Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1552-1553
ตอนที่ 1552 หนิงซื่ออวี๋หลอมกลั่นโอสถ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ด้านนอกหอโอสถ ปรากฏชายหนุ่มคนหนึ่งตรงเข้ามาทักทาย
เมื่อเห็นการมาถึงของบุคคลนั้น หนิงซื่ออวี๋ก็ตรงเข้าไปทักทายตอบด้วยรอยยิ้ม
“หุหุ ศิษย์พี่สอง ท่านถูกอาจารย์ลงโทษมาอีกแล้วกระมัง?”
ชายคนนี้เป็นศิษย์พี่สองของหนิงซื่ออวี๋ นามว่าติงซุนเป็นจอมเทพโอสถสี่ดาวชั้นต้น!
ติงซุนประหลาดใจเล็กน้อย พร้อมกล่าวว่า
“นี่เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
หนิงซื่ออวี๋เปล่งเสียงดังกล่าวขึ้นว่า
“พลังปราณเทวะในร่างกายไม่คงที่ น่าจะเกิดจากหักโหมหยิบใช้ไฟศักดิ์สิทธิ์มากเกินไป คงถูกอาจารย์ลงโทษให้ควบคุมไฟร้อยครั้งกระมัง?”
ติงซุนมุ่ยหน้าใส่กล่าวว่า
“ศิษย์น้องหญิง เจ้ายังมีเวลาห่วงข้าอีกงั้นรึ? ยามนี้ห่วงตัวเองก่อนดีกว่า!”
หนิงซื่ออวี๋ยิ้มคิกคักกล่าวว่า
“ศิษย์พี่สอง ไฉนเราไม่เดิมพันกันเสียหน่อย?”
ติงซุนเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัยว่า
“เจ้าเด็กคนนี้ คิดใช้แผนอะไรอีกล่ะ?”
หนิงซื่ออวี๋ยิ้มกล่าวว่า
“ข้าจะบอกว่า ไม่เพียงท่านอาจารย์จะไม่ลงโทษข้าเท่านั้น แต่เขายังจะชื่นชมข้าอีกด้วย!”
ติงซุนระเบิดหัวเราะลั่นเมื่อได้ยินและกล่าวว่า
“เจ้าทั้งขี้เกียจซ้ำยังหนีเที่ยวตั้งหลายวัน อย่าว่าแต่ปริปากบ่น คราวนี้เจ้าน่าจะถูกกักบริเวณประมาณสามปี! เขาหรือจะชื่นชมเจ้า?”
หนิงซื่ออวี๋กล่าวขึ้นพร้อมท่าทีแสนเจ้าเล่ห์
“แค่บอกมาก็พอว่า ท่านกล้าเดิมพันหรือไม่!”
ติงซุนอดหัวเราะมิได้ขณะกล่าวขึ้นว่า
“นี่อยากได้อะไรอีกล่ะ? แต่ครั้งนี้ข้าไม่แพ้เจ้าแน่นอน”
หนิงซื่ออวี๋แสยะยิ้มกล่าวว่า
“หากศิษย์พี่สองแพ้ ท่านต้องมอบเพลิงเทวะครามไพศาลของท่าน!”
คู่ดวงตาของติงซุนหรี่แคบลงในทันใด เขากล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มว่า
“เจ้าตัวแสบ เพลิงสมุทรจ้าวสวรรค์ของเจ้าแข็งแกร่งเสียยิ่งหว่าเพลิงเทวะครามไพศาลเสียอีก แล้วเจ้าจะเอาไฟศักดิ์สิทธิ์ของข้าไปทำอะไร?”
หนิงซื่ออวี๋กล่าวตอบว่า
“ท่านไม่จำเป็นต้องรู้ แค่บอกมาก็พอว่ากล้าเดิมพันหรือไม่! ส่วนถ้าหากข้าแพ้ ข้าจะมอบเคล็ดวิชาลับค่ายหลอมสวรรค์ให้!”
ติงซุนดวงตาเป็นประกายขึ้นทันใด เขากล่าวย้ำขึ้นทันทีว่า
“นี่เจ้าพูดจริงรึ?”
“จริงยิ่งกว่านี้ก็ทองแท้แล้ว!”
หนิงซื่ออวี๋กล่าว
ติงซุนพยักหน้าและกล่าวรับคำว่า
“ได้เลยเจ้าตัวแสบ ศิษย์พี่คนนี้ขอท้าพนันกับเจ้า! และข้าไม่เชื่อว่าคราวนี้ เจ้าจะหนีรอดจากการลงโทษของท่านอาจารย์ไปได้!”
หนิงฟางหรงที่อยู่ข้างๆมิได้ส่งเสียงอันใดเอ่ยออกไปเลย เขายังคงจับจ้องไปที่น้องสาวของตนด้วยความประหลาดใจ
เขาเองก็คิดเฉกเช่นเดียวกับติงซุน มั่นใจว่านางไม่มีทางรอดพ้นการลงโทษของอาจารย์ไปได้
นางไปเอาความมั่นใจขนาดนี้มาจากไหน?
ภายในห้วงความคิดของเขา ภาพเย่หยวนพลันปรากฏขึ้นในทันที
หรืออาจจะ…เกี่ยวข้องกับเด็กหนุ่มคนนั้น?
แต่หนิงฟางหรงกลับปฏิเสธความคิดนี้ไปอย่างรวดเร็ว นี่จะเป็นไปได้อย่างไร!
…
ภายในโถง ปราจารย์ซวนอี้กำลังหลับตาเพื่อพักผ่อน
เมื่อได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายดังลั่นเข้าหู เขาก็เปิดปากกล่าวว่า
“เจ้าตัวแสบ ยังจำทางกลับบ้านได้รึ?!”
สุ้มเสียงของอาจารย์ซวนอี้เอ่ยดังฟังดูน่าเกรงขามยิ่ง ทั้งนี้ยังดูโมโหไม่น้อยเลย
ดั่งคำกล่าวที่ว่า รักมากก็ยิ่งเคี้ยวมาก
อาจารย์ซวนอี้รักหนิงซื่ออวี๋ซึ่งเป็นศิษย์น้องเล็กอย่างมาก แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ปวดเศียรกับนางมากเช่นกัน
พรสวรรค์ของสาวน้อยนางนี้ช่างน่าทึ่งเป็นอย่างยิ่ง แต่นางกลับคร้านที่จะขยันฝึกปรือ
ศาสตร์แห่งโอสถหาใช่เส้นทางฉาบฉวย หากมีแต่พรสวรรค์กลับยากยิ่งที่จะประสบความสำเร็จ
ดังนั้นเขาจึงวางแผนให้นางกลับมารับโทษ โดยใช้เวลาในช่วงนี้ในการคิดทบทวนกับตัวเอง
หนิงซื่ออวี๋หัวเราะคิกคักและรับตรงเข้าไปกอดแขนของอาจารย์ซวนอี้ทันที และกล่าวอ้อนขึ้นว่า
“ท่านอาจารย์ ข้ามิได้ออกไปเที่ยวเล่น แต่ออกไปเพื่อฝึกปรือเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ!”
อาจารย์ซวนอี้มักหลงคารมศิษย์รักและถูกหลอกมาโดยตลอด แต่คราวนี้เขาตัดสินใจแน่วแน่จะไม่หลงเชื่อนางอีกต่อไป วันนี้เขาต้องลงโทษนังตัวแสบให้จงได้!
เขาลูบหนวดเคราเล็กน้อยและกล่าวเสียงเย็นกระด้างตอบไปว่า
“เรียนรู้ทักษะใหม่ๆ? ข้าว่าเจ้ามีทักษะเหล่านี้ดีอยู่แล้ว! ไม่จำเป็นต้องเอ่ยกล่าวอันใดอีก เข้าไปในห้องอักขระสวรรค์หมายเลขสาม เพื่อทำสมาธิตั้งสติใหม่ว่าสิ่งใดควรไม่ควร และเจ้ามิได้รับอนุญาตให้ออกจากห้องนั้นเป็นเวลาสามปี!”
เมื่อได้ฟังเช่นนั้น มุมปากของติงซุนพลันเชิดขึ้นทันที
เจ้าตัวแสบนางนี้ประเมินความโกรธเกรี้ยวของท่านอาจารย์ในครั้งนี้ต่ำเกินไป
ส่วนเคล็ดวิชาลับค่ายหลอมสวรรค์ เขาเองก็ปรารถนามาแสนนานแล้ว
ในที่สุดคราวนี้เขาก็ได้มา!
แต่หนิงซื่ออวี๋กลับไม่กลัวแม้แต่น้อย นางยังคงแกว่งแขนอาจารย์ซวนอี้ไปมาและกล่าวว่า
“ท่านอาจารย์ คราวนี้ข้าออกไปเรียนรู้ทักษะใหม่มาจริงๆ! หากไม่เชื่อ ข้าสจะหลอมกลั่นโอสถต่อหน้าท่านเลย!”
ซวนอี้เหลือบมองนางเล็กน้อย พลันแสยะยิ้มเย็นกล่าวว่า
“เหอะ เจ้าตัวแสบไม่ว่าจะใช้กลอุบายใดๆ คราวนี้มิอาจรอดพ้นการกักบริเวณไปได้”
รอยยิ้มบนใบหน้าของติงซุนยิ่งทวีความสุขเป็นเท่าตัว ในขณะที่หนิงฟางหรงยังคงหรี่ตาแคบจับจ้องไม่คลายอ่อน
คราวนี้อาจารย์ซวนอี้ดูเหมือนจะโกรธจริงๆ!
“โถ่ว ท่านอาจารย์ที่รักของข้า ข้าออกไปเรียนรู้ทักษะใหม่มาจริงๆ! ครั้งนี้มีสหายคนหนึ่งที่ทรงพลังมากฝีมืออย่างมาก ข้าไปเจอเขาในร้านขายโอสถเล็กๆแห่งหนึ่ง! หากท่านอาจารย์ยังไม่เหลือ ซื่ออวี๋จะหลอมกลั่นโอสถตรงหน้าท่านเลย หลังจากนั้นหากยังต้องการลงโทษข้าอยู่ ข้าขอน้อมรับแต่โดยดี!”
หนิงซื่ออวี๋กล่าว
แน่นอนว่าซวนอี้ไม่เชื่อในคำกล่าวของหนิงซื่ออวี๋แน่นอน สหายจากร้านขายโอสถเล็กๆ แห่งหนึ่ง? สถานที่แบบนั้นยังมีปรมาจารย์ยอดฝีมือซ่อนตัวอยู่กระมัง?
เจ้าตัวแสบคิดเล่นตุกติกชัดๆ!
แต่เขายังคงใจดีกล่าวว่า
“เอาล่ะ หลอมกลั่นโอสถให้ข้าดูหน่อย อยากจะเห็นเสียจริงสิ่งใดที่เจ้าเรียนรู้มาในหลายวันนี้!”
ต้องล้อเล่นไปแล้วกระมัง!
เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่วัน ทักษะหลอมกลั่นโอสถของนางจะพัฒนาปานนั้น?
แม้พรสวรรค์ของหนิงซื่ออวี๋จะสูงส่งปานใด แต่ระยะเวลาแค่ไม่กี่วัน ย่อมไม่มีทางก้าวล้ำจนเห็นผลขนาดนั้น
ไม่นานหนิงซื่ออวี๋ก็ยกกองสมุนไพรวิญญาณเข้าไปในห้องหลอมกลั่นโอสถ
ซวนอี้กวาดสายตาจับจ้องกองสมุนไพรวิญญาณเหล่านั้น และอดเอ่ยปากกล่าวมิได้เลยว่า
“เจ้ากำลังจะหลอมกลั่นโอสถฤทัยปราณสวรรค์? แต่เจ้าไม่เคยทำสำเร็จมาก่อน!”
หนิงซื่ออวี๋ยิ้มแช่มพึงพอใจยิ่งว่า
“เป็นเพราะข้าไม่เคยประสบความสำเร็จมาก่อน ดังนั้นข้าจึงต้องการแสดงให้เห็นว่า ตัวข้าพัฒนาไปมากเพียงใด!”
ซวนอี้เม้มปากและมิได้แสดงความคิดเห็นใดๆอีก
เขาไม่เชื่อว่า แค่กี่วันที่ผ่านมาจะทำให้หนิงซื่ออวี๋หลอมกลั่นโอสถฤทัยปราณสวรรค์ได้สำเร็จจริงๆ
แต่หลังจากที่หนิงซื่ออวี๋เริ่มหลอมกลั่นโอสถ ซวนอี้ก็เริ่มค้นพบได้ถึงอะไรบางอย่าง
มีบางสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปจริงๆ!
สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปก็คือ…สมาธิ!
ด้วยนิสัยของหนิงซื่ออวี๋กล่าวได้ว่า นางไม่เคยอยู่ไม่สุขหรืออยู่นิ่งเกินสิบอึดใจด้วยซ้ำ นางมักจะคิดโน้นทำนี่ไปเรื่อยไม่หยุด ดังนั้นแล้วในขณะที่นางหลอมกลั่นโอสถ จึงเป็นเรื่องยากมากที่จะรวบรวมสมาธิ
แต่ครั้งนี้หนิงซื่ออวี๋กลับจดจ่ออยู่กับหม้อหลอมชนิดที่ว่านิ่งจนซวนอี้ไม่อยากเชื่อสายตา
อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไป ความตื่นตะลึงบนใบหน้าของพวกซวนอี้ทั้งสามก็ปรากฏชัดขึ้นและชัดขึ้น
ในอดีต ยามนี้หนิงซื่ออวี๋หลอมกลั่นโอสถ เมื่อเวลาผ่านไปชั่วระยะหนึ่งนางจะเริ่มเสียสมาธิจนทำให้เกิดเหตุผิดพลาดไปในท้ายที่สุด
แต่คราวนี้ราวกับว่านางจมอยู่ในห้วงสมาธิโดยสมบูรณ์ ทุกอย่างดูเป็นรูปเป็นร่างขึ้นเรื่อยๆ!
ในที่สุดหนิงซื่ออวี๋ก็ส่งเสียงทุ้มต่ำดังขึ้นว่า
“ขึ้นรูปโอสถ!”
เมื่อเสร็จสิ้นขั้นตอนสุดท้าย หนิงซื่ออวี๋ก็กอดอกจับจ้องหลอมภาพฉากตรงหน้าด้วยความภาคภูมิใจ
นางทำได้แล้วจริงๆ!
ไม่กี่วันก่อน นางได้รับอิทธิพลอย่างมากจากร้านขายโอสถสารพัดรับจ้าง กล่าวได้ว่าฝีมือของนางได้รับการปรีบปรุงจนพัฒนาขึ้นมาก!
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยามที่ได้เห็นเย่หยวนหลอมกลั่นโอสถกับตา ทำให้นางเก็บเกี่ยวผลประโยชน์มาได้มากมาย
เมื่อเห็นท่าทางตื่นตะลึงของท่านอาจารย์และพี่ชายทั้งสอง หนิงซื่ออวี๋ก็ยิ่งคลี่ยิ้มกว้าง
“ท่านอาจารย์ ศิษย์พี่สอง พี่ใหญ่ ลองเปิดหม้อหลอมออกดูสิ! ข้าเองก็ตั้งตารออยู่เช่นกัน!”
หนิงซื่ออวี๋กล่าว
ฝ่ามือของซวนอี้สั่นกระตุกเล็กน้อย ปรากฏโอสถเม็ดหนึ่งพุ่งออกมาจากหม้อหลอมกลั่นทันที
ทั้งสี่ต่างจับจ้องไปที่โอสถเม็ดนั้นที่ร้อนลงบนถาดหยก ก่อนเผยสีหน้าตื่นตะลึงสุดขีด
แม้แต่หนิงซื่ออวี๋เองก็ยังไม่อยากเชื่อสายตา
นางคิดกับตนเองว่า หลังจากที่ฝีมือขอตนพัฒนาสูงขึ้นย่อมสามารถหลอมกลั่นโอสถฤทัยปราณสวรรค์ได้สำเร็จแน่นอน
แต่นางกลับคิดไม่ถึงเลยว่า ตนจะสามารถทำได้ขนาดนี้!
ตอนที่ 1553 ขอบเขตแห่งเต๋า
โดย
Ink Stone_Fantasy
โอสถฤทัยปราณสวรรค์ขั้นสูง!
สำหรับผลลัพธ์นี้ มันยิ่งกว่าที่หนิงซื่ออวี๋คาดหวังไว้มาก
แม้ต่อหน้าเย่หยวน โอสถฤทัยปราณสวรรค์ขั้นสูงจะไม่ต่างอะไรจากเศษขยะเลย แต่ผลลัพธ์เช่นนี้ก็ทำให้นางปลื้มใจอย่างมาก
ส่วนในสายตาของซวนอี้ ติงซุน และหนิงฟางหรง ยิ่งตื่นตะลึงเป็นพิเศษ
เพราะพวกเขาทุกคนต่างทราบดีว่า ก่อนที่หนิงซื่ออวี๋จะหนีออกไปเที่ยวเล่นในเขตเมืองชั้นนอก ไม่ว่านางจะพยายามแค่ไหน ก็ยังหลอมกลั่นโอสถฤทัยปราณสวรรค์ล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ที่นางวิ่งหนีออกไปเที่ยวเล่นหาใช่เพราะเรื่องนี้?
แล้วนี่เพิ่งผ่านไปกี่วันเอง?
นางกลับหลอมกลั่นได้ขั้นสูงอย่างน่าอัศจรรย์!
หรือเป็นไปได้ไหมว่า นังตัวแสบนี่ออกไปเรียนรู้ทักษะใหม่มาจริงๆ?
เมื่อเห็นสีหน้าอันตื่นตะลึงของอาจารย์ หนิงซื่ออวี๋ยิ่งรู้สึกพึงพอใจยิ่ง
“ท่านอาจารย์ ท่านดูถูกฝีมือของข้าที่พัฒนาขึ้นมามากเกินไป คราวนี้คงไม่คิดว่าข้ามีลูกไม้อีกกระมัง?”
หนิงซื่ออวี๋คลี่ยิ้มกว้างสดใส
คล้อยหลังประหลาดใจอยู่นาน ซวนอี้หล่าวขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อสายตาขึ้นว่า
“เจ้าตัวแสบ บอกข้ามาเดี๋ยวนี้มาเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ไฉนฝีมือของเจ้าถึงพัฒนาได้ขนาดนี้ภายในเวลาไม่กี่วัน?”
หนิงซื่ออวี๋กล่าวตอบอย่างสุภาพว่า
“ทั้งหมดเป็นเพราะท่านปรมาจารย์เย่! ท่านไม่มีทางทราบเลยว่า ตอนที่ท่านปรมาจารย์เย่หลอมกลั่นโอสถมันสุดยอดเพียงใด! ข้าไม่คิดมาก่อนเลยว่า จะมีใครบนผืนพิภพที่สามารถหลอมกลั่นโอสถได้ไร้ที่ติปานนี้! ยิ่งไปกว่านั้น…”
เมื่อเริ่มเอ่ยปากถึงเย่หยวน หนิงซื่ออวี๋ก็เริ่มพ้นวาจาพรรณนาออกมาไม่หยุดหย่อน
“เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวก่อน ท่านปรมาจารย์เย่ที่เจ้าเอ่ยถึงคือใครกัน?”
ซวนอี้เอ่ยขัดจังหวะขึ้นทันทีด้วยความสงสัย
หนิงฟางหรงประสานมือกล่าวตอบแทนว่า
“ท่านอาจารย์ เรื่องมันเป็นเช่นนี้…”
จากนั้นหนิงฟางหรงก็เริ่มอธิบายถึงความน่าอัศจรรย์ที่เย่หยวนสามารถรักษาโรคภัยต่างๆที่แสนประหลาดได้ รวมไปถึงเรื่องห้ากลุ่มอิทธิพลที่รวมหัวกันสร้างปัญหาให้อีก ขณะที่ซวนอี้ที่ได้ฟังถึงขั้นตื่นตะลึงไม่หยุดหย่อน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกล่าวถึงเย่หยวนในตอนที่หลอมกลั่นโอสถชำระไขกระดูกสวรรค์ และช่วยหวางเชียนให้หายจากโรคได้ ทั้งยังเพิ่มพูนพรสวรรค์การบ่มเพาะพลังแก่อีกฝ่ายอีก ซวนอี้ตื่นตะลึงจนอธิบายไม่ถูกแล้ว
การจะขุดรากถอนโคนพิษกร่อนไขกระดูกม่วงเป็นเรื่องที่ไม่มีทางเป็นไปได้ พิษโบราณชนิดนี้ไม่สามารถรักษาให้หาย แต่ปรากฏว่าเด็กหนุ่มคนนี้กลับทำได้จริงๆ!
“ข้าไม่นึกไม่ฝันมาก่อนเลยว่า เขตเมืองทางตอนใต้จะมีบุคคลที่น่าทึ่งขนาดนี้อยู่ด้วย!”
ซวนอี้กล่าวอุทานขึ้นพลางถอนหายใจด้วยความชื่นชม
หนิงซื่ออวี๋เหลือบมองซวนอี้เล็กน้อย นางยิ้มกล่าวว่า
“ท่านอาจารย์ ท่านสนใจ…รับศิษย์เพิ่มหรือไม่?”
ซวนอี้มิอาจเก็บซ่อนความคิดนี้ได้เช่นกัน จึงกล่าวตอบไปตามตรงว่า
“นังตัวแสบนี่รู้ทันข้าไปหมด! อัจฉริยะระดับนี้ หากถูกคนอื่นพรากไปนับว่าเสียดายแย่”
แม้จะฟังดูน่าประทับใจมาก แต่ท้ายที่สุดซวนอี้ก็ยังไม่เคยเห็นด้วยตาตนเองมาก่อน
ด้วยสถานะของเขาที่เป็นถึงจอมเทพโอสถสี่ดาว ต่อให้อีกฝ่ายจะน่าทึ่งเพียงใด แต่สุดท้ายก็เป็นแค่จอมเทพโอสถสามดาว คุณสมบัติเท่านี้ยังไม่ควรค่าแก่การลดศีรษะของเขาได้
หนิงซื่ออวี๋หัวเราะคิกคักและกล่าวว่า
“ท่านอาจารย์โปรดมั่นใจ ไม่มีใครสามารถพาตัวเขาไปได้!”
“หื้ม?”
ซวนอี้เลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย
“ท่านลองดูนี่สิ!”
หนิงซื่ออวี๋หยิบโอสถประตูศิลาวายุทั้งสองเม็ดออกมาให้แก่ซวนอี้พินิจมอง ด้วยสายตาที่เฉียบคมของเขา เพียงปราดตาเดียวถึงกับสะดุ้งโหย่วตกตะลึงสุดขีด
“นี่มัน…นี่มันโอสถประตูศิลาวายุขั้นเทวะ!! นี่…อย่าบอกว่าเป็นฝีมือของเขา?”
หนิงซื่ออวี๋พยักหน้าและชี้ไปที่โอสถประตูศิลาวายุขั้นสวรรค์และกล่าวว่า
“เม็ดนี้เป็นครั้งแรกที่เขาหลอมกลั่น ส่วนอีกเม็ดเป็นครั้งที่สอง”
ซวนอี้หยิบโอสถทั้งสองเม็ดขึ้นมาดูโดยละเอียด สีหน้าการแสดงออกของเขาเคร่งขรึมอย่างหาที่เปรียบไม่
ไม่มีอะไรสะท้อนความแข็งแกร่งของนักหลอมโอสถได้ดีกว่าเม็ดโอสถที่หลอมกลั่นอีกแล้ว เขาสามารถมองเห็นได้ถึงความโดดเด่นของโอสถทั้งสองเม็ดนี้ได้ในทันที!
ซวนอี้วางโอสถทั้งสองเม็ดลงอย่างระมัดระวังและกล่าวว่า
“นี่ครั้งแรกของเขาจริงรึ? ไม่…หรือเป็นไปได้ไหมว่า…ชายหนุ่มคนนี้จะบรรลุถึงสู่ขอบเขตแห่งเต๋าแล้ว! ข-ข้า…แต่ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่า จะมีจอมเทพโอสถสามดาวคนใดสามารถบรรลุถึงขอบเขตแห่งเต๋าได้!”
หนิงซื่ออวี๋ ติงซุน และหนิงฟางหรงต่างปั้นหน้ามึนงงก่อนเอ่ยถามขึ้นว่า
“ท่านอาจารย์ ขอบเขตแห่งเต๋าคืออะไร?”
ซวนอี้กล่าวอธิบายน้ำเสียงจริงจังยิ่งว่า
“ระดับชั้นของนักหลอมโอสถถูกแบ่งได้จากโอสถศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเขาหลอมกลั่น แต่นอกเหนือจากขอบเขตบรรพกาลแล้ว สูงกว่านั้นคือขอบเขตแห่งเต๋า! แน่นอนว่าขอบเขตที่ทั้งกว้างใหญ่และลึกซึ้งไร้สิ้นสุด ต่อให้เป็นจอมเทพโอสถสี่ดาว อย่าว่าแต่ขอบเขตแห่งเต๋าเลย แค่จะพัฒนาไปบรรลุไกลถึงขอบเขตบรรพกาลยังยากเย็นแสนเข็ญ! แสดงว่าความเข้าใจของเขาต่อเต๋าแห่งโอสถค่อนข้างลึกซึ้งอย่างยิ่ง จึงสามารถปลดปล่อยประสิทธิภาพที่แท้จริงของโอสถออกมาได้เต็มที่! กล่าวได้ว่า คนประเภทนี้ไม่ว่าจะหลอมกลั่นโอสถชนิดใด ย่อมประสบความสำเร็จในระดับสูงทั้งสิ้น!”
เมื่อนึกย้อนกลับไปตอนที่เย่หยวนหลอมกลั่นโอสถ หนิงซื่ออวี๋ก็อดตะลึงงันมิได้ ก่อนเอ่ยน้ำเสียงสั่นคลอนว่า
“หากเป็นไปตามที่ท่านอาจารย์กล่าวจริงๆ ต่อให้เป็นโอสถที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน ก็สามารถหลอมกลั่นให้ได้ขั้นสวรรค์หรือเทวะได้? เพราะนี่เป็นครั้งแรกของเขาจึงประสบความผิดพลาดเล็กน้อย ทำให้ท่านปรมาจารย์เย่หลอมกลั่นโอสถประตูศิลาวายุได้เพียงขั้นสวรรค์?”
มุมปากของซวนอี้กระตุกเล็กน้อย ก่อนหน้าเขายังต้องการรับเย่หยวนเป็นศิษย์ ยามนี้กลับละอายใจจนเลิกล้มความคิดไปโดยสิ้น
รับนักหลอมโอสถที่บรรลุขอบเขตแห่งเต๋าที่แม้แต่ตนเองยังทำไม่ได้มาเป็นศิษย์?
ไม่ควรมองว่าเขาเป็นถึงจอมเทพโอสถสี่ดาว ต่อหน้าผู้ที่บรรลุขอบเขตแห่งเต๋าได้ เขากลับไม่มีคุณสมบัตินั้นจริงๆ!
นอกจากนี้เอง ต่อให้เขาเป็นจอมเทพโอสถห้าดาว เขาก็ยังไม่มีคุณสมบัติรับอีกฝ่ายเป็นศิษย์เช่นกัน!
สามารถบรรลุขอบเขตนี้ได้ตั้งแต่อายุเพียงเท่านั้น หากไม่เกิดอุบัติเหตุอันใดขึ้นเสียก่อน ทันทีที่ทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าได้ เขาจะขึ้นกลายมาเป็นจอมเทพโอสถสี่ดาวที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย!
ความเข้าใจต่อศาสตร์แห่งโอสถสำหรับยิ่งกว่าสิ่งใด!
ชายหนุ่มคนนี้จักต้องเป็นเทพผู้ยิ่งใหญ่ในอนาคต!
“เอ่อ…ช่างน่าทึ่งจริงๆ! จอมเทพโอสถสามดาวน่าเกรงขามขนาดนี้ได้อย่างไร?”
ติงซุนไม่สามารถจินตนาการออกเลยว่า จอมเทพโอสถสามดาวจะแข็งแกร่งกว่าจอมเทพโอสถสี่ดาวได้อย่างไร
กล่าวได้ว่า ต่างกันหนึ่งดาวราวกับโลกคนละใบ
เขาไม่เคยได้ยินมากก่อนเลยว่า จะมีจอมเทพโอสถสามดาวคนใดแข็งแกร่งจนแม้แต่ท่านอาจารย์ของตนยังหวาดกลัว
ซวนอี้กล่าวขึ้นพลางถอนหายใจว่า
“เท่าที่ข้าทราบ คนที่จะไต่เต้าไปถึงขอบเขตแห่งเต๋าได้มีเพียงระดับชั้นยอดเซียนจักรพรรดิเทพสวรรค์ หรือไม่ก็ท่านเต๋าบรรพกาล! เรื่องเช่นนี้กลับไม่เคยได้ยินมาก่อน! หากเส้นทางที่ก้าวเดิมต่อไปในอนาคตของเขายังไม่มีอะไรผิดพลาด บางที…เขาอาจกลายมาเป็นเทพบรรพชนโอสถคนที่สองก็เป็นได้!”
“ฟู่วว…”
ทั้งสามต่างสูดไอเย็นแช่มลึกด้วยความหวาดหวั่นใจยิ่ง อาจารย์ซวนอี้ของพวกเขาประเมินเย่หยวนไว้สูงส่งยิ่งนัก
เทพบรรพชนโอสถหาใช่การดำรงอยู่ที่พวกเขาจะจินตนาการได้ นั้นเปรียบดั่งศาสดาของเหล่านักหลอมโอสถทั้งมวล!
ชายหนุ่มนิรนามโผล่มาจากไหนไม่ทราบ แต่ท่านอาจารย์ซวนอี้กลับบอกว่าอาจขึ้นกลายมาเป็นท่านเทพบรรพชนโอสถคนที่สอง!
“ไม่! อยู่เฉยไม่ได้แล้ว! ข้าต้องการพบเขา! ข้าต้องการพบท่านปรมาจารย์เย่! รีบไปรายงานเลยว่า…ข้าคนนี้ต้องการสนทนาแลกเปลี่ยนความรู้กับเขา!”
ซวนอี้โพล่งกล่าวขึ้นทันทีด้วยความตื่นเต้น
หนิงซื่ออวี๋ไม่เคยเห็นอาจารย์เป็นเช่นนี้มาก่อน แม้ยามที่เผชิญพบกับประมุขหอโอสถ เขายังคงรักษาความสงบเยือกเย็นไม่คลายอ่อน
“รับทรายท่านอาจารย์!”
หนิงซื่ออวี๋เร่งกล่าวตอบ
“นอกจากนี้แล้ว งานประลองของหอโอสถกำลังจะเริ่มเร็วๆนี้แล้ว ระหว่างนี้เองเจ้าจงใช้เวลาที่เหลือสร้างสัมพันธ์อันดีต่อเขา และเก็บเกี่ยวความรู้ให้ได้มากที่สุด! เข้าใจหรือไม่นังตัวแสบ!?”
ซวนอี้กล่าวย้ำขึ้นทันที
หนิงซื่ออวี๋โผเข้ากอดซวนอี้ทันทีและกล่าวอย่างยินดีปรีใจว่า
“ฮิฮิ ท่านอาจารย์ของข้าใจดีที่สุดเลย!”
…
“เอาล่ะ ศิษย์พี่สอง มอบไฟศักดิ์สิทธิ์ของท่านมาซะดีๆ!”
หนิงซื่ออวี๋เหลียวขวับจับจ้องติงซุน
ติงซุนคลี่ยิ้มแสนขมขื่นใจ แต่สุดท้ายต้องยอมจำนน
เขาบังคับให้เพลิงเทวะครามไพศาลออกจากร่างและมอบให้แก่หนิงซื่ออวี๋
แต่ไฟศักดิ์สิทธิ์ชนิดนี้กลับมิได้มีประโยชน์ต่อนางมากนัก
ทันทีทันใด ติงซุนก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้และกล่าวว่า
“เจ้าต้องการมอบเพลิงเทวะครามไพศาลให้แก่…ท่านปรมาจารย์เย่กระมัง?”
หนิงซื่ออวี๋ยิ้มตอบวส่า
“จุจุ ศิษย์พี่สองยังคงฉลาดหลักแหลม! ถึงเขาจะเป็นจอมเทพโอสถสามดาว แต่เขายังใช้ไฟศักดิ์สิทธิ์ระดับสองอยู่เลย!”
ดวงตาของติงซุนและที่เหลือแทบทะลักล้นออกมาทันใด ชายหนุ่มนามว่าเย่หยวนยังคงเป็นมนุษย์จริงๆ ใช่ไหม?
ใช้แค่ไฟศักดิ์สิทธิ์ระดับสอง แต่สามารถหลอมกลั่นโอสถประตูศิลาวายุได้ขั้นเทวะ?
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น