เคยสัมผัสเอื้อมถึงมาก่อนสักครั้ง


แต่คราวนี้กลับเป็นจริงแล้ว!


หลู่เมิงยังคงตัดขาดตัวเองออกจากโลกภายนอกและพยายามหลอมกลั่นจนหยาดเหงื่อไหลริน


สายตาแสนดูถูกหยามเหยียดเผยปรากฏขึ้นภายในแววตาของลวี่อี้เมื่อจับจ้องไปที่หลู่เมิง ก่อนจะหันกลับมาประสานมือกล่าวกับเย่หยวนด้วยความเคารพแสนสุดซึ้งว่า


“ลวี่อี้ขอบพระคุณท่านปรมาจารย์เย่อย่างยิ่ง! บุญคุณในวันนี้ข้าจะไม่มีวันลืมไปจนวันตาย!”


ตอนที่ 1566 เปลี่ยนหินให้เป็นทอง

โดย

Ink Stone_Fantasy

“นี่มันเรื่องวิปลาสอันใด?! จอมเทพโอสถสี่ดาวก้มศีรษะคารวะให้กับจอมเทพโอสถสามดาวจริงๆ?!”


“จอมเทพโอสถสามดาวให้คำชี้แนะแก่จอมเทพโอสถสี่ดาวงั้นรึ? หากไม่เห็นกับตาตนเองชั่วชีวิตนี้ก็ไม่มีทางเชื่อ!”


“ท่านปรมาจารย์เย่เป็นเทพกระมัง? ความแกร่งกล้าในศาสตร์แห่งโอสถของเขาไม่น่ากลัวเกินไปหน่อยรึ?”



จอมเทพโอสถสี่ดาวโค้งคารวะแสดงความเคารพต่อจอมเทพโอสถสามดาวกลับเป็นภาพฉากที่น่าเหลือเชื่อเกินไป


สำหรับนักหลอมโอสถของเขตเมืองชั้นนอกทุกคน ต่างเคารพเลื่อมใสจอมเทพโอสถสี่ดาวประดุจเทพ!


แต่ตอนนี้การดำรงอยู่ของเทพที่ว่ากลับกำลังใครความเคารพต่อจอมเทพโอสถสามดาวตัวน้อย


เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า


“ข้ากล่าวไปก่อนหน้าแล้ว ตาแก่คนนี้ข้าเองก็รำคาญหน้าเช่นกัน หากมันกล้าประลองกับข้า ผลที่ออกมาคงมิได้ง่ายปานนี้ แต่ข้าจะบดขยี้มันจนไม่มีหน้าออกไปไหนชั่วชีวิต!”


ทุกคนต่างอดตื่นตะลึงใจมิได้เมื่อได้ยินแบบนั้น แต่กลับไม่มีใครกังขาในคำกล่าวของเย่หยวนเลยสักคน


เพียงชี้แนะอบรมแค่หนึ่งชั่วยามก็สามารถทำให้จอมเทพโอสถสี่ดาวคนหนึ่งเก่งขึ้นอย่างก้าวกระโดด หากเขาผู้นี้ออกโรงเองจะเป็นเช่นไร?


หากประลองด้วยโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสาม ต่อให้หลู่เมิงจะได้เปรียบเพียงใด แต่เย่หยวนก็สามารถบดขยี้อีกฝ่ายได้เช่นกัน


ประเด็นนี้ไม่มีใครกล้ากังขาข้องใจ


ในบรรดาโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสามทั้งหมด ไม่มีใครสามารถเอาชนะเย่หยวนได้!


ลวี่อี้ยิ้มและกล่าวว่า


“ผู้น้อยคนนี้เองก็ไม่ค่อยมั่นใจเช่นกัน! แม้ว่าโอสถเจ็ดตรัสรู้อริยะจะหลอมกลั่นเสร็จสมบูรณ์ แต่กลับ…ไม่มั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้”


เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า


“ผ่อนคลายเสีย ระดับฝีมือของตาแก่นี่ขยะเกินไป มันไม่มีทางหลอมกลั่นโอสถเจ็ดตรัสรู้อริยะได้เกินขั้นสูงได้แน่นอน”


ระดับฝีมือขยะเกินไป…


ทุกคนต่างสำลักพูดไม่ออกอีกครา


หากอีกฝ่ายระดับฝีมือขยะจริง เขาที่เป็นถึงผู้ดูแลระดับสูงของหอโอสถ…


นั้นมันรุ่นอาวุโสลายครามแห่งหอโอสถเชียว!


อีกครึ่งชั่วยามผ่านไป ในที่สุดหลู่เมิงก็หลอมกลั่นเสร็จสิ้น


เขาพอใจอย่างยิ่งกับผลลัพธ์ของตน คุณภาพโอสถของเขาไม่ควรต่ำชั้น


แต่เมื่อเห็นว่าลวี่อี้นั่งไขว้ห้างแช่มรออย่างสบายอารมณ์ สายตาของเขาพลันแปรเปลี่ยนไปทันที


ไอ้เด็กเหลือขอนี่เสร็จเร็วปานนั้น?


หรือว่า…มันจะหลอมกลั่นล้มเหลว?


ต้องใช่แน่นอน มันต้องหลอมกลั่นล้มเหลวแน่นอน!


มิฉะนั้นแล้วมันจะเสร็จเร็วกว่าข้าได้อย่างไร?


เมื่อนึกถึงตรงนี้ หลู่เมิงก็ระเบิดหัวเราะเยาะดังสนั่น กล่าวน้ำเสียงเหยียดหยามว่า


“อะไรกัน? หลอมกลั่นล้มเหลวงั้นรึ? เจ้ายังหนุ่มยังแน่นแถมมีอนาคตไกล แต่กลับไม่ระวังคำพูดและที่สำคัญยังไร้ซึ่งความเคารพต่อสผู้อาวุโสกว่า สมควรได้รับการสั่งสอนแล้ว!”


แต่เมื่อคำกล่าวเหล่านี้เอ่ยดังออกมา ดหล่าฝูงชนโดยรอบต่างจับจ้องมาทางเขาราวกับกำลังมองคนโง่


แม้ว่าโอสถของลวี่อี้ยังมิได้ถูกนำออกจากหม้อหลอม แต่อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็มั่นใจว่า โอสถเม็ดนั้นต้องสมบูรณ์แบบแน่นอน


นอกจากนี้…หากมิได้เกิดเรื่องผิดพลาด ระดับชั้นคุณภาพโอสถไม่น่าต้อยต่ำ


ลวี่อี้หัวเราะเย้ยเยาะดังลั่นกล่าวว่า


“ข้าหลอมกลั่นเสร็จสิ้นนานแล้ว รอเจ้าเสร็จเพื่อเปิดหม้อหลอมพร้อมกัน”


หลู่เมิงที่ได้ยินแบบนั้นแทบสำลัก


“เจ้าหลอมกลั่นสำเร็จจริงๆงั้นรึ?”


ลวี่อี้กล่าคร้านใจรบเร้าตอบโต้ กล่าวตอบว่า


“พล่ามมากไร้สาระ! เปิดหม้อหลอมได้แล้ว!”


หลู่เมิงขมวดคิ้วแน่นกล่าวเสียงเยียบเย็นว่า


“เปิดก็เปิด! ข้ากลัวที่ไหน!”


สิ้นเสียงกล่าวจบ เขาก็เปิดฝาหม้อหลอมออกมาโดยตรง โอสถเจ็ดตรัสรู้อริยะเม็ดหนึ่งบินทะยานออกมาอย่างเงียบงัน


คล้อยเห็นเม็ดโอสถของหลู่เมิง เขาก็อดอุทานลือลั่นมิได้


“ขั้นสูง! โอสถขั้นสูงจริงๆ! เจ้าหนุ่มนั้นแพ้แล้ว! แม้จะบังเอิญหลอมกลั่นได้สำเร็จ แต่คงไม่มีทางเทียบชั้นได้กับของข้า!”


ความยากในการหลอมกลั่นโอสถชนิดนี้อยู่ในเกณฑ์ระดับสูงมาก ลืมไปเลยสำหรับจอมเทพโอสถสี่ดาวชั้นกลาง แม้แต่ชั้นสูงก็ไม่มีทางหลอมกลั่นได้คุณภาพสูงได้ทุกครั้งไป


เมื่อเห็นว่าผลลัพธ์ในครั้งนี้เป็นชั้นสูง เขาก็มั่นใจอย่างยิ่งว่าชัยชนะอยู่ในกำมือของเขาเป็นที่เรียบร้อย


อู๋เฟินเองก็ดูตื่นเต้นดีใจเฉกเช่นกัน ความยากในการหลอมกลั่นโอสถเจ็ดตรัสรู้อริยะ เขาย่อมทราบดีโดยธรรมชาติ


หากหลอมกลั่นได้ถึงขั้นสูงนับว่าการันตีชัยชนะได้เลย


“แย่แล้ว ข้าคิดว่าลวี่อี้จะสามารถพลิกฟ้าคว่ำสวรรค์ได้จริงๆ ไม่คิดเลยว่าเขาจะมาพ่ายลงตรงนี้จริงๆ!”


“สมแล้วที่เป็นผู้ดูแลระดับสูงแห่งหอโอสถ ตำแหน่งนี้มิใช่ไว้แขวนอวดอ้าง แต่จำต้องมีฝีมือจริงๆ!”


“อย่างไรก็คตาม ผลงานของลวี่อี้ก็เยี่ยมยอดอยู่แล้ว ในอนาคตต่อไป เขาย่อมประสบความสำเร็จเหนือกว่าหลู่เมิงแน่นอน”



เหล่านักหลอมโอสถที่อยู่โดยรอบต่างแสดงความโศกเศร้าเสียใจออกมา แต่ก็ยังรู้สึกชื่นชมลวี่อี้ในเวลาเดียวกัน


ทุกคนต่างไม่คิดไม่ฝันเลยว่า สุดท้ายบทสรุปจะออกมาเป็นเช่นนี้


มิใช่แต่พวกเขา แม้แต่ลวี่อี้เองก็ยังดูไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่นัก


“หึหึ เจ้ายังยืนนิ่งอยู่อันใด? หรือไม่กล้าเปิดหม้อหลอม? กลัวแพ้งั้นรึ? เจ้าหนุ่ม ผู้อาวุโสยังคงเป็นผู้อาวุโสวันยังค่ำ หาใช่สิ่งที่หนุ่มสาวอย่างเจ้าจะท้าทายได้!”


หลู่เมิงกล่าวสั่งสอนพร้อมท่าทีสุภาพเล็กน้อย


บูมมม!


ในเวลานั้นเอง เห็นลวี่อี้ยืนนิ่งไม่เปิดฝาหม้อหลอมเสียที เย่หยวนเริ่มรู้สึกหงุดหงิดจึงซัดฝ่ามืออัดอากาศ จนฝาหม้อหลอมโอสถของลวี่อี้ปลิวกระเด็นออกไปโดยตรง


ทันทีทันใด เม็ดโอสถกลับลอยออกมากลายเป็นจุดสนใจของผู้คน


“ฟู่วว…”


“ขั้นสูง! นี่ก็ขั้นสูงเช่นกัน! สวรรค์ นี่ข้าตาฝาดไปใช่หรือไม่?! จอมเทพโอสถสี่ดาวชั้นต้นสามารถหลอมกลั่นโอสถเจ็ดตรัสรู้อริยะขั้นสูงได้จริงๆ!”


“น้าประทับใจนัก! สมแล้วที่ลวี่อี้เป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งในบรรดาหนุ่มสาวทั้งหมดแห่งหอโอสถ! ทรงพลังปานนี้ยังมีใครกล้าทัดเทียม!”


“หากกล่าวกันตามตรง เรื่องนี้ควรยกความดีความชอบให้แก่ท่านปรมาจารย์เย่ที่สุด! เดิมทีลวี่อี้เพียงลำพังไม่มีทางหลอมกลั่นโอสถชนิดนี้ได้เลย แต่ด้วยคำชี้แนะของท่านปรมาจารย์เย่ภายในเวลาหนึ่งชั่วยาม จึงทำให้เขาหลอมกลั่นสำเร็จถึงขั้นสูงเชียว! นี่…นี่ยิ่งกว่าเปลี่ยนหินเป็นทองคำในชั่วพริบตา!”


“ถูกต้อง! ท่านปรมาจารย์เย่นับเป็นต้นแบบแห่งความสำเร็จที่ทุกคนควรเอาเป็นแบบอย่าง! ความแข็งแกร่งระดับชั้นนี้เกินจินตนาการได้แล้ว!”



เสียงร้องอุทานดังกึกก้องทั่วทุกบริเวณ ทุกคนต่างตื่นตะลึงยิ่งกับโอสถเจ็ดตรัสรู้อริยะที่ลวี่อี้หลอมกลั่นได้


ขนาดเจ้าตัวเองยังแทบไม่อยากเชื่อสายตา เขาหลอมกลั่นโอสถเจ็ดตรัสรู้อริยะได้ถึงขั้นสูงจริงหรือนี่?


หลู่เมิงยามนี้ตกตะลึงแสนประหลาดใจยิ่งนัก เจ้าหนุ่มนี้หลอมกลั่นโอสถเจ็ดตรัสรู้อริยะขั้นสูงได้จริงๆ!


แม้แต่ซวนอี้และเหล่าศิษย์ที่เหลือยังอ้าปากค้างเติ่งหุบไม่ลง


“ฮ่าๆๆ ศิษย์พี่ใหญ่ของข้าช่างน่าทึ่งยิ่งนัก!”


หนิงซื่ออสี้ระเบิดหัวเราะดังสนั่น


หลู่เมิงสีหน้ามืดตกในทันใด เขากัดฟันแน่นกล่าวว่า


“ใจเย็นอย่าเพิ่งดีใจเสีย! เรายังไม่ได้ทดสอบประสิทธิภาพโอสถ! คุณภาพโอสสของเขาหรือจะดีไปกว่าของข้า?”


“เช่นนั้นเจ้าก็เอาไปทดสอบด้วยตัวเองซะ โอสถเม็ดนี้ของเจ้าอีกนิดเดียวก็ตกมาอยู่ขั้นกลางแล้ว ในขณะที่โอสถของลวี่อี้อีกนิดเดียวก็จะขยับขึ้นเป็นขั้นยอดเยี่ยม! ระดับชั้นชื่อเดียวกันแต่ประสิทธิภาพกลับห่างชั้นกันเกินไป!”


เย่หยวนมีประสาทสัมผัสไวต่อกลิ่นโอสถมาก ดังนั้นเพียงดมเล็กน้อยก็ประเมินประสิทธิภาพได้แล้ว


หลู่เมิงมีหรือจะเชื่อเรื่องพรรค์นั้น? แต่เมื่อเขาวางโอสถทั้งสองเม็ดเปรียบเทียบกันโดยละเอียด สีหน้าของเขาพลันบิดเบี้ยวน่าเกลียดในทันใด


อย่างที่เย่หยวนพูดไม่มีผิด เขาพ่ายอย่างหมดรูป!


โอสถของเขาคุณภาพต่ำกว่าโดยสิ้นเชิง!


“ฮ่าๆๆๆ ความสามารถของศิษย์พี่ใหญ่แหกหน้าผู้อาวุโสกว่าไปเสียแล้ว? ไม่สามารถเอาชนะคนรุ่นหนุ่มสาวได้ก็ไม่สมควรเรียกตัวเองว่ารุ่นอาวุโสแล้ว!”


ศิษย์พี่สี่เอ่ยปากระเบิดเสียงหัวเราะดังกึกก้อง


ติงซวนยังหัวเราะกล่าวเสริมขึ้นว่า


“ระดับชั้นอย่างเจ้าหรือเป็นถึงผู้ดูแลระดับสูง! ข้าว่าเจ้าคงมัวเมากับตำแหน่งลาภยศมานานเกินไป จนฝีมือขึ้นสนิมหมดแล้ว!”


ซวนอี้รู้สึกภาคภูมิใจในตัวศิษย์คนนี้อย่างยิ่งยวด เขาคลี่ยิ้มบางเล็กน้อยและกล่าวว่า


“หลู่เมิง เจ้ายังต้องการกล่าวอันใดอีกหรือไม่? ศิษย์ของเราชายชราคนนี้เอาชนะเจ้าไปได้เสียแล้ว”


สีหน้าการแสดงออกของหลู่เมิงบิดเบี้ยวไปมาครั้งแล้วครั้งเล่า เขาไม่มีหน้ามายืนอยู่ตรงนี้อีกแล้ว


เขาเป็นถึงผู้ดูแลระดับสูงแห่งหอโอสถที่ได้รับการยกย่องสรรเสริญ จากทุกคนแต่กลับไม่สามารถเอาชนะคนวัยหนุ่มสาวได้ นี่…นี่คือความอัปยศที่สุดในชีวิต!


หลังจากวันนี้ เขายังมีหน้าอยู่ในหอโอสถต่อไปได้อีกอย่างไร?


“พวกเจ้าทุกคน….พวกเจ้าทุกคนอย่าอวดดีให้มากนัก! วันนี้ช่างหัวมันไป หนี้แค้นนี้จักต้องชำระ!”


หลู่เมิงร้องครวญด้วยความเจ็บใจและอันตรธานหายไปทันที


อู๋เฟินและถังรุยยืนมองภาพฉากนี้ด้วยความงุนงง แพ้แล้ว…ทุกอย่างจบลงแต่เพียงเท่านี้?


ตอนที่ 1567 เดี๋ยวเย่คนนี้รินสุราให้สักจอก

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ฮ่าๆๆๆ! ในที่สุด! ในที่สุดข้าก็เลื่อนระดับชั้นสำเร็จ! อาณาจักรราชันพระเจ้าครึ่งขั้น! ข้าที่ติดอยู่กับที่หลายปีในที่สุดก็ทะลวงผ่านไปได้! ในที่สุดข้าก็กลับมาผงาดขึ้นอีกครั้ง!”


ภายในห้องลับ จู้โหย่วระเบิดหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง


หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือน ในที่สุดเขาทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าครึ่งขั้นเสียที!


ปัญหาเขาติดพันไม่พัฒนาไปไหนมาหลายปีแล้ว


ทันทีที่เขาทะลวงฝ่าปัญหานี้ไปได้ เขาจะกลายมาเป็นการดำรงอยู่สูงสุดในเขตเมืองชั้นนอกทันที


“ศาสตร์แห่งโอสถของท่านปรมาจารย์เย่ไร้เทียมทานโดยแท้! โอสถเม็ดเดียวที่เขามอบให้มาสามารถแก้ปัญหากวนใจข้ามาหลายสิบปีได้ในพริบตาเดียว!”


จู้โหย่วถอนหายใจชื่นชมเย่หยวนไม่หยุดปาก


เดือนที่แล้ว เย่หยวนเดินทางมาที่รังใหญ่ของกลุ่มอัสนีคำรนและมองโอสถให้แก่เหล่าพี่น้องพวกเขา


โอสถเม็ดนี้ทำให้เขาเลื่อนระดับชั้นสมความปรารถนาได้ในที่สุด


สำหรับบุญคุณในครั้งนี้ของเย่หยวน เขารู้สึกซาบซึ้งอย่างหาที่เปรียบไม่


จู้โหย่วค่อยๆลุกขึ้นและกล่าวกับตนเองว่า


“ข้าสงสัยเสียจริงว่า พี่น้องที่เหลือของข้าจะเป็นอย่างไรแล้วบ่าง? ท่านปรมาจารย์เย่ให้ความช่วยเหลือขนาดนี้ พวกเขาเองคงประสบความสำเร็จเช่นกันกระมัง?”


เมื่อมาถึงโถงใหญ่ เขาก็พลันเห็นว่าพี่ใหญ่ซิงกวนนั่งรออยู่ในนั้นนานแล้ว


เมื่อเห็นซิงกวน ดวงตาของจู้โหย่วแทบทะลักถล่นออกมา ร้องอุทานลั่นด้วยความประหลาดใจยิ่งว่า


“พี่ใหญ่…ท่าน…ท่านใกล้จะเลื่อนระดับชั้นแล้ว?”


รัศมีแรงกดดันของซิงกวนไร้ซึ่งเสถียรคล้ายว่าภูเขาไฟที่สามารถปะทุคลั่งออกมาได้ตลอดเวลา


ความสุขบนใบหน้าของซิงกวนมิสามารถปกปิดได้เลยแม้แต่น้อย เขากล่าวด้วยรอยยิ้มว่า


“ต้องขอบคุณท่านปรมาจารย์เย่จริงๆที่มอบโอสถห้าตรัสรู้อริยะให้ ในที่สุดข้าก็แตะถึงขอบเขตสูงสุดเสียที! ทันทีที่จัดการธุระ            ในเขตเมืองทางตอนใต้เสร็จนสิ้น ข้าจะปลีกวิเวกเก็บตัวเพื่อทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าเต็มขั้น!”


จู้โหย่วดีอดกดีใจอย่างยิ่งที่ได้ยินแบบนั้นและกล่าวว่า


“ขอแสดงความยินดีด้วยกับพี่ใหญ่! เจ้าเซียวยื่อเยว่คงไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่า ท่านจะทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าตามตนมาติดๆ ท้ายที่สุดมันก็ไม่สามารถผูกขาดอำนาจของเมืองทางตอนใต้ได้สำเร็จ แต่พวกเรากลับทำได้!”


ซิงกวนยิ้มและกล่าวว่า


“ข้าไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่า ในชั่วชีวิตนี้ ข้าจะทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าได้จริงๆ! ทั้งหมดต้องขอบคุณท่านปรมาจารย์เย่! หากไม่ใช่เพราะเขาปานนี้กลุ่มอัสนีคำรนของเราคงถูกทำลายลงไปนานแล้ว!”


จู้โหย่วพยักหน้ากล่าวว่า


“พวกเราเป็นหนี้บุญคุณของท่านปรมาจารย์เย่มากมายเกินไป!”


ไม่นานนัก หัวหน้าสามก็ตรงเข้ามาที่โถงใหญ่เช่นกัน


ดวงตาทั้งคู่ของทั้งซิงกวนและจู้โหย่วแทบถล่นออกมาพร้อมเพรียง


“น้องสาม เจ้า…เจ้าเองก็เลื่อนระดับเช่นกัน! ฮ่าๆๆ…ยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าครึ่งขั้นถึงสองคน! ตอนนี้ยังมีใครกล้าอวดดีต่อหน้ากลุ่มอัสนีคำรนของข้าอีกหรือไม่!”


ความแกร่งกล้าของหัวหน้าสามอ่อนด้อยกว่าหัวหน้าสองเล็กน้อย แต่เขาก็ติดอยู่ในอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าขั้นสุดมานานมากแล้วเช่นกัน


ไม่นานนัก หัวหน้าสี่และหัวหน้าห้าพร้อมที่เหลือทั้งหมดต่างออกจากการเก็บตัวและเข้ามารวมตัวที่โถงใหญ่เช่นกัน ทุกคนต่างประสบความสพเร็จตามระดับขั้นที่ตนเองหวังไว้


ซิงกวนเอ่ยกล่าวขึ้นพร้อมหลากอารมณ์แสนแปรปรวนนัก


“นักหลอมโอสถอย่างท่านปรมาจารย์เย่ ช่างน่ากลัวเกินไปจริงๆ เขาใช้เวลาเพียงหนึ่งเดือนก็สามารถสร้างกองกำลังที่ทั่วทั้งทางใต้ไม่สามารถสั่นคลอนได้!”


พวกเขาเหล่านั้นรับฟังพลันนึกย้อนกลับไปราวกับฝันไปจริงๆ


นับตั้งแต่ที่พบกับเย่หยวน กลุ่มอัสนีคำรนของพวกเขาก็เปลี่ยนไปราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ!


เมื่อนึกถึงตอนที่เย่หยวนสั่งให้พวกเขาเปลี่ยนชื่อกลุ่ม ยามนั้นพวกเขาทุกคนแทบระเบิดโทสะใส่


แต่ตอนนี้ที่คำนึงถึงกลับรู้สึกหวาดกลัวอย่างบอกไม่ถูก


หากพวกเขาตัดสินใจตั้งตนเป็นศัตรูกับเย่หยวน ผลลัพธ์ที่ได้คงน่ากลัวเกินจินตนาการ!


ทันทีทันใด สายตาการจับจ้องของซิงกวนพลันเฉียบคมขึ้นทันตา เขาเอ่ยกล่าวดังด้วยน้ำเสียงขรึมว่า


“เขตเมืองทางตอนใต้โสมมวุ่นวายมาหลายสิบปีแล้ว ตอนนี้ถึงเวลาจัดระเบียบใหม่เสียที!”


ในคืนนั้นเอง เสมือนธารเลือดหลั่งไหลครั้งประวัติการณ์ของเมืองทางตอนใต้


หลัวอี้ หประมุขกลุ่มขนนกเงินถูกซวนกวนสังหารคตายลง


สำหรับเห่อเสี่ยวของกลุ่มสุริยันจันทรา เขาเองก็ตายลงภายใต้เงื่อมมือของจู้โหย่ว ในที่สุดเขาก็ล้างแค้นจากคันศรธนูดอกนั้นได้สำเร็จ


กลุ่มสุริยันจันทราและกลุ่มขนนกเงินตกอยู่ใต้การควบคุมของกลุ่มอัสนีคำรน และกลายมาเป็นกลุ่มอิทธิพลที่ใหญ่ที่สุดแห่งเขจเมืองทางตอนใต้


ภายใต้การกดดันของกลุ่มอัสนีคำรน ตระกูลตงฟางและหอเต๋ออี้จำต้องขับไล่อู๋เฟิน ชนิดตัดหางปล่อยวัด


และในคืนนั้นเอง อู๋เฟินเสียชีวิตอย่างปริศนากลางท้องถนน


ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดการเปลี่ยนขั้วอำนาจครั้งใหญ่ในเขตเมืองทางตอนใต้


กลุ่มอัสนีคำรนผูกขาดเมืองทางตอนใต้โดยสมบูรณ์ แม้แต่สามตระกูลใหญ่เองยังตกเป็นรอง



ในขณะเดียวกัน เย่หยวนเองก็กำลังเดินเล่นอย่างสงบบนท้องถนนแห่งเมืองหลวงวู่เมิ่งแสนคุ้นเคย


“นึกไม่ออกจริงๆเลย เมืองบ้านนอกชั้นต่ำเช่นนี้กลับให้กำเนิดยอดอัจฉริยะอย่างท่านจริงๆ?!”


หนิงซื่ออวี๋เหลือบมองบรรยากาศเมืองโดยรอบ พลางเอ่ยเยาะเย้ยขึ้นดัง


เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า


“ประสบการณ์ของข้าต่อที่แห่งนี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก ไม่งั้นคงไม่ลงมาเที่ยวนี้แน่นอน”


ขณะที่สนทนาพูดคุยกันอยู่นั้นเอง กลุ่มของพวกเขาก็เดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งเพื่อสั่งอาหารกินกัน แน่นอนว่าสถานที่แห่งนี้มิใช่ใดอื่นนอกจาก โรงเตี๊ยมเฟิงหลาน


เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า


“เข้ามาเถอะ ร้านอาหารของที่นี่ข้าขอแนะนำเลย ขึ้นไปนั่งพักชั้นบนกันดีกว่า”


เมื่อเดินตรงเข้าสู่โรงเตี๊ยมเฟิงหลาน เจ้าของโรงเตี๊ยมย่อมจดจำเย่หยวนได้ในพริบตา


“ย-ย-เย่หยวน! จ-จ-เจ้า…เจ้ากลับมาแล้วจริงๆ!”


โศกนาฏกรรมนองเลือดสังหารหมู่ครั้งใหญ่ในปีนั้นกลางท้องถนน เย่หยวนได้สังหารนักเรียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าของสถานศึกษาหวู่เมิ่งทั้งห้าในพริบตา ยามนั้นเย่หยวนเปรียบดั่งเทพสงครามลงมาจุติ! จนถึงตอนนี้เจ้าขอองโรงเตี๊ยมยังระทึกใจไม่หาย


ดังนั้นแล้ว เพียงปราดตาเดียวเขาก็จำเย่หยวนได้ในทันที


เย่หยวนดูท่าจะไม่แปลกใจเลย เขายิ้มกล่าวว่า


“ใช่ ข้ากลับมาแล้ว”


เจ้าของโรงเตี๊ยมรีบดึงแขนเขามาหลบที่มุมหนึ่งและกล่าวว่า


“แล้วเจ้าจะกลับมาทำไม! แม้จะผ่านไปนานหลายปีแล้ว แต่รู้หรือไม่ว่าพวกนั้นก็ยังตามหาตัวเจ้าไม่เว้นวาย! การที่เจ้ากลับมาเช่นนี้ มันไม่ต่างอะไรกับเดินเข้ากับดักหรอกรึ?!”


เย่หยวนเลิกคิ้วอย่างค่อนข้างประหลาดใจและกล่าวว่า


“ทีแรกข้าคิดว่าเจ้าจะเป็นคนไปฟ้องเรื่องที่ข้ามาที่นี่ด้วยซ้ำ!”


เจ้าของโรงเตี๊ยมที่ได้ยินแบบนั้นพลันหัวเราะกล่าวว่า


“เจ้ากล่าวอันใด?! เจ้าเป็นวีรบุรุษแห่งเมืองหลวงหวู่เมิ่งของเรา สามารถคว้าอันดับหนึ่งในงานชุมนุมร้อยเมืองได้ นับเป็นเกียรติแก่เมืองหลวงหวู่เมิ่งของเรามาก กล่าวตามตรง ตอนนั้นข้าก็ไม่คิดมาก่อนเลยว่า ท่านเจ้าเมืองจะปฏิบัติต่อเจ้าเช่นนี้! เร็วเข้า ทั่วทุกมุมโรงเตี๊ยมเฟิงหลานมีหูตาคอยสอดส่องเต็มไปหมด รีบหนีไปเร็ว!”


เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า


“ไม่เป็นไร เจ้าไปเอาสุรารสเลิศกับอาหารดีๆมาให้ข้าที มาเยือนสถานที่วันวาน นายน้อยคนนี้อารมณ์ค่อนข้างสุนทรีย์ ฮ่าๆ!”


เมื่อกล่าวจบเย่หยวนก็ตรงขึ้นชั้นสอง ปล่อยให้เจ้าของโรงเตี๊ยมมึนงงแข็งค้างไปแบบนั้น


แม้ว่าระยะเวลารวมจะผ่านไปแล้วกว่ายี่สิบปี แต่เย่หยวนยังคงเป็นตำนานของเมืองหลวงหวู่เมิ่งไม่เสื่อมคลาย


เพราะวีรกรรมของเขาที่ก่อขึ้นไม่เคยมีใครในประวัติศาสตร์เคยสร้างไว้ยิ่งใหญ่เท่าเขามาก่อน!


เจ้าของโรงเตี๊ยมยกสุราและอาหารหรูมากมายเข้ามาบริการ เย่หยวนยกจอกสุราพลางกล่าวกับเจ้าท้วมว่า


“กลับมาเยี่ยมชมสถานที่เก่าๆ เจ้าคิดถึงวันวานหรือไม่?”


เจ้าท้วมส่ายหัวกล่าวตอบว่า


“ข้าเฉยชากับเรื่องเหล่านั้นมานานแล้ว! ตอนนี้ข้าต้องการแค่พลังและความแข็งแกร่ง เพื่อจะประกาศกับคนที่เคยดูถูกในอดีตว่า ข้าไม่ใช่คนเก่าอีกต่อไปแล้ว!”


เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า


“ข้าเข้าใจ ข้าเข้าใจ ถึงเจ้าจะบอกว่าเฉยชาแล้ว แต่แท้ที่จริงตัวเจ้ายังคงจมอยู่กับเงามืดในอดีตต เจ้าท้วมคิดจะปล่อยให้เป็นเช่นนี้จริงๆรึ?”


เจ้าท้วมกล่าวว่า


“พวกเราทุกคนต้องเติบโต!”


เย่หยวนส่ายหัวกล่าวตอบว่า


“ปีศาจในจิตใจยังไม่สูญสลายคนเราจะเติบโตได้อย่างไร? แค่ต้องกลับไปยังที่ที่ปีศาจภายในใจอยู่และเดินออกมาอย่างสง่างาม”


ขณะที่พวกเขากำลังสนทนากันอยู่ ทันทีทันใดพลันปรากฏกองกำลังจากไหนไม่ทราบเข้าล้อมทั่วทั้งโรงเตี๊ยมเฟิงหลานไว้ ราวกับคิดจับตาย


รัศมีแรงกดดันสุดแกร่งกล้าผสมปนจิตสังหารพวยพุ่งไม่หยุดหย่อน ออกมาต่อหน้าเย่หยวน


“เย่หยวน! เจ้าโผล่หัวออกมาเสียที เตรียมตัวตาย!”


เสียงเยียบเย็นเอ่ยลั่นกึกก้อง


เจ้าของโรงเตี๊ยมรีบวิ่งขึ้นมา ทั่วใบหน้าปกคลุมเหงื่อเย็นเปียกแฉะ เขาเอ่ยปากกล่าวกับเย่หยวนทันทีว่า


“เห็นไหม! ข้าบอกเจ้าแล้วว่าให้หนีไป! แม่ทัพจ่าวอี้ได้นำกำลังพลเข้าปิดล้อมโรงเตี๊ยมเฟิงหลานไว้แน่นหนาราวกับถังเหล็ก! ตอนนี้อม้เจ้าจะหนียังยากแล้ว!”


เย่หยวนชี้ไปที่เก้าว่างตัวหนึ่งบนโต๊ะกินข้าวและยิ้มกล่าวว่า


“เถ้าแก่ เจ้ากล่าวค่อนข้างดีเชียว! มานั่งนี้มาเดี๋ยวเย่คนนี้รินสุราให้สักจอก เอาชน!”


ตอนที่ 1568 เข้าปะทะราชันพระเจ้าครึ่งขั้น!

โดย

Ink Stone_Fantasy

“สวรรค์! ไฟแค้นสุมทรวงต่อหน้าเจ้ายังเผาขนปานนี้ เจ้ายังมีอารมณ์ร่ำสุราอีกรึ!”


เจ้าของโรงเตี๊ยมเอ่ยร้องลั่น


เย่หยวนยิ้มเล็กน้อยและเดินตรงเข้าไปตบไหล่อีกฝ่ายเบาๆ


“ก็ถูกล้อมแน่นราวกับถังเหล็ก ขนาดจะวิ่งออกไปยังทำไม่ได้ เช่นนั้นเราก็ควรสนุกกับชีวิตให้เต็มที่! อย่าปล่อยให้สุราจันทราทองคำต้องเสียเปล่า เร็วเข้าเถ้าแก่! ชนแก้ว!”


เมื่อเย่หยวนกล่าวจบก็ยกจอกสุราหนึ่งขึ้นมา และป้อนเจ้าของโรงเตี๊ยมให้กระดกหมดในชั่วอึดใจ


เจ้าของโรงเตี๊ยมยามนี้ยังมีอารมณ์กินดื่มได้อย่างไร เขาแทบสำลักออกมา


เขาต้องการให้เย่หยวนหนีไปให้ไกลที่สุด แต่เวลานี้ถูกพวกทหารลุมล้อมกลับหวั่นกลัวขึ้นฉับพลัน


กองกำลังปริมาณขนาดนี้สามารถทำให้ผู้คนต่างสิ้นหวังได้เลย


หลังป้อนเสร็จ เย่หยวนก็ยัดจอกให้ในมือเจ้าของโรงเตี๊ยมพร้อมรินเติมให้ใหม่ ทว่าอย่างไร ยามนี้มือที่ถือจอกสุราพะลันสั่นเทาไม่หยุดหย่อน จนสุราจันทราทองคพกระฉอกออกมาจนไม่เหลือ เห็นได้ชัดว่าเขากำลังหวาดกลัวปานใดด


ทันทีที่กองกำลังเคลื่อนทัพจู่โจม โรงเตี๊ยมของเขามีหวังกลายเป็นเถ้าถ่านแน่นอน


เย่หยวนเหลือบมองแวบหนึ่งและกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า


“เถ้าแก่ โรงเตี๊ยมเฟิงหลานยังคงเปิดให้บริการต่อไปในเมืองหลวงหวู่เมิ่งแน่นอนไม่ต้องห่วง”


เมื่อกล่าวจบ ร่างเย่หยวนก็ปราดพุ่งกระโจนหายวับในพริบตา ปรากฏเงาไสวกระโดดออกจากหน้าต่างไป


บนท้องถนนเหล่าทหารสวมชุมเกราะพร้อมเตรียมรบต่าตั้งท่ารอจู่โจม


แต่ทันใดนั้นเอง


ชวิ้ง! ชวิ้ง! ชวิ้ง!


คมดาบสีเย็นสาดกะพริบเคลื่อนผ่านร่างของทหารเหล่านั้น เย่หยวนกระหน่ำฟันไม่มียั้งมือ


เส้นคมประดุจตัดขอบฟ้าฟันฟาดผ่านกองกำลังทั้งหมดดุจพริ้วดั่งสายลม หอกยาวที่ทหารเหล่านั้นถือครองพลันร่วงกราวลงมา


แม้จะอยูท่ามกลางกองทัพของปีศาจนับพันหมื่น เย่หยวนยังสามารถล่าสังหารได้ตามใจอิสระ แล้วกับแค่ทหารของเมืองหลวงยังนับประสาอันใด?


หากเย่หยวนต้องการฆ่า ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถรอดพ้นจากความตตายได้


อย่างไรก็ตามแต่ เป้าหมายของเขาที่มาในครั้งนี้คือ จ้าวอี้และฉินจ้าวหยุน หาใช่กองทหารธรรมดาพวกนี้


เมื่อจ้าวอี้เห็นเย่หยวนเต็มสองตา เขาก็พลันหน้าเสียโดยมิตั้งใจและร้องอุทานดังลั่นด้วยความตกใจยิ่งว่า


“เจ้า…เจ้าทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรบรรพชนพระเจ้าชั้นกลางแล้ว!”


เย่หยวนมีเงินหลักหลายพันล้าน ด้วยทรัพยากรไร้จำกัดที่หนุนหลังเขาอยู่ ย่อมทำให้พัฒนาการของเขาพุ่งทานเร็วกว่าเดิมนับหลายสิบเท่า


เมื่อไม่นานมานี้ เย่หยวนก็ทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรบรรพชนพระเจ้าชั้นกลางได้ในที่สุด


ยามนึกถึงตอนที่เย่หยวนจากไปในตอนนั้น เขาเพิ่งจะขึ้นกลายเป็นเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นต้นไปหมาดๆ เวลาผ่านไปแค่ยี่สิบปี กลับพัฒนาขึ้งถึงหนึ่งอาณาจักรพลังหลัก!


วคามเร็วในการบ่มเพาะพลังเช่นนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว!


ยิ่งไปกว่านั้นจ้าวอี้ยังรู้ด้วยว่า เย่หยวนหาใช้เซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าธรรมดาทั่วไป เขาสามารถข้ามระดับสัประยุทธ์ได้!


หากย้อนกลับไปในตอนนั้น เขาที่เพิ่งทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรปัจฉิมพระเจ้า ได้นำกุ้ยหยุนเข้าต้านรับกับศิษย์สถานศึกษาทั้งห้า


ในหมู่พวกนั้นยังมีเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าขั้นสุดรวมอยู่ด้วยถึงสามคน!


แต่ผลการต่อสู้กับเป็นโศกนาฏกรรมของทั้งห้าแทน!


เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า


“แม้ทัพจ้าวอี้ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง? พิธีต้อนรับดูใส่ใจข้าดีหนิ!”


เย่หยวนนำมือทั้งสองข้างไพล่หลัง แผ่ขุมพลังประดุจจ้าวพิภพ


จ้าวอี้ยามนี้แทบจะหายใจหายคอไม่ออก สถานะของเย่หยวนในตอนนี้หาใช่ศิษย์คนสำคัญของสถานศึกษาอีกต่อไป ดังนั้นพวกเขาเองก็ไม่จำเป็นต้องยั้งมือเช่นกัน!


ดวงตาคู่นั้นของจ้าวอี้หรี่แคบลงเล็กน้อย เอ่ยกล่าวเสียงเย็นชืดดังว่า


“ดูเหมือนว่าหลายปีมานี้ เจ้าจะเติบโตไม่น้อยเลยทีเดียว แต่เจ้าควรทราบไว้ ต่อหน้าท่านเจ้าเมือง ตัวเจ้ากลับไม่นับเป็นอันใด!”


เย่หยวนเค้นเสียงตอบอย่างคร้านจะใส่ใจว่า


“แล้ว?”


จ้าวอี้กล่าวว่า


“ดูเหมือนว่าเจ้าจะมั่นใจมากเสียจริง ยอมแพ้ซะก่อนจะไม่มีโอกาส!”


เย่หยวนยิ้มและตอบว่า


“มีอะไรอีกไหม?”


จ้าวอี้กัดฟันแน่นเค้นเสียงเย็นตอก


“ข้าอยากจะเห็นเหลือเกินว่าเจ้าในตอนนี้จะมีดีสักเพียงใด! ทั้งหมดถอยไป!”


ภายใต้คำสั่งการของจ้าวอี้ กองทหารเหล่านั้นเร่งถอยห่างออกไปทันที


ศึกสัประยุทธ์นี้ หาใช่สิ่งที่ระดับชั้นอย่างพวกเขาจะเข้าไปมีส่วนร่วมได้


แต่พวกเขาไม่คิดเลยว่า แม้ทัพของพวกเขาจะหวาดกลัวไอ้เด็กเหลือขอตรงหน้าได้


อาณาจักรราชันพระเจ้าครึ่งขั้นหรือจะพ่ายให้แก่อาณาจักรบรรพชนพระเจ้าชั้นกลาง?


ต้องล้อเล่นกันไปใหญ่แล้ว!


“นี่ข้ามิได้ตาฝาดไปใช่ไหม? เย่หยวนคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดหรืออย่างไร? เพียงยี่สิบปีสามารถพัฒนาได้ไกลถึงเพียงนี้?!”


“แต่ถึงแบบนั้น อีกฝ่ายก็หาใช่คู่มือของแม่ทัพจ้าวอี้อยู่ดี ท่านเป็นถึงยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าครึ่งขั้น นี่หาใช่สิ่งที่เย่หยวนจะต่อกรได้เลย!”


“เฮ้ออ..ท้ายที่สุดนี้เย่หยวนยังคงใจร้อนดั่งวัยหนุ่มสาวเกินไป ถึงกลับมาแก้แค้นเร็วปานนี้ หากเขาอดทนรออีกสักร้อยปี บางทีเขาอาจทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าได้ก่อนก็เป็นได้ ในเวลานั้นค่อยกลับมาแก้แค้นก็ยังไม่สาย!”


บนท้องถนนไกลลับออกไป หนึ่งทวนปะทะชนหนึ่งดาบ กระแสพลังคลื่นคลั่งพลันสะพัดไพศาลไปไกล


ยอดอัจฉริยะอย่างเย่หยวนหาได้ยากยิ่ง กล่าวได้ว่าแสนปีจะพบเจอได้สักครั้ง


วันนี้กลับไม่มีใครคาดคิดเลยว่า เย่หยวนกลับเดินมาหากับดักเสียเอง


จ้าวอี้เหวี่ยงทวนยาวในมือพร้อมระเบิดขุมพลังอาณาจักรราชันพระเจ้าครึ่งขั้นออกมาจนล้นปรี่


รัศมีกลิ่นอายสุดทรงพลังเช่นนี้นับเป็นการดำรงอยู่ของเทพในเมืองหลวงหวู่เมิ่งแห่งนี้


ไกลออกไป ทุกคนต่างเฝ้ามองจับจ้องภาพฉากนี้ด้วยความประหลาดใจ


เข้าสัประยุทธ์กับยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าครึ่งขั้นเช่นนี้ กล่าวได้ว่ารับมือยากเย็นเกินไป


แต่เย่หยวนที่เป็นฝ่ายตรงข้ามกับยังคงรักษาท่าทีอันสงบนิ่งและหาได้แยแสต่อพลังแรงกดดันเหล่านั้นเลย


จ้าวอี้แอบตตื่นตระหนกเล็กน้อยภายในใจ เขาไม่สามารถโจมตีเข้าจุดตายตามร่างกายของเย่หยวนได้เลย!


ตามที่คาดการณ์ไว้ไม่มีผิด ความแข็งแกร่งของเด็กคนนี้มิสามารถเปรียบเทียบได้กับเมื่อก่อนแล้วจริงๆ ศึกสัประยุทธ์ครั้งนี้ เขาไม่สามารถประมาทได้เด็ดขาด!


จ้าวอี้ครุ่นคิดกับตัวเองภายในใจ


การที่เข้าก้าวย่างถึงขอบเขตราชันพระเจ้าครึ่งขั้นนี้ทำให้เขาอ่อนไหวต่อความผันผวนของพลังปราณเทวะโดยรอบอย่างมาก


แม้ว่ารัศมีแรงกดดันของเย่หยวนจะอ่อนแอกว่าเขามาก แต่ไม่รู้ว่าเหตุใด ไฉนเย่หยวนถึงส่งกลิ่นอายภัยอันตรายแก่เขาได้มากขนาดนี้


ความรู้สึกเช่นนี้มันแปลกมาก!


“เพลงทวนสุริยันผลาญ!”


ในที่สุดจ้าวอี้ก็สำแดงเดชไม่คิดรั้นรอนฝีมืออันใดอีกต่อไป


แต่เขาก็ตระหนักดีว่าการที่ตัวเองต้องเอาจริงขนาดนี้กลับเด็กคนหนึ่ง มันเท่ากับว่าตัวเขาพ่ายแพ้ลงไปแล้ว


เพราะสุดท้ายนี้เขาก็ไม่สามารถเสาะหาจุดอ่อนของเย่หยวนได้เจอเลย!


แต่ทันทีทันใดห้วงอากาศโดยรอบพลันแตกสลายเป็ยเสี่ยงในพริบตา!


ณ เวลานี้ เย่หยวนเริ่มเคลื่อนไหวบ้างแล้ว! สายตาการจับจ้องของจ้าวอี้ดูจริงจังขึ้นถนัดตา กระบวนเคลื่อนไหวของเย่หยวนเริ่มพร่ามัวขึ้นในสายตาของเขา


นี่…นี่เขาเห็นผิดไปหรือเปล่า!


เดี๋ยวก่อน!


เขาซึ่งเป็นถึงยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าครึ่งขั้นจะมาตามความเร็วของอีกฝ่ายไม่ทันได้อย่างไร?


ทันใดนั้นเอง พลังปรากฏเสียงระฆังแห่งความตายแจ้งเตือนหายนะขึ้นกลางใจจ้าวอี้!


สังหรณ์ใจสุดแสนอันตรายครั้นใหญ่หลวงถาโถมเข้ามาสู่จิตใจไม่หยุดหย่อน เสมือนคมดาบเล่มนี้ที่พวยพุ่งผ่านห้วงมิติอันว่างเปล่าฉีกทุกกฎธรรมชาติพร้อมกระซวกร่างของเขา!


จ้าวอี้ตื่นตะลึงยิ่งยวด โดยสัญชาตญาณดิบ เขารีบยกทวนขึ้นป้องกันในทันใด


เกร๊งงง!


ทั้งสองตีฝีเท้าแยกห่างออกไปทันทีคล้อยหลังการปะทะ


จ้าวอี้กดสายตาจับจ้องเย่หยวนเขม็ง ราวกับว่านี่มิใช่ความจริง


“เจ้า…เจ้าบรรลุแนวคิดแห่งห้วงมิติแล้วจริงๆ!”


ความตื่นตะลึงนี้เกินขอบเขตความสามัญสำนึกของจ้าวอี้ไปไกลโขแล้ว นั้นเป็นแนวคิดแห่งห้วงมิติ หนึ่งในสองแนวคิดในตำนาน!


เขาที่ทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าครึ่งขั้น ยังไม่สามารถทำความเข้าใจต่อแนวคิดแห่งห้วงมิติได้เลยสักนิด ที่เขาสามารถหยิบยืมเศษเสี้ยวพลังแห่งห้วงมิติมาได้ ทั้งหมดเป็นเพราะพลังปฐพี


กระบวนดาบก่อนหน้าเป็นที่ชัดเจนว่ามีแนวคิดแห่งห้วงมิติหลอมรวมอยู่ด้วยจริงๆ!


เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า


“นี่หรือคือความแข็งแกร่งของยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าครึ่งขั้น? อ่อนแอสิ้นดี! เตรียมรับกระบวน!”


สิ้นเสียงเย่หยวน ร่างของเขาอันตรธานหายวับลับสายตาไปทันที


เพลงดาบเมฆาลับแล!


จ้าวอี้ตื่นตูมตกใจยิ่งและรีบยกทวนขึ้นเตรียมเผชิญพบศัตรู


ทันทีที่ทราบว่าเย่หยวนเข้าใจแนวคิดแห่งห้วงมิติแล้ว เขาก็ไม่กล้าเคลื่อนไหวสุ่มสี่สุ่มห้าอีกต่อไป


เพียงเสี้ยวพริบตาที่ประมาท คมดาบของเย่หยวนอาจคร่าชีวิตของเขาได้ทุกเมื่อ


ในเวลานั้นเอง พลันปรากฏอีกสองร่างพุ่งตรงเข้ามาเป็นกำลังเสริม


“ฮ่าๆๆๆ จ้าวอี้ เจ้านี่มันไร้ประโยชน์สิ้นดี! กับอีแค่เด็กน้อยอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าชั้นกลางยังจัดการไม่ได้!”


เมื่อฉินจ้าวหยุนเห็นว่าจ้าวอี้ไม่สามารถเอาชนะเย่หยวนได้เสียที หลังจากสัประยุทธ์กันมาเป็นยเวลานาน ในที่สุดเขาจึงรีบตรงมาสมทบและหัวเราะเยาะใส่


ตอนที่ 1569 เสียหน้าครั้งใหญ่

โดย

Ink Stone_Fantasy

แม้ว่าฉินจ้าวหยุนจะเอ่ยปากล้อเลียนเย้ยหยั่นจ้าวอี้ ทว่าเบื้องลึกภายในใจกลับรู้สึกตื่นตกใจเหลือเชื่อเช่นกัน


สิ่งแรกสุดที่เขาตกใจคือ ความเร็วในการบ่มเพาะพลังของเย่หยวน สิ่งต่อมาคือเย่หยวนที่สามารถต่อกรกับจ้าวอี้ได้อย่างสูสีนัก ทั้งๆที่เป็นแค่เซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าชั้นกลาง


“หุบปาก! ไอ้เด็กเหลือขอนี่เข้าใจแนวคิดแห่งห้วงมิติ! หาใช่เรื่องง่ายจักรับมือ รีบมาช่วยได้แล้ว!”


จ้าวอี้ตะโกนโต้สวนกลับไปทันที


ฉินจ้าวหยุนและอีกคนที่มาด้วยอย่างเหวินอี้หยางต่างกายาสั่นสะท้าน พลางสบตากันเล็กน้อยส่องสะท้อนเผยความประหลาดใจยิ่งยวด


แนวคิดแห่งห้วงมิติ…สุดยอดแนวคิดในตำนาน!


เด็กคนนี้สามารถบรรลุมันได้อย่างไร?!


“ไอ้เด็กเหลือขอ! อย่าอาละวาดจองหองนัก! วันนี้เจ้าเหวี่ยงตัวเองเข้าตาข่าย มีหรือจะหลบหนีออกไปได้อีก!”


ฉินจ้าวเทียนคำรามลั่นพร้อมปลงใจเข้าร่วมศึกสัประยุทธ์เสริมทันที


ร่องรอยความประหลาดใจเผยปรากฏผ่านคู่ดวงตาของเหวินอี้หยาง แต่ท้ายที่สุดเขายังคงตัดสินใจเลือกที่จะต่อสู้กับเย่หยวน


คลื่นพลังแนวคิดแพร่กระจายไปทั่วทุกแห่งหน บ้านเมืองโดยรอบวินาศกลายเป็นฝุ่นผง


ยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าเข้าประจัญบานสามคนพร้อมเพรียง ขุมพลังทำลายล้างที่ระเบิดคลั่งออกมาจักน่ากลัวปานใด?


เย่หยวนดูบอบบางเกินกว่าจะยืนหยัดต่อสู้ต่อไปภายใต้สามยอดเซียนผู้ยิ่งใหญ่


ทว่าเขายังคงยืนหยัดได้ไม่มีล้มสุดแสนจะมั่นคงยิ่ง!


ในทางตรงข้าม ภายใต้คมดาบนี้ของเย่หยวนกลับไล่ต้อนพวกเขาทั้งสามจนเดือดดาลเข้าไปทุกที


ทั้งสองฝ่ายต่างทำอันตรายกันมิได้เลย!


เย่หยวนยังคงฝีมือแสนวิปลาสดังเดิม!


“นี่…นี่กลับไม่แปลกใจเลยที่เขากล้าหยิ่งผยองปานนี้! ความแข็งแกร่งของเย่หยวนน่าสะพรึงเกินไปจริงๆ!”


“แนวคิดแห่งห้วงมิติถือเป็นแนวคิดระดับสูงสุด แม้แต่ยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้ายังไม่สามารถเข้าใจได้โดยง่าย ทว่าเด็กนี่ที่เป็นเพียงบรรพชนพระเจ้ากลับสามารถบรรลุได้แล้ว!”


“ช่วงเวลายี่สิบปีสั้นๆ ความแข็งแกร่งของเย่หยวนสามารถเทียบชั้นได้กับยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าแล้วจริงๆ ช่างน่าทึ่งโดยแท้!”


“หากเขาไม่ถูกไล่ออกไปจากเมืองหลวงหวู่เมิงในปีนั้น ปานนี้เมืองหลวงหวูเมิงคงเป็นที่เชิดหน้าชูตาของเมืองอื่นๆไปแล้ว!”



ร่างไสวเย่หยวนเคลื่อนผ่านไปมาระหว่างทั้งสามทับซ้อนแสนคล่องแคล่ว และไม่มีทีท่าว่าจะพลาดท่าถูกปราบปรามแม้แต่น้อย


หนิงซื่ออวี๋เฝ้ามองศึกสัประยุทธ์นี้ภายในโรงเตี๊ยมเฟิงหลาน และเอ่ยอุทานด้วยความตกใจยิ่ง


“ปรากฏว่า ศาสตร์แห่งการต่อสู้ของท่านปรมาจารย์เย่เองก็น่าเกรงขามอย่างยิ่ง! ไม่น่าแปลกใจว่าไฉนข้าถึงไม่สามารถขัดขืนอะไรเขาได้เลยในยามนั้น! ข้าจนปัญญาเสีย จักต้องบ่มเพาะพลังฝึกปรืออีท่าไหนถึงจะได้แบบนั้น ทั้งๆที่อายุน้อยกว่าข้า แต่กลับแข็งแกร่งกว่าข้าแล้ว!”


เจ้าท้วมเอ่ยกล่าวขึ้นว่า


“เย่หยวนคนนี้มิสามารถประเมินได้ด้วยสามัญสำนึก ไม่ว่าอัจฉริยะหน้าไหนล้วนถูกบดขยี้เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา”


หนิงซื่ออวี๋ไม่มีท่าทีกล่าวหักล้างใดๆ สำหรับวาจาประโยคนี้ของเจ้าท้วม นางเองก็ไม่มีข้อคัดค้าน


แม้แต่ท่านอาจารย์ของนางยังเรียกเย่หยวนว่าปรมาจารย์เย่ ทัศนคติของท่านอาจารย์ที่มีต่อเย่หยวนคงไม่จำต้องกล่าวบรรยายใดๆอีก


ผู้ใดได้ยินตต่างหวาดกลัวไปทั่วทั้งมุมเมือง!


ในตอนนี้ร่างของเย่หยวนปราดถอยห่างออกมากะทันหัน ตีฝีมือสร้างระยะห่างออกจากทั้งสาม


ซึ่งเย่หยวนก็สามารถตีฝ่าออกมาได้อย่างไม่ยากไม่เย็นอันใด


ยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าทั้งสามกลับไม่สามารถจับตัวเย่หยวนได้ทันแม้นสักคน


ยามนี้พวกเขาทั้งสามต่างจับจ้องเย่หยวนเผยแววครั้นคร้ามอย่างหาที่เปรียบไม่


“ข้าผู้นี้ขี้เกียจเล่นกับพวกเจ้าแล้ว อย่างไรก็ตาม…ชีวิตของฉินจ้าวหยุน วันนี้ข้าขอรับไป!”


เย่หยวนกล่าวเสียงเย็นไม่แยแสอันใด ราวกับบทสนทนาทั่วไปประจำวัน


แต่ทันทีทันใด กลิ่นอายราชาเหนือสรรพชีวิตพลันครอบคลุมทั่วแผ่นฟ้าในบัดดล ปรากฏร่างของฉินเซียวยืนค้างกลางห้วงแห่งความว่างเปล่า


เขาปรับขนาดสายตาจับจ้องเย่หยวนพร้อมท่าทีลำพอง


ฉินจ้าวหยุนที่เห็นว่าฉินเซียวปรากฏตัวขึ้นมา จากที่ใจหายใจคว่ำยามนี้กลับมาเป็นปกติสุขดังเดิม


“ไอ้เด็กเหลือขอ วันนี้ไม่มีใครช่วยเจ้าได้อีกแล้ว!”


ฉินเซียวเหลือบมองเย่หยวนพลางระเบิดหัวเราะกับตัวเอง กล่าวว่า


“ข้าไม่รู้จริงๆว่าเจ้าไปเอาความกล้าหาญปานนี้มาจากที่ใด ถึงกล้ากลับมายังเมืองหลวงหวูเมิ่งจริงๆ! ไหนเจ้ามีอะไรดีขึ้นบ้าง!”


ในอีกด้าน สีหน้าท่าทีของเย่หยวนยังคงสงบเยือกเย็นไม่แปรเปลี่ยน


หากย้อนกลับไป ฉินเซียวนับเป็นยอดเซียนอาณาจักรพระเจ้าขนานแท้เพียงหนึ่งเดียวแห่งเมืองหลวงหวู่เมิ่ง


แต่ตอนนีเย่หยวนยังมีซวนอี้ที่เป็นถึงยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าเก้าดาวอยู่ข้างกาย ฉินเซียวตัวน้อยนับว่าอ่อนแอเกินให้ค่า


เย่หยวนเก็บดาบลงพร้อมยกสองมือไพล่หลังแสดงท่าทีสุดองอาจ และกล่าวอย่างใจเย็นว่า


“ผ่อนคลาย เดี๋ยวเจ้าก็จะได้เห็นเอง”


ด้วยความแข็งแกร่งของฉินเซียว ไฉนเย่หยวนถึงดูไม่ตกใจเลยล่ะ?


เขาเอ่ยกล่าวประดับยิ้มบางว่า


“ไม่ว่าเจ้าจะมีไพ่ตายอันใดเก็บซ่อนอยู่ ทว่าต่อหน้ายอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าอย่างข้า สรรพชีวิตล้วนไม่ต่างจากขยะ!”


ในขณะที่เอ่ยกล่าวนั้นเอง รัศมีแรงกดดันของฉินเซียวก็โหมทวีเพิ่มพูนขึ้นอย่างต่อเนื่อง หาที่เปรียบไม่ เข้าปกคลุมถนนหลากหลายสายจนเหล่าฝูงชนแทบหายใจหายคอไม่ออก


“ราชันพระเจ้าสองดาว!”


สีหน้าการแสดงออกของเหวินอี้หยางแปรเปลี่ยนไปทันใด


สีหน้าของฉินจ้าวหยุนเผยความปิติยินดียิ่ง ขณะกล่าวขึ้นว่า


“ฮ่าๆๆ ขอแสดงความยินดีด้วยกับท่านเจ้าเมืองที่เลื่อนระดับชั้นได้สำเร็จ!”


ยิ่งความแกร่งกล้าของฉินเซียวเพิ่มทวีมากเท่าไหร่ นี่ก็ยิ่งเป็นข่าวดีสำหรับตระกูลฉินมากขึ้นเท่านั้น


แต่เมื่อเย่หยวนพบเห็นภาพฉากนี้ เขาก็คลี่ยิ้มแทนกล่าวว่า


“เจ้ากำลังแสดงพลังให้ข้ารับชมกระมัง? มีหรือจะไม่ทราบ ที่เจ้าประสบความสำเร็จขนาดนี้เป็นเพราะโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่เม็ดนั้นที่ข้าหามาให้?”


จากนั้นทุกคนต่างเริ่มตระหนักได้ถึงงานชุมนุมร้อยเมืองในปีนั้นได้ทันที


งานประลองแข่นขันที่เหล่าอัจฉริยะรวมตัวกัน มีเพียงออันดับหนึ่งเท่านั้นที่จะได้รับโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่ได้ เห็นได้ชัดว่าความดีความชอบครั้งนี้เป็นของเย่หยวนอย่างไม่ต้องสงสัย


คำกล่าวของเย่หยวนต่างทำให้เหล่าฝูงชนนึกออกในทันเ


แต่แน่นอนว่าพวกเขาไม่กล้าพูดออกไปเช่นกัน ขุมพลังแห่งอาณาจักรราชันพระเจ้าน่ากลัวเกินไป พวกเขาหรือจะกล้าวิพากษ์วิจารณ์ท่านเจ้าเมือง?


แต่ภายในใจต่างสบถด่าท่านเจ้าเมืองไม่มีหยุดหย่อน


กล่าวกันตามความเป็นจริง อาศัยแค่ความแข็งแกร่งของเหล่าอัจฉริยะในเมืองหลวงหวูเมิ่ง ไม่มีทางคว้าอันดับหนึ่งของงานชุมนุมร้อยเมืองมาได้แน่นอน


อย่างไรก็ตาม เย่หยวนคือคนช่วยสานฝันนี้ให้เป็นจริง


ที่ฉินเซียวทะลวงขึ้นเป็นราชันพระเจ้าสองดาวได้ ทั้งหมดต้องยกความดีความชอบให้แก่เย่หยวน!


ดังนั้นแล้วการที่มาทำร้ายผู้มีบุญคุณเช่นนี้ กลับไม่ไร้ยางอายได้อย่างไร?


สีหน้าการแสดงออกของฉินเซียวแปรเปลี่ยนไปทันที เขากล่าวน้ำเสียงไร้เยื้อใยว่า


“โอสถเป็นแค่ของนอกกาย หากต้องการเลื่อนระดับชั้น ยังต้องอาศัยความสามารถของตนเอง! โอสถเป็นเพียงลายดอกปักทอที่เติมแต่งเข้ามาเท่านั้น!”


เย่หยวนกล่าวตอบพร้อมรอยยิ้มที่มิใช่รอยยิ้มว่า


“เช่นนั้นรึ? โอสถราชันจุติช่วยเพิ่มโอกาสเลื่อนระดับชั้นได้กว่าสามในสิบส่วน อาศัยดวงของเจ้าและเศษเสี้ยวความสามารถอีดนิดหน่อยก็สามารถทะลวงฝ่าขึ้นมาได้ไม่ยากเย็น ในทางตรงกันข้าม หากเจ้าไม่มีโอสถราชันจุติ อาศัยแค่ความสามารถของเจ้า มีหรือจะเลื่อนระดับชั้นได้?”


ประโยคนี้เพียงประโยคเดียวของเย่หยวน ทำเอาทุกคนร้องอุทานด้วยความตกใจยิ่ง


โอสถที่ช่วยพัฒนาความแข็งแกร่งของเหล่ายอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้า หาใช่โอสถระดับชั้นสามัญชนไม่


หากให้เปรียบเทียบโอสถเม็ดนี้กับบรรดาโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่ทั้งหมด นี่นับว่าเป็นโอสถที่มีราคาแพงเกือบที่สุด


ขึ้นชื่อว่าเป็นโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่ ราคาอย่างต่ำสุดก็มีมูลค่ามากกว่าหนึ่งร้อยล้านผลึกปราณเทวะแล้ว


กล่าวได้ว่า ต่อให้ฉินเซียวนำทรัพย์สินทั้งหมดที่ตนเองมีออกมา ก็ไม่สามารถซื้อโอสถราชันจุติได้อยู่ดี


เย่หยวนที่เผยความลับนี้ออกมาต่อหน้าสาธารณชน นับว่าฉินเซียวเสียหน้าครั้งใหญ่!


น้ำเสียงเย็นชืดเจือผสมไปด้วยความโกรธจัดและอัยอายยิ่ง เขากล่าวว่า


“ไม่ว่าเจ้าจะปากดีแค่ไหน แต่วันนี้ก็มิอาจรอดชีวิตหนีไปได้เป็นคำรบสอง! ข้าขอดูเสียหน่อยว่า ไฉนเจ้าถึงหาญกล้าปานนี้!”


เมื่อกล่าวจบฉินเทียนก็ชี้นิ้วไปทางเย่หยวนโดยตรง พลังปฐพีสุดแกร่งกล้าปราดพุ่งทะลวงฉีดผ่านห้วงอากาศยิงเข้าใส่เย่หยวนไร้ปรานี!


คลื่นลมและเมฆาถึงกับเปลี่ยนสี!


อย่างไรก็ตาม เย่หยวนยังคงยืนนิ่งพร้อมสองมือไขว้หลังจับจ้องฉินเซียวด้วยรอยยิ้ม คล้ายว่าไม่มีเจตนาเลี่ยงหลบแม้แต่น้อย


ในเวลานั้นเอง แผ่นฟ้าสั่นสะท้านไม่หยุดหย่อน ปรากฏร่างหนึ่งเข้าขวางตรงหน้าเย่หยวน


เพียงเท่านั้น…เพียงแค่สะบัดชายเสื้อเล็กน้อย มหาคลื่นพลังปฐพีสุดวิลาสพลันซัดพลังของฉินเซียวจนแตกสลายเป็นเสี่ยงในพริบตา


ช่างเป็นพลังปฐพีที่เหนือชั้นกว่าฉินเซียวไม่รู้กี่ร้อยเท่า!


พลังดัชนีควบผสานพลังปฐพีของฉินเซียวถูกทำลายสิ้นในเสี้ยวพริบตาจริงๆ!


ตอนที่ 1570 ผู้อาวุโสเย่

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ผ-ผู้พิทักษ์หลินตง!”


ยอดเซียนท่านหนึ่งเผยปรากฏตัวออกมา ทำเอาฉินเซียวสั่นสะท้านไปทั่วร่าง


ฉินเซียวจำได้อย่างแม่นยำ นี่คือหลินตงผู้พิทักษ์ชั้นสูงแห่งหอยุทธ์!


ในหอยุทธ์มีเพียงยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าสามดาวขึ้นไปเท่านั้น ถึงจะมีคุณสมบัติเรียกขานตัวเองว่าเป็นผู้พิทักษ์ชั้นสูง


แล้วเหตุใดเขาผู้นี้ถึงมาอยู่ที่นี่ได้? มาช่วยเย่หยวน?


เวลาต่อมา ประโยคสนทนาถัดจากนี้กลับยิ่งทำให้ฉินเซียวตื่นตะลึงยิ่งกว่าเดิม


หลินตงโค้คำนับให้เย่หยวนแสดงความนอบน้อมและกล่าวขึ้นอย่างสุภาพขึ้นว่า


“ผู้อาวุโสเย่ เราผู้ใต้บัญชามาช่วยเหลือท่านล่าช้า ผู้อาวุโสเย่โปรดลงโทษด้วย!”


เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า


“ผู้พิทักษ์หลินไม่จำเป็นต้องสุภาพปานนี้ เจ้ามาทันเวลาแล้วเห็นใดต้องลงโทษกัน?”


หลินตงกล่าวตอบว่า


“ขอบพระคุณผู้อาวุโสเย่!”


เย่หยวนพยักหน้าและกล่าวว่า


“รบกวนผู้พิทักษ์หลินแล้ว”


“ผ-ผู้อาวุโสเย่?”


เมื่อได้ฟังการสนทนาของทั้งสอง สมองของฉินเซียวราวกับรวนบกพร่องชั่วขณะ ไม่สามารถฟื้นสติขึ้นได้ไปครู่ใหญ่


ผู้อาวุโสเย่?


อะไรคือ…ผู้อาวุโสเย่?


นอกจากนี้ผู้พิทักษ์หลินยังเป็นยอดเซียนราชันพระเจ้าสามดาว การดำรงอยู่ของเขานับว่าไร้เทียมทานใต้แผ่นฟ้าแห่งนี้ แต่ตอนนี้…เขากลับเรียกขานเย่หยวนว่าผู้อาวุโสเย่ด้วยความเคารพยิ่ง?


นี่…นี่เกิดบ้าอะไรขึ้นกันแน่?


“เอ่อ…นี่เกิดอะไรขึ้น? นั้นคือยอดเซียนราชันพระเจ้าอีกคนหนึ่งใช่ไหม? ไฉนเขาถึงดูเคารพเย่หยวนขนาดนั้น?”


“ผู้อาวุโสเย่? เย่หยวนไปเป็นผู้อาวุโสของกลุ่มอิทธิพลใดหรือกระมัง?”


“ข้าก็ไม่รู้ แต่ดูเหมือนว่า…สถานะศักดิ์ของเย่หยวนในปัจจุบันยังไม่ใช่ธรรมดา!”



เหล่าฝูงชนทั้งหมดในเมืองต่างตกอยู่ในสภาพไม่ต่างจากฉินเซียวเลย ยามนี้ต่างคาดเดาไปต่างๆนาๆถึงตัวตนของเย่หยวนในปัจจุบัน


แต่อย่างไร ระดับชั้นของพวกเขาอยู่ห่างจากเมืองจักรพรรดิเกินไป พวกเขาไม่รู้โดยสิ้นเชิงว่า ผู้อาวุโสเย่ ที่อีดฝ่ายว่ากล่าวหมายถึงอะไรกันแน่


เพื่อที่จะชักนำขุมพลังอาณาจักรราชันพระเจ้าให้มาพิทักษ์ปกป้องได้ แถมยังแข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าท่านเจ้าเมือง นี่หาใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะทำได้!


แต่พวกเขาไม่รู้เลยว่า ฉินเซียวในตอนนี้หวาดกลัวปานใด


ผู้พิทักษ์หลินตงแห่งหอยุทธ์ หากเรียกเย่หยวนว่าเป็นผู้อาวุโส นั้นยังมีความหมายใดอื่นอีกนอกจากว่า เย่หยวนจะเป็นผู้อาวุโสแห่งหอยุทธ์?


 แต่…เย่หยวนกลายมาเป็นผู้อาวุโสของหอยุทธ์ได้อย่างไร?


ฉินเซียวนาทีนี้รู้สึกกระวนกระวายใจเกินพรรณนา เด็กน้อยอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าขึ้นกลายมาเป็นผู้อาวุโสในหอยุทธ์ได้ นี่มันไม่ขันเกินไปหน่อยรึ?


อย่างไรก็ตาม นี่กลับไม่ตลกเอาเสียเลย!


ทัศนคติของหลินตงที่มีต่อเย่หยวนมันมากเพียงพอแล้วที่จะอธิบายทุกอย่าง


แม้ว่านี่จะเป็นเพียงการแสดงละครฉากหนึ่ง แต่ความจริงข้อหนึ่งที่ไม่สามารถปฏิเสธได้คือ ข้างกายเย่หยวนมียอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าสามดาวคอยปกป้องอยู่!


บัดซบ! บอกข้าทีว่านี่คือฝันไป!


ฉินเซียวเริ่มตะโกนร้องคร่ำครวญอยู่ภายในใจ ภาพฉากตรงหน้าเขาไม่อยากเชื่อเลยสักนิดว่านี่คือความจริง


“ฉินเซียว เจ้ากล้าทำร้ายร่างกายผู้อาวุโสแห่งหอโอสถที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งขึ้นมางั้นรึ? ไฉนเจ้ายังไม่คุกเข่าขอโทษอีก!”


เสียงของหลินตงกึกก้องกังวาลลั่นเสมือนระฆังยักษ์สั่นกระเพือม แรงกดดันที่ซ่อนแฝงออกมาแทบทำเอาร่างของฉินเซียวแตกเป็นเดดสี่ยงๆ


สีหน้าแสนตื่นตระหนกพลันปรากฏทั่วใบหน้าของฉินเซียว เหงื่อเย็นแตกพลักทั่วบนหน้าผาก เขากล่าวขึ้นด้วยความไม่เชื่อขึ้นว่า


“เป็นไปไม่ได้! นี่ต้องเป็นไปไม่ได้แน่นอน! เขา…เขาเป็นแค่เด็กน้อยอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าเท่านั้น แล้วจะกลายมาเป็นผู้อาวุโสแห่งหอโอสถได้อย่างไร? ท-ท่านผู้พิทักษ์หลิน นี่…นี่อำข้าเล่นเกินไปแล้ว!”


หลินตงขมวดคิ้ว เอ่ยเสียงเยียบเย็นดังว่า


“เสียมารยาท! เจ้ากล้าตั้งคำถามกับการตัดสินใจของหอโอสถงั้นรึ?!”


ฉินเซียวสำลักไปทันที เร่งโบกมือปัดกล่าวว่า


“ข-ข้า…ไม่…เขา แต่..เขาเป็นเพียงเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าเท่านั้น!”


หลิงตงตะคอดเสียงเย็นใส่และกล่าวว่า


“หึ! ศาสตร์แห่งโอสถของผู้อาวุโสเย่ช่างน่าอัศจรรย์เกินพรรณนา! น้ำหน้าอย่างเจ้าไม่มีทางคาดถึงได้เลย! แม้ว่าท่านจะอยู่ในอาณาจักรบรรพชนพระเจ้า แต่ความแกร่งกล้าในด้านโอสถ แม้แต่ท่านผู้อาวุโสรองยังเอ่ยปากชื่นชมไม่หยุดหย่อน!”


“ผ-ผู้อาวุโสรอง!?”


ในเวลานั้นเอง ดวงตาคู่นั้นของฉินเซียวก็เปี่ยมล้นไปด้วยความหวาดกลัวและวิตกยิ่ง ร่องรอยอันหยิ่งผยองสูงศักดิ์ ยามนี่กลับอันตรธานหายวับราวกับสิ้นฤทธิ์ไปแล้ว


แขนขาของเขาอ่อนนุ่มแทบลมจับล้มทั้งยืน


ผู้อาวุโสรองแห่งหอโอสถ นับเป็นการดำรงอยู่เสมือนกับเทพเจ้า


แม้แต่ผู้อาวุโสรองยังเอ่ยปากชื่มชมไม่หยุดหย่อนงั้นรึ?


ฉินเซียวไม่สามารถจินตนาการได้จริงๆ!


ในเวลานั้นเอง เย่หยวนก็หยิบเหรียญตราสีมองทองออกมาช้าๆ เหรียญนั้นทำมาจากโลหิตอุกกาบาตเปล่งประกายสีม่วงทองระยิบระยับ


ทันทีที่หยิบเหรียญตรานี้ออกมารัศมีแรงกดดันสุดน่าสะพรึงก็ระเบิดคลั่งออกมาทันที แท้จริงแล้วเหรียญตราอันนี้เป็นถึงสมบัติราชันพระเจ้าเลิศล้ำ!


พึบ!


ในท้ายที่สุดคู่ขาของฉินเซียวก็อ่อนยวบจนไม่สามารถพยุงร่างได้อีกต่อไป เขาคุกเข่าลงต่อหน้าเย่หยวนด้วยความสิ้นหวังสุดหัวใจ


“เหรียญ…เหรียญตราจรัสม่วงมอง!”


ฉิยเซียวเอ่ยพึมพำวนไปมา


เหรียญตราตรัสม่วงทองเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวของผู้อาวุในหอยุทธและหอโอสถ มันเป็นสมบัติราชันพระเจ้าเลิศล้ำ และไม่มีผู้ใดสามารถปลอมแปลงมันได้


เมื่อเย่หยวนเผยเหรียญตราจรัสม่วงทองออกมาเช่นนี้ ตัวตนของเขาในฐานะผู้อาวุโสของหอโอสถก็ถือว่าได้รับการยืนยันแล้วเช่นกัน


ภายในหัวของฉินเซียวยุ่งเหยิงสับสนไปหมด เสมือนวันนี้ท้องฟ้ากำลังถล่มลงมา


เขาจะทำอย่างไรดี?


นี่เขากลายมาเป็นศัตรูกับผู้อาวุโสแห่งหอโอสถตั้งแต่เมื่อใด?


สิ่งหนึ่งไม่ควรมองว่า ฉินเซียวเป็นถึงขุมพลังอาณาจักรราชันพระเจ้า เพราะในความเป็นจริง ต่อหน้าหอยุทธ์และหอโอสถ เขาไม่มีคุณสมบัติเป็นได้แม้แต่ยามเฝ้าประตูด้วยซ้ำ!


ในขณะที่อีกฝ่ายเป็นถึงระดับชั้นผู้อาวุโส!


ระหว่างพวกเขามิได้ยืนอยู่ในระดับชั้นเดียวกันเลย!


สำหรับผู้อาวุโสของหอโอสถ หากพวกเขามีประสงค์ที่อยากฆ่าใครสักคนกลับทำได้ง่ายดายราวกับบี้มดปลวก


ฉินเซียวจะไปนึกไปฝันได้อย่างไรว่า เพียงยี่สิบปีที่มิได้เจอหน้า เย่หยวนจะกลายมาเป็นผู้อาวุโสแห่งหอโอสถเสียแล้ว?


เรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ เพิ่งผ่านมาได้ในช่วงเดือนที่ผ่านมา


เมืองหลวงหวูเมิ่งที่อยู่ห่างไกลจากเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์เช่นนี้จะไปทราบข่าวได้อย่างไร กระทั้งฉินเซียวยังไม่มีสิทธิ์แทรกแซงเข้าไปสืบข่าวได้โดยง่าย


แม้ว่าเขาจะรู้ตัวแล้วว่าตนไม่สามารถทำอะไรเย่หยวนได้อรดต่อไป แต่ต่อหน้าสาธารณะชนเช่นนี้…


ทันทีที่เย่หยวนเปิดเผยตัวตนออกมา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสถานะของฉินเซียวจะเปลี่ยนไปทันทีจากหน้ามือเป็นหลังเท้า


สำหรับตระกูลฉินแล้ว นี่เทียบเท่ากับการตีระฆังงานศพให้ตัวเองชัดๆ


ติ้งง..ติ้งง…


ทันทีทันใด กลิ่นปัสสาวะเหม็นก็ฟุ้งกระจายออกไปทั่วทั้งบริเวณ


ฉินเซียวยังพอทำเนา แต่ฉินจ้าวหยุนที่อยู่ข้างๆกลับน่าอนาถใจกว่านัก เขากลัวถึงขั้นฉี่แตกรดกางเกงต่อหน้าทุกคน!


เห็นได้ชัดว่าเขาย่อมทราบดีว่าผู้อาวุโสแห่งหอโอสถมันหมายความว่าอย่างไร


ต่อหน้าผู้อาวุโสแห่งหอโอสถ ตระกูลฉินก็แค่มดตัวหนึ่ง


ในคราแรก เมื่อเห็นว่าฉินเซียวปรากฏตัวออกมา ฉินจ้าวหยุนก็พลันโล่งใจคิดว่าภารกิจอันแสนยาวนานของตระกูลฉินสุดท้ายก็ปิดฉากลงเสียที!


แต่ใครจะไปคิดว่านี่…จะเป็นการปิดฉากตระกูลฉินเสียแทน!


หลินตงขมวดคิ้วเข้มเหลือบมองฉินจ้าวหยุนด้วยสายตาแสนรังเกียจ


ชายชราคนนี้ช่างหน้าขายหน้าเสียจริง


เย่หยวนจับจ้องฉินเซียวเขม็ง กล่าวเสียงชืดเย็นขึ้นว่า


“หากย้อนกลับไป เจ้าเคยกล่าวไว้ว่า ตัวเจ้ามีอำนาจที่จะเปลี่ยนแปลงเมืองหลวงแห่งนี้ หากข้าต้องการให้เจ้าตาย เจ้าก็ต้องตาย! ประโยคนี้เพราะเจ่าเลยแท้ๆ ได้สร้างแรงบันดาลใจให้ข้าต้องแข็งแกร่งขึ้น! น่าเสียดาย เจ้าทำให้ข้าไต่เต้ามาถึงขั้นนี้ได้แล้วจริงๆ!”


ฉินเซียวปากค้าง แต่กลับพูดอะไรไม่ออกสักคำ


ภายในใจยามนี้เปี่ยมล้นไปด้วยความขมขื่นใจยิ่ง


ประโยคนี้กลับเอ่ยลั่นออกมาจากปากเย่หยวนเสียเอง! ช่างน่าขันเกินไปแล้ว!


ยี่สิบปีก่อน เย่หยวนเป็นเพียงมดปลวกตัวหนึ่งในสายตาของเขาเท่านั้น


เขาไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลอะไรด้วยซ้ำก็สามารถบดขยี้เย่หยวนได้อย่างง่ายดาย


แต่ตอนนี้เย่หยวนกลับกลายมาเป็นการดำรงอยู่ที่แม้แต่เขายังทำได้เพียงเงยหน้ามองเท่านั้น!


สถานะระหว่างทั้งสองกล่าวได้ว่าสลับขั้วกันครั้งใหญ่!


“ข้า…ข้ายอมไม่ได้! แม้เจ้าจะเป็นผู้อาวุโสแห่งหอโอสถ แต่…แต่เจ้าก็ไม่สามารถตัดสินชีวิตของข้าได้ตามต้องกาย! อย่างน้อยที่สุดข้าเองก็เป็นคนของหอยุทธ์เช่นกัน!”


ฉินเซียวยังคงมีความหวังสุดท้ายพร้อมเอ่ยกล่าวออกไป


เย่หยวนจับจ้องอีกฝ่ายด้วยสายตาแสนน่าสงสาร พลางเอ่ยกล่าวขึ้นว่า


“เจ้าทราบหรือไม่ว่า เหตุใดข้าถึงกล้าปรากฏตัวขึ้นในเมืองนี้ด้วยท่าทีแสนหยิ่งผยองนัก? ฉินเซียว ต่อหน้านายน้อยผู้นี้เจ้าไม่มีโอกาสแม้แต่จะหนีด้วยซ้ำ ผู้พิทักษ์หลินดูแลเขาให้ดี”


“รับทราบ!”


หลินตงตบปากรับสั่งด้วยความเคารพ


ฉินเซียวในยามนี้ไม่เหลือแม้แต่เศษเสี้ยวความหวังอีกต่อไป


เย่หยวนที่เขาเคยกดอีกฝ่ายอยู่ใต้เท้า ยามนี้…กลับเป็นเขาเสียเองที่ถูกอีกฝ่ายบดขยี้ไม่เหลือแม้แต่ทางออก!


ตอนที่ 1571 สรวงสวรรค์แปรเปลี่ยน

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลินตงเอ่ยกล่าวด้วยความสุภาพระมัดระวังคำพูดของตน แต่กระนั้นเขาก็รู้สึกประหลาดใจมากอยู่ดี


เดือนก่อน เย่หยวนส่งเขามายังเมืองหลวงหวูเมิ่งเพื่อมาสืบเรื่องของฉินเซียว


เย่หยวนมีการวางแผนเตรียมการมาก่อนเสมอ ก่อนที่จะลงมือเคลื่อนไหวอะไร


ระหว่างสืบสวนหลิงตงหาได้พบปัญหาอันใดไม่ ทว่าขณะนั้นเองเขากลับแปลกใจครั้งแล้วครั้งเล่า


หลินตงหาได้แปลกใจเพราะความยากง่ายของตัวภารกิจ แต่แปลกใจที่ไฉนเย่หยวนถึงพิถีพิถันเก็บทุกรายละเอียดขนาดนี้ ก่อนลงมือทำสิ่งต่างๆ


กล่าวได้ว่านี่ยิ่งกว่าแผนลอบสังหาร ระหว่างสืบสวนเย่หยวนไม่เคยทิ้งร่องรอยใดให้ฝ่ายตรงข้ามสงสัยเลยสักนิด


ผู้อาวุโสวัยเยาว์ผู้นี้ที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งมา ทั้งเด็ดขาดและมีวุฒิภาวะไม่สอดคล้องกับอายุเลย


หากให้ดูถูกเขาเพียงเพราะอายุน้อยกว่า พวกมันล้วนแต่ต้องประสบกับความสูญเสียครั้งใหญ่!


หลินตงรู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง ผู้อาวุโสเย่ผู้นี้ฉลาดเกินเด็กทั้งยังเป็นคนที่น่ากลัวอย่างยิ่ง


ไม่ว่าจะเป็นศาสตร์แห่งการต่อสู้หรือศาสตร์แห่งโอสถ ล้วนแกร่งกล้าโดดเด่นทั้งคู่ ทั้งยังเป็นคนที่มองผ่านอ่านสถานการณ์เฉียบขาด ไร้ซึ่งจุดอ่อนอย่างแท้จริง!


สำหรับเย่หยวนที่ได้รับการแต่งตั้งจนกลายมาเป็นผู้อาวุโสแห่งหอโอสถได้ นี่หาใช่เรื่องบังเอิญแน่นอน


ในตอนนี้ ความขัดแย้งระหว่างผู้อาวุโสใหญ่กับผู้อาวุโสรองทวีความรุนแรงขึ้นทุกวัน บางทีการปรากฏตัวขึ้นของผู้อาวุโสคนใหม่อาจกลายมาเป็นตัวแปรสำคัญระหว่างศึกของทั้งสอง


“ฉินเซียว เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีกไหม?”


หลินตงเอ่ยเสียงเย็นถามออกไป


“ข้า…ข้า…”


จิตใจของฉินเซียวในยามนี้ถูกบดขยี้จะไม่เหลือดี เขาตระหนักดีว่าชีวิตของตนในตอนนี้มันได้จบลงแล้ว


เย่หยวนกล่าวน้ำเสียงชืดเย็นขึ้นว่า


“ดูเหมือนว่าท่านเจ้าเมืองฉินจะไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ผู้พิทักษ์หลินทำลายจุดตันเถียนให้อีกฝ่ายพิการเดี๋ยวนี้ และนำไปขังที่คุกใต้ดินในตำหนักเจ้าเมือง รอวันไต่สวนในเมืองจักรพรรดิในภายหลัง ส่วนจ้าวอี้ก็เช่นกัน ทำลายจุดตันเถียนให้พิการและโยนเข้าคุกใต้ดินไปเช่นกัน เหวินอี้หยาง เนื่องจากถูกบังคับใช้เป็นเครื่องมือโดยจำนน โทษไม่ถึงความตาย แต่ก็ยากที่จะรอดดพ้นทุกข้อกล่าวหา ปลดเขาออกจากตำแหน่งอาจารย์ใหญ่ของสถานศึกษาหวู่เมิ่งและให้อัสนีคำรนขึ้นรับตำแหน่งแทน ส่วนฉินจ้าวหยุน…ประหารชีวิตทันที!”


เมื่อกล่าวจบถึงประโยคสุดท้าย จิตสังหารของเย่หยวนพลันปะทุเดือดขึ้นทันใด


ทุกคนบนท้องถนนปิดปากเงียบกริบรราวกับจักจั่นกลางฤดูหนาว ยามนี้กำลังตื่นตะลึงกับสง่าราศีดั่งราชาของเย่หยวน


ทุกเขาทราบดีว่า ตระกูลฉินที่ปกครองเมืองหลวงหวูเมิ่งมานับแสนปี ยามนี้ได้จบสิ้นลงแล้ว!


การปฏิวัติครั้งใหญ่ในวันนี้นับเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นอย่างยิ่งเช่นกัน


ฟุบ!


ในเวลานั้นเอง ฉินจ้าวหยุนเร่งเร้าพลังทั้งหมดออกมาและตีฝีเท้าทะยานหนีขึ้นขอบไฟในทันใด


หลินตงรวนหัวเราะอยู่คำหนึ่งและชี้นิ้วออกไปใส่อีกฝ่ายเล็กน้อย


บูมมม!


ฉินจ้าวหยุนยังไม่ทันบินออกไปไกล กลับถูกดัชนีระเบิดร่างเป็นจุณไม่เหลือแม้แต่เศษซาก


ด้วความแข็งแกร่งของฉินจ้าวหยุน เขาหรือจะรอดพ้นจากเงื้อมมือของหลินตงได้?


สีหน้าการแสดงออกของเหวินอี้หยางเผยให้เห็นถึงรอยยิ้มแสนขมขื่นใจ


สำหรับฉินเซียวและจ้าวอี้ สีหน้ามืดมนเปี่ยมล้นความสิ้นหวังสุดหัวใจ


แต่พวกเขาก็ไม่คิดแม้แต่จะต่อต้านเลย


หลินตงผู้นี้แข็งแกร่งเกินไป!


กระทั่งฉินเซียวยังหาใช้คู่มือของหลินตง


“จุจุ ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่า ตำหนักเจ้าเมืองและตระกูลฉินจะมาจบสิ้นลงแบบนี้”


“นี่นับว่าสมควรแล้ว! หลายปีมานี้ตระกูลฉินมันหน้าด้านไร้ยางอายเกินไป! ทำตัวราวกับทรราชในเมืองหลวงหวูเมิ่ง!”


“เย่หยวนคนนี้ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ เพียงยี่สิบปีก็สามารถไต่เต้าจากศิษย์ของสถานศึกษาหวูเมิ่งจนกลายมาเป็นผู้อาวุโสแห่งหอโอสถได้! การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ต่อให้ใช้เวลาเป็นหมื่นปีก็ยังเป็นไปไม่ได้!”


“หากฉินเซียวสำนึกในบุญคุณของเย่หยวนตั้งแต่ตอนนั้น เขาคงไม่มีจุดจบเช่นนี้กระมัง?”



ท่ามกลวงสงครามระหว่างสองฝ่ายนับยี่สิบปี ในที่สุดก็จบลง


ท้ายที่สุดนี้ทุกอย่างจบลงด้วยการกลับมาและบดขยี้ทุกสิ่งของเย่หยวน ทำเอาขากรรไกรทุกคนค้างเติ่งหุบไม่ลง


ทุกคนไม่คิดไม่ฝันเลยว่า การหวนคืนกลับมาครั้งนี้ของเย่หยวนจะมาเหนือเมฆปานนี้!



ภายในตำหนักเจ้าเมือง อัสนีคำรนก้มกราบเย่หยวนลงบนพื้นในทันทีที่เห็น แต่เย่หยวนกลับรีบตรงไปพยุงร่างของเขาขึ้นมาแทนและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า


“ท่านอาจารย์อัสนีคำรน ไม่จำเป็นต้องสุภาพเกินไป ท่านคืออาจารย์ที่ช่วยเหลือในยามคับขันมาโดยตลอด ท่านเปรียบเสมือนพ่อคนที่สองของข้าก็มิปาน อนาคตของสถานศึกษาหวูเมิ่งต้องฝากฝังในมือท่านแล้ว!”


อัสนีคำรนเหงื่อเย็นแตกพลักทั่วทั้งแผ่นหลัง เขากล่าวขึ้นด้วยความเคารพยิ่งว่า


“ท่าน…ท่านผู้อาวุโสเย่…”


“ท่านอาจารย์อัสนีคำรน พวกเราหาใช่คนอื่นคนไกล เรียกข้าว่าเย่หยวนดังเดิมเถอะ”


เย่หยวนยิ้มกล่าว


อัสนีคำรนพยักหน้าและกล่าวว่า


“ผู้อาวุโสเย่ เราอัสนีคำรนไม่สามารถรับภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้!”


เห็นได้ชัดว่าความสัมผัสระหว่างอัสนีคำรนและเย่หยวนหาใช่ในฐานะศิษย์อาจารย์มานานแล้ว


แม้แต่ท่านเจ้าเมืองยังถูกโข้นลงอย่างง่ายดาย เขาย่อมทราบดีถึงสถานะความแตกต่างระหว่างเขากับเย่หยวนในปัจจุบัน ดังนั้นเขาจะกล้าเรียกขานชื่อเย่หยวนหวนๆได้อย่างไร?


นอกจากนี้ ข้างกายเย่หยวนยังมีหลินตงยืนอยู่ นั้นเป็นถึงยอดเซียนราชันพระเจ้าสามดาว!


เย่หยวนยิ้มและมิได้บังคับอีกฝ่ายเช่นกัน เขากล่าวว่า


“ท่านอาจารย์อัสนีคำรนเป็นคนถือสัจจะนำชีวิต จิตใจกว้างใหญ่รักยุติธรรม การที่ท่านขึ้นกลายมาเป็นอาจารย์ใหญ่ของสถานศึกษานับเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว อย่าได้ปฏิเสธอีกต่อไป ข้าทราบดีว่าท่านกำลังกังวลสิ่งใด ทานโอสถเม็ดนี้ และเข้าเก็บตัวสักพักหนึ่ง ไม่นานท่านจะทะลวงขึ้นกลายเป็นยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าครึ่งขั้นในไม่ช้า”


เนื้อตัวของอัสนีคำรนสั่นสะท้านไม่หยุด ดวงตาเบิกกว้างโตเผยแววเหลือเชื่อ


อาณาจักรราชันพระเจ้าครึ่งขั้น!


มีเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าขั้นสุดมากมายมหาศาลเพียงใดที่ต้องการทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรพลังนี้? แต่นี่กลับยากเกินจินตนาการนัก!


แต่ตอนนี้เย่หยวนกลับกล่าววาจาดั่งการันตีแล้วว่า หลังจากกินโอสถเม็ดนี้ อัสนีคำรนจะทะลวงขึ้นได้โดยตรง!


ความตื่นตะลึงของเขามิอาจยิ่งใหญ่ขยายตัวไปมากกว่านี้ได้แล้ว ฝีมือหลอมกลั่นโอสถของเย่หยวนสำเร็จไปถึงขั้นใดแล้วกันแน่?


ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาขึ้นกลายมาเป็นผู้อาวุโสแห่งหอโอสถได้!


แม้แต่จอมเทพโอสถสี่ดาวยังไม่กล้าการันตีว่าจะทำให้อีกฝ่ายทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรราชะนพระเจ้าครึ้งขั้นได้


“นี่…เราอัสนีคำรนซาบซึ้งในความเมตตาของท่านผู้อาวุโสเย่อย่างยิ่งยวด!”


อัสนีคำรนโค้งคำนับให้ด้วยความเคารพยิ่ง


หลังจากนั้นไม่นาน ฉินส่าวก็เดินทางมาหาเช่นกัน


ทันทีที่เข้ามาพบปะเย่หยวน เขาก็เร่งโค้งคำนับให้เย่หยวนอย่างสุดซึ้งพร้อมกล่าวว่า


“ผู้อาวุโสเย่ ข้า…”


“เจ้าคงมาขอร้องให้ช่วยละเว้นตระกูลฉินกระมัง?”


เย่หยวนเอ่ยกล่าวน้ำเสียงเรียบนิ่งออกไป


เมื่อถูกเย่หยวนจับจ้องโดยตรงเช่นนี้ ฉินส่าวรู้สึกราวกับกำลังถูกภูเขาลูกยักษ์บดขยี้ร่างกาย ทำเอาเขาตกใจอย่างหาที่เปรียบไม่


ความเร็วในการบ่มเพาะพลังของเขานับว่าเร็วมากเช่นกัน ภายในเวลายี่สิบปี ฉินส่าวสามารถทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นกลางได้แล้ว


แต่เย่หยวนกลับทะลวงได้ไกลถึงหนึ่งอาณาจักรพลังหลักภายในเวลาแค่ยี่สิบปี!


นอกจากนี้ ข่าวที่เย่หยวนท้าทายสามยอดเซียนราชันพระเจ้าครึ่งขั้นด้วยตัวคนเดียว นี่ไม่ถือเป็นความลับใดๆ ในทางตรงข้ามข่าวนี้ได้แพร่กระจายออกไปทั่วเมืองหลวงหวูเมิ่งอย่างรวดเร็วประดุจโรคระบาด


ฉินส่าวตระหนักดีแล้วว่า ความห่างชั้นระหว่างตนกับเย่หยวนมันกว้างใหญ่ไพศาลเพียงใด แต่ก็ยังไม่คิดว่าจะกว้างใหญ่ได้ปานนี้


อัจฉริยะงั้นรึ?


ฉินส่าวรู้สึกว่าการจะใช้คำนี้เพื่อเรียกแทนตัวเอง กลับเป็นความอัปยศสิ้นดี


อย่างไรก็ตาม เขายังคงกัดฟันกล่าวว่า


“ผู้อาวุโสเย่โปรดเมตตาด้วย!”


เย่หยวนกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มที่มิใช่รอยยิ้มว่า


“ตามที่ข้าทราบมา ตระกูลฉินเองก็ปฏิบัติกับเจ้าไม่ดีนักใช่ไหม?”


ฉินส่าวกล่าวตอบว่า


“ไม่ว่ายังไง ข้าเองก็เป็นสมาชิกตระกูลฉิน หากไม่มีตระกูลฉินคงไม่มีข้าในวันนี้เช่นกัน!”


เย่หยวนเอ่ยตอบเสียงเย็นว่า


“หาก…ข้าบอกว่าไม่ล่ะ?”


สายตาของฉินส่าวที่กำลังจับจ้องเย่หยวนดูดุร้ายขึ้นหลายส่วนทันตา เขากล่าวว่า


“หากเป็นเช่นนั้น ฉินส่าวคนนี้จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตนเองแข็งแกร่ง และข้าขอสัญญเลยว่า ข้าจักต้องฆ่าท่านให้ได้ในชั่วขชีวิตนี้!”


“สามหาว!!”


หลินตงสีหน้ามืดทมิฬลงทันที พร้อมปลดปล่อยรัศมีแรงกกดดันเข้าข่มอีกฝ่ายโดยยตรง


ร่างของฉินส่าวสั่นสะท้านรู้สึกราวกับท้องฟ้ากำลังจะถล่มลงมาทับตน


เย่หยวนเร่งโบกมือปัดให้หลินตงถอนแรงกดดันออกทันที ฉินส่าวหอบหายใจตระหนี่ถี่ไม่หยุดพร้อมทรุดตัวลงกับพื้นด้วยความเหน็ดเหนื่อย


 แค่แรงกดดันของระดับชั้นราชันพระเจ้ามันก็มากเกินพอแล้วที่จะฆ่าเขา!


อย่างไรก็ตาม เย่หยวนกลับหัวเราะออกมาพลางกล่าวว่า


“ฉินส่าว แม้เจ้าจะเกิดในตระกูลฉิน แต่เจ้ากลับแตกต่างไปจากทุกคน! เห็นแก่หน้าของเจ้า ข้าจะปล่อยตระกูลฉินไป”


รูม่านตาของฉินส่าวตีบตันหดเล็กเท่ารูเข็ม เผยสีหน้าเหลือเชื่อออกมา


เขามิได้คาดหวังเลยว่า เย่หยวนจะยอมปล่อยไปง่ายๆแบบนี้


ในสายตาของเย่หยวน ฉินส่าวเป็นเพียงตัวประกอบไร้ซึ่งความสำคัญใด แต่ไยเย่หยวนถึงเห็นแก่หน้าเขา ขนาดที่ว่ายอมปล่อยตระกูลฉินไปเพราะเขาคนเดียว?


ความตื้นตันนี้ฉินส่าวมิอาจข้ามผ่านไปได้เลย


เขาไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่า เย่หยวนจะเห็นแก่หน้าเขาและยอมปล่อยไปจริงๆ!


“อย่างไรก็ตาม…”


สีหน้าการแสดงออกของเย่หยวนมืดลงอีกครั้งและกล่าวว่า


“ฉินเทียนหนานและผู้อาวุโสที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์เมื่อยี่สิบปีก่อนล้วนต้องได้รับโทษและต้องถูกประหารชีวิต!”


ฉินส่าวสูดหายใจเข้าแช่มลึกและโค้งคำนับให้เย่หยวน กล่าวว่า


“ฉินส่าวขอบพระคุณผู้อาวุโสเย่!”


ตอนที่ 1572 กลับบ้าน

Ink Stone_Fantasy

เซี่ยะจ้าวหยุนผู้เคยหยิ่งผยองและภาคภูมิใจในตลอดที่ผ่านมา ยามนี้กลับดูเจียมเนื้อเจียมตัวอย่างมากเมื่ออยู่ต่อหน้าเซี่ยะจิ้งอวี๋


เขากำลังหวาดกลัว!


เขาหวาดกลัวในตัวตนของผู้อาวุโสเย่ที่กำลังย้อนกลับมารวบยอดและทำเรื่องยากบีบกดดันตระกูลเซี่ยะ


ด้วยสถาะปัจจุบันของเย่หยวน หากต้องการกำจัดตระกูลเซี่ยะให้สิ้นซากกลับง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ


พวกเขาหรือจะยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตระกูลฉินอันทรงพลัง? กระทั่งชะตากรรมของพวกเขายังอยู่แค่ปลายนิ้วของเย่หยวน


แม้แต่ท่านเจ้าเมือง ที่เป็นถึงยอดเซียนราชันพระเจ้าสองดาว ยามนี้กลับกลายมาเป็นคนพิการไปแล้ว และมีความเป็นไปได้สูงว่า ในอนาคตคงไม่รอดชีวิตเช่นกัน


นั้นเป็นถึงราชันพระเจ้าสองดาว!


ตระกูลเซี่ยะกลัวทำให้ตระกูลฉินขุ้นเคืองยิ่งในเวลานั้น ดังนั้นจึงโยนเซี่ยะจิ้งอวี๋ออกไปจากทะเบียนรายชื่อของตระกูลเซี่ยไป


สิ่งที่เซี่ยะจ้าวหยุนได้ตัดสินใจไปกลับทำให้เขาไม่สบายใจอย่างยิ่งในตอนนี้


แม้เขาจะเคยพบเจอเย่หยวนมาบ้างเล็กน้อย แต่นั่นหาใช่การพบเจอกันที่ดีเท่าไหร่


เขาไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่า เจ้าท้วมที่ยืนอยู่ต่อหน้าต่อตาคนนี้จะสามารถผงาดขึ้นได้อีกครั้งจริงๆ


ในตอนนั้น ทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของเซี่ยะจิ้งอวี๋ถูกทำลายโดยสมบูรณ์ เขาเองก็เคยเชิญนักหลอมโอสถมาตรวจสอบอาการแล้ว และไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะรักษาให้ฟื้นกลับมา


แต่ใครจะไปคิด ผู้อาวุโสเย่กลับสามารถคืนชีพเซี่ยะจิ้งอวี๋ได้อีกครั้งอย่างน่าอัศจรรย์?


ไม่น่าแปลกใจเลยที่ผู้อาวุโสเย่ถึงกลายมาเป็นผู้อาวุโสแห่งหอโอสถได้ ทั้งหมดเป็นยเพราะเขามีฝีมือจริงๆ


“โอ้ เจ้าอวี๋น้อย พี่ใหญ่คนนี้มีความสุขอย่างยิ่งที่ได้ทราบว่าเจ้ากลับมาแล้ว”


เซี่ยจ้าวหยุนเร่งคลี่ยิ้มกว้างเอ่ยทักทายอย่างอบอุ่น


ดวงตาของเจ้าท้วมหรี่แคบลงเล็กน้อย คล้ายว่าไม่มีเจตนาต้องการจะสนทนากับอีกฝ่าย


เซี่ยะจ้าวหยุนยามนี้ดูอึดอัดอย่างยิ่ง ทว่าปัจจุบันเขามิอาจเผยความไม่พอใจออกมาได้


เขาตระหนักดีถึงความสัมพันธ์ระหว่างเย่หยวนกับเซี่ยะจิ้งอวี๋ และชะตากรรมของตระกูลเซี่ยะเองก็ขึ้นอยู่กับเซี่ยจิ้งอวี๋แล้ว


ตราบเท่าที่เซี่ยะจิ้งอวี๋เต็มใจปริปากร้องขอ ตระกูลเซี่ยะก็ยังคงอยู่รอดต่อไปในอนาคต


ในความเป็นจริง หากเขาญาติดีกับเซี่ยะจิ้งอวี๋มากกว่านี้ ตระกูลเซี่ยะอาจผงาดขึ้นสู่สวรรค์ได้ในอึดใจเดียวด้วยซ้ำ และกลายมาเป็นเจ้าเมืองคนใหม่แห่งเมืองหลวงหวู่เมิง


เพียงว่าความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเซี่ยะกับเซี่ยะจิ้งอวี๋กลับไม่ดีนัก


“เอ่อ…นอกจากนี้ท่านบรรพบุรุษยังนำชื่อของเจ้ากลับสู่ตระกูลแล้ว”


เซี่ยะจ้าวหยุนยิ้มแห้งเอ่ยกล่าวต่อ


แต่สิ่งที่เขาได้ตอบกลับมาคือความเงียบ


เซี่ยะจ้าวหยุนใจสั่นสะท้านด้วยความกังวลสุดขีด เขารู้สึกได้ทันทีว่า เจ้าท้วมที่อยู่ตรงหน้าเขาหาใช่เจ้าท้วมที่ไร้เดียงสาและใสซื่อบริสุทธิ์อีกต่อไป


“โอ้ เจ้าอวี๋น้อย ข้ารู้ว่าเจ้าเกลียดลุงสามเพียงใดภายในใจ แต่ตระกูลเซี่ยะที่ตกอยู่ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้นก็ไม่มีทางเลือกอื่นเช่นกัน ยามนั้นตระกูลฉินปกคลุมทั่วแผ่นฟ้าด้วยมือเพียงข้างเดียว แล้วพวกเราจะกล้าขัดขืนได้อย่างไร?! เจ้าอวี๋น้อย ข้าทราบดีว่าเจ้าไม่มีความสุขเลยสักนิดภายในใจ หากเจ้าต้องการระบายความโกรธ ก็จงลงกับข้าลุงสามคนนี้! ขอเพียงให้อภัยตระกูลเซี่ยะของเราด้วยเถิด!”


เมื่อกล่าวจบเซี่ยจ้าวหยุนก็ทรุดตัวลงทั้งน้ำตา ปรากฏว่าเขายอมเสียสละชีวิตอย่างกล้าหาญเพื่อช่วยเหลือตระกูลเอาไว้


แต่ในเวลานั้นเองเซี่ยะจิ้งอวี๋ก็ค่อยๆลืมตาขึ้นอย่างเยือกเย็น


“เจ้าคิดว่า…ข้าไม่กล้าฆ่าเจ้ารึ?”


เนื้อตัวของเซี่ยะจ้าวหยุนสั่นสะท้านหนักคล้ายตกลงไปอยู่ในคุกน้ำแข็งเย็นสุดขั้ว


เซี่ยะจิ้งอวี๋ส่งเสียงกรนดังกล่าวว่า


“เซี่ยะจ้าวหยุน หยุดเสแสร้งต่อหน้าข้า! เจ้าคิดว่าข้ายังเป็นโง่แบบตอนนั้นกระมัง? ไสหัวไปซะ! หากเจ้ารังเกียจข้านัก จะถอนชื่อของข้าออกจากตระกูลก็ได้!”


ทั่วร่างเซี่ยะจ้าวหยุนสั่นสะท้านหนักด้วยความตื่นตะลึงต่อจิตสังหารอันเข้มข้นของเซี่ยะจิ้งอวี๋


ในที่สุดเขาก็ตระหนักได้แล้วว่า เซี่ยะจิ้งอวี๋คนนี้ที่ยืนอยู่ต่อหน้าต่อตาเขาหาใช่เจ้าท้วมไร้เดียงสาอีกต่อไปแล้วจริงๆ


เขาสามารถฆ่าคนได้โดยไม่ต้องกะพริบตาด้วยซ้ำ!


ตระกูลเซี่ยะสำหรับเขาในตอนนี้มันกลายเป็นม่านหมอกแห่งอดีตไปแล้ว


เซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าผู้แกร่งกล้า ไม่แม้แต่กล้าหายใจดังต่อหน้าเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าครึ่งขั้น


“ไสหัวไป!”


เจ้าท้วมตวาดให้เซี่ยะจ้าวหยุนอีกรอบจนอีกฝ่ายกลัวจนหัวหด


หลังจากที่เซี่ยะจ้าวหยุนจากไป เย่หยวนก็เดินเข้ามาจากด้านนอก


เย่หยวนที่เห็นได้เห็นสีหน้าการแสดงออกของเซี่ยะจิ้งอวี๋ในตอนนี้ เขาก็ดูผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย


เย่หยวนย่อมทราบว่าเซี่ยะจ้าวหยุนมาหาเจ้าท้วมก่อนหน้านี้เพราะเหตุใด แต่เขาก็เลือกที่จะไม่พูดอะไร จู่ๆก็เอ่ยบอกขึ้นแทนว่า


“ข้าจะพาเจ้าไปยังที่แห่งหนึ่ง”


เจ้าท้วมเอ่ยถามน้ำเสียงฉงนใจ


“ไปที่ไหนรึ?”


เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า


“เดี๋ยวเจ้าก็รู้”



กระแสสุดปั่นป่วนในห้วงอวกาศกัดเซาะเข้าทำลายสรรพสิ่งไร้สิ้นสุด


ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดสามารถอยู่รอดได้


แต่กระแสความปั่นป่วนของห้วงอวกาศนี้กลับไม่สามารถทำอะไรโถงบัลลังก์ม่วงได้เลยแม้แต่น้อย


ภายในโถงบัลลังก์ม่วง ทั้งหนิงซื่ออวี๋ เหลียงหวางหรู และเซี่ยะจิ้งอวี่ ทั้งสามในยามนี้กำลังอ้าปากค้างเติ่งหุบไม่ลง


“ท่านปรมาจารย์เย่ โถงแห่งนี้…ช่างน่าทึ่งโดยแท้! มันสามารถฝ่าห้วงอวกาศได้จริงๆ! นี่…หรือนี่จะเป็นสมบัตินภาสวรรค์เลิศล้ำ?”


“สมบัตินภาสวรรค์เลิศล้ำ? ไม่ นี่คือสมบัติเทพถ่องแท้เลิศล้ำ! ยอดสมบัติเทพถ่องแท้เลิศล้ำ!”


เย่หยวนกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้ม


ทั้งสามที่ได้ยินเช่นนั้นขากรรไกรของพวกเขาแทบร่วงกราวลงมา


สมบัติเทพถ่องแท้เลิศล้ำ? นี่ไปหามาจากไหนกัน?


เจ้าท้วมกับเหลียงหวางหรูยังพอทำเนา แต่ด้วยขอบเขตความเข้าใจอันไกลโพ้นของหนิงซื่ออวี๋ หาใช่สิ่งที่ทั้งสองจะเปรียบได้เลย


สมบัติเทพถ่องแท้เลิศล้ำนับเป็นมหาขุมสมบัติที่แม้แต่บุคคลระดับสูงในเมืองจักรพรรดิตามเฝ้าถวิลหา


เมื่อใดที่ข่าวการมีอยู่ของสมบัติระดับชั้นนี้รั่วไหลออกไป เหล่ายอดเซียนนภาสวรรค์รวมไปถึงเหล่าเทพถ่องแท้ล้วนเคลื่อนไหวออกโรงทันทีเพื่อฉกชิงมัน


หนิงซื้ออวี๋ยามนี้จึงเข้าใจในท้ายที่สุดแล้วว่า เหตุใดเย่หยวนถึงสงบปานนั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าขุมพลังระดับราชันพระเจ้า


พึ่งพาแค่โถงบัลลังก์ม่วงแห่งนี้ เขาไม่จำเป็นต้องกลัวเหล่าราชันพระเจ้าเลย


นี่คือไพ่ตายเด็ดของเขา!


หนิงซื่ออวี๋เคารพเลื่อมใสเย่หยวนอย่างยิ่งยวด นางไม่มีทางทรยศเขาแน่นอน แต่กลับรู้สึกภาคภูมิใจเสียมากกว่า


“อย่างไรก็ตาม…ท่านจะพาพวกเรามาที่พิภพยุทธ์จักรทำไม? โลกใบเล็กๆแค่นี้มีอะไรให้น่ามา? หรือจะมีสมบัติล้ำค่าอยู่?”


หนิงซื่ออวี๋เอ่ยถามด้วยความสงสัย


ทางด้านเหลียงหวางหรูเองก็ดูมึนงงเช่นกัน แต่ไม่นานสายตาของนางก็เริ่มกระจ่าง


นอกเหนือจากพวกเขาทั้งหมด ก็มีหลงซานที่รู้สึกกระวนกระวายใจอย่างหาที่เปรียบไม่


วันเวลาผ่านไปนับแสนปี ในที่สุดเขาก็ได้กลับสู่บ้านเกิด!


เย่หยวนหันไปมองเหลียงหวานหรูและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า


“หวางหรูเจ้าคงคาดเดาอะไรบางอย่างได้แล้วกระมัง?”


เหลียงหวางหรูที่นึกคำตอบได้ ยามนี้กลับไม่กล้าเชื่อเช่นกัน นางยังคงเอ่ยตอบวาจาแสนรวนเรว่า


“หรือว่า…จริงๆแล้ว…”


จากนั้นโถงบัลลงก์ม่วงก็พุ่งตรงออกจากห้วงอวกาศผ่านประตูผนึกดินแดนเข้ามา


เย่หยวนลุกขึ้นและกล่าวกับทั้งสามคนว่า


“ยินดีต้อนรับสู่บ้านเกิดของข้า ดินแดนพฤกษานิรันดร์!”


ดวงตาของหนิงซื่ออวี๋แทบถลนออกมา นางอุทานขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อขึ้นว่า


“ท-ท-ท่าน…ท่านกำลังจะบอกว่าตัวเองมาจากพิภพยุทธ์จักร? โลกใบเล็กๆแค่นี้?! เป็นไปไม่ได้! นี่เป็นไปไม่ได้แน่นอน!”


เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า


“นี่เป็นความจริง ไม่เชื่อสอบถามกับหวางหรูได้เลย!”


ความประหลาดใจขของเหลียงหวานหรูเองกลับไม่น้อยไปกว่าหนิงซื่ออวี๋เลย


แม้ว่าก่อนหน้านางยังพอคาดเดาได้บ้าง แต่อย่างไร ถึงจะได้รับฟังคำยืนยันจากเย่หยวน นางเองก็ไม่กล้าที่จะเชื่อเช่นกัน


เหลียงหวางหรูสูดหายใจเข้าลึกๆและกล่าวว่า


“ไม่น่าแปลกใจ ไฉนท่านถึงได้รับบาดเจ็บปานนั้น ปรากฏว่า…ท่านทะลวงฝ่ากระแสในห้วงอวกาศมานี่เอง! แต่…นี่เป็นไปได้อย่างไร? ตอนนั้นท่านเพิ่งทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรปฐมพระเจ้าเท่านั้น!”


หนิงซื่ออวี๋ตื่นตะลึงเป็นคำรบสอง ลูกตาแทบทะลักออกมาด้วยความเหลือเชื่อ?


เซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นต้นเดินทางผ่านห้วงอวกาศ?


นี่มันนิทานกล่อมเด็กนอนหรืออย่างไร?


นอกจากนี้ นักสู้ที่มีต้นเกิดจากโลกใบเล็กๆแบบนี้ จะประสบความสำเร็จขนาดนี้ได้อย่างไร?


หากยอดอัจฉริยะจากโลกใบเล็กๆแค่นี้เก่งกาจเท่าเย่หยวนทุกคน ปานนี้มหาพิภพถงเทียนคงมีแต่ขยะไปแล้ว!


หนิงซื่ออวี๋ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่า ผู้อาวุโสเย่แห่งหอโอสถอันสูงศักดิ์ แท้ที่จริงแล้วกลับมาจากโลกใบเล็กๆแห่งหนึ่ง!


ตอนที่ 1573 เทพนอกรีตบาปสวรรค์

Ink Stone_Fantasy

ในส่วนลึกของหุบเขาเหวพระเจ้า คุนหวูค่อยๆเปิดตาทั้งสองขึ้นเผยสะท้อนความแปลกประหลาดใจออกมา


“หื้ม? เจ้าเด็กนั้นกลับมาแล้ว นี่เพิ่งผ่านไปร้อยปีแต่กลับสามารถเดินทางกลับมาได้แล้ว?”


ดวงตาคู่นั้นของคุนหวูสาดสะท้อนความสงสัยออกมา และงุนงงอย่างมากต่อการกลับมาของเย่หยวน


คุนหวูย่อมทราบดี เวลาหนึ่งร้อยปีในมหาพิภพถงเทียนราวกับดีดนิ้วครั้งเดียว


กล่าวตามตรง หากเย่หยวนสามารถทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นปลายได้ นี่นับว่าน่าเหลือเชื่อยิ่งแล้ว


ด้วยความแข็งแกร่งของเขาที่ต้องการทำให้บรรลุจุดประสงค์ ท้ายที่สุดนี้กลับยากเกินไป


อย่างไรก็ตาม สีหน้าของเขาก็เผยเล่ห์เหลี่ยมแสนขี้เล่นออกมา พลางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า


“แต่เขาคงไม่เคยคิดมาก่อน ตอนนี้มีอีกคนแล้วที่ได้การยอมรับจากศาสตร์แห่งสวรรค์ในดินแดนพฤกษานิรันดร์แห่งนี้ การกลับมาครั้งนี้ของเขาดูจะบังเอิญเสียเหลือเกิน อีกไม่นานทั้งสองจักต้องปะทะกันเป็นแน่!”



ภายในหออาญาสิทธิ์ ทุกคนต่างมีสีหน้าเคร่งเครียดกันเป็นอย่างมาก


สีหน้าของฟางเทียนซีดเซียว ดวงตาลึกโบ๋เผยให้เห็นความสิ้นหวังออกมา


ดูเหมือนว่าตอนนี้เขาเองจะได้รับบาดเจ็บสาหัสมากเช่นกัน


ข้างกายเขาเป็นกวนควางเทียน ที่มีสภาพไม่ดีไปกว่าเขาเลย


หลังจากที่เย่หยวนจากออกไป ฟางเทียนและกวนควางเทียนก็ทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรบรรพชนพระเจ้าได้แล้ว


ทว่า…ในดินแดนพฤกษานิรันดร์แห่งนี้ ยังมีใครสามารถคุกคามพวกเขาทั้งสองจนบาดเจ็บหนักเพียงนี้ได้อีก?


“พวกเราชายชราควรทำอย่างไรดี? หากเจ้ามีแผนก็จงกล่าวออกมา!”


กวงควางเทียนเอ่ยกล่าวอย่างเฉยเมย


ฟางเทียนถอนหายใจเฮือกใหญ่


“ความแข็งแกร่งของเย่หยวน เจ้าเองก็เคยเห็นมาก่อนแล้ว! เขาใช้เพียงนิ้วเดียวก็สามารถฆ่าล้างเผ่าปีศาจนับหมื่นแสนได้ รวมไปถึงจัดการเทพปีศาจข่านนั่ว! ในเวลานั้นเย่หยวนเป็นเพียงเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นต้นเท่านั้น แต่เทพนอกรีตบาปสวรรค์กลับแข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าเขาในตอนนั้น! ไม่ว่าเราจะใช้แผนอย่างไร แต่ต่อหน้ามันกลับเปล่าประโยชน์!”


กวนควางเทียนกล่าวตอบเจือน้ำเสียงวิตกกังวลยิ่งว่า


“หากเช่นนั้น…เราจำต้องส่งตัวแม่นางเยวี่ยให้มันโดยจำนนหรอกรึ? หากเย่หยวนกลับมาแล้วรู้เข้า มีหวังได้ทำลายดินแดนพฤกษานิรันดร์เป็นแน่!”


ฟางเทียนกัดฟันแน่นอย่างเกลียดชังกล่าวว่า


“เราไม่มีทางมอบนางให้มันแน่นอน! อย่างมากที่สุดเราคนนี้จะเสี่ยงชีวิตสู่กับมันเอง!”


ทันทีทันใด กวนควางเทียนก็ถอนหายใจกล่าวว่า


“เฮ้ออ… หากเย่หยวนอยู่ที่นี่ก็คงดี! เทพนอกรีตบาปสวรรค์คงถูกอีกฝ่ายตีตายโดยฝ่ามือเดียว!”


ฟางเทียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ กล่าวว่า


“แม้เย่หยวนจะอยู่ที่นี่ แต่ก็ไม่สามารถเป็นคู่มือของมันแช่นกัน มันเป็นคนที่สองที่ได้การยอมรับจากศาสตร์แห่งสวรรค์ เย่หยวนเพิ่งทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้าได้แค่ร้อยปี มีหรือจะเข้าคู่กับเทพนอกรีตบาปสวรรค์?”


กวนควางเทียนเอ่ยกล่าวอย่างไม่พอใจขึ้นว่า


“ตาแก่สวรรค์คุนหวูนั้นใจร้ายโดยแท้! เหตุใดถึงยอมปล่อยให้มันคงอยู่จวบจนปัจจุบันเ!”


ฟางเทียนกล่าวตอบว่า


“ศาสตร์แห่งสวรรค์ไม่มีความรู้สึกนึกถึง ขอเพียงบรรลุตามเงื่อนไขย่อมสามารถได้การยอมรับ”


ฟางเทียนเองก็พยายามทำสิ่งต่างๆเพื่อให้บรรลุเงื่อนไขนี้เช่นกัน แต่ท้ายที่สุดเขาก็ยังไม่ได้การยอมรับจากศาสตร์แห่งสวรรค์เสียที


พวกเขาล้วนเป็นสองบุคคลที่ไร้เทียมทานที่สุดบนดินแดนพฤกษานิรันดร์แห่งนี้ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเทพนอกรีตบาปสวรรค์ กลับไม่มีคุณสมบัติแม้แต่จะเงยมอง


แม้ว่าจะไม่ได้ยืมพลังของดินแดนพฤกษานิรันดร์มาใช้ แต่เทพนอกรีตบาปสวรรค์เองก็สามารถบดขยี้พวกเขาได้อย่างไม่ยากเย็น


เทพนอกรีตบาปสวรรค์เป็นสิ่งมีชีวิตเมื่อสามแสนปีก่อน


เมื่อกล่าวถึงเทพนอกรีตบาปสวรรค์ผู้นี้ เขาเองก็เป็นคนประเภทเดียวกับเย่หยวนเช่นกัน ยอดอัจฉริยะลายครามชั้นเลิศ


เมื่อสามแสนปีก่อน เทพนอกรีตบาปสวรรค์เคยเป็นเซียนที่มีพรสวรรค์ที่สุดแห่งยุค และความสามารถของเขาก็ยังมากมายมหาศาล สามารถปกครองทั่วทั้งผืนพิภพได้อย่างเบ็ดเสร็จ ณ ช่วงเวลานั้น


มิอาจทราบเลยว่า มีเหล่าเซียนก็พันหมื่นคนที่ต้องตายลงในเงื้อมมือของเขา


นอกจากนี้เทพนอกรีตบาปสวรรค์ยังมากไปด้วยตัณหา เขาสูญเสียสติยั้งคิดไปชั่ววูบและจับบุตรสาวของบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งยุคไปข่มขืนจนสาแก่ใจ


การกระทำครั้งนั้นไม่ต่างอะไรจากยั่วยุสรวงสวรรค์อย่างแท้จริง


เทพนอกรีตบาปสวรรค์ดันไปปลุกกระตุ้นความเคียดแค้นแก่ผู้คนทั่วทั้งผืนพิภพ จนถูกหมายหัวจากทุกฝักฝ่าย


บุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งยุค เรียกระดมสิบยอดเซียนผู้ไร้เทียมทานและผนึกกำลังรุมสังหารเทพนอกรีตบาปสวรรค์


ศึกสัประยุทธ์ครานั้นกล่าวได้ว่าต่อสู้ชนิดที่มืดฟ้ามัวดิน เหล่าเซียนอาณาจักรพระเจ้าล้นตายนับไม่ถ้วน แต่ท้ายที่สุด ก็ยังไม่สามารถสังหารเทพนอกรีตบาปสวรรค์ได้อยู่ดี


บุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งยุคได้รับบาดเจ็บสาหัสและทำได้เพียงผนึกอีกฝ่ายเอาไว้


อย่างไรก็ตามแต่ กาลเวลาผ่านพ้นไป เหล่าเซียนอาณาจักรพระเจ้าเริ่มล้มหายตายจากไป แต่เทพนอกรีตบาปสวรรค์ยังคงอยู่จวบจนปัจจุบัน!


เมื่อศาสตร์แห่งสวรรค์ได้สูญสลายหายไป เทพนอกรีตบาปสวรรค์ก็ระงับระดับพลังของตนไปชั่วขณะ


แต่หลังจากที่ศาสตร์แห่งสวรรค์ได้กลับคืนสู่ดินแดนพฤกษานิรันดร์อีกครั้ง ไม่เพียงแต่มันจะทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรบรรพชนพระเจ้าขั้นสุดเท่านั้น แต่มันยังได้การยอมรับจากศาสตร์แห่งสวรรค์อีกด้วย


ด้วยเหตุนี้แล้ว ตราผนึกที่พันธนาการมันยังต้านทานไหวได้อย่างไร


เมื่อไม่กี่วันก่อน เทพนอกรีตบาปสวรรค์หลุดออกจากตราผนึกได้ในท้ายที่สุด และออกมาเขย่าทั่วทั้งผืนพิภพ


ทันทีที่หออาญาสิทธิ์ทราบข่าวการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ พวกเขาก็เริ่มเดินทางเข้าไปตรวจสอบ แต่ไม่รู้เลยว่าพวกตนกลับวิ่งไปชนกับเทพนอกรีตบาปสวรรค์เข้าจริงๆ


ในวันนั้นเองเทพนอกรีตบาปสวรรค์ก็พบกับเยวี่ยเมิ่งลี่เป็นครั้งแรก ดวงตาทั้งสองของเทพนอกรีตบาปสวรรค์เปล่งประกาย มันตกหลุมรักนางทันทีที่แรกพบสบตา!


ใช่แล้ว หลงใหลชนิดหัวปักหัวปำ!


ทั้งใบหน้าและโฉมสะคราญแสนโค้งเว้ายั่วยวนของเยวี่ยเมิ่งลี่ มันเหนือกว่าบุตรสาวของบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งยุคมากมายนัก!


 ในปัจจุบัน เทพนอกรีตบาปสวรรค์กำลังวางแผนที่จะแต่งงานกับเยวี่ยเมิ่งลี่


แล้วมีหรือที่ฟางเทียนและกวงควางเทียนจะยอมปล่อยให้เทพนอกรีตบาปสวรรค์ทำตามใจชอบ? พวกเขาจึงออกโรงสัประยุทธ์เดือดกับเทพนอกรีตบาปสวรรค์ทันที


แต่พวกเขาหรือจะเข้าคู่กับเทพนอกรีตบาปสวรรค์? ในการต่อสู้ครั้งนั้นทำให้ฟางเทียนและกวนควางเทียนได้รับบาดเจ็บสาหัส


สุดท้ายนี้ หากมิใช่เพราะเยวี่ยเมิ่งลี่ขู่อีกฝ่ายโดยการเอากริชคมจี้คอหวังฆ่าตัวตาย ปานนี้ทั้งสองคงกลายเป็นศพนานแล้ว


แต่เทพนอกรีตบาปสวรรค์ก็หาใช่คนที่จะล้อเล่นด้วยเช่นกัน มันบอกกับเยวี่ยเมิ่งลี่ว่า หากนางยังกล้าปฏิเสธ มันจะฆ่าล้างเหล่าผู้อาวุโสอาณาจักรพระเจ้าทั้งหมดของหออาญาสิทธิ์ทิ้งทันที


เยวี่ยเมิ่งลี่เองก็มีไหวพริบค่อนข้างดี ภายใต้สถานการณ์สิ้นหวังเช่นนี้ นางบอกกับเทพนอกรีตบาปสวรรค์ไปว่า หากเขาต้องการแต่งงานกับนางก็ย่อมได้ แต่ต้องเป็นงานแต่งทางการโดยการเปล่าประกาศให้ผู้คนทั่วผืนพิภพทราบ


นางและเทพนอกรีตบาปสวรรค์กำลังจะแต่งงานกันในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า โดยใช้สถานที่แต่งคือหออาญาสิทธิ์แห่งนี้


เทพนอกรีตบาปสวรรค์เองก็เห็นด้วยเช่นกัน แต่มันก็ค่อนข้างรอบขอบ ถึงขั้นปิดผนึกเส้นทางที่เชื่อมเข้าสู่หุบเขาเหวพระเจ้าไว้


เห็นได้ชัดว่า การดำรงอยู่ภายในหุบเขาเลวสวรรค์ทำให้เขาหวาดกลัวไม่น้อยเช่นกัน


วันนี้ครบหนึ่งเดือนพอดิบพอดี เหล่าผู้อาวุโสระดับสูงแห่งหออาญาสิทธิ์กำลังปรึกษากันหน้าดำค่ำเครียด กล่าวได้ว่าพวกเขานั่งอยู่ที่นี่เป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็มแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ข้อสรุป


ผลสุดท้ายคือ พวกเขาก็ได้แต่นั่งรอความตาย


ทางด้านขวามือของฟางเทียน เยวี่ยเมิ่งลี่ยังคงสีหน้าการแสดงออกแสนเด็ดขาด นางเอ่ยขึ้นอย่างใจเด็ดว่า


“ผู้อาวุโสทั้งหลายไม่จำต้องโต้แย้งกันอีกต่อไป ลี่เอ๋อคนนี้มีแผนการอยู่ในใจแล้ว!”


คำกล่าวนี้ของนางต่างทำให้ดวงตาของทุกคนสว่างไสวขึ้นทันใด


กวนควางเทียนที่ได้ยินเช่นนั้นก็โพล่งขึ้นทันทีว่า


“แผนการอย่างไร? แม่นางเยวี่ยรีบกล่าว!”


เยวี่ยเมิ่งลี่กล่าวว่า


“เทพนอกรีตบาปสวรรค์ต้องการเพียงตัวข้า เมื่อใดที่เขาเข้ามาหวังแตะเนื้อต้องตัวข้า ข้าจะขู่ฆ่าตัวตายเพื่อถ่วงเวลาให้ ในตอนนั้นพวกท่านก็รีบอพยพหนีเข้าไปในหุบเขาเหวพระเจ้า ตราบใดที่สามารถเข้าไปได้ พวกท่านก็จะปลอดภัย!”


สีหน้าการแสดงออกของกวนควางเทียนซีดเซียวลงทันใด เขาระเบิดขึ้นทันทีว่า


“ไม่มีทาง! ข้าไม่มีทางยอมแน่นอน! หากเจ้าตายไป แล้วเราจะอธิบายให้เย่หยวนฟังหลังจากนี้ได้อย่างไร?”


กวนควางเทียนมีหรือจะไม่เข้าใจความคิดของนาง? เยวี่ยเมิ่งลี่นางนี้ใจเด็ดเกินบุรุษเพศ นางต้องการเสียสละชีวิตของตนเพื่อช่วยเหลือถ่วงเวลาให้พวกเขาหนีไป


แม้แผนนี้จะช่วยต่อชีวิตของพวกเขาได้ แต่ในอนาคตที่เย่หยวนกลับมา พวกเขาจะอธิบายอีกฝ่ายว่าอย่างไร?


เย่หยวนมอบหมายหน้าที่และวางใจให้พวกเขาเฝ้าปกครองดินแดนแห่งนี้ต่อ แต่พวกเขากลับใช้ชีวิตของคนรักเย่หยวนเพื่อให้ตัวเองรอดงั้นรึ?


เยวี่ยเมิ่งลี่กล่าวน้ำเสียงเย็นแสนเฉียบขาดว่า


“หรือผู้อาวุโสควางเทียนมีแผนการที่ดีกว่านี้? ทุกท่านโปรดมั่นใจเถิด ข้าเชื่อว่าพี่ใหญ่หยวนจะต้องเข้าใจและไม่ตำหนิพวกท่านแน่นอน”


“ลี่เอ๋อของข้า! พี่ใหญ่คนนี้มาที่นี่ตามสัญญาเพื่อแต่งงานกับเจ้าแล้ว!”


ทันทีทันใดสุ้มเสียงของเทพนอกรีตบาปสวรรค์ก็เอ่ยดังกึกก้อง


…………………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)