Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1532-1537
ตอนที่ 1532 เปลี่ยนชื่อกลุ่มใหม่ซะ
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ทะ ทะ ท่าน…นายท่าน! ช่วยข้าด้วย! คนพวกนี้สั่งให้ข้าพามาที่นี่ พวกมันจะฆ่าข้า!”
เมื่อเข้าใกล้รังใหญ่ของกลุ่มล่ามังกร แข้งขาของอาซื่อพลันอ่อนปวกเปียกแทบยืนไม่อยู่
จนหลงซานต้องเข้าไปอุ้มอีกฝ่าย ราวกับลูกเจี๊ยบตัวน้อย
เย่หยวนเหลือบมองแวบหนึ่ง ฉีกยิ้มกว้างกล่าวขึ้นว่า
“เจ้าไม่กลัวข้าจะฆ่าทิ้งรึไง?”
ดวงตากลมโตของอาซื่อเบิกกว้างดำสนิท ก่อนจะเป็นลมไปทั้งแบบนั้น
ภายในเมืองจักรพรรดิแห่งนี้ เซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าเฉกเช่นอาซื่อ นับเป็นตัวประกอบเล็กๆคนหนึ่ง โดยส่วนใหญ่ได้แต่หากินตามท้องถนน มีหรือจะกล้ารุกรานหนึ่งในหกกลุ่มอิทธิพลใหญ่?
ในฐานะที่เป็นหนึ่งในหกกลุ่มอิทธิพลใหญ่ กลุ่มล่ามังกรคือองค์กรหนึ่งที่ยิ่งใหญ่มาก
เหนือประตูสูงมีแผ่นป้ายติดไว้ว่า‘กลุ่มล่ามังกร’สามตัวอักษรยักษ์ช่างโดดเด่นสะดุดตายิ่ง
นอกจากนี้ด้านหน้าประตูทางเข้ายังมีเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าเฝ้าอยู่ห้าถึงหกคน กล่าวได้ว่าปราการเบื้องหน้าค่อนข้างเข้มงวดและหนาแน่นมาก
เมื่อเห็นเย่หยวนย่างกรายใกล้เข้ามา แม้พวกเขาจะสังเกตเห็นว่าเด็กหนุ่มคนนี้เป็นเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้า แต่ด้วยจำนวนที่มากกว่ากลับหาได้ใส่ใจไม่ พร้อมเอ่ยตำหนิขึ้นทันทีว่า
“เจ้าไม่เห็นหรืออย่างไรว่าที่นี่ที่ไหน? ไสหัวไปซะ!”
เย่หยวนฉีกยิ้มเล็กน้อย ก่อนสะบัดมือฟันออกไป
แกร๊ก!
ป้ายกลุ่มล่ามังกรอันสง่ายิ่งใหญ่กลายเป็นกองฝุ่นในพริบตา
เหล่าทหารยามพวกนั้นตื่นตะลึงอย่างยิ่ง คำรามลั่นโกรธเกรี้ยวจัด
“ไอ้เด็กเหลือขอ! เจ้ารนหาที่ตายแล้ว! รู้หรือไม่ว่าทำอะไรลงไป?!”
พวกเขาไม่กล้าลงมือกับเย่หยวน แต่ก็ยังพอมีความกล้าที่จะลั่นวาจาคุกคามได้
เย่หยวนกวาดสายตามองกลุ่มคนพวกนั้นปราดหนึ่ง เอ่ยเสียงกล่าวขึ้นแสนเยือกเย็นว่า
“ไปพาประมุขพวกเจ้าออกมา ข้าต้องการพูดคุยกับเขา”
ทั้งหกต่างแหงนมองสบตากันครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปมองเย่หยวนโดยพร้อมเพรียงประดุจมองคนโง่
เด็กหนุ่มคนนี้ทำลายป้ายกลุ่มล่ามังกร ทั้งยังไม่คิดหลบหนีแต่อย่างใด นอกจากนี้ยังต้องการเข้าพบประมุขของพวกตนอีก เด็กยุคนี้มันเหนื่อยกับชีวิตนักรึไง?
“หึ! ได้! ไอ้เด็กเหลือขอ รออยู่ตรงนี้แหละ! หากกล้าก็ลองหนีดู!”
ทหารยามคนหนึ่งกล่าว
เย่หยวนยิ้มตอบว่า
“สบายใจเถิด ข้าไม่หนีไปไหนแน่นอน”
ทหารยามคนนั้นหันเข้าสังหารคนอื่นว่า
“พวกเจ้าคอยจับตาดูมันไว้ อย่าปล่อยให้หนีไปได้ ข้าจะเร่งไปหาหัวหน้าห้า!”
ไม่นานนัก ยามคนนั้นก็นำชายร่างกำยำออกมา กล้ามเนื้อมัดหนารูปร่างสูงใหญ่ ปลดปล่อยรัศมีกลิ่นอายสุดน่าสะพรึงมิใช่น้อย สันนิษฐานได้ว่าเป็นหัวหน้าห้าอย่างที่ว่ากัน
บนกายาของหัวหน้าห้าเปร่งประกายแสงสีทองจางๆ เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นยอดฝีมือแขนงบ่มเพาะกายเนื้อโดยเฉพาะ
“ท่านหัวหน้าห้า เด็กคนนี้แหละ! มันบังอาจทุบป้ายกลุ่มของเราโดยไม่พูดสักคำ!”
ทหารยามคนนั้นชี้หน้าใส่เย่หยวนในทันที
เมื่อเห็นร่างเย่หยวน เขาพลันหงุดหงิดคำรามลั่นในทันใด
“เจ้า! เป็นไอ้เด็กเหลือขอจากที่ใดกัน? บังอาจทำลายป้ายกลุ่มล่ามังกรของข้า! เตรียมลงนรกไปซะ! เพลงหมัดอัสนีสะบั้นสวรรค์!”
เห็นได้ชัดแจ้งว่าหัวหน้าห้าผู้นี้เป็นพวกเลือดร้อนใช้แต่กำลัง ยังไม่ทันจะให้โอกาสเย่หยวนอธิบายใดๆ เขาก็ซัดหมัดเข้าใส่โดยตรง
จากประกายแสงสีทองทั่วร่างของหัวหน้าห้า นี่เห็นได้ชัดว่ากายเนื้อของเขาสำเร็จถึงระดับสามแล้ว
ด้วยความแกร่งกล้าของกายเนื้อระดับชั้นนี้ กล่าวได้ว่าสามารถกวาดล้างเซียนระดับเดียวกันได้เกือบหมด
บูมมม!
จุดที่เย่หยวนยืนอยู่ก่อนหน้าแหลกเละกลายเป็นหลุมบ่อขนาดมหึมา โดยหนึ่งหมัดที่หัวหน้าห้าบรรจงทุบลงไป
“หึ! ช่างเป็นเด็กที่ดวงตามืดบอดและปัญญาอ่อนโดยแท้! จงเละกลายเป็นเนื้อไปเสีย พวกเจ้ามานี้! เก็บกวาดศพ!”
หัวหน้าห้าเอ่ยปากสั่งพลางตบมือเรียกทันที
“หะ-หัวหน้า…ขะ-ข้างหลัง!!”
ทหารยามเหล่านั้นหน้าถอดสีไปโดยพลัน เอ่ยกล่าวติดอ่างไม่เป็นภาษาราวกับเห็นผี
ทันทีทันใด ทั่วกายาหัวหน้าห้าพลันสั่นสะท้านเฮือก รีบเร่งเหลียวมองในทันใด ก่อนจะพบว่ายามนี้ปรากฏคมดาบยาวกำลังชี้ปักอยู่หว่างคิ้ว
พลังแห่งแนวคิดราวกับเขื่อนแตกทะลักรั่วไหลออกมา ทำเอาหัวหน้าห้าใจหายวูบตกไปถึงตาตุ่ม
เร็วมาก!
เขาที่มีกายเนื้อบรรลุระดับสามขั้นปลายแล้วยังไม่สามารถไล่ตามความเร็วของเด็กหนุ่มอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าชั้นต้นได้!
นี่…นี่จะน่ากลัวเกินไปแล้ว!
ถึงกายเนื้อจะทรงพลังปานใด แต่มันก็มิได้หมายความว่า คมดาบหรือทวนหอกจะไม่สามารถทำอันตรายอะไรได้
เห็นได้ชัดว่าหัวหน้าห้าผู้มีกายเนื้อสุดแกร่งกร้าวนี้ก็มีจุดอ่อนเช่นกัน
ตราบใดที่ตอนนี้เย่หยวนเร่งเร้าพลังปราณเทวะออกมา อีกฝ่ายเตรียมตัวกลับบ้านเก่าได้เลย
ทุกอณูหนังศีรษะของหัวหน้าห้าพลันขนลุกซู่ว เหงื่อเย็นหลั่งไหลเปียกชุ่มกลางหลัง ยามนี้เอ่ยกล่าวตะกุกตะกักขึ้นว่า
“น้อง…น้องชาย…มีอะไรค่อยๆพูดคุยกันดีกว่า…”
เย่หยวนเอ่ยตอบเสียงเย็น
“ก็ข้าอยากสนทนาดีๆ แต่เจ้ากลับมิให้โอกาสข้า”
จวบจนกล่าวจบ เย่หยวนยังคงจ่อคมดาบอยู่แบบนั้นไม่ขยับไปไหน
หรือเป็นไปได้ไหมว่า เด็กหนุ่มคนนี้เดินทางมาจากเขตเมืองชั้นใน?
ในมุมมองของหัวหน้าห้า มีเพียงอัจฉริยะระดับหัวกะทิในเขตเมืองชั้นในเท่านั้น ที่ทรงพลังจนน่ากลัวปานนี้
ครู่หนึ่งภายในใจ หลากหลายความคิดโฉบแล่นผ่านห้วงสมองของหัวหน้าห้าโดยตรง
กล้ามเนื้อทั่วใบหน้าหัวหน้าห้าพลันกระตุกไม่หยุด เขาเอ่ยกล่าวพร้อมรอยยิ้มแสนอึดอัดใจว่า
“เอ่อ…น้องชาย กลับเป็นเจ้าที่ทำลายป้ายกลุ่มของพวกเราก่อน นี่ทำให้ข้าเมิ่งฮั่วลำบากใจนัก”
เย่หยวนพยักหน้าและกล่าวว่า
“ข้าย่อมเข้าใจดี และตอนนี้เจ้ายังไม่ตาย”
หัวหน้าห้าเงยมองปราดหนึ่งเจือแววครั่นคร้าม เอ่ยกล่าวว่า
“น้องชาย ข้าสงสัยเล็กน้อยว่าเหตุใดเจ้าถึงมาทำลายป้ายกลุ่มของเราก่อน? หรือเป็นไปได้ไหมว่า…กลุ่มล่ามังกรของเราไปเผลอทำสิ่งใดให้น้องชายไม่พอใจเข้า? มันเป็นไอ้บัดซบคนไหนกัน? ขอเพียงน้องชายสะดวกใขเอ่ยกล่าวออกมา ข้าจะทุบมันให้ตาย!”
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“มีใครบางคนขวางทางและดักปล้นกลางวันแสกๆ มันบอกเพียงว่าจำต้องสั่งสอนผู้มาใหม่”
สีหน้าการแสดงออกของเมิ่งฮั่วแปรเปลี่ยนไปทันที เขาโพล่งกล่าวว่า
“ผู้…ผู้มาใหม่? นี่น้องชายมิได้มาจากเขตเมืองชั้นในหรอกรึ?”
เย่หยวนกล่าวว่า
“นี่เป็นวันแรกที่เขาเข้าเมืองมา ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะได้รับการปรนนิบัติชนิดพิเศษจากกลุ่มของเจ้าเช่นนี้”
เมิ่งฮั่วพูดอะไรไม่ออกไปครู่ใหญ่ การดักปล้นคนรวยผู้มาใหม่คืองานประจำของกลุ่มนี้อยู่แล้ว
แต่กลับไม่คิดเลยว่า วันนี้พวกเขาจะแตะชนเข้ากับแผ่นเหล็กอย่างจัง
ด้วยความแกร่งกล้าของเด็กหนุ่มคนนี้ แม้ว่าว่ากลุ่มล่ามังกรจะมิได้เกรงกลัว แต่หากต้องการจะล้มอีกฝ่าย อย่างน้อยต้องวานหัวหน้าสามขึ้นไปช่วยเหลือ
แต่กล่าวถึงเรื่องนี้ก็ช่างบังเอิญเสียจริง เพราะหัวหน้าสามอันดับแรกดันไปเจรจากับกลุ่มขนนกเงินซะได้! และวันนี้ไม่มีใครอยู่เลย!
“แต่…วันนี้ข้ามิได้มาเพราะเรื่องนั้น”
เย่หยวนเอ่ยกล่าวต่อ
เมิ่งฮั่วตกตกลึงค้างเติ่งไปครู่ใหญ่ มิใช่เรื่องนี้แล้วเรื่องไหน?
“น้องชายอย่าได้ลังเลที่จะกล่าว! กลุ่มล่ามังกรของเรานับว่ามีอิทธิพลไม่น้อยในเขตเมืองตอนใต้ ตราบใดที่ไม่เกินมือ พวกเราย่อมไม่ปฏิเสธแน่นอน”
เมิ่งฮั่วยกมือทุบแกตนเองอย่างสง่าผ่าเผย
เขาในยามนี้ไม่กล้าผลีผลามและมิได้โง่เง่าขนาดนั้น
เย่หยวนครอบครองความแกร่งกล้าสุดน่าสะพรึงขวัญยิ่งตั้งแต่อายุยังน้อย ในเขตเมืองทางตอนใต้นี้กลับมีไม่กี่คนที่สามารถทำอันตรายเขาได้
ตราบใดที่เขาเต็มใจย่อมเข้าร่วมกับกลุ่มอำนาจใดอำนาจหนึ่ง กลุ่มนั้นจักต้องทะยานขึ้นเป็นผู้กุมอำนาจทางตอนใต้อย่างไม่ต้องสงสัย!
และแน่นอน…คนประเภทนี้ไม่ควรรุกรานก่อปัญหาด้วยโดยเด็ดขาด
เมิ่งฮั่วเองก็ไม่สามารถอะไรเด็กหนุ่มนี่ได้เช่นกัน!
เย่หยวนพยักหน้าพร้อมกล่าวน้ำเสียงจริงจังว่า
“ดี ข้าอยากให้…พวกเจ้าช่วยเปลี่ยนชื่อกลุ่ม!”
เมิ่งฮั่วตื่นตะลึงงันหนัก สีหน้ายามนี้พลันมืดทมิฬลงในพริบตา เขาเอ่ยกล่าวเสียงเข้มว่า
“เจ้าหนุ่ม ชื่อกลุ่มล่ามังกรของพวกเราถูกใช้มาตั้งหลายพันปีแล้ว! เจ้ากำลัง…หาเรื่องกันอย่างงั้นรึ?”
เย่หยวนส่ายหัวและกล่าวว่า
“เปล่าเลย เพียงว่า…ชื่อกลุ่มของเจ้ากลับขัดใจข้าเกินไป!”
สีหน้าการแสดงออกของเมิ่งฮั่วยิ่งทมิฬมืดลง เขาคำรามขึ้นทันทีว่า
“นี่เรื่องบ้าอันใด! เจ้าเป็นใครกัน? ไฉนชื่อของกลุ่มข้าดันไปขัดใจเจ้า? หาก…หากข้าบอกว่าไม่ล่ะ?”
เมิ่งฮั่วผู้เลือดร้อนพยายข่มกลั้นอารมณ์มานานแล้ว ตอนนี้เจอคำขอไร้สาระให้เปลี่ยนชื่อกลุ่มทั้งแบบนี้ มีหรือจะไม่โมโห?
การที่จู่ๆเปลี่ยนชื่อกลุ่มเช่นนี้ มันสร้างผลกระทบต่อพวกเขามากเกินไป และไม่มีใครกล้าไปเปลี่ยนง่ายๆแน่นอน
หากข่าวนี้แพร่กระจายออกไป กลุ่มล่ามังกรของเขายังมีที่ยืนบนเขตเมืองทางตอนใต้อีกงั้นรึ?
เย่หยวนเอ่ยกล่าวอย่างเฉยเมย
“ข้าให้เวลาพวกเจ้าพิจารณาสามวัน หลังครบกำหนด ข้าจะกลับมาอีกครั้ง แต่หากพวกเจ้ายังปฏิเสธที่จะเปลี่ยนชื่อ พอถึงเวลานั้น…ข้าจะทลายรังของพวกเจ้าให้หมดจด! หากไม่เชื่อก็ลองดูได้!”
ตอนที่ 1533 ข้ามิได้มาเพื่อต่อสู้
โดย
Ink Stone_Fantasy
“หื้ม? เปลี่ยนชื่อ? แค่เด็กน้อยอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าชั้นต้น? เจ้ากำลังล้อข้าเล่นอยู่รึเปล่า?”
ประมุขแห่งกลุ่มล่ามังกร เยว่ฉิงเฟิงกวาดสายตาจับจ้องไปที่เมิ่งฮั่ว พร้อมด้วยความสงสัยถูกเขียนเต็มทั่วใบหน้า
เด็กหนุ่มอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าชั้นต้นยื่นคำขาด สั่งให้กลุ่มล่ามังกรเปลี่ยนชื่อ? ต่อให้เขาโดนตบจนตายก็แทบไม่อยากเชื่อ!
นอกจากนี้แล้วๆ ไฉนพวกเขาต้องเปลี่ยนชื่อด้วย?
กลุ่มล่ามังกร ไม่ว่าจะฟังดูกี่ครั้งยังคงขลังไม่เปลี่ยน!
สีหน้าการแสดงออกของเมิ่งฮั่วยามนี้ย่ำแย่อย่างมาก เขาไม่อยากทำใจยอมรับเลยว่า เย่หยวนแข็งแกร่งกว่าตน นี่เป็นเรื่องน่าอัปยศเกินไป
กายเนื้อทองคำระดับสามชั้นปลายพ่ายลงให้แก่เด็กหนุ่มอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าชั้นต้น หากข่าวนี้แพร่กระจายออกไป เขาคงกลายมาเป็นตัวตลกของเขตเมืองทางตอนใต้แน่นอน
“ท่านไม่รู้หรอกพี่ใหญ่ วรยุทธการเคลื่อนไหวของเด็กนั้นเร็วปานใด เพียงเสี้ยวอึดใจที่ข้าประมาท เขาก็สามารถ…สามารถทำอันตรายข้าได้! แม้ว่าสาขาใหญ่ของพวกเราจะไม่เกรงกลัวเขา แต่นี่นับเป็นภัยร้ายต่อสาขาแยกย่อย!”
คู่ดวงตาของเมิ่งฮั่วกวาดหมุนอยู่รอบหนึ่ง ก่อนจะเปลี่ยนวีธีสนทนาแบบทางอ้อมแทน
คนที่เห็นเหตุการณ์นั้น เมิ่งฮั่วสั่งกำชับให้ปิดปากเงียบ ห้ามแพร่งพราย
ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใด ภายในสามวันต่อจากนี้ไอ้เด็กเหลือขอนั้นยังห้าวกล้าเข้ามา มันเตรียมตัวตายได้เลย
พี่ใหญ่เยว่ฉิงเฟิงเป็นถึงยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าครึ่งขั้น แม้ว่าไอ้เด็กเหลือขอนั้นจะทะยานสู่สวรรค์ น่าประทับใจเพียงใด แต่ประมุขของเขาย่อมกระชากลงปรโลกได้ทุกเมื่อ
แต่เยว่ฉิงเฟิงโบกมือปัดคล้ายว่าคร้านใส่ใจ และกล่าวว่า
“ไม่ต้องสนใจมัน เจ้าหนูนั้นคงปลุกปั่นสร้างความโกลาหลไปแบบนั้น มะรืนนี้เราเข้าเจรจากับกลุ่มขนนกเงินอีกครั้ง เกี่ยวกับการแบ่งส่วนเขตอำนาจบนถนนเชียนถิงสามสายหลัก เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่สุดแล้ว!”
ถนนเชียนถิงสามสายหลักเป็นเส้นทางเชื่อมต่อระหว่างกลุ่มล่ามังกรกับกลุ่มขนนกเงิน สองกลุ่มขั้วอำนาจใหญ่ และถนนทั้งสามสายนี้จะเป็นจุดที่มั่งคั่งที่สุดแล้ว ซึ่งเรียกโดยรวมว่า ถนนเชียนถิงสามสายหลัก
วันนี้เยว่ฉิงเฟิงเองก็นพกลุ่มคนไปเจรจาเพื่อยุติข้อตกลงนี้กับกลุ่มขนนกเงินเช่นกัน
แต่ผลลัพธ์ที่ได้ค่อนข้างชัดเจน เสียงแตกไม่เป็นสาย
ทันทีที่เมิ่งฮั่วได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของเขาก็พลันเปลี่ยนไปทันทีและกล่าวว่า
“ไฉนวันนี้ถึงยังไม่ลงตัวอีก มิใช่ว่าเจ้าพวกนั้นจะยอมมอบตามที่ตกลง?”
เยว่ฉิงเฟิงกล่าวอธิบายว่า
“ตอนนี้ความขัดแย้งในถนนเชียนถิงสามสายหลักยังค่อนข้างรุนแรง กลุ่มนั้นยังคงยืนกรานที่จะผูดขาดกับที่ถนนเชียนถิงสายสายหลัก เหอะ ถนนแห่งนั้นแบ่งแยกการปกครองระหว่างสองกลุ่มชัดเจนดีอยู่แล้ว ช่างหน้าไม่อายที่พวกมันกล่าวแบบนี้!”
ทันทีที่เมิ่งฮั่วได้ยินเช่นนั้น เขาก็โมโหจัดคำรามขึ้นว่า
“ไอ้พวกไร้นางอาย! แต่เดิมถนนเชียนถิงเป็นเขตการปกครองของเรา พวกมันสักแต่จพทำให้สถานการณ์แย่ลงและแย่ลง? ท่านประมุข เรื่องนี้ให้เมิ่งฮั่วออกไปจัดการเองดีกว่า ข้าจะล้างบางพวกมันให้หมด!”
สิ่งหนึ่งคือ ไม่ควรมองว่ากายเนื้อสุดแกร่งกร้าวระดับสามขั้นปลายของเมิ่งฮั่วอ่อนแอ แต่แท้ที่จริงแล้วเขาเป็นเซียนคนหนึ่งที่ทรงพลังอย่างมาก
ต่อให้เผชิญหน้ากับเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าขั้นสุด เขาก็ยังสามารถพึ่งพากายเนื้อนี้ เพื่อสัประยุทธ์ได้อย่างสูสี
แต่โชคร้ายนักที่เขาดันมาเจอเย่หยวน
ต่อหน้าความเร็วของเย่หยวน ไม่ว่าสิ่งใดล้วนต้องถูกบดขยี้ราวกับเศษขยะ
ร่องรอยความดุร้ายทอประกายส่องผ่านนัยน์ตาของเยว่ฉิงเฟิง เขากล่าวว่า
“นี่จะเป็นการเจรจาครั้งนี้สุดท้ายแล้ว! หากพวกมันยังงี่เง่าเช่นนี้ก็ไม่มีเหตุผลต้องพูดคุยอะไรกันอีก! ยามถึงจุดนี้เราต้องตายกันไปข้าง!”
…
เย่หยวนเข้าพักในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง และเช่าพักเพิ่มอีกสองห้องสำหรับหลงซานและอาซื่อ
ลำไส้ของอาซื่อ ณ ปัจจุบันบิดตัวมวลนักจนเปลี่ยนเป็นสีเขียวอมม่วง ช่างรู้สึกขื่นขมใจนักเสมือนว่าโลกของเขากำลังพังทลายลงมา
ไฉนเขาถึงตามืดบอดปานนี้? ต้องโง่แค่ไหนถึงดันไปยั่วโมโหเทพสงครามเข้า!
แม้ว่าเขาจะรอดพ้นจากวิกฤตครั้งนี้ แต่กลุ่มล่ามังกรที่เป็นมิตรสหาย กลับไม่ย่อมปล่อยเขาไปแน่เช่นกัน
เพราะเขายังต้องพาเย่หยวนไปกวาดล้างสาขาแยกย่อยต่างๆของกลุ่มล่ามังกร
จะบังคับให้กลุ่มล่ามังกรเปลี่ยนชื่อ?
ฆ่ากันเลยดีกว่า!
สำหรับเย่หยวน เขาปล่อยให้อาซื่อนำทางไปซื้อสมุนไพรวิญญาณระดับสามภายในเขตเมืองทางตอนใต้ ก่อนจะตรงเข้าเก็บตัวเพื่อค้นคว้าเรื่องโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสาม
ระหว่างทาง เย่หยวนก็ศึกษาเรื่องทฤษฎีโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสามมาอยู่ก่อนแล้ว พร้อมกว้านซื้อสมุนไพรวิญญาณระดับสามเพื่อทดลองต่างๆนาๆ
เย่หยวนค้นพบว่า ตั้งแต่ที่ตนสามารถเรียกปรากฏการณ์ทำนองแห่งยอดเต๋ามาได้ ศาสตร์แห่โอสถที่เขาเคยรู้จักราวกับยกระดับสู่โลกอีกใบหนึ่ง
สำหรับเรื่องความเร็วในการศึกษาโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสาม เย่หยวนนับว่าก้าวหน้าขึ้นเร็วกว่าเดิมมาก
ตอนนี้อาศัยสิ่งของต่างๆภายในโถงบัลลังก์ม่วง นี่ยิ่งช่วยให้เย่หยวนประหยัดเวลาในการศึกษาทำความเข้าใจได้มากขึ้นโข
เย่หยวนใช้เวลาเก็บตัวอยู่ในโลกแห่งศิลาจารึกบัลลังก์พิภพอยู่นานหลายปี
ความแกร่งกล้าในศาสตร์แห่งโอสถ ณ ปัจจุบันของเย่หยวน มีเกินพอแล้วที่จะทำให้เหล่าจอมเทพโอสถสามดาวล้วนต้องสิ้นหวัง
แต่สำหรับเย่หยวนนั้น ไม่ว่าจะใช้เวลาหมกตัวศึกษาค้นคว้าในด้านโอสถมากเท่าไหร่ เขากลับไม่รู้สึกเบื่อหรือเหนื่อยล้าแม้สักนิด เขาไม่อยากให้เวลาล่วงเลยเกินสามวัน ดังนั้นเขาจึงเข้าเก็บตัวอยู่ในโลกแห่งศิลาจารึกบัลลังก์พิภพ
สามวันต่อมา เย่หยวนเดินทางไปที่รังใหญ่ของกลุ่มล้ามังกรอีกครั้ง พร้อมย่างสามขุมตรงเข้ามาอย่างแช่มช้า
ยังคงเป็นทหารยามกลุ่มเดิมที่ยืนเฝ้าหน้าประตู แต่เมื่อเห็นเย่หยวน สีหน้าการแสดงออกของแต่ละคนต่างถอดสีในทันใด เลยอดตื่นตะลึงมิได้
ความแข็งแกร่งของเขาไม่น่าจะพอโค่นล้มกลุ่มล่ามังกรได้จริงๆใช่ไหม?
“เหอะ ข้ากลับมาแล้ว ไปเรียกประมุขพวกเจ้ามา แล้วจะเปลี่ยนชื่อเป็นอะไรดี?”
เย่หยวนเอ่ยกล่าวเสียงเย็นชา
ทหารยามคนหนึ่งตื่นตระหนกนัก ก่อนรีบวิ่งแจ้นเข้าไปรายงานสถานการณ์ทันที
ไม่นานนัก ชายวันกลางคนทั้งสองที่ดูคล้ายระดับหัวหน้าก็เดินตรงออกมาจากเรือนหลัก
“ท่านพี่สาม เจ้าเด็กนี่แหละ!”
เมิ่งฮั่วชี้ไปทางเย่หยวนพร้อมปริปากกล่าวทันที
หัวหน้าสามขมวดคิ้วถักแน่นแลมองไปทางเย่หยวน ก่อนจะเค้นเสียงทุ้มต่ำเอ่ยดังขึ้นว่า
“เจ้าหนู เบื่อหน่ายกับชีวิตปานนั้น? ถึงหาญกล้าวิ่งเล่นในกลุ่มล่ามังกรของเรา?”
เย่หยวนเหลือบมองหัวหน้าสามเล็กน้อย ก่อนจะหันไปถามเมิ่งฮั่วว่า
“หมายความว่า…พวกเจ้าไม่ยอมเปลี่ยนชื่อกลุ่ม?”
“เปลี่ยนบิดาเจ้าเถอะ! ท่านปู่ผู้นี้กำลังหัวเสียพอดีและยังหาที่ระบายไม่เจอ เช่นนั้นจำต้องลงกับเจ้าแล้ว! ข้าจักหักคอเจ้าทิ้งเสียเดี๋ยวนี้! บังอาจเล่นลิ้นกับกลุ่มล่ามังกรของข้า!!”
หัวหน้าสามส่งเสียงคำรามมลั่น พร้อมกระชับดาบใหญ่เข้าเล็งไปที่ศีรษะเย่หยวนโดยตรง
เย่หยวนเลิกคิ้วกระตุกขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะสังเกตเห็นอาการบาดเจ็บของหัวหน้าสาม ซึ่งดูสาหัสไม่เบา
เกร๊ง!
คมดาบยักษ์ของหัวหน้าสามฟันลมวืดไป!
“พี่สามระวัง! มันอยู่ข้างหลังท่าน!”
เมิ่งฮั่วร้องอุทานลั่นด้วความตกใจ
หัวหน้าสามตะลึงหนักโพล่งตัวเหลียวกลับมาโดยไวพร้อมคมดาบยักษ์ที่เหวี่ยงคู่ออกไป
เกร๊ง! เกร๊ง! เกร๊ง!
เสียงโลหะสาดกระทบดังกังวานหลายหลากกระบวน ทำเอาผู้คนโดยรอบต่างตกตะลึง
เด็กหนุ่มอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าชั้นต้นเจ้าต่อกรกับหัวหน้าสามที่เป็นถึงเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าขั้นสุดได้อย่างสูสียิ่ง?
เด็กคนนี้โผล่มาจากไหนกัน?
ยิ่งหัวหน้าสามต่อสู้สัประยุทธ์มากขึ้นเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งตื่นตระหนกใจมากขึ้นเท่านั้น ปรากฏว่าตอนนี้เขาไม่สามารถไล่ตามความเร็วของเย่หยวนได้อีกต่อไป!
วรยุทธเคลื่อนไหวของเจ้าเด็กนี่รวดเร็วเกินจะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าเสมือนภูตผี ไสววูบวาบโฉบแล่นผ่านไปมาดั่งเงา
เห็นได้ชัดแจ้งว่าคมดาบของอีกฝ่ายอยู่ไกลมาก แต่เสี้ยวพริบตาเดียวกับลุถึงตรงหน้าเสียแล้ว
นี่ผิดประหลาดเกินไป!
ก่อนหน้านี้เขายังบ่นกับหัวหน้าห้าอยู่เลยว่า อ่อนแอไร้ประโยชน์สิ้นดี ทว่ายามนี้เขากลับรู้ซึ้งถึงความน่าสะพรึงของเด็กคนนี้แล้ว
“หยุดก่อน!!”
หัวหน้าสามตะโกนลั่นดึงระยะห่างกับเย่หยวนออกไปหลายช่วงตัว
“เจ้าหนุ่ม เจ้าแข็งแกร่งมาก! แต่หากข้ามิได้รับบาดเจ็บ เกรงว่าเจ้าเองก็หาใช่คู่ต่อสู้ของข้าเช่นกัน!”
หัวหน้าสามเอ่ยกล่าวพร้อมสีหน้าสุดมืดมน
เย่หยวนลอบเร้นเหลือบมองอีกฝ่ายเล็กน้อย พลางเอ่ยเสียงเย็นขึ้นว่า
“ข้ามิได้มาที่นี่เพื่อต่อสู้ แต่มาที่นี่เพื่อเปลี่ยนชื่อกลุ่มพวกเจ้า! ดูเหมือนว่าสิ่งที่ข้ากล่าวเตือนไปในครั้งนั้นจะเสมือนโยนกรวดลงแม่น้ำโดยเปล่า เช่นนั้น…ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป ข้าจะไล่ทำลายสาขาย่อยของพวกเจ้าทีละแห่ง!”
สีหน้าการแสดงออกของหัวหน้าสามพลันแข็งกระด้างในทันใด พร้อมความหวาดหวั่นที่ก่อตัวขึ้นภายในใจ
วรยุทธเคลื่อนไหวของเจ้าเด็กนี่น่ากลัวเกินไป แม้อีกฝ่ายจะหาใช่คู่ต่อสู้ของเขาก็จริง แต่หากเย่หยวนต้องการจากไปทั้งแบบนี้ เขาเองก็ไม่สามารถหยุดได้เช่นกัน
แต่ทันใดนั้นเอง ปรากฏทหารยามคนหนึ่งรีบวิ่งออกมาด้วยท่าทีสุดร้อนรน เขาตะโกนขึ้นลั่น
“หัวหน้าสาม หัวหน้าห้า! แย่แล้ว…เขา…เขากำลังจะตายแล้ว!”
ตอนที่ 1534 ข่มเหงผู้คน
โดย
Ink Stone_Fantasy
สีหน้าการแสดงออกของหัวหน้าสามและหัวหน้าห้าเปลี่ยนไปอย่างมาก แทบจะทันทีทันใด พวกเขาเร่งหมุนตัวขวับกำลังเตรียมวิ่งแจ้นเข้าตัวเรือนหลัก
“เจ้าหนู ท่านปู่ฟานไม่มีเวลามาเล่นกับเจ้าในวันนี้ พี่ชายของข้ากำลังจะตาย! วันอื่นค่อยสั่งสอนเสียแล้วกัน!”
หัวหน้าสามเอ่ยปากกล่าวกับเย่หยวนประโยคหนึ่ง และเตรียมวิ่งเข้าไปด้านในทันที
เย่หยวนพลันแปลกใจมิน้อย ดูเหมือนว่ากลุ่มล่ามังกรเพิ่งผ่านศึกใหญ่มา ไม่น่าแปลกที่ไฉนหัวหน้าสามดูบาดเจ็บสาหัสปานนี้
เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทันทีทันใดเอ่ยกล่าวเสนอขึ้นว่า
“นี่ ไฉนไม่ให้ข้าเข้าไปดูอาการเสียหน่อย? เอ่อ…ข้าเองก็เป็นนักหลอมโอสถ ฝีมือค่อนข้างน่าประทับใจ”
เย่หยวนกลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่เชื่อเขา ดังนั้นจึงเป่าแตร่อวดอ้างไปก่อนสักประโยค
หัวหน้าสามชะงักค้างไปครู่หนึ่งและกล่าวเจือน้ำเสียงหงุดหงิดว่า
“เจ้าหนู ข้าไม่มีเวลามาเล่นกับเจ้า! จะไปไหนก็ไปเถอะ!”
เย่หยวนยิ้มกล่าวหาได้สนใจวาจาอีกฝ่ายไม่
“สุดท้ายเขาก็ต้องตายอยู่ดีไม่ว่าจะพยายามอย่างไร แต่ยามนี้มีข้าอยู่ย่อมช่วยเหลือชีวิตได้แน่นอน แต่กลับเป็นเจ้าที่ปิดโอกาสนั้นเสียเอง หัวหน้าสองคงโกรธด่าสาปแช่งท่านไปจนกระทั่งตายแน่นอน”
หัวหน้าสามอดสำลักมิได้เมื่อได้ยินแบบนั้น ยามนี้ไม่มีเวลาคิดไปมากกว่านี้แล้ว จึงเอ่ยขู่ไปว่า
“เจ้าหนู ข้าเตือนเจ้าแล้ว พี่ใหญ่เองก็อยู่ข้าในนั้นด้วย เขาเป็นถึงยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าครึ่งขั้น หากคิดเล่นตุกติก ข้ารับรองได้เลย เจ้าตายไม่เหลือชิ้นดีเป็นแน่!”
เย่หยวนยิ้มและเดินติดตามทั้งสองเข้าไป
บนเตียงปรากฏชายร่างกำยำกำลังนอนหายใจรวยริน เห็นได้ชัดว่าเขาเตรียมนับถอยหลังสู่ความตายในไม่ช้า
“ท่านปรมาจารย์อู๋เฟิน หรือเป็นไปได้ไหมว่าจะไม่มีทางช่วยเหลือจริงๆ น้องสอง…เขาสละชีวิตพุ่งเข้ามาขวางลูกธนูดอกนี้ แท้ที่จริงแล้วคนที่ตาย…ควรเป็นข้าเสียมากกว่า! ท่านปรมาจารย์อู๋เฟิน ตราบใดที่ท่านช่วยเหลือชีวิตเขาได้ ข้ายอมทุกอย่าง!”
ชายวัยกลางคนดวงตาแดงก่ำ กำลังร้องขอความช่วยเหลือจากชายยราตรงหน้า
ชายวัยกลางคนผู้นี้คือประมุขกลุ่มล่ามังกร ผู้ครอบครองขุมพลังอาณาจักรราชันพระเจ้าครึ่งขั้น
ปรมาจารย์อู๋เฟินส่ายหัวอานกล่าวว่า
“ทุกคนต่างตระหนักได้ถึงศรดับอัสนีเป็นอย่างดี เส้นลมปราณที่เชื่อมสู่หัวใจของหัวหน้าสองถูกตัดขาด นอกจากนี้ยังมีพิษผลาญกระดูกเพลิงเคลือบติดไว้อยู่ที่หัวศร เราชายชราพยายามอย่างเต็มที่แล้วจริงๆ ท่านประมุขโปรดระงับความเศร้าโศกลงเถิด นี่เป็นชะตากรรมที่มิอาจเปลี่ยนแปลงได้แล้ว”
เย่หยวนจับจ้องภาพฉากนี้พลางอดประหลาดใจมิได้
ภาพฉากนี้ดูท่าจะหาใช่ของปลอม แต่นั่นเป็นความรู้สึกที่แท้จริง มันกลั่นออกมาจากใจของพวกเขา นี่ทำให้เย่หยวนรู้สึกประทับใจกลุ่มล่ามังกรไม่น้อย
“ไฉน…ไม่ให้ข้าลองดูหน่อยล่ะ?”
เย่หยวนเหลือบมองไปที่หัวหน้าสองที่นอนอยู่บนเตียง พลางเอ่ยกล่าวขึ้น
ขณะเดียวกัน ทุกคนต่างจับจ้องไปที่เย่หยวนจนเป็นตาเดียว
“เขาคือใคร?”
สายตาของประมุขหรี่แคบแปรเปลี่ยนเป็นความตั้งใจขึ้นทันที
สีหน้าของหัวหน้าสามบิดเบี้ยวค่อนข้างน่าเกลียดยิ่ง ขณะกล่าวว่า
“พี่ใหญ่เขาเป็น…เด็กคนนั้นที่ต้องการให้พวกเขาเปลี่ยนชื่อกลุ่ม”
สีหน้าของประมุขมืดทมิฬลงทันที ก่อนคำรามเสียงต่ำขึ้นลั่น
“ล้อเล่นแล้ว!”
ตอนนี้ทุกคนในเรือนพักต่างเปี่ยมล้นไปด้วยความรู้สึกเศร้าสร้อยยิ่ง แต่นี่ไม่เพียงปล่อยให้ศัตรูย่างเท้าเข้ามา ทว่า…ยังจะปล่อยให้เขาช่วยรักษา นี่ไม่น่าขันเกินไปหน่อยรึ?
ประมุขโกรธจัดแล้วในเวลานี้ เขายกฝ่ามือขึ้นพร้อมซัดเข้าใส่เย่หยวนทันที
พลังทำลายล้างจากฝ่ามือยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าครึ่งขั้น ช่างทรงพลานุภาพน่าทึ่งยิ่ง
เขาหาที่ระบายความขมขื่นใจนี้ได้ยายแล้ว ยามนี้มีเย่หยวนโผล่มา เขาต้องการระบายอารมณ์ทั้งหมดลงใส่เย่หยวน
แต่เย่หยวนยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติงใดๆเสมือนภูผา เขาเอ่ยปากขึ้นอย่างเฉยเมยว่า
“หากฆ่าข้าแล้ว เขาต้องตายจริงๆแน่นอน”
สายลมกระโชกพลันชะงักหยุดกะทันหัน ฝ่ามือของประมุขแข็งค้างฉับพลัน พร้อมก่นเสียงเอ่ยกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า
“เจ้าสามารถช่วยเขาได้จริงๆรึ?”
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“แน่นอนว่าช่วยได้ แต่นี่มีเงื่อนไขเช่นกัน”
สีหน้าการแสดงออกของประมุขแปรเปลี่ยนไปทันที ก่อนจะเผยสีหน้าแปลกๆออกมาโดยมิตั้งใจ
ชื่อกลุ่มที่ใช้กันมาหลายพันปี ยามนี้กลับต้องเปลี่ยนจริงๆน่ะรึ?
ประมุขสีหน้ามืดทมิฬลงกล่าวว่า
“หากเจ้าสามารถช่วยชีวิตเขาได้จริงๆ กับแค่เรื่องเปลี่ยนชื่อกลุ่มยังนับเป็นปัญหาอันใด!”
แต่ในเวลานี้เองอู๋เฟินก็กล่าวขึ้นว่า
“ประมุขใหญ่ ท่านใจดีเกินไปแล้ว เด็กคนนี้เป็นเพียงอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าชั้นต้น หรือเป็นไปได้ไหมที่เขาจะเก่งกาจเทียบเทียมเราชายชรา? แม้แต่เราชายชราเองก็หมดสิ้นหนทางปัญญาใด แล้วเขาหรือจะมีหนทางช่วยเหลือ?”
สีหน้าของประมุขใหญ่แปรเปลี่ยนไปทันที ก่อนจะรู้สึกว่าคำกล่าวของอีกฝ่ายสมเหตุสมผลนัก
ชายหนุ่มคนนี้มิได้ตั้งใจหลอกเขาใช่ไหม?
ท่านปรมาจารย์อู๋เฟินเป็นถึงจอมเทพโอสถสามดาวชั้นสูง ในเขตเมืองทางตอนใต้ไม่มีใครเก่งกาจไปกว่าเขาแล้ว
ซึ่งแม้กระทั่งเขายังหมดสิ้นหนทาง แล้วเด็กหนุ่มคนนี้จะพลิกสวรรค์ได้อย่างไร?
“ไอ้เด็กเหลือขอ เจ้ากล้าหลอกข้างั้นรึ?”
ท่าทีของประมุขแปรเปลี่ยนไปในทันที พร้อมจับจ้องเย่หยวนสีหน้าบึ้งตึง
ขณะที่ประมุขกำลังจะเข้าโจมตีอีกระลอก กลับเป็นหัวหน้าสามที่จู่ๆก็เอ่ยกล่าวขึ้นมาว่า
“ท่านพี่ใหญ่ ไฉนเราไม่…ให้เขาลองดูเสียหน่อย? เด็กคนนี้…ค่อนข้างผิดแปลกเกินไปจริงๆ!”
ประมุขตัวแข็งค้างฉับพลัน ก่อนเผยท่าทีประหลาดใจออกมา
เขาทราบดีว่า น้องสามของตนเป็นคนที่รอบคอบมาก หากไม่มั่นใจจริงๆจะไม่มีทางปริปากกล่าวออกมาแน่นอน
หรือเป็นไปได้ไหมว่า เด็กคนนี้จะมีความสามารถอยู่บ้างจริงๆ?
อู๋เฟินที่ได้ยินดังนั้นถึงกับตะคอกเสียงเย็นโต้ไปว่า
“หัวหน้าสาม ที่เจ้ากล้าดูถูกเราชายชราจริงๆ?! ลืมไปได้เลย ปรากฏว่าพวกเจ้าไม่ไว้ใจเราชายชราคนนี้แล้ว ข้ากลับโง่งมเองที่หลอกตัวเองมาที่นี่! เช่นนั้นขอลา! เหอะ…กลับเชื่อไอ้เปี๊ยกเส้นขนยังไม่ขึ้นมากกว่าข้า ช่างปัญญาอ่อนกันเสียจริง ในภายภาคหน้า อย่าแส่มาเสนอหน้าตามหาเราชายชราอีกต่อไป!”
เมื่อกล่าวจบเฟินก็สะบัดแขนเสื้อจากไปทันที
ประมุขที่ได้ยินเช่นนี้สีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างฉับไว
สถานะศักดิ์ของอู๋เฟินภายในเขตเมืองทางตอนใต้นี้ เขากลับเทียบเคียงมิได้เลย กล่าวได้ว่าชายชราคนนี้เป็นนักหลอมโอสถอันดับหนึ่งแห่งเขตเมืองทางตอนใต้อย่างแท้จริง ฝีมือของเขาฉกาจยิ่งยวด
เพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีกับอู๋เฟิน กลุ่มล่ามังกรจำต้องส่งของขวัญเป็นผลึกปราณเทวะจำนวนมหาศาลแก่เขาทุกปี
มิฉะนั้นมีหรือที่พวกเขาจะเชิญอู๋เฟินมาในวันนี้ได้?
หากเป็นศัตรูกับจอมเทพโอสถระดับชั้นนี้ อนาคตของกลุ่มล่ามังกรนับว่าลำบากขึ้นหลายเท่าตัว!
ประใหญ่รีบเร่งไล่ตามอีกฝ่ายไปทันทีและกล่าวว่า
“ท่านปรมาจารย์อู๋เฟิน พวกเรา…เป็นกังวลกับความเป็นความตายของน้องสองเกินไป จึงเป็นเหตุให้ต้องตัดสินใจเช่นนี้! เรามิได้มีเจตนากูหมื่นท่านแต่อย่างใด! ท่านปรมาจารย์โปรดให้อภัย!”
อู๋เฟินระเบิดหัวเราะเสียงเยียบเย็นกล่าวว่า
“นั้นมันเรื่องของเจ้า เกี่ยวข้องอันใดกับข้า? เจ้าคือว่าศาสตร์แห่งโอสถมันเรียนรู้กันได้ภายในวันสองวันหรืออย่างไร? ไม่เลว! ไอ้เปี๊ยกนั้นคิดจะหลอมกลั่นโอสถเพื่อช่วยเหลือชีวิตคนงั้นรึ? หุหุ…ก่อนลาจากเราชายชราขอกล่าวอะไรทิ้งท้ายเสียหน่อย หากไอ้เปี๊ยกนี่สามารถช่วยน้องสองของพวกเจ้าได้จริงๆ เราชายชราจะถอดหัวเตะเล่นเป็นลูกหนังสักเที่ยว!”
กล่าวจบ เขาไม่สนใจอันใดอีกต่อไปพร้อมสะบัดแขนเสื้อจากไปทันที
อู๋เฟิงผู้นี้เป็นใคร?
นั้นคือป้ายทองแห่งเขตเมืองทางตอนใต้!
การตัดสินใจเช่นนี้ของกลุ่มล่ามังกร นับเป็นการหักหน้าเขาอย่างแท้จริง
เขาเพิ่งตัดสินประหารชีวิตของหัวหน้าสองไปหมาดๆ ในที่สุดพวกเขาก็พบใครบางคนที่อาจจะช่วยเหลือชีวิตได้ แต่กลับเป็นเด็กน้อยที่ยังไม่รู้ภาษาด้วยซ้ำ!
นี่…นี่มันบ้าชัดๆ!
สีหน้าการแสดงออกของประมุขบิดเบี้ยวน่าเกลียดถึงขีดสุด เขาหันขวับเข้าจับจ้องเย่หยวนตาเขม็ง คำรามลั่นขึ้นว่า
“ไอ้หนู ข้าต้องขอบคุณเจ้าจริงๆ! หากมาค้นพบทีหลังว่าเจ้ากำลังปั่นหัวพวกเรา ข้าจะฉีกเจ้าเป็นชิ้นๆ! และนำศีรษะของเจ้าไปขอขมาแก่ปรมาจารย์อู๋เฟิน!”
เย่หยวนเหลือบมองประมุขอย่างคร้านจะใส่ใจ กล่าวว่า
“เมื่อใดที่คนส่วนใหญ่กล่าวเช่นนี้กับข้า พวกนั้นล้วนติดบัญชีดำทุกคน ต่อให้ตาแก่นั้นจะมาขอขมาคุกเข่าแทบเท้าข้า แต่ข้าก็ไม่มีทางให้อภัยเช่นกัน เมื่อพิจารณาถึงตรงนี้ เห็นแก่สายสัมพันธ์พี่น้องอันน่าประทับใจของพวกเจ้า ข้าจะเมตตาช่วยเหลือสักครา”
สีหน้าการแสดงออกของประมุขมิดทมิฬถึงขีดสุดจริงๆแล้ว
เด็กคนนี้มันหยิ่งผยองเกินไป!
เขาเกือบจะหลงเชื่อแล้วจริงๆ
แต่…ทำไมน้องสามถึงเชื่อใจเด็กนี่? สิ่งที่น้องสามตัดสินใจไปจะถูกต้องหรือไม่ มันขึ้นอยู่ต่อจากนี้แล้ว
“ไปเตรียมกะละมังสะอาดมา โชคดีที่ข้าผู้นี้มีสมุนไพรวิญญาณที่จำเป็นติดตัวมาด้วย แต่ค่าสมุนไพรวิญญาณเหล่านี้ พวกเจ้าจำต้องจ่ายให้ข้าในภายหลัง!”
เย่หยวนกล่าวสั่งประมุขโดยไม่แยแสใดๆ
ทุกคนในยามนี้ต่างถอดสีหน้าหนัก เด็กคนนี้…มันเชื่อถือได้จริงๆใช่ไหม?
ตอนที่ 1535 ขาดสะบั้นเพียงผสานขึ้นใหม่
โดย
Ink Stone_Fantasy
ทั้งประมุขและเหล่าพี่น้องของเขาต่างสบตากัน ยามนี้ไม่แน่ใจเลยว่าจะเป็นอย่างไร
ไฉนต้องใช้กาละมังด้วย?
“เจ้าสาม เด็กนี่กำลังทำบ้าอะไรกันแน่?”
ประมุขกระซิบถามเสียงเบา
ในเวลานี้เย่หยวนกำลังจับชีพจรของหัวหน้าสองอย่างเงียบงัน
หัวหน้าสามจับจ้องเจือสายตามึนงง เขากล่าวว่า
“แล้วข้าจะไปรู้ได้อย่างไร? หากรู้คงช่วยพี่สองได้นานแล้ว!”
บัดซบ! เจ้าน้องนี่มันก็ไม่รู้เหมือนกันนี่หว่า!
นี่หายนะแล้วกระมัง!
ดวงตาของประมุขเบิกโตแทบถลนออก เขากล่าวขึ้นว่า
“เด็กนี่ดูไม่น่าไว้ใจยิ่ง แล้วเจ้าไปความมั่นใจจากไหนยืนกรานให้เด็กนี่ลองดู?”
หัวหน้าสามกล่าวตอบ
“เมื่อครู่ตอนที่ข้าแลกหมัดกับเด็กนี่ ข้าเอง…ยังเกือบพลาดท่า!”
สายตาการจับจ้องของประมุขแปรเปลี่ยนไปในทันที ก่อนเผยสีหน้าสุดตื่นตะลึงยิ่ง
อาณาจักรบรรพชนพระเจ้าชั้นต้นสามารถทำให้น้องสามพลาดท่าได้?
ไม่ว่าแปลกใจเลยที่น้องสามจะบอกว่า เด็กคนนี้ผิดแปลก!
หัวหน้าสามกล่าวต่อว่า
“การที่เจ้าเด็กนี่ทรงพลังตั้งแต่อายุยังน้อย ข้าสันนิษฐานว่า ภูมิหลังของเขาไม่น่าจะธรรมดาแน่นอน บางที…เขาอาจมีเคล็ดวิชาลับช่วยชีวิตพี่สองได้จริงๆ!”
ประมุขจับจ้องไปที่เย่หยวนยามนี้ชะงักฝีปากหยุดพูดในทันที
ไม่นานกะละมังที่เต็มไปด้วยน้ำสะอาดก็ถูกนำเข้ามา
เย่หยวนึค่อยๆลุกขึ้นยืนอย่างแช่มช้า และตรงมาที่กะละมังทันที
เห็นเพียงเย่หยวนใช้มือข้างหนึ่งร่ายตราผนึกขึ้นเป็นวงซับซ้อน พร้อมเทสมุนไพรวิญญาณเหล่านั้นลงในกะละมัง
ฝ่ามือเย่หยวนเร่งความเร็วเพิ่มแรงสั่นสะเทือนเป็นเท่าตัว จนสมุนไพรวิญญาณเหล่านั้นสลายเป็นผุยผง หลอมรวมกันเป็นกองผงสมุนไพรวิญญาณ
ประมุขเหลียวศีรษะเอ่ยถามเย่หยวนเล็กน้อยว่า
“เอ่อ…น้องชาย ท่านปรมาจารย์อู๋เฟินกล่าวว่า เส้นลมปราณที่เชื่อมต่อกับหัวใจน้องสาวถูกตัดขาดแล้ว เขา…เขาจะรอดจริงๆรึ?”
ทุกคนต่างทราบดีว่า การที่เส้นลมปราณหัวใจถูกตัดขาดมันหมายความอย่างไร
ต่อให้เป็นเซียนอาณาจักรพระเจ้า แต่ถูกตัดเส้นลมปราณบริเวณหัวใจทิ้งไป ก็ไม่มีทางรอดได้เลย
ความเสียหายระดับนี้ไม่สามารถรักษาให้หายได้
ดังนั้นนี่จึงเป็นเหตุผลที่อู๋เฟินกล่าวว่า ตนก็หมดปัญญาช่วยเช่นกัน
เย่หยวนเหลือบมองอีกฝ่ายแวบหนึ่งพร้อมกล่าวว่า
“หากถูกตัด ก็แค่เชื่อมผสานกลับคืน”
“เชื่อม…เชื่อมผสานกลับคืน? หากเส้นลมปราณบริเวณหัวใจถูกตัดขาด…มันสามารถเชื่อมกลับคืนได้ด้วยงั้นรึ?”
ประมุขไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่ายังมีวิธีรักษาที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้อยู่ด้วย
ขณะที่เย่หยวนเอ่ยกล่าว เขาก็นำมือทั้งสองจุ่มลงในกาละมัง ทันทีทันใดผงสมุนไพรวิญญาณเหล่านี้ก็ดูดติดมือทันที
เย่หยวนเดินตรงเข้าไปทางเตียง พร้อมใช้สองมือกดลงบริเวณกลางอกของหัวหน้าสองโดยตรง
พลังปราณเทวะขุมใหญ่สั่น กระเพื่อมสองฝ่ามือสว่างวาบ
ทันทีทันใด กลุ่มไอหมอกหนาพลันพวยพุ่งออกมาจากฝ่ามือตามกันมา
ไม่นานเย่หยวนก็เดินกลับไปที่กะละมังและทำอย่างเดิมซ้ำไปมา
“นี่…นี่เขากำลังทำอะไรกันแน่?”
“มิอาจทราบได้เลย! ไม่เคยเห็นวิธีรักษาเช่นนี้มาก่อนเลย! ไม่…มิใช่ว่าจำต้องหลอมโอสถให้พี่สองกินหรอกรึ?”
“เด็กคนนั้นคงมิใช่ว่าหลอกพวกเรากระมัง?”
“เพียงกรอกเทพลังปราณพร้อมผงสมุนไพรวิญญาณก็สามารถช่วยชีวิตพี่สองได้แล้วจริงๆรึ?”
…
เหล่าพี่น้องทั้งหลายต่างจับจ้องเย่หยวนด้วยความสงสัย แต่โดยส่วนใหญ่ต่างมองในแง่ไม่ดีเท่าไหร่นัก
โดยธรรมชาติแล้ว พวกเขาไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่าสองฝ่ามือที่เย่หยวนกดประทับลงไปมันวิเศษแค่ไหน
เย่หยวนหลอมรวมผงสมุนไพรวิญญาณเหล่านั้นไว้ในมือ แต่กรอกเทพลังปราณเทวะลงไปเพื่อคล้ายกับสร้างสะพานเชื่อมต่อไปยังเส้นลมปราณบริเวณหัวใจของหัวหน้าสอง
สิ่งนี้จะช่วยซ่อมแซมเส้นลมปราณที่ถูกตัดขาดไปของหัวหน้าสองได้ เย่หยวนค่อยๆไล่ระดับกรอกเทพลังปราณซ่อมแซมทีละเล็กละน้อย
ข้อสำคัญที่สุดของวิธีรักษาแบบนี้คือ พลังปราณเทวะของเย่หยวนจะต้องอยู่ในระดับที่เสถียรอย่างมาก กล่าวได้ว่าราวกับต้องทรงตัวเหนือเส้นด้ายบางมิให้เอนเอียง
วิธีนี้ทำให้เย่หยวนต้องใช้สมาธิอย่างมหาศาลเพื่อมิให้เกิดขึ้นผิดพลาดขึ้นได้แม้แต่นิดเดียว
ในมุมมองของเย่หยวน คำว่าศาสตร์แห่งโอสถมิได้ขึ้นอยู่กับแค่การหลอมกลั่นโอสถเท่านั้น
เมื่อเวลาผ่านไป ผลการรักษาก็เริ่มแสดงออกมาให้เห็นอย่างรวดเร็ว
“แค่ก… แค่ก…แค่ก…”
ทันใดนั้นพลันปรากฏเสียงไออย่างรุนแรงจากปากของหัวหน้าสอง
เมื่อเหล่าพี่น้องคนอื่นๆเห็นภาพฉากดังนั้น แต่ละคนต่างอ้าปากค้างด้วยความตื่นตะลึง
“นี่…นี่มันเรื่องจริงรึ? สวรรค์! เด็กหนุ่มคนนี้ฝีมือฉกาจยิ่งกว่าอู๋เฟินยิ่งนัก! ช่างน่าทึ่งจริงๆ!!”
หัวหน้าสามอ้าปากค้างไม่หุบอยู่เป็นเวลานาน
“ไร้สาระ! ฝีมือของอู๋เฟินไม่สมควรเอ่ยถึงต่อหน้าเด็กหนุ่มผู้นี้ด้วยซ้ำ! อู๋เฟินทำตัวราวกับว่าตนเองยิ่งใหญ่มาจากไกร เหอะ ถอดหัวตัวเองเตะเป็นลูกหนัง? ข้าอยากจะเห็นเสียจริงว่ามันจะกล้าถอดหัวออกมาจริงๆหรือเปล่า!”
หัวหน้าห้าระเบิดหัวเราะขึ้นด้วยความสะใจยิ่ง
“มหัศจรรย์ยิ่งนัก! นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เห็นว่ามีใครสามารถรักษาคนที่ถูกตัดเส้นลมปราณหัวใจได้! เด็กคน…ไม่สิ…ท่านปรมาจารย์ผู้นี้น่าทึ่งยิ่งนัก!”
เหล่าหัวหน้าคนอื่นๆต่างร้องอุทานขึ้นด้วยความประหลาดใจ
เมื่อเห็นว่าหัวหน้าสองเริ่มได้สติฟื้นตัวขึ้น ตราบาปภายในใจของประมุขพลันลดน้อยลงเช่นกัน
ลูกธนูดอกนี้ลอบโจมตีกะทันหันเกินไป หากมิใช่เพราะหัวหน้าสองที่พุ่งตัวเข้ามารับแทน คนที่นอนอยู่บนเตียงนั้นกลับเป็นเขาแทน
ในเวลานี้เอง เย่หยวนก็ค่อยๆลุกขึ้นยืน เหล่าพี่น้องทั้งหลายต่างรวมตัวโค้งศีรษะให้
“เจ้า-…ท่านปรมาจารย์ อาการของน้องสองข้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
ประมุขเปลี่ยนเสียงเรียนถามเย่หยวนทันทีด้วยความกังวล
เย่หยวนกล่าวเสียงเงียบขึ้นว่า
“บาดแผลจากลูกธนูนั้นสาหัสไม่น้อย แต่เส้นลมปราณที่เชื่อมกับหัวใจยามนี้สมานกันดีแล้ว ถึงแบบนั้นยังมีพิษรุนแรงหลงเหลืออยู่ในกาย เตรียมห้องสำหรับหลอมกลั่นโอสถให้ข้า อย่าให้ใครเข้ามารบกวนโดนเด็ดขาด นอกจากนี้ สมุนไพรวิญญาณที่ใช้ไปกับโอสถที่กำลังจะหลอมกลั่นต่อจากนี้มีราคาสูงมาก อืม…นี่เป็นครั้งแรกที่เราเจอกัน เช่นนั้นราคาปรานีลดเหลือห้าล้านผลึกปราณเทวะเป็นพอ”
“ฟู่ว…ผลึกปราณเทวะห้าล้านก้อนเลยงั้นรึ ไฉนไม่ปล้นกันเลยล่ะท่าน?”
ดวงตาของหัวหน้าห้าเบิกกว้าง ผงะตัวตกใจยิ่งที่ได้ยินราคา
โอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสามโดยทั่วไปจะมีราคาอยู่ที่สามแสนถึงหนึ่งล้านผลึกปราณเทวะ
แต่ราคาที่เย่หยวนเรียกเก็บพวกเขาไปกลับสูงกว่าถึงหลายเท่า!
เหล่าพี่น้องคนอื่นต่างรู้สึกปวดแสบปวดร้อนเช่นกันเมื่อได้ยิน แต่ประมุขยังคงกล่าวว่า
“เจ้าห้าหุบปาก! ราคาไหนที่ท่านปรมาจารย์ต้องการ ข้าย่อมจ่ายได้ไม่เป็นปัญหา! ห้าล้านก็ห้าล้าน!”
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“ยังคงเป็นท่านประมุขที่ใจหาญกล้าเด็ดเดี่ยวนัก เมื่อท่านเห็นโอสถที่หลอมกลั่นได้ ย่อมทราบทันทีว่ามันคุ้มกับเงินที่จ่ายไปขนาดไหน!”
หลังจากที่เย่หยวนจากไป หัวหน้าห้าก็เอ่ยถึงอย่างไม่พอใจว่า
“พี่ใหญ่ อีกฝ่ายขูดเลือดขูดเนื้อพวกเราเกินไป!”
หัวหน้าสามกล่าวเสริมว่า
“ใช่แล้วพี่ใหญ่! เรามอบผลึกปราณเทวะจำนวนห้าล้านก้อนไม่พอ แต่เรา…ยังต้องเปลี่ยนชื่อกลุ่มอีก!”
ประมุขที่ได้ยินเช่นนั้นพลันตะหวาดเสียงดังลั่น
“ชีวิตของน้องสองทีค่าแค่ห้าล้านหรืออย่างไร?! หื้ม? ชีวิตของพวกเจ้าทุกคนมีค่ายิ่งกว่าสิ่งใดในสายตาข้า แค่เงินห้าล้านกลับไม่นับเป็นอันใด!”
วาจาเปล่งลั่นแสนเย็นสะท้านนี้ทำเอาทุกคนปิดปากเงียบลงในทันที
ในเวลานี้เอง ท้ายที่สุดหัวหน้าสองก็ได้สติฟื้นขึ้นมาบนเตียง
“โอ้ น้องสอง! เจ้าตื่นแล้ว! ยอดเยี่ยมจริงๆ!”
ประมุขเอ่ยปากถามพร้อมท่าทีสุดตื่นเต้น
ดวงตาคู่นั้นของหัวหน้าสองฉายแววมึนงงเล็กน้อย ก่อนจะพยายามเปล่งเสียงกล่าวขึ้นว่า
“ข้า…ข้าโดนศรดับอัสนีไปมิใช่รึ? ไฉนข้ายังไม่ตาย?”
หัวหน้าห้าระเบิดหัวเราะลั่นกล่าวว่า
“ฮ่าๆๆ เดิมทีท่านต้องตายแล้วแน่นอน แต่โชคดียิ่งที่พานพบกับท่านปรมาจารย์สุดแกร่งกล้าช่วยเหลือชีวิตท่านเอาไว้!
ประมุขขำพยักหน้าตอบและยิ้มกล่าวว่า
“สิ่งที่เจ้าห้ากล่าวไปถูกต้องแล้ว! ประการที่สองข้ารู้สึกขอบคุณเจ้าจริงๆ หากมิได้เจ้าช่วยเหลือในตอนนั้น ข้าคงต้องตายแน่นอน ข้าเป็นหนี้บุญคุณเจ้า!”
หัวหน้าสองฝืนยิ้มตอบว่า
“พี่ใหญ่ พวกเราเป็นพี่น้องกัน…ไยต้องเอ่ยวาจาห่างเหินเช่นนั้น?”
ตอนที่ 1536 การตั้งชื่อ
โดย
Ink Stone_Fantasy
เย่หยวนมิได้กลัวว่าใครจะมารบกวนจนเสียสมาธิ แต่เพราะหม้อหลอมโอสถของเขามันล้ำค่าจนน่าตกใจเกินไป
หากเรื่องที่เขาครอบครองสมบัติราชันพระเจ้าเลิศล้ำรั่วไหลออกไป เกรงว่าตนอาจถูกเหล่ายอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าตามไล่ล่าอย่างบ้าคลั่ง
ในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์แห่งนี้มีระดับชั้นราชันพระเจ้าอยู่ทั่วทุกหนแห่ง เย่หยวนเองก็มิกล้าประมาทเช่นกัน
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยาม โอสถล้างพิษก็หลอมกลั่นเสร็จสมบูรณ์
นี่เป็นโอสถล้างพิษที่เย่หยวนพัฒนาต่อยอดขึ้นมาเอง ซึ่งประสิทธิภาพแตกต่างไปจากโอสถล้างพิษระดับสามทั่วไป
“ขั้นเทวะ!”
เมื่อประมุขเห็นเม็ดโอสถกลมสวยตรงหน้า ดวงตาทั้งสองของเขาพลันเปล่งประกายจรัสในทันใด
โอสถศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะหาใช่สิ่งที่ผู้ใดจะสามารถหลอมกลั่นกันได้!
อู๋เฟินเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะนักหลอมโอสถอันดับหนึ่งแห่งเขตเมืองทางตอนใต้ อย่างมากที่สุดเขายังหลอมกลั่นได้แค่ขั้นสูงเท่านั้น
เพียงแค่นั้นยังต้องอาศัยโชคมหาศาล
แต่เด็กหนุ่มตรงหน้าเขากลับสามารถหลอมกลั่นได้ถึงขั้นเทวะจริงๆ!
ประมุขสูดไอเย็นแช่มลึกด้วยความตื่นตะลึงใจไม่รู้จบ ขณะทอดสายตาจับจ้องเย่หยวนไม่คลายอ่อน
แต่ในไม่ช้าเขาก็นึกได้ถึงบางอย่าง พลันอดใจเอ่ยถามด้วยความงุนงงมิได้ว่า
“ท่านปรมาจารย์…นี่คือโอสถอะไร?”
เย่หยวนกลอกตาเจือรำคาญใจนักพลางกล่าวไปว่า
“นอกจากโอสถล้างพิษยังเป็นอันใดอื่นได้? ข้าคงมิได้หลอมกลั่นโอสถเพิ่มพูนพลังปราณให้เขาเลื่อนระดับชั้นกระมัง? หากยังไม่กิน ข้าขอเก็บคืน”
ประมุขเร่งก้มศีรษะให้ทันทีและเอ่ยกล่าวอย่างไม่ค่อยมั่นใจว่า
“ทะ-ท่านปรมาจารย์ ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น! ท่านปรมาจารย์คงไม่ทราบว่าพิษชนิดนี้มิอานุภาพรุนแรงมาก เกรงว่าโอสถล้างพิษทั่วไปกลับช่วยเหลือมิได้”
เย่หยวนกลอกตาอีกระลอกด้วยความรำคาญ ยามนี้หมดอารมณ์สนทนากับประมุขโง่คนนี้แล้ว เขาเดินตรงเข้ามาข้างเตียงและยัดโอสถลงในปากของหัวหน้าสองทันที
ที่ประมุขเอ่ยถามเช่นนั้นล้วนเกิดการความกังวลทั้งสิ้น เพราะท้ายที่สุดแล้วพิษผลาญกระดูกเพลิงชื่อเสียงเลื่องลือค่อนข้างโด่งดัง
แต่ทันทีทันใดเขาก็ตระหนักทราบในทันทีว่า ตนไม่ควรสงสัยเรื่องไร้สาระเช่นนี้เลย
ท่านปรมาจารย์ที่สามารถผสานเส้นลมปราณหัวใจได้ มีหรือที่โอสถเม็ดนี้จะไม่ได้ผล?
ซ้ำแล้วมันยังเป็นถึงโอสถขั้นเทวะ!
แน่นอนว่าสีหน้าการแสดงออกของหัวหน้าสองจากทมิฬดำคล้ำ ยามนี้เริ่มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ประสิทธิภาพของโอสถเม็ดนี้แสนมหัศจรรย์ยิ่ง!
“ช่างเป็นโอสถล้างพิเศษที่มหัศจรรย์โดยแท้! เพียงไม่นาน…พิษของพี่สองก็ถูกขับออกไปแล้ว?”
“ถูกต้อง แม้แต่โอสถล้างพิษผลาญกระดูกเพลิงก็ยังไม่แสดงผลเร็วปานนี้!”
“ช่างเป็นโอสถล้างพิษที่ทรงพลังเกินไป เมื่อเทียบกับโอสถล้างพิษตามท้องตลาด พวกนั้นล้วนเป็นขยะชัดๆ!”
เหล่าพี่น้องต่างส่งเสียงร้องอุทานลั่น พร้อมตื่นตะลึงยิ่งกับประสิทธิภาพของโอสถล้างพิษเม็ดนี้
พวกเขาทุกคนในกลุ่มล้วนใช้ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายทุกวัน การได้รับบาดเจ็บทั้งทางกายและพิษล้วนเป็นเรื่องปกติเกินไป
หากพวกเขามีโอสถล้างพิษชนิดนี้พกติดตัว มีหรือยังต้องกลัวโดยวางยา?
ตุบบบ!
หลังจากที่หัวหน้าสองลุกขึ้นยืนได้แล้ว เขาก็รีบคุกเข่าลงต่อหน้าเย่หยวนทันทีและกล่าวด้วยความเคารพเลื่อมใสยิ่งว่า
“ขอบพระคุณท่านปรมาจารย์ยิ่งที่ช่วยชีวิตข้า! จู้โหย่วไม่มีวันลืม!”
เย่หยวนกล่าวตอบเสียงเรียบว่า
“ไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า เพียงทำตามสัญญาที่ให้ไว้เป็นพอ”
ขณะที่เอ่ยกล่าว เย่หยวนเหลือบมองประมุขเล็กน้อยและกล่าวต่อว่า
“ท่านประมุข อย่าลืมเรื่องที่เราตกลงกันไว้!”
ประมุขเองรีบพยักหน้าตอบอย่างตรงไปตรงมาและกล่าวว่า
“ข้าซิงกวนกล่าวคำไหนคำนั้น ในเมื่อข้ากล่าวสัตย์ให้สัญญากับท่านปรมาจารย์เย่แล้ว ย่อมไม่กลับคำโดยเด็ดขาด! แต่…ซิงคนนี้ก็มีคำขอเช่นกัน”
เย่หยวนมิได้คิดมากอะไรนักกับคำกล่าวของอีกฝ่าย พลางเอ่ยามอย่างใจเย็นว่า
“เรื่องอันใดรึ?”
ประมุขกล่าวว่า
“ข้าได้ยินมาว่า ท่านปรมาจารย์เย่เพิ่งเดินทางมาที่เมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์เป็นครั้งแรก ข้าสงสัยว่าท่านมีที่ที่ต้องการจะไปหรือไม่?”
เย่หยวนยืนแข็งค้างอยู่ชั่วครู่ก่อนกล่าวว่า
“มีที่จะไปแน่นอน แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้ข้ายังเข้าไปไม่ได้”
ไม่กี่วันก่อนเขาให้อาซื่อจัดการเรื่องนี้ไปแล้ว แต่ดูเหมือนว่ามันกลับมิใช่เรื่องง่ายที่สามารถแก้ไขได้ในระยะเวลาสั้นๆ
ความลำบากในการเข้าสู้เขตเมืองชั้นในค่อนข้างยากกว่าที่เขาคิดไว้
เมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์แบ่งแยกเมืองชั้นในและชั้นนอกออกไปอย่างชัดเจน ราวกับสองโลกที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง
เมืองชั้นในเป็นสถานที่ของชนชั้นสูงของเมืองจักรพรรดิ
ประมุขกล่าวเสนอขึ้นทันทีว่า
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น แสดงว่าท่านปรมาจารย์เย่เองก็ต้องการที่พักพิงเช่นกัน เช่นนั้นไฉนถึงไม่…เข้าร่วมกับกลุ่ม…ล่ามังกรของเราล่ะ? ท่านปรมาจารย์โปรดมั่นใจได้ ค่าใช้จ่ายทั้งหมดของท่าน พวกเราจะจัดการเอง!”
เย่หยวนเหลือบมองซิงกวนเล็กน้อยพร้อมรอยยิ้มที่มิใช่รอยยิ้ม
“แน่ใจหรือว่าจ่ายไหว รู้หรือไม่ว่าต้องใช้ผลึกปราณเทวะจำนวนมหาศาลเท่าไหร่ในการเลื่อนระดับชั้นสู่จอมเทพโอสถสามดาว?”
ประมุขที่ได้ยินเช่นนั้นอดสำลักมิได้เช่นกัน
เขาเพียงเสนอตามที่คิดออกไปดูเท่านั้น แน่นอนว่าหากคำนวณจริงจังแล้วราคานี้ไม่สามารถจะจ่ายไหวได้!
ฝืมือของเย่หยวนน่ากลัวกว่าเฟินมาก ดังนั้นเขาหรือจะเหลียวมองกลุ่มล่ามังกรเล็กๆแห่งนี้?
แม้ว่านักหลอมโอสถโดยส่วนใหญ่จะร่ำรวยมั่งคั่ง แต่จำนวนเงินทองที่พวกเขาเผาผลาญก็หาใช่จำนวนน้อยๆ
หากพวกเขามีเงินทุนสามารถเลี้ยงดูนักหลอมโอสถได้สักคน ไฉนพวกเขาจำต้องรอจนถึงวันนี้?
ผู้ที่สามารถเลี้ยงดูนักหลอมโอสถให้กินดีอยู่ดีพร้อมทรัพยากรไม่ขาดมือได้ มีเพียงสามตระกูลใหญ่ที่มีรากฐานหยั่งลึกเท่านั้น
แม้สามกลุ่มอิทธิพลจะเป็นส่วนหนึ่งของหกขั้วอำนาจใหญ่ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับสามตระกูลใหญ่แล้ว พวกเขายังค่อนข้างแย่กว่ามาก
กลุ่มทั้งสามแย่งชิงทางถนนข้างทางที่สามตระกูลมิได้สนใจอะไร
ส่วนพื้นที่ที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดจริงๆ ทั้งหมดล้วนอยู่ในมือของสามตระกูลใหญ่ทั้งสิ้น
ประมุขเอ่ยขอโทษขอโพยทราบท่าทีเก้อเขินว่า
“เอ่อ…ซิงคนนี้อวดอ้างอึงโขมาเกินไปจริงๆ หวังว่าท่านปรมาจารย์เย่จะไม่ขุ่นเคือง”
เย่หยวนจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าซิงกวนคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่ พวกเขาทำให้อู๋เฟินขุ่นเคืองจนผิดใจกันและกล่าวว่าจะถูกอู๋เฟินสร้างปัญหาให้ในอนาคต นั้นจึงเป็นเหตุผลที่พวกเขาพยายามดึงตัวเย่หยวนไว้
อู๋เฟินเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะนักหลอมโอสถอันดับหนึ่งแห่งเขตเมืองตอนใต้ เขาย่อมมีขุมกำลังอำนาจเหลือล้น
ถึงเขาจะไม่สามารถรักษาหัวหน้าสองได้ แต่พวกซิงกวนยังต้องมอบผลึกปราณเทวะแก่เขาเป็นจำนวนมหาศาลอยู่ดี ถือเป็นค่าเชิญ
ในตอนนี้พวกเขาตกอยู่ภายในสถานการณ์ที่ค่อนข้างอึดอัดใจมาก
อู๋เฟินมีสถานศักดิ์สูงส่งเพียงใด ไม่ว่าฝ่ายไหนย่อมต้องการตัว
ซิงกวนในปัจจุบันไม่กล้าปลดปล่อยขุมพลังอาณาจักรราชันพระเจ้าครึ่งขั้นออกมาต่อหน้าเย่หยวนเลยด้วยซ้ำ
นี่จะเห็นได้ว่านักหลอมโอสถเป็นอาชีพที่สูงศักดิ์เพียงใด
แม้ระดับพลังจะไม่ถูกเท่า แต่เจ้าก็ไม่สามารถยั่วโทสะกันได้เช่นกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเย่หยวน ในตอนนี้เขาคือความหวังเดียวของกลุ่มล่ามังกร
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“ปล่อยให้ข้าอยู่ที่นี่กลับหาชาเรื่องเป็นไปไม่ได้ แต่…ข้าขอไม่เข้าร่วมกับกลุ่มพวกเจ้า นอกจากนี้พวกเจ้าช่วยจัดเตรียมร้านค้าให้ข้าด้วย”
เนื้อตัยซิงกวนสั่นสะท้านหนัก ยามนี้จับจ้องไปที่เย่หยวนอย่างไม่อยากจะเชื่อ
เหล่าพี่น้องโดยรอบเองต่างจับจ้องด้วยความตื่นตะลึงเช่นกัน
สรุปแล้วตกลงเช่นนี้ก็ได้ด้วยรึ?
แต่เดิมพวกเขาสูญสิ้นความหวังไปทั้งหมดไม่เหลือ แต่ใครจะไปคิด เย่หยวนจะกลับลำกะทันหันและยอมตกลงอยู่ที่นี่ต่อไปจริงๆ!
ทันทีทันใดพวกเขาทั้งหมดพลันเผยสีหน้าสุดอิ่มเอมใจขึ้นในบัดดล
“ฮ่าๆ ย่อมไม่มีปัญหา! ไม่ว่าท่านต้องการสิ่งใดท่านปรมาจารย์เย่โปรดอย่าลังเลที่จะเอ่ยกล่าว! โอ้ใช่แล้ว เนื่องจากท่านปรมาจารย์เย่ต้องการให้เขาเปลี่ยนชื่อกลุ่ม ไฉนมิให้ท่านคิดชื่อให้ล่ะ?”
ซิงกวนเอ่ยกล่าวขึ้นด้วยความยินดีปรีใจ
เย่หยวนพยักหน้าเห็นด้วยกับซิงกวน
เพราะยามนี้เขาค้นพบแล้วว่า การจะเข้าสู่เขตเมืองชั้นในนั้นยากกว่าที่คิดมาก
ลำพังแค่อาซื่อคงไม่ไหวแน่นอน
หอมหาสมบัติเองก็นับเป็นกลุ่มอิทธิพลชั้นหนึ่งของเขตเมืองชั้นในอีกด้วย
อาซื่อเป็นเพียงปลาตัวน้อยจะไปมีคุณสมบัติติดต่อกับกลุ่มอำนาจเช่นนั้นได้อย่างไร
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาควรหาที่ปักหลักเสียก่อน
แม้ว่ากลุ่มล่ามังกรจะมีสถานศักดิ์ค่อนข้างเป็นรองคนอื่นมาก แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ล้วนเป็นคนซื่อสัตย์และถักดีต่อพี่น้องและมิตรสหาย สิ่งนี้ทำให้เย่หยวนค่อนข้างไว้ใจพวกเขา
เนื่องจากไม่สามารถเข้าไปในเขตเมืองชั้นในได้ เช่นนั้นก็คงต้องปล่อยให้หอมหาสมบัติเดินทางมาหาเขาแทน
เย่หยวนครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า
“เนื่องจากความสามัคคีของพวกเจ้า ยามผสานเป็นหนึ่งเปรียบได้กับสายฟ้าคำรนก้องนภา เช่นนั้นไฉนไม่ตั้งชื่อว่า…กลุ่มอัสนีคำรน?”
ตอนที่ 1537 ร้านรับจ้างสารพัด
โดย
Ink Stone_Fantasy
หอเต๋ออี้เป็นโถงโอสถที่ใหญ่ที่สุดของเมืองทางตอนใต้ โดยมีอู๋เฟินเป็นนักหลอมโอสถอับดับหนึ่งประจำอยู่ที่แห่งนี้
ในฐานะที่เป็นถึงโถงสมุนไพรอันดับหนึ่งของเขตเมืองทางตอนใต้ ธุรกิจของหอเต๋ออี้จึงนับว่าเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด มีการเจรจาติดต่อกันไม่ขาดสาย
“เจ้ากล่าวว่าอันใด?! จู้โหย่วยังไม่ตาย?!”
อู๋เฟินจับจ้องไปที่เถ้าแก่ด้วยความตื่นตกใจยิ่ง
เถ้าแก่คนนั้นพยักหน้าและกล่าวว่า
“ไม่เพียงไม่ตายเท่านั้น แต่เขายังฟื้นคืนกลับมากระฉับกระเฉงราวกับมิใช่คนป่วย! เมื่อเช้านี้เห็นว่าเขาเดินเหินสนทนากับคนของตนอย่างร่าเริงแจ่มใสยิ่ง ราวกับว่าเขาไม่เคยได้รับบาดเจ็บใดๆมาก่อน!”
คู่สายตาของอู๋เฟิรนหรี่แคบลงในทันใด ยามนี้พลันส่ายหัวอานกล่าวว่า
“นี่เป็นไปไม่ได้! ข้าวินิจฉัยโดยละเอียดดีแล้วด้วยตนเอง! เส้นลมปราณที่เชื่อมต่อกับหัวใจเขาถูกตัดขาดสะบั้น ต่อให้เป็นผู้เป็นอมตะก็ช่วยชีวิตมิได้ แต่นี่เพิ่งผ่านไปเพียงสามวัน เขาจะกลับมาเดินเหินเป็นปกติได้อย่างไร?”
เถ้าแก่ครี่ยิ้มแสนขมขื่นใจยิ่ง เขากล่าวว่า
“ข้าได้ส่งคนไปตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว นอกจากเส้นลมปราณจะกลับเป็นปกติดังเดิม พิษผลาญกระดูกเพลิงที่กระจายอยู่ทั่วร่างก็ได้รับการขับออกโดยสิ้นแล้ว”
สีหน้าการแสดงออกของอู๋เฟินแปรเปลี่ยนไปทันที เขาขมวดคิ้วแน่นจนเห็นรอยย่นลึกพลางกล่าวน้ำเสียงเคร่งขขรึมว่า
“นี่เป็นไปได้อย่างไร? เขาถูกเด็กนั้นรักษาจนหายได้จริงๆงั้นรึ? ไอ้เปี๊ยกที่ยังไม่โตนั้นจะมีความสามารถขนาดนี้ได้อย่างไร?”
เถ้าแก่งุนงงฉงนใจยิ่งเมื่อได้ฟัง
“พี่อู๋เฟิน เด็กที่ว่าคือใครกัน? ท่านกำลังกล่าวถึงอันใด?”
อู๋เฟินตัวแข็งค้างไปครู่ใหญ่ เขาส่ายหัวกล่าวว่า
“ไม่มีอะไร! นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป หอเต๋ออี้และโถงโอสถทั้งหมดของตระกูลตงฟางจะยุติให้ความร่วมมือทั้งหมดกับกลุ่มล่ามังกร ห้ามจำหน่ายโอสถแก่พวกเขา! ในเมื่อพวกมันกล้าดูถูกเราชายชราผู้นี้ เช่นนั้นก็จงรับผลนั้นคืนสนอง!”
สีหน้าการแสดงออกของเถ้าแก่แปรเปลี่ยนไปทันที ก่อนจะเอ่ยกล่าวอย่างลำบากใจยิ่งว่า
“พี่อู๋เฟิน เอ่อ…กลุ่มล่ามังกรเป็นลูกค้ารายใหญ่ของเรา การคว่ำบาตรเช่นนี้คงมิใช่ผลดีนัก…”
อู๋เฟินตะคอกสวนเสียงเยียบเย็นว่า
“ทำไม? เห็นข้าไร้ซึ่งอำนาจมากรึไง?”
เถ้าแก่คลี่ยิ้มแสนขมขื่นใจยิ่งพร้อมกล่าวว่า
“พี่อู๋เฟินกล่าวเกินไปแล้ว ท่านย่อมมีอำนาจสั่งการโดยธรรมชาติ เอาล่ะข้าจะเร่งดำเนินการทันที!”
สถานะของอู๋เฟินในตระกูลตงฟางสูงส่งเกินไป แม้เขาจะเป็นเถ้าแก่ของหอเต๋ออี้ แต่ก็ไม่สามารถขัดสั่งของเทพผู้นี้ได้
เพียงว่าสิ่งที่เขาอยากรู้ที่สุดคือ ใครกันที่ทำให้อู๋เฟินผู้สูงส่งขุ่นเคืองจนต้องหันมาจับอาวุธเคลื่อนไหวได้ปานนี้?
…
“เจ้ากำลังกล่าวอันใด? จู้โหย่วมันยังไม่ตายจริงๆ? เป็นไปได้อย่างไร? ศรดับอัสนีของข้าไม่เคยพลาดมาก่อน!”
เมื่อหัวหน้าสองแห่งกลุ่มสุริยะจันทรา เหอเซียวได้ยินดังนั้น ปฏิกิริยาแรกคือไม่อยากจะเชื่อ
ศรดับอัสนีของเรารุนแรงและแม่นยำเสมอมา มันไม่เคยพลาดเป้ามาก่อน!
แม้ว่าเห่อเซียวจะเป็นเพียงเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าขั้นสุด แต่หากอาศัยศรดับอสนีดอกนี้ แม้แต่การจะสังหารยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าครึ่งขั้นก็หาใช่เรื่องยากไม่
ตราบเท่าที่เขามีโอกาสโจมตี!
กลุ่มขนนกเงินนำจ่ายเงินเป็นจำนวนมหาศาลเพื่อเชิญให้เห่อเซียวดำเนินการโดยส่วนตัว แต่ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่า ผลสุดท้ายกลับต้องประสบความล้มเหลวเช่นนี้
ซิงกวนมิได้ถูกยิงไม่พอ แต่สุดท้ายคนที่เข้าสละชีพเพื่อขวางศรดอกนี้อย่างจู้โหย่วก็ยังไม่ตายอีกด้วย ซ้ำร้ายอีกฝ่ายที่ควรนอนติดเตียง ยังลุกขึ้นเดินเหินราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก! แล้วนี่จะมิให้เขาตกใจได้อย่างไร?
“เหอะ การที่จู้โหย่วเดินเหินทั่วเมืองได้โดยไม่มีอะไรเกิดขึ้นมันแสร้งกันได้ที่ไหน? นอกจากนี้ยังมีข่าวสะเทือนใจยิ่งกว่า กลุ่มล่ามังกรตอนนี้เปลี่ยนชื่อไปเป็น…กลุ่มอัสนีคำรนแล้ว!”
สีหน้าการแสดงออกของเหอเซียวเปลี่ยนไปครั้งแล้วครั้งเล่า ประหลาดใจแล้วยังมีเรื่องประหลาดใจกว่า
เกิดอะไรขึ้นกับกลุ่มล่ามังกรกันแน่?
“วันนี้ที่เจ้ามาหาข้าเพื่อต้องการจัดการเรื่องนี้กระมัง? ข้าดำเนินการไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนที่ว่าจู้โหย่วจะตายหรือไม่กลับไม่เกี่ยวข้องกับข้าแล้ว! หรือเป็นไปได้ไหมที่กลุ่มขนนกเงินของเจ้าจะคิดกลับคพูด?”
หลัวอวี้ยิ้มและกล่าวว่า
“มั่นใจได้เลย ถนนเชียนถิงสามสายหลัก หนึ่งในนั้นย่อมเป็นของพวกเจ้า! ที่ข้ามาในวันนี้เพียงต้องการหารือเท่านั้น ในเมื่อท่านประมุขทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าได้ เราจะไม่สามารถยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของเขตเมืองตอนใต้ได้อีกต่อไป ก่อนหน้านั้น พวกเรามาร่วมมือกันกำจัดกลุ่มอัสนีคำรนก่อนดีหรือไม่? เจ้าในฐานะประมุขคนต่อไปคิดเห็นอย่างไรบ้าง?”
ในบรรดาสามกลุ่มอิทธิพล เป็นกลุ่มสุริยันจันทราที่แข็งแกร่งที่สุด
ความแกร่งกล้าของประมุขกลุ่มสุริยันจันทราอยู่ใกล้เคียงกับยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าขนานแท้ที่สุด และเขาสามารถทะลวงขึ่นไปได้ทุกเมื่อ
หลายปีที่ผ่านมา เขาปลีกวิเวกเก็บตัวอย่างเงียบงันมาโดยตลอด
และความแข็งแกร่งของเหอเซียวเองก็ใกล้เคียงกับอาณาจักรราชันพระเจ้าครึ่งขั้นเช่นกัน
ตามกฎของเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์คือ ยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าจะไม่สามารถแทรกแซงกิจของเมืองชั้นนอกได้
เมื่อถึงเวลานั้น เหอเซียวจะขึ้นกลายมาเป็นประมุขกลุ่มสุริยันจันทราคนต่อไป
เหอเซียวจับจ้องปืที่หลัวอวี้พร้อมคู่สายตาหลายหลากความหมาย
“เจ้า…คิดจะภักดีต่อกลุ่มสุริยันจันทรากระมัง?”
หลัวอวี้ยิ้มกล่าวว่า
“นกที่ดีย่อมเลือกต้นไม้เกาะ! กลุ่มอิทธิพลทั้งสามของเราต่อสู้แข่งขันกันอย่างเปิดเผยมาเป็นเวลาหลายปี แต่ในสายตาของสามตระกูลใหญ่กลับมองพวกเราเป็นแค่ริ้วล้อข้างถนน ทว่าตอนนี้ในที่สุดพวกเราก็ให้กำเนิดยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าขึ้นมาได้ นี่คือเวลาที่เราจำต้องพึ่งพิงซึ่งกันและกัน!”
เมื่อเอ่ยกล่าวออกไปเช่นนั้น หลัวอวี้เองพลันสีหน้าหม่นหมองลงพร้อมหลากอารมณ์ที่ผันผวนซับซ้อนไม่ต่าง
อำนาจอิทธิพลของกลุ่มอำนาจทั้งสามด้อยกว่าสามตระกูลใหญ่อย่างเห็นได้ชัด เพราะพวกเขาไม่มียอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง
ประมุขทั้งสามกลุ่มล้วนแข่งขันกันอย่างดุเดือด เพื่อเดาว่าใครกันที่สามารถบุกทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าเต็มขั้นได้ก่อนกัน
และเมื่อพินิจมองในยามนี้ ดูเหมือนจะเป็นประมุขของกลุ่มสุริยันจันทราที่มีความเป็นไปได้สูงสุด!
แม้ว่ายอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าจะไม่สามารถเข้าแทรกแซงกิจของเมืองชั้นนอกได้อย่างโจ่งแจ้ง แต่หลับหลังในเงามือย่อมเคลื่อนไหวได้เป็นธรรมดา
เมื่อเหอเซียวได้ยินเช่นนั้นก็อดยิ้มมิได้ว่า
“ยังคงเป็นประมุขหลัวที่เข้าใจสถานการณ์ทุกอย่างดีที่สุด ต่างจากเจ้าซิงกวนที่ไม่ฟังอะไรทั้งนั้น แจ่ความแกร่งกล้าของซิงกวนเองก็น่าเกรงขามอย่างมาก หาใช่เรื่องง่ายที่จะจัดการ!”
หลัวอวี้ยิ้มและกล่าวตอบว่า
“ในอดีตเขาหาใช่เรื่องง่ายที่จะต่อกร แต่ในตอนนี้…ไม่รู้ว่าเห็นใดไฉนซิงกวนถึงแตกหักกับปรมาจารย์อู๋เฟิน ทั้งธุรกิจของหอเต๋ออี้กับตระกูลตงฟางต่างพากันคว่ำบาตรกลุ่มอัสนีคำรนกันหมด หากปราศจากตระกูลตงฟางค่อยหนุนหลัง ซิงกวนคงยังพลิกสวรรค์ได้กระมัง?”
เหอเซียวเลิกคิ้วกล่าวว่า
“นี่เป็นเรื่องจริงรึ?”
หลัวอวี้ยิ้มกล่าวว่า
“จริงยิ่งกว่าทองบนฟันข้าอีก!”
ทั้งสองสบตากันเล็กน้อยก่อนระเบิดหัวเราะลั่น
…
บนถนนสายหนึ่งปรากฏชายขนหนังสืออายุเยาว์วัยกำลังเดินเตร่ติดตามชายหน้าสวยอีกคนอยู่บนท้องถนน
“คุณหน…เอ่ย…นายน้อย นี่ก็สายมากแล้ว ควรรีบกลับ…”
ชายขนหนังสือที่ไล่ตามมาติดๆเอ่ยกล่าวขึ้น
เยาวชนอีกที่อีกฝ่ายติดตามอยู่ เป็นนายน้อยหนุ่มใบหน้าสวย ผิวพรรณละเอียดอ่อนนวลขาวประดุจหิมะ คู่ดวงตากลมโตและใสบริสุทธิ์ยิ่ง หากสังเกตให้ดีควรจะเป็นหญิงงามที่ปลอมตัวเลียนแบบผู้ชายเสียมากกว่า
ถึงแม้จะพยายามแต่งตัวปิดบังขนาดนี้ รวมทั้งยังมิได้แต่งหน้าใด ทว่าทั้งหมดทั้งมวลกลับไม่สามารถปิดกั้นความงดงามของนางได้เลย
หนุ่มหน้าหวานจ้องเขม็งใส่อีกฝ่ายพลันดุขึ้นว่า
“เจ้าฮวนน้อย อยากกลับจนคันแล้วรึไง? เจ้าเข้าใจคำว่าหนีออกจากบ้านหรือไม่? กลับไปงั้นรึ? กลับไปเพื่ออันใด? นั้นก็มิได้ต่างกับเดินไปหากับดักเลยรึไง?”
ฮวนน้อยเองก็ดูจะเป็นหญิงสาวปลอมตัวมาเช่นกัน ยามนี้รีบเม้มริมฝีปากงามและไม่กล้ากล่าวอันใดอีกต่อไป
ทันใดนั้นหนุ่มหน้าหวานก็เงยหน้า พลันพบเห็นป้ายร้านค้าแห่งหนึ่ง‘ร้านรับจ้างสารพัด’เขียนอยู่เป็นอักษรใหญ่โต ดูอย่างไรก็เป็นเพียงร้านขายโอสถเล็กๆเส็งเคร็งร้านหนึ่งเท่านั้น เห็นแบบนี้หนุ่มหน้าหวานพลันปั้นหน้าดูถูกอย่างอดมิได้
“เหอะ ร้านขายโอสถเล็กๆเช่นนี้คงไม่มีแม้แต่จอมเทพโอสถสามดาวด้วยซ้ำ ยังกล้ากล่าวอ้างว่ารับจ้างสารพัดงั้นรึ? เช่นนั้นขอดูเสียหน่อยว่าจะสามารถทำได้ทุกคำขอจริงๆหรือไม่!”
ในขณะที่เอ่ยปากขึ้นนั้นเอง หนุ่มหน้าหนาวก็ก้าวแช่มเดินตรงเข้าไปในร้านทันที
“เจ้าของร้าน! ป้ายด้านหน้าร้านมันเขียนว่า รับจ้างสารพัด เจ้าคงหลอมกลั่นโอสถได้ทุกชนิดกระมัง?”
เจ้าของร้านรีบเร่งออกมาทักทายทันที พร้อมท่าทีเก้อเขินเล็กน้อย
“ก็เอ่อ…ตามนั้นเลยนายน้อย”
เจ้าของร้านคนนี้ดูท่าอ่อนประสบการณ์นัก เมื่อวานมีคนขอให้ทำร้านค้าแห่งนี้ขึ้นมากะทันหัน และสิ่งที่เจ้าของร้านผู้แสนเขินอายคนนี้ร้องขอคือ ช่วยทำป้ายคำว่า‘ร้านรับจ้างสารพัด’ขึ้นและติดไว้หน้าทางเข้า
ยามนี้แค่ออกมาพบหน้าลูกค้าก็เหงื่อตกเสียแล้ว เอ่อ…หรือข้าปลอมเสียงดูน่ากลัวเกินไป?
อย่างไรก็ตาม เจ้าของร้านคนนี้ยังเป็นเด็กน้อยอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าชั้นต้น ทว่ากลับขี้โม้ขนาดนี้เลยงั้นรึ? เด็กตัวแค่นี้จะหลอมกลั่นโอสถทุกชนิดได้อย่างไร?
เช่นนี้คงต้องลองจับผิดกันเสียหน่อยว่าอย่างไร?
“จริงๆงั้นรึ? เจ้าเป็นเจ้าของร้าน? เหอะ ฟังดูไม่เลว นี่คงมิใช่อวดอ้างขี้โม้หลอกลวงผู้คนไปเรื่อยกระมัง?”
หนุ่มหน้าหนาวแสยะยิ้มกล่าวอย่างเยือกเย็น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น