Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1556-1557
ตอนที่ 1556 หากข้าบุกถล่มกลุ่มพวกเจ้าทั้งหมดล่ะ?
โดย
Ink Stone_Fantasy
หนิงซื่ออวี๋มองไปที่เย่หยวน คู่สายตาชวนสับสนรวนเรมากขึ้นเรื่อยๆ
สื่งที่ชายหนุ่มคนนี้กำลังสนทนาเอ่ยกล่าวออกไปเป็นความรู้ในศาสตร์แห่งโอสถระดับสามจริงๆงั้นรึ?
แต่ในทางตรงกันข้าม เซียวเฟิงที่รับฟังด้วยใจที่เปิดกว้าง ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ดวงตาของเขาก็ยิ่งเปร่งประกายเผยให้เห็นถึงความรู้แจ้ง
เมื่อเอ่ยปากตอบโต้กันมันก็เป็นการคลายข้อสงสัยได้ในทันใด
เซียวเฟิงที่รับฟังในขณะนั้น เขาเองก็รู้สึกตกใจสุดขีดยิ่งภายในใจ
เป็นเวลากว่าสิบปีแล้วที่พวกทั้งสองสนทนาแลกเปลี่ยนความรู้กันในครั้งล่าสุด
ทว่าตอนนี้เซียวเฟิงค้นพบแล้วว่า ตนไม่สามารถสนทนาแลกเปลี่ยนกับเย่หยวนได้อย่างเท่าเทียมอีกแล้ว
ทุกสิ่งที่เย่หยวนเอ่ยกล่าวถึงเสมือนว่าเขาหลุดไปอยู่ในอีกโลกหนึ่ง เสมือนภูเขาไท่ซานตั้งตระหง่านตรงหน้า
อย่างไรก็ตามแต่ เมื่อได้ฟังคำอธิบายราวกับเขาได้บรรลุรู้แจ้งเห็นจริงในทันใด ปัญหาบางอย่างที่เขาไม่สามารถหาคำตอบได้มากกว่าหลายปี แต่ภายใต้คำอธิบายของเย่หยวน ทุกอย่างกลับถูกไขออกได้อย่างง่ายดาย
“เจ้าเด็กคนนี้นับว่ายิ่งน่าทึ่งโดยแท้! แค่ช่วงเวลาสิบปีสั้นๆ เจ้าก็ก้าวหน้าขึ้นอย่างมาก! ข้า…ข้าไม่สามารถสนทนากับเข้าในฐานะสหายร่วมอาชีพได้อีกแล้ว เสมือนเจ้าเป็นอาจารย์ข้าเสียมากกว่า!”
เซียวเฟิงอุทานขึ้นตื่นตะลึงใจนัก
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“ข้าบอกไม่ถูกจริงๆว่าตอนนี้ตนพัฒนาไปไกลเพียงใดแล้ว แต่เท่าที่รู้สึกได้คือ ความเข้าใจของข้าในอดีตกลับไม่สามารถเทียบชั้นได้อีกเลยแม้แต่ปลายนิ้ว”
สำหรับเรื่องนี้ที่ได้ยินไป เซียวเฟิงพรูไอเย็นแสนครั่นคร้ามใจ เขากล่าวว่า
“ข้าไม่รู้จริงๆว่า เจ้าไปทำอีท่าไหนถึงพัฒนาได้สุดโต่งปานนี้ ดูเหมือนว่าชายชราคนนี้จะมิอาจเลือกเดินสุ่มสี่สุ่มห้าได้อีกต่อไป จากนี้คงต้องให้ความสำคัญกับรากฐานตนเองให้มากขึ้นเสีย”
เห็นว่าเซียวเฟิงเริ่มเข้าใจบ้างแล้วในระดับหนึ่ง เย่หยวนจึงยิ้มและกล่าวว่า
“ก่อสร้างอาคารสูงต้องพินิจจากรากฐานให้มั่นคงเสีย มิฉะนั้นอาจเป็นพืชไร้ราก กลับพังทลายลงได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าจะเป็นศาสตร์แห่งโอสถหรือศาสตร์แห่งการต่อสู้ก็ตาม”
เซียวเฟิงเองก็รู้สึกแบบนั้นเช่นกัน เขากล่าวว่า
“สิ่งที่น้องเย่กล่าวไปล้วนเป็นความจริง เราชายชราคงหยุดเพื่ออซ่อมแซมต้นทางเสียก่อนเพื่อเดินหน้าต่อ!”
ขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนากันได้ไม่นานนัก เจ้าท้วมก็ผลักประตูออกมาด้วยความภาคภูมิ
เซียวเฟิงจับจ้องภาพฉากนี้ดวงตาแทบถลนออกมา
สิ่งที่เกิดขึ้นกับเจ้าท้วมในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงราวกับฟ้ากับเหว
ใบหน้าโทรมเปี่ยมล้นไปด้วยความสิ้นหวังของเขาถูกกวาดล้างชำระออกโดยสิ้น พลังปราณเทวะและพลังจิตวิญญาณกลับมาอุดมสมบูรณ์ดังเดิม ทุกอย่างดูเปลี่ยนแปลงแตกต่างก่อนหน้าโดยสิ้นเชิง
สิ่งเดียวที่ไม่เปลี่ยนแปลงคงมีแต่ พุงอันกลมโตนั้น
และระดับพลังของเจ้าท้วมเองก็เพิ่มขึ้นเร็วทันตา ยามนี้เขาทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรบรรพชนพระเจ้าครึ่งขั้นแล้ว!
อีกเพียงก้าวเดียวก็กล่าวได้ว่าสามารถทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรบรรพชนพระเจ้าขนานแท้ได้
พบเห็นภาพฉากนี้ เซียวเฟิงตื่นตะลึงจนขากรรไกรแทบร่วงกราว
โอสถตราสวรรค์ฟื้นฤทัยของเย่หยวน กลับมีประสิทธิภาพน่าอัศจรรย์แสนเหลือเชื่อ!
“เย่หยวน โอสถที่เจ้าให้มาช่างวิเศษโดยแท้! หลังจากที่ข้ากลืนมันลงไปก็รู้สึกราวกับได้เกิดใหม่อีกครั้ง!”
เจ้าอ้วงเร่งเอ่ยกล่าววาจาร้อนรนแสนตื่นเต้นยิ่งกว่าอะไร
ความรู้สึกที่เปี่ยมล้นไปด้วยความแข็งแกร่ง เขามิได้สัมผัสมาแสนนานแล้ว!
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“แน่นอน วัตถุดิบในการหลอมกลั่นโอสถตราสวรรค์ฤทัยล้วนแต่มีค่าหาประเมินไม่ ถึงแบบนั้นข้าก็สรรหาวัตถุดิบหลอมกลั่นถึงสิบชุด เพื่อหลอมกลั่นสิบเม็ดและเลือกสรรเม็ดที่ดีที่สุดให้แก่ท่าน”
ถึงจะเป็นโอสถขั้นเทวะ ทว่าแต่ละเม็ดก็มีประสิทธิภาพแตกต่างกันเล็กน้อย
สำหรับพี่ชายที่แสนรักของเย่หยวน มีหรือที่เขาจะยอมตระหนี่ขี้เหนียว?
ยามที่เข้าแฝงตัวอยู่ในเผ่าปีศาจ เย่หยวนใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์ระหว่างเขากับโถงโอสถปีศาจและตระกูลฟาง เพื่อรวบรวมวัตถุดิบที่ใช้หลอมกลั่นโอสถตราสวรรค์ฟื้นฤทัยทั้งสิบชุด
หากมิใช่เพราะวัตถุดิบหลอมกลั่นแต่ละชนิดมีราคาสูงลิบลิ่วเกินไป เย่หยวนคงหลอมกลั่นกว่าร้อยเม็ดและคัดสรรสิ่งที่ดีที่สุดในบรรดาทั้งหมดแก่เจ้าท้วม
เจ้าท้วมกล่าวว่า
“ข้าต้องโชคดีเพียงใดที่มีน้องชายประเสริฐขนาดนี้?”
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“โอ้ใช่แล้ว ท่านเชี่ยวชาญในแนวคิดแห่งวายุใช่หรือไม่? หลังจากนี้ ข้าจะหลอมกลั่นโอสถภาษาวายุแก่เจ้าสักสองสามเม็ด เพียงเท่านี้ท่านก็สามารถทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรบรรพชนพระเจ้าเต็มขั้นได้แล้ว!”
โอสถภาษาวายุเป็นโอสถชนิดที่มีประสิทธิภาพต่ำกว่าโอสถประตูศิลาวายุเล็กน้อย กล่าวได้ว่าเป็นรุ่นรองก็ไม่ผิด มันสามารถช่วยให้นักสู้อาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าเข้าใจแนวคิดแห่งวายุได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
เซียวเฟิงและหนิงซื่ออวี๋ต่างยืนตัวแข็งค้างพูดไม่ออก ไฉนต่อหน้าชายหนุ่มคนนี้ การจะเลื่อนระดับชั้นสักทีกลับเป็นเรื่องง่ายทันตา!
นักหลอมโอสถที่บรรลุขอบเขตแห่งเต๋านี่น่ากลัวโดยแท้!
ตราบใดที่เย่หยวนมีสมุนไพรวิญญาณเพียงพอ เขาย่อมสามารถสร้างกองทัพเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าขึ้นได้ภายในระยะเวลาแค่ร้อยปี!
“ท-ท่านปรมาจารย์เย่!”
ทันใดนั้นเองเสียงตะโกนหนึ่งพลันดังขึ้นจากนอกร้าน
เสี้ยวอึดใจต่อมาเสียงฝีเท้าวิ่งเข้ามาใกล้ดังขึ้นต่อเนื่อง
เย่หยวนขมวดคิ้วมุ่นเป็นปมหนา ก่อนจะพาทุกคนออกไปรับหน้าด้วยกัน
ณ ด้านหน้าร้าน ร่างของหวางเฉียนล้มลงจมกองเลือดจวนเจียนหมดสติเต็มทน ทั่วทั่งร่างตั้งแต่หัวจรดเท้าของเขาอาบชุ่มไปด้วยเลือดสด
ยามนี้ปรากฏกลุ่มคนจำนวนมากเข้าโอบล้อมทั่วทั้งบริเวณร้านขายโอสถรับจ้างสารพัด จนไม่มีแม้แต่ช่องทางน้ำไหลได้
“ลากมันออกมา!”
คนที่อยู่ตรงหน้าประจันกับพวกเย่หยวนเป็นยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าครึ่งขั้น ยามนี้จับจ้องเย่หยวนไม่วางตา
เขาคนนี้มีนามว่า หัวซิงหวาง เป็นองครักษ์อันดับหนึ่งแห่งหอเต๋ออี้ ความแข็งแกร่งของเขาไม่ว่าผู้ใดล้วนต้องเกรงขาม
สำหรับเซียวเฟิงในตอนนี้ เขากำลังระงับอาณาจักรพลังตนเองอยู่ ดังนั้นหัวซิงหวางจึงไม่สามารถมองผ่านอ่านอีกฝ่ายออกได้เลย
ผู้ใต้บัญชาคนหนึ่งของหัวซิงหวาง ก้าวย่างตรงขึ้นมาและกำลังจะนำตัวหวางเชียนกลับออกไป
“ท่าน…ปรมาจารย์เย่ ช่วย…ช่วยข้าด้วย!”
หวางเชียนเค้นพลังเฮือกสุดท้ายตะโกนขอความช่วยเหลือ
บูมมม!
เย่หยวนยกบาทาทีบร่างของผู้ใต้บัญชาคนนั้นปลิวกระเด็นออกไป และสิ้นใจตายในบัดดล
สายตาที่จับจ้องของกัวซิงหวางเยียบเย็นขึ้นทันใด เขากล่าวกับเย่หยวนขึ้นว่า
“เจ้าหนู กับแค่รักษาคนไข้เพียงไม่กี่คน อย่าคิดอวดดีให้มากนัก! เจ้าหนุ่มคนนี้นับเป็นอาชญากรคนสำคัญของหออเต๋ออี้ ตอนนี้เรากำลังไล่ตามจับกุมตัวกลับไปเท่านั้น หากเจ้ายังกล้าแส่หาเรื่อง วันนี้ข้าจะรื้อร้านของเจ้าทิ้งซะ!”
กัวซิงหวางย่อมรู้ดีถึงเกียรติศักดิ์ของร้านขายโอสถรับจ้างสารพัดแห่งนี้ ว่ากันว่ายังมียอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าออกโรงปกป้อง นอกจากนี้ยังเป็นสมาชิกตระกูลหนิงอีก
แต่เพียงแค่สมาชิกตระกูลหนิงคนเดียว หอเต๋ออี้หาได้เกรงกลัวไม่
ต่อให้ซิงกวนออกโรงเข้าปกป้อง ณ ตอนนี้ เขาเองก็ไม่กลัวเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม เย่หยวนหาได้ใส่ใจอีกฝ่ายแม้สักนิด เขารีบก้มลงตรวจดูอาการบาดเจ็บของหวางเชียนทันที ก่อนที่คู่คิ้วจะขมวดแน่นขึ้นโดยมิตั้งใจ
อาการบาดเจ็บของหวางเชียนค่ออนข้างรุนแรงมาก นอกจากนี้เขายังถูกวางยาพิษ
หากเป็นนักหลอมโอสถธรรมดาทั่วไป ยามนี้กล่าวได้ว่ายืนอยู่บนปลายเชือกแล้ว
เย่หยวนเคลื่อนไสวด้วยความเร็วดุจสายฟ้า เข้าสกัดจุดบนร่างหวางเชียนสองถึงสามที ก่อนจะตบโอสถล้างพิษเข้าปากไปโดยตรง
สีหน้าการแสดงออกของหวางเชียนดูผ่อนคลายลงอย่างมาก ก่อนจะหมดสติไปในท้ายที่สุด
เมื่อกัวซิงหวางเห็นว่าเย่หยวนมิได้ใส่ใจฟังตนแม้แต่น้อย ก็แทบจะปะทุเดือดจัดขึ้นทันที
ไอ้เด็กเหลือขอนี่มันหยิ่งผยองเหมือนกับในข่าวลือไม่มีผิด!
“เจ้าหนู คิดปฏิเสธขนมปังเพียงริมจิบแล้ว เจ้าคิดว่าการที่ตนแขวนป้ายสารพัดรับจ้าง กลับทำให้มีคุณสมบัติล้ำเส้นหอเต๋ออี้ของเราได้แล้ว? คิดว่าตนเองใหญ่คับฟ้ามาจากไหน? โชคไม่ดีนัก วันนี้ซิงกวนมิได้อยู่แถวนี้เสียด้วย เช่นนั้นเตรียมรับโทษทัณฑ์จากข้าได้เลยไอ้เด็กเหลือขอ!!”
กัวซิงหวางระเบิดหัวเราะเยาะดังลั่นและพุ่งเข้าไปคว้าตัวเย่หยวนโดยตรง
อาณาจักรบรรพชนพระเจ้าชั้นต้นหรือจะสู้ยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าครึ่งขั้น?
บูมมม!
เสี้ยวพริบตาต่อมา กลับเป็นร่างของหัวซิงหวางเองที่ถูกซัดกระเด็นปลิวออกไปราวกับใบไม้แห้ง!
กลางห้วงอากาศ กัวซิงหวางกระอักพ่นเลือดสดออกมารุนแรง ร่างล้มกระแทกใส่ผู้ใต้บัญชาที่อยู่ด้านหลังจนล้มระเนระนาด
เขาพยายามตะเกียกตะกายพยุงตัวขึ้น พลางจับจ้องไปที่เซียวเฟิงด้วยความตื่นตกใจสุดขีด!
ทันทีทันใด พลันปรากฏรัศมีแรงกดดันสุดแกร่งกร้าวพลันปะทุคลั่งออกมาทั่วบริเวณร้าน
นั้นคือรัศมีแรงกดดันของขุมพลังแห่งอาณาจักรราชันพระเจ้า!
ในขณะเดียวกันแรงกดดันทั้งหมดของกัวซวงหวางถูกกดขี่อย่างหนักจนคลายอ่อนลงดั่งลูกแมวในพริบตา
ไหนว่ายอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าจากตระกูลหนิงคนนั้นกลับเข้าไปยังเขตเมืองชั้นในแล้ว?
แล้ว…แล้วนี่…ยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าอีกคนโผล่มาจากไหน?
ร้านขายโอสถเล็กๆแห่งนี้มีภูมิหลังอย่างไรกันแน่?
สีหน้าการแสดงออกของเซียวเฟิงมืดทมิฬลงเล็กน้อย ขณะเอ่ยปากกล่าวว่า
“หอเต๋ออี้อะไรนั้นมันน่ากลัวขนาดนั้นเชียว? หากข้าบุกถล่มกลุ่มพวกเจ้าทั้งหมดล่ะ?”
ตอนที่ 1557 กระทืบข้าแรงๆ!
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ท-ท-ท่านผู้สูงส่ง! ข้าผู้ต่ำต้อยมีตากลับมีแววไม่! จนสร้างความขุ่นเคืองให้ท่านโดยมิตั้งใจ! ข้า…ข้าจะรีบไปทันที!”
กัวซิงหวางเดิมคิดว่าเย่หยวนยามนี้เป็นเพียงลูกพลัมอ่อนนุ่ม แต่ไหนเลยคิดว่าอีกฝ่ายจะซ่อนแผ่นเหล็กไว้เช่นนี้?
“หยุด!”
เย่หยวนคำรามเสียงดังลั่น
ร่างของกัวซิงหวางที่กำลังจะก้าวเดินออกไปพลันฉะงักค้างแข็งในทันใด เขาพยายามฝืนยิ้มกระด้างแข็งทั้งน้ำตาพลางกล่าวว่า
“เอ่อ…เอ่อ…ท่านปรมาจารย์เย่มีสิ่งใดต้องการชี้แนะ?”
เย่หยวนขมวดคิ้วแน่นเอ่ยว่า
“เขาโดนอะไรกันแน่?”
หหวางเชียนถือเป็นผู้ป่วยของเขา และเย่หยวนเพิ่งรักษาจนหายดีได้ไม่นาน ยามนี้กลับถูกทำร้ายจนสาหัสกลับมา มีหรือจะไม่รู้สึกโกรธภายในใจ?
แม้ว่าจุดยืนระหว่างทั้งสองฝ่ายจะคนละด้าน แต่เย่หยวนกลับชื่นชมความรักและห่วงใยระหว่างลุงกับหลานชายคู่นี้มาก
ที่สำคัญที่สุด หวางเชียนถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จที่เขาภาคภูมิใจที่สุด
การจะหลอมกลั่นโอสถชำระไขกระดูกสวรรค์นับเป็นเรื่องยากลำบากมาก กระทั่งเย่หยวนเองยังต้องใช้ความพยายามไม่น้อยกับการรักษา
หากมิใช่เช่นนั้น เขาคงไม่ใช่เวลากว่าสองชั่วยามในการวินิจฉัยอาการของหวางเชียนแน่นอน
อันที่จริง เย่หยวนพอจะคาดเดาได้อยู่แล้วว่าความสำเร็จของเขาจะสร้งาความอับอายให้แก่หอเต๋ออี้มาก
แต่ใครจะไปคิดว่าอู๋เฟินที่เสียหน้าหนักจะมาจุดไฟระบายความโกรธกับคู่ลุงหลานขนาดนี้?
การที่หวางเชียงปรากฏตัวในสภาพอนาถขนาดนี้ นั้นหมายความว่าสภาพของหวางห่าวหลานจักต้องน่าสยดสยองกว่านี้หลายเท่านัก
เย่หยวนหาใช่คนดีเลิศจิตใจงดงามปานนั้น พวกเขาทั้งสองเองก็มิได้มีความสัมพันธ์เขามากมายนัก ย่อมไม่จำเป็นต้องทวงคืนความเป็นธรรมแก่พวกเขา
แต่การที่หอเต๋ออี้ไล่ล่าอีกฝ่ายจนเข้ามาบุกรุกล้ำเส้นคนอื่นแบบนี้ มันทำให้เย่หยวนหงุดหงิดอย่างมาก
“นี่…นี่…”
กัวซิงหวางกล่าวตะกุกตะกักไม่ทราบเลยว่าตนควรตอบอย่างไรดี
เย่หยวนเอ่ยตอบเสียงเย็นว่า
“หากพวกเจ้าจับเขาตั้งแต่อยู่ด้านนอก ข้าเองก็มิได้สนใจหรือไม่จำต้องสนใจเช่นกัน แต่ในแห่กันเข้ามาในร้านขายโอสถรับจ้ารสารพัดแล้ว ยามนี้คิดจะเดินออก ก็เดินออกไปง่ายๆขนาดนั้นเชียว?”
สีหน้าการแสดงออกของกัวซิงหวางบิดเบี้ยวน่าเกลียดถึงขีดสุด เขาเอ่ยกล่าวอย่างเชื่องช้าขึ้นว่า
“ท่านปรมาจารย์เย่ นี่…นี่ผู้ต่ำต้อยตระหนักทราบดี…ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าเอง!”
เย่หยวนตะโกนเสียงเย็นชืดใส่ว่า
“โทษประหารเท่านั้น! เรื่องนี้ยากเกินจะผ่อนปรน!”
กัวซิงหวางแทบร้องระงมขื่นขมภายในใจ แต่ยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้ายืนอยู่ตรงหน้า เขาหรือจะกล้าอวดดี มีแต่กล่าวตอบไปกว่า
“ท่านปรมาจารย์เย่…หากเป็นอย่างอื่นข้ายินดีรับโทษทั้งหมด! ขอเพียงท่านโปรดเอ่ยกล่าว?”
เย่หยวนกวาดตามองเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาที่อยู่ท้ายหลัง และกล่าวขึ้นว่า
“พวกเจ้า! รุมทุบตีเขาจนกว่าจะสาหัส! อย่าคิดออมมือ ส่วนเจ้าลงไปนอนราบบนพื้นและรอให้คนของเจ้ากระทืบ!”
“พ๊วดด…ฮ่าๆๆๆ…”
ทั้งหนิงซื่ออวี๋และเหลียงหวางหรูต่างระเบิดหัวเราะลั่นเดินจนอดกลั้นไหว
คำสั่งของเย่หยวนดูโรคจิตเกินไป
ในทางตรงกันข้าม เหล่าผู้ใต้บัญชากลับมีใบหน้าค้างกระด้าง พวกเขาเคลื่อนสายตาแปลกๆจับจ้องไปที่กัวซิงหวาง
กัวซิงหวางเอ่ยกล่าวน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า
“ข้าขอดูหน่อยเสียว่า พวกเจ้าจะมีใครกล้าเคลื่อนไหวบ้าง!!?”
กัวซิงหวางสาดสายตาสวนกลับพร้อมคำรามคำขู่
“โอ้? หากไม่มีใครกล้า คงต้องให้ท่านพี่เซียวเชิญลงมือ”
เย่หยวนประสามือให้เซียวเฟิง
ภายในใจกัวซิงหวางกรนด่าสาปแช่งเย่หยวนไม่หยุดหย่อน แต่ในความเป็นจริงกลับไม่กล้าแม้กระทั่งเอ่ยปากขขัด!
เพียงเหลียวไปจับจ้องเหล่าบรรดาผู้ใต้บัญชาอีกครั้ง พร้อมชี้หน้าเรียงตัวกล่าวว่า
“ตีข้าเดี๋ยวนี้! กระทืบข้าให้หนัก!”
ส่วนพวกเขาต่างเหลียวซ้ายแลขวาจับจ้องไปมาอย่างฉงนรวนเรยิ่ง และไม่มีใครกล้าวเคลื่อนไหวกันเลยสักคน
ขณะเหลือบมองเย่หยวน สีหน้าการแสดงออกของเขาก็ดูเคร่งขรึมขึ้นเรื่อยๆ จนกัวซิงหวางมิอาจทนต่อไปได้อีก และรีบนอนราบบนพื้นต่อหน้าผู้ใต้บัญชาทุกคนโดยไว
“ไอ้พวกบัดซบ! ข้าเอ่ยสั่งไปไม่ได้ยินรึไง! หรือพวกเจ้าอยากให้ข้าถูกคนอื่นกระทืบตาย! เร็วเข้า! กระทืบข้าเร็วๆ!!”
กังซิงหวานนอนแผ่สองสลึงพร้อมคำรามสั่นการพร้อมสีหน้าแสนเดือดดุ
เฝ้ามองพฤติกรรมของกัวซิงหวางจวบจนบัดนี้ ทั้งสองสาวต่างปิดปากกลั้นขำจนตัวสั่น แม้แต่เซียวเฟิงเองยังแอบยิ้มเช่นกัน
เย่หยวนคนนี้ทั้งความคิดและจิตใจเลือดเย็นมิใช่น้อย ใครคิดเป็นศัตรูกับเขาคงต้องเหนื่อยหน่อย
เมื่อเหล่าผู้ใต้บัญชาเห็นว่า เจ้านายของตนสั่งมาแบบนี้ จึงได้แต่กัดฟันยกบาทาเข้ากระทืบทันที!
ตุบ! ตุบ! ตุบ!
สักพักหนึ่งต่อมา ทั้งเตะทั้งต่อยลูกกระบวนท่าร่างมาครบองค์ประชุม กัวซิงหวางที่ถูกตะลุมบอนต่อเนื่อง กลิ้งซ้ายกลิ้งขวากระเด็นไปมาราวกับลูกหนังพร้อมหน้าดำค้ำเครียด
แม้ความแข็งแกร่งของเหล่าผู้ใต้บัญชาจะอ่อนด้อยกว่าเขามาก แต่ยามนี้เขาเปิดฉากให้พวกเขากระทืบโดยไม่ต่อต้านใดๆ จึงย่อมรู้สึกเจ็บปวดตามร่างกายโดยธรรมชาติ
อย่างไรก็ตามแต่ เย่หยวนยังดูเหมือนไม่ค่อยพอใจ และเอ่ยปากกล่าวเสียงเย็นแช่มดังไปว่า
“พวกเจ้ามีแรงกันแค่นี้รึไง! อย่าลืมไปเสียว่าข้าคือใคร อาการบาดเจ็บของเขาเป็นอย่างไรมีหรือที่ข้าจะมองไม่ออก?”
“พร๊วดดด!”
เมื่อได้ยินแบบนั้นกัวซิงหวางพลันกระอักพ่นเลือดสดออกมาชุดใหญ่ พร้อมตะโกนว่า
“ใช่แล้ว! พวกเจ้าไม่ได้กินข้าวกันมาหรือ! ไฉนแรงน้อยกันขนาดนี้! เร็วเข้า กระทืบข้าแรงๆ! ขอชนิดที่ว่า พรุ่งนี้ข้าต้องนอนติดเตียงลุกไม่ไหว!”
ถึงจะสั่งให้เหล่าผู้ใต้บัญชากระทืบจากปาก แต่มีหรือจะกล้าลงแรงหนักขนาดนั้น?
ใครก็ตามที่ใช้พลังปราณเทวะหรือออกแรงมากเกินหน้าเกินตา บางทีอาจถูกเจ้านายของพวกเขาเกลียดขี้หน้าขึ้นได้ในวันต่อมา
ดังนั้นพวกเขาจึงต้องริบรอนกำลังและไม่กล้าลงมือลงไม้กับกัวซิงหวางกันเลยสักคน
แต่ถึงอย่างไรการที่ปล่อยให้ลูกน้องตัวเองกระทืบแบบนี้ กัวซิงหวางรู้สึกเจ็บปวดใจเหลือทน
ทั้งนี้แต่ละหมัดและบาทาที่ซัดเข้าใส่ ยังทำให้เขาปวดเมื่อยตามร่างกายมิใช่น้อย
ยามนี้เขาคำรามสั่งการเหล่าผู้ใต้บัญชาเป็นซ้ำสอง คนเหล่านั้นจึงทราบดี หากวันนี้เจ้านายเขาไม่สาหัสกลับเป็นพวกตนแทนเสียที่เตรียมตัวตายได้เลย ทราบดังนั้นทุกคนจึงระเบิดพลังปราณเทวะออกมาเต็มสูบ ใช้บาทาทักทายร่างกายของกัวซิงหวางอย่างทั่วถึง
หลังจากนั้นไม่นาน กัวซิงหวางก็ตกอยู่ในสภาพปางตายยังไม่สามารถอ้าปากพูดได้
“เอาล่ะ หายไวๆ”
เย่หยวนโบกมือลากล่าวน้ำเสียงติดตลกเล็กน้อย
เหล่าผู้ใต้บัญชาราวกับพ้นโทษ ยามนี้รีบแบกร่างของกัวซิงหวางและจากไปฝุ่นตลบ
เมื่อเหล่าฝูงชนทั่วทั้งสายถนนเห็นแบบนั้น พวกเขาก็อดแปลกใจกันมิได้
“นั้นมิใช่หัวหน้าผู้พิทักษ์แห่งหอเต๋ออี้หรอกรึ? ดูเหมือนว่าจะถูกลูกน้องตัวเองกระทืบมากระมัง?”
“นั้นคล้ายว่าจะจริง! หรือชายคนนี้แท้จริงแล้วเป็นพวกชอบเสพติดความรุนแรงกัน? ทั้งๆที่ถูกลูกน้องตัวเองกระทืบแต่กลับเต็มใจโดน?”
“เดี๋ยวก่อน! เมื่อครู่ข้าเห็นว่าพวกเขาออกมาจากร้านขายโอสถสารพัดรับจ้าง หรือเป็นไปได้ไหมที่เขาจะทำให้ท่านปรมาจารย์เย่ขุ่นเคืองเข้า?”
“ท่านปรมาจารย์เย่เป็นแค่เซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าชั้นต้นเท่านั้น เหตุใดกันถึงทำให้พวกเขากลัวจนต้องทำขนาดนี้? จุจุ เห็นแบบนี้ท่านปรมาจารย์เย่เลือดเย็นมิใช่น้อย!”
…
เป็นระยะเวลาอยู่พักใหญ่ที่หนิงซื่ออวี๋และเหลียงหวางหรูยังคงขำขันกันไม่หยุดหย่อน
“ฮ่าๆๆ ท่านปรมาจารย์เย่แสบใช่ย่อย! ท่านลงมือทำโทษแบบนี้ แล้วเขายังมีหน้ามองเหล่าผู้ใต้บัญชาตนเองได้อย่างไรในอนาคต! ฮ่าๆๆ…”
หนิงซื่ออวี๋ระเบิดหัวเราะลั่นอย่างชอบอกชอบใจ
เย่หยวนยิ้มเยาะกล่าวว่า
“นั้นเกี่ยวอะไรกับข้า? พวกมันบังอาจยั่วโมโหข้าก่อน! หากมิสร้างปัญหาให้ข้าขุ่นเคือง ข้าเองก็ไม่เคยสร้างปัญหาให้ใครขุ่นเคืองก่อนเช่นกัน! แต่อย่าให้เห็นใครล้ำเส้นของข้าเชียว มิฉะนั้น…หึหึ!”
เย่หยวนปล่อยให้เจ้าของร้านเข้าไปจัดระเบียบตัวร้านใหม่ให้เรียบร้อย ก่อนที่พาเข้าไปด้านในดังเดิม
เย่หยวนเร่งกรอกเทกระแสพลังปราณเทวะเข้าไปในร่างกายของหวางเชียนทันที ในไม่ช้าเขาก็ค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นมา
“ลุงสองของเจ้าโดนพิษของอู๋เฟินจนตายแล้วงั้นรึ?”
เย่หยวนเอ่ยถามขึ้นทันที
แต่ทันทีที่หวางเชียนได้ยินชื่ออู๋เฟิน ดวงตาทั้งสองข้างของเขาพลันแดงก่ำขึ้นทันที กล้ามเนื้อทั่วใบหน้าพลันกระตุกขึ้นอย่างแรง
“ไอ้บัดซบอู๋เฟิน! ไอ้เดรัจฉานนั้น! ข้า…ข้าต้องฆ่ามันให้ได้!”
หวางเชียนกัดฟันแน่นเอ่ยกล่าวเสียงแข็ง
เย่หยวนถอนหายใจพลางเอื้อมมือไปแตะสัมผัสบนศีรษะของหวางเชียน ทันใดนั้นคลื่นพลังวิญญาณแสนโอนโยนพลันทะลวงเจาะเข้าสู้ห้วงจิตสำนึกของหวางเชียนโดยตรง
ท่าทีของหวางเชียนค่อยๆสงบลงเล็กน้อยมิได้ดูบ้าเลือดอย่างก่อนหน้าแล้ว
เย่หยวนยกมือออกและกล่าวว่า
“เอาล่ะ ใจเย็นลงก่อน แล้วค่อยกล่าวอธิบายมา”
…
เมื่ออู๋เฟินเห็นสภาพอันแสนน่าสังเวชของกัวซิงหวางที่ถูกแบกกลับมา มุมปากของเขาพลันกระตุกไม่หยุด
อนาถเกินไป!
ชายคนนี้ถูกรุมกระทืบจนแทบไม่เหลือโครงร่างมนุษย์ดังเดิม!
“ใครกันที่ลงมือ?”
อู๋เฟินกล่าวเสียงขรึม
เหล่าผู้ใต้บัญชาต่างมองหน้ากันไปมาอย่างกล้าๆกลัวๆ
“เรา…เป็นพวกเราเอง!”
พวกผู้ใต้บัญชาเอ่ยตอบเสียงค่อย
“หื้ม? นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันแน่? หากพวกเจ้าเป็นคนทำแล้วไฉนถึงยังแบกกลับมาเช่นนี้?”
อู๋เฟินกล่าวเสียงขรึมเจือฉงนใจยิ่ง
จากนั้นเหล่าบรรดาผู้ใต้บัญชาจึงเริ่มเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ฟัง ก่อนที่คู่คิ้วของอู๋เฟินจะพลันขมวดแน่นถักหนา
“ไอ้เด็กนั้นเพิ่งเดินทางกลับไปยังเขตเมืองชั้นในมิใช่รึ? แต่ไฉนยังมียอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าอีกคนโผล่มา! หึ! คิดหรือว่ามียอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าสนับสนุนอยู่เบื้องหลังเช่นนี้ แล้วข้าจะไม่กล้า? ข้าอู๋เฟินหาใช่ลูกพลันอ่อนนุ่ม! คราวนี้ข้าจะรื้อป้ายร้านของเจ้าและขับไล่เจ้าออกจากเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์คอยดู!!”
อู๋เฟินกล่าวเสียงเย็นสะท้าน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น