Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1558-1563
ตอนที่ 1558 ไปลากมันมาที่นี่!
โดย
Ink Stone_Fantasy
ณ หอโอสถ อู๋เฟินผู้หยิ่งทะนงยามนี้กลับปฏิบัติตัวด้วยความสุภาพยิ่งต่อหน้าชายชราร่างท้วมผู้หนึ่ง
“ท่านอาจารย์สบายดีหรือไม่?”
อู๋เฟินก้มศีรษะให้ด้วยความเคารพยิ่ง
ชายชราคนนี้เป็นผู้ดูแลระดับสูงแห่งหอโอสถ ซึ่งเป็นจอมเทพโอสถสี่ดาว หลู่หมิง
หลู่หมิงถือเป็นผู้ดูแลระดับสูงของหอโอสถที่มีลูกศิษย์มากมายทั้งในและนอกเมืองจักรพรรดิ
ในฐานะศิษย์ของหอโอสถ อู๋เฟินย่อมมีคุณสมบัติเข้าออกเขตเมืองชั้นในโดยธรรมดา
สำหรับศิษย์คนนี้เอง หลู่เมิงค่อนข้างประทับใจไม่น้อย
แม้พรสวรรค์ของเขาจะอ่อนด้อยและยากนักที่จะขึ้นกลายมาเป็นจอมเทพโอสถสี่ดาว แต่อย่างน้อยเขาก็มีความกตัญญูต่อหลู่เมิงเป็นอย่างมาก
บุคคลเช่นนี้สามารถสร้างอิทธิพลให้ตนเองได้ในเขตเมืองชั้นนอก นี่ดูเหมือนจะเป็นทางเลือกที่ตัวหลู่เมิงพึงพอใจยิ่ง
“เจ้ามักมีเจตนาดีต่อข้าอยู่เสมอ น่าสนใจ…คราวนี้มีอะไรมาให้ข้าอีก?”
หลู่หมิงกล่าวเสียงเย็นชืด
อู๋เฟินหยิบขวดหยกใบหนึ่งออกมาและมอบให้แก่หลู่เมิงอย่างประณีต เขากล่าววาจาแสนนอบน้อมว่า
“ท่านอาจารย์ นี่คือสุราหยกฤทัยน้ำแข็ง ศิษย์คนนี้เพิ่งได้มา รสชาติอร่อยกลมกล่อมหาที่เปรียบไม่!”
หลู่เมิงรับต่อจากมือและเปิดฝาขวดเล็กน้อย กลิ่นหอมหวานน่าหลงใหลอบอวลไปทั่วทั้งห้องในทันใด
ดวงตาคู่นั้นของหลู่หมิงสว่างไสวขึ้นทันที
“สุราชั้นเลิศ! นับเป็นสุราชั้นเลิศจริงๆ! นับว่าเจ้ายังมีความกตัญญู!”
แต่ภายในใจของอู๋เฟินแทบกระอักเลือด ไม่ควรมองว่าขวดนี้รสชาติจะเป็นอย่างไร แต่ราคาที่เขาต้องจ่ายไปนับเป็นจำนวนหลายสิบล้านผลึกปราณเทวะเพื่อซื้อมันสักขวด!
สุราขวดแค่นี้มีค่าเท่ากับค่ารักษาอาการป่วยของหวางเชียน!
หลู่เมิงเป็นถึงจอมเทพโอสถสี่ดาว แล้วอู๋เฟินจะกล้ามอบสิ่งของธรรมดาทั่วไปได้อย่างไร?
ทุกครั้งที่อู๋เฟินเดินทางเข้าสู่เขตเมืองชั้นใน เขามักจะนำสิ่งของมีค่ามามอบให้เช่นนี้อยู่ตลอด
เฉกเช่นเดียวกับกลุ่มอัสนีคำรน เพื่อแสดงความกตัญญู ของที่อู๋เฟินมอบให้แก่หลู่เมิงแต่ละครั้งล้วนมีราคาสูงลิบลิ่วเช่นกัน
แต่ด้วยการสนับสนุนของหลู่เมิงที่เขาได้รับหลังจากนั้น หากคิดเป็นตัวเลขแล้วก็นับว่าไม่น้อยเช่นกัน
กล่าวได้ว่าไม่ขาดทุน!
แม้แต่ตระกูลตงฟางเองยังไม่กล้ายั่วยุเขาเช่นกัน!
หวู่เมิงหยิบขวดเย็นนำไปเก็บและกล่าวเสียงเย็นขึ้นว่า
“เมื่อไม่นานมานี้ เจ้าคง…ประสบปัญหามาเมื่อเร็ววันกระมัง?”
อู๋เฟินยิ้มและกล่าวว่า
“ท่านอาจารย์สายตาเฉียบคมยิ่งนัก! เมื่อไม่นานมานี้ มีไอ้เด็กเหลือขอคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นในเขตเมืองทางตอนใต้ ความหยิ่งผยองของมันไร้ซึ่งขอบเขต มันกล้ากล่าวอ้างว่าสามารถหลอมกลั่นโอสถได้สารพัดชนิด!”
หลู่เมิงยกเปลือกตาเปิดออกเล็กน้อยและยิ้มกล่าวว่า
“นั้นคงเป็นร้านชายโอสถรับจ้างสารพัดกระมัง? หุหุ เรื่องนี้ข้าเองก็เคยได้ยินมาบ้าง”
อู๋เฟินรีบกล่าวต่อทันที
“ท่านอาจารย์ยังไม่ทราบ! วาจาอวดอ้างของไอ้เด็กเหลือขอนั้นยิ่งใหญ่ไร้ขอบเขตไร้ยางอาย! ท่านอาจารย์จำคนไข้คนหนึ่งได้หรือไม่ ที่ข้าพามาในตอนนั้น ทว่าแม้แต่ท่านก็ยังตรวจพบสาเหตุไม่เจอ?”
หลู่เมิงครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยความตกใจว่า
“เจ้ากำลังกล่าวถึงเจ้าหนุ่มผีดิบไร้ชีวิตชีวานั้น? หรือเป็นไปได้ไหมว่า…เด็กคนนั้นจะรักษาได้จริงๆ?”
อู๋เฟินพยักหน้าและกล่าวว่า
“มันรักษาสุ่มสี่สุ่มห้าจนรักษาอีกฝ่ายได้โดยบังเอิญ!”
ความตื่นตะลึงที่แข็งค้างภายในใจของหลู่เมิงหามีนัยยะไม่ อาการป่วยที่แม้แต่เขายังหาสาเหตุไม่เจอ ทว่าจอมเทพโอสถสามดาวกลับสามารถรักษาได้จริงๆ?
สีหน้าการแสดงออกของหลู่เมิงดูเคร่งขรึมขึ้นในทันทด เขากล่าวว่า
“หากเช่นนั้น แสดงว่าเด็กคนนี้ก็มีความสามารถบางอย่างอยู่จริงๆ!”
อู๋เฟินรู้สึกทันทีว่าท่านอาจารย์ของตนดูท่าจะเป็นปลื้มต่อเย่หยวนไม่น้อย ดังนั้นจึงเร่งกล่าวขัดขึ้นว่า
“ความสามารถบัดซบอะไรกัน! มันแค่รักษาสุ่มสี่สุ่มห้าจนบังเอิญทำสำเร็จเท่านั้น! สิ่งที่น่าโมโหกล่าวนั้นคืออะไรรู้หรือไม่? ลูกน้องคนสนิทถูกไอ้เด็กเหลือขอนั้นซื้อใจไปจนคิดทรยศข้า หลานของมันที่แม้แต่ท่านก็ไม่สามารถรักษาได้ หลังจากที่ไอ้เด็กเหลือนั้นรักษาเสร็จ ท่านเดาได้ไหมว่าไอ้เด็กนั้นกล่าวว่าอย่างไร?”
สายตาคู่นั้นของหลู่เมิงเย็นยะเยือกลงทันใด สีหน้ามืดทมืฬลงทันทีพร้อมเค้นเสียงทุ้มต่ำกล่าวว่า
“ข้าผู้นี้ไม่ชอบเล่นทายใจ มีอะไรก็จงพูด!”
อู๋เฟินรีบปั้นหน้าไม่พอใจหนัก ก่อนบ่นขึ้นว่า
“ไอ้เดเหลือขอนั้นพูดว่า ท่านอาจารย์หลู่เมิงมันวิเศษวิโสมากรึไง? ก็แค่จอมเทพโอสถี่ดาวเองมิใช่รึ? ท่านที่ได้ยินไม่คิดว่ามันน่าโมโหเกินไปหน่อยรึ?”
อู๋เฟินประโคมฝืนไฟจนทำให้หลู่เมิงเดือดดาลโกรธจัดในทันที
บูมมม!
โต๊ะดื่มน้ำชาตรงหน้าหลู่เมิงแตกกระจายเป็นผุยผง
กล้ามเนื้อทั่วใบหน้าพลันชักกระตุกไม่หยุด จะเห็นได้ว่าเขากำลังโกรธจัดเพียงใด
“จอมเทพโอสถสามดาวคนใดบ้างที่กล้าเปล่งวาจาอวดอ้างใหญ่โตปานนี้! หรือเป็นไปได้ไหมว่า…เจ้ายังปล่อยให้มันมีลมหายใจอยู่อีก?”
สายตาที่จับจ้องของหลู่เมิงเฉียบคมขึ้นทันตา ยามนี้จับจ้องไปที่อู๋เฟินพร้อมเอ่ยกล่าวเสียงเย็น
อู๋เฟินแสร้งทำท่าทำทางคล้ายถูกรังแกและกล่าวว่า
“ท่านอาจารย์ มีหรือที่ข้ายังทนความอยุติธรรมอยู่ได้! ข้าจะปล่อยให้ไอ้เด็กเหลือขอนั้นสร้างมลทินต่อท่านได้อย่างไร? ตอนนั้นข้าส่งยอดฝีมือออกไปพังร้านมันทิ้ง แต่ใครจะไปคิดว่ารากฐานร้านขายโอสถเล็กๆจะหยั่งลึกปานนี้ ถึงขั้นมียอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าออกโรงมาเอง ไฉนเลย…ศิษย์คนนี้จะไปสู้ได้!”
สายตาของยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าที่อยู่ด้านข้างพลันแปรเปลี่ยนไปเช่นกัน เขาเอ่ยขึ้นว่า
“ก็แค่อาณาจักรราชันพระเจ้า กลับกล้าสร้างมลทินแก่ผู้อาวุโสแห่งหอโอสถ! หึ! อย่าให้ข้าเห็นหน้ามันเชียว มิฉะนั้นจะขอดูหน่อยว่ากระดูกมันจะแข็งปานใด!”
หลู่เมิงลุกขึ้นเหลียวมองยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าคนนั้นและกล่าวสั่งการเสียงขรึมว่า
“ถังรุย ออกไปกับอู๋เฟินสักเที่ยว และจัดการทุบร้านขายโอสถรับจ้างสารพัดให้สิ้นซาก! ลากไอ้เด็กเหลือขอที่ชื่อว่าเย่หยวนมาที่นี่ ข้าจะทำการอบรมมันเป็นการส่วนตัว! ส่วนยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าคนนั้นนำตัวไปส่งที่หอยุทธ์โทษฐานแทรกแซงธุระของเขตเมืองชั้นนอก!”
ถังรุยโค้งคำนับและกล่าวตอบ
“รับทราบท่านอาวุโส!”
…
เมื่อได้ฟังคำบอกเล่าทั้งหมดจากปากหวางเชียน เย่หยวนก็ถอนหายใจเสียงชืดยาวเช่นกัน ในขณะที่หนิงซื่อออวี๋และเหลียงหวางหรู นางทั้งคู่ดูท่าจะไม่พอใจอย่างมาก
“อู๋เฟินนั้นช่างไร้มนุษย์ธรรมโดยแท้! เรื่องเสียหน้ากับสำคัญยิ่งกว่าการช่วยชีวิตคน? มันทั้งไร้ยางอายและนิสัยต่ำทรามจริงๆ! ข้าโกรธจนแทบจะฉีกอกตัวเองตายได้แล้ว!”
หนิงซื่ออวี๋โกรธจัดจนใบหน้าแดงก่ำควันแทบพุ่งออกจากหู หากมีกองกำลังของตระกูลหนิงอยู่ตรงหน้า คงสั่งเดินทัพเข้าเด็ดหัวอู๋เฟินไปนานแล้ว
“พี่ใหญ่เย่ อู๋เฟินคนนี้เกินเยียวยาแล้วจริงๆ สองลุงหลานคู่นี้ทั้งซื่อสัตย์และขยันขันแข็ง แต่สุดท้ายกลับต้องมีชะตากรรมเช่นนี้จริงๆรึ? ท่านต้องช่วยพวกเขา!”
เหลียงหวางหรูกล่าวเสริม
เย่หยวนเข้าตบไหล่ของหวางเชียนเล็กน้อยและเปิดปากกล่าวว่า
“ขอแสดงความเสียใจจริงๆ ตอนนี้อย่าเพิ่งคิดมาก อยู่ที่นี่เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บไปก่อน”
หวางเชียนชะงักตกใจไปชั่วขณะก้อนเผยแววตาแสนสิ้นหวังยิ่ง
หากแม้แต่ท่านปรมาจารย์เย่ยังไม่ใส่ใจช่วยเหลือ เขาคงไม่มีโอกาสได้แก้แค้นอีกแล้ว
อิทธิพลอำนาจของอู๋เฟินหาใช่สิ่งที่กลุ่มกำลังใดในเขตเมืองทานตอนใต้จะสามารถสั่นคลอนได้
“ข-ขอบคุณท่านปรมาจารย์เย่!”
หวางเชียนจำใจกัดฟันกล่าวอย่างสิ้นหวัง
หลังจากที่หวางเชียนจากไปพักผ่อน นางทั้งสองต่างจ้องมองไปที่เย่หยวนด้วยความไม่พอใจนัก
“เย่หยวน ข้ามองเจ้าผิดไปจริงๆ! ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะเป็นคนขี้ขลาดปานนี้!”
หนิงซื่ออวี๋เผยสีหน้ารังเกียจออกมาราวกับกำลังจับจ้องศัตรูอยู่ตรงหน้า
“พี่ใหญ่เย่ นี่ท่านยังเป็นพี่ใหญ่เย่ที่ข้ารู้จักจริงๆ รึ? ชะตาชีวิตของหวางเชียนน่าสลดยิ่งนัก แต่ท่านกลับไม่คิดช่วยเหลือเขาด้วยซ้ำ!”
นี่เป็นครั้งแรกที่เหลียงหวางหรูกล่าวตำหนิเย่หยวน
เย่หยวนหัวเราะออกมาทั้งๆแบบนั้นและกล่าวว่า
“แล้วจะให้ข้าช่วยอย่างไร?”
“เจ้า…อย่างน้อยเจ้าก็ควรจับตัวบัดซบอู๋เฟินมาขอขมาต่อหน้าหวางเชียนมิใช่รึ?”
หนืงซื่ออวี๋กล่าวขึ้นด้วยความไม่พอใจยิ่ง
เย่หยวนยิ้มแต่มิได้เอ่ยตอบใดๆ และเดินตรงออกจากประตูทันที
ยามเห็นแบบนั้นยิ่งทำให้หนิงซื่ออวี๋โกรธจัดจนต้องกระทืบเท้าแรงๆสองสามที และตะโกนไล่หลังไปว่า
“นี่เจ้ายังมีหน้าเดินหนีอีกงั้นรึ! เจ้าทำให้ข้าโกรธแทบตายแล้ว! เช่นนั้นข้าคนนี้ขอตัดขาดทุกความสัมพันธ์กับเจ้า!!”
ขณะที่เย่หยวนกำลังเดินจากออกไป จู่ๆ ก็มีชายชราท่าทางใจดีเดินตรงเข้ามาในร้านขายโอสถรับจ้างสารพัด
เย่หยวนเงยมองอีกฝ่ายเจือฉงนใจ ปรากฏว่าเขาไม่สามารถมองผ่านอ่านอีกฝ่ายได้ออกเลย
หรืออาจจะเป็น…ยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าอีกคน?
“ข้านามว่าเย่หยวน สงสัยว่าท่านอาวุโสคงมาที่นี่เพื่อตามหาข้า?”
เย่หยวนเอ่ยกล่าวขึ้นพร้อมประสานมือให้
เมื่อชายชราคนนั้นเห็นว่า ชายหนุ่มที่ชื่อเย่หยวนเด็กกว่าที่เขาคิดว่า ทั่วสีหน้าเผยปรากฏความตกใจออกมาทันใด เขากล่าวตอบว่า
“เราชายชรานามว่าซวนอี้มาจากหอโอสถ ข้าได้ยินมาว่าท่านปรมาจารย์เย่เป็นยอดอัจฉริยะนักหลอมโอสถของที่นี่ ดังนั้นข้าจึงตั้งใจมาแลกเปลี่ยนความรู้กับท่าน”
ตอนที่ 1559 แลกเปลี่ยนความรู้
โดย
Ink Stone_Fantasy
“แลกเปลี่ยนความรู้? โปรดอภัยยามนี้ข้าไม่ค่อยสนใจนัก!”
ใครก็ไม่รู้จู่ๆก็เดินเข้ามาหาพร้อมบอกว่าต้องการแลกเปลี่ยนความรู้กับตน หรืออีกฝ่ายเห็นว่าตนมีเวลาว่างขนาดนั้นเชียว?
ตอนนี้เขารักษาเจ้าท้วมหายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และไม่ต้องการกังวลเรื่องชื่อเสียงใดๆอีก ดังนั้นเขาไม่จำเป็นต้องไว้หน้าใครแล้วเช่นกัน
อย่างมากที่สุดหากเกินเหตุสุดวิสัยจริงๆ เย่หยวนก็แค่ซ่อนตัวอยู่ในโถงบัลลังก์ม่วงและบินหนีไป
ด้วยความสามารถของสมบัติเทพท่องแท้เลิศล้ำ แม้แต่เจ้าเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ก็ยังไม่สามารถทำอะไรได้เช่นกันง
ดังนั้นเย่หยวนจึงไม่มีอะไรที่ต้องกลัวอีกต่อไปแล้ว
สีหน้าการแสดงออกของชายชราคนนั้นแปรเปลี่ยนไปเช่นดัน เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็ไม่คาดคิดว่าเย่หยวนจะดูถูกตนเช่นนี้
แม้เย่หยวนจะไม่รู้จักอีกฝ่าย แต่ในเมืองจักรพรรดิแห่งนี้ เมื่อเอ่ยถึงหอโอสถเขาก็ไม่ควรมองข้ามเช่นกัน
แต่ซวนอึ้คนนี้ค่อนข้างเป็นคนใจเย็น วาจาตอบโต้ของเย่หยวนมิได้ทำให้เขาโกรธแม้แต่ร้อน ขณะที่เขากำลังจะอ่านปากเอ่ยตอบ ทันใดนั้นก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินสมทบออกมา
ทันทีที่เห็นซวนอี้ เนื้อตัวของเซียวเฟิงสั่นสะท้านหนัก ก่อนเอ่ยอุทานขึ้นด้วยความไม่เชื่อวว่า
“ท่าน…หรือท่านคือปรมาจารย์ซวนอี้กระมัง?”
แน่นอนว่าซวนอี้มิได้รู้จักอะไรกับเซียวเฟิง เมื่อได้ยินแบบนั้นก็ค่อนข้างแปลกใจเช่นกัน ภายในร้านชายโอสถแห่งนี้ยังมีจอมเทพโอสถสี่ดาวอยู่อีกคน?
“หุหุ เราชายชราคนนี้คงแก่จนสมองเลอะเลือนแล้ว จึงจำมิได้ว่าท่านเป็นใคร ขอเสียมารยาทได้หรือไม่ ท่านมีนามว่า…”
เซียวเฟิงโค้งคำนับและกล่าวด้วยความเคารพว่า
“ผู้เยาว์นามว่าเซียวเฟิงแห่งหอมหาสมบัติ ครั้งสุดท้ายที่เจอท่าน ตอนนั้นอยู่ในหอโอสถ ข้าโชคดีได้มีโอกาสเข้าไปร่วมรับฟังการบรรยายของท่าน!”
ซวนอี้ยิ้มพลางพยักหน้าตอบ
นักหลอมโอสถที่เคยเข้าร่วมฟังการบรรยายของเขาในเมืองจักรวรรดิอินทรีสวรรค์มีมากมายเกินไปจริงๆ เป็นธรรมดาที่เขาไม่สามารถจดจำได้ทั้งหมด
“ท่านอาจารย์ซวนอี้ พวกเขาเหลือนี้คือสหายเก่าของชายหนุ่มคนนั้น ทั้งหมดรู้จักกันมานานแล้ว”
ในเวลานั้นเอง จู่ๆ หนิงซื่ออว๋ก็กล่าวขึ้นมา
สำหรับที่ว่าไฉนนางถึงมาอยุ่ที่นี่ได้ ซวนอี้มิได้รู้สึกแปลกใจเลยแม้สักนิด เพียงว่าไม่คิดไม่ฝันว่านางจะมาหาท่านปรมาจารย์เย่เร็วปานนี้
“ท่านอาจารย์?”
สายตาที่จับจ้องของเซียวเฟิงแปรเปลี่ยนเป็นความตั้งใจขึ้นทันใด ยามนี้เหลือบมองหนิงซื่ออวี๋เจือหน้าตกตะลึงยิ่ง
เขาไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่า ภูมิหลังของสาวน้อยนางนี้จะยอดเยี่ยมเกินหยั่งถึง!
ซวนอี้เป็นถึงผู้มีอิทธิพลภายในหอโอสถอย่างแท้จริง แต่ปรากฏว่านางกลับเป็นศิษย์ของซวนอี้!
เย่หยวนรู้สึกประหลาดใจไม่น้อยเช่นกัน โดยไม่คิดเลยว่าชายชราคนนี้จะเป็นท่านอาจารย์ของหนิงซื่ออวี๋
แต่ด้วยเหตุนี้ทุกอย่างจึงสามารถอธิบายได้เช่นกัน มีความเป็นไปได้สูงว่า อีกฝ่ายน่าจะเคยเห็นโอสถประตูศิลาวายุที่เขาหลอมกลั่นมาก่อน จึงต้องการเดินทางมาหาเพื่อแลกเปลี่ยนสนทนาความรู้
“ท่านปรมาจารย์ซวนอี้มาที่นี่คงเป็นเพราะเรื่องของเย่หยวนใช่หรือไม่?”
เซียวเฟิงเองก็มิได้โง่ ทันทีที่เห็นภาพฉากสถานการณ์เช่นนี้ เขาก็เข้าใจได้อย่างรวดเร็ว
ซวนอี้ยิ้มกล่าวว่า
“ถูกต้องแล้ว ฟังว่าขอบเขตความรู้ในศาสตร์แห่งโอสถของปรมาจารย์เย่กว้างใหญ่ไร้สิ้นสุด ดังนั้นจึงมาหาเพื่อขอคำชี้แนะ”
รูม่านตาดำของเซียวเฟิงตีบตันลงงทันใด แม้เขาจะรู้ว่าเย่หยวนน่าเกรงขามมากเพียงใด แต่กระทั่งปรมาจารย์ซวนอี้ยังให้เกียรติเรียกเย่หยวนว่า ปรมาจารย์เย่ด้วยความเคารพเลื่อมใสปานนี้ นี่ทำให้เขาอึดอัดใจอย่างยิ่ง
สิ่งหนึ่งที่ควรทราบ เพียงปรมาจารย์ซวนอี้กระทืบเท้าแค่ครั้งเดียว ก็สามารถทำให้เมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์สั่นสะเทือนโดยทั่วได้แล้ว!
แต่ตอนนี้เขากลับดูอ่อนน้อมถ่อมตนยิ่งเมื่ออยู่ต่อหน้าเย่หยวน!
อย่างไรก็ตาม ในขณะนั้นเองหนิงซื่ออวี๋ก็ก้าย่างออกมาและดึงแขนเสื้อของซวนอี้เล็กน้อย นางกล่าวว่า
“ท่านอาจารย์ แลกไปแลกเปลี่ยนความรู้อะไรกับเขาเลย! เขาคนนี้ไม่คู่ควรอีกต่อไปแล้ว! หึ!”
ซวนอี้ค่อนข้างแปลกอกแปลกใจยิ่งกับท่าทีของหยิงซื่ออวี๋ ก่อนหน้านางยังยกย่องเย่หยวนแทบชูขึ้นฟ้า ไฉนยามนี้กลับเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังเท้าขนาดนี้?
หนิงซื่ออวี๋กระทืบเท้าดังและเล่าเรื่องของคู่ลุงหลานสกุลหวางให้ฟังด้วยความโกรธเกรี้ยว และทิ้งท้ายว่า
“ท่านอาจารย์ ท่านยังคิดว่าคนที่ไม่มีความรับผิดชอบเช่นนี้ยังเรียกว่าปรมาจารย์ได้อีกรึ?”
ซวนอวี้เหลือบมองหนิงซื่ออวี๋เล็กน้อยพลางหันไปทางเย่หยวน ทันทีทันใดเขายิ้มกล่าวว่า
“นังตัวแสบ นี่เจ้าเคยรู้อะไรบ้าง? แต่เดิมสองลุงหลานคู่นี้ก็เป็นคนของอู๋เฟินแต่แรกแล้ว ทั้งนี้ยังมีบุญคุณมากมาย ถึงวิธีลอบสังหารจะค่อนข้างน่าเกลียดผิดมนุษยธรรม แต่ก็ไม่มีใครสามารถกล่าวว่าลับหลังได้เช่นกัน! แล้วเจ้าจะขอให้ปรมาจารย์เย่เข้าแทรกแซงเรื่องของคนอื่นได้อย่างไร? นี่มันไม่สมเหตุสมผลเลย!”
หนิงซื่ออวี๋ที่ได้ยินแบบนั้นก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ที่ท่านอาจารย์ของนางก็ยังอยู่ข้างเย่หยวน ยามนี้คำรามดังลั่นขึ้นว่า
“ไฉนท่านเองก็เป็นเช่นนี้! แล้วที่อีกฝ่ายกระทำไปมันสมเหตุสมผลแล้วงั้นรึ? พวกท่านคิดเฝ้าดูอยู่เฉยๆจริงรึ?”
ซวนอี้ยิ้มกล่าวว่า
“เจ้านี่ช่างใจร้อนไม่เปลี่ยนจริงๆ ยิ่งร้อนรนยิ่งจมดิ่ง! ปรมาจารย์เย่เป็นเพียงเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าชั้นต้นเท่านั้น แต่ขุมกำลังของหอเต๋ออี้นับว่าน่าเกรงขามยิ่ง ทั้งยังมีความสัมผัสกับตระกูลตงฟางและหอโอสถ การที่เจ้าขอให้ปรมาจารย์เย่เข้าไปแทรกแซง มันไม่ต่างอะไรกับส่งเหยื่อเข้าปากเสือหรอกรึ?”
หนิงซื่ออวี๋ดูคล้ายเป็นกังวลหนักและกล่าวว่า
“แล้วเช่นนั้น…เป็นไปได้ไหมว่าที่พวกเราไม่สามารถทำอะไรได้จริงๆ?”
“หุหุ นังตัวแสบ! แล้วเขาบอกตอนไหนว่าไม่สนใจที่จะช่วยเหลือ? ไม่ต้องกังวลนัก หากยังเร่งเร้าปรมาจารย์เย่ เจ้าก็เตรียมรับโทษนั่งจ้องกำแพงเป็นเวลาสามปี!”
ซวนอี้กล่าวดุพร้อมรอยยิ้ม
ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น หนิงซื่ออวี๋ร้องเสียงหลงตอบกลับทันที
“ไม่กังวลแล้ว! ข้าไม่กังวลอะไรแล้ว! หึ!”
หนิงซื่ออวี๋ถลึงใส่เย่หยวน
แต่ในอีกด้าน นางก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมากเช่นกัน ราวกับว่าท่านอาจารย์มองผ่านรู้อะไรบางอย่างแน่นอน ถึงได้กล่าวแบบนั้นไป
เย่หยวนเองก็รู้สึกประหลาดใจมากเช่นกัน เขากับชายชราคนนี้เพิ่งพบเจอกันเมื่อครู่ ทว่ากลับมองผ่านอ่านความคิดของเขาออกแล้วจริงๆ
แน่นอนว่าเขาคนนี้หาใช่ชายชราธรรมดาทั่วไปแน่นอน
“ปรากฏว่าท่านอาวุโสท่านนี้เป็นอาจารย์ของซื่ออวี๋ ก่อนหน้าทำให้ท่านขุ่นเคืองต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่ง หากท่านต้องการสนทนาแลกเปลี่ยนความรู้เชิญเข้าไปนั่งพักด้านในก่อน แล้วค่อยเริ่มสนทนากันดีกว่า”
ซวนอี้ที่ได้ยินเช่นนั้นก็อดขำมิได้ว่า
“ข้าไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่า ในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ เราชายชราต้องพึ่งพาบารมีของศิษย์ตนเองเพื่อบรรลุเป้าหมายในวันนี้! ฮ่าๆ”
ทุกหนแห่งที่ซวนอี้ย่างก้าวเดินออกไปล้วนมีแต่ผู้คนรุมล้อมขอคำชี้แนะ เสาะหาทั่วเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ มีใครบ้างไม่เคารพเขา?
แต่ใครจะรู้ว่า วันนี้เด็กหนุ่มอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าชั้นต้นกลับไม่สนใจเขาเลยด้วยซ้ำ
ที่ทัศนคติของเย่หยวนต่อตัวเขาแปรเปลี่ยนไปก็เพราะหนิงซื่ออวี๋ เห็นแบบนี้ก็อดขำตัวเองมิได้
เมื่อเข้าไปหลังร้านขายโอสถก็เป็นห้องหลอมกลั่นที่เย่หยวนใช้เป็นประจำ จากนั้นเย่หยวนก็เอ่ยถามขึ้นว่า
“ข้าสงสัยว่าเรื่องใดที่ท่านต้องการแลกเปลี่ยนความรู้กับข้า?”
ซวนอี้เตรียมพร้อมมาแล้วอย่างเห็นได้ชัด เขากล่าวตอบไปทันทีว่า
“เรื่องหลอมกลั่นโอสถ!”
หนิงซื่ออวี๋โพล่งอุทานขึ้นด้วยความตกใจ
“ท่านอาจารย์เป็นถึงจอมเทพโอสถสี่ดาว นี่มิใช่มากลั่นแกล้งกันหรอกรึ?”
ซวนอี้ดึงหน้าเคร่งขรึมกล่าวดุว่า
“นังตัวแสบ เจ้าไม่ต้องพูดมากแล้วไปเฝ้ามองอยู่มุมโน่นเลย! ในขณะที่ข้ากับปรมาจารย์เย่หลอมกลั่นโอสถ เจ้าต้องตั้งใจศึกษาและจดจำทุกรายละเอียดให้ดี! สิ่งนี้มันจะมีประโยชน์ต่อเจ้าติดตัวไปตลอดชีวิต! อืม..ปรมาจารย์เย่ ลองหลอมกลั่นโอสถเทียบกันดูได้หรือไม่ โดยใช้โอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสามชนิดเดียวกัน”
เย่หยวนพยักหน้าตอบกลับโดยไม่มีข้อคัดค้าน
ในขณะที่หนิงซื่ออวี๋พึมพำกับตนเองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถอยออกไปเฝ้ามองอย่างไม่เต็มใจนัก
เวลาเดียวกัน เซียวเฟิงก็รู้สึกตื่นอกตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง ทั้งสองคนนี้เป็นยอดปรมาจารย์นักหลอมโอสถแห่งเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์อย่างแท้จริง!
มีเพียงเขาและหนิงซื่ออวี๋ที่โชคดีอย่างมาก ยามนี้ได้มีโอกาสชมการหลอมกลั่นโอสถของทั้งสอง!
เมื่อไล่หนิงซื่ออวี๋จอมขี้บ่นออกไปได้ ซวนอี้ก็หันไปทางเย่หยวนและกล่าวว่า
“เราชายชราคนนี้เตรียมสูตรโอสถกว่าสิบชนิดและเตรียมวัตถุดิบอีกชนิดละสองชุด พวกเรามาหลอมกลั่นแลกเปลี่ยนความรู้กันดีหรือไม่?”
เย่หยวนหาได้แยแสโดยธรรมชาติ เขาพยักหน้ากล่าวตอบไปว่า
“แล้วแต่ที่ท่านต้องการเลย!”
ซวนอี้พยักหน้าและกล่าวว่า
“เช่นนั้น ข้าของเริ่มด้วยโอสถชนิดแรก โอสถดาราจันทร์เงิน”
เพื่อความยุติธรรมซวนอี้ใช้แค่หม้อหลอมโอสถระดับสามเท่านั้น มันเป็นหม้อหลอมระดับสามที่เขาเคยใช้เมื่อตอนที่ยังเป็จอมเทพโอสถสามดาว
ขณะที่ซวนอี้เริ่มขยับตัว คลื่นอากาศโดยรอบเริ่มโหมสะพัดขึ้นโดยธรรมชาติ
กระบวนการสกัดตัวเชื้อเขาเคลื่อนขยับเสร็จสิ้นในพริบตา
ตามที่คาดไว้ไม่มีผิด บุคคลที่แม้แต่เซียวเฟิงยังเลื่อมใส เขาหาใช่ชายชราธรรมดาแน่นอน
“โอสถดาราจันทร์เงิน วัตถุดิบหลักคือ ไม้จันทร์เงิน เมล็ดดวงดารา และสมุนไพรวิญญาณอีกสองสามชนิด แต่กุญแจสำคัญอยู่ที่วัตถุดิบเสริม…”
หลังจากที่ซวนอี้เริ่มหลอมกลั่นโอสถแล้ว เย่หยวนก็เพิ่งเริ่มทบทวนสูตรโอสถรำพึงรำพันอยู่กับตัวเอง
คู่ดวงตาของเซียวเฟินและหนิงซื่ออวี๋พลันไสวเปล่งประกายขึ้นทันที พวกเขาจับจ้องไปที่ซวนอี้ไม่วางตา ยามนี้เขามาถึงขั้นตอนที่ยากที่สุดแล้ว
ตอนที่ 1560 หยิบใช้ประโยชน์เพื่อสั่งสอนศิษย์
โดย
Ink Stone_Fantasy
ระดับความยากในการหลอมกลั่นโอสถดาราจันทร์เงินถือว่าปานกลาง มันง่ายกว่าโอสถฤทัยปราณสวรรค์เล็กน้อย
ด้วยความแข็งแกร่งของซวนอี้ จึงไม่จำต้องใช้เวลามากมายนัก
คล้อยหลังสองชั่วยามกว่า โอสถดาราจันทร์เงินก็เสร็จสิ้น
เซียวเฟิงเอ่ยกล่าวเชยชมออกมา
“ท่านปรมาจารย์ซวนอี้สมควรแล้วกับตำแหน่งผู้อาวุโสรองแห่งหอโอสถ ฝ่ามือเคลื่อนจักรวาลช่างน่าอัศจรรย์อย่างแท้จริง! โอสถดาราจันทร์เงินที่ได้อย่างต่ำคงเป็นขั้นยอดเยี่ยมกระมัง?”
ซวนอี้หัวเราะเบาๆกล่าวว่า
“เราชายชราไร้ความสามารถ ปรมาจารย์เย่คิดเห็นอย่างไร?”
เย่หยวนเอ่ยตอบเสียงเรียบว่า
“ข้าเองก็เดาไม่ออกเช่นกัน บางทีอาจยังศึกษารายละเอียดโอสถชนิดนี้ไม่ถี่ถ้วนพอ แต่ควรจะได้ขั้นเทวะกระมัง”
เซียวเฟิงขั้นกับหนังหน้ากระตุกไม่หยุดหย่อน คนที่หาญกล้าประเมินปรมาจารย์ซวนอี้แบบนี้คงมีเพียงเย่หยวนคนเดียว?
แต่หนิงซื่ออวี๋คลี่ยิ้มเจือหยอกล้อ นางกล่าวว่า
“อาจารย์ ท่านถูกอีกฝ่ายประเมินซะไม่เห็นค่าเชียว! ตามที่เขากล่าวมา เห็นได้ชัดว่าถึงได้ขั้นเทวะแล้วแต่นี่ยังมิใช่ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ ใช่หรือไม่ปรมาจารย์เย่?”
ซวนอี้ดวงตาเปล่งประกายขึ้นทันใด เขากล่าวถามด้วยความสนใจว่า
“โอ้? ปรมาจารย์เย่มีสิ่งใดต้องการชี้แนะหรือไม่?”
มุมปากเย่หยวนกระตุกเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มอธิบายให้ทั้งสามฟัง
ซวนอี้เป็นปรมาจารย์ด้านหลอมกลั่นโอสถ เขายังพอเข้าใจอะไรอยู่บ้าง แต่เย่หยวนไม่คิดมากก่อนเลยว่า หญิงสาวนางนี้จะมีไหวพริบช่างสังเกต ถึงได้รู้ทันเขาแบบนี้
หยิงซื่ออวี๋เองก็ไม่คิดซ่อนเช่นกัน นางจึงเอ่ยกล่าวออกมาตรงๆ
การจะเข้าถึงขอบเขตความเข้าใจของเย่หยวนต่อศาสตร์แห่งโอสถ มันหาใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะเทียบเคียงได้
แม้แต่เซียวเฟิงในตอนนี้เองยังเปรียบเสมือนเด็กน้อยที่อยู่ต่อหน้าเขา
ทว่าอย่างไร ที่เย่หยวนไม่คิดที่จะกล่าวออกมาในทีแรก เป็นเพราะมันหาใช่สิ่งที่เขาเข้าใจได้โดยสมบูรณ์
เขาเข้าถึงเพียงเศษเสี้ยวของเต๋าแห่งโอสถเท่านั้น หากใช่ทั้งหมด!
แต่ด้วยประสบการณ์ของซวนอี้เอง ก็ทำให้เขาสามารถแยกแยะได้โดยธรรมชาติว่าสิ่งที่เย่หยวนกล่าวไปถูกต้องหรือไม่
ซวนอี้มั่นใจอย่างยิ่งว่า หากหลอมกลั่นตามคำแนะนำของเย่หยวน คุณภาพโอสถที่ได้คงมีประสิทธิภาพสูงสุดแน่นอน!
แม้จะเป็นขั้นเทวะแล้วก็จริง แต่ในบรรดาระดับขั้นนี้ยังมีความแตกต่างอยู่บ้าง ซึ่งความแตกต่างนี้ระยะเพียงเล็กน้อยมันเท่ากับฟ้าดิน!
มิฉะนั้นแล้วขอบเขตแห่งเต๋าจะบรรลุได้ยากเกินจินตนาการได้อย่างไร?
โอสถดาราจันทร์เงินเป็นหนึ่งในโอสถที่เขาหลอมกลั่นได้สมบูรณ์แบบที่สุด แต่กลับไม่คิดเลยว่าในความสมบูรณ์นั้นกลับยังมีจุดเล็กจุดน้อยที่เขาพลาดไป
“สมแล้วที่ปรมาจารย์เย่บรรลุขอบเขตแห่งเต๋า! ถึงสามารถรับรู้ได้ถึงความผิดพลาดเล็กๆน้อยๆเช่นนี้! เราชายชราต้องขอขอบพระคุณยิ่งที่ปรมาจารย์เย่ชี้แนะ!”
ซวนอี้กล่าวน้ำเสียงสุภาพ
เย่หยวนที่ได้ฟังแบบนั้นถึงกับขมวดคิ้วแน่น เอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจขึ้นว่า
“ขอบเขตแห่งเต๋า?”
ซวนอี้ฉงนใจไม่ต่างเมื่อเห็นอีกฝ่ายมึนงง
“หรือเป็นไปได้ไหมว่า เจ้าจะไม่ทราบขอบเขตความเข้าใจของตน?”
เย่หยวนคลี่ยิ้มแสนขมขื่นใจ กล่าวว่า
“ข้าบรรลุได้โดยบังเอิญ แม้แต่ขอบเขตความเข้าใจข้าอยู่ระดับชั้นใดยังไม่ทราบจริงๆ ท่านอาวุโสโปรดอธิบายด้วยเถิด”
ซวนอี้อดประหลาดใจมิได้เมื่อได้ยิน สำลักน้ำลายพูดไม่ออกสักครู่หนึ่ง อีกฝ่ายไม่รู้ด้วยซ้ำถึงขอบเขตความเข้าใจของตน ทว่ากลับบรรลุมันได้?
แต่เมื่อพินิจให้ถี่ถ้วนแล้ว เรื่องนี้ก็ค่อนข้างสมเหตุสมผลเช่นกัน ลืมไปได้เลยสำหรับเย่หยวนที่อยู่ในอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าชั้นต้น แม้แต่เหล่าศิษย์ของพวกเขาที่อยู่ชั้นปลายยังไม่รู้เลยว่าขอบเขตแห่งเต๋าคือสิ่งใดกัน?
ซวนอี้ก็อธิบายกล่าวให้ฟังอย่างตรงไปตรงมาไม่คิดปกปิดเช่นกัน
หลังจากที่เย่หยวนฟังจนจบ ในท้ายที่สุดเขาก็เข้าใจถึงขอบเขตความเข้าใจในปัจจุบันของตน
ดูเหมือนว่าเมื่อเขาฝึกปรือศาสตร์แห่งโอสถด้วยวรยุทธหลอมกลั่นชนิดใหม่ที่คิดค้นขึ้น มันก็ช่วยผลักดันให้เขาสำเร็จถึงขอบเขตแห่งเต๋าได้แล้ว
จากประสบการณ์ของเขาบนมหาพิภพถงเทียน ในที่สุดเขาก็สามารถสำเร็จขอบเขตนี้ได้ในขณะที่อาศัยอยู่ในดินแดนของเผ่าปีศาจล
เย่หยวนประสานมือกล่าวขอบคุณว่า
“ขอบคุณท่านอาวุโสที่ช่วยแถลงไข ยามนี้ถึงเวลาข้าหลอมกลั่นโอสถดาราจันทร์เงินบ้างแล้ว โปรดอย่าหัวเราะวิธีหลอมกลั่นอันต่ำต้อยของข้า”
แต่ทันใดนั้นซวนอี้ก็กล่าวว่า
“ปรมาจารย์เย่โปรดรอสักครู่”
เย่หยวนเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ท่านมีอะไรงั้นรึ?”
จากนั้นเจ้าของร้านก็เข้ามารายงานว่า มีชายหนุ่มสี่คนมายืนรออยู่ด้านนอกร้านอยู่ก่อนแล้ว
เมื่อนำทั้งสี่เข้ามา หนิงซื่ออวี๋ถึงกับสะดุ้งเฮือกอุทานลั่นว่า
“ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่สอง ศิษย์พี่สาม ศิษย์พี่สี่ ไฉนพวกท่านถึงมาที่นี่?”
เมื่อเย่หยวนเห็นพวกเขา ก็เข้าใจจุดประสงค์ทั้งหมดของซวนอี้ได้ทันที ยามนี้อดยิ้มขื่นใจมิได้
“ท่านอาวุโสกำลังหยิบใช้ประโยคจากการแลกเปลี่ยนครั้งนี้เพื่อสั่งสอนศิษย์นี่เอง!”
ศิษย์พี่พี่ใหญ่ขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจยิ่งเมื่อได้ยินเย่หยวนกล่าวเช่นนั้น เขาเอ่ยปากด้วยความดูถูกขึ้นว่า
“สั่งสอนศิษย์? แค่จอมเทพโอสถสามดาวของเจ้าหรือเด็กน้อยที่กล้าสั่งสอนพวกเรา? อวดดี! ไร้ยางอาย!”
“ท่านอาจารย์ของพวกเราสถานะสูงส่งเกินเจ้าจะจินตนาการได้ มีหรือจะให้เจ้าหนูน้อยอย่างเจ้าหลอมกลั่นโอสถให้ดู?”
ศิษย์พี่สามกล่าวเสริม
“ท่านอาจารย์เรียกให้พวกเราทั้งสี่มาดูเด็กน้อยสามดาวนี่หลอมกลั่นโอสถงั้นรึ…นี่ไม่เสียเวลาเกินไปหน่อยรึ?”
ศิษย์พี่สี่ร้องอุทาน
มีเพียงศิษย์พี่สองเท่านั้นที่ปรับขนาดสายตาจับจ้องเย่หยวน แต่มิได้เอ่ยกล่าวอันใด
แต่เบื้องลึกในแววตานั้นเปี่ยมล้นไปด้วยความสงสัยเช่นกัน
เย่หยวนคนนี้ดูอย่างไรก็ยังเด็กเกินไปมาก เขาไม่คิดฝันจริงๆว่าเด็กน้อยตัวแค่นี้จะสามารถหลอมกลั่นโอสถประตูศิลาวายุขั้นเทวะได้!
ซวนอีเขมวดคิ้วโบกชายเสื้อสะบัดใส่พวกสี่พร้อมคำรามเสียงเยียบเย็นว่า
“พวกเจ้าติดตามข้ามาไม่กี่ปีกลับคิดหยิ่งผยองแล้วงั้นรึ? แม้แต่อาจารย์ผู้นี้ยังต้องแสดงความเคารพต่อปรมาจารย์เย่ แล้วพวกเจ้าเป็นใครกันถึงไม่แสดงความเคารพ? แถมยังกล้าดูหมิ่นเขาอีก?”
สีหน้าการแสดงออกของศิษย์พี่ทั้งสี่แปรเปลี่ยนไปทันทีอย่างช่วยมิได้ ยามนี้ท่านอาจารย์กำลังโกรธ ทุกคนต่างปิดปากเงียบอย่างช่วยไม่ได้
แต่บนใบหน้าของพวกเขายังมีคำว่า‘ดูถูก’ติดอยู่ไม่เสื่อมคลาย แม้แต่คนโง่ยังมองออก
พวกเขาทั้งสี่คือสี่ศิษย์พี่ใหญ่ของปรมาจารย์ซวนอี้ ศิษย์พี่ใหญ่และศิษย์พี่สองเป็นจอมเทพโอสถสี่ดาว ส่วนศิษย์พี่สามและสี่เป็นจอมเทพโอสถสามดาวขั้นสุด ดังนั้นแล้วมีหรือที่พวกเขาจะเชื่อมั่นในตัวเย่หยวน
เมื่อซวนอี้เห็นสีหน้าการแสดงออกของทั้งสี่ที่ยังคงดูถูกไม่เสื่อมคลาย เขาก็เดือดดาลขึ้นอีกคราขณะที่กำลังจะคำรามด่าระลอกสอง แต่ทันใดนั้นเย่หยวนกลับกล่าวขัดขึ้นว่า
“ท่านอาวุโสไม่ควรตำหนิพวกเขา สั่งให้จอมเทพโอสถสี่ดาวมาเฝ้าศึกษาการหลอมกลั่นของจอมเทพโอสถสามดาว เป็นใครล้วนต้องหงุดหงิดเป็นธรรมดา”
“เหอะ อย่างน้อยตัวเจ้ายังพอตระหนักรู้ได้!”
ศิษย์พี่คนโตสวนตอบพร้อมรอยยิ้มแสนเหยียดเย็น
เย่หยวนเหลือบมองอีกฝ่ายเล็กน้อยและยิ้มกล่าวว่า
“อยู่ที่พวกเจ้าจะคิด ข้าในยามนี้ต้องประลองหลอมกลั่นโอสถสิบชนิดกับอาจารย์พวกเจ้า หากในบรรดาสิบเม็ดนี้โอสถของข้ามีคุณภาพต่ำกว่าสักเม็ด ข้าจะโขกศีรษะขอโทษพวกเจ้าทั้งหมด ว่าอย่างไร?”
“อวดดี!”
“หยิ่งยโส!”
“ฟ้าต่ำแผ่นดินสูงหารู้จักไม่!”
คำกล่าวของเย่หยวนทำให้ทั้งสี่ระเบิดอารมณ์ออกมาแทบจะพร้อมกัน
แต่แต่ซวนอี้เองยังเผยสีหน้าประหลาดใจไม่น้อยเช่นกัน
เด็กหนุ่มคนนี้มั่นใจมาก!
เขาตระหนักดีว่าขอบเขตแห่งเต๋ามันน่าเกรงขามเพียงใด แต่แท้จริงแล้วกลับน่ากลัวแค่ไหนย่อมไม่ทราบ
สูตรโอสถทั้งสิบชนิดล้วนถูกคัดสรรมาเป็นอย่างดีโดยเขา
เหล่าศิษย์พี่ทั้งสี่สำลักไม่น้อย ไฉนคนเหลือขอคนนี้ถึงมั่นใจนัก?
“ฮ่าๆ ข้าเห็นด้วย! ท่านปรมาจารย์เย่ฝากสั่งสอนเหล่าศิษย์พี่ของข้าสักบทเรียน! บอกให้รู้ไปเลยว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้าเสมอ!”
หนิงซื่ออวี๋ระเบิดหัวเราะลั่นพลางปรบมือท่ามกลางความโกลาหลนี้
สีหน้าของศิษย์พี่ใหญ่แปรเปลี่ยนไปทันที เขาเอ่ยกล่าวขึ้นด้วยความไม่พอใจว่า
“ศิษย์น้องหญิง นี่เจ้าอยู่ข้างใครกันแน่?”
หนิงซื่ออวี๋แลบลิ้นใส่และกล่าวตอบว่า
“ข้าย่อมอยู่ข้างท่านอาจารย์ แต่การจะเอาชนะท่านปรมาจารย์เย่กลับมิใช่เรื่องง่าย!”
เย่หยวนยิ้มและกล่าวกับซวนอี้ว่า
“ท่านอาวุโสเปิดหม้อหลอม!”
ฝ่ามือของซวนอี้สั่นกระตุกเล็กน้อย นั้นทันทีทันใดโอสถดาราจันทร์เงินก็บินออกมาจากหม้อหลอม
ปรากฏว่าเป็นโอสถขั้นเทวะจริงๆ!
เมื่อศิษย์พี่ใหญ่เห็นดังนั้น เขาถึงกับระเบิดหัวเราะเยาะลั่นและกล่าวว่า
“เห็นแล้วใช่ไหม? นี่แหละคือความแข็งแกร่งที่แท้จริง! ท่านอาจารย์หลอมกลั่นได้ขั้นเทวะ แล้วเจ้าจะไปเหนือกว่าได้อย่างไร! จอมเทพโอสถสามดาวตัวน้อยแสนโง่เง่า ปรากฏว่าช่างปัญญาอ่อนสิ้นดี!”
“ไอ้เด็กเหลือขอ ยังไม่รีบคุกเข่าขอขมาพวกข้าอีก!”
ศิษย์พี่สามกล่าวเสริม
แต่เย่หยวนกลับหัวเราะกล่าวว่า
“ใครบอกว่าขั้นเทวะแล้วจะไม่สามารถเอาชนะได้? เหนือฟ้ายังมีฟ้าเสมอ!”
ตอนที่ 1561 เหนือกว่าขั้นเทวะ!
โดย
Ink Stone_Fantasy
“เหอะ ปากเก่งจริงๆ! กล่าวราวกับว่ายังมีระดับที่เหนือกว่าขั้นเทวะ! ไร้สาระสิ้นดี! เช่นนั้นข้าก็อยากเห็นเช่นกันว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้าของเจ้ามันเป็นอย่างไร!”
ศิษย์พี่ใหญ่เอ่ยตอบเสียงเยียบเย็น เหลือบมองเย่หยวนด้วยสายตารังเกียจยิ่ง
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“เช่นนั้นก็จงเบิกตาดูให้ดี”
เมื่อเย่หยวนเริ่มหลอมกลั่นโอสถ แม้แต่ซวนอี้เองยังแสดงสีหน้าเคร่งขรึมจับจ้องไม่วางตา
นับตั้งแต่ที่เขารู้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้บรรลุถึงขอบเขตแห่งเต๋าได้แล้ว ซวนอี้ก็ตื่นเต้นถึงขั้นนอนไม่หลับหวังจะเห็นอีกฝ่ายหลอมกลั่นกับตาตนเอง
ในที่สุดวันนี้เขาก็ได้สมความปรารถนาเสียที
ในขณะเดียวกัน ไฟศักดิ์สิทธิ์แผ่ซ่าน กลิ่นอายแห่งเต๋าแผ่กระจายไปทั่วห้องหลอมกลั่น
สีหน้าการแสดงออกของศิษย์พี่ทั้งสี่แปรเปลี่ยนไปอย่างมาก ยามนี้เผยปรากฏล้นความแตกตื่นใจ
ขุมพลังอัศจรรย์เช่นนี้ แม้แต่ท่านอาจารย์ของพวกเขาก็ยังไม่เคยปลดปล่อยออกมาได้
ความยากในการหลอมกลั่นโอสถดาราจันทร์เงินนับว่าระดับชั้นปฐมพื้นฐานเกินไปสำหรับเย่หยวน เขาไม่จำต้องใช้ความพยายามอันใดมากนัก
เวลาหลอมกลั่นค่อยๆผ่านพ้นไป
ชั่วพริบตาหนึ่งชั่วยามพ้นผ่าน ท่ามกลางสายตาสุดตื่นตะลึงของทุกคน ในที่สุดเย่หยวนก็หลอมกลั่นเสร็จสิ้น
ซวนอี้เลิกคิ้วดูคล้ายมึนงงอยู่หลายส่วน
ในขณะที่ศิษย์พี่ทั้งสี่ที่เฝ้ามองไม่ห่างตา ยามนี้ล้วนแต่การันตีผลลัพธ์ในใจแล้วว่า คุณภาพโอสถที่เด็กคนนี้หลอมกลั่นได้คงไม่ต่ำกว่าของท่านอาจารย์พวกเขาแน่นอน!
เห็นเพียงแค่นี้ก็ทำให้พวกเขาทั้งสี่ตระหนักได้แล้วว่า พวกเขายังคงห่างชั้นกับเด็กคนนี้มากนัก
แม้ว่าศิษย์พี่ใหญ่และศิษย์พี่สองจะเป็นจอมเทพโอสถสี่ดาวแล้ว แต่การหลอมกลั่นโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสามให้ได้ขั้นเทวะ ถือว่าได้แต่ฝันไปเท่านั้น
สิ่งที่พวกเขาประหลาดใจที่สุดคือ เย่หยวนเป็นเพียงเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าชั้นต้นเท่านั้น แต่ไฉนการหลอมกลั่นของเขาถึงได้สมบูรณ์แบบปานนี้?
“เป็นอย่างไรบ้างศิษย์พี่ใหญ่? ตอนนีเชื่อหรือยัง?”
ทันทีทันใด สุ้มเสียงของหนิงซื่ออวี๋พลันดังขึ้นข้างหูของเขา ทำให้ศิษย์พี่ใหญ่สะดุ้งโหย่งได้สติขึ้นมา
ศิษย์พี่ใหญ่ตะคอกส่วนกลับไปว่า
“เด็กคนนี้…แข็งแกร่งอย่างมากก็จริง แต่…ระดับชั้นคงไม่มีทางเหนือไปกว่าขั้นเทวะของท่านอาจารย์แน่นอน! ในแง่มุมของข้า อย่างมากก็ขั้นสวรรค์เองกระมัง!”
หนิงซื่ออวี๋กลล่าวตอบขึ้นมาว่า
“ผ่อนคลาย ท่านปรมาจารย์เย่จะหลอมกลั่นได้ข้เทวะอย่างไม่ต้องสงสัย!”
นางเคยเห็นเย่หยวนหลอมกลั่นโอสถประตูศิลาวายุกับตา จึงทราบดีว่าแค่โอสถดาราจันทร์เงิน อีกฝ่ายยังมิได้เอาจริงด้วยซ้ำ
นางทราบถึงขั้นว่า ตอนที่เย่หยวนเอาจริงชนิดที่ไม่รั้นรอนฝีมือ คงเป็นตอนที่เขาหลอมกลั่นโอสถชำระไขกระดูกสวรรค์
และในเมื่อเย่หยวนไม่จำต้องเอาจริงด้วยซ้ำกับการหลอมกลั่นครั้ง นี่ก็สามารถบอกได้ว่า เขามีความมั่นใจขนาดไหน
อย่างไรก็ตาม ศิษย์พี่ใหญ่ยังคงเค้นเสียงเย็นเอ่ยหยามเหยียดขึ้นว่า
“หึ! เจ้าคิดว่าโอสถขั้นเทวะมันหลอมกลั่นง่ายดั่งกะหล่ำปลีกระมัง? แม้ว่าเขาจะหลอมกลั่นได้ขั้นเทวะจริงๆ แต่มันก็ไม่มีทางเหนือไปกว่าท่านอาจารย์!”
“เช่นนั้นรึ?”
เย่หยวนคลี่ยิ้มเล็กน้อย ฝ่ามือสั่นกระตุกวูบหนึ่ง ปรากฏเม็ดโอสถลอยออกมาจากหม้อหลอม
ทุกคนต่างขยับขยายสายตาจับจ้องทันทีโดยมิตั้งใจ
ปรากฏว่าเป็นโอสถดาราจันทร์เงินขั้นเทวะเช่นกัน!
“เหอะ อย่างที่ข้ากล่าวไปไม่ผิดเพี้ยน อย่างท่านปรมาจารย์เย่หรือจะหลอมกลั่นไม่ได้ขั้นนี้?”
หนิงซื่ออวี๋หยักไหล่ตอบ
ศิษย์พี่ใหญ่เม้มปาก ยังคงกล่าวเถียงออกไปว่า
“แม้จะเป็นขั้นเทวะเช่นกัน แต่อย่างมากก็เทียบกับของท่านอาจารย์ ไอ้เด็กเหลือขอนี่แพ้!”
ซวนอวี้กลอกตาไปมาด้วยความรำคาญ ก่อนกล่าวขึ้นว่า
“เจ้าศิษย์คนนี้! หุบปาก! รอบนี้กลับเป็นอาจารย์ผู้นี้ที่พ่ายให้แก่ปรมาจารย์เย่ โอสถดาราจันทร์เงินของปรมาจารย์เย่บรรลุถึงชั้นเทวะโมฆะ!”
สายตาที่จับจ้องของศิษย์พี่ใหญ่แปรเปลี่ยนไปทันใด อุทานคำลั่นเจือเหลือเชื่อว่า “ท่านอาจารย์ล้อเล่นกระมัง? ยังมีใคร…มีใครสามารถไปถึงขั้นเทวะโมฆะได้อีกงั้นรึ?”
ซวนอี้ตะคอกสวนกลับไปทันที
“ก็ใช่ไง! มิฉะนั้นข้าจะเรียกพวกเจ้าให้มาดูทำไม!”
ขั้นเทวะกลับมิใช่จุดสิ้นสุดที่แท้จริง
ในบรรดาโอสถขั้นเทวะด้วยกันยังสามารถแบ่งได้อีกห้าระดับชั้นคุณภาพ!
ขั้นเทวะม่วง ขั้นเทวะโมฆะ ขั้นเทวะวิญญาณไพศาล ขั้นเทวะวิญญาณมรณา และสุดท้ายคือขั้นเทวะตำนาน!
แน่นอนว่ายิ่งคุณภาพโอสถสูงขึ้นเท่าไหร่ ความบริสุทธิ์ก็ยิ่งสูงขึ้นตามไปเท่านั้น
ช่องว่างระหว่างห้าระดับชั้นคุณภาพนี้ยิ่งใหญ่ดั่งฟ้าดิน และแต่ละระดับชั้นประสิทธิภาพของโอสถแตกต่างกันหลายสิบเท่าทวี!
โอสถขั้นเทวะเป็นเพียงเกณฑ์ความบริสุทธิ์ที่สูงจนสามารถให้กำเนิดความสามารถพิเศษแฝงในเม็ดโอสถนั้นได้
แต่ขีดจำกัดที่แท้จริงของศาสตร์แห่งโอสถกลับสูงล้ำเกินจินตนาการไปแล้ว
ว่ากันว่าเหนือขีดจำกัดยังมีช่องว่างสำหรับพัฒนาต่อยอดขึ้นไปได้อีก
เพียงว่าการจะพัฒนาต่อจากขั้นเทวะให้สูงขึ้นไปอีกกลับเป็นเรื่องยากเกินพรรณนาได้
ด้วยระดับชั้นของศิษย์พี่ใหญ่การจะหลอมกลั่นโอสถศักดิ์สิทธิ์สามดาวหาใช่เรื่องยากเกินไปเช่นกัน หากบังเอิญหรือโชคดีจริงๆ อาจมีบ้างที่หลอมกลั่นได้ขั้นเทวะ แต่นั่นก็เป็นแค่ขั้นเทวะม่วงที่เป็นระดับชั้นธรรมดาที่สุด
สำหรับขั้นเทวะโมฆะกลับเป็นเรื่องเกินจินตนาการมากไปแล้ว!
อย่างไรก็ตาม เย่หยวนที่เป็นแค่จอมเทพโอสถสามดาว เขากลับสามารถหลอมกลั่นขั้นเทวะโมฆะได้แล้วจริงๆ!
นี่มันน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!
ซวนอี้วางโอสถทั้งสองเม็ดเทียบกันชัดๆและกล่าวกับศิษย์ทั้งสี่ของตนว่า
“เช่นนั้นพวกเจ้าก็จงดูด้วยตาตนเอง เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างโอสถทั้งสองเม็ด!”
ศิษย์พี่ใหญ่ขยับขยายสายตาจับจ้องเขม็งไปมา ก่อนอุทานลั่นว่า
“จริงๆด้วย…โอสถของท่านอาจารย์ดูด้อยกว่าเล็กน้อย น่าเสียดายอีกนิดเดียวก็จะบรรลุถึงขั้นเทวะโมฆะได้แล้ว!”
ศิษย์พี่ใหญ่มุ่งเป้าความสนใจไปกับการเปรียบเทียบโอสถทั้งสองเม็ดจนลืมสรรพสิ่งรอบตัวไปโดยชั่วขณะ
นั้นเป็นโอสถชั้นเทวะโมฆะจริงๆ! นี่มันโอสถระดับตำนาน!
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“ท่านอาวุโสซวนอี้ เช่นนั้นเริ่มรอบต่อไปกันเถอะ!”
ซวนอี้พยักหน้ากล่าวว่า
“เช่นนั้นข้าเริ่มก่อน!”
บรรดาศิษย์พี่ทั้งสี่เพิ่งได้สติกันพลับมา ศิษย์พี่ใหญ่เม้มปากแน่นกล่าวว่า
“โอสถชนิดหลังๆ มีแต่จะยากและซับซ้อนขึ้น ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าหนุ่มนี่จะสามารถเอาชนะท่านอาจารย์ได้ทุดรอบ! คราวนี้เตรียมโขกศีรษะขอขมาได้เลย!”
แต่เมื่อเวลาผ่านพ้นไป สีหน้าการแสดงออกของพวกเขาก็ยิ่งตื่นตะใจมากขึ้นเรื่อยๆ
ยิ่งเวลาผ่านไป ฝีไม้ลายมือของเย่หยวนก็นิ่งผงาดง้ำน่าเกรงขามเกินจินตนาการ
หลังจากประสบความยากลำบากในการหลอมกลั่นโอสถหนักขึ้นเรื่อยๆ ซวนอี้ที่มาถึงรอบที่สามในที่สุด เขาก็ไม่สามารถหลอมกลั่นโอสถได้ขั้นเทวะอีกต่อไป
ในขณะที่เย่หยวนยังคงหลอมกลั่นได้ขั้นเทวะอย่างต่อเนื่อง!
“นี่…นี่มันเกินความเข้าใจข้าไปแล้ว! ยิ่งโอสถหลอมกลั่นได้ยากเท่าไหร่ เจ้าหนุ่มนี้กลับหลอมกลั่นได้คุณภาพสูงขึ้น! ไฉนเขาถึงทำได้ขนาดนี้?”
ศิษย์พี่ใหญ่ร้องอุทานขึ้นเจือน้ำเสียงตื่นตะลึงสุดหัวใจ
“ถูกต้อง! เขาคนนี้ยังใช่มนุษย์อย่างเราๆรึเปล่า?!”
ศิษย์พี่สองติงซุนอุทานลือลั่น
“กล่าวได้ว่าขุมพลังที่แท้จริงของเขาเหนือกว่าโอสถเหล่านี้หลายขุม เขาถึงสามารถรีดเร้นประสิทธิภาพโอสถออกมาได้จนถึงขีดสุดทุกเม็ด! ความเข้าใจของเขาบรรลุถึงขอบเขตใดแล้วกันแน่?”
การหลอมกลั่นโอสถของเย่หยวนล้วนแต่ทำให้ผู้คนที่เห็นรู้สึกสิ้นหวัง
พวกเขาไม่เคยคิดฝันมาก่อนสักนิดว่า การหลอมกลั่นโอสถขั้นเทวะจะง่ายปานกินดื่มเช่นนี้!
ไม่นานรอบที่ห้าก็จบลง เม็ดโอสถของเย่หยวนพุ่งออกมาจากเต๋า
ยังคงเป็นขั้นเทวะ!
ในที่สุดสายตาที่จับจ้องของซวนอวี้พลันดูจริงจังขึ้นถนัดตา ในที่สุดเขาก็ตระหนักได้แล้วว่า ตั้งแต่รอบแรกเย่หยวนยังไม่เริ่มเอาจริงเลย!
ความน่าทึ่งของขอบเขตแห่งเต๋าน่ากลัวเกินไป!
บูมมม!
ทันทีทันใด ทุกคนต่างตื่นตะลึงยิ่ง จู่ๆ ประตูด้านนอกร้านก็ถูกพังยับ!
“ไอ้บัดซบเย่หยวน! เตรียมตัวตายได้! หากยังมียอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าคนใดกล้าเข้าแทรกแซง ข้าจะส่งมันไปให้หอยุทธ์ทั้งหมด! และเตรียมรับโทษประหารได้เลย!”
ด้านนอกประตู สุ้มเสียงของอู๋เฟินแผดลั่นตะโกนกึกก้อง
เหล่าผู้ที่กำลังเฝ้ามองเย่หยวนหลอมกลั่นโอสถด้วยความหลงใหล ยามนี้ถูกขัดจังหวะกะทันหัน ราวกับถูกขัดความสุขชั่วพริบตา ลองคิดดูสิว่าพวกเขาทั้งหมดจะหงุดหงิดปานใด?!
ตอนที่ 1562 กล่าวไม่ไว้หน้า!
โดย
Ink Stone_Fantasy
ประตูหน้าร้านชายโอสถรับจ้างสารพัดถูกระเบิดกระจายโดยตรง
ภายในห้องรับลูกค้าที่มีสมุนไพรนานาชนิดวางเป็นระเบียบ ยามนี้กลับกระจัดกระจายไปทั่ว
เจ้าของร้านซ่อนตัวอยู่ใต้มุมโต๊ะ กลับจนไม่กล้าแม้แต่หายใจแรง
แรงกดดันที่แพร่สะพัดออกมาจากร่างถังรุยทำเอาเขาหลวดกลัวจนตัวสั่นเทา
“ไปเรียกไอ้บัดซบเย่หยวนออกมา! วันนี้ร้านขายโอสถรับจ้างสารพัดจักต้องหายไปจากเขตเมืองทางใต้ตลอดกาล!”
ถังรุยเอ่ยกล่าวน้ำเสียงเยียบเย็น
เมื่อซิงกวนเห็นถังรุย สีหน้าการแสดงออกของเขาพลันซีดลงทันทีอย่างช่วยมิได้ แต่เขายังคงข่มกลั้นสงบสติลงและประสานมือกล่าวว่า
“ท่านถังรุย ไม่ทราบว่าร้านขายโอสถสารพัดรับจ้างของเราไปทำอะไรผิด ถึงทำให้หอยุทธ์ไม่พอใจ?”
ถังรุยเหลือบมองอีกฝ่าย แววตาแสนหยามเหยียด
“เป็นเพียงมดปลวกตัวน้อย มีคุณสมบัติอะไรหาญกล้าตั้งคำถามกับข้าผู้นี้? ไสหัวไป!”
เพียงคำว่า‘ไสหัวไป’เหล่าพี่น้องซิงกวนราวกับรับแรงกดดันหนักหน่วงประดุจแดกผืนพิภพ ชนิดแทบล้มทั้งยืน
ซิงกวนเป็นถึงยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าครั้งขึ้น แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าถังรุย เขากลับไม่สามารถทนยืนอยู่ได้เกินสิบอึดใจด้วยซ้ำ
ถังรุยคนนี้มิใช่เซี่ยวยื่อเยว่มือใหม่แบบนั้น เขาเป็นถึงยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าสองดาว สามารถสังหารซิงกวนและเหล่าพี่น้องได้ด้วยคลื่นฝ่ามือเดียว
หากมิใช่เพราะกฎระเบียบของทางหอยุทธ์ที่บังคับใช้อย่างเข้มงวด ปานนี้ซิงกวนและคนอื่นๆคงกลายเป็นศพไปนานแล้ว
ซิงกวนคลานเข่าพยายามลุกขึ้นพร้อมกัดฟันแน่นกล่าวว่า
“ท่าน…หอยุทธ์ของท่านเองก็มีกฎเช่นกัน ไฉนถึงมาทำลายร้านขายโอสถรับจ้าสารพัดตามอำเภอใจเช่นนี้?”
ในเวลานั้นเองอู๋เฟินก้าวย่างออกหน้ามาแทนและกล่าวเย้ยว่า
“เจ้าอยากรู้นักใช่ไหม? เย่หยวนสมรู้ร่วมคิดกับยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้า ขัดคำสั่งของเขตเมืองทางตอนใต้ ข้าสงสัยว่าเพียงเท่านี้โทษยังไม่หนักอีกรึ?”
สีหน้าการแสดงออกของซิงกวนแปรเปลี่ยนไปทันที เขาคำรามลั่นอย่างโกรธเกรี้ยวขึ้นว่า
“อู๋เฟิน เจ้ากำลังใส่ร้ายผู้คนโดยไม่ซึ่งหลักฐาน! เหล่ายอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้ามาที่นี่เพื่อแลกเปลี่ยนสนทนาด้านศาสตร์แห่งโอสถ ข้าสงสัยเสียจริงว่าไปขัดสั่งตอนไหน?”
ดวงตาของถังรุยเบิกกว้าง เค้นเสียงเยียบเย็นกล่าวว่า
“ไม่ว่าพวกเขาจะออกมาทำอะไรจำต้องทำเรื่องผ่านหอยุทธ์ก่อนมิใช่รึ? ข้าบอกไปแล้ว เลิกพล่ามเรื่องไร้สาระมิฉะนั้นข้าจะไม่สุภาพอีกต่อไปแล้ว!”
ภายใต้แรงกดดันอันทรงพลัง กายาทั่วทั้งร่างของซิงกวนสั่นสะท้านไม่หยุดหย่อน
อย่างไรก็ตามเขายังคงกัดฟันดื้อรั้นไม่ยอมหลีกถอย
ชั่วชีวิตของซิงกวนให้ความสำคัญกับมิตรภาพและความภักดีเป็นที่สุด
เย่หยวนช่วยรักษาน้องสองของเขาจากความตาย ดังนั้นภายในใจของเขาจึงเปี่ยมล้นไปด้วยคำขอบคุณที่มีต่อเย่หยวน
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนที่เซียวยื่อเยว่ทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าเต็มขั้นได้และบุกมา หากมิใช่เพราะเย่หยวน ปานนี้กลุ่มอัสนีคำรนของเขาคงถูกถล่มเละไปนานแล้ว
ดังนั้น เมื่อเขาทราบข่าวว่าอู๋เฟินกำลังนำคนบุกเข้ามาก่อเรื่อง เขาจึงพาเหล่าพี่น้องออกมาสกัดต้านทันที
เว้นเสียว่า ซิงกวนไม่คิดมาก่อนเลยว่า อู๋เฟินจะเชิญยอเซียนของฝ่ายหอยุทธ์มาด้วยเช่นนี้
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่เห็นโล่งศพไม่หลั่งน้ำตา!”
ถังรุยคำรามเสียงเย็นดุจวาจาประหาร พร้อมขี้นิ้วใส่ซิงกวนโดยตรง
กลิ่นอายมรณะตีขึ้นมาจากเหนือศีรษะอยู่รำไร ภายใต้ดัชนีนี้ซิงกวนไม่สามารถต่อกรได้เลย เขาทำได้เพียงหลับตารอความตายเท่านั้น
บูมมม!
แต่ทันใดนั้นเอง รัศมีแรงกดดันอีกขุมหนึ่งที่มิได้อ่อนแอไปกว่าถังรุยพลันสกัดเข้าแทรกแซงระหว่างกิจของทั้งสองขึ้นฉับพลัน
ถังรุยที่สัมผัสได้ดังนั้น ถึงขั้นตีฝีเท้าเร่งถอยห่างออกมาในชั่วอึดใจ
ขณะที่โผบินทะยานถอยหลัง หางตาพลันเห็นชายหนุ่มในชุดสีขาวอยู่ปรากฏขึ้นมาข้างกายซิงกวน ทันทีที่ทราบว่าเป็นใคร เขาถึงกับถอดสีหน้าทันที
“ลวี่อี้! เจ้า…เจ้าอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?!”
ถังรุยอุทานลั่นด้วยความประหลาดใจยิ่ง
ลวี่อี้นับเป็นดาวรุ่งแห่งหอโอสถ เขาคือศิษย์ผู้มีโอกาสมากที่สุดในการรับสืบทอดมรดกช่วงต่อจากปรมาจารย์ซวนอี้ในภายภาคหน้า
ในทางตรงกันข้าม ตำแหน่งของถังรุยในหอยุทธ์นับว่าต่ำต้อยกว่ามาก เขาเป็นได้เพียงผู้ติดตามของหลู่เมิ่งเท่านั้น
“ถังรุย พวกเจ้าทุกคนกล้ามากนักที่กล้าอวดอ้างข่มขวัญคนทางใต้! เจ้ามีคุณสมบัติขนาดนั้นที่ออกมาในนามของหอยุทธ์!”
ลวี่อี้กล่าวเย้ยพร้อมเสียงแสนประชดประชัน
ถังรุ่ยไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลนว่า ลวี่อี้จะกล่าวเย้ยเยาะตนเช่นนี้ทันทีที่พบเจอ ทันทีทันใดเขากล่าวเสียงแหบเย็นสะท้านขึ้นลั่นว่า
“ข้าดำเนินการภายใต้คำสั่งของท่านหลู่เมิง ให้จับยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้านำตัวไปลงโทษตามกฎ! หรือเป็นไปได้ไหมว่าเจ้าจะคิดต่อต้านข้า?”
ก่อนหน้านี้เอง ในช่วงรอบที่สี่ ลวี่อี้และเหล่าศิษย์น้องอีกสามคนต่างหมอบกราบขอโทษเย่หยวนเป็นที่เรียบร้อย
พวกเขาเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ไปมากมายในวันนี้ และได้ขอขมาเย่หยวนไปแล้วที่ดูถูกก่อนหน้า ซึ่งในทางเย่หยวนองก็มิได้ติดใจอะไรนัก และหลอมกลั่นโอสถต่ออย่างสนุกสนาน ทว่าจู่ๆการมาถึงของถังรุยก็ได้ก่อความวุ่นวายขึ้น เช่นนี้จะมิให้เขาโกรธได้อย่างไร?
เมื่อเห็นว่าถังรุยกล่าวอ้างไปถึงหลู่เมิงเพื่อข่มขู่ตน ลวี่อี้ก็กล่าวเสียงเย็นตอกกลับไปว่า
“หลู่เมิง? หลู่เมิงแล้วอย่างไร! ภายในนี้มีทั้งศิษย์น้องและปรมาจารย์เซียวเฟิงกำลังสนทนาเรื่องโอสถกับท่านปรมาจารย์เย่อยู่! หากจะคิดจับพวกข้ากลับไปก็จับให้หมดล่ะกัน!”
ถังรุยที่ได้ยินดังนั้นไม่สามารถรักษาความสงบได้อีกต่อไป เขากัดฟันกรอดคำรามลั่นด้วยความโกรธเกรี้ยวขึ้นว่า
“เจ้า! เจ้ากำลังทำผิดกฎของเมืองจักรพรรดิแห่งนี้! ข้าจะกลับไปรายงานต่อหอยุทธ์และหอโอสถ!”
ลวี่อี้กล่าวตอกอย่างเหยียดหยามไปว่า
“เช่นนั้นก็ไปได้แล้ว! แต่เตรียมใจรอรับความโกรธเกรี้ยวของข้าได้เลย!”
สีหน้าการแสดงออกของถังรุยแปรเปลี่ยนไปทันที ยามนี้ดูท่าทีกระอักกระอ่วนไม่น้อย
อิทธิพลอำนาจของเหล่าผู้สืบทอดเชื้อสายจากซวนอี้นั้นแข็งแกร่งเกินไป
นี้มิใช่เพียงซวนอี้เท่านั้นที่น่ากลัว แต่เมื่อใดที่ทำให้เขาพิโรธขึ้นมา มันยังรวมไปถึงเหล่าศิษย์สาวกของเขาทุกคน ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นล้วนแต่เป็นอัจฉริยะดาวรุ่งแห่งหอโอสถทั้งสิ้น!
กล่าวได้ว่ามีเพียงเหล่าศิษย์เชื้อสายของผู้อาวุโสใหญ่แห่งหอโอสถเท่านั้น ที่สามารถสู้รบตบมือกับเหล่าศิษย์เชื้อสายของซวนอี้ได้
ต่อให้เป็นหวู่เมิงที่เป็นผู้ดูแล ทว่าต่อหน้าซวนอี้เขาก็ไม่คุณสมบัติแม้แต่จะมองหน้าด้วยซ้ำ
สำหรับตัวถังรุย คงไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึงอีกต่อไป
ภายในเขตเมืองชั้นใน เขาเป็นได้แค่ขี้ข้าเท่านั้น
ส่วนยามนี้อู๋เฟินยืนเงียบอยู่มุมหนึ่ง ไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียงออกมาด้วยซ้ำ
การเผชิญหน้าของผู้คนระดับชั้นนี้หาใช่สิ่งที่เขาจะสามารถเข้าไปแทรกแซงได้เลย
ทีแรกเขามั่นใจอย่างยิ่งว่า เมื่อนายใหญ่ของเขายอมออกโรง อู๋เฟิงย่อมสามารถทำลายร้านขายโอสถรับจ้างสารพัดได้ตามสมปรารถนา
แต่ใครจะไปรู้ว่ายังมียอดเซียนอีกคนโผล่ออกมาเป็นระลอกสาม แถมครั้งนี้ทั้งภูมิหลังและศักดิ์ศักดิ์ยังสูงจนถังรุนเทียบชั้นไม่ติด
ยามนี้อู๋เฟินแทบลมจับหมดสติไปทั้งแบบนั้น
ไอ้เด็กเหลือขอเย่หยวนมันมีอาคมใดซุกซ่อนอยู่กันแน่? ไฉนสถานที่แห่งนี้ถึงมียอดเซียนแวะเวียนกันมากขึ้นเรื่อยๆ?
แต่ในขณะที่พวกเขาสิ้นหวังนั้นเอง ก็มีชายชราร่างท้วมตรงเข้ามาในร้านขายโอสถรับจ้างสารพัดอย่างแช่มช้า
ดวงตาคู่นั้นของอู๋เฟินทอประกายสดใสขึ้นในบัดดล ยามนี้รู้สึกตื่นอกตื่นเต้นอย่างอดมิได้
“ลวี่อี้ ความหาญกล้าของเจ้ากลับไม่เล็ก กล่าวดูถูกลับหลังข้าเช่นนี้เชียว?”
ชายชราร่างท้วมที่ปรากฏตัวขึ้นกะทันหันผู้นี้มิใช่ใครอื่นนอกจาก หลู่เมิงตัวจริงเสียงจริง!
คล้อยหลังที่ถังรุยเพิ่งจากออกไปได้ไม่นาน หลู่เมิงก็ได้รับรายงานว่าพวกศิษยพี่ทั้งสี่ของซวนอี้ก็เดินทางออกจากเขตเมืองชั้นในเช่นกัน
และปลายทางของพวกเขาคือร้านขายโอสถรับจ้างสารพัด!
ข่าวสารที่ได้รับมาใหม่เช่นนี้ ทำให้หลู่เมิงสีหน้าเคร่งเครียดทันทีพร้อมเร่งเดินทางติดตามออกมาเป็นการส่วนตัว
สำหรับซวนอี้ เนื่องจากสถานะอีกฝ่ายเหนือกว่าตนมาก หลู่เมิงจึงไม่มีสิทธิ์ก้าวก่ายหรือรับรู้ได้เลยว่าเขาอยู่ที่ไหน
เมื่อลวี่อี้เห็นหลู่เมิงออกมาเป็นการส่วนตัว เขาเองก็ตื่นตะลึงไม่น้อยเช่นดัน แต่ในไม่ช้าเขาก็กลับคืนสู่คาวมสงบดังเดิมพร้อมกล่าวว่า
“ข้าไม่เคยนินทาหรือด่าลับหลังใคร! แต่เจ้าคิดใช้อำนาจตามใจชอบเช่นนี้ได้อย่างไร!”
ไม่ว่าจะเป็นตัวซวนอี้เองหรือบรรดาลูกศิษย์ พวกเขาไม่เคยไว้ให้ใครทั้งสิ้นรวมไปถึงผู้มีอำนาจ เพราะความแกร่งกล้าของซวนอี้เองแม้แต่ผู้อาวุโสใหญ่ยังต้องเกรงกลัวเช่นกัน
ดังนั้น ภายในหอโอสถ ผู้อาวุโสใหญ่จึงมักจะหาทางปราบปรามและพยายามตัดขาดเหล่าศิษย์เชื้อสายของซวนอี้ให้สิ้นซาก นอกจากนี้หลู่เมิงยังมากเล่ห์เหลี่ยม เข้าข้างผู้อาวุโสใหญ่ จึงไม่แปลกที่จะไม่กินเส้นกับพวกลวี่อี้
ในฐานะศิษย์คนโตของซวนอี้ ลวี่อี้ไร้ซึ่งความเคารพต่อหลู่เมิงเป็นธรรมดา
แม้ว่าหลู่เมิงจะเป็นผู้ดูแลระดับสูง แต่สถานะของลวี่อี้ในหอโอสถกลับมิได้ด้อยกว่าเลย
หลู่เมิงไม่คิดไม่ฝันเลยว่า ลวี่อี้จะหัวรั้นปานนี้ สีหน้าของเขามืดทมิฬลงอย่างหาที่เปรียบไม่ ยามนี้กล่าวเสียงเย็นชืดว่า
“เชื้อสายของเจ้าช่างหยิ่งผยองเกินไปใหญ่แล้ว! ไร้ซึ่งการอบรบ! ไร้มารยาทสิ้นดี! เราชายชราคนนี้จะสั่งสอนเจ้าเองว่า วิธีเคารพผู้อาวุโสกว่าต้องทำกันอย่างไร! วันนี้ข้าขอลงโทษเจ้าแทนในนามของผู้อาวุโสสอง!”
ตอนที่ 1563 หาเรื่อง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ช่วงขณะนั้นเอง รัศมีแรงกดดันของหลู่เมิงก็ถูกปลดปล่อยออกมา สีหน้าของทุกคนพลันแปรเปลี่ยนไปทันที
เขาเป็นถึงยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าหกดาว จำต้องสั่งสอนให้แก่มือใหม่อาณาจักรราชันพระเจ้าหนึ่งถึงสองดาวเหล่านี้ให้ดูเสีย มิฉะนั้นคงไม่ลดความหยิ่งผยองลงงง่ายๆ?
เว้นเสียว่าหลู่เมิงกลับไม่เห็นถึงความหวาดกลัวบนใบหน้าของลวี่อี้แม้แต่น้อย แต่นั่นกลับเป็นสีหน้าแสนเยาะเย้ยและหยามเหยียดยิ่ง
“ผู้ดูแลหลู่เมิง เจ้าคิดว่าตนเองเป็นใคร? ถึงกล้าช่วยเราชายชราผู้นี้สั่งสอนลูกศิษย์! ก่อนจะมาสั่งสอนลูกศิษย์ข้า ไฉนไม่สั่งสอนลูกศิษย์ตัวเองให้เข้ารูปเข้ารอยก่อนเสีย?”
ทันทีทันใดพลันปรากฏคนกลุ่มหนึ่งออกมาจากห้องภายในร้าน และผู้นำขบวนออกมาก็มิใช่ใครอื่นนอกเสียจากเย่หยวน
ขณะที่ซวนอี้เองก็เดินติดตามเย่หยวนอยู่ข้างกาย
ทันทีที่เห็นซวนอี้ปรากฏตัวอยู่ที่นี่ หลู่เมิงยิ่งกว่าตื่นตกใจสุดหาที่เปรียบไม่
ไฉนซวนอี้ผู้สูงศักดิ์คนนั้นถึงมายังร้านขายโอสถเล็กๆแห่งนี้ได้?
แต่สิ่งที่ตกใจยิ่งกว่าคือทั้งตัวซวนอี้และเหล่าลูกศิษย์ดูจะเคารพเด็กหนุ่มซึ่งเป็นผู้นำออกมามิใช่น้อย!
หลู่เมิงเองเปรียบได้กับทหารผ่านศึกผู้เจนจัดมากประสบการณ์เช่นกัน ร่องรอยบางสิ่งที่ดูจะไม่ถูกต้องนี้เขาเก็บนำมาใส่ใจทุกรายละเอียด
ยามพบเห็นภาพฉากนี้ รูม่านตาดำของหลู่เมิงพลันตีบแคบลงทันใดด้วยความเหลือเชื่อ
เร่งปรับขนานสายตาจับจ้องเย่หยวนอย่างอดมิได้ เด็กหนุ่มคนนี้มันมีอะไรดีถึงทำให้ซวนอี้ต้องเดินตามหลังด้วยความเคารพปานนี้?!
ร้านขายโอสถชนบทแห่งนี้มันน่าทึ่งขนาดนั้นเชียว!
คล้อยหลังความตกตะลึง หลู่เมิงก็สงบสติลงอย่างรวดเร็วและกล่าวน้ำเสียงร่าเริงทักทายว่า
“ฮ่าๆ…ปรากฏว่าผู้อาวุโสรองเองก็อยู่ที่นี่เช่นเช่นกัน แต่ศิษย์คนนี้ของท่านดูจะไม่ค่อยมีสัมมาคารวะเท่าไหร่นัก นี่อาจทำให้หอโอสถของเราเสียชื่อเป็นได้!”
โดยปกติซวนอี้อารมณ์ดีไม่น้อย และความแข็งแกร่งของเขาเองก็อยู่คนละโลกกับหลู่เมิง ทำเอาเขารู้สึกอึดอัดไม่น้อย
“ไม่ค่อยมีสัมมาคารวะ? หุหุ ลวี่อี้เคารพต่อผู้อาวุโสกว่าโดนเสมอมา สิ่งใดหมายถึงไม่มีสัมมาคารวะ? ผู้ดูแลหลู่เมิงคงมิได้ใช้อำนาจเกินตัวไปหน่อยกระมัง?”
ซวนอี้กล่าวสวนตอกกลับไปเสียงเย็น
หลู่เมิงฝืนยิ้มแห้งกล่าวว่า
“เราชายชราคนนี้เองก็นับว่ามีหน้ามีตาไม่น้อยในหอโอสถ ไม่ว่าจะอย่างไรก็เป็นคนรุ่นเดียวกับผู้อาวุโสรองจริงหรือไม่? แต่ศิษย์ของท่านกลับไม่แสดงความเคารพต่อผู้อาวุโสเลย เช่นนี้ดูจะไม่ค่อยถูกต้องนัก?”
ซวนอี้อดสำลักมิได้เช่นกันที่ได้ยินแบบนั้น กล่าวว่านึกคำถูกหักล้างไม่ถูกเช่นกัน
ในแง่วาจาคมคาย เขาหาใช่คู่มือของหลู่เมิงจริงๆ
เชื่อสายของซวนอี้น่าจะเสียเปรียบในด้านพวกนี้ที่สุดแล้ว
เมื่อเห็นว่าประโยคนี้ทำเอาอีกฝ่ายชะงักไปครู่ใหญ่ หลู่เมิงลอบแสยะยิ้มได้ใจกล่าวต่อขึ้นว่า
“ผู้อาวุโสรอง การไม่แสดงความเคารพต่อผู้อาวุโสกว่าก็คือไม่มีสัมมาคารวะ ตามกฎของหอโอสถต้องถูกโบยร้อยครั้ง! ข้าสงสัยเสียว่าท่านมีความคิดเห็นอย่างไร?”
สีหน้าประดับรอยยิ้มของซวนอี้ในที่สุดก็เริ่มเผยให้เห็นร่องรอยความโกรธ
หลู่เมิงคนนี้เจ้าเล่ห์นักหนา หวังใช้ประโยชน์จากความอาวุโสกว่าเข้าข่ม
แต่คำกล่าวเพียงเท่านี้ก็สามารถบีบซวนอี้จนสำลักได้แล้ว
ซวนอี้ยังทราบดดดีว่า เหล่าลูกศิษย์ของเขาไม่มีใครชอบขี้หน้าหลู่เมิงอยู่แล้ว แต่หากใช้อารมณ์เข้าจัดการปัญหาเช่นนี้นับว่าเสียเปรียบจริงๆ
ในบางครั้งเอง มีแค่ความแข็งแกร่งแต่ไร้ซึ่งเล่ห์เหลี่ยมกลับต้องตกเป็นรองเช่นกัน
จักรวรรดิมีกฎที่ต้องใช้เล่ห์เหลี่ยมคมเฉือนคม และดูเหมือนว่าเรื่องเหล่านี้พวกซวนอี้จะไม่ค่อยสันทัดนัก
อันที่จริงนี่มิใช่ครั้งแรกที่เหล่าลูกศิษย์ของเขาเสียท่าให้หลู่เมิง แต่พวกเขาเองก็ไม่สามารถหักล้างได้เช่นกัน
ในขณะที่ทุกคนกำลังพลาดท่าเช่นนี้ เย่หยวนพลันแสยะยิ้มกว้างกล่าวเสียงเย็นลั่นขึ้นว่า
“ตาแก่ น้ำหน้าอย่างเจ้ายังมีคุณสมบัติมากพอที่จะเป็นคนอาวุโสด้วยรึ? เคารพผู้อาวุโสกว่าน่ะคือเรื่องถูกต้อง แต่นั่นต้องวัดกันที่อายุสติปัญญา หาใช่อายุกระดูก ไม่ทราบว่าเจ้ามีพอหรือไม่?”
หลู่เมิงที่กำลังได้ใจในตอนนี้ เมื่อได้ฟังแบบนั้นถึงกับสำลัก ใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นสีเข้มทมิฬด้วยความโกรธจัด ยามนี้เอ่ยกล่าวน้ำเสียงทุ้มต่ำกว่า
“ไอ้เด็กเหลือขอ เจ้าเป็นใครมาจากไหน? ถึงกล้ากับข้าผู้นี้? รนหาที่ตายแล้วกระมัง?”
เย่หยวนเหลือบมองอีกฝ่ายเสมือนมองคนโง่ เขากล่าวตอบอย่างเฉยเมยไปว่า
“หากข้าเดาไม่ผิด เจ้าคือจอมเทพโอสถสี่ดาวที่เคยวินิจฉัยหวางเชียน? แม้กระทั่งอาการป่วยของเขายังระบุไม่ได้ แต่ข้ากลับสามารถรักษาเขาจนหายดีได้ ดังนั้นแล้ว…ความแข็งแกร่งของข้าควรเหนือชั้นกว่าท่านเช่นกัน ถูกหรือไม่?”
เมื่อคำกล่าวเหล่านี้เอ่ยดังออกมา ก็พาเหล่าฝูงชนโดยรอบลุกฮือในทันที
“โอ้ใช่แล้ว! หวางห่าวหลานเคยกล่าวไว้ว่า ครั้นหนึ่งเขาเคยพาหลานชายตนเองไปพบกับจอมเทพโอสถสี่ดาว หรือเป็นไปได้ไหมว่าจอมเทพโอสถสี่ดาวคนนั้นคืออาจารย์ของอู๋เฟิน?”
“จอมเทพโอสถสี่ดาวที่ไม่สามารถวินิจฉัยได้แม้แต่อาการป่วย ช่างน่าอัปยศโดยแท้!”
“จุจุ ท่านปรมาจารย์เย่ที่ตั้งป้ายรับจ้างสารพัดนับว่ามีรุนแรงให้หยิ่งผยอง อย่างน้อยที่แข็งแกร่งกว่าจอมเทพโอสถสี่ดาวบางคน!”
…
ผู้คนโดยรอบยังไม่ทันตอบสนองอันใด แต่เย่หยวนมองเห็นจุดบกพร่องของอีกฝ่ายและนำมาขยี้ไม่มีปรานี
ทันทีที่วาจาสุดเย้ยหยันนี้ของเย่หยวนเอ่ยดังออกมา กล่าวได้ว่าสถานการณ์พลิกกลับมาได้เปรียบในทันใด
หลู่เมิงถึงขั้นสาดสายตาใส่อู๋เฟินที่อยู่ด้านหลังอย่างเดือดดุ เพราะรู้ดีว่าคนที่ทำให้ตนเสียหน้าขนาดนี้ก็คือศิษย์ของเขาเสียเอง
เรื่องนี้ไม่มีใครนึกออกหรือนำมาเชื่อมโยงเลยในทีแรก แต่ทันทีที่เย่หยวนกล่าวกระตุ้นไปแบบนั้นกลับแจ่มแจ้งในพริบตา
เมื่อลวี่อี้เห็นภาพฉากนี้ เขาก็อดหันมองเย่หยวนด้วยความซาบซึ้งอย่างอดมิได้
ประโยคเดียวของเย่หยวนสามารถช่วยแก้ปัญหาที่ศิษย์อาจารย์ถูกต้อนจนติดมุมได้
อย่างไรก็ตาม หลู่เมิงกลับไม่ยอมแต่โดยดี เขากล่าวน้ำเสียงเยียบเย็นขึ้นว่า
“ไอ้เด็กเหลือขอ ทุกคนล้วนมีข้อดีและข้อเสียของตน ไม่มีนักหลอมโอสถคนใดเก่งไปซะทุกเรื่อง! ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าก็คือเจ้า ลวี่อี้ก็คือลวี้อี้ เจ้าหาใช่คนของหอโอสถ จึงไม่มีสิทธิ์เข้ามาแสเรื่องของคนอื่น!”
ฝีปากของหลู่เมินคมคายรอบคอบยิ่งยวด หาใช่เรื่องง่ายเลยที่จะสยบเขาลงได้
มิฉะนั้นแล้ว ซวนอี้ที่แข็งแกร่งกว่าอีกฝ่ายหลายขุมจะมาพลาดท่าแก่เขาได้อย่างไร?
เย่หยวนหาเรื่องเบี่ยงประเด็นออกไปอย่างลับๆโดยมิให้อีกฝ่ายรู้ตัว แต่เมื่ออีกฝ่ายไหวตัวทันจึงรีบแตะตัวอันตรายอย่างเย่หยวนออกจากวงสนทนาไปทันที
ด้วยวิธีนี้จะทำให้เย่หยวนกลายมาเป็นคนนอกทันทีและไม่มีสิทธิ์โต้เถียงแทนพวกซวนอี้ได้อีกต่อไป
หลู่เมิงตระหนักทราบดีว่า เย่หยวนคนนี้จะต้องมีความสามารถอะไรพิเศษแน่นอน จึงเป็นสาเหตุให้เหล่าศิษย์หรือแม้แต่ตัวอาจารย์เองอย่างซวนอี้มารวมตัวกันที่นี่ และที่สำคัญคือ ฝีปากของไอ้เด็กเหลือขอนี้เฉียบคมไม่น้อยไปกว่าเขาเลย หากปล่อยไว้ต่อไปมีแต่จะเสียเปรียบ
ดังนั้นในเมื่อสู้ไม่ได้ก็จำต้องหลีกเลี่ยง และมุ่งเป้าหมายไปที่พวกซวนอี้ต่อชนิดกัดไม่ปล่อย
พลังฝีมือของลวี่อี้ หลู่เมิงชัดเจนเกินไป
พรสวรรค์และศักยภาพของลวี่อี้ไม่เลวเลย แต่ในด้านฝีไม้ลายมือหลอมกลั่นในปัจจุบันยังไม่สำเร็จถึงจอมเทพโอสถสี่ดาวชั้นกลาง ทั้งยังไม่ค่อยมีปากมีเสียงตอบโต้กับใครได้
มุมปากเย่หยวนพลันกระตุกเล็กน้อย ก่อนเอ่ยขึ้นด้วยวาจาแสนเหยียดหยามขึ้นว่า
“เช่นนั้นรึ? ในเมื่อเจ้าคิดว่าตนอาวุโสกว่าเขา แสดงว่าฝีมือหลอมกลั่นก็ต้องเหนือกว่าเช่นกัน?”
หลู่เมิงแสยะยิ้มเย็นกล่าวว่า
“แน่นอน! หากข้ามีฝีมืออ่อนด้อยกว่าพวกรุ่นเยาว์ แล้วข้าจะเป็นผู้ดูแลได้อย่างไร? เจ้าคงไม่คิดจะ…ส่งเขามาหาเรื่องข้ากระมัง?”
“ฟู่วว…”
เหล่าฝูงชนโดยรอบต่างสูดไปเย็นแช่มลึกแสนหวาดหวั่นใจนัก พวกเขาตกตะลึงอย่างมากกับวาจาตอบโต้ของหลู่เมิง
ผู้ดูแลระดับสูงแห่งหอโอสถนับเป็นการดำรงอยู่ที่สูงเกินเอื้อม!
สำหรับเหล่าผู้คนในเขตเมืองชั้นนอก เปรียบเสมือนพระเจ้าก็ไม่ปาน!
พวกเขาไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่า สถานะของอาจารย์อู๋เฟินจะสูงส่งถึงขนาดนี้!
เย่หยวนเม้มปากเอ่ยวาจาแสนเหยียดหยามขึ้นว่า
“หากใช่แล้วอย่างไร? หากไม่ประลองให้ประจักษ์ คงไม่รู้ว่าตัวเจ้าเองงี่เง่าเพียงใด?”
เมื่อลวี่อี้ได้ยินแบบนั้นพลันสูญเสียความมั่นใจไปโดยปริยาย เขารีบกระซิบกล่าวกับเย่หยวนทันทีว่า
“ท่านปรมาจารย์เย่ ข้า…”
เย่หยวนเหลือบมองอีกฝ่ายเล็กน้อยพร้อมดวงตาประดุจเพลิงแผดเผา ก่อนเลิกคิ้วกล่าวสวนไปทันทีว่า
“อะไร? นี่เจ้าไม่มีแม้แต่ความกล้าที่จะท้าสู้กับอีกฝ่าย?”
ลวี่อี้อายุเยอะกว่าเย่หยวนมาก ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเย่หยวน เขากลับทำตัวราวกับเด็กน้อยไม่กล้าแสดงออก
สายตาของเขาดูจริงจังขึ้นถนัดตา เขากล่าวเสียงขรึมว่า
“แน่นอน ข้ากล้า!”
เย่หยวนเอ่ยเสียงเย็นกล่าวขึ้นว่า
“ถ้าเช่นนั้นความมั่นใจของเจ้าหายไปไหนหมด?! หากเจ้าไม่สามารถโค่นตาแก่นี่ได้ แล้วอนาคตต่อไปเจ้าจะสืบทอดเสื้อคลุมของท่านปรมาจารย์ซวนอี้ได้อย่างไร? วันนี้ข้าขอดูหน่อยเถิด ศิษย์เอกของท่านปรมาจารย์ซวนอี้มีดีกว่าที่ข้าคิด!”
แต่ทันทีที่หลู่เมิงได้ยินเช่นนั้นก็อดระเบิดหัวเราะเยาะมิได้ และกล่าวว่า
“ช่างน่าขัน! ไอ้เด็กเหลือขอไม่รู้จักความยิ่งใหญ่ของสรวงสวรรค์! ความหาญกล้าที่ไร้ซึ่งพละกำลังกลับไม่ต่างอะไรจากแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ! เข้าใจหรือไม่?”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น