Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1538-1551
ตอนที่ 1538 ไม่คิดเลยว่า…มันจะง่ายปานนี้
โดย
Ink Stone_Fantasy
เจ้าของร้านเผยท่าทีเก้อเขินทำตัวไม่ถูก กล่าวติดอ่างไม่เป็นภาษา
“ทำตามคำขอทั้งหมด…”
ในคำกล่าวเหล่านี้ไม่มีคำว่าหลอมโอสถสักคำ
หากพวกเขาไม่สามารถรับคำหรือสัญญาของลูกค้าได้ สิ่งนี้อาจทำให้ใบหน้าของพวกเขาบวมเป่งเนื่องจากถูกกระทืบ
อย่างไรก็ตาม จุดที่ร้านชายโอสถเล็กๆแห่งนี้ตั้งอยู่เป็นเส้นถนนกุ้ยพ้วยที่ไม่ค่อยเป็นที่นิยมเท่าไหร่ ร้านแห่งนี้จึงไม่ค่อยดึงดูดผู้คนเท่าไหร่นัก มิฉะนั้นร้านแห่งนี้คงถูกร้านค้าอื่นๆหรือฝูงชนกล่าวเย้ยหยันนับไม่ถ้วนนานแล้ว
แต่เจ้าของร้านทราบดีว่า ในท้ายที่สุด เขาก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงเรื่องพวกนี้ได้ ในไม่ช้าคงเป็นที่รู้จักของผู้คนในไม่ช้าก็เร็ว แน่นอนว่าในทางที่ไม่ดีเท่าไหร่นัก
และชายหนุ่มหน้าหวานผู้นี้เป็นคนแรกที่พบเห็นความผิดปกติของป้ายร้าน
“เหอะ! เจ้าของข้า ข้ากำลังคุยกับเจ้าอยู่! ในเมื่อเจ้าทำได้ทุกอย่างเช่นนั้นข้าต้องการให้เจ้าหลอมกลั่นโอสถ! เจ้าจะยอมรับคำขอหรือไม่?”
ชายหนุ่มหน้าหวานทำท่าทำทางเอาแต่ใจอย่างยิ่ง จนบังคับให้เจ้าของร้านร่นถอยออกไปหลายก้าว
เจ้าของร้านอยากตอบว่ารับคำขอก็จริง แต่เขากลับไม่มีความมั่นใจเอาเสียเลย!
เมื่อพินิจมองให้ดีแล้ว เยาวชนหนุ่มหน้าหวานคนนี้น่าจะเป็นนายน้อยจากตระกูลร่ำรวย เห็นได้ชัดว่าเขามาที่นี่เพื่อก่อปัญหา แล้วโอสถที่เขาร้องขอให้หลอมกลั่นให้จะเป็นโอสถง่ายๆทั่วไปได้อย่างไร?
“เอ่อ…เอ่อ…”
ทั่วทั้งใบหน้าของเจ้าของร้านเต็มไปด้วยเหงื่อเย็น ยามนี้ไม่รู้ควรกล่าวตอบไปอย่างไร
มุมปากของหนุ่มหน้าหนาวพลันกระตุกขึ้น นางกล่าวเหยียดหยามดูถูกออกไปว่า
“หากเจ้าไร้ซึ่งความสามารถ เช่นนั้นจะติดป้ายบัดซบนี้หาอันใด? ข้าจะฉีกป้ายของเจ้าทิ้งซะ!”
“นะ-นายน้อย…นี่หาใช่เรื่องดีไม่กระมัง?”
ฮ้วนน้อยรู้สึกอับอายอย่างยิ่งในยามนี้กับท่าทางเอาแต่ใจของนายน้อยของนาง
“มีอะไรไม่ดี? พวกมันกล้าอวดอ้างเกินจริง จะปล่อยให้มันลอยนวลหลอกผู้คนกระมัง?”
หนุ่มหน้าหวานยังคงไม่ลดละความตั้งใจ
ทันใดนั้นเองก็มีชายหนุ่มอีกคนเดินออกมาจากหลังร้าน ก่อนเอ่ยปากกล่าวขึ้นอย่างเฉยเมยว่า
“หากแม่นางต้องการโอสถชนิดใด สามารถสั่งได้เลย อย่าไปฉีดป้ายร้านค้าคนอื่นเล่นเสีย ราคาหาใช่ถูกๆไม่”
คำกล่าวของเย่หยวนเรียบนิ่งและสงบเยือกเย็นอย่างมาก อย่าลืมไปเสียเขาเพิ่งสะบั้นป้ายกลุ่มอิทธิพลคนอื่นลงไป ทั้งยังบังคับให้อีกฝ่ายเปลี่ยนชื่อกลุ่มอีก
เอ่อ…ก่อนจะไปกล่าวเตือนคนอื่น เขาควรกล่าวเตือนตนเองก่อนดีกว่าหรือไม่?
หนุ่มหน้าหวานอดแปลกใจมิได้ที่สามารถมองตัวตนของนางออกเพียงปราดตาเดียว หลังจากนั้นไม่นาน นางก๋พลันโมโหขึ้นเล็กน้อย
ชายคนนี้สายตาเฉียบคมปานนั้น ถึงสามารถมองผ่านทราบได้ในทันที?
แต่นางก็ยังไม่ยอมแพ้ไม่พร้อมเอ่ยกล่าวอย่างเหยียดหยามขึ้นว่า
“ข้าสงสัยเสียจริงว่า คนที่แขวนป้ายนี้คือเจ้าใช่ไหม?”
เย่หยวนกล่าวตอบพร้อมสีหน้าไม่แยแสใดๆ
“หากใช่แล้วจะทำไม?”
“แล้วจะทำไมงั้นรึ? หุหุ ช่างขี้โม้โอ้อวดเสียจริง! เจ้าคิดว่าตนเองเป็นท่านเทพบรรพชนโอสถกระมัง? ถึงสามารถหลอมกลั่นโอสถได้สารพัด! วันนี้…ข้าจะฉีกป้ายอวดอ้างของเจ้าทิ้งซะ!”
เย่หยวนเค้นเสียงเย็นตอบว่า
“ต้องการฉีกป้ายของข้า? หากมีปัญญาก็ลองดู”
“ฮ่าๆ! ไอ้เด็กเหลือขออย่างเจ้า อายุไม่มากแต่เสียงกลับไม่เล็กโดยแท้! เช่นนั้นรออยู่ตรงนี้แหละ!”
ทันทีทันใด หญิงสาวนางนั้นก็หมุนตัวกลับและวิ่งออกไปกลางถนนสายหลัก พร้อมยกมือป้องปากตะโกนลั่นสุดเสียงว่า
“ทุกคน! ทุกคนมาดูนี่เร็ว!!”
เนื่องด้วยเสียงตะโกนนี้ นางจึงกลายมาเป็นจุดสนใจในทันที
แม้ว่าถนนกุ้ยพ้วยจะอยู่ห่างไกลจากถนนเส้นที่คึกคัก แต่ก็หาใช่ว่าจะเงียบร้างไปเลย มิฉะนั้นกลุ่มอัสนีคำรนคงไม่เหลือทำเลนี้ให้เย่หยวนเช่นกัน
หญิงสาวนางนั้นหัวเราะเยาะคึกคักกับตนเองภายในใจว่า
‘อวดดีนักรึ? ยามนี้มีคนจำนวนมากมายกำลังจับจ้องเจ้าหลอมกลั่นโอสถ ข้าอยากเห็นเสียจริงว่าจะแก้ไขสถานการณ์ได้อย่างไร! ป้ายอวดอ้างเช่นนี้ คุณหนูอย่างข้าจะขยี้มันด้วยเท้าคู่นี้เอง!’
เมื่อเห็นภาพฉากนี้ เจ้าของร้านพลันหัวใจเต้นแรงในทันใด พลันแอบคิดไปว่างานที่เขาได้รับมอบหมายมา ยามนี้ทุกอย่างจบสิ้นแล้ว!
แต่ขณะเดียวกัน เย่หยวนพลันลอบแสยะยิ้มขึ้นอย่างลับๆ นี่…นับเป็นโอกาสดีเช่นกัน…
ฮ้วนน้อยยามนี้ขายหน้าอย่างหนัก รีบเร่งโค้งศีรษะขอโทษเย่หยวนทันที
“ท่านผู้นี้ ข้าต้องขอโทษแทนคุณหนูด้วยจริงๆ! นางเป็นคุณหนูตระกูลข้าเอง มีนิสัยเอาแต่ใจจนทำให้ผู้คนเดือดร้อนอยู่บ่อยครั้ง”
เย่หยวนโบกมือปัดพลางยิ้มกล่าวว่า
“ไม่เป็นไร ปล่อยให้นางสร้างปัญหาไปแหละดีแล้ว”
เจ้าของร้านหันขวับมองเย่หยวนฉายแววประหลาดใจ ธุรกิจเล็กๆแห่งนี้เตรียมล้มละลายได้เลย แต่เขายังจะปล่อยให้นางสร้างปัญหาจริงๆ…
หากเป็นเช่นนั้น…เขามีหวังตกงานเป็นแน่!
เมื่อเห็นเหล่าฝูงชนจำนวนมากมายแห่แหนเข้ามารวมตัวกัน หญิงสาวนางนั้นก็ดูพึงพอใจขึ้นอย่างมากและกล่าวขึ้นว่า
“ทุกคน ดูร้านขายโอสถเล็กๆแห่งนี้ให้ดี ป้ายของมันเขียนว่ารับจ้างสารพัด ทีแรกข้าก็พลันหลงคิดไปว่า ข้างในคงมีนักหลอมโอสถฝีมือน่าประทับใจอยู่เป็นแน่! ปรากฏว่ากลับเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น! เช่นนั้น วันนี้ข้าจะขอให้ทุกคนลองทดสอบกับมันหน่อยเสียว่า เด็กนี้จะมีพรสวรรค์โค่นฟ้าดินปานใดกัน!?”
จากเสียงตะโกนนี้ของนางมันยิ่งดึงดูดความสนใจของผู้คนเป็นทวีเท่า
“เอ๊ะ? มีแผ่นป้ายเช่นนี้ตั้งอยู่ตั้งแต่เมื่อใด? ไฉนข้าถึงไม่รู้”
“รับจ้างสารพัด? ขี้โม้เกินไปแล้ว!”
“กระทั่งร้านขายโอสถรายใหญ่ของเมืองชั้นในยังไม่กล้าติดป้ายแบบนี้เลยด้วยซ้ำ เจ้าเด็กนี่มันปัญญาอ่อนรึไง?”
…
ตอนนี้ทุกคนต่างถูกเสียงตะโกนของหญิงสาวดึงดูดเข้ามาที่นี่โดยตรง
ท่าทีแสนสิ้นหวังพลันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเจ้าของร้านทันที
เมื่อกล่าวจบ หญิงสาวนางนั้นก็หันหน้ากลับมาและกล่าวกับเย่หยวนว่า
“เหอะ ไอ้เด็กเหลือขอ กล้ารับคำขอหรือไม่? ต่อหน้าทุกคนในที่นี้ เจ้าจะรับคำขอของพวกเขาได้หรือไม่? ฝีมือของเจ้าจะน่าประทับใจแค่ไหนกัน!”
เย่หยวนยิ้มก่อนจะค่อยๆประสานมือให้ทุกคนพร้อมกล่าวว่า
“ทุกคนมีโอสถชนิดใดที่ต้องการบ้าง? ร้านค้ามหัศจรรย์แห่งนี้สามารถบันดาลโอสถได้ทุกชนิดโดยข้า เย่หยวน! ไม่ว่าทุกคนจะมีอาการเจ็บปวดหรือต้องการโอสถชนิดใด ขอเพียงต่ำกว่าระดับสี่ย่อมสามารถหลอมกลั่นได้ตามประสงค์!”
“ฮ่าๆ ไอ้เด็กเหลือขอนี่มันขี้โม้จริงๆด้วย!”
“ต่ำกว่าระดับสี่หลอมกลั่นได้หมด? ไม่คุยโวเกินไปหน่อยรึ?”
“รู้สึกร้านทำเลแถวนี้จะเป็นของกลุ่มล่ามังกร? แล้วไอ้เด็กเหลือขอตัวนี้โผล่มาได้อย่างไร?”
…
คำกล่าวของเย่หยวนทำให้ทุกคนต่างลุกฮือหัวเราะเยาะลั่นในทันใด
หญิงสาวนางนั้นหรี่ตาแคบจับจ้องเย่หยวนอย่างเย่อหยิ่งยิ่ง
ยังกล้าขี้โม้อีกงั้นรึ?
อีกสักครู่ข้าจะหักหน้าเจ้าให้แหลกเป็นผุยผง!
“เหอะ เหอะ ท่านปรมาจารย์เย่ หากน่าเหลือเชื่อนัก เช่นนั้นข้าจะขอให้เจ้าหลอมกลั่นโอสถตอนนี้เลย!”
เย่หยวนเดินขึ้นหน้าตรงเข้าประจันกับหญิงสาวนางนั้นและกล่าวว่า
“จงนำวัตถุดิบและสูตรโอสถของเจ้ามา โอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสามเริ่มต้นที่ผลึกปราณเทวะหนึ่งล้านก้อน”
“ฟู่ว…”
เมื่อคำกล่าวเหล่านี้หลุดดังออกมา หญิงสาวนางนั้นอดอ้าปากค้างมิได้และคำรามลั่นด้วยความโกรธทันที
“นี่เจ้า! ผลึกปราณเทวะหนึ่งล้านก้อน? ไฉนไม่ปล้นข้าเลยล่ะ?”
เย่หยวนกล่าวตอบอย่างไม่แยแสว่า
“โอสถของข้าคุ้มค่าแล้วกับราคานี้!”
ขี้โม้เหลือเกิน!
ยังอวดอ้างไม่หยุด!
ขนาดโอสถของปรมาจารย์อู๋เฟินยังไม่แพงขนาดนี้!
เด็กคนนี้มันร้อนเงินขนาดนั้นเชียว?
พินิจจับจ้องท่าทีของเย่หยวนเล็กน้อย หญิงสาวนางนั้นแสยะยิ้มเย็นกล่าวสวนกลับไปว่า
“สบายมาก! ข้าหนิงซื่ออวี๋อยากจะเห็นเสียเหลือเกินว่า เจ้าจะหลอมกลั่นโอสถเป็นจริงๆหรือไม่! นี่คือสูตรโอสถและสมุนไพรวิญญาณที่จำเป็นทั้งหมด มันอยู่ในแหวนบรรจุวงนี้แล้ว! หากหลอมกลั่นไม่ได้ ข้าจะทุบป้ายของเจ้าทิ้งทันที!”
เย่หยวนหยิบแหวนบรรจุนั้นขึ้นมาพร้อมกางสูตรโอสถขึ้นดูในทันที ก่อนจะเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา
เมื่อหนิงซื่ออวี๋เห็นสีหน้าการแสดงออกที่แปรเปลี่ยนไปของเย่หยวน นางก็อดหัวเราะเยาะขึ้นมิได้ว่า
“เป็นอย่างไรบ้าง? ตกใจใช่หรือไม่? รีบคืนแหวนมาซะ ข้าจะออกไปทุบป้ายเจ้าทิ้ง!”
ทันทีที่กล่าวจบนางก็ทะยานออกไปเตรียมทำลายป้ายทิ้งทันที
แต่ยังไม่ทันที่ร่างของนางจะขยับไปไหน กลับถูกมือของเย่หยวนกระชากคอเสื้อกลับมาอย่างแรงจนล้มทั้งยืน
“เจ้า!! หลายคนกำลังเฝ้ามองอยู่หรือเจ้าจะกล้ากลับคำ?”
หนิงซื่ออวี๋กล่าวขึ้นด้วยความโกรธเกรี้ยว
เย่หยวนเหลือบมองอีกฝ่ายด้วยหางตาเล็กน้อย กล่าวว่า
“ตั้งแต่เมื่อใดที่ข้าบอกว่าหลอมกลั่นไม่ได้?”
หนิงซื่ออวี๋ยิ้มเยาะกล่าวตอบไปว่า
“แต่สีหน้าการแสดงออกของเจ้ากลับสวนทางกันเลย!”
เย่หยวนยกมือป้องปากหัวเราะเล็กน้อย
“ทีแรกข้าคิดว่าเจ้าจะจงใจสร้างปัญหามากกว่านี้เสีย แต่ไม่คิดเลยว่า…มันจะง่ายปานนี้”
ตอนที่ 1539 โอสถประตูศิลาวายุ
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ง่าย? เจ้ากำลังบอกว่าโอสถฤทัยปราณสวรรค์ง่าย? ฮะ-ฮ่า! ช่างขี้โม้ได้อย่างไร้ยางอายนัก!”
หนิงซื่ออวี๋ถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ นางไม่ทราบจริงๆว่าเย่หยวนไปเอาความมั่นใจขนาดนี้มาจากไหน?
โอสถฤทัยปราณสวรรค์เป็นโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสามขั้นกลาง ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นเรื่องยากยิ่งที่จะหลอมกลั่นได้
ซึ่งพรสวรรค์ของหนิงซื่ออวี๋เองก็สูงมาก ไม่ควรมองว่านางเป็นหญิงสาวเอาแต่ใจ แท้ที่จริงนางเป็นถึงจอมเทพโอสถสามดาวชั้นกลาง!
โอสถฤทัยปราณสวรรค์ เป็นโอสถภที่นางหลอมกลั่นล้มเหลวมาโดยตลอด
ความยากในการหลอมกลั่นของมันซับซ้อนเกินบรรยาย แม้จะเป็นอาจารย์ของหนิงซื่ออวี๋ลงมือเอง แต่เขาก็ยังหลอมกลั่นได้เพียงขั้นสูงเท่านั้น
สิ่งหนึ่งที่ควรทราบคือ อาจารย์ของนางเป็นถึงจอมเทพโอสถสี่ดาว!
แล้วเด็กอวดดีคนนี้ยังกล้าหยิ่งผยองต่อหน้านางอีก
เย่หยวนเหลือบมองหนิงซื่ออวี๋เล็กน้อยพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า
“โอสถฤทัยปราณสวรรค์มีค่าหลอมกลั่นอยู่ที่สองล้านผลึกปราณเทวะ! เจ้ามีปัญญาจ่ายหรือไม่?”
หนิงซื่ออวี๋โพล่งสวนกลับไปทันทีด้วยความโกรธจัด
“อย่ามาดูถูกกันเช่นนี้! แค่ผลึกปราณเทวะสองล้านก้อนเองมิใช่รึ? ไอ้เด็กเหลือขอ คิดว่าข้าไม่มีพอหรืออย่างไร!?”
เย่หยวนหัวรำลางกล่าวตอบว่า
“เช่นนั้น รอสักครู่”
เมื่อกล่าวจบเย่หยวนก็หมุนตัวเดินกลับไปพร้อมเข้าห้องหลอมกลั่นทันที
แม้ตอนนี้ผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วยามแล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครสักคนจากไปไหนทั้งสิ้น ในทางตรงข้ามฝูงชนยามนี้มีแต่จะเพิ่มทวีกันมากขึ้นเรื่อยๆ
“รับจ้างสารพัด” กลยุทธ์นี้ค่อนข้างได้ผลดี
ทุกคนต่างอยากรู้อยากเห็นยิ่งว่า นักหลอมโอสถหนุ่มผู้ขี้โม้คนนี้จะมีฝีมือจริงๆหรือแค่พูดจาส่งเดช
แต่ทุกคนโดยส่วนใหญ่ล้วนมองเย่หยวนในแง่ที่ไม่ดีนัก แม้เขาจะเป็นจอมเทพโอสถสามดาว แต่ก็ไม่มีทางมีฝีมือเลิศล้ำปานนั้นแน่นอน
เนื่องจากยั่วโมโหหนิงซื่ออวี๋เต็มๆ สูตรโอสถที่นางหยิบออกมาท้าทายหาใช่โอสถธรรมดาทั่วไปแน่นอน
นักหลอมโอสถทั่วไปย่อมไม่มีทางหลอมกลั่นมันออกมาได้แน่
แต่ทันใดนั้นเองเย่หยวนก็ค่อยๆย่างเท้าก้าวออกมาจากห้องหลอมกลั่น
เมื่อเห็นเย่หยวนออกมาไวขนาดนี้ ทั่วใบหน้าของหนิงซื่ออวี๋ก็เผยรอยยิ้มแสนพึงพอใจยิ่ง
“ไอ้เด็กเหลือขอหลอมกลั่นล้มเหลวกระมัง? เจ้า…ทำสมุนไพรวิญญาณของข้าเสียหายทั้งหมดหรือไม่? เหอะ โอสถฤทัยปราณสวรรค์หาใช่โอสถทั่วไปที่ใครก็ได้จะหลอมกลั่น แล้วเด็กน้อยอย่างเจ้าจะไปทำสำเร็จได้อย่างไร?”
หนิงซื่ออวี๋ยามนี้ลดเสียงค่อยลงพร้อมเอ่ยกล่าวอย่างใจเย็น
โอสถฤทัยปราณสวรรค์ชนิดนี้ แม้แต่ท่านอาจารย์ของเขายังต้องใช้เวลาหลอมกลั่นกว่าครึ่งวันเช่นกัน
ดังนั้นแล้วเย่หยวนจะไปหลอมกลั่นสำเร็จภายในหนึ่งชั่วยามได้อย่างไร?
หนิงซื่ออวี๋ไม่คิดว่านี่จะเป็นไปได้เลย!
“เด็กคนนี้มันแค่พวกขี้โม้! รับจ้างสารพัดงั้นรึ? น่าขันสิ้นดี!”
“มันก็อยู่แล้วมิใช่รึ? ไม่รู้กลุ่มล่ามังกรไปเอาเด็กคนนี้มาจากไหน มันก็แค่ไอ้ปัญญาอ่อนมิใช่รึ?”
“โอสถฤทัยปราณสวรรค์ข้าเคยได้ยินอยู่บ้าง เป็นเรื่องยากยิ่งที่จะหลอมกลั่น แล้วมีหรือที่เด็กน้อยยังไม่โตนี่จะหลอมกลั่นได้สำเร็จ?”
“มาเถอะ! ไปทุบป้ายร้านมันกัน! นี่หาใช่เรื่องสนุกสำหรับพวกเรารึ?”
…
หนิงซื่ออวี๋ได้ฟังผู้คนรอบข้างดังนั้น พลันยิ้มกล่าวว่า
“ตอนนี้เจ้าคงไม่มีอะไรคัดค้านแล้วกระมัง? ข้าจะออกไปทุบป้ายเดี๋ยวนี้แหละ! อ่อใช่ เจ้าต้องชดใช้ค่าสมุนไพรวิญญาณที่ทำไหม้ไปด้วย ทั้งหมดห้าแสนผลึกปราณเทวะ!”
ขณะที่นางกล่าว หนิงซื่ออวี๋ก็กำลังจะพุ่งออกไปทุบป้าย
ร่างของหนิงซื่ออวี๋เพิ่งทะยานออกไปได้ไม่นาน กลับมือเย่หยวนกระชากคอเสื้อลงมาอีกครั้ง นางล้มก้นจำเบ้าด้วยความโกรธจัดตวาดลั่นว่า
“ไอ้เด็กเหลือขอ หาเรื่องตายรึ?”
แต่เย่หยวนกลับไม่สนใจนางแม้สักนิด พร้อมยื่นมือออกมากล่าวว่า
“เอามา”
หนิงซื่ออวี๋แข็งค้างไปชั่วขณะ
“เอาอะไร?”
เย่หยวนกล่าวตอบว่า
“ศิลาปราณเทวะสองล้านก้อน!”
หนิงซื่ออวี๋ลุกขึ้นพรวดด้วยความโกรธจัดเป็นฟืนเป็นไฟพร้อมร้องลั่นว่า
“เจ้าหลอมกลั่นโอสถไม่สำเร็จ ทั้งยังทำสมุนไพรวิญญาณของข้าเสียหาย ตอนนี้ยังกล้าเรียกร้องค่าหลอมกลั่นอีกงั้นรึ?! เจ้า…เจ้าคงมิใช่พวกต้มตุ๋นจริงๆใช่ไหม?”
เย่หยวนกล่าวตอบว่า
“ใครบอกว่าข้าหลอมกลั่นไม่สำเร็จ?”
หนิงซื่ออวี๋หัวเราะเยาะดังลั่น
“พล่ามขยะออกมารึไง! แค่หนึ่งชั่วยามหรือจะหลอมกลั่นโอสถฤทัยปราณสวรรค์ได้? แค่จุดเต๋ายังไม่เสร็จเลยกระมัง?”
เย่หยวนหยิบกล่องหยกขึ้นมา เมื่อเปิดออกพลันปรากฏกลิ่นโอสถหอม ผู้ใดสูดดมต่างชื่นจิตชื่นใจยิ่ง
รอยยิ้มของหนิงซื่ออวี๋แข็งค้างในทันที นางจ้องโอสถเม็ดสีแดงทับทิมเขม็งด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
“นี่…นี่…นี่เป็นไปไม่ได้! ขั้นเทวะ…โอสถฤทัยปราณสวรรค์ขั้นเทวะ!! เจ้า…เจ้าไปเอามาจากไหน?”
หนิงซื่ออวี๋ยามนี้ยิ่งกว่ากระต่ายน้อยตื่นตูมจนหลงทิศ
กระทั่งท่านอาจารย์ของนางยังไม่สามารถหลอมกลั่นโอสถฤทัยปราณสวรรค์ขั้นสวรรค์ได้เลย แล้วจะนับประสาอะไรกับขั้นเทวะ
แต่เด็กคนนี้สามารถหลอมกลั่นขั้นเทวะออกมาได้จริงๆ!
“นี่…นี่มันโอสถขั้นเทวะ!”
“ตาข้ามิได้ฟาดไปใช่ไหม? จอมเทพโอสถสามดาวหลอมกลั่นโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสามได้ขั้นเทวะ?”
“โอสถฤทัยปราณสวรรค์หาใช่โอสถธรรมดาทั่วไป! เขาสามารถกหลอมกลั่นได้ขั้นเทวะจริงๆ! นี่…นี่เขากำลังหลอกเรารึเปล่า?”
…
เหล่าฝูงชนโดยรอยต่างตื่นตกใจยิ่ง โอสถขั้นเทวะหาได้ยากมากและหาใช่สิ่งที่พวกเขาจะมีกำลังทรัพย์จ่ายได้ไหว
แต่ตอนนี้เด็กหนุ่มกลับสามารถหยิบโอสถขั้นเทวะออกมาได้จริงๆ!
หนิงซื่ออวี๋กำลังจะออกมือออกไปหยิบราวกับต้องการจะกินมัน ทว่าเย่หยวนกลับชักมือกลับโดยไวทำให้นางคว้าอากาศไป
“อยากกได้ก็จงจ่ายเงินมา!”
เย่หยวนกล่าวเสียงเย็นดุใส่
หนิงซื่ออวี๋เม้มปากนุ่มนิ่มของนางเล็กน้อย ก่อนโยนแหวนบรรจุผลึกปราณเทวะไปให้และคว้ากล่องหยกมาไว้กับตัวทันที
“รับไป! เจ้านี่มันหน้าาเงินชะมัด! หึ!”
เมื่อพินิจสังเกตใกล้ๆ นี่คือโอสถขั้นเทวะของจริงเสียงจริง!
โอสถเม็ดนี้ยังอุ่นอยู่ เห็นได้ชัดว่ามันเพิ่งออกจากหม้อหลอมกลั่นจริงๆ
นี่…โอสถเม็ดนี้ถูกไอ้เด็กเหลือขอนั้นหลอมกลั่นจริงๆงั้นรึ?
คลื่นยักษ์ถาโถมเข้าสู่จิตใจอย่างรุนแรง ความยากในการหลอมกลั่นโอสถชนิดนี้นางชัดแจ้งดีเกินไป!
นางพยายามหลอมกลั่นโอสถชนิดนี้มานานหลายปีแล้ว แต่ก็ไม่เคยประสบความสำเร็จมาก่อน!
แต่เด็กน้อยคนนี้กลับทำได้ในหนึ่งชั่วยาม!
นี่…ข้าไม่อยากจะเชื่อเลย!
“ข้าไม่เชื่อ! เจ้า…เจ้าต้องโกงแน่นอน!”
หนิงซื่ออวี๋กล่าวขึ้น
ฮ้วนน้อยเร่งตรงเข้ามาหาด้วยความร้อนใจ ความเอาแต่ใจของหนิงซื่ออวี๋ที่ไร้ขอบเขตนี้ กระทั่งนางยังรู้สึกเพลียใจ
“นายน้อย…”
“หุบปาก!”
หนิงซื่ออวี๋ตะโกนใส่หน้าฮ้วนน้อย ก่อนจะหันควันคำรามใส่เย่หยวนอีกคำโต
“ไอ้เด็กเหลือขอ เจ้าต้องมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่แน่ๆ! ข้าไม่เชื่อหรอกว่า เจ้าจะสามารถหลอมกลั่นโอสถฤทัยปราณสวรรค์ขั้นเทวะได้จริงๆ!”
เย่หยวนยักไหล่ตอบอย่างไม่แยแสและกล่าวว่า
“จะเชื่อหรือไม่ขึ้นอยู่กับเจ้า แต่ตอนนี้ธุรกรรมระหว่างเราเป็นอันเสร็จสิ้นแล้ว”
โกรธ!
โกรธมาก!
ไอ้เด็กเหลือขอนี่มันไม่อวดดีเกินไปหน่อยรึ?
“ไอ้เด็กเหลือขอ ข้าอยากจะให้เจ้าหลอมกลั่นโอสถอีกชนิดหนึ่ง! หากหลอมกลั่นได้ข้าจะเชื่อว่าเจ้ามีความสามารถจริงๆ แต่หากไม่…ข้าจะทำลายป้ายนั้นทิ้งไปซะ!”
หนิงซื่ออวี๋กล่าว
เย่หยวนรู้สึกขบขันไม่น้อยภายในใจพลางกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า
“ตราบใดที่มีงานมาให้ทำ ข้าย่อมไม่ปฏิเสธ”
รอยยิ้มสีเย็นฉีกกว้างบนมุมปากของหนิงซื่ออวี๋ทันที
“นี่คือสูตรโอสถประตูศิลาวายุ และนี่คือสมุนไพรวิญญาณที่จำเป็นทั้งหมด หากเจ้าหลอมกลั่นได้ ข้าจะไสหัวไปทันที!”
“ฟู่ว…โอสถประตูศิลาวายุ! เด็กคนนี้มีภูมิหลังอย่างไรกันแน่? ไฉนถึงมีสูตรโอสถวิเศษเช่นนี้ด้วย!”
“โอสถประตูศิลาวายุกล่าวขานกันว่า เป็นโอสถที่ช่วยให้เซียนทำความเข้าใจต่อแนวคิดแห่งวายุได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นหลายทวีเท่า โอสถเม็ดนี้ไม่มีวางจำหน่ายในท้องตลาด!”
“โอสถชนิดนี้ขึ้นชื่อเรื่องความยากในการหลอมกลั่นยิ่ง ฟังว่าแม้แต่จอมเทพโอสถสี่ดาวยังเหงื่อตกเช่นกันหากหลอมกลั่น”
“เจ้าหนุ่มคนนี้…กำลังตกที่นั่งลำบากแล้ว!”
…
เย่หยวนรับสูตรโอสถและเปิดดูทันที รอยยิ้มคลี่กระตุกเป็นนัยแฝงบนมุมปาก เขากล่าวว่า
“น่าสนใจไม่น้อย!”
หนิงซื่ออวี๋ยิ้มเยาะกล่าวขึ้นว่า
“เจ้ากล้ารับงานนี้ไหม?”
เย่หยวนกล่าวตอบทันที
“ทำไมจะไม่กล้า! แต่ค่าหลอมกลั่นโอสถนี้มิได้ถูก!”
หนิงซื่ออวี๋เอ่ยตอบเสียงเยียบเย็นว่า
“หากเจ้าสามารถหลอมกลั่นได้ ค่าตอบแทนย่อมไม่ถูก!”
เย่หยวนพยักหน้าตอบว่า
“ถูกต้องแล้ว ผลึกปราณเทวะแปดล้านก้อน!”
ตอนที่ 1540 เคล็ดเพลิงปะทุ!
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ฟู่วว…ผลึกปราณเทวะแปดล้านก้อน นี่…นี่มันปล้นกันชัดๆ!”
“บ้า นี่มันบ้ากันไปใหญ่แล้ว! โอสถหนึ่งเม็ดราคาแปดล้านผลึกปราณเทวะ! เจ้าเด็กนี้มันหน้าเงินเกินไป!”
“ราคาเรียกร้องสูงลิบลิ่วปานนี้ จำต้องมีทุนรอนความสามารถในการร้องขอเช่นกัน!”
…
ราคาที่เย่หยวนเสนอออกมาต่างทำให้ทุกคนระเบิดความโกลาหลขึ้นทันที
สำหรับโอสถแค่เม็ดเดียวราคาแปดล้าน นี่ยังไม่รวมค่าสมุนไพรวิญญาณด้วยซ้ำ
ราคาแพงเสียดฟ้าโดยแท้!
ทั่วทั้งเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์แห่งนี้แทบไม่มีโอสถชนิดใดราคาแปดล้านมาก่อน
เด็กคนนี้มันหน้าเงินเกินไป!
มุมปากของหนิงซื่ออวี๋พลันกระตุกอย่างแรง นางกล่าวว่า
“หากเจ้าสามารถหลอมกลั่นได้จริง ราคาแปดล้านยังนับเป็นอันใด? แต่ข้ามีคำขอต่อหน้าทุกคนเป็นพยาน!”
นางไม่เชื่อว่าเย่หยวนจะสามารถหลอมกลั่นโอสถขั้นเทวะได้จริงๆ
บางสิ่งที่แม้แต่ท่านอาจารย์ของนางก็ยังหลอมกลั่นมิได้ แล้วเย่หยวนจะสามารถทำได้อย่างไร?
ยิ่งไปกว่านั้น ความยากในการหลอมกลั่นโอสถประตูศิลาวายุยังยากเสียยิ่งกว่าโอสถฤทัยปราณสวรรค์ไม่รู้กี่เท่า!
ต่อให้เป็นท่านอาจารย์ของนาง โอกาสหลอมกลั่นสำเร็จยังมีน้อยมาก!
เย่หยวนพยักหน้าและกล่าวตัดบททันทีว่า
“อยากจะดูข้าหลอมกลั่นโอสถกระมัง? พาพวกเขาเข้ามาให้หมดเลย”
หนิงซื่ออวี๋ผงะเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น ก่อนจะเร่งเดินตามเย่หยวนเข้าไปทันทีอย่างหงุดหงิดใจ ซึ่งคนอื่นๆเองต่างสบสายตากันไปมาก่อนเดินติดตามเข้าไปเป็นขบวน
เนื่องจากร้านค้าโอสถมิได้ใหญ่โต ห้องหลอมกลั่นของเย่หยวนยิ่งมิได้หรูหราขนาดนั้น และเป็นเพราะผู้คนเข้ามาเฝ้าดูกันไปเป็นจำนวน จึงทำให้ห้องนี้ดูแคบลงถนัดตา
ผู้คนเหล่านี้ต่างชะโงกหน้ายื่นศีรษะเข้าดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เมื่อหนิงซื่ออวี๋กวาดสายตามองห้องหลอมกลั่นที่แสนเรียบง่ายและไม่มีอะไรพิเศษเลยเช่นนี้ นางก็พลันกลอกตาเจือสีหน้าดูถูกออกมา
สถานที่โทรมๆเช่นนี้รึจะเป็นแห่งกำเนิดของยอดนักหลอมโอสถ?
สิ่งที่เย่หยวนใช้คือหม้อหลอมระดับสมบัตินภาสวรรค์เลิศล้ำ เนื่องจากหม้อหลอมมณีเหลืองพิสุทธิ์เป็นของเผ่าปีศาจจึงไม่สามารถนำออกมาใช้ต่อหน้าทุกคนได้
นับว่าโชคดีนัก หลังจากที่เย่หยวนเสาะค้นสำรวจในโถงบัลลังก์ม่วงเป็นเวลานาน เขาก็ค้นพบหม้อหลอมโอสถอยู่บ้าง
โอสถประตูศิลาวายุชนิดนี้ แม้แต่หวูเฉินผู้เจนจัดด้านโอสถยังบอกว่าไม่มีสูตรโอสถอยู่ในครอบครองเช่นกัน ดังนั้นนี่จึงเป็นครั้งแรกที่เย่หยวนหลอมกลั่น
คล้อยหลังเตรียมการเสร็จสิ้น เย่หยวนก็เริ่มนั่งสมาธิสรุปสูตรโอสถทั้งหมดลงในหัว
สมุนไพรวิญญาณที่หนิงซื่ออวี๋เตรียมไว้ให้เพียงพอสำหรับหลอมกลั่นสองครั้ง นี่นับเป็นเรื่องยากเล็กน้อยที่จะหลอมกลั่นให้สำเร็จได้ภายในสองครั้ง
แน่นอนว่ากับคนอื่นมันแทบเป็นไปไม่ได้
หนิงซื่ออวี๋จ้องมองเย่หยวนด้วยสายตาแสนดูถูกยิ่ง ชายคนนี้มันก็แค่พวกกขี้โม้แน่นอน!
ภายในห้องนี้เปี่ยมล้นไปด้วยผู้คน การจะทำสมาธิในสถานที่เช่นนี้จะทำได้จริงๆงั้นรึ?
นี่มันมือสมัครเล่นขนาดนั้นเชียว?
หากไอ้เด็กเหลือขอคนนี้สามารถสรุปทวนสูตรโอสถภายใต้สภาวะเช่นนี้ได้จริงๆ มันจะน่าทึ่งเกินไปแล้ว!
หนิงซื่ออวี๋เม้มปากเล็กน้อย พลางเอ่ยขึ้นอย่างหยามเหยียดว่า
“จะทำอะไรก็ทำไปเถิด! ข้าอยากจะเห็นเหลือเกินว่าเจ้าจะความแตกตอนไหน!”
ตอนนี้นางได้ตัดสินเย่หยวนไปแล้วว่า เขาเป็นแค่คนธรรมดาที่มีดีแต่พูดเท่านั้น!
สำหรับโอสถก่อนหน้า มันอาจถูกขโมยมาจากที่ไหนสักแห่ง!
ประมาณหนึ่งชั่วยามต่อมา เย่หยวนค่อยๆลืมตาขึ้นพร้อมลุกตรงไปที่หม้อหลอม
ทุกคนพลันกลั้นหายใจปิดปากเงียบงัน รอให้เย่หยวนหลอมกลั่น!
ฝ่ามือเย่หยวนสั่นไสวเล็กน้อย พร้อมเริ่มสกัดหัวเชื้อทันที!
สมุนไพรวิญญาณส่วนที่เกินออกมา เย่หยวนสะบัดส่งลงไปยังภาชนะอีกโต๊ะหนึ่งทันที
ในไม่ช้าหัวเชื้อทั้งหมดก็ถูกสกัดออกมา
กระบวนการทั้งหมดเสร็จสิ้นอย่างราบรื่นในคราวเดียว
แววประหลาดใจพลันฉายออกมาจากนัยน์ตาของหนิงซื่ออวี๋ วิธีการของเย่หยวนทำให้นางประหลาดใจอย่างมาก
แต่หัวเชื้อที่สกัดลวกๆเช่นนี้จะมีประสิทธิภาพจริงๆงั้นรึ?
แค่สะบัดมือไปมาเล็กน้อยก็ทำได้แล้ว?
การสกัดตัวเชื้อมิได้นับว่าเป็นทักษะที่น่าประทับใจอันใดนัก
แต่หัวเชื้ออันแสนป่นปี้ของเย่หยวน มันแตกต่างจากของจอมเทพโอสถทั่วไป
นี่เขา…หลอมกลั่นโอสถเป็นจริงๆรึเปล่า?
ไร้สาระ!
ทุกขั้นตอนการหลอมกลั่นต้องเป็นไปตามตำราอย่างเคร่งครัด หาใช่สักแต่จะทำเองตามใจชอบ?
“เหอะ หลอกลวงผู้คนต่อไปเถอะ!”
หนิงซื่ออวี๋สบถดังพร้อมสีหน้าแสนดูถูก
เมื่อเย่หยวนยื่นฝ่ามือออกมา เปลวไฟสีขาวซีดพลันปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของเขา
“โง่เง่าสิ้นดี ไฟศักดิ์สิทธิ์ระดับสอง? คิดจะใช้ของแบบนั้นหลอมกลั่นโอสถประตูศิลาวายุ? ไม่ไร้สาระเกินไปหน่อยรึ?”
เมื่อเห็นเพลิงบัวฟ้าขจัดจันทร์ขาวของเย่หยวน หนิงซื่ออว็พลันหัวเราะเยาะออกมาทันที
ไฟศักดิ์สิทธิ์ระดับสอง ทั้งคุณสมบัติในด้านอุณหภูมิและความเสถียร มันไม่มีทางใช้หลอมกลั่นโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสามได้เลย
ยิ่งเป็นโอสถประตูศิลาวายุ จำต้องให้ไฟที่มีอุณหภูมิสูงเป็นพิเศษ
สำหรับการหยิบใช้ไฟศักดิ์สิทธิ์ระดับสองในการหลอมกลั่นโอสถปรตูศิลาวายุ ถือเป็นเพียงเรื่องโง่เง่าสิ้นดี!
ภายใต้การเลี้ยงดูอย่างดีของเย่หยวน ในที่สุดก็ทำให้เพลิงบัวฟ้าขจัดจันทร์ขาวของเขาทะลวงขึ้นกลายเป็นไฟศักดิ์สิทธิ์ระดับสองได้สำเร็จ
เพียงว่าความเร็วในการพัฒนาของเพลิงบัวฟ้าขจัดจันทร์ขาวกลับไม่สามารถไล่ตามพัฒนาการของเย่หยวนได้ทันเท่านั้นเอง
ฝ่ามือเย่หยวนสั่นกระตุกเล็กน้อย เพลิงบัวฟ้าขจัดจันทร์ขาวเริ่มหลั่งไหลสู่หม้อหลอมโอสถ
ปุ๋ปุ๋ปุ๋…
ทันทีทันใดเพลิงบัวฟ้าขจัดจันทร์พลันเปล่งแสงประกายออกมา
อุณหภูมิภายในหม้อหลอมโอสถพุ่งสูงขึ้นในทันที!
เคล็ดเพลิงปะทุ!
อุณหภูมิที่แผดเผาสูงขึ้นถึงขีดสุดนี้ ทำให้สีหน้าการแสดงออกของแต่คนละเปลี่ยนไปทันที
“นี่…นี่เป็นไฟศักดิ์สิทธิ์ระดับสองจริงๆงั้นรึ? ไฉนถึงมีอุณหภูมิที่น่าสะพรึงปานนี้?”
“ระดับอุณหภูมิขนาดนี้เทียบเคียงได้กับไฟศักดิ์สิทธิ์ระดับสามเลยกระมัง?”
“ไฟศักดิ์สิทธิ์ระดับสองที่มีอานุภาพเทียบเท่าระดับสาม? นี่มันเรื่องตลกอันใด?”
…
คลื่นเสียงอุทานกึกก้องดังลั่นจากฝูงชน ส่วนหนิงซื่อวี๋ยามนี้ใบหน้าแข็งค้างไปครู่ใหญ่
แม้อุณหภูมิจะสูงไม่เท่าไฟศักดิ์สิทธิ์ระดับสามขนานแท้ แต่นี่ก็นับว่าใกล้เคียงมาก
ไอ้เด็กเหลือขอนี่ทำได้อย่างไร?
เย่หยวนเพียงหยิบใช้เคล็ดเพลิงปะทุ เพื่อชดเชยพลังไฟที่อ่อนด้อยเกินไป
เย่หยวนปล่อยให้ต้นกล้าแห่งเพลิงควบแน่นจนระเบิดปะทุออกมา และควบคุมอุณหภูมิที่สูงขึ้นฉับพลันให้เสถียรได้ ก่อนจะระดมหลอมให้กลายเป็นหนึ่ง
นี่เป็นวิธีแก้ไขที่เย่หยวนต้องใช้อย่างช่วยไม่ได้ แต่ในแง่มุมของทุกคน กลับเป็นภาพฉากที่มหัศจรรย์นัก
ดวงตาของหนิงซื่ออวี๋เปล่งประกายขึ้นทันที ก่อนจะค้นพบบางสิ่งอย่างได้ในทันที
การจะควบคัมต้นกล้าแห่งเพลิงที่ระเบิดออกมาให้เสถียรได้ขนาดนี้…นับว่าต้องใช้พลังสมาธิที่น่ากลัวมาก!
ทักษะการควบคุมไฟของไอ้เด็กเหลือขอเชี่ยวชาญถึงจึดสุดยอดแล้ว!
เพียงว่า…เขายังเหลือพลังสมาธิเพียงพอสำหรับหลอมกลั่นโอสถต่อจากนี้หรือไม่?
การควบคุมอุณหภูมิของไฟและการควบคุมกรรมวิธีหลอมกลั่น นับเป็นสองส่วนที่ต้องทำแยกกัน
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า วิธีการควบคุมไฟของเย่หยวนจำต้องใช้พลังสมาธิมหาศาลยิ่ง เช่นนี้แล้วยังจะเหลืออะไรไปหลอมกลั่นโอสถต่อ?
รอยยิ้มแสยะยิ้มแสนยินดีปรีใจพลันปรากฏที่ขึ้นมุมปากของหนิงซื่ออวี๋ ทักษะการควบคุมไฟไม่เลว แต่นี่กลับเป็นปัญหาตอนหลอมกลั่น!
แต่ในไม่ช้า รอยยิ้มของนางพลันแข็งค้างทันทีบนใบหน้า
ภายในห้องหลอมกลั่น บรรยายการกลับแปรเปลี่ยนไปสุดน่าฉงน
กลิ่นอายแห่งบรรพกาลแผ่กระจายออกมา ราวกับทำให้ผู้คนมึนเมาชั่วขณะและไม่สามารถถอนสายตาจากเย่หยวนได้เลย
“เคล็ดดาราสวรรค์บัญชาสารทิศ!”
เย่หยวนเค้นเสียงแหบตะโกนกึกก้องออกมา ทันทีทันใดรัศมีกลิ่นอายที่ปลดปล่อยออกจากร่างกลับดูยิ่งใหญ่ประดุจหุบเขาไท่ซานไร้สะทกสะท้านต่อสรรพสิ่ง
ดวงตาของหนิงซื่ออวี๋ราวกับปรากฏเมฆหมอกปกคลุม ยามนี้รุ่มหลงไปกับวรยุทธหลอมกลั่นของเย่หยวนไปแล้ว
ส่วนคนอื่นๆเองต่างจับจ้องไม่วางตาราวกับถูกมนต์สะกด!
ภายในห้องหลอมกลั่นแห่งนี้ กลิ่นอายของเต๋าโอสถและดวงดาราแผ่ซ่านไปทั่ว!
เคล็ดดาราสวรรค์บัญชาสารทิศ เป็นวรยุทธหลอมกลั่นที่เย่หยวนพัฒนาขึ้นมาเอง นอกจากนี้ยังมีเต๋าโอสถเป็นส่วนประกอบสำคัญ
หากทักษะการหลอมกลั่นโอสถของเย่หยวนในอดีต สมัยที่อยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เป็นเพียงต้นกล้าอ่อนรอวันเจริญเติบโต ทักษะของเขาในปัจจุบันก็คือต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านไพศาลและแข็งแกร่งยิ่ง!
ตอนที่ 1541 เจ้ามันสัตว์ประหลาดหรือเปล่า
โดย
Ink Stone_Fantasy
เย่หยวนที่สัมผัสได้ถึงยอดเต๋าผ่านศาสตร์แห่งโอสถ เขาได้ใช้มันเพื่อพัฒนาต่อยอดบัญญัติเทพแห่งถงเทียน
แน่นอนว่าเขายังคงก้าวเดินต่อไปบนเส้นทางแห่งโอสถเช่นกัน
คล้อยหลังเย่หยวนได้นำวรยุทธหลอมกลั่นทั้งหมดที่เคยสำแดงใช้ มาต่อยอดดพัฒนาจนได้เป็นเคล็ดดาราสวรรค์บัญชาสารทิศ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากที่เย่หยวนสามารถเรียกปรากฏการณ์ทำนองแห่งยอดเต๋ามาได้ มันยิ่งทำให้ทักษะในศาสตร์แห่งโอสถของเย่หยวนลึดซึ้งเกินหยั่งรู้ได้
กล่าวได้ว่า เขาสามารถเรียกกลิ่นอายเต๋าแห่งโอสถให้จุติลง ณ ที่แห่งนี้ได้
ทันทีทันใด กลิ่นอายแห่งเต๋าโอสถพลันไหลล้นออกมาจากภายในหม้อหลอมโอสถอย่างบ้าคลั่ง ทุกคนต่างสูดไอเย็นแช่มด้วยความเกริ่นเกรง!
ในที่สุดดวงตาอันขุ่นมัวของหนิงซื่ออวี๋พลันฟื้นคืนสู่ความกระจ่างอีกครั้ง
“เมื่อครู่…มันอะไรกัน? ช่างเป็นความรู้สึกอันลึกลับโดยแท้! ข้า…ข้ารู้สึกราวกับ…เข้าใจได้ถึงอะไรบางอย่างแล้ว!”
หนิงซื่ออวี๋ร้องอุทานขึ้นด้วยความตกใจ
“ช่างเป็นความรู้สึกที่ลึกลับยิ่งนัก!”
“ข้าไม่รู้เลยว่าเขาหลอมกลั่นโอสถอย่างไร แต่ไฉนข้ารู้สึกเสมือนสามารถเข้าถึงมันได้?”
“เมื่อครู่มันอะไรกัน? เกิดอะไรขึ้นกับผืนพิภพแห่งนี้? ช่างเป็นวรยุทธหลอมกลั่นที่น่าอัศจรรย์นัก!”
…
คนต่างรู้สึกราวกับฝันไปและเพิ่งฟื้นสติตื่นขึ้น
เย่หยวนชี้ไปที่เม็ดโอสถภายในหล่งอหยกและกล่าวกับหยิงซื่ออวี๋ขึ้นว่า
“ค่าโอสถประตูศิลาวายุ จ่ายมาด้วย!”
ขณะนี้เองหนิงซื่ออวี๋ที่เหน็บเม็ดโอสถภายในกล่องหยก ยามนี้พลันเบิกตากว้างโต
“นี่เป็นไปได้อย่างไร? ขั้น…ขั้นสวรรค์! นี่เจ้า…นี่เจ้า…ยังเป็นมนุษย์อยู่หรือเปล่า!”
สุ้มเสียงของหนิงซื่ออวี๋สั่นสะท้านหนัก นางรู้สึกว่านี่ต้องเป็นโอสถของปลอมแน่ๆ!
ชายคนนี้จะหลอมกลั่นโอสถประตูศิลาวายุขั้นสวรรค์ได้อย่างไร?!
แต่ถึงอย่างไร นางเฝ้าดูเย่หยวนหลอมกลั่นโอสถด้วยตาตนเองอยู่ตลอด ดังนั้นเขาจึงมีเวลาสับเปลี่ยนโอสถปลอมได้อย่างไร?
นอกจากนี้แล้ว ความรู้ลึกกลี้ลับเมื่อครู่มันหมายความอย่างไรกันแน่?
หนิงซื่ออวี๋เหลือบสายตาจับจ้องเย่หยวนตาเขม็ง พลางรู้สึกว่าเด็กหนุ่มคนนี้ลึกลับเกินหยั่งถึง
“เห้ออ…นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าหลอมกลั่นโอสถชนิดนี้ จึงยังไม่ค่อยคุ้นเคยสักหน่อย เจ้าทิ้งสมุนไพรวิญญาณที่เหลือไว้ที่นี่แหละ พรุ่งนี้ข้าจะหลอมกลั่นให้ใหม่ มันน่าจะไต่ไปถึงขั้นเทวะได้”
เย่หยวนกล่าวขึ้นอย่างเศร้าอกเศร้าใจในฝีมืออันต่ำต้อยของตน
หนิงซื่ออวี๋ยามนี้ดวงตาแทบถลนออกมายิ่งกว่าเห็นผี นางไม่สามารถกล่าวพรรณนาใดๆกับความประหลาดใจ ณ ขณะนี้ได้อีกแล้ว
ตั้งแต่เมื่อใดกันที่การหลอมกลั่นโอสถขั้นเทวะดูราวกับเป็นเรื่องง่ายปานนี้?
ในขณะเดียวกัน สีหน้าการแสดงออกของเจ้าของร้านพลันแดงก่ำเปี่ยมล้นความปีติดีใจยิ่ง
เขาไม่คิดเลยจริงๆว่า เด็กหนุ่มที่เพิ่งมาใหม่คนนี้แท้จริงแล้วกลับเป็นปรมาจารย์นักหลอมโอสถมือฉกาจ!
ไม่…นี่มันยอดปรมาจารย์ชัดๆ!
แค่ปรมาจารย์เฉยๆมีที่ไหนสามารถหลอมกลั่นโอสถขั้นเทวะได้ราวกับหั่นผักปลา?
แม้แต่จอมเทพโอสถสี่ดาวยังไม่สามารถทำได้ด้วยซ้ำ!
ในเวลานี้ เขารู้สึกว่าป้าย‘รับจ้างสารพัด’กลับมิใช่อะไรเกินจริงแม้แต่น้อย!
เจ้าของร้านเสาะเห็นทันทีว่าในไม่ช้า ร้านขายโอสถเล็กๆแห่งนี้จักต้องกลายไปเป็นสุดยอดร้านขายโอสถที่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าที่สุดในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ในไม่ช้า!
“ทุกคนต่างเห็นเป็นประจักษ์แล้วใช่หรือไม่? ท่านปรมาจารย์ของเรามีความสามารถอย่างแท้จริง! ทุกคนจงจำไว้ พวกเรารับจ้างหลอมกลั่นโอสถสารพัดชนิด! ในอนาคตต่อไปหากทุกคนมีความต้องการร้องขอสิ่งใด อย่าได้ลังเลเดินทางมาที่ร้านค้าโอสถของเรา! ตอนนี้ก็ยามสายแล้ว แยกย้ายกันกลับเถอะ!”
เจ้าของร้านยิ้มกว้างแทบฉีกถึงใบหู
ทุกคนในตอนนี้ยิ่งกว่าตกตะลึงเกินจะได้สติ และเดินออกจากห้องหลอมกลั่นทั้งแบบนั้นราวกับผีดิบยังไม่ฟื้นสติ
หนิงซื่ออวี๋อ้าปากค้างราวกับอยากพูดอะไรสักอย่าง แต่สุดท้ายก็พูดไม่ออก
เย่หยวนเหลือบมองหนิงซื่ออวี๋เล็กน้อยและเอ่ยขึ้นอย่างสงสัยว่า
“อะไร? หรือเจ้ามีผลึกปราณเทวะไม่พอ?”
สีหน้าการแสดงออกของหนิงซื่ออวี๋แปรเปลี่ยนไปมาก ทันทีทันใดนางพลันเอ่ยกล่าวขึ้นพร้อมท่าทีประหม่าเก้อเขินเล็กน้อย
“นี่เอ่อ…เอาแหวนบรรจุไป…เอ่อ..ข้ามีเรื่องจะถามเจ้าหน่อย ข้าเห็นว่านี่เป็นร้านค้าโอสถเล็กๆ…คงกำลังขาดแคลนคนเช่นกัน ให้ข้า…มาเป็นลูกมือเจ้าไหม?”
เย่หยวนเหลือบมองหนิงซื่ออวี๋เจือหลายหลากความหมาย เขากล่าวตอบไปว่า
“เจ้าต้องการศึกษาทักษะหลอมกลั่นโอสถจากข้ากระมัง?”
ท่าทีของหนิงซื่ออวี๋เปลี่ยนไปทันทีราวกับแฟนสาวของเย่หยวน นางเกาะกุมมือของเย่หยวนแน่นพลางแกว่งไปมากล่าวว่า
“การหลอมกลั่นโอสถของเจ้าน่าเหลือเชื่อเกินไป! ข้าเคารพเลื่อมใสเจ้าจนวันตาย! ข้าค้นพบแล้วว่า…เสน่ห์ของศาสตร์แห่งโอสถมันน่าดึงดูดเพียงใด!”
แต่เย่หยวนสะบัดมือออกอย่างแรงและกล่าวด้วยท่าทีแสนเบื่อหน่าย
“จะมีเสน่ห์ดึงดูดเพียงใดข้าไม่สน! ใบแหวนวงนี้มีไม่ถึง จ่ายมาให้ครบ!”
มิใช่ว่าเย่หยวนหน้าเงิน แต่รายจ่ายประจำวันของเขาค่อนข้างมหาศาลเกินไป
ราคาสมุนไพรวิญญาณระดับสาม แตกต่างจากสมุนไพรวิญญาณระดับหนึ่งกับสองราวกับฟ้ากับเหว
ราคาต้นทุนของสมุนไพรวิญญาณสำหรับหลอมกลั่นโอสถประตูศิลาวายุ น่าจะเท่ากับประมาณหลายล้านผลึกปราณเทวะ
ระหว่างทางที่เขาศึกษาค้นคว้าเรื่องสมุนไพรวิญญาณระดับสาม เขาก็ควักเนื้อจ่ายไปกว่าหนึ่งพันล้านผลึกปราณเทวะไปแล้ว
ค่าใช้จ่ายบานหทัยเช่นนี้ทำให้ทั้งตัวเขาเหลือผลึกปราณเทวะเพียงสองถึงสามพันล้านก้อนเท่านั้น
นี่ดูเหมือนจำเป็นจำนวนมหาศาลยิ่ง แต่อันที่จริงกลับเหลือน้อยเกินคาด
ดังนั้นแล้ว เขาจำต้องเรียกเก็บค่าหลอมกลั่นกับหนิงซื่ออวี๋โดยธรรมชาติ
ราคาแปดล้านฟังดูน่ากลัวมากก็จริง แต่สำหรับโอสถขั้นสวรรค์นับว่ามิได้แพงเลย
เพราะโอสถขั้นสูงขนาดนี้มันไม่มีขายในท้องตลาด!
โอสถประตูศิลาวายุขั้นสวรรค์ แม้แต่จอมเทพโอสถสี่ดาวก็ไม่สามารถหลอมกลั่นกันได้
หนิงซื่ออวี๋กล่าวขึ้นอย่างไม่พอใจว่า
“ไหนเลยบุรุษเพศไม่หลงคารมอิสตรี! เงินไม่มีแล้ว มีแต่ชีวิตของข้า จะเอาหรือไม่ก็แล้วแต่เจ้า!”
ขณะที่นางเอ่ยกล่าวเช่นนั้น หนิงซื่ออวี๋ก็พุ่งเข้าฉกกล่องเก็บโอสถโดยตรง
แต่ใครจะคาดคิด เย่หยวนเร็วกว่านางมาก ยามนี้คว้ากล่องโอสถเก็บไว้กับตัวทันที
“หากไม่มีเงินจ่าย ข้าจะเก็บโอสถกับสมุนไพรวิญญาณที่เหลือไว้กับตัว ราคาโอสถขั้นสวรรค์อย่างน้อยราคาไม่น่าต่ำกว่าแปดล้าน”
เย่หยวนเอ่ยกล่าวเสียงเยียบเย็น
สีหน้าการแสดงออกของหนิงซื่ออวี๋แปรเปลี่ยนไปทันควัน นางกล่าวว่า
“เจ้า! ไม่มีทาง! โอสถเม็ดนี้เจ้าจะไม่มีวันเอาออกไปไหนได้!”
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“ผ่อนคลายเถอะ ข้าบอกว่าแปดล้านก็แปดล้าน ไปหามาให้ครบซะ ข้าไม่เพิ่มราคาแม้แต่แดงเดียวแน่นอน”
หนิงซื่ออวี๋คำรามลั่นด้วยความโกรธเคืองว่า
“ไม่มีทาง! สมุนไพรวิญญาณเหล่านั้นก็ของข้า ไฉนถึงมาขายให้ในราคาแพงปานนี้?”
เย่หยวนยักไหล่ตอบอย่างไม่แยแส
“นั้นหาใช่ธุระของข้า”
หนิงซื่ออวี๋กัดฟันแน่นกล่าวว่า
“เจ้าบังคับข้าเอง! หลบดาบข้าให้ทันล่ะกัน!”
เมื่อกล่าวจบหนิงซื่ออวี๋ก็ปราดแทงใส่เย่หยวนโดยตรงด้วยดาบภายในมือ
ชวิ้ง!
เย่หยวนเพียงยื่นนิ้วปะทะคมดาบพลางสะบัดเบาๆ ตัวดาบพลันกระเด็นหลุดมือนางทันที
หนิงซื่ออวี๋ตกใจยิ่งยวด ยามนี้พลันรู้สึกชาสะท้านไปทั่วแขน นางกล่าวขึ้นแสนประหลาดใจยิ่งว่า
“เจ้าเป็นสัตว์ประหลาดกระมัง? ทักษะหลอมกลั่นโอสถว่าน่าเกรงขามแล้ว แต่ทักษะการต่อสู้กลับน่าเกรงขามยิ่งกว่า!?”
หนิงซื่ออวี๋เองก็เป็นเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้า ถึงหาใช่ยอดฝีมือในบรรดาเหล่าอัจฉริยะผู้เดินทางสายต่อสู้ แต่กับแค่รับมือเด็กน้อยอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าชั้นต้นคนหนึ่ง ก็มิใช่เรื่องยากเช่นกัน
ทว่าแท้จริงแล้ว เพียงเย่หยวนสะบัดนิ้วเบาๆ ก็สามารถปัดดาบในมือนางกระเด็นออกไปได้แล้วอย่างง่ายดาย
หากเจ้าหนุ่มนี่เอาจริง มันจะน่ากลัวปานใดกัน?
ไม่ว่าจะเป็นศาสตร์แห่งโอสถหรือศาสตร์แห่งการต่อสู้ หนิงซื่ออวี้ต่างก็มีพรสวรรค์โดดเด่นไม่น้อยนางมิได้เพียรขยันฝึกปรือฝีมือเท่าไหร่นัก แต่ก็สามารถแกร่งกล้ากว่าบรรดามิตตรสหายได้
นางเหนือชั้นกว่าผู้ใดตลอดมาจวบจนวันนี้ที่พบกับเย่หยวน!
ไอ้เด็กเหลือขอผู้น่ารังเกียจคนนี้กลับทำลายความมั่นใจของนางเป็นเสี่ยงๆ!
แต่เย่หยวนไม่สนใจใดๆอีกต่อไปพร้อมตะคอกเสียงเย็นตอบไปว่า
“ไสหัวไป!”
หนิงซื่ออวี๋กัดฟันกราดกระทืบเท้าไม่หยุดด้วยความโกรธจัด และกล่าวว่า
“ได้! ข้าชดใช้ที่เหลือทั้งหมด! นี่อีกสองล้าน รวมกับแหวนเมื่อครู่เท่ากับสี่ล้าน! ตอนนี้ข้าทั้งหมดตัวและไม่มีที่ซุกหัวนอนแล้ว! ดังนั้นเจ้าต้องรับข้าอยู่ด้วยเท่านั้น ส่วนที่เหลือค่อยว่ากัน!”
“นี่เจ้า! ปล่อยข้า! ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้!! เจ้า…เจ้าจะทำอะไร?”
ทันทีทันใดเย่หยวนอุ้มร่างของหนิงซื่ออวี๋ขึ้นทันทีและเดินตรงไปที่ประตูทางออก
ปัง!
เย่หยวนไร้ซึ่งความเห็นอกเห็นใจใดๆต่อสตรีงามนางนี้แม้แต่น้อย พร้อมโยนร่างของหนิงซื่ออวี๋ออกไปโดยตรง
ตอนที่ 1542 นี่มันเขตของข้า ไสหัวไป
โดย
Ink Stone_Fantasy
“รับจ้างหลอมกลั่นสารพัด? เหอะ เหอะ ขี้โม้ไร้ยางอายเกินไป! เราชายชราคนนี้หมกมุ่นศึกษาศาสตร์แห่งโอสถมานานไม่รู้กี่หมื่นปี แต่ยังไม่มีหน้าอวดอ้างใหญ่โตปานนี้! ไม่ต้องไปสนใจมันหรอก อีกไม่กี่วันเหล่าฝูงชนเดี๋ยวก็ไล่ทุบป้ายไปเอง!”
เรื่องของร้านค้าโอสถรับจ้างสารพัดกลายเป็นข่าวดังที่กล่าวกันปากต่อปาก แพร่กระจายออกไปทั่วทั้งเขตเมืองทางตอนใต้อย่างรวดเร็ว
อู๋เฟินที่ได้ยินดังนั้นก็เอ่ยปากเย้ยหยันหัวเราะเยาะอย่างสนุกสนาน
ในมหาพิภพแห่งนี้นยังมีใครบางคนกล้าอวดอ้างว่า รับจ้างหลอมกลั่นสารพัดจริงๆ!
“ท่านปรมาจารย์? ไม่จำเป็นต้องสนใจจริงๆรึ? ข้าได้ยินมาว่า เหล่าผู้คนต่างเห็นนักหลอมโอสถคนนั้นหลอมกลั่นกับตาตัวเอง! แถมยังหลอมกลั่นโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสามขั้นเทวะได้ด้วย!”
อู๋เฟินตะคอกสวนกลับไปทันทีที่ได้ยินเช่นนั้นว่า
“โอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสามขั้นเทวะ? ต่อให้เป็นข่าวปลอมเจ้าเองกลับเชื่อเช่นกัน? คงมีร้านขายโอสถเล็กๆในเขตเมืองทางตอนใต้สามารถหลอมกลั่นโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสามขั้นเทวะได้จริงๆกระมัง? เช่นนั้นข้าไม่ลาออกไปขายเต้าหู้เลยกระมัง?!”
แต่เถ้าแก่ยังคงกล่าวต่อว่า
“ท่านปรมาจารย์ข้าจะบอกว่า…ท่านจพเด็กที่รักษาจู้โหย่วได้หรือไม่? ตอนนี้เขาเปิดร้านขายโอสถรับจ้างสารพัด ซึ่งเป็นธุรกิจของกลุ่มอัสนีคำรนในปัจจุบัน”
สีหน้าการแสดงออกของอู๋เฟินแข็งค้างโดยพลัน ยามนี้บิดเบี้ยวน่าเกลียดอย่างหาที่เปรียบไม่!
หากเป็นเจ้าเด็กนั้น…มันอาจเป็นไปได้จริงๆ!
“หึ! มันจะมีความสามารถขนาดนั้น? ได้! ข้าจักส่งมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้มันเอง! ขอดูเสียหน่อยว่า มันจะทำตามคำขอของข้าทั้งหมดได้หรือไม่!”
อู๋เฟินกดล่าวขึ้นพลางแสยะยิ้มสุดเย็นชา
…
หลัวอวี้และเหอเซียวนั่งสนทนากันอยู่ที่รังใหญ่ของกลุ่มสุริยันจันทรา พวกเขาเองต่างก็ให้ความสนใจอย่างมากกับร้านขายโอสถสารพัดรับจ้างที่เพิ่งเปิดเช่นกัน
“ข้าได้สอบถามท่านปรมาจารย์อู๋เฟินแล้ว ดูเหมือนว่าเขาเองก็จนปัญญาที่จะช่วยเหลือชีวิตของจู้โหย่ว แต่ดูเหมือนว่าที่เขากลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง จะเป็นเพราะเด็กใหม่ที่อยู่ในร้านขายโอสถสารพัดรับจ้าง!”
สีหน้าการแสดงออกของหลัวอวี้บิดเบี้ยวน่าเกลียดยิ่ง ปรากฏว่ากลับมีเด็กที่ไหนไม่ทราบโผล่ออกมาทำลายแผนการของพวกเขาทั้งหมดโดยไม่ทันรู้ตัว
จู้โหย่วถือได้เป็นมือขวาคนสำคัญของซิงกวน หากมันตายได้นี่นับเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ของกลุ่มอัสรีคำรน
แต่กลับไม่คิดไม่ฝันเลยว่า จู้โหย่วคนนี้จะได้รับความช่วยเหลือจากใครบางคน ไม่เพียงฟื้นตัวขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว และยังเดินเหินสบายดีราวกับมิได้เจ็บป่วยอันใดมาก่อน พบเห็นเช่นนี้แล้วหลัวอวี้จะไม่โมโหได้อย่างไร?
เห่อเซียวยิ้มกล่าวว่า
“ไอ้เก็กนี่ฟังดูน่าสนใจ! อย่าว่าแต่ท่านปรมาจารย์อู๋เฟินเลย แม้แต่เหล่าปรมาจารย์ในเขตเมืองชั้นในยังไม่กล้าแขวนป้ายแบบนี้!”
หลัวอวี้กล่าวต่อว่า
“แต่อย่างไรเขายังคงเป็นเด็กในท้ายที่สุด หลังจากช่วยชีวิตจู้โหย่วได้ มันคงคิดว่าตนเองเป็นเทพเซียนนักหลอมโอสถกระมัง ถึงได้บางชื่อเสียงหาญกล้าวางป้ายเช่นนั้นได้?”
เห่อเซียวแสยะยิ้มกว้างกล่าวว่า
“ในเมื่อมันต้องการชื่อเสียงปานนี้ เช่นนั้นพวกเรามาสนองให้มันกันเถอะ!”
จากนั้นทั้งคู่พลันสบสายตากันก่อนฉีกยิ้มกว้างราวกับรู้ใจ
…
หนิงซื่ออวี๋ยังคงเฝ้ามองเย่หยวนที่กำลังจับชีพจรวินิจฉัยผู้คน ซึ่งยามนี้สามารถบอกได้อย่างเต็มปากว่า แววตาตาที่จับจ้องนั้นเปี่ยมล้นไปด้วยความหลงใหล
เจ้าหนุ่มคนนี้อายุใกล้เคียงกับนางจริงๆรึ?
ไฉนถึงน่าประทับใจขนาดนี้?
หลายวันที่ผ่านมา นางยังคงตามตื๊อเย่หยวนไม่ห่างกายราวกับเด็กน้อยขอขนม แต่นางก็มิได้จุ้นจ้านทำตัวก่อปัญหาใดๆ
เนื่องจากความตื๊อหนักของนาง ในที่สุดเย่หยวนก็ยอมให้นางอยู่ต่อติดตามเขาอย่างช่วยไม่ได้
เมื่อข่าวร้านขายโอสถรับจ้างสารพัดกระจายออกไป ก็มีผู้คนมากมายเข้ามาท้าทายต้องการลองของเย่หยวนเช่นกัน
ซึ่งในระหว่างนั้นเองก็มีคนที่เจ็บปวดจริงๆและมีอาการค่อนข้างซับซ้อน ยากต่อการรักษาแวะเวียนมาบ้าง บางคนถึงขั้นลากสังขารเจียนตายมาหาถึงที่
แต่เมื่อมาถึงต่อหน้าเย่หยวน อันตรายเหล่านั้นพลันหมดไปในพริบตา
กล่าวได้ว่าโอสถทุกเม็ดที่เย่หยวนหลอมกลั่นล้วนได้ผลดีเป็นอย่างมาก
อย่างน้อยที่สุด ตั้งแต่เปิดร้านมาปัญหาก็ยังไม่เคยเกิดขึ้นสักครั้ง
มาตรฐานหลอมกลั่นโอสถของหนิงซื่ออวี้เองก็สูงส่งมากเช่นกัน ดังนั้นบางทีนางก็อาสาลงมือช่วยเหลือเช่นกัน
แต่จะมีบางกรณีจริงๆที่แม้แต่นางก็ทำอะไรไม่ถูก
อย่างไรก็ตามแต่ ราวกับเย่หยวนมีพลังวิเศษเปลี่ยนสิ่งที่เน่าเสียให้กลายเป็นทองได้ จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่เคยพลาดหรือล้มเหลวเลยสักครั้ง
ยิ่งไปกว่านั้น แต่ละคนที่เข้ารักษา ยามออกไปกลับเดินเหินราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น!
หนิงซื่ออวี๋ได้แต่เฝ้ามองพลันนึกจินตนาการอยู่ในใจ หากเปลี่ยนเป็นตัวนางคงไม่มีทางทำได้เช่นเดียวกับเย่หยวนแน่นอน
ไม่…บางทีผลลัพธ์ที่ได้อาจแย่กว่านี้มาก!
บางที…ชายคนนี้อาจมิใช่มนุษย์!
หลายวันผ่านไป ในที่สุดความหยิ่งผยองของหนิงซื่ออวี๋ก็ถูกเย่หยวนปราบจนเชื่อง
“ถึงชายคนนี้จะอวดเก่งเพียงใด แต่เขากลับมีทุนรอนมากพอจริงๆ!”
หนิงซื่ออวึ๋พึมพำกับตัวเอง
ส่วนฮ้วนน้อยจ้องหนิงซื่ออวี๋เขม็งพลันสงสัยยิ่งว่า นี่ยังเป็นคุณหนูที่นางรู้จักอยู่หรือไม่?
หญิงสาวที่เองแต่ใจอาละวาดไปทั่วตอนนี้หายไปไหนแล้ว?
ไม่กี่วันนี้คุณหนูของนางประพฤติตัวดีราวกับสาวใช้ต่อหน้าท่านปรมาจารย์เย่
หากท่านปรมาจารย์ชี้ให้นางไปทิศตะวันออก พนันได้เลยว่านางจะไม่กล้าไปทิศตะวันตกโดยเด็ดขาด
แม้แต่คุณนายของนางก็ยังไม่สามารถปราบพยศได้เช่นกัน!
อย่างไรก็ตามแต่ ท่านปรมาจารย์เย่ผู้นี้ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ!
และดูท่า…เขายังน่าเหลือเชื่อเสียยิ่งกว่าท่านปาจารย์ของคุณหนูอีก!
“หลบไป! พวกเจ้าหลีกทางไปให้หมด! ข้าจะต้องการหานักหลอมโอสถผู้นั้น! ไสหัวไปไกลๆเลย!”
ทันทีทันเชายร่างกำยำจำนวนสี่ถึงห้าคนก็พุ่งตรงเข้ามาในร้านขายโอสถสารพัดรับจ้าง โดยผลักไสผู้คนที่ยืนต่อแถวออกไปทั้งหมด
ปัง!
ชายร่างกำยคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้นำทุบโต๊ะหินอ่อนตรงหน้าหน้าอย่างแรง จนแตกละเอียดเป็นผุยผงและกล่าวเสียงดังสนั่นว่า
“ไอ้หนูออกมาหาข้าเดี๋ยวนี้!”
ขณะนี้เองเย่หยวนที่กำลังหลับตาจับชีพจรผู้คนอยู่ เขาเอ่ยปากตอบทั้งๆที่ไม่แม้แต่จะเปิดเปลือกตากล่าวว่า
“ข้าไม่สามารถรักษาเจ้าได้หรอก ไสหัวไป”
ชายร่างกำยำตื่นตกใจยิ่งเมื่อได้ยินเช่นนั้น พลันคำรามขึ้นว่า
“บิดาเจ้าเถอะ! ยังไม่ทันลืมตามองด้วยซ้ำ แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าไม่สามารถรักษาอาการป่วยของข้าได้! บังอาจไล่คนไข้งั้นรึ? หรือกำลังดูถูกข้า? ได้! ข้าจะทุบป้ายทิ้งเดี๋ยวนี้! เจ้ามันพวกหลอกลวงต้มตุ๋น!”
เย่หยวนยังคงหลับตาจับชีพจรคนไข่คนนั้น พลางเอ่ยปากกล่าวขึ้นอีกระลอกว่า
“ความโง่กลับไม่สามารถให้หายได้ เจ้าไปตายและเกิดใหม่เสียดีกว่า”
“ฮ่าๆๆๆ…”
คำกล่าวของเย่หยวนทำเอาผู้คนโดยรอบระเบิดหัวเราะลั่น
สีหน้าของชายร่างกำยำแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ เขาขึ้นเสียงตะโกนลั่น
“หุบปากซะ! หากใครมันกล้าหัวเราะอีกครั้ง บิดาคนนี้จะฉีกปากเจ้ามิให้ส่งเสียงได้อีกเลย!”
ทุกคนต่างหน้าเสียปิดปากเงียบโดยเร็ว
ก่อนจะนึกขึ้นได้ทันทีว่าชายร่างกำยำนี้คือใคร เขาเป็นหัวหน้าหกแห่งกลุ่มขนนกเงิน เฉินเปา ผู้สังหารผู้คนได้โดยไม่ต้องขยับเปลือกตาด้วยซ้ำ
หากเขาบอกว่าจะฆ่า มันผู้นั้นต้องตาย
“ไอ้เด็กเวร เจ้ากล้าปั่นประสาทข้ารึ? รู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร?”
เฉินเปาชี้หน้าใส่เย่หยวนพลางเชิดจมูกดั่งผู้สูงส่ง
เย่หยวนกล่าวตอบอย่างไม่แยแสว่า
“อย่าไปสนใจให้เสียเวลาเลยว่าเจ้าคือใคร ท้ายหลังเจ้ายังมีคนป่วยมากมายที่รอต่อแถวอยู่ ผู้ใดก่อปัญหาหรือรบกวนการรักษา จัดการสิ้นไม่มีข้อยกเว้น!”
ได้ยินแบบนั้นเฉินเปาโกรธจัด ยามนี้เตรียมปราดพุ่งทะยานโจมตีเย่หยวนทันที แต่ทันใดนั้นเอง
“เฉินเปา! เจ้ากล้าก่อปัญหาในเขตของกลุ่มอัสนีคำรนงั้นรึ?! เจ้าเชื่อหรือไม่ว่ข้าสามารถสะบั้นคอเจ้าได้ตอนนี้!”
ปรากฏชายกำยำอีกคนเข้ามาสกัดห้ามปรามไว้ทันที ซึ่งนี่มิใช่ใครอื่นนอกเสียจากหัวหน้าห้าแห่งกลุ่มอัสนีคำรน
ทันทีที่ได้ยินว่าเฉินเปากำลังเดินทางมาที่ร้านขายโอสถรับจ้างสารพัด เขาก็รีบพาคนของตนมุ่งตรงเข้ามาทันที
คู่ดวงตาของเฉินเปากรอกกลิ้งไปมาเล็กน้อยและยิ้มกล่าวว่า
“ก่อปัญหาอันใด? ข้ามาที่นี่เพื่อพบนักหลอมโอสถ! น้องชายข้าเป็นโรคผิดประหลาดไม่สามารถรักษาให้หายได้ ดังนั้นเมื่อทราบว่าที่แห่งนี้วิเศษวิโสนักจึงลองพามาก็เท่านั้น!”
ทันทีที่หัวหน้าห้าได้ฟังดังนั้นพลันเลิกคิ้วขึ้นทันทีโดยมิตั้งใจ ก่อนมองไปยังเปลหนึ่งที่กลุ่มคนของเฉินเปาแบกเข้ามา
ปรากฏร่างของชายวัยกลางคนที่กำลังนอนโทรมอยู่ ผิวพรรณทั่วทั้งร่างของเขากลายเป็นสีขี้ผึ้ง ดวงตาทั้งสองจมลึกโบ๋ พร้อมกับลมหายใจแสนรวยรินใกล้ตาย
เป็นที่ชัดเจนว่า เฉินเปาพาคนแบบนี้มาเพื่อหาเรื่องโดยเฉพาะ
อาการเจ็บป่วยแบบนี้มิใช่เรื่องง่ายที่จะรักษา
“แล้วนี่มันอะไรกัน?”
หัวหน้าห้าชี้ไปที่โต๊ะหินอ่อนที่แตกเป็นเสี่ยงๆ
เฉินเปาเอ่ยตอบอย่างไม่แยแสว่า
“ก็โต๊ะมันเก่าและผุพังมากแล้วจับนิดจับหน่อยย่อมเสียหายเป็นธรรมดา แต่นี่…กะจิตกะใจเจ้าจะไม่สนใจคนป่วยหนักเลยรึไง?”
เย่หยวนเอ่ยกล่าวขึ้นเสียงเย็นว่า
“อยากพบข้าต้องต่อแถว หากไม่พอใจก็ไสหัวไป!”
เฉินเปาแสยะยิ้มกล่าวว่า
“ฮ่าๆ มีผู้คนมากมายเป็นพยาน หากน้องชายของข้าตายลงตรงนี้ เจ้าจะรับผิดชอบหรือไม่?”
เย่หยวนตอบกลับดั่งคร้านจักใส่ใจ
“หากเขาตายก็คือตาย จะให้ข้าทำอย่างไร? นี่มันเขตร้านของข้า หากไม่ต่อแถวรอก็ไปรักษาที่อื่น!”
ตอนที่ 1543 ทุกคนล้วนแต่ชักพาปัญหามาให้
โดย
Ink Stone_Fantasy
สีหน้าการแสดงออกของเฉินเปารวนเรเปลี่ยนไปอยู่พักหนึ่ง พลันกรนเสียงเย็นก่อนเดินไปต่อแถวที่ด้านหลังตามที่อีกฝ่ายกล่าว
ประมุขสั่งการชัดเจน เป้าหมายคือทุบป้ายร้านหาใช่สร้างความเดือดร้านไปทั่ว
ซึ่งในเนื้อหาคำกล่าวของประมุขก็ค่อนข้างชัดแจ้งดี ในเมื่อพวกมันกล้าเขียนป้ายเช่นนี้ก็จงทำลายซะ แต่อย่าให้กระทบกระทั่งกับฝ่ายอื่นๆเด็ดขาด
และชายวัยกลางคนที่นอนโทรมอยู่บนเปลก็คือของขวัญชิ้นโตที่ประมุขเตรียมไว้ให้!
เมื่อหัวหน้าห้าเห็นว่าเฉินเปายอมถอยแต่โดยดี ลางสังหรณ์ที่เกิดภายในใจกลับยิ่งทวีรุนแรงมากขึ้น
นิสัยของหัวหน้าห้ากับเฉินเปาค่อนข้างคล้ายคลึงกันมาก ทั้งเป็นคนใจร้อนใช้แต่กำลัง โดยปกติทั้งคู่ไม่ค่อยกินเส้นกันดีอยู่แล้ว
และด้วยนิสัยของอีกฝ่าย มันไม่มีทางยอมถอยกลับไปง่ายๆแน่นอน นี่ต้องมีอะไรผิดปกติแน่นอน!
ชายวัยกลางคนที่เปลหามนั้นคงไม่ง่ายที่จะรักษาแน่นอน!
หัวหน้าห้าเหลือบมองเย่หยวนด้วยความกังวลใจมิน้อย แต่พลันพบว่ายามนี้เย่หยวนยังคงตรวจวินิจฉัยคนไข้ต่อไปตามปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แม้ว่าจะมั่นใจในฝีมือของเย่หยวนมาก แต่สำหรับคนที่จงใจหาเรื่องย่อมนำปัญหาที่ยากจะแก้ไขมาให้แน่นอน
และนี่มิชาแค่หัวหน้าห้าแม้แต่ประมุขกลุ่มของเขาเองก็ค่อนข้างวิตกกังวลเรื่องนี้
ท้ายที่สุดแล้วแม้แผ่นป้ายนี้ถูกตั้งผงาดต่อหน้าสาธารณชน ไม่ว่าใครต่างก็เข้าท้าทายทั้งนั้น!
เป็นไปได้ว่าไม่เพียงเมืองทางตอนใต้ แต่กระทั่งเหล่านักหลอมโอสถจากทั่วทุกมุมเมืองจักรพรรดิอาจเข้ามาท้าทายเดิมพัน!
“หนิงซื่ออวี๋ ไปทำน้ำสมุนไพรตามใบสั่งนี้มา แล้วนำให้เขาดื่ม”
เย่หยวนจดทุกอย่างที่จำเป็นลงในใบสั่งและยื่นให้หนิงซื่ออวี๋
“ได้เลย!”
หนิงซื่ออวี๋ข่านรับด้วยความตื่นเต้น พร้อมรับใบสั่งในมือเย่หยวนและตรงเข้าหาหม้อหลอมโอสถทันทีอย่างสุขใจ
เมื่อทุกคนเห็นภาพฉากนี้ต่างอดตื่นตกใจกันมิได้
เซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าชั้นกลางเชื่อฟังคำสั่งเด็กหนุ่มอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าชั้นต้น?
ท่าทีอันแสนเชื่องของหนิงซื่ออวี๋ที่มีต่อเย่หยวนราวกับสถานะศิษย์อาจารย์ไม่มีผิด ซึ่งนางเองก็สนุกไปกับมันด้วยซ้ำ
หลายวันมานี้ ด้วยมาตรฐานการหลอมกลั่นโอสถของหนิงซื่ออวี๋ ก็ดูเหมือนว่านางจะได้การยอมรับจากเย่หยวนบ้างแล้ว
แม้ว่านางจะเป็นคนเอาแต่ใจไปบ้าง แต่ก็ยังถือเป็นต้นกล้าชั้นดีและมีพรสวรรค์ทที่สูงลิบลิ่ว
ด้วยสถานะจอมเทพโอสถสามดาวระดับกลางของนาง ทำให้หนิงซื่ออวี๋มีทุนรอนฝีมือมิใช่น้อย
“ต่อไป!”
เย่หยวนเอ่ยกล่าวขึ้นอย่างไม่แยแส
เมื่อเวลาผ่านไปฝูงชนมากมายต่างได้รับการรักษาจากเย่หยวน
แต่ทันทีที่เห็นคนกลุ่มหนึ่งพาชายหนุ่มน้ำลายย้อยยืดมา หัวหน้าห้าที่เฝ้าสังเกตอยู่พลันขมวเคิ้วขึ้นทันที
ทันทีที่เห็นดังนั้น หัวหน้าห้าพลันใจหายวาบทันที
เขาจดจำได้อย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มน้ำลายไหลยืดนี้คือบุตรชายคนโตของตระกูลเฉียนผู้อยู่ภายใต้อำนาจของกลุ่มสุริยันจันทรา
เฉียนปิงคนนี้ก็ปัญญาอ่อนตั้งแต่เกิด
บุตรที่ถือกำเนิดจากเซียนอาณาจักรพระเจ้าและเป็นเช่นนี้ กล่าวได้ว่าแทบจะไม่ปรากฏมาให้เห็นบ่อยนัก
แต่เฉียนปิงคนนี้ไม่เพียงปัญญาอ่อน เขายังเป็นแค่คนธรรมดา!
เนื่องจากประมุขตระกูลเฉียนมาบุตรชายแค่คนเดียว เขาจึงพยายามทุกวิถีทางเพื่อรักษาความบกพร่องทางสมองของตนมาโดยตลอด
กระทั่งเชื้อเชิญปรมาจารย์นักหลอมโอสถระดับแนวหน้าของเขตเมืองชั้นในมา รวมไปถึงปรมาจารย์อู๋เฟิน แต่พวกเขาก็ทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน
ว่ากันว่าเฉียนปิงเกิดขึ้นมาพร้อมกับจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่สมบูรณ์ นั้นจึงทำให้เขาปัญญาอ่อน
ทว่าจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่สมบูรณ์เช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นนักหลอมโอสถคนใด ใครบ้างจะสามารถรักษาได้?
ลืมไปเลยสำหรับอู๋เฟิน ต่อให้เป็นจอมเทพโอสถสี่ดาวระดับสูงยังจนปัญญา!
สีหน้าของหัวหน้าห้ามิดทมิฬลงทันที เขากล่าวว่า
“ติงซง เจ้าเองก็มาก่อปัญหาด้วยกระมัง?”
ทว่าติงซงแตกต่างไปจากเฉินเปาที่ขี้หงุดหงิดโดยสิ้นเชิง เขาเพียงยิ้มตอบว่า
“เจ้ากำลังกล่าวอันใด? ร้านขายโอสถรับจ้างสารพัดกำลังเป็นที่โด่งดังยิ่งในตอนนี้ ข้าเพียงต้องการพานายน้อยเฉียนมาพบท่านปรมาจารย์ นี่หรือคือการก่อปัญหา? แต่อย่างไร…ป้ายบนหน้าเองก็เขียนว่า รับจ้างสารพัด คงมิใช่ว่าต้มตุ๋นกันใช่ไหม?”
เมื่อเอ่ยกล่าวมาถึงจุดนี้ กลุ่มของเฉินเปาที่อยู่ด้านหลังพลันระเบิดหัวเราะเยาะลั่น
หัวหน้าห้ากัดฟันกรอดกล่าวว่า
“ติงซง เจ้ากำลังหาเรื่องผิดคนแล้ว! เฉียนปิงเกิดมาพร้อมกับสติปัญญาที่บกพร่อง อาการเช่นนี้ไม่มีทางรักษาได้เลย! ที่พาเขามาที่นี่หากไม่มีเจตนาแอบแฝงยังเป็นใดอื่นได้?”
มุมปากของติงซงเชิดยิ้มขึ้นเล็กน้อยและกล่าวว่า
“เมิ่งหัว ข้าไม่เห็นเข้าใจสิ่งที่เอ่ยกล่าวเลย สารพัดรับจ้าง สี่อักษรนี้คงเขียนขึ้นเพื่อคึกคะนองเฉยๆกระมัง? ตอนนี้เรามีคำร้องขอต้องการให้ท่านปรมาจารย์เย่ช่วยเหลือ หากรักษาไม่ได้ เช่นนั้นพวกเจ้าทั้งหมดก็แค่พวกต้มตุ๋นเท่านั้น!”
หัวหน้าห้าอดสำลักมิได้เมื่อได้ยิน ยามนี้ถึงกับเอ่ยปากเถียงตอบไม่ออก
ตอนนี้เขารู้แล้วว่า เย่หยวนกำลังยิงตัวตายชัดๆ
การที่แขวนป้ายแบบนั้นต่อหน้าสาธารณชน กลับเป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำโดดเด็ดขาด!
“โอ้ ร้านขายโอสถเล็กๆกลับคนเยอะจริงๆ!”
ทันทีทันใดพลันปรากฏชายผู้หนึ่งตรงเข้ามาทักทาย
หัวหน้าห้าเองก็รู้จักกับอีกฝ่ายเช่นกัน เขานามว่าหวางห่าวหลาน ซึ่งมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับหอเต๋ออี้
เหลือบมองหวางห่าวหลานแวบหนึ่ง สีหน้าการแสดงออกของหัวหน้าห้าพลันมืดมนถึงขีดสุด
ชายคนนี้มาในนามของอู๋เฟินไม่ผิดแน่!
อู๋เฟินเองก็เหมือนกับคนอื่นๆ ส่งคนมาดำเนินการสร้างปัญหาที่นี่!
อู๋เฟินเป็นจอมเทพโอสถสามดาว ย่อมคุ้นเคยกับศาสตร์แห่งโอสถดีเกินไป
อาการเจ็บปวดใดรักษายากง่ายอย่างไร เขาล้วนทราบประจักษ์ชัด
และคนที่หวางห่าวหลานพามาหัวหน้าห้าเองก็รู้จักดีเช่นกัน เขาเป็นหลานชายของหวางห่าวหลาน นามว่า หวางเชียน
หลายปีก่อน หวางเชียนได้เดินทางเข้าไปในดินแดนลึกลับเพื่อค้นหาสมบัติ และรอดตายออกมาได้อย่างหวุดหวิด ทว่านับแต่นั้นเป็นต้นมา เขาไม่เพียงสูญเสียระดับพลังทั้งหมดที่บ่มเพาะมา แต่ดูเหมือนว่าเขาจะสูญเสียจิตวิญญาณไปด้วย ดังนั้นจึงทำให้สภาพของเขาตอนนี้ไม่ต่างไปจากศพเดินได้เลย
และหวางห่าวหลานก็รักหลานชายคนนี้มาก เขาเคยพบหวางเชียนไปพบกับอู๋เฟินรอบหนึ่งแล้ว แต่สุดท้ายแม้แต่วินิจฉัยอาการป่วยยังไม่ได้
ต่อมาอู๋เฟินอาสาเชื้อเชิญเหล่าปรมาจารย์นักหลอมโอสถจากเขตเมืองทางทิศอื่นๆมา แต่กลับไม่ทมีใครสักคนที่รู้ว่าหวางเชียนเป็นอะไรกันแน่
ดังนั้นเขาจึงถอดใจกับเรื่องนี้มาหลายปีแล้วเช่นกัน
หัวหน้าห้ายามนี้กำลังเดือดดาลสุดขีด พวกมันทั้งหมดล้วนแล้วแต่มาที่นี่เพื่อสร้างปัญหาชัดๆ!
กลุ่มอัสนีคำรนของพวกเขามิได้ตั้งใจทำให้อู๋เฟินโกรธเคืองจริงๆ เย่หยวนสามารถช่วยเหลือพี่สองของพวกเขาได้ ก็จำต้องให้เขาลงมือจริงหรือไม่?
เป็นไปได้ไหมว่าพวกเขาจะปล่อยให้พี่สองตายทั้งแบบนั้น?
ปรมาจารย์อู๋เฟินคนนี้ใจคับแคบเสียเหลือเกิน เพราะความเสียหน้าเพียงเล็กน้อยกลับสร้างปัญหาใหญ่แก่พวกเขา
ใครจะไปคาดคิด ผูกสัมพันธ์กับเฟิน เสียผลึกปราณเทวะไปจำนวนมหาศาล กลับน้อยใจเสียหน้าในเรื่องไม่เป็นเรื่อง!
ใครจะไปคิดว่าวันนี้ อู๋เฟินคนนั้นจะกลายเป็นศัตรูเสียได้
นอกจากไอ้พวกบัดซบเหล่านี้แล้ว วันนี้ยังมีใครมาหาเรื่องอีกหรือไม่?
ขณะที่หัวหน้าห้ากำลังจะไล่คนเหล่านี้ออกไปไกลๆ เขาพลันเหลือบไปเห็น เย่หยวนที่กำลังเช็ดน้ำลายไหลย้อยให้เฉียนปิงพลางจับชีพจรวินิจฉัยโดยไม่สนใจโลกภายนอกใดๆ
“เอ๊ะ? นี่ท่านปรมาจารย์เย่มิใช่รึ? ปรากฏว่าเด็กน้อยหัตถ์เทวะกลับมาหน้าตาเช่นนี้นี่เอง! หุหุ น่าประทับใจนัก! น่าประทับใจจริงๆ!”
หวางห่าวหลานเอ่ยกล่าวขึ้นพร้อมท่าทีแสนขบขัน
อย่างไรก็ตาม เรื่องมันยังไม่จบ!
ทั้งหอสุคนธรสสวรรค์ ศาลาห้าโอรส และอื่นๆอีกมากมายต่างส่งคนเข้ามาท้าทายเย่หยวนไม่หยุดหย่อน
บางคนแสวงหาโอสถ บางคนต้องการให้รักษาคนป่วย
แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่า พวกเขาทั้งหมดมาพร้อมกับโรคภัยที่ยากจะรักษาได้!
โดยส่วนใหญ่จะเป็นร้านค้าขายโอสถยักษ์ใหญ่ของเขตเมืองทางตอนใต้ พวกเขามาที่นี่ภายใต้คำสั่งของเหล่าตระกูลใหญ่และกลุ่มขั้วอำนาจต่างๆ
แต่แม้บางคนจะเป็นนักหลอมโอสถเช่นกัน ทว่าไม่มีใครฝีมือน่าประทับใจเท่าอู๋เฟินสักคน
และเห็นได้ชัดว่า‘ป้ายสารพัดรับจ้าง’ของเย่หยวนทำให้ก่อเกิดคลื่นความโกรธแค้นต่อสาธารณชน
ส่วนหัวหน้าห้าที่พบเห็นภาพฉากนี้ ปัจจุบันแทบจะยกเท้าขึ้นก่ายหน้าผาก
“นี่ท่านปรมาจารย์เย่กำลังทำอะไรอยู่กัน? นี่…นี่มีแต่ปัญหาถาโถมเข้ามาชัดๆ! เช่นนี้แล้วกลุ่มอัสนีคำรนยังจะหาเลี้ยงปากท้องต่อไปในอนาคตได้อย่างไร?”
หัวหน้าห้าปวดเศียรแทบบ้า
อย่างไรก็ตาม ข้างกายไม่ห่างตัวนัก หนิงซื่ออวี๋กลับจับจ้องภาพฉากนี้พร้อมเสียงหัวเราะคิกคัก ดวงเนตรคู่งามของนางจ้องมองเย่หยวนด้วยความอยากรู้อยากเห็นยิ่งว่า เขาจะทำอย่างไรต่อไป?
ตอนที่ 1544 แหกตาสุนัขของเจ้าดูซะ!
โดย
Ink Stone_Fantasy
ณ หอเต๋ออี้ อู๋เฟินยังคงนั่งแช่มจิบชารอฟังข่าวมาโดยตลอด
เมื่อได้ฟังเกี่ยวกับสถานการณ์ของร้านขายโอสถรับจ้างสารพัด อู๋เฟินก็พลันคลี่ยิ้มดีใจอย่างยิ่ง
“หุหุ เราชายชราไม่คิดไม่ฝัน เจ้าเด็กคนนี้จะก่อความเกรี้ยวโกรธต่อสาธารณชนขนาดนี้! ข้าอยากจะเห็นเหลือเกินว่ามันจะผ่านวันนี้ไปได้อย่างไร!”
อู๋เฟินยิ้มกล่าว
เถ้าแก่เองก็รู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่งเมื่อทราบข่าวนี้
เขาไม่คิดไม่ฝันเลยว่ากลุ่มอิทธิพลทั้งหกของเมืองทางตอนใต้จะแห่เข้ามารังแกเด็กน้อยผู้อ่อนแอคนนั้น
แต่เมื่อคิดไปแล้วเถ้าแก่เองก็รู้สึกอุ่นใจไม่น้อย
ไอ้เด็กเหลือขอนั้นหยิ่งผยองเกินไป ยืนกรานแขวนป้ายรับจ้างสารพัดได้อย่างหน้าตาเฉย นี่กำลังชักพาปัญหาเข้าตัวกระมัง?
“ครานี้ท่านปรมาจารย์ลงไม้หนัก! หวางเชียนคนนั้นแม้แต่จอมเทพสี่ดาวยังไปไม่เป็น หากเด็กคนนั้นไม่สามารถช่วยเหลือได้นับว่าน่าเสียดายนัก”
เถ้าแก่เอ่ยเสียดสีแสยะยิ้มกว้าง
อู๋เฟินยิ้มกล่าวว่า
“เหอะ ไอ้เปี๊ยกนั้นมันหยิ่งผยองเกินไป ข้ากำลังสอนให้เขาทราบว่าตนควรปฏิบัติอย่างไร! มหาพิภพถงเทียนแห่งนี้กว้างใหญ่ไพศาล เขาหรือที่เพิ่งลืมตาดูโลกได้ไม่กี่วัน จะหาญกล้าทัดเทียม? มันโอ้อวดไร้ยางอายเกินไป!”
หากย้อนกลับไปตอนที่อู๋เฟินให้สัญญากับหวางห่าวหลาน นั้นมิใช่เพียงเพราะความสัมพันธ์อันดีระหว่างทั้งสองเท่านั้น แต่ตอนนั้นที่ทราบว่าอาการของหวางเชียนไม่สามารถรักษาให้หายได้ อู๋เฟินเองก็ไม่คิดยอมแพ้เช่นกัน หนึ่งอาจเป็นเพราะความต้องการเอาชนะยามพบเจออุปสรรคยากลำบาก
นักหลอมโอสถล้วนดื้อรั้นกันทุกคน ไม่เว้นแม้แต่อู๋เฟินเช่นกัน
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้อู๋เฟินอยากจะเอาชนะโรคนี้ให้จงได้
เพื่อตัวหวางเชียนเอง อู๋เฟินถึงขั้นแบกหน้านำหวางเชียนเข้าไปในหอโอสถในเขตเมืองชั้นใน เพื่อไปขอความช่วยเหลือจากท่านอาจารย์ของเขาอีกที
ทว่าท้ายที่สุด อีกฝ่ายก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้เช่นกัน
อาจารย์ของอู๋เฟินเป็นถึงจอมเทพโอสถสี่ดาวแห่งหอโอสถ ทว่าแม้แต่เขาผู้นั้นยังไม่สามารถทำอะไรได้ แล้วไอ้เปี๊ยกนั้นรึจะช่วยได้?
อู๋เฟินขอไม่คิดเชื่อแม้นต้องถูกตีจนตายก็ตาม!
…
ในเวลานั้นเอง ณ เขตเมืองชั้นใน ชายชราคนหนึ่งรีบวิ่งแจ้นเข้ามารายงานกับชายหนุ่ม
“ทางเราทราบข่าวของน้องสาวท่านแล้ว! ปัจจุบัน นางอยู่ในเขตเมืองทางตอนใต้! เร่งออกไปพากลับมาดีหรือไม่?”
ชายชรากล่าว
ชายหนุ่มเผยท่าทีลำบากใจมิน้อย พร้อมโค้งคำนับกล่าวว่า
“ท่านอาจารย์ซวนอี้ น้องสาวของข้าเอาแต่ใจเกินไปจนทำให้ท่านลำบาก”
ซวนอี้ยิ้มและกล่าวว่า
“น้องสาวของท่านมีมากพรสวรรค์หลากหลายด้าน นางย่อมเอาแต่ใจเป็นธรรมดา ทั้งพรสวรรค์ในศาสตร์แห่งโอสถ และนี่หาใช่สิ่งเดียวที่นางเชี่ยวชาญ ความสามารถของคนอื่นๆล้วนอ่อนด้อยกว่านาง แต่น่าเสียดายที่นางไม่ค่อยขยันนัก!”
ชายหนุ่มเหงื่อแตกพลัก มือแทบก่ายหน้าผาก
“ท่านอาจารย์กล่าวตรงเกินไป จับนางกลับมาคราวนี้ข้าจะอบรมนางเป็นอย่างดี!”
ซวนอี้ยิ้มพร้อมกล่าวว่า
“เจ้าไม่จำต้องทำเช่นนั้นไป เจ้าก็ทราบดีว่า นางมีนิสัยคล้ายผู้ชาย หากเจ้าใช้ไม้แข็งกับนางมากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งพยศเจ้ามากขึ้นเท่านั้น กล่าวตามตรงอย่าไปบังคับจับนางกลับมาเลย ตอนนี้ปล่อยให้นางอยู่ข้างนอกไปสักพัก นี่อาจเป็นเรื่องดีสำหรับนาง การประลองในหอโอสถกำลังใจเริ่มขึ้นเร็วๆนี้ ขอเพียงพานางกลับมาให้ทันก็เป็นพอ”
ชายหนุ่มผสานมือโค้งคำนับและกล่าวว่า
“เข้าใจแล้วท่าน!”
…
ภายในร้านขายโอสถรับจ้างสารพัด ความเร็วในการวินิจฉัยและรักษาของเย่หยวนค่อนข้างรวดเร็วยิ่ง
เนื่องจากเย่หยวนยังต้องรักษาคนอื่นตามลำดับ หลังจากวินิจฉัยเฉียนปิงก่อนเล็กน้อยก็สั่งให้ติงซ่งนำไปต่อแถวที่ด้านหลังก่อน ยามนี้พวกเฉินเปาและที่เหลือต่างก็รอนานแล้ว ทว่าสีหน้าการแสดงออกกลับค่อนข้างแตกต่างจากตอนแรกที่เข้ามา
คนเหล่านั้นที่ต่อแถวอยู่ก่อนหน้า ยามนี้อาการป่วยของคนพวกนั้นหายอย่างน่าอัศจรรย์ และยิ่งเห็นผลชัดเจนขึ้นเมื่อโอสถออกฤทธิ์
และพวกที่ร้องข้าให้หลอมกลั่นโอสถให้ สิ่งที่ทุกคนนำกลับไปล้วนแล้วแต่เป็นโอสถขั้นเทวะ!
ขั้นเทวะจริงๆ!
แม้สิ่งที่เย่หยวนหลอมกลั่นไปในวันนี้จะมิใช่โอสถที่ยุ่งยากซับซ้อนนัก แต่การหลอมกลั่นได้ขั้นเทวะทุกเม็ด สิ่งนี้บ่งบอกได้ถึงปัญหาอย่างชัดเจน!
ชายหนุ่มคนนี้มีความสามารถจริงๆ!
และในไม่ช้าแทนที่เฉินเปาและติงซ่งจะหน้าเสีย แต่กลับกันเลย พวกเขากลับรู้สึกสบายใจขึ้นแทน
บางทีเด็กคนนี้อาจช่วยคนของพวกเขาได้จริงๆ!
แต่ถึงอย่างไร สิ่งที่สามตระกูลใหญ่ สองกลุ่มอิทธิพลส่งมาที่นี่ในวันนี้ล้วนแล้วแต่เป็น ผู้ป่วยที่มีโรคประหลาดดซับซ้อนขึ้นชื่อประจำเขตเมืองทางตอนใต้ และไม่มีใครสามารถรักษาได้เลย
ในที่สุดตอนนี้ก็ถึงตาของเฉินเปา
“อุ้มเขามา”
เย่หยวนเอ่ยกล่าวเสียงชืดเย็น
เฉินเปาโบกมือสั่งและให้คนกลุ่มหนึ่งแบกเปล่มาต่อหน้าเย่หยวน
“เจ้าหนู หากช้าข้าจะทุบป้ายเจ้าทิ้งซะ!”
เฉินเปากล่าวขู่เย่หยวน
ทันทีที่หัวหน้าห้าได้ยินแบบนั้น เขาก็ลุกขึ้นพรวดดแสยะยิ้มเย็นกล่าวว่า
“เจ้าลองขยับดูสิ! ข้าจะพากลุ่มอัสนีคำรนมาถล่มเจ้าทันที!”
แต่เฉินเปากลับเอ่ยกล่าวอย่างเฉยเมยว่า
“ข้าพาคนป่วยมารักษา หากเกิดอะไรขึ้นกับเขามันคือความรับผิดของพวกเจ้า! หากเขาเกิดตายลงที่นี่ แสดงว่าไอ้ร้านรับจ้างสารพัดนี้มันก็แค่เรื่องหลอกลวง! แล้วทำไมข้าถึงจะทุบป้ายไม่ได้!”
หัวหน้าห้าสำลักโดยพลันเมื่อได้ยินเช่นนั้น ยามนี้อดกล่าวน้ำเสียงเย็นชามิได้ว่า
“ท่านปรมาจารย์เย่ยังมิทันรักษาอย่าเพิ่งตัดสินใจไป! เฉินเปา หากเจ้ากล้าก่อปัญหาขึ้น วันนี้อย่าคิดเดินออกจากร้านง่ายๆ!”
เฉินเปาหยิบเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ออกมาชิ้นหนึ่งและยิ้มกล่าวว่า
“บิดาเจ้าเถอะที่เดินออกไปไม่ได้! เจ้าหรือจะทำอะไรข้าได้?”
คนอื่นๆต่างจับจ้องภาพฉากปะทะคารมของทั้งสองอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส
ณ ปัจจุบันคนพวกนี้ล้วนแต่เป็นบุคคลที่ถูกสั่งการมาให้ก่อปัญหาแก่เย่หยวน ดังนั้นพวกเขาย่อมเข้าข้างเฉินเปาโดยธรรมชาติ
ยิ่งไปกว่านั้น การที่สามตระกูลใหญ่และสองกลุ่มอิทธิพลออกโรงพร้อมกันเช่นนี้ ล้วนดึงดูดความสนใจของฝูงชนจำนวนมาก ยามนี้รุมล้อมเฝ้าดูกันไม่วางตา
โดยปกติแล้ว พวกเขาคงสนใจกันครู่เดียวก่อนจะแยกย้ายกันออกไป
แต่วันนี้พวกเขาเองก็อยากเห็นภาพฉากสนุกๆ อย่างน้อยก็อยากจะเห็นคนพวกนี้ทุบป้ายร้านนี่ทิ้งซะ
“หัวหน้าห้า นี่เจ้ากลับเป็นฝ่ายผิด! ในเมื่อเขาเข้ามาในฐานะคนไข้ เจ้าก็ต้องดูแลพวกเขา!”
“ถูกต้องกล่าว กล่าวแบบนี้กลับไม่ยุติธรรม ไม่ว่าจะไปร้านขายโอสถที่ใด หากเกินอะไรขึ้นล้วนแต่เป็นความผิดของนักหลอมโอสถทั้งสิ้น และเจ้าก็มีส่วนต้องรับผิดชอบ!”
“เจ้านี่มันบ้าไปแล้วรึไง ปล่อยให้พวกเราต่อแถวตั้งนาน พอถึงคตอนนี้ยังคิดข่มขู่ทำร้ายกันอีก?”
…
เหล่าฝูงชนและกลุ่มก่อกวนต่างตะโกนเสียงโห่ร้องดังลั่น จนหัวหน้าห้าใบหน้าสั่นเทาด้วยความโกรธจี๊ด
“เอาล่ะ แบกออกไป!”
ทันทีทันใดเสียงเย็นพลันดังออกมาจากด้านในร้าน
ทุกคนต่างตกตะลึงยิ่ง ในขณะที่ติงซ่ง หวางห่าวหลานและกลุ่มก่อกวนพลันฉีกยิ้มกว้างอย่างสุขใจขึ้นทันที
รักษาเร็วปานนี้เชียว?
ไอ้เด็กนี่มันรักษาไม่ได้มากกว่า! “ฮ่าๆๆๆ พี่น้องทุกคนชวนข้ากระทืบป้ายร้านมันที! กระทืบให้หนัก!! ฝีมืออ่อนหัดเช่นนี้ ยังกล้าเขียนว่ารับจ้างสารพัด?”
เฉินเปาระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นในทันใดพร้อมตะโกนเชิญชวนทุกคนโดยไว
“เจ้ากล้า?!”
แต่ทันทีทันใดกลับมีโฉมสะคราญร่างงามพลันปรากฏขึ้นต่อหน้าเฉินเปา
“สาวน้อย เจ้าเป็นใครกัน? เบื่อหน่ายกับชีวิตปานนั้นเชียว?”
เฉินเปาจ้องหนิงซื่ออวี๋เขม็งด้วยสายตาสุดดุร้าย
แต่หนิงซื่ออวี๋กลับยืนนิ่งหาได้เกรงกลัวไม่ พร้อมยิ้มกล่าวแสนหยามเหยียดว่า
“แหกตาสุนัขเจ้าดูเถอะ อีกฝ่ายฟื้นตัวขึ้นแล้ว ดังนั้นยังมีสิทธิ์อันใดทุบป้ายร้านของเรา?”
ทุกคนโดยรอบต่างค้างแข็งในทันใด เฉินเปาหัวเราะเยาะลั่นกล่าวว่า
“ฮ่าๆๆ ฟื้นตัวแล้ว? ไหน? ก็เห็นอยู่ว่าเขากำลังนอน…นอน…เจ้า! เจ้าฟื้นแล้ว!?”
ขณะที่เฉินเปาระเบิดหัวเราะเยาะไม่หยุดหย่อน ชายวัยกลางคนที่นอนอยู่บนเปลหามค่อยๆลืมตาขึ้นและลุกขึ้น
เมื่อทุกคนเห็นดังนั้นต่างโพล่งตาเบิกกว้างด้วยความตกตะลึงยิ่ง
ผิวพรรณสีขี้ผึ้งทั่วร่างยามนี้หายไปแล้ว ใบหน้าของเขายังดูซีดเซียวก็จริง แต่ดูเหมือนว่าจะพ้นขีดอันตรายแล้วเช่นกัน
“นี่…นี่เกิดอะไรขึ้น?”
“สวรรค์! น่าทึ่งเกินไปแล้ว! ในเวลาไม่กี่อึดใจที่เราคุยกัน เด็กนั้นกลับรักษาเขาได้จริงๆ?”
“ท่านปรมาจารย์ผู้นี้มิได้คุยโม้! เขามีความสามารถจริงๆ!”
…
ทั่วทั้งใบหน้าของทุกคนประดับค้างความตื่นตะลึงมิคลายอ่อน จนมิอาจปกปิดได้เลย
เฉินเปาประหลาดใจสุดขีด เย่หยวนกลับคืนชีวิตให้แก่อีกฝ่ายได้เร็วปานนี้?
นี่มัน…ประหลาดเกินไปแล้ว!
อาการเจ็บป่วยนี้ไม่สามารถรักษาให้หายได้ไม่ว่าใคร เขาที่พยายามเดินเตร่ขอความช่วยเหลือไปทั่วเขตเมืองทางตอนใต้ แต่สุดท้ายจำต้องผิดหวัง ทว่าเมื่อมาที่นี่ ยังสนทนากันไม่กี่ประโยค อีกฝ่ายก็หายขาดเสียแล้ว?
ตอนที่ 1545 ราคาเรียกเก็บล่วงหน้า
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ผลึกปราณเทวะหกล้านก้อน จ่ายมา”
เย่หยวนเอ่ยปากกล่าวขึ้นอย่างไม่แยแสใดๆ เขาหาได้ใส่ใจกับท่าทีอันตื่นตะลึงของเฉินเปาเลย
ทันทีที่คำกล่าเหล่านี้แผดดังออกมา ดวงตาของเฉินเปาพลันโพล่งกว้าง
“ห-หกล้าน? นี่เจ้าแค่จับนิดจับหน่อยแล้วพาอีกฝ่ายส่งกลับมา ถึงขั้นคิดราคาหกล้านเชียว? นี่เจ้ากำลังปล้นกันชัดๆ!”
เฉินเปากล่าวขึ้นด้วยความตกใจยิ่ง
เย่หยวนเผยสีหน้าการแสดงออกประดุจจับจ้องพวกโง่เขลาและกล่าวเสียงเย็นว่า
“จับนิดจับน้อย? แล้วเจ้าสามารถนำเจ้าตัวนี้ออกมาได้เองหรือไม่?”
ขณะสนทนาเอ่ยกล่าว เย่หยวนก็ยื่นฝ่ามือออกไป พลันปรากฏเป็นแมลงตัวจิ้วร่างโปร่งแสงปรากฏขึ้น
เพียงพลาดท่าประมาทเล็กน้อย มันก็สามารถเข้าซุกซ่อนภายในร่างกายได้ในพริบตา ทุกคนที่ได้เห็นต่างสูดหายใจแช่มลึกเจือประหลาดใจ
หยิงซื่ออวี๋กล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มเย็นว่า
“แมลงตัวนี้มีชื่อว่า หนอนศพเขมือบเส้นเอ็น มักซ่อนตัวอยู่ในสุสานของเหล่าเซียนโบราณ ชอบกินเส้นเอ็นและเส้นลมปราณของเหล่านักสู้เป็นที่สุด นอกจากนี้เมื่อมันเข้าไปถึงเส้นลมปราณได้สำเร็จตัวมันจะฝังเข้ากระดูกและยากที่จะบังคับมันออกไป! ในเขตเมืองชั้นนอกทั้งหมด ไม่มีใครอื่นแล้วนอกจากท่านปรมาจารย์เย่ที่สามารถช่วยรักษาได้! แค่หกล้านแลกกับหนึ่งชีวิตนับว่าแพงอันใด?”
เย่หยวนเหลือบมองหนิงซื่ออวี๋เล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าสาวน้อยนางนี้จะมีความรู้มากมายนัก
ก่อนหน้าเขาเพิ่งฟังคำแนะนำของหวูเฉินมาเอง ก่อนจะรู้ว่าสิ่งนี้เรียกว่า หนอนศพเขมือบเส้นเอ็น
ทว่าในความเป็นจริง หนิงซื่ออวี๋นางนี้กลับลึกลับยิ่งกว่าเย่หยวน นางกลับรู้จักหนอนชนิดนี้จริงๆและยังทราบไปถึงความยากในการนำมันออกมาจากร่างกาย
แม้ว่าท่านอาจารย์ของนางเองก็ทำได้เช่นกัน แต่กลับไม่มั่นใจนักว่าจะบังคับนำเจ้าสิ่งนี้ออกไปได้
นางเองก็ไม่คิดไม่ฝัน เย่หยวนเพียงจับร่างของคนๆนั้นสองสามครา ก็สามารถบังคับนำเจ้าสิ่งนี้ออกมาได้แล้ว
ทักษะฝีมือระดับนี้ ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ
สีหน้าการแสดงออกของเฉินเปาเปลี่ยนไปซ้ำไปมา ก่อนจะเอ่ยกล่าวเสียงขรึมว่า
“ข้าขอยอมแพ้ต่อความโชคร้ายนี้เสีย! หวู่จ้าวนี่คือชีวิตของเจ้า เช่นนั้นเจ้าต้องจ่ายเอง!”
หวู่จ้าวผงะเล็กน้อยพร้อมเอ่ยกล่าวคลี่ยิ้มแสนขมขื่นขึ้นว่า
“ข้า…ข้าไม่มีผลึกปราณเทวะมากมายขนาดนั้น…”
เฉินเปาแสยะยิ้มเย็นกล่าวว่า
“นั้นหาใช่เรื่องของข้า! กลับกันเถอะ!”
เฉินเปาโบกมือปัด ขณะที่กำลังจะนำพากลุ่มคนของตนจากไป
ทันทีทันใดเย่หยวนเอ่ยปากกล่าวเสียงขรึมว่า
“เจ้าเป็นคนพามารักษา เช่นนั้นเจ้าก็ต้องจ่าย!”
เฉินเปาหันมาแสยะยิ้มมุมปาก รวนหัวเราะเยาะกล่าวว่า
“บิดาเถอะ ข้าไม่จ่าย! น้ำหน้าอย่างเจ้าจะมีปัญญาทำอะไรได้?”
วูบบ!
เย่หยวนไม่พูดไม่จาใดๆอีกต่อไปพร้อมซัดกำปั้นออกไปทันที
เพียงเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าชั้นต้น คิดโจมตีเขา?
เขาระดมพลังพลังปราณเทวพถึงขีดสุด และกระหน่ำกำปั้นเขาชนกับเย่หยวนทันที
กำปั้นนี้ของเขาช่างทรงพลังและหนักหน่วงยิ่งนัก แม้แค่หนึ่งกระบวนเดี๋ยวจะไม่สามารถฆ่าเย่หยวนได้ แต่นี่กลับเกินพอที่จะใช้สั่งสอน
ทว่าในขณะเดียวกัน พลันปรากฏรอยยิ้มเย็นขึ้นบนมุมปากของหัวหน้าห้า เขาเคยปะทะประมือกับเย่หยวนมาก่อน ย่อมทราบตระหนักดีถึงความแกร่งกล้าเกินจินตนาการของเย่หยวน
บูมมม
ขณะที่สองเพลงหมัดเจียนจะเข้าชนสกัดต้าน จู่ๆกำปั้นของเย่หยวนก็อันตรธานหายวับกลางอากาศสุดน่าประหลาดใจ ก่อนจะปรากฏขึ้นอีกครั้งต่อหน้าต่อตาเฉินเปา พร้อมซัดร่างอีกฝ่ายกระเด็นออกไปไกล
กำปั้นนี้ทำเอาใบหน้าของเฉินเปาบิดเบี้ยวผิดรูป เลือดตาแตกพร่ามัวไปหมดก่อนจะหมดสติลงในที่สุด
“หัวหน้าห้า กักตัวชายคนนี้ไว้ ให้ประมุขจองพวกมันมาจ่ายค่ารักษาไถ่ตัวเขาคืนทีหลัง”
เย่หยวนกล่าวสั่งการอย่างไม่แยแสใดๆ
หัวหน้าห้าก้าวแช่มออกมาอย่างสบายใจ พลางสกัดจุดเพื่อปิดดผนึกทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของเฉินเปาและนำตัวไปคุมขัง
เซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าชั้นต้นล้มเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าชั้นปลายได้ด้วยกำปั้นเดียว!
ท่านปรมาจารย์เย่คนนี้ลึกลับโดยแท้!
เมื่อเฉินเปาได้สติขึ้นอีกครั้งก็ถูกหัวหน้ากุมตัวเอาไว้แล้ว ในที่สุดสีหน้าการแสดงออกของเขาพลันตื่นตระหนักหนักพลันเอ่ยร้องดังลั่น
“ข้า…ข้ามีเงินจ่าย! ข้ายินดีที่จะจ่าย! ปล่อยข้าเถอะ!”
หัวใจของเฉินเปาราวกับถูกมีดคมกรีดทั้งเป็น เดิมทีเขาคิดแค่ว่าจะมาก่อกวนและจบลงโดยการทำลายป้ายร้านบัดซบนี่ แต่ที่ไหนได้…ใครจะไปคิดว่าจะลงเอยเช่นนี้?
เมื่อครู่เด็กนั้นมันทำบ้าอันใด ไฉนกำปั้นถึงอันตธานหายวับกลางอากาศ?
เย่หยวนหาได้สนใจใดๆอีกฝ่ายอีก พร้อมกวาดสายตากล่าวกับทุกคนที่ยังต่อแถวว่า
“ผู้ใดไม่มีเงินไสหัวไปซะ ข้ามิได้ทำการกุศลช่วยเหลือโดยไม่คิดสักแดง”
ติงซ่งหาได้ใส่ใจเช่นกันกับเรื่องนี้ เขากล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มที่มิใช่รอยยิ้มว่า
“ก็แค่หกล้านเองมิใช่รึ? ประมุขเฉียนมาเงินมากมายเกินจะนับไหว”
หวางห่าวหลานยังกล่าวเสริมว่า
“หกล้ายแลกหนึ่งชีวิต นับว่าไม่แพง”
เย่หยวนเหลือบมองพวกเขาเล็กน้อยก่อนกล่าวว่า
“จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่สมบูรณ์มีค่ารักษาอยู่ที่ยี่สิบล้านก้อน! ส่วนอีกหนึ่งมาจากหอเต๋ออี้กระมัง? ห้าสิบล้านก้อน! นอกจากนั้นด้านหลังราคารักษาอยู่ที่สิบและสามสิบล้านตามลำดับ ผู้ใดคิดว่ามีปัญญาจ่ายไหวก็ต่อไป หากไม่ไหวก็กลับไปซะ”
“ฟู่วว…”
เหล่าผู้คนโดยรอบต่างสั่นสะท้านหนักเมื่อได้ยิน นี่เป็นราคาเรียกเก็บล่วงหน้าที่มหาโหดยิ่งนัก
ค่ารักษาห้าสิบล้าน?
ห้าสิบล้านเท่ากับราคาทรัพย์สินทั้งหมดของเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าคนหนึ่งเลยกระมัง
ประมุขเฉียนยามนี้ออกโรงมาดูด้วยตัวเองเช่นกัน พลางได้ยินราคายี่สิบล้าน เขายิ่งกว่ารู้สึกเจ็บปวดหัวใจนัก เพราะนี่คือทรัพย์ทั้งหมดที่เขามี
แต่เขายังคงสูดหายใจฮึดสู้กล่าวว่า
“ตราบใดที่ท่านปรมาจารย์เย่รักษาลูกชายข้าได้ ยี่สิบล้านก็ยี่สิบล้าน!”
ส่วนร้านขายโอสถสองยักษ์ใหญ่เองต่างก็ครุ่นกังวลชั่งน้ำหนักกันสีหน่าเคร่งเครียด ก่อนท้ายที่สุดจะลงเอยเห็นด้วย
ราคาห้าสิบล้าน หวางห่าวหลานมั่นใจว่านี่เป็นเพียงคำขู่เท่านั้น
เพราะถึงจะขายตัว แต่ราคาขนาดนี้เขาก็ไม่สามารถควักจ่ายได้เช่นกัน!
แต่เย่หยวนหาได้สนใจไม่ และกล่าวกับประมุขเฉียนว่า
“เจ้าไปนพเงินมา ส่วนข้าจะรักษาบุตรชายเจ้าเอง”
ขณะที่ประมุขเฉียนกำลังจะตอบตกลง จู่ๆติงซ่งพลันโพล่งขึ้นว่า
“เดี๋ยวก่อน ราคายี่สิบล้านหาใช่เงินก้อนเล็กๆ หากท่านประมุขเฉียนไปนำเงินมา แต่เจ้ากลับไม่สามารถรักษาอาการของเฉียนปิงได้ จะทำอย่างไร?”
เย่หยวนเหลือบมองอีกฝ่ายอย่างเย็นชา
“เจ้ากำลังสงสัยในตัวข้า?”
ติงซ่งสำลักทันทีโดยมิตั้งใจ การตั้งแง่กับนักหลอมโอสถนับเป็นข้อห้ามสำคัญ
เนื่องจากพวกเขาเต็มใจเดินทางมารักษา ดังนั้นพวกเขาจำต้องเชื่อใจอีกฝ่ายโดยธรรมชาติ
แต่เมื่อประมุขเฉียนได้ฟังเช่นนั้น เขาพลันกัดฟันแน่นกล่าวว่า
“ท่านปรมาจารย์เย่อย่าลังเลที่จะรักษา ข้าจะรีบไปเอาเงินมาทันที!”
เมื่อกล่าวจบประมุขเฉียนก็เหลียวตัวกลับและออกไปทันที
คล้อยหลังที่เย่หยวนพาเฉียนปิงเข้าไป เหล่าฝูงชนโดนรอบต่างเริ่มจับกลุ่มสนทนาในทันที
“สวรรค์! ค่ารักษาขนาดนี้…แพงไปหรือไม่? นี่มันถึงขั้นล้มละลายกันเลยทีเดียว!”
“นี่เจ้าไม่เข้าใจอะไรเลยงั้นรึ?! ท่านปรมาจารย์เย่กำลังกำจัดพวกสร้างปัญหาอยู่! ก็เห็นอยู่ว่าคนพวกนี้มาเพื่อสร้างปัญหา เขาย่อมเรียกร้องค่ารักษาสูงเป็นธรรมดา!”
“เท่านี้ยังไม่หมด! สิ่งที่กลุ่มคนพวกนี้นำมาล้วนแต่เป็นโรคภัยลี้ลับและได้ชื่อว่ารักษายากที่สุดในเขตเมืองใต้! หากมันสามารถรักษาได้ง่ายปานนั้น ตอนนี้พวกเขาคงหายนานแล้ว!”
…
ผ่านไปสองชั่วยาม ในที่สุดเย่หยวนก็พาเฉียนปิงออกมาจากโถงภายใน
สายตาที่จับจ้องของหนิงซื่ออวี๋ยามนี้เปี่ยมล้นไปด้วยความประหลาดใจอย่างที่สุด
เห็นได้ชัดว่าทมุกอย่างที่เกิดขึ้นภายในโถง ล้วนแล้วแต่ทำให้นางประหลาดใจยิ่งยวด
“พ-พ่อ!”
เฉียนปิงเอ่ยกล่าวเรียกประมุขเฉียนด้วยน้ำเสียงสั่นคลอน พร้อมธารน้ำตาที่รินไหลออกมาจากดวงตา
ร่างของประมุขเฉียนสั่นสะท้านหนักทั้งน้ำตาเช่นกัน
ลูกชายของเขาหายปัญญาอ่อนแล้วจริงๆ!
ในตอนนี้ดวงตาคู่นั้นของเฉียนปิงเปล่งประกายเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา แจกจ่างจากก่อนหน้าที่ดูเลื่อนลอยโดยสิ้นเชิง
“ปิงเอ๋อ! เจ้า…เจ้าหายเป็นปกติดีแล้วใช่ไหม?”
ประมุขเฉียนแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
เฉียนปิงพยักหน้ากล่าวว่า
“ท่านปรมาจารย์เย่เปรียบเสมือนเทพโดยแท้! เขาสามารถชดเชยจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในส่วนที่บกพร่องไปของข้าได้! ตอนนี้ข้ามิได้ต่างอะไรจากเด็กทั่วไปแล้ว!”
“ดี! ดี! ดีจริงๆ!”
ธารน้ำตาไหลรินผ่านใบหน้าเหี่ยวย่นของประมุขเฉียน ในที่สุดความปรารถนาอันแสนยาวนานของเขาก็กลับกลายมาเป็นความจริง
สองพ่อลูกเข้าสวมกอดกันต่างร้องห่มร้องไห้ออกมาต่อหน้าสาธารณชน
พวกเขาทุกคนต่างทราบดีว่า ประมุขเฉียนใช้ความพยายามและทุ่มสุดดตัวเพียงใดเพื่อวันนี้!
“ท่านพ่อ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าจะแสดงความกตัญญูชดใช้สิ่งที่ผิดพลาดไปในอดีต! ปิงเอ๋อจะไม่ทำให้ท่านผิดหวังแน่นอน”
เฉียนปิงเอ่ยกล่าวขึ้นพลางร่ำไห้อย่างขมขื่นใจยิ่ง
ตอนที่ 1546 ปากร้าย
โดย
Ink Stone_Fantasy
“เร็วเข้าปิงเอ๋อ รีบเข้าไปหาท่านปรมาจารย์เย่เร็ว! ท่านปรมาจารย์เย่ได้มอบชีวิตใหม่แกเจ้า ไม่สิ…แก่ตระกูลเฉียนของเรา!”
ประมุขเฉียนกล่าวกับบุตรชายของตน
ผลึกปราณเทวะจำนวนยี่สิบล้านกล่าวได้ว่าเขาใช้ความพยายามอย่างมากในการหามาในช่วงหลายปีนี้
ถึงแม้ราคายี่สิบล้านจะเป็นจำนวนมหาศาล แต่เพื่อช่วยชีวิตลูกชายของเขา สิ่งนี้นับว่าคุ้มค่านัก
ดังนั้นประมุขเฉียนมิเพียงจะไม่บ่นสักคำ แต่เขายังรู้สึกขอบคุณเย่หยวนยิ่งกว่าอะไร
“เข้าใจแล้วท่านพ่อ!”
เฉียนปิงเปล่งเสียงขานรับ ขณะที่กำลังจะก้มหัวตรงเข้าไปหาเย่หยวน แต่จู่ๆติงซ่งพลันคำรามกล่าวขึ้นเสียงเย็นว่า
“เขาได้เงินแลกกับช่วยชีวิตคนนับว่ามีอะไรน่าขอบคุณ? ในเมื่อหายแล้วก็กลับกันไปเถอะ”
สีหน้าการแสดงออกของประมุขเฉียนเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินติงซ่งกล่าวออกไปเช่นกัน ถึงอย่างไรเขาก็พาเฉียนปิงกลับไปทันที
แม้ว่าตระกูลเฉียนจะมีชื่อเสียงไม่น้อยภายในเขตเมืองทางตอนใต้ แต่พวกเขายังต้องพึ่งพากลุ่มสุริยันจันทราเพื่อให้อยู่รอดต่อไป ดังนั้นมีหรือจะกล้ายั่วยุล้ะเสียติงซ่ง?
ติงซ่งเองก็ยังมิได้จากไปไหน เขาและเฉินเปายังคงยืนเฝ้าใบหน้าขมขื่นอยู่เบื้องหลัง
พวกเขาไม่เชื่อว่าเย่หยวนจะสามารถรักษาอาหารเหล่านั้นได้จริงๆ
และพวกเขายังทราบดีว่า ในบรรดากลุ่มคนที่มาก่อเรื่อง คนที่รักษายากที่สุดก็คือหวางเชียน!
ประเด็นนี้สามารถคาดเดาได้จากการตีราคาของเย่หยวน
หวางห่าวหลานรายงานเรื่องนี้ไปให้กับอู๋เฟินแล้วเช่นกัน เพียงแต่ไม่รู้ว่าอู๋เฟินจะยอมมอบเงินจำนวนนี้แก่เขาหรือไม่
ราคาสูงเสียดฟ้าห้าสิบล้านหาใช่ใครก็ได้ที่สามารถนำออกมา
อย่างไรก็ตาม เงินจำนวนนี้กลับไม่เป็นปัญหาเลยสำหรับอู๋เฟิน มันขึ้นอยู่กับว่าเขาจะเต็มใจให้หรือไม่
ในเวลาเดียวกัน ผลึกปราณเทวะของอีกสองตระกูลก็ถูกนำมาที่นี่แล้วเช่นกัน และเหมือนกันกับเฉียนปิง คนไข้เหล่านั้นถูกนำตัวเข้าไปในโถงเพื่อรักษาตามลำดับ
กล่าวได้ว่าวันนี้เจ้าของร้านขายโอสถสารพัดรับจ้างเก็บเงินจนเป็นตะคริว
ชั่วชีวิตที่ผ่านมาจวบจนวันนี้ เขาไม่เคยเห็นเงินจำนวนมากขนาดนี้มาก่อนสักครั้ง
ภายในเวลาไม่ถึงวัน พวกเขาได้กำไรไปกว่าห้าสิบล้านผลึกปราณเทวะไปแล้ว!
นี่ยังไม่รวมค่ารักษาอีกห้าสิบล้านที่เหลือ
สิริรวมแล้ว วันนี้พวกเขาฟาดรายได้ไปกว่าร้อยล้าน!
เจ้าของร้านทำงานเฝ้าดูแลและบริหารร้านค้ามามากมาย แต่นี่กลับเป็นวันแรกที่เขารู้สึกว่าเงินทองไฉนหาง่ายปานนี้
ในขณะเดียวกันหวางห่าวหลานก็รีบเร่งกลับมาเช่นกัน
สีหน้าความประหลาดใจพลันเผยปรากฏบนใบหน้าของติงซ่งและคนอื่นๆ ดูเหมือนว่าปรมาจารย์อู๋เฟินจะใจใหญ่ไม่น้อย และยอมมอบเงินก้อนนี้ให้จริงๆ!
จุจุ ตั้งห้าสิบล้าน!
นี่มิใช่เรื่องเล็กๆแล้ว!
ดูเหมือนว่าปรมาจารย์อู๋เฟินจะมั่นใจในปัญหาที่เขานำพามาให้อย่างยิ่ง!
เห็นแบบนี้พวกติงซ่งและเฉินเปาพลันใจชื้นขึ้นทันที
ตั้งแต่เริ่มจวบจนตอนนี้ เย่หยวนที่กวาดดล้างความมั่นใจของพวกเขาจนหมดหน้าตัก จนแทบไม่เหลือหน้ายืนอยู่ตรงนี้แล้ว
ไม่มีใครคิดว่าปรมาจารย์เย่คนนี้จะมีฝีมือน่าเหลือเชื่อปานนี้จริงๆ สามารถรักษาได้ทุกโรคอาการ แม้แต่ความปัญญาอ่อนของลูกชายประมุขเฉียนเองก็ไม่เว้น
คล้อยหลังหนึ่งชั่วยามผ่านไป เย่หยวนก็พาอีกคนหนึ่งออกมา
หายขาด!
“ท่านปรมาจารย์เย่ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก! ไม่ว่าจะเป็นอาการเจ็บป่วยอะไรหรือยากแค่ไหนก็สามารถรักษาให้หายขาดได้! ป้ายสารพัดรับจ้างนับว่ามีทุนรอนจะกล่าวอ้างแล้ว!”
“ไม่ว่าผลลัพธ์สุดท้ายจะเป็นอย่างไร แต่ทักษาะฝีมือของท่านปรมาจารย์เย่กลับหาผู้ใดโต้แย้งได้! บางทีแม้แต่ท่านปรมาจารย์อู๋เฟินยังไม่หาใช่คู่มือของเขาเช่นกัน!”
“แต่ข้ารู้สึกได้ว่าหวางเชียนคนนี้กลับยากที่จะรักษาเกินไป สามารถทำให้ท่านปรมาจารย์อู๋เฟินกล้าเดิมพันหนักขนาดนี้ แสดงว่าต้องมีบางอย่างที่เราไม่รู้เป็นแน่! ฟังว่าแม้แต่จอมเทพโอสถสี่ดาวยังไม่สามารถรักษาได้!”
“รักษาไม่ได้แน่นอน! ขนาดปรมาจารย์อู๋เฟินก็มาจากหอโอสถยังไม่สามารถ!”
…
ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ชื่อเสียงของร้านขายโอสถสารพัดรับจ้างก็เป็นที่โจษจันกันอย่างทั่วถึงแล้ว
แม้ว่าป้าย‘สารพัดรับจ้าง’นี้จะค่อนข้างค้านสายตา แต่ทุกคนต่างทราบดีว่าปรมาจารย์เย่มีทุนรอนมากพอที่จะหยิ่งผยอง
ทุกคนล้วนตระหนักดีว่า ตำแหน่งนักหลอมโอสถอับดับหนึ่งแห่งเขตเมืองทางตอนใต้ของปรมาจารย์อู๋เฟิน มีแนวโน้มเปลี่ยนเจ้าของแน่นอน
กลุ่มอิทธิพลใหญ่ทั้งห้าร่วมมือกันมาหาเรื่องที่นี่ในวันนี้ แต่พวกเขากลับไม่คิดเลยว่า กลับเป็นพวกตนที่ดันไปสร้างชื่อให้เย่หยวนแทน!
หวางห่าวหลานยามนี้รู้สึกขัดแย้งยิ่งภายในใจ เขาตระหนักถึงเป้าหมายของอู๋เฟินดี ในขณะที่หวางเชียนเองก็เป็นหลายชายที่ตนรักที่สุดเช่นกัน
เมื่อเขาเห็นว่าเย่หยวนสามารถรักษาเฉียนปิงให้หายได้ นี่พลันทำให้เขาเกิดคาวมหวังลึกๆขึ้นในใจ
เย่หยวนกวาดสายตามองหวางห่าวหลานอย่างไม่ไยดี กล่าวว่า
“นำผลึกปราณเทวะมาด้วยกระมัง?”
หวางห่าวหลานกล่าวตอบว่า
“นำมา ตราบเท่าที่เจ้าสามารถรักษาหวางเชียน ห้าสิบล้านผลึกปราณเทวะย่อมเป็นของเจ้า!”
เย่หยวนพยักหน้าและกล่าวว่า
“เช่นนั้นพาเขาเข้ามา”
หวางห่าวหลานนำหวางเชียนที่สภาพยามนี้เหมือนผีดิบตรงเข้าไปต่อหน้าเย่หยวน
เย่หยวนเริ่มวินิจฉัยอาการพร้อมจับชีพจรของอีกฝ้ายทันที รวมไปถึงร่องรอยพลังปราณภายในร่างกายของหวางเชียน
ทันทีทันใดคู่คิ้วของเย่หยวนพลันขมวดเข้าหากันทันที
เมื่อตงซ่ง เฉินเปาและคนอื่นๆเห็นภาพฉากดังนี้ พวกเขาพลันอดฉงนใจมิได้
ในที่สุดดไอ้เด็กเหลือขอนี่ก็ติดปัญหาจนได้
เย่หวนนั่งหลับตาลงอย่างช้าๆ เข้าฌานไป ราวกับกำลังพบเจอปัญหาใหญ่
เวลาผ่านไปอีกสองชั่วยาม เย่หยวนยังคงนั่งนิ่งไม่ตา
ติงซ่งและคนอื่นๆเองก็ไม่สามารถอดทนอดกลั้นได้อีกต่อไปแล้วเช่นกัน
“นี่เจ้า เมื่อไหร่จะเลิกเสแสร้ง วินิจฉัยบ้าอะไรตั้งสองชั่วยามแถมไม่ขยับสักนิด!”
เฉินเปาโพล่งกล่าวขึ้นทันที
“หยุดสร้างภาพได้แล้วเด็กเหลือขอ คิดจะขับไล่พวกเราโดยวิธีการเช่นนี้กระมัง? เหอะ เหอะ ไร้สาระสิ้นดี! ข้าจะออกไปทุบป้ายเดี๋ยวนี้!”
“พวกเราพี่น้อง ออกไปทำลายป้ายกันเถอะ!”
คนกลุ่มนั้นที่จงใจมาหาเรื่องเริ่มเดือดดาลจัด ดังนั้นติงซ่งจึงอาสาเป็นผู้นำตรงออกไปเตรียมทำลายป้ายทันที
ห้ากลุ่มอิทธิพลใหญ่ยามนี้มีไม่ต่ำกว่าสามสิบคน พวกเขาเตรียมลงไม้ลงมือแล้วเช่นกัน
หากพวกเขาเคลื่อนไหวพร้อมกันในคราเดียว หัวหน้าห้าแค่คนเดียวไม่สามารถหยุดดไว้ได้เป็นแน่
“หยุดอย่าขยับ!”
ในขณะเดียวกัน หนิงซื่ออวี๋พลันชักดาบยาวออกมาพร้อมจ่อไปที่ติงซ่งและคนอื่นๆ
เมื่อเห็นเย่หยวนเงียบนิ่งไปเช่นนั้น นางเองก็รู้สึกกังวลใจเช่นกัน
แต่นางเชื่อว่าเย่หยวนมิได้ต้องการซื้อเวลา แต่เขากำลังวินิจฉัยอาการของอีกฝ่ายอยู่จริงๆ
ใครๆต่างก็บอกได้ว่า อาการของอีกฝ่ายมันซับซ้อนยุ่งยากเพียงใด
ในฐานะที่ปรมาจารย์เย่ยังอยู่ในระหว่างการรักษา นางไม่ยอมปล่อยให้คนอื่นๆทำลายป้ายร้านลงเด็ดขาด
เหล่าฝูงชนต่างจับจ้องหนิงซื่ออวี๋ด้วยความประหลาดใจ
แท้ที่จริงแล้ว หนิงซื่ออวี๋ไม่ต้องฟังคำสั่งของเย่หยวนเลยด้วยซ้ำ
โดยปกติแล้ว ขณะที่นางเรียนรู้ศึกษาเรื่องโอสถจากท่านจารย์ ยังมีบางครั้งที่นางคัดออกมาด้วยความแคลงใจ
แต่ตอนนี้นางถึงกับเคลื่อนไหวเพื่อรักษาหน้าของเย่หยวนไว้จริงๆ
“โอ้ ช่างเป็นสาวงามปะไรปานนี้? เจ้าจะไม่มีทางพบพานจุดจบที่ดีเลย หากยังมัวแต่อยู่กับเด็กขี้โกหกคนนี้ ไฉนถึง…ไม่ติดตามท่านปู่เปา ปรนนิบัติข้าให้ดีเสียล่ะ? ขอบอกเลย ตัวเจ้าจะมีความสุขไม่รู้จบ! ฮ่าๆๆ…”
เฉินเปาระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่น ฃ
กับแค่สาวน้อยอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าชั้นกลางคนหนึ่ง เขามิได้ใส่ใจนางเลยด้วยซ้ำ
ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถซัดอีกฝ่ายให้หงายได้ภายในกำปั้นเดียวแบบเย่หยวน
บูมมม!
ไม่ทราบเลยว่าฝ่ามือนี้ปราดพุ่งออกมาจากไหน แต่เสี้ยวพริบตาต่อมา ร่างของเฉินเปาลอยลิ่วกระเด็นออกไปไกลก่อนร่วงหล่นกลางสายยถนน
“หัวหน้าหก…เขาตายแล้ว!”
ผู้คนด้านนอกที่เดินผ่านไปมาร้องอุทานขึ้นด้วยความตกใจ
ทุกคนต่างแห่รีบตรงไปยังถนนทันที ก่อนจะพบว่าเฉินเปายามนี้เหลือแต่ร่างไร้วิญญาณ
ทุกคนต่างสบตากันไปมาและไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น
เฉินเปาเป็นถึงเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าชั้นปลาย แต่ไฉนถึงถูกตบตายภายในฝ่ามือเดียว?
ยังมีใครบ้างที่ทำได้ขนาดนี้?
แต่ในขณะนั้นเอง ท้ายที่สุดเย่หยวนก็ค่อยๆลืมตาตื่นขึ้น
ทันทีทันใดหนิงซื่ออวี๋ตรวจพบถึงความผิดแปลกออกไป นางเร่งเหลียวหลังกล่าวถามขึ้นว่า
“ท่านปรมาจารย์เย่ มีโอกาสรักษาเขาได้บ้างหรือไม่?”
ตอนที่ 1547 สรุป
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ทุกคนรออยู่ที่นี่ ข้าจะเข้าไปหลอมกลั่นโอสถ!”
เย่หยวนยกมือไขว้หลังและเอ่ยกล่าวออกมาอย่างใจเย็น
สีหน้าการแสดงออกของทุกคนเปลี่ยนไปทันที และอดเหลียวมองเย่หยวนด้วยความประหลาดใจมิได้
หรือเป็นไปได้ไหมว่าเขามีวิธีรักษาหวางเชียนจริงๆ?
เป็นไปไม่ได้ เจ้าเด็กนี่กำลังสร้างภาพเป็นแน่!
แต่ถึงอย่างไร เมื่อครู่เห็นเฉินเปาถูกตบฝ่ามือเดียวตายคาที่ ยามนี้กลับไม่มีใครกล้าขยับเขยื้อนใดๆอีกต่อไป
เย่หยวนเหลือบมองหนิงฟางหรงคล้ายมีนัยยะแฝง ก่อนจะหันกลับไปและตรงเข้าโถงภายในทันที
หนิงฟางหรงคล้อยตื่นตระหนกเล็กน้อยอยู่ภายในใจ หรือเป็นไปได้ไหมว่า เด็กกคนนี้จะมองออกว่าเขาเป็นคนลงมือเมื่อครู่?
เขาไม่น่าจะรู้จริงหรือไม่?
ปัจจุบันยังไม่มีใครทราบว่าเขาคือคนลงมือซัดฝ่ามือใส่เฉินเปา รวมไปถึงเด็กคนนี้ด้วยกระมัง?
อย่างไรก็ตามแต่ เด็กคนนี้กลับลึกลับน่าประทับใจมากจริงๆ กำปั้นก่อนหน้าที่สำแดงใช้คงเป็นแนวคิดแห่งห้วงมิติกระมัง?
ไม่เพียงศาสตร์แห่งโอสถเท่านั้นที่ท้าทายสวรรค์ แม้แต่ศาสตร์แห่งดารต่อสู้ของเขาเองก็น่ากลัวอย่างยิ่งเช่นกัน
นับเป็นคนประหลาดโดยแท้!
หนิงซื่ออวี๋ยังต้องการติดตามเย่หยวนเข้าไป แต่สุดท้ายกลับถูกอีกฝ่ายกล่าวปัดปฏิเสธออกมา
การหลอมกลั่นครั้งนี้เย่หยวนจำต้องใช้หม้อหลอมมณีเหลืองพิสุทธิ์ ดังนั้นจึงไม่สามารถปล่อยให้หนิงซื่ออวี๋เข้ามาดูอยู่ข้างกายได้
“เหอะ! เป็นเช่นนี้อยู่เรื่อย!”
หนิงซื่ออวี๋กระทืบเท้าเล็กน้อยด้วยความหงุดหงิด
…
รังใหญ่ของกลุ่มสุริยันจันทรา ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งก้าวแช่มออกมาจากห้องลับ
เมื่อเห็นชายวัยกลางคนผู้นี้ สีหน้าเห่อเซียวพลันเผยถึงความอิ่มเอมใจออกมาทันที
“ขอแสดงความยินดีด้วยพี่ใหญ่ ในที่สุดก็ทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าได้!”
เห่อเซียวกล่าวขึ้นพร้อมความสุขทั่วทั้งใบหน้า
ชายวัยกลางคนผู้นี้คือเสี่ยวยื่อเยว่ ประมุขกลุ่มสุริยันจันทรา
เขาปลีกวิเวกเข้าเก็บตัวมาเป็นเวลานับสิบปี และในที่สุดก็พ้นจากพันธนาการนี้ได้ และทะลวงขึ้นกลายมาเป็นยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าที่ผู้คนช่างแห่สรรเสริญชื่นชมได้ในที่สุด
นี่นับเป็นพัฒนาการก้าวกระโดดครั้งใหญ่ อาจกล่าวได้ว่า เขากำลังทะยานขั้นสู่สวรรค์ได้ในชั่วอึดใจ
ต่อหน้ายอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้า เซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าทั้งหมดกลับไม่ต่างจากมดปลวก
ทั้งจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และรัศมีความแกร่งกล้าของเสี่ยวยื่อเยว่ยามนี้ เหนือชั้นกว่าเมื่อก่อนลิบลับ
“หุหุ น้องสอง หลายปีที่ผ่านมาเจ้าคงเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย”
เสี่ยวยื่อเยว่กล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มจางๆ
เมื่อยืนอยู่ต่อหน้าเสี่ยวยื่อเยว่ เห่อเซียวพลันรู้สึกกดดันอย่างยิ่งยวด
เขาตระหนักดีว่า พี่ใหญ่ยามนี้หาใช่พี่ใหญ่คนเดิมที่เคยรู้จักอีกต่อไป!
“พี่ใหญ่กล่าวอันใดเช่นนั้น? นี่คือสิ่งที่ข้าสมควรทำแล้วมิใช่รึ?”
เห่อเซียวรีบเอ่ยตอบ
เซียวยื่อเยว่เค้นเสียงหัวเราะเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวขึ้นพร้อมความรู้สึกแสนตื่นเต้นขึ้นว่า
“น้องสอง ข้ารู้ดีว่าในช่วงหลายปีมานี้หาใช่เรื่องง่ายที่จะจัดการโดยลำพังเลย อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เขตเมืองทางตอนใต้จะถูกพวกเรากลุ่มสุริยันจันทราเป็นคนผูกขาดทั้งหมด! อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็สามารถยืนทัดเทียมได้กับสามตระกูลใหญ่แล้ว! ในอนาคตต่อไป ข้าต้องฝากกลุ่มสุริยันจันทราไว้กับเจ้า!”
เห่อเซียวที่ได้ยินเช่นนั้นยิ่งรู้สึกอิ่มเอมใจยิ่งกว่าสิ่งใด แต่เขามิกล้าแสดงความตื่นเต้นอันใดผ่านสีหน้า ขณะกล่าวขึ้นอย่างสุภาพว่า
“พี่ใหญ่กล่าวเกินไปแล้ว สำหรับข้า ท่านคือประมุขกลุ่มสุริยันจันทราตลอดไป ข้าเพียงช่วยเหลือพี่ใหญ่จัดการควบคุมเล็กน้อยเท่านั้น”
เสี่ยวยื่อเยว่หันมองเห่อเซียวด้วยสีหน้าพึงพอใจยิ่งต่อทัศนคติของอีกฝ่าย เขาเอ่ยปากกล่าวพลางหัวเราะลั่นว่า
“ฮ่าๆ พวกเราเป็นพี่น้องร่วมสาบานกันมากี่ปี? ยังมีความสุภาพอันใดระหว่างเรา?”
ในขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนากันอยู่ หลัวอวี้ก็เข้ามาเยี่ยมเยียนเช่นกัน
เสี่ยวยื่อเยว่ยิ้มกล่าวว่า
“จัดการฮุบกลุ่มขนนกสีเงินก่อนเลยอันดับแรก”
เห่อเซียวคลี่ยิ้มเล็กน้อยและเดินตามหลังไป
เมื่อหลัวอวี้เห็นเสี่ยวยื่อเยว่ต่อหน้าต่อตา ความตื่นตกใจที่ก่อเกิดเกินพรรณนาความคิด ปรากฏว่าเสี่ยวยื่อเยว่สามารถทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าได้จริงๆ!
พวกเขาซึ่งเป็นเพียงยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าครึ่งขั้น แม้จะพยายามเก็บตัวบ่มเพาะพลังนานเพียง แต่ความรู้สึกที่ใกล้จะเลื่อนระดับกลับไม่มาปรากฏให้เห็นแม้แต่ร่องรอยด้วยซ้ำ
การจะทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าเต็มขั้นกลับยากเกินแสนเข็ญเกินไป!
หลัวอวี้ไม่คิดไม่ฝันสักนิด เสี่ยวยื่อเยว่จะสามารถทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าได้จริงๆในชั่วอึดใจเดียว!
ต่อแต่นี้เป็นต้นไป ขั้วอำนาจภายในเขตเมืองทางตอนใต้จะเปลี่ยนไปตลอดกาล!
“ประมุขหลัวดูท่าจะประหลาดใจนัก?”
เสี่ยวยื่อเยว่เหลือบมองหลัวอวี้พลางเอ่ยกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มที่มิใช่รอยยิ้ม
สีหน้าการแสดงออกของหลัวอวี้บิดเบี้ยวน่าเกลียดยิ่ง เขาเอ่ยตอบอย่างแช่มช้าว่า
“แน่นอน ข้าประหลาดใจมากจริงๆ! ไม่คิดไม่ฝันมาก่อน พวกเราต่อสู้กันมาแสนนาน ทว่าปัจจุบันกลับปรากฏผลลัพธ์เช่นนี้จริงๆ”
หลัววอวี้กัดกลืมความขื่นขมลงไปในคอทั้งแบบนั้น ช่างเป็นผลลัพธ์ที่…แสนขมขื่นใจโดดยแท้
เสี่ยวยื่อเยว่ยิ้มกล่าวว่า
“ต่อสู้กันมาแสนนาน ยามนี้คงสรุปผลได้แล้วกระมัง! ประมุขหลัว ข้าสงสัยเสียจริงว่า ตอนนี้ท่านจะตัดสินใจอย่างไรต่อ?”
หลัวอวี้คลี่ยิ้มแสนขมขื่นใจนัก
“ข้าหรือยังมีทางเลือกให้ตัดสินใจอื่นใด? หากวันนี้ข้ายังไม่เห็นด้วย อย่าว่าแต่กลุ่มขนนกเงิน ข้าจะก้าวออกจากประตูบานนี้ได้หรือไม่?”
เสี่ยวยื่อเยว่ระเบิดหลัวหัวเราะลั่นกล่าวว่า
“คนเข้าใจสถานการณ์ทันด่วนล้วนเป็นคนฉลาดหัวไว! ประมุขหลัวท่านเป็นคนที่มีไหวพริบดีที่สุดแล้วในบรรดาเราทั้งสาม เรื่องโง่เขลาหาใช่สิ่งสมควรไม่”
แต่ระหว่างนั้นเองจู่ๆเห่อเซียวก็กล่าวขึ้นว่า
“พี่หลัว เดินทางมาที่กลุ่มสุริยันจันทราเช่นนี้ หรือเรื่องราวในร้านขายโอสถรับจ้างสารพัดได้มีข้อยุติลงแล้ว?”
ที่ผ่านมาเห่อเซียวรอให้เสียวยื่อเยว่ออกจากการเก็บตัวก่อนมาโดยตลอด เพราะสถานการณ์ของร้านชายโอสถสารพัดรับจ้าง ตัวเขากลับไม่ค่อนข้างเจนนัก
หลัวอวี้มาที่นี่ในเวลานี้น่าจะต้องมีเรื่องเกี่ยวกับร้านขายโอสถสารพัดมาบอกกล่าวแน่นอน
“ร้านขายโอสถสารพัดรับจ้าง? คือที่ใดกัน? ร้านของกลุ่มล่ามังกรงั้นรึ?”
เสียวยื่อเยว่ขมวดคิ้วแน่นพลางเอ่ยถามด้วยความสงสัย
เห่อเซียวพยักหน้าตอบและกล่าวว่า
“พี่ใหญ่คงมิทราบถึงสถานการณ์ที่เปลี่ยนผันไปในช่วงนี้ กล่าวได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในเขตเมืองทางตอนใต้ของเรา และทั้งหมดเกิดขึ้นจากร้านขายโอสถสารพัดรับจ้างเล็กๆแห่งนี้!”
จากนั้นเห่อเซียวก็เริ่มเล่ากล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นช่วงระยะเวลานี้ ทั้งเรื่องกลุ่มล่ามังกรที่เปลี่ยนชื่อและนักหลอมกลั่นโอสถตัวน้อยแห่งปาฏิหาริย์ที่เพิ่งก่อร่างสร้างชื่อเสียงในเวลานี้
เสี่ยวยื่อเยว่เดาะลิ้นกระดกดังจนเกิดเสียงเมื่อทุกอย่างประจักษ์ชัดแจ้งขึ้น เขารวนหัวเราะพลางกล่าวว่า
“เด็กน้อยอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าชั้นต้น สามารถสั่นคลอนเขตเมืองทางตอนใต้ได้มากขนาดนี้เชียว ไม่เลว! พวกเราสามกลุ่มอิทธิพลกำลังขาดแคลนนักหลอมโอสถมากฝีมืออยู่ด้วย!”
สีหน้าการแสดงออกของหลัวอวี้แปรเปลี่ยนไป เขาโพล่งแทรกขึ้นทันทีว่า
“แต่พี่เสี่ยว! ไอ้เด็กนั้นเพิ่งสังหารน้องหกของข้าไป!”
เสี่ยวยื่อเยว่เอ่ยกล่าวอย่างไม่แยแสว่า
“เจ้ามาหาเห่อเซียว คงมิใช่เพราะต้องการร่วมมือกับเขาเพื่อกำจัดกลุ่มล่ามังกร?”
สีหน้าการแสดงออกของหลัวอวี้รวนเรดูซับซ้อนขึ้นทันตา ในท้ายที่สุดนี้เขาพยักหน้ากล่าวตอบไปตามตรงว่า
“นิสัยอย่างซิงกวน ท่านพี่เสี่ยวเองก็คงทราบดีเช่นกัน มันไม่มีทางรวมกลุ่มกับพวกเราแน่นอน ดังนั้นแล้ว…ไฉนถึงไม่จัดการให้สิ้นซากไป?”
“หึ!”
เสี่ยวยื่อเยว่กรนเสียงเย็นสะท้าน พลังปฐพีสุดแกร่งกร้าวพลันปะทุขึ้นซัดร่างของหลัวอวี้บินกระเด็นออกไปโดยตรง
“พร๊วดดด!”
หลัวอวี้กระอักพ่นเลือดสดเสมือนหมอกสีแดงฉานออกมาทันที ยามนี้ได้รับบาดเจ็บสาหัส
ขุมพลังระดับชั้นราชันพระเจ้าช่างน่าเกริ่นเกรงเกินไปจริงๆ!
“ไม่ว่าข้าจักต้องการทำอะไร กลับไม่ต้องให้คนอย่างเจ้าชี้แนะสั่งสอน! แถมข้าเองก็สนใจเด็กคนนั้นอย่างยิ่ง หากไม่ยังกล้าปฏิเสธขนมปังเพียงริมจิบ ยามนั้นค่อยกำจัดยังไม่สาย!”
เสี่ยวยื่อเยว่กล่าวน้ำเสียงเย็นสะท้าน
หลัวอวี้ตื่นตะลึงยิ่งภายในใจ นี่น่ะหรือขุมพลังแห่งอาณาจักรราชันพระเจ้าขนานแท้!
นี่แหละคือความแข็งแกร่งที่เขาต้องการ!
เขาหรือจะยอม!
แจ่เพียงเพราะสถานการณ์ตอนนี้ที่อีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่าลิบลับ ต่อหน้าขุมพลังระดับชั้นนี้ หลัวอวี้มีแต่จำต้องก้มหัวยอมรับเท่านั้น
“มัน…มันเป็นเพราะหลัวคนนี้ใจร้อนเอง! ทุกอย่างโปรดให้พี่เสี่ยวจัดการตามใจอิสระ!”
หลัวอวี้กัดฟันกรอดโค้งคำนับอีกฝ่ายด้วยความอัปยศยิ่ง
…
ทุกคนในยามนี้ต่างจับจ้องไปที่เม็ดโอสถในมือเย่หยวนยิ่งกว่าประหลาดใจยิ่ง
กลิ่นสุคนธรสหอมฟุ้งกระจายออกไปทำให้พวกเขาหลงใหลเกินห้ามปรามใจ
โอสถเม็ดนี้คือชนิดพันธุ์ใดกลับรู้จักไม่ แต่นี่ต้องเป็นโอสถขั้นเทวะอย่างไม่ต้องสงสัย
หนิงซื่ออวี๋เองก็ไม่รู้จักโอสถชนิดนี้เช่นกัน แต่รัศมีลี้ลับที่แผ่ออกมาจากโอสถเม็ดนี้ นางมั่นใจยิ่งว่าต้องเป็นโอสถที่หลอมกลั่นยากซับซ้อนมากแน่นอน
โอสถชนิดนี้ต้องหลอมกลั่นยากเสียยิ่งกว่าโอสถประตูศิลาวายุหลายทวีเท่านัก!
ไม่ เดี๋ยวก่อน! โอสถประตูศิลาวายุกลับไม่มีคุณสมบัติเทียบเคียงได้เลย!
เมื่อเย่ฟหยวนหลอมกลั่นโอสถประตูศิลาวายุ จังหวะหายใจของเย่หยวนยังปกติสุขและสม่ำเสมอดี แต่ตอนนี้คล้อยหลังหลอมกลั่นโอสถชนิดนี้เสร็จ กลับดูดเหน็ดเหนื่อยอย่างน่าประหลาด
นี่แสดงให้เห็นแล้วว่า โอสถเม็ดนี้ไม่ง่ายดั่งผิวเผินแน่นอน!
“หนิงซื่ออวี๋ ป้อนโอสถเม็ดนี้ให้เขาและช่วยดูดซับฤทธิ์โอสถให้อีกฝ่ายที”
เย่หยวนกล่าว
“โอ้! เข้าใจแล้ว!”
หนิงซื่ออวี๋รับโอสดเม็ดนั้นไว้ในมือและกรอกลงเข้าปากของหวางเชียนโดยตรง ก่อนเร่งโคจรพลังปราณเทวะของตนกรอกเทแก่อีกฝ่ายทันที
ในไม่ช้าภาพฉากแสนน่าอัศจรรย์พลันเผยปรากฏขึ้นทันใด!
ตอนที่ 1548 โอสถชำระไขกระดูกสวรรค์
โดย
Ink Stone_Fantasy
ร่างของหวางเชียนเริ่มสั่นสะท้านรุนแรง เลือดสีทองเริ่มไหลซึมออกมาตั้งแต่หัวจรดเท้า
ทั่วทั้งร่างราวกับเพิ่งนำไปอาบเลือดมา ช่างดูน่าสยดสยองสะเทือนขวัญยิ่งยวด
ลักษณะของอีกฝ่ายดูสังเวชอย่างบอกไม่ถูก
อย่างไรก็ตามแต่ ในขณะเดียวกันก็มีรัศมีแสงสีทองอร่ามเปล่งจรัสออกมาจากกายาของหวางเชียน ยามนี้เขาดูศักดิ์สิทธิ์น่าเลื่อมใสมิใช่น้อย
ภาพฉากที่เกิดขึ้นนี้ทำให้เหล่าผู้คนตื่นตะลึงอย่างมาก มิอาจแน่ใจได้ว่ามันคืออะไรกันแน่
พวกเขาทุกคนต่างสงสัย เป็นโอสถชนิดใดกันที่เย่หยวนให้หวางเชียนกินลงไป
“หนิงซื่ออวี๋ เจ้ารีบถอยห่างไปก่อนตอนนี้ อีกสักพักเขาก็จะคลั่ง หวางห่าวหลาน คุ้มกันรอบนอกไว้อย่าให้เขาเข้าทำร้ายผู้คน”
เย่หยวนเองหันไปกล่าวกับหวางห่าวหลาน
ในขณะเดียวกัน ใบหน้าของหวางเชียนเริ่มบิดเบี้ยวผิดประหลาด ราวกับคนที่ใกล้จะอาละวาดเต็มทน
หวางเชียนเป็นถึงเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าผู้แกร่งกล้าคนหนึ่ง ความแข็งแกร่งของเขามิได้อ่อนแอเลย
ยามใดที่เขาเกิดอาละวาด อาจก่อให้เห็นคลื่นทำลายล้างที่เกินจินตนาการออกมาได้
หวางห่าวหลานที่ได้ยินเช่นนั้นพลันถอดสีหน้าทันที เขาจับจ้องหลานชายตนเองดด้วยความวิตกกังวล
“ท-ท่านปรมาจารย์เย่ เขาจะเป็นอะไรหรือไม่?”
หวางห่าวหลานเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
ในขณะนี้เขาโยนภารกิจหลักของอู๋เฟินทิ้งทวนไว้เบื้องหลังไปเรียบร้อย และหาได้สนใจอันใดอีก
เย่หยวนเอ่ยกล่าวอย่างใจเย็นขึ้นว่า
“เขาได้รับพิษประหลาดโบราณนามว่า พิษกร่อนไขกระดูกม่วง ส่งผลให้ไขกระดูกทั่วร่างของเขาถูกกัดกินจนกลายมาเป็นเนื้อเน่าแทบพิการทั้งเป็น หากปล่อยทิ้งไว้สามถึงห้าเดือนมันจะลามไปยังจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ โอสถชำระไขกระดูกสวรรค์นี้จะช่วยฟื้นฟูไขกระดูกและร่างกายของเขาให้กลับมาดีขึ้น รวมไปถึงฟอกเลือดเทวะภายในกายใหม่ทั้งหมด”
ทันทีที่หนิงซื่ออวี๋ได้ยินเช่นนั้น นางก็นึกได้ถึงบางสิ่งอย่างพลางอ้าปากกว้างค้างเติ่ง ก่อนอุทานลั่นตื่นตกใจว่า
“พิษกร่อนไขกระดูกม่วง! เพราะพิษชนิดนี้จึงทำให้ร่างกายของเขาเสียหายปานนี้! ปรากฏว่าเป็นพิษกร่อนไขกระดูกม่วงจริงๆ! ข้าคิดมาตลอดเลยว่า พิษชนิดนี้จะเป็นแค่เพียงตำนาน ไม่คิดไม่ฝันว่ามันมีอยู่จริง!”
เย่หยวนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินขณะเอ่ยถามว่า
“เจ้าเองก็รู้สึกพิษกร่อนไขกระดูกม่วงด้วย?”
คู่ดวงตาของหนิงซื่ออวี๋เบิกกว้าง นางกล่าวขึ้นว่า
“ข้าเคยเห็นในบันทึกโบราณ กล่าวกันว่าพิษชนิดนี้แตกต่างไปจากพิษธรรมดาทั่วไป มันสามารถแทรกซึมเข้าสู่ไขกระดูกศักดิ์สิทธิ์และเลือดเทวะในร่างกาย พร้อมกัดกร่อนจนเน่าเสีย! นี่นับเป็นปรสิตที่ไม่มีทางกำจัดทิ้งได้เลย! ในยุคบรรพกาลก่อน มีเหล่าจอมเทพโอสถสี่ถึงห้าดาวจำนวนมากมายพยายามคิดค้นวิธีเอาชนะพิษชนิดนี้ แต่สุดท้ายกลับไม่มีใครทำอะไรได้เลย! แต่ท่าน…ท่านสามารถช่วยเหลือเขาได้จริงๆ?”
หนิงซื่ออวี๋นางนี้ประหลาดคนโดยแท้ รู้จักแม้กระทั่งพิษโบราณชนิดนี้
แต่ความกล่าวของหนิงซื่ออวี๋กลับยิ่งทวีมอบความตื่นตะลึงให้ฝูงชนโดยรอบ
แม้ว่าพิษโบราณชนิดนี้จะมิได้ร้ายแรงถึงขั้นคร่าชีวิตในทันที แต่นี่ก็ทำให้เหล่านักสู้กลายมาเป็นศพเดินได้ไร้ความรู้สึก ทั้งยังไม่มีวิธีรักษา
แม้ว่าเหล่านักสู้จะขึ้นกลายมาเป็นเซียนอาณาจักรพระเจ้าได้ แต่ในทางระบบร่างกายรวมไปถึงสรีวิทยาต่างๆของพวกเขายังคงใกล้เคียงกับมนุษย์ทั่วไปเช่นกัน
ไขกระดูกศักดิ์สิทธิ์และเลือดเทวะก็ไม่ต่างอะไรจากโครงกระดูกและเลือดของมนุษย์
ความสามารถในการฟื้นฟูของเซียนอาณาจักรพระเจ้ามีสูงมาก แม้ร่างกายจะถูกทำลายไปกว่าครึ่ง แต่มันก็ยังสามารถฟื้นตัวกลับมาได้
เพียงว่าจำต้องใช้เลือดเทวะบริสุทธิ์เพื่อหล่อเลี้ยงฟื้นฟูขึ้นมาใหม่
อย่างไรก็ตามพิษโบราณชนิดนี้กลับเปลี่ยนให้เลือดเทวะในกายกลายมาเป็นเลือดเน่า ดังนั้นร่างกายของเหล่าเซียนที่ติดพิษนี้ไปจึงไม่สามารถรักษาตัวเองได้เลย
เพราะหากว่าเลือดเทวะกลายมาเป็นเลือดเน่า การจะรักษาอวัยวะร่างกายรวมไปถึงไขกระดูกกลับไม่ทางเป็นไปได้เลย
พิษชนิดนี้หาติดได้ยากมาก แต่ยามพลาดท่าโดนไปแล้วกลับยากที่จะขับล้างออกยิ่งกว่า
หรือกล่าวได้ว่าไม่มีทางรักษาได้เลย!
เย่หยวนเพียงรับฟังคำอธิบายของพิษชนิดนี้จากหวู่เฉิน แต่กระทั่งหวูเฉินที่เห็นพิษชนิดนี้กับตายังทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะหนึ่ง
เมื่อได้ยินคำอธิบายของหนิงซื่ออวี๋ ทุกคนต่างสูดไอเย็นแช่มลึกด้วยความหวาดหวั่นใจยิ่ง ยามนี้พวกเขาตระหนักได้แล้วว่าอาการเจ็บป่วยของหวางเชียนมันเลวร้ายเพียงใด
พิษที่สามารถทำให้ไขกระดูกและเลือดเทวะเน่าได้ กล่าวได้ว่าน่ากลัวอย่างหาที่เปรียบไม่
เย่หยวนพยักหน้าและกล่าวว่า
“หากการสันนิษฐานของข้าถูกต้อง หวางเชียนคงถูกพิษนี้เข้าระหว่างเดินทางสำรวจดินแดนโบราณสักแห่งหนหนึ่ง ตอนนั้นเขายังไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำว่าโดนพิษ จนกระทั่งกลับมาอาการจึงค่อยปะทุขึ้น”
เนื้อตัวของหวางห่าวหลานสั่นสะท้านหนัก เขาพยักหน้าพร้อมกล่าวว่า
“ท่านปรมาจารย์เย่ราวกับเห็นอดีตที่ผ่านมาทั้งหมดกับตาตนเอง หวานเชียนกลายมาเป๋นเช่นนี้ คล้อยหลังจากการเข้าสำรวจสุสานเซียนโบราณ แต่…กลับไม่มีใครสามารถตรวจหาสาเหตุของอาการได้เลย ข้าไม่คิดไม่ฝันเลยว่า เขาจะโดนพิษร้ายแรงปานนี้ เช่นนั้นแล้ว…โอสถชำระไขกระดูกสวรรค์เม็ดนี้จะช่วยเหลือเขาได้จริงๆ?”
เย่หยวนกล่าวตอบเสียงเย็นว่า
“ผ่อนคลายเถิด หากมันเปล่าประโยชน์จริง เช่นนั้นเก็บเงินห้าสิบล้านกลับบ้านช่องได้เลย ที่จริงแล้วมูลค่าของโอสถชนิดนี้ไม่ต่ำกว่ายี่สิบล้านผลึกปราณเทวะ ดังนั้นแล้วข้าเรียกเก็บค่ารักษาแค่ห้าสิบล้านนับว่าไม่แพง”
“ฟู่ว…”
ทุกคนต่างสูดหายใจแช่มลึกแสนหวาดหวั่นเมื่อได้ฟัง ราคาโอสถกว่ายี่สิบล้าน มูลค่าสูงลิบลิ่วเช่นนี้เห็นได้ชัดเจนว่าโอสถเม็ดนี้มันวิเศษเพียงใด
“โอสถชำระไขกระดูกสวรรค์เม็ดนี้ เหมือนว่าจะมาทดแทนไขกระดูกและเลือดเทวะในส่วนที่เน่าเสียไปกระมัง? เรื่องเหลือเชื่อเช่นนี้…สามารถทำได้จริงๆรึ?”
“นี่ไม่ต่างอะไรจากเปลี่ยนอวัยวะใหม่ให้หวางเชียนเลยงั้นรึ? ช่างเป็นวิธีที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก!”
“ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่า บนผืนพิภพจะมีโอสถประหลาดขนาดนี้! แต่พินิจจากอาการทรมานเจียนตายของหวางเชียนในขณะนี้ ก่อนจะรักษาหายเกรงว่าเขาอาจขาดใจล่วงลับไปเสียก่อน?”
…
การเปลี่ยนถ่ายไขกระดูกศักดิ์สิทธิ์และเลือดเทวะกลับไม่เคยมีใครได้ยินมาก่อน
แน่นอนว่าสำหรับเหล่านักสู้ทั่วไป
“อ๊ากกก!!”
ทันทีทันใดหวานเชียนคำรามลั่นส่งเสียงกรีดร้องไม่หยุดหย่อน ทั่วกายารีดเร้นพลังปราณระเบิดแรงกดดันออกมาอย่างบ้าคลั่ง ก่อนจะจะวิ่งเข้าใส่เย่หยวนโดยตรง
เย่หยวนราวกับคาดการณ์ทุกอย่างไร้ล่วงหน้าแล้ว เขาร่ายตราผนึกบนฝ่ามือและชี้ใส่หวางเชียน
“สะกดเขาเอาไว้อย่าให้ไปแตะต้องกองเลือดเน่าเด็ดขาด! ภายในนั้นมันมีพิษ!”
เย่หยวนกล่าวสั่งการน้ำเสียงขรึม
สีหน้าการแสดงออกของหวางห่าวหลานผันเปลี่ยนในทันใด ก่อนจะระเบิดแรงกดดันเข้าห่อหุ้มสะกดร่างของหวางเชียนที่กำลังบ้าคลั่งอีกแรง
เย่หยวนพลิกฝ่ามือขึ้นทันทีเผยให้เห็นเปลวเพลิงสีขาวซีด ทันทีทันใดทะเลเพลิงพลันพวยพุ่งออกไปโดยตรง
บูมมม!
ทั่วทั้งร่างของหวางเชียนติดไฟทันที!
หวางห่าวหลานที่เห็นดังนั้นอุทานลั่นตกใจยิ่ง
“ท่านปรมาจารย์เย่ ท่านคิดจะทำอะไร?!”
นัยน์ตาไสวของหนิงซื่ออวี๋สั่นกะพริบเห็นแจ้งในทันใด นางคำรามสวนตอบเสียงดังว่า
“หุบปาก! เพื่อผลาญชำระเลือดเน่าที่ยังเจือปนอยู่ในร่างกายของเขา จำต้องใช้วิธีนี้เท่านั้น! และหากไม่รีบจำกัดให้สิ้นซาก ทุกคนในที่แห่งนี้ไม่มีใครรอดจากพิษบัดซบนี้ได้แน่!”
สีหน้าของทุกคนแปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว พร้อมตระหนักได้ว่าพิษชนิดนี้น่ากลัวเพียงใด
อาจกล่าวได้ว่า แค่สัมผัสอาจถึงตาย!
เย่หยวนมิได้เอ่ยปากกล่าวตอบอันใด เขายังคงบังคับเพลิงบัวฟ้าขจัดจันทร์ให้ผลาญล้างพิษทั้งหมดออกไป
ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ยามนี้เย่หยวนค่อยชักฝ่ามือกลับดึงเพลิงบัวฟ้าขจัดจันทร์ขาวออกจากร่างของหวางเชียนและพื้นดิน ดั่งกระแสน้ำลง
สายตาที่จับจ้องของหวางห่าวหลานดูจริงจังขึ้นหลายส่วน เหลือบมองเย่หยวนเจือความไม่อยากเชื่อ
ถูกเผาผลาญนานขนาดนั้น แต่บนร่างของหวางเชียนกลับไม่มีรอยไหม้แม้แต่น้อย!
“นี่…ทักษะควบคุมไฟศักดิ์สิทธิ์น่ากลัวอะไรปานนี้!”
“แม้จะเป็นแค่ไฟศักดิ์สิทธิ์ระดับสอง แต่อุณหภูมิของมันกลับจัดให้อยู่ในระดับสามได้เลย ทว่าร่างของอีดฝ่ายถูกเผาทั้งเป็นนานขนาดนั้น กลับไม่ปรากฏรอยไหม้เลยสักนิด!”
“วันนี้นับเป็นการเปิดโลกทัศน์ขอบเขตความรู้ของข้าอย่างแท้จริง! วิธีต่างๆนาๆของท่านปรมาจารย์เย่ที่สำแดงใช้ออกมาช่างมหัศจรรย์เหลือเชื่อ!”
“ไม่น่าแปลกใจว่าไฉนเขาถึงกล้าแขวนป้ายรับจ้างสารพัด ตอนนี้ข้ารู้สึกว่าป้ายที่ว่ากลับมิได้คุยโวเกินจริงเลย!”
“แต่…เขายังมีชีวิตรอดหรือไม่? ไฉนข้ารู้สึกว่าหวงเชียนหยุดหายใจไปแล้ว?”
…
หวางเชียนยามนี้ราวกับหยุดหายใจไปแล้วจริงๆ เขานอนนิ่งอยู่กับพื้นไม่ขยับเขยื้อนใดๆ
แต่เขาถูกเพลิงบัวฟ้าขจัดจันทร์ขาวแผดเผาไปร่วมครึ่งชั่วยามเต็มและไม่มีทิ้งทวนรอยไหม้ใดๆ สิ่งนี้ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ทำให้ผู้คนประหลาดใจเสมอ
แต่อย่างไรก็ตาม ร่างกายของหวางเชียนตอนนี้อ่อนแอถึงขีดสุด กระทั่งหวางห่าวหลานเองยังใจไม่ดี อีกฝ่ายจะรอดหรือไม่?
แต่ทันใดนั้นเอง พลังวิยญาณอันหนาแน่นทั่วทั้งบริเวณพลันควบแน่นพร้อมถูกร่างกายของหวางเชียนดูดซับอย่างหิวกระหาย
ทุกคนต่างเบิกตาโตจับจ้องภาพฉากนี้ด้วยความไม่อยากจะเชื่อ!
นี่…นี่เขากำลังจะเลื่อนระดับทั้งๆที่ยังไม่ได้สติ?
ตอนที่ 1549 แค่มดปลวกที่ตัวใหญ่กว่าเล็กน้อย!
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมื่อพลังวิญญาณสูญสลายหายไป ร่างกายของหวางเชียนก็แข็งแกร่งขึ้นอีกระดับแล้ว
แม้เขายังไม่ได้สติ แต่ทุกคนต่างทราบดีว่าอีกฝ่ายพ้นขีดอันตรายไปแล้ว
“นี่เขา…เขาเลื่อนระดับชั้นได้ทั้งๆที่หมดสติ? ไฉนเรื่องดีๆเช่นนี้ไม่เกิดขึ้นกับข้าบ้าง?”
“เจ้าทึ่ม! ทั้งหมดต้องขอบคุณโอสถวิเศษของท่านปรมาจารย์เย่! โอสถชำระไขกระดูกสวรรค์ทำให้เด็กนั้นละทิ้งตัวตนและร่างกายเก่า ยามนี้เสมือนเกิดใหม่ขึ้นอีกครั้ง!”
“ช่างเป็นโอสถที่ท้าทายสวรรค์โดยแท้! ไม่เพียงรักษาพิษน่ากลัวนั้นได้ แต่ยังช่วยให้เขาเลื่อนระดับชั้นได้โดยตรง! แค่ผลึกปราณเทวะห้าสิบล้านก้อนนับว่าคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม!”
…
ในเวลานั้นเองหวางเชียนก็ค่อยๆลืมตาขึ้น
“ลุงสอง? ข้า…ข้าเป็นอะไรไปรึ?”
หวางเชียนเอ่ยถามพร้อมท่าทางมึนงง
หวางห่าวหลานคลี่ยิ้มกว้างกล่าวตอบว่า
“เชียนเอ๋อ เจ้ารีบตรวจสอบร่างกายของเจ้าก่อนเสียว่ายังมีอันใดผิดปกติหรือไม่?”
หวางเชียนไม่เข้าใจเหมือนกันว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร แต่ก็ยังปฏิบัติตามที่เอ่ยกล่าวไป ก่อนขมวดคิ้วแน่น
“นี่…นี่ไม่ถูกต้อง!”
สีหน้าการแสดงออกของหวางห่าวหลานเปลี่ยนไปทันที พร้อมเอ่ยขึ้นด้วยความกังวลว่า
“เกิดอะไรขึ้น?”
เมื่อได้ฟังหวางเชียนกล่าวเช่นนั้น คนที่เหลือโดยรอบต่างเริ่มครุ่นกังวลเช่นกัน
“ข้า…ข้ารู้สึกราวกับเกิดใหม่อีกครั้ง! ทั้งความเร็วในการดูดซับพลังวิญญาณยังเร็วกว่าแต่ก่อนโดยสิ้นเชิง! ไม่สิ…ราวกับข้าได้รับพรสวรรค์ในการบ่มเพาะพลังที่สูงขึ้น! นี่เกิดอะไรขึ้นกับข้ากันแน่ท่านลุงสอง?”
จู่หวางเชียนพลันเอ่ยกล่าวขึ้นด้วยความตื่นเต้น
“…”
ทุกคนต่างพูดไม่ออก อย่างนี้หรือเรียกว่าไม่ถูกต้อง?
ผัวะ!
หวางห่าวหลานเขกกระบาลหวางเชียนไปทีหนึ่ง ก่อนจะคำรามดุขึ้นว่า
“เจ้าบ้านี่! ทำให้ข้าตกใจแทบหน้าเสีย! ข้าขอให้เจ้าตรวจสอบร่างกายว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่ พรสวรรค์การบ่มเพาะพลังเพิ่มขึ้น บ้านเจ้าหรือเรียกว่าผิดปกติ?!”
แม้ว่าความแข็งแกร่งในปัจจุบันของหวางเชียนจะไล่ตามหวางห่าวหลานเกือบทันแล้ว แต่ต่อหน้าหวางห่าวหลาน อีกฝ่ายยังคงเป็นหลานที่เขายังต้องดูแลอยู่เสมอ
หวางเชียนยิ้มแห้งกล่าวว่า
“ก็มันผิดปกติจริงๆ! ไฉนพรสวรรค์ของข้าถึงทะยานขึ้นกลายเป็นแพรพรรณลายคราม(แพรพรรณลายครามนับเป็นของมีค่าอย่างหาประเมินไม่)เช่นนี้?”
หวางห่าวหลานรู้สึกมึนงงอยู่พักใหญ่ สิ่งที่หวางเชียนกล่าวไปก็มีเหตุผลเช่นกัน
ทั้งๆที่เพิ่งฟื้นตัวขึ้นจากอาการป่วย ไฉนพรสวรรค์การบ่มเพาะพลังของหลานชายถึงเพิ่มทวีขึ้นอย่างไร้สาเหตุ?
หวางห่าวหลานเหลือเชื่อจนแทบไม่อยากเชื่อสายตา เขาไม่คิดไม่ฝันเลยว่า โอสถชำระไขกระดูกสวรรค์เพียงเม็ดเดียวจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้มากมายปานนี้!
นี่ราวกับว่าหลานชายของเขาเกิดใหม่ชัดๆ!
โอสถเม็ดนี้ไม่เพียงสามารถล้างพิษออกไปได้ แต่ยังช่วยปรับปรุงพรสวรรค์ให้สูงขึ้นอีกด้วย
ราคาแค่ห้าสิบล้านผลึกปราณเทวะนับว่าคุ้มค่าอย่างยิ่ง!
เว้นเสียแต่…ผลลัพธ์เช่นนี้ ทางด้านปรมาจารย์อู๋เฟินคงไม่ปลื้มแน่นอน
หวางห่าวหลานเองก็รู้สึกขมขื่นใจมิใช่น้อยพลางคิดถึงเรื่องนี้ แต่สุดท้ายไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไรเขาก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้อยู่ดี
เหล่าฝูงชนที่เฝ้ามองอยู่โดยรอบต่างจับจ้องภาพฉากนี้ด้วยความอิจฉายิ่ง ชายหนุ่มคนนี้จะต้องโชคดีปานใดถึงได้พบกับปรมาจารย์เย่ นี่คือโชคลาภที่เหล่าบรรพชนเก็บสั่งสมไว้หลายชั่วอายุคนอย่างแท้จริง
สำหรับติงซ่งและคนอื่นๆที่มาหาเรื่อง ยามนี้ใบหน้าของพวกเขาบิดเบี้ยวน่าเกลียดถึงขีดสุด
เย่หยวนปฏิบัติต่อหวางเชียนเช่นนี้ เท่ากับประกาศกับสาธารณชนว่า ปัญหาที่ทุกฝักฝ่ายนำพาในวันนี้ประสบความล้มเหลว!
ในที่สุด พวกเขาก็ประจักษ์ชัดถึงความแข็งแกร่งของเย่หยวน ชายหนุ่มผู้นี้คือสัตว์ประหลาดผู้กวาดล้างเขตเมืองทางตอนใต้ทั้งหมด ด้วยฝ่ามือของเขาเพียงลำพัง
พวกเขามาที่นี่เพื่อหาเรื่องสร้างปัญหาให้มิใช่รึ? แล้วไฉนเป็นเช่นนี้ไปได้?
กลับกลายเป็นว่าพวกเขาสร้างชื่อเสียงให้แก่ร้านขายโอสถสารพัดรับจ้างเสียแทน!
ทุกคนล้วนคาดเดาได้ทันทีว่า ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป ช่าวของเย่หยวนที่เข้าปราบปรามกลุ่มอิทธิพลทั้งห้าอย่างอยู่หมัดจะแพร่กระจายออกไปทั่วทั้งเขตเมืองทางตอนใต้ หรือแม้แต่เขตเมืองชั้นนอกทั้งหมด!
ร้านขายโอสถสารพัดรับจ้างจะกลายมาเป็นร้านค้าโอสถที่ร้อนแรงที่สุดแห่งเมืองทางตอนใต้!
“เจ้าเด็กคนนี้ ไฉนเจ้ายังไม่รีบขอบคุณท่านปรมาจารย์เย่อีก! หากมิใช่เพราะเขาอย่าว่าแต่พรสวรรค์ของเจ้าเลย แม้แต่ชีวีติยังเอาไม่รอด! เจ้าถูกพิษโบราณกัดกร่อนร่างกายจนเน่า ต่อให้เป็นจอมเทพโอสถสี่ดาวยังไม่มีปัญญารักษาเจ้าได้! แต่ท่านปรมาจารย์เย่กลับสามารถทำได้!”
แม้ว่าหวางห่าวหลานจะกล่าวดุหวางเชียน แต่ความสุขบนใบหน้าของเขากลับมิอาจปกปิดได้เลย
!!!
เมื่อคำกล่าวนี้ของหวางห่าวหลานออกจากปากดังออกมา ทุกคนต่างตกสู่ความโกลาหลในทันใด!
“แม้แต่ท่านปรมาจารย์อู๋เฟิงที่เชิญจอมเทพโดอสถสี่ดาวมารักษา ยังไม่สามารถทำอะไรได้!”
“ไม่คิดเลยว่า โรคภัยที่แม้แต่จอมเทพโอสถสี่ดาวรักษาไม่ได้ แต่ท่านปรมาจารย์เย่กลับสามารถรักษาได้จริงๆ!”
“ยิ่งไปกว่านั้นหวางเชียนที่ประสบเคราะห์ร้าย ไม่เพียงรักษาหายกลับมาเป็นปกติ แต่พรสวรรค์ในการบ่มเพาะพลังยังเพิ่มสูงขึ้นอีก! น่ามันอัศจรรย์เกินไปแล้ว!”
“ข้า…ข้ารู้สึกว่า…ราคาเพียงห้าสิบล้านก้อนกลับถูกเกินไป! ท่านปรมาจารย์เย่ที่คิดราคาแค่นี้นับว่าใจกว้างไพศาลยิ่งแล้ว!”
…
ก่อเกิดความวุ่นวายขึ้นกลางหน้าร้านขายโอสถรับจ้างสารพัดทันที เนื่องจากพวกเขาเพิ่งรู้ว่าหวางเชียนเคยได้รับการรักษาจากจอมเทพโอสถสี่ดาวมาก่อนแล้ว
นั้นเป็ถึงจอมเทพโอสถสี่ดาว!
เฉกเช่นเดียวกับอาณาจักรพลังของนักสู้ ความแตกต่างระหว่างจอมเทพโอสถสี่ดาวและจอมเทพโอสถสามดาวกลับยิ่งใหญ่เกินทดแทน เสมือนกับการเปรียบเทียบระหว่างเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้า และยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้า
อย่างไรก็ตาม เย่หยวนกลับสามารถทำภารกิจที่จอมเทพโอสถสี่ดาวทำล้มเหลวให้สำเร็จได้อย่างสวยงาม!
สิ่งนี้จะไม่ทำให้พวกเขาประหลาดใจได้อย่างไร?
สายตาที่จับจ้องของหนิงซื่ออวี๋ไม่เคยละออกจากเย่หยวนเลย ตั้งแต่ต้นจวบจนบัดนี้
คนอื่นย่อมไม่ทราบว่าแท้ที่จริงแล้ว พิษกร่อนไขกระดูกม่วงมันน่าสะพรึงกลัวแค่ไหน แต่นางกลับทราบดี!
พิษชนิดนี้ไม่มีใครสามารถรักษาได้ตั้งแต่โบราณกาลแล้ว!
แต่เย่หยวนกลับรักษาได้!
ชายคนนี้ประสบความสำเร็จในเส้นทางแห่งโอสถสูงส่งปานใดแล้วกันแน่?
“เอ๋? ท่านปรมาจารย์เย่?”
หวางเชียนหันมองเย่หยวนด้วยความประหลาดใจ ปรากฏว่าเป็นเด็กหนุ่มคนนี้ที่ช่วยรักษาเขา
โดยปกติทั่วไปแล้ว เขาไม่เคยกังขาสงสัยใดๆในคำกล่าวของลุงสอง ดังนั้นจึงเร่งก้มหัวลงทันทีพร้อมกล่าวว่า
“หวางเชียนขอบพระคุณท่านปรมาจารย์เย่ที่ช่วยชีวิต!”
แปะ!
แปะ!
แปะ!
ทันใดนั้นเอง เสียงปรบมือดังชัดกึกก้องพลันลั่นสนั่นออกมา ทันทีทันใดแรงกดดันอันทรงพลังขุมใหญ่เขาปกคลุมทั่วทั้งบริเวณร้านขายโอสถสารพัดรับจ้างทันที ราวกับต้องการบดขยี้ทุกคนจนแทบหายใจหายคอไม่ออก
“ขุมพลังอาณาจักรราชันพระเจ้า!”
ใครบางคนร้องอุทานขึ้น
รัศมีแรงกดดันที่แกร่งกร้าวปานนี้มีเฉพาะยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าเท่านั้นที่ทำได้!
เสี่ยวยื่อเยว่เดินแหวกกลางฝูงชนตรงเข้ามาอย่างแช่มช้า
รัศมีแรงกดดันนี้ราวกับสามารถสยบทุกสรรพสิ่งใต้สวรรค์ได้ในอึดใจ!
“ส-เสี่ยวยื่อเยว่! เจ้า…เจ้าทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าแล้วงั้นรึ?!”
เมื่อหัวหน้าห้าเห็นร่างอันแสนคุ้นเคยนั้น ใบหน้าของเขาพลันซีดขาวลงทันทีราวกับแผ่นกระดาษ จับจ้องอีกฝ่ายค้างแข็งด้วยความไม่เชื่อ
ก่อนหน้านี้เล่ากล่าวกันตลอดมาว่า เสี่ยวยื่อเยว่ปลีกวิเวกเก็บตัวอย่างสงบเพื่อทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรราชันพระเจ้า แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เชื่อว่า เขาจะสามารถเลื่อนระดับชั้นขึ้นกลายเป็นยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าได้จริงๆ
ซึ่งตอนนี้เขาก็ทำได้แล้วอย่างไม่น่าเชื่อ!
นี่นับเป็นข่าวร้ายยิ่งสำหรับกลุ่มอัสนีคำรน!
“หึ!”
เสี่ยวยื่อเยว่ก่นเสียงเย็นเค้นดังออกมาเล็กน้อย ก่อนส่งร่างของหัวหน้าห้าซัดกระเด็นออกไปโดยตรง
“กล่าวเรียกข้าผู้นี้ด้วยชื่อห้วนๆงั้นรึ?”
เสี่ยวยื่อเยว่กล่าวน้ำเสียงชืดชาพร้อมท่าทีสุดดหยิ่งผยองยิ่ง
การโจมตีครั้งนี้ของเสี่ยวยื่อเยว่รุนแรงกว่าตอนหลัวอวี้มาก เพียงหนึ่งกระบวนทำเอาหัวหน้าห้าบาดเจ็บสาหัสได้ในทันที
เขาหันไปมองเย่หยวนพร้อมยิ้มกล่าวว่า
“ท่านปรมาจารย์เย่ช่างน่าประทับใจจริงๆ พิษที่แม้แต่จอมเทพโอสถสี่ดาวก็ยังรักษาไม่ได้ แต่ท่านกลับสามารถทำได้จริงๆ!”
เย่หยวนขมวดคิ้วและกล่าวว่า
“เจ้าทำคนของข้าได้รับบาดเจ็บทั้งยังต่อหน้าข้า ไม่หน้าด้านเกินไปหน่อยรึ?”
เสี่ยวยื่ออเยว่พลันสะดุ้งตกใจเช่นกัน ก่อนจะหัวเราะพลางกล่าวขึ้นว่า
“ฮ่าๆ แค่มดปลวกคตัวเดียวกลับเป็นเรื่องใหญ่อันใด?”
จากน้ำเสียงของเสี่ยวยื่อเยว่ ทำให้เย่ยวนสรุปได้ทันทีว่าจุดประสงค์การมาครั้งนี้ของอีกฝ่ายคืออะไร?
ชายคนนี้มาเพื่ออาละวาดโดยแท้
หรือคิดว่าตนเองไร้เทียมทานเพียงเพราะทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าได้? แค่นั้น?
“เจ้าเพิ่งกลายร่างมาจากมดปลวกเช่นกัน แต่กลับกล้าอวดดีเพื่ออันใด? อาณาจักรราชันพระเจ้าแล้วอย่างไร? ก็แค่มดปลวกที่ตัวใหญ่กว่าปกติเล็กน้อย!”
เย่หยวนยกสองมือไขว้หลังยืนตระหง่านกล่าวโต้สวนออกไป
ตอนที่ 1550 ช่างกล้าจริงๆ
โดย
Ink Stone_Fantasy
สีหน้าการแสดงออกของเสี่ยวยื่อเยว่มืดทมิฬลงทันที เหล่าฝูงชนที่เฝ้ามองอยู่โดยรอบพลันสูดหายใจเย็นด้วยความหวาดผวา
ท่านปรมาจารย์เย่ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ ต่อหน้ายอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้ายังกล้าพูดแบบนี้!
“เจ้าหนู ดูท่าจะภาคภูมิใจในตัวเองนัก! เช่นนั้นช้าจะให้โอกาสเจ้าได้เข้าร่วมกับกลุ่มสุริยันจันทราของเรา ในอนาคตเขตแดนทางตอนใต้ทั้งหมดจักต้องตกอยู่ในมือของเรา ยามนั้นเจ้าสามารถเดินเตร่ได้ตามที่ต้องการ! วันนั้นข้าขอรับประกันได้ว่าจะไม่มีใครกล้าหาเรื่องเจ้าแน่นอน!”
เสี่ยวยื่อเยว่กล่าวขึ้นพลางระงับความโกรธเกรี้ยวภายในใจลง
เย่หยวนยิ้มกล่าวขึ้นว่า
“เจ้ากำลังชักชวนข้าจนต้องถ่อมาที่นี่เลยกระมัง?”
เสี่ยวยื่อเยว่กล่าวตอบเสียงเย็นว่า
“เราผู้นี้แข็งแกร่งขึ้นอีกขั้นหนึ่งแล้ว นี่เป็นสัญญาณการร่วมมือระหว่างสองกลุ่มอำนาจ ตั้งแต่นี้ต่อไปคนที่เจ้าควรติดตามคือข้าหาใช่ซิงกวนไม่!”
เย่หยวนหัวเราะคิกคักเล็กน้อย เอ่ยปากกล่าวตอบแสนเหยียดหยามขึ้นว่า
“ข้าว่าเจ้าเข้าใจอะไรผิดไปแล้ว ไม่ว่าเจ้าหรือเขาก็ไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะให้ข้าติดตามได้!”
เหล่าฝูงชนรอบข้างที่กำลังเฝ้าดูไม่กล้าแม้กระทั่งจะหายใจแรงด้วยซ้ำ แต่ทุกสายตาที่มองเย่หยวนกลับเปี่ยมล้นไปด้วย‘ความชื่นชม’
ฝีปากแสนคมคายเช่นนี้ช่างยอดเยี่ยมเกินไป!
สีหน้าของเสี่ยวยื่อเยว่มืดทมิฬลงถึงขีดสุด เขากล่าวว่า
“ปฏิเสธขนมปังเพียงริมจิบ!”
แต่ในเวลานั้นเองหนิงซื่ออวี๋พลันก้าวย่างออกมาพร้อมกล่าวขึ้นแทรกว่า
“มาตรฐานในศาสตร์แห่งโอสถของท่านปรมาจารย์เย่มากเกินพอที่จะเข้าร่วมกับหอโอสถเช่นเดียวกับจอมเทพโอสถสี่ดาว ดังนั้นแล้วเจ้าที่เพิ่งแจ้งเกิดได้ไม่นาน กลับมีคุณสมบัติใดให้เขาติดตามเจ้า?”
เสี่ยวญื่อเยว่าที่ได้ยินแบบนั้นก็โกรธอย่างมาก!
เขาผ่านความลำบากมามากมายเกินคณานับกว่าจะทะลวงขึ้นกลายเป็นยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าได้ เดิมทีย่อมคิดว่าใครๆต่างต้องก้มศีรษะให้แก่เขา
แต่ใครจะไปคิดฝัน กลับมีพวกฟ้าต่ำแผ่นดินสูงหารู้จักไม่ถึงสองตัวที่บังอาจไม่เคารพเขา
ยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าไร้ค่าปานนั้นเลยงั้นรึ?
“ฮ่าๆๆ…ข้าเป็นถึงยอดเซียนอาณจักรราชันพระเจ้าหนึ่งดาว สาวน้อย วาจาอึงโขใหญ่โตดีหนิ! เข้าร่วมหอโอสถ? เกรงว่าเขาต้องมีชีวิตอยู่รอดเพื่อเข้าไปด้วย! หากเราผู้นี้คิดทำลายร้านขายโอสถเล็กๆแห่งนี้ อยากจะรู้เสียจริงว่า พวกเจ้ามีปัญญาทำอะไรได้!”
เสี่ยวยื่อเยว่ระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่นด้วยความเดือดดาลจัด ทั้งสองคนนี้หาได้เคารพในตัวเขาเลยไม่
กระแสพลังปฐพีโหมกระเพื่อมเดือดดาลเสมือนน้ำเขื่องแตกออก ซัดส่งร่างของฝูงชนโดนรอบกระเด็นออกไป
“มดปลวกที่เพิ่งเห็นโลกเป็นครั้งแรกกลับกล้าหยิ่งผยองปานนี้เชียว? แม้แต่หางยังไม่สามารถย่างกรายเข้าเขตเมืองชั้นในได้ด้วยซ้ำ หาญกล้าแตะต้องหญิงสาวผู้นี้เชียว? เชื่อหรือไม่ว่า ทันทีที่เจ้าแตกต้องข้าแม้แต่ปลายเส้นผม จะมีคนออกมาฆ่าเจ้าทิ้งในทันที?”
เมื่อเผชิญหน้ากับแรงกดดันอันแกร่งกล้าของเสี่ยวยื่อเยว่ หนิงซื่ออวี๋กลับหาได้เกรงกลัวแม้สักนิด
เห็นได้ชัดว่าแค่ยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าทั่วไป กลับไม่สามารถทำให้นางหวาดกลัวได้จริงๆ
ในทางตรงข้าม เสี่ยวยื่อเยว่พลันใจสั่นระรัวเล็กน้อย เป็นไปได้ไหมว่าสถานะศักดิ์ของหญิงสาวนางนี้จะไม่ธรรมดา บางทีหรือนางจะมาจากเขตเมืองชั้นใน?
แต่ทันทีทันใดเขาปฏิเสธความคิดนี้ทิ้งไปทันทีอย่างรวดเร็ว
คุณหนูที่เป็นดั่งหัวแก้วหัวแหวนภายในตระกูลของเขตเมืองชั้นใน ล้วนมีนิสัยหยิ่งผยองอย่างหาที่เปรียบไม่ แล้วมีหรือจะลดตัวลงมาเป็นลูกมือของร้านโอสถเล็กๆแห่งนี้?
หญิงสาวนางนี้เพียงแค่ขู่ให้กลัวเท่านั้น!
“หึ! เขตเมืองชั้นใน? อย่างเจ้าหรือมีปัญญาเข้าไป? วันนี้เราจะกำจัดเจ้าทิ้งซะเดี๋ยวนี้ ขอดูหน่อยเสียว่าจะมีใครหน้าไหนโผล่มาทำอันตรายข้าได้จริงๆ?!”
เสี่ยวยื่อเยว่กรนเสียงเย็นดังสนั่น พร้อมซัดฝ่ามือเข้าให้หนิงซื่ออวี๋ด้วยอานุภาพทำลายล้างแสนท่วมท้น!
บูมมม!
ภายใต้การจับจ้องของทุกคน กลับเป็นร่างของเสี่ยวยื่อเยว่ที่กระเด็นออกไปแทนอย่างน่าแปลกประหลาด!
เขาพยุงตัวลุกขึ้นก่อนจับจ้องชายหนุ่มนิรนามตรงหน้าอย่างเหลือเชื่อ
จะไปมียอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าอีกหนึ่งคนปรากฏตัวขึ้นที่นี่ได้อย่างไร?
“ทีนี้บอกได้หรือยังว่า…ใครกันที่โผล่มาทำอันตรายเจ้าได้?”
ดวงตาคู่นั้นของฟางหรงเสมือนเปลวเพลิงเดือดที่จับจ้องเสี่ยวยื่อเยว่เขม็งเปี่ยมล้นจิตสังหาร
หนิงซื่ออวี๋ที่เห็นแบบนั้นพลันตื่นตะลึงยิ่งในทีแรก คล้อยหลังพลันเผยสีหน้าอิ่มเอิ่มใจออกมาแทน นางรีบตรงเข้าไปดึงแขนของหนิงฟางหรงและกล่าวว่า
“พี่ใหญ่ ท่านมาที่นี่ได้อย่างไร?”
หนิงฟางหรงเหลือบมองนางทันทีและกล่าวว่า
“มาอย่างไรไม่สำคัญ แต่หากไม่มาเจ้าคงกลายเป็นศพนานแล้ว!”
“ฮิฮิ ยังคงเป็นท่านพี่ใหญ่ของข้าที่เก่งที่สุด!”
หนิงซื่ออวี๋ฉีกยิ้มกว้างกล่าวออดอ้อนตามนิสัย
หนิงฟางหรงลูบศีรษะของหนิงซื่ออวี๋อย่างแผ่วเบา ก่อนจะหันมองเสี่ยวยื่อเยว่กล่าวน้ำเสียงเยียบเย็นว่า
“ว่าอย่างไร? ข้าพอมีคุณสมบัติทำอันตรายเจ้าได้หรือไม่?”
สีหน้าการแสดงออกของเสี่ยวยื่อเยว่ยามนี้บิดเบี้ยวน่าเกลียดอย่างหาที่เปรียบไม่ เขาไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะมียอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าปรากฏตัวขึ้นกลางฝูงชนเช่นนี้
ไม่ควรมองแค่ว่าอีกฝ่ายยังเป็นเด็ก เพราะพละกำลังของเขาเหนือชั้นกว่าเสี่ยวยื่อเยว่มาก บุคคลเช่นนี้หาใช่คู่ต่อสู้ที่ควรตอแยด้วยโดยเด็ดขาด
เขาเพิ่งคุยโม้วาจาใหญ่โตคลุมครอบสวรรค์ แต่ใครจะไปทราบว่า กลับมีคนกระโดดออกมาตบหน้าเขาในทันควัน
เช่นนี้ยังกล่าวได้ว่าไร้เทียมทานในเขตเมืองทางตอนใต้อีกได้อย่างไร?
คิดจะผนวกรวมสามกลุ่มอำนาจไว้ทั้งหมด?
ยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าในวัยเพียงเท่านั้น กล่าวได้ว่าสถานะศักดิ์ย่อมไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน เขาเดินทางออกมาจากเขตเมืองชั้นในไม่ผิดแน่ แถมยังเป็นกลุ่มอิทธิพลใหญ่ภายในนั้นอีกด้วย!
ดังนั้นแล้ว…สถานะของหญิงสาวนางนั้นเองก็ไม่ธรรมดาจริงๆ!
แล้วไฉนคุณหนูผู้สูงศักดิ์เช่นนี้ถึงมาเป็นลูกมือของร้านโอสถเล็กๆแบบนี้ได้?
นาง…ป่วยทางจิตกระมัง?!
สีหน้าการแสดงออกของเสี่ยวยื่อเยว่พยายามฝืนยิ้มแสนขมขื่นในยิ่ง เขากล่าวขึ้นว่า
“พี่ชายคนนี้มีตาหามีแววไม่จริงๆ เกรงว่าน้องชายคงมาจากเขตเมืองชั้นใน มิทราบว่าฝักฝ่ายใดกัน?”
หนิงฟางหรงกล่าวตอบน้ำเสียงเย็นว่า
“เจ้ายังไม่มีคุณสมบัติสนทนากับข้าในฐานะพี่ชายด้วยซ้ำ! เมืองจักรพรรดิมิกฎเหล็กว่า ห้ามให้เซียนอาณาจักรราชันพระเจ้ายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของเขตเมืองชั้นนอก แต่เจ้ากลับแหกกฎนั้น?”
เสี่ยวยื่อเยว่แทบจะร่ำไห้ภายในใจ!
เขาเพิ่งทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าได้หมาดๆ และยังมิได้ไปรายงานเขตเมืองชั้นใน
ในขั้นต้น เขาต้องการอาศัยจังหวะนี้รวบรวมสามกลุ่มอำนาจให้กลายเป็นหนึ่งเดียวเสียก่อน จึงจะเข้ารายงานตัวทีหลัง
เรื่องแบบนี้กล่าวได้ว่าเขตเมืองชั้นในย่อมยอมปิดตาข้างหนึ่งเพื่อปล่อยผ่านโดยธรรมดา
สำหรับเสี่ยวยื่อเยว่ เมื่อเข้าสู่เขตเมืองชั้นใน เขาย่อมต้องการทรัพยากรการบ่มเพาะพลังที่มากขึ้นเป็นธรรมดา
ดังนั้นหากเขารวบรวมสามกลุ่มอำนาจได้ เขาจะสามารถจัดหาทรัพยากรการบ่มเพาะพลังได้อย่างไม่หยุดหย่อน
เว้นเสียแต่ว่านี่จะเป็นแผนการวาดฝันในหัวเท่านั้น ขณะที่ในความเป็นจริงกลับเตะชนเข้ากับแผ่นเหล็กอย่างจัง
ใครจะไปคิดว่า ตนจะวิ่งมาเจอกับคนที่เพิ่งเดินทางออกมาจากเขตเมืองชั้นในโดยบังเอิญเช่นนี้?
“เอ่อ…ข้า…ข้า…”
เสี่ยวยื่อเยว่กล่าวตะกุกตะกักติดอ่างอยู่นาน
เมื่อเห่อเซียวและหลัวอวี้ที่อยู่ด้านหลังเห็นภาพฉากดังนั้น สีหน้าการแสดงออกของเขาพลันเศร้าหมองทันทีอย่างอดทนมิได้
เดิมพวกเขาคิดว่ากลุ่มของตนมีเสาหลักแห่งใหม่ปรากฏขึ้นเสียที แต่ในท้ายที่สุดเสาหลักที่ว่ากลับแทบถูกตบเจียนตาย
ร้านขายโอสถเล็กๆแห่งนี้กลับมีภูมิหลังเกินหยั่งถึงปานนี้เชียว!
หญิงสาวนางนั้นเรียกยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าที่เข้ามาช่วยว่าพี่ใหญ่ ดังนั้นแล้วสถานะของนางย่อมไม่ธรรมดาเช่นกัน
ที่น่ากลัวกว่านั้นคือ ภูมิหลังของท่านปรมาจารย์เย่…
หรือเป็นไปได้ไหมว่าท่านปรมาจารย์เย่คือยอดอัจฉริยะที่เพิ่งเจิดจรัสขึ้นของหอโอสถ? การที่มาเยือนเขตเมืองชั้นนอกพร้อมติดป้ายสารพัดรับจ้าง เพียงเพื่อฝึกปรือฝีมือ?
ยิ่งทุกคนคิดถึงความเป็นไปได้นี้มากเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกว่ามันสมเหตุสมผลมากขึ้น
ในสายตาของทุกคน สถานะศักดิ์ของเย่หยวนกลับสูงส่งอย่างหาที่เปรียบไม่
แม้ว่าหนิงฟางหรงจะมีระดับพลังทัดเทียมกับเสี่ยวยื่อเยว่ ทั้งคู่เป็นยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าหนึ่งดาวเหมือนกัน แต่รัศมีแรงกดดันที่เปล่งปลั่งออกมาจากร่างของหนิงฟางหรงกลับเหนือกว่าอย่างหาที่เปรียบไม่!
เขากล่าวตอบเพียงว่า
“เจ้าไปรอที่ทางเข้าเมืองชั้นใน ข้าจะพาเจ้าเข้าไปที่หอยุทธ์เพื่อรอรับการลงโทษ!”
สีหน้าการแสดงออกของเสี่ยวยื่อเยว่ซัดขาวหนัก เขากล่าวว่า
“เอ่อ…ท่าน…ข้า…”
หนิงฟางหรงคิ้วขมวดเล็กน้อยก่อนกล่าวว่า
“อะไร? หรือเจ้ากล้ามีปัญหากับข้า? ลงมือกับคนตระกูลหนิงนับว่าเจ้ากล้ามาก!”
เนื้อตัวของเสี่ยวยื่อเยว่สั่นสะท้านหนัก คู่ขาของเขาพลันอ่อนยวบลงดั่งเต้าหู่ทันที
“ท่าน…ท่านเป็นคนตระกูลหนิง?!”
ตอนที่ 1551 ไม่มีทางเข้าใจได้!
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตระกูลหนิงเป็นกลุ่มอิทธิพลใหญ่ในเขตเมืองชั้นใน
ไม่ควรมองว่าเขาในตอนนี้สามารถทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าได้อย่างไร แต่หากตระกูลหนิงคิดลงดาบ การจะฆ่าเขากลับง่ายดายราวกับบี้มด!
อาณาจักรราชันพระเจ้า?
ชนชั้นล่างที่สุดของตระกูลหนิงคืออาณาจักรราชันพระเจ้า!
สิ่งนี้สามารถเห็นได้จากชายหนุ่มคคนนี้ ทั้งๆที่ยังเยาว์วัยนักแต่กลับทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าได้แล้ว?
“ตระกูลหนิง! หรือจะเป็นหนึ่งในสองตระกูลใหญ่แห่งเขตเมืองชั้นใน ตระกูลหนิง?”
“ขึ้นชื่อว่าตระกูลหนิงยังเป็นใดอื่นได้? เสี่ยวยื่อเยว่นับว่าโชคร้ายโดยแท้ เพิ่งทะลวงขึ้นเป็นอาณาจักรราชันพระเจ้าได้หมาดๆ แต่กลับไปยั่วยุตระกูลหนิงเข้าเสียแล้ว!”
“จุจุ สถานการณ์ผลัดเปลี่ยนเร็วเกินไปจริงๆ เดิมทีคิดว่ากลุ่มสุริยันจันทราจักผงาดขึ้น…แต่ที่ไหนได้…”
…
เหล่าฝูงชนโดยส่วนใหญ่กำลังแห่แหนรับชมเสี่ยวยื่อเยว่ที่กำลังกดขี่ผู้คนยังไม่ทันไร ยามนี้กลับสถานการณ์แปรเปลี่ยนราวกับพลิกฝ่ามือ
ณ ปัจจุบันพวกเขาต่างสงสารยิ่งในความโชคร้ายของเสี่ยวยื่อเยว่ที่ต้องประสบพบเจอ
เห็นเสี่ยวยื่อเยว่หดแขนหดหางราวกับสุนัขใกล้ตายยิ่งดูน่าสังเวชสงสารเข้าไปใหญ่
หากเขาตระหนักทราบตั้งแต่ทีแรก เขาคงไม่เหยียบย่างเข้ามาที่นี่แน่นอน
อย่างไรก็ตาม ภายใต้สถาณการณ์เช่นนี้ เขามิอาจต่อต้านใดๆได้เลย
กล่าวว่าคนเช่นนี้ถูกลิขิตให้ไม่มีทางกระทำงานใหญ่ให้สำเร็จได้
เสี่ยวยื่อเยว่หาญกล้ามุ่งจิตสังหารใส่น้องสาวของเขา ถึงขั้นลงมือหวังฆ่า โทษทีเขาสมควรได้รับคือความโกรธเกรี้ยวของตระกูลหนิง
หากเป็นคนธรรมดาทั่วไปกลับลืมไปได้เลย แต่กระนั้นเสี่ยวยื่อเยว่ยังเป็นขุมพลังอาณาจักรราชันพระเจ้า!
“น-นายน้อย…ผู้ไม่รู้มิควรตำหนิ เนื่องจากข้ามิทราบถึงสถานศักดิ์ของพวกท่านแต่แรก! หากข้ารู้ก่อนหน้า ต่อให้นางใช้เท้าเหยียบหน้าข้า มีหรือจะกล้ามีโทสะ ข้า…ข้าผิดไปแล้ว โปรดอภัยด้วยนายน้อย คุณหนู!!”
เสี่ยวยื่อเยว่แทบพังทลายทั้งกายและจิตใจ ร่องรอยความหยิ่งผยองก่อนหน้ายามนี้อันตรธานหายสิ้น
กล่าวได้ว่าตอนนี้เขาเปรียบเสมือนกับ…สุนัขที่กำลังกระดิกหางขอความเมตตา
หนิงฟางหรงเอ่ยปากกล่าวเสียงเย็นขึ้นว่า
“เก็บคำพูดไว้อธิบายกับผู้อาวุโสของหอยุทธ์เสีย ข้าให้เวลาเจ้าสามอึดใจ หากยังไม่ไสหัวไปต่อหน้าข้า… หนึ่ง… สอง…”
แทบจะในทันทีที่หนิงฟางหรงเริ่มนับถอยหลัง เสี่ยวยื่อเยว่เร่งเตลิดหนีหายวับลับสายตาในทันที
เมื่อเสี่ยวยื่อเยว่ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ทุกคนต่างคิดว่าขั้วอำนาจภายในเขตเมืองทางใต้ได้เปลี่ยนไปแล้ว
แต่ใครจะไปทราบ ว่าในพริบตาทุกอย่างจะกลับกลายมาเป็นแบบนี้
ขณะที่เสี่ยวยื่อเยว่จากออกไป หนิงฟางหรงก็หันไปมองเย่หยวนพร้อมขมวดคิ้วกล่าวว่า
“เจ้านามว่าเย่หยวนกระมัง? กล้าสั่งน้องสาวของข้าราวกับสาวใช้เช่นนี้ เจ้ารู้จักภูมิหลังของนางหรือไม่?”
ทุกคนต่างตื่นตะลึงเข้าไปใหญ่เมื่อได้ฟัง นี่เรื่องราวเป็นอย่างไรกันแน่?
หรือเป็นไปได้ไหมว่า ท่านปรมาจารย์เย่มิได้มาจากหอโอสถ?
ดูเหมือนว่าการปรากฏตัวของหนิงฟางหรงยามนี้ ดูท่าจะเป็นปฏิปักษ์กับเย่หยวน!
เย่หยวนเอ่ยตอบเสียงเย็นว่า
“ไม่ว่านางจะเป็นใคร แต่นางต้องการศึกษาศาสตร์แห่งโอสถจากข้า ดังนั้นก็ต้องเริ่มจากการเป็นลูกมือ”
หนิงฟางหรงระเบิดหัวเราะพร้อมกล่าวว่า
“น้องสาวข้าหรือจำต้องเรียนรู้จากเจ้า? เจ้าเป็นจอมเทพโอสถสามดาว ในขณะที่น้องสาวข้าก็เป็นจอมเทพโอสถสามดาวเช่นกัน? นอกจากนี้ท่านอาจารย์ของนางก็ยังเป็นจอมเทพโอสถสี่ดาว หรือยังต้องการสั่งสอนนางอีกงั้นรึ?”
เย่หยวนขมวดคิ้วเล็กน้อยเหลือบมองหนิงฟางหรงแวบหนึ่ง ก่อนกล่าวว่า
“จอมเทพโอสถสี่ดาวน่าประทับใจขนาดนั้นเชียว?”
ดวงตาคู่นั้นของหนิงฟางหรงหรี่แคบลงทันที น้ำเสียงที่เอ่ยกล่าวเย็นลงอย่างเห็นได้ชัด
“พ่อหนุ่ม อย่าเพิกเฉยต่อความยิ่งใหญ่ของฟ้าดิน การที่เจ้าสามารถรักษาพิษโบราณได้ มันมิได้หมายความว่าเจ้าจะสามารถดูถูกผู้อื่นตามใจชอบได้!”
วิธีรักษาพิษของเย่หยวนทำให้หนิงฟางหรงประหลาดใจมากก็จริง แต่นี่เป็นเพียงแง่มุมเดียวที่ได้เห็นเท่านั้น
ขุมพลังของจอมเทพโอสถสี่ดาวค่อนข้างห่างไกลเกินกว่าที่จอมเทพโอสถสามดาวจะจินตนาการถึงได้
เมื่อหนิงซื่ออวี๋ได้กลิ่นไม่สู้ดีนัก นางจึงเข้าปิดกั้นด้านหน้าหนิงฟางหรงทันทีและกล่าวว่า
“พี่ใหญ่ ท่านอย่ามาสร้างปัญหาให้ท่านปรมาจารย์เย่! แค่ข้าคนเดียวก็สร้างปัญหาให้เขามากพอแล้ว และข้าเองก็เต็มใจเป็นลูกมือของเขา!”
หนิงฟางหรงจับจ้องไปที่น้องสาวของตนด้วยความประหลาดใจยิ่ง กล่าวได้ว่าตกใจยิ่งกว่าเหลือเชื่อ คนเอาแต่ใจและหยิ่งผยองอย่างน้องสาวคนนี้ ถึงขั้นออกโรงปกป้องผู้คน?
น้องสาวของเขาทั้งยิ่งผยองและไม่เคยเชื่อฟังใครทั้งสิ้น แม้แต่ท่านอาจารย์ของนางยังปวดเศียรเช่นกัน
แต่ตอนนี้นางกลับเชื่อฟังชายหนุ่มตรงหน้ายิ่งกว่าอะไร
หรือชายหนุ่มคนนี้มีพลังวิเศษอันใดกัน?
ในเมื่อยังมีน้องสาวอยู่แบบนี้ ดูเหมือนว่าวันนี้เขาเองก็ไม่สามารถทำอะไรอีกฝ่ายได้เช่นกัน
“เอาล่ะ เห็นแก่หน้าเจ้า ข้าเองก็ไม่อยากสร้างปัญหาให้เขาเช่นกัน กลับไปกับข้า”
หนิงฟางหรงกล่าว
หนิงซื่ออวี๋ส่ายหัวตะโกนเสียงดังฟังชัดประดุจลั่นกลองว่า
“ท่านนั่นแหละที่ควรกลับไป! ข้ายังต้องการเรียนรู้ทักษะหลอมกลั่นโอสถจากท่านปรมาจารย์เย่ที่นี่!”
หนิงฟางหรงขมวดคิ้วแน่นกล่าวเสียงขรึมว่า
“ไร้สาระ! ท่านอาจารย์ของเจ้าก็มี ไฉนต้องไปเรียนรู้ทักษะหลอมกลั่นจากชายหนุ่มไร้นาม หากคนอื่นรู้เข้า ตระกูลหนิงจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน!”
แต่หนิงซื่ออวี๋กล่าวว่า
“ข้าไม่สน! และไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะไม่กลับไป!”
“เจ้า!”
หนิงฟางหรงสำลักไปชั่วขณะ พร้อมโพล่งขึ้นด้วยความโกรธ
“จะกลับหรือไม่กลับ มิใช่เจ้าสามารถตัดสินใจ!”
แต่หนิงซื่ออวี๋สาดดสายตาจับจ้องอย่างเดือดดุกล่าวว่า
“ท่านกล้ารึ?! หากยังบังคัญข้าไปเช่นนี้ ข้าจะบอกเรื่องสกปรกที่เจ้าทำไว้ให้ท่านพ่อกับท่านแม่ทราบ!”
หนิงฟางหรงจับข้อมือบางของนางแน่นและพยายามลากตัวออกไป ความเอาแต่ใจของน้องสาวคนนี้ทำให้เขาปวดหัวจริงๆ
แต่ในขณะนั้นเองเย่หยวนก็เอ่ยปากกล่าวขึ้นว่า
“ไปเถอะ!”
วาจาคำกล่าวนี้ดังออกมา ทั้งหนิงซื่ออวี๋และหนิงฟางหรงต่างแข็งค้างตกตะลึงนิ่งไป
ขณะที่หนิงซื่ออวี๋กำลังจะเอ่ยปากกล่าวอะไรบางอย่างออกมา จู่ๆเย่หยวนก็กล่าวแทรกขึ้นต่อว่า
“ที่ข้าพาเจ้ามาเป็นลูกมือเพราะกลัวว่าเจ้าจะไม่มีที่ไป ในเมื่อคนในครอบครัวมารับเจ้ากลับไป เจ้าก็ควรกลับไปแต่โดยดี”
“แต่ข้าไม่อยากกลับไป!”
หนิงซื่ออวี๋ยังคงปฏิเสธเสียงแข็ง
“หื้ม?”
เย่หยวนขมวดคิ้วเล็กน้อยคล้ายว่าเริ่มหัวเสีย
หนิงซื่ออวี๋ที่เห็นแบบนั้นก็ตกใจอย่างมาก สีหน้ารวนเรอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยกล่าวขึ้นอย่างไม่มีความสุขว่า
“กลับก็กลับ! อย่ามาดุข้า! แต่ท่านต้องสัญญาก่อนว่า ในครั้งต่อไปที่ข้ากลับมาหา ท่านห้ามปฏิเสธข้าอีก!”
เย่หยวนพยักหน้าและกล่าวว่า
“เจ้ามาได้ แต่ต้องได้รับอนุญาตจากท่านอาจารย์และคนในครอบครัวของเจ้าด้วย และข้าก็มิใช่อาจารย์ของเจ้า ที่ต้องการสอนเจ้าเพียงเพราะเห็นเจ้าเป็นคนมีความสามารถ”
เมื่อได้ยินแบบนั้นจากที่หนิงซื่ออวี๋ไม่พอใจในตอนแรก ยามนี้กลับมายิ้มแย้มมีความสุขขึ้นทันตา
“ท่านกล่าวแล้วอย่าคืนคำ!”
เย่หยวนผงกศีรษะยิ้มบางตอบเล็กน้อย
หนิงฟางหรงจับจ้องภาพฉากนี้ลิ้มในปากแทบพัลวันพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ดวงตาคู่นั้นเบิกกว้างเท่าไข่ห่านด้วยตกตะลึงราวกับเห็นผี
เจ้าน้องสาวตัวแสบคนนี้…ยอมฟังเจ้าหนุ่มนี่จริงๆ!
เขาที่ต้องใช้แรงใช้คำขู่สารพัด แต่ก็ยังลากนางกลับไปไม่ได้ ทว่าเย่หยวนที่พูดขึ้นเพียงประโยคเดียว นางกลับไม่กล้าเถียงด้วยซ้ำ!
หรือเป็นไปได้ไหมว่า…อีกฝ่ายจะน่าเกรงขามปานนั้นจริงๆ?
ซึ่งเขาจะรู้ได้อย่างไรว่า หากหนิงซื่ออวี๋ทำให้เย่หยวนโกรธจริงๆแล้ว ผลที่ออกมาจะเป็นอย่างไร?
บางทีเขาอาจไม่สอนทักษะหลอมกลั่นโอสถแก่นางอีกตลอดไป
หนิงซื่ออวี๋คือบุตรแห่งสวรรค์อย่างแท้จริง นางมีพรสวรรค์ความสามารถแทบทุกด้าน แต่พบเจอเย่หยวนแค่ไม่กี่วันกลับเชื่องเสียแล้ว?
กล่าวได้ว่าความภาคภูมิใจทั้งหมดของนาง ยามนี้ถูกเย่หยวนบดละเอียดไม่เหลือแล้ว!
เย่หยวนใช้ความสามารถในศาสตร์แห่งโอสถของตนเพื่อทำให้นางอยู่ใต้อาณัติในกรอบได้
ในขณะเดียวกัน หนิงซื่ออวี๋เองก็ได้ค้นพบเสน่ห์อันน่าหลงใหลในศาสตร์แห่งโอสถของเย่หยวนเช่นกัน
ดังนั้นนางจึงกลัวมากกว่า วันหนึ่งเย่หยวนจะไม่ยอมสอนทักษะหลอมกลั่นโอสถให้แก่นางจริงๆ
“พี่ใหญ่ ฮ้วนน้อย กลับกันเถอะ ท่านปรมาจารย์เย่อย่าเพิ่งคิดหนีข้าไปก่อนล่ะ! อีกไม่กี่วันข้าจะรีบกลับมาหาท่าน!”
หนิงซื่ออวี๋ยิ้มกล่าว
หนิงหางหรงจับจ้องเย่หยวนด้วยสายตาแสนลึกซึ้งก่อนจะจากไป
เมื่อออกมาจากถนนสายนั้น จู่ๆ หนิงซื่อวี๋ก็เหลียวกลับมาจับจ้องไปที่หนิงฟางหรง และกล่าวเสียงดุว่า
“พี่ใหญ่ อย่าคิดว่าข้าไม่รู้! หากท่านกล้าทำอะไรท่านปรมาจารย์เย่ล่ะก็ ข้าจะตัดพี่ตัดดน้องกับท่านชั่วชีวิต!”
หนิงฟางหรงที่ได้ยินเช่นนั้oกับตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนจะหัวเราะกับตัวเองกล่าวว่า
“เจ้าหนุ่มนั้นกินยาวิเศษอะไรเข้าไป ถึงสามารถกล่อมเจ้าให้เชื่องขนาดนี้ได้!”
หนิงซื่ออวี๋ยิ้มและกล่าวว่า
“ท่านไม่เข้าใจ! ขอบเขตของท่านปรมาจารย์เย่เหนือชั้นกว่าที่ท่านคิดนัก! แม้แต่ท่านอาจารย์เองก็ยังเทียบท่านปรมาจารย์เย่ไม่ติด!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น