Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1518-1527

 ตอนที่ 1518 ผิดปกติ!

โดย

Ink Stone_Fantasy

ไม่มีใครชัดเจนไปกว่าปาถู่อีกแล้ว สำหรับความแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้ในรอบที่ห้า


 หากเย่หยวนสามารถผ่านรอบนี้ไปได้ เขาก็อดที่จะสงสัยมิได้เลยว่าอาจมีบางอย่างผิดพลาดไปจริงๆ


ในเวลานี้เองติงฟานก็กำลังพักผ่อนอยู่ เพื่อเตรียมท้าทายในรอบต่อไป


หลังจากที่ผ่านแต่ละรอบมาได้ เหล่านักสู้จะได้เวลาประมาณหนึ่งส่วนสี่ของครึ่งชั่วยามเพื่อพักฟื้นพลังกลับถือสู่สภาวะสุดยอดอีกครั้ง ก่อนจะออกไปท้าทายในลำดับต่อไป


ขณะที่อีกสองคนจากหกบุตรแห่งกล้วยไม้อริยะกำลังสัประยุทธ์เดือดอยู่กับคู่ต่อสู้คนที่หก


ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเป็นรองค่อนข้างมาก


ในท้ายที่สุด พวกเขาทั้งสองก็พ่ายลงและถูกส่งกลับออกมา เมื่อเห็นว่าปาถู่พ่ายแพ้ก่อนพวกเขา ทั้งคู่ต่างอดประหลาดใจมิได้


“ปาถู่เจ้าพ่ายเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร?”


หนึ่งในนั้นเอ่ยถามขึ้น


ความแข็งแกร่งของปาถู่อยู่ในลำดับชั้นกลางจากทั้งหก หากกล่าวตามหลักเหตุและผล เขาไม่ควรพลาดท่าแพ้เร็วขนาดนี้


ปาถู่พยักหน้ายอมรับแต่โดยดีว่า


“ข้าใจร้อนและอยากจะเอาชนะมากเกินไป จนประมาทส่งผลให้ข้าแพ้ลงในท้ายที่สุด ถึงอย่างไรก็ตาม แม้ข้าจะระมัดระวังตัวมากขึ้น แต่ผลที่ออกมาคงไม่ต่างกันนัก ข้าไม่สามารถผ่านรอบที่หกได้เลยแม้นจะใช้พลังทั้งหมดที่มี”


ทั้งสองพยักหน้าตอบเห็นด้วย


แต่ทันทีทันใด เมื่อทั้งสองเหลือบไปเห็นภาพฉาก ณ ด้านหนึ่ง พวกเขาต่างเผยสีหน้าประหลาดใจอย่างอดมิได้


“เด็กคนนั้นมาถึงรอบที่ห้าได้แล้วจริงรึ? มีอะไรผิดพลาดหรือไม่?”


ปาถู่กล่าวตอบว่า


“ข้ายังไม่ทันเห็นหัวหรือหางใดๆของเด็กนั่น ขณะที่ทุกคนกำลังเฝ้าดูติงฟาน เด็กนั่นก็ผ่านมาถึงรอบที่ห้าได้แล้วอย่างไม่เข้าใจเช่นกัน”


ทั้งสองที่ได้ฟังดังนั้นถึงกับพูดไม่ออก


นี่มิได้หมายความว่าความแกร่งกล้าของเด็กนั่นใกล้เคียงกับพวกเขามากแล้วงั้นรึ?


ในขณะนี้เอง เย่หยวนก็เข้าเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ในรอบที่ห้าแล้วเช่นกัน


ณ ปัจจุบัน ทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังลานประลองวงแหวนหมายเลขสามกันเป็นตาเดียว พวกเขาต้องการเห็นว่า เย่หยวนมีความสามาราถอะไรกันแน่ ถึงสามารถผ่านมาไกลถึงรอบที่ห้าได้


ท่าทีของเย่หยวนยังคงดูไม่เร่งรีบหรือร้อนรนเท่าไหร่นักกับการต่อสู้


ภายใต้กระบวนโจมตีกระหน่ำแสนรุนแรงของฝ่ายตรงข้าม คล้ายว่าเย่หยวนถูกกดดันไล่ต้อนอยู่


แต่เย่หยวนก็ค่อนข้างหนังเหนียวนัก ทุกครั้งที่ตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย เขามักจะรอดพ้นออกมาได้อย่างหวุดหวิด


“มีบางอย่างผิดแปลกไปจริงๆ! ข้าจำได้ว่า ตอนที่เด็กนั่นอยู่ในรอบแรก ราวกับว่าเขาย่างเท้าสู่ความตายไปแล้วข้างหนึ่ง แล้วไฉนตอนนี้เขาถึงมาได้ไกลถึงรอบที่ห้ากัน?”


จู่ๆปู่เจ้อก็เอ่ยขึ้นมา


เขาค้นพบว่าท่าทางการต่อสู้ของเย่หยวนในปัจจุบันแทบไม่แตกต่างอะไรไปจากรอบแรกเลย


ราวกับว่าเขาตกเป็นรองอยู่ตลอด


เมื่อค้นพบความผิดแปลกเช่นนี้ เหล่าฝูงชนด้านนอกก็เริ่มสนทนาเจือแจวขึ้นอีกครั้ง


“ใช่แล้ว เขาดูท่าไม่ดีตั้งแต่รอบแรก หลังจากผ่านไปสักห้าถึงหกร้อยกระบวน จู่ๆเขาก็พลิกกลับมาชนะได้อย่างไรเหตุผล”


“รอบที่สองเองก็ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น! หรือเป็นไปได้ไหมว่า…เขากำลังโกงอยู่?”


“ไร้สาระ! ซากโบราณสถานแห่งนี้ ต่างเป็นครั้งแรกที่ทุกคนเข้ามา แล้วจะโกงกันได้อย่างไร?”


………………


ขณะที่ทุกคนกำลังจับกลุ่มสนทนากันอยู่นั้นเอง คมดาบของเย่หยวนก็ทะลวงกลางอกของคู่ต่อสู้ได้อย่างน่าประหลาด


เย่หยวนชนะ!


ทั่วทั้งโถงกว้างพลันเงียบสงัดลงทันใด ทุกคนต่างเฝ้ามองภาพฉากนี้ด้วยความไม่อยากจะเชื่อสายตา


นี่เป็นไปได้อย่างไร?


หรือเป็นไปได้ไหมว่า ความแข็งแกร่งของเย่หยวนอยู่เหนือไปกว่าหกบุตรแห่งกล้วยไม้อริยะไปแล้ว?


นี่…นี่เป็นเรื่องโกหกใช่ไหม?


“บัดซบ! นี่ต้องมีอะไรผิดดปกติแน่นอน! คู่ต่อสู้ของเจ้าเด็กนั่นมิได้แข็งแกร่งเท่ากับที่พวกเราพบเจอแน่นอน!”


ปาถู่ลั่นวาจากล่าวขึ้นด้วยความไม่พอใจ


อีกสองคนมีสีหน้าไม่แตกต่างกันนัก พลางเอ่ยลั่นอย่างไม่อยากเชื่อว่า


“ที่แห่งนี้ต้องมีอะไรผิดปกติแน่นอน! ผู้คนเหล่านี้ยังบอกเลยว่า เด็กนี่ดูท่าไม่ดีตั้งแต่รอบแรกแล้ว! แต่ไฉนถึงชนะมาถึงตรงนี้ได้กัน? ข้าว่าสถานที่แห่งนี้ลำเอียงแล้ว!”


ฟุบบ!


ริ้วแสงสีเย็นปราดพุ่งเข้าใส่ หนึ่งในหกบุตรแห่งกล้วยไม้อริยะ ศีรษะสะบั้นขาดออกไป แกนวิญญาณปีศาจถูกบดขยี้แหลกเละไปโดยตรง


“นิกายบัลลังก์ม่วงปฏิบัติต่อผู้ท้าทายทุกคนอย่างเท่าเทียม! ใครกังขาตาย!”


สุ้มเสียงโบราณเอ่ยดังขึ้นมาอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้กลับเย็นสะท้านจับขั้วหัวใจ


ทุกคนต่างปิดปากเงียบกริบประดุจจักจั่นกลางฤดูหนาว จากนั้นไม่มีใครกล้าตั้งคำถามสงสัยอีกต่อไป


แต่สำหรับเย่หยวนที่สามารถผ่านรอบที่ห้ามาได้ ผลลัพธ์เช่นนี้ยังคงกังขาอยู่ในใจพวกเขาตลอดมา


พวกเขาไม่สามารถมองเห็นหรือสัมผัสความแข็งแกร่งของเย่หยวนกับเพียงแค่มอง


 กล่าวได้ว่า มีแค่ฝ่ายตรงข้ามที่ต่อกรอยู่เท่านั้น ที่จะสามารถสัมผัสถึงพลังของเย่หยวนได้อย่างชัดเจน


เย่หยวนในยามนี้เองก็ค้นพบได้ว่า เหล่าอัจฉริยะในยุคบรรพกาลเหล่านี้ล้วนแต่ทรงพลังหาที่เปรียบไม่


แนวคิดความเข้าใจของพวกเขาที่สำแดงใช้ออกมา เหนือจินตนาการของเย่หยวนมากมายนัก


คล้อยหลังที่ได้ต่อสู้กับพวกเขา เย่หยวนเริ่มเรียนรู้เข้าใจได้หลายสิ่งอย่าง


สิ่งที่ได้รับมาคล้ายกับตัวต่อเพิ่มเสริมเข้าไป เขาเริ่มอนุมานจากสิ่งที่เข้าใจนำมาปรับใช้เพื่อพัฒนาแนวคิดของเขาให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น


แนวคิดด้านมิตินับเป็นหนึ่งในแนวคิดระดับสูงสุด และยังเป็นหนึ่งในแนวคิดที่ทำความเข้าใจได้ยากที่สุดบนมหาพิภพถงเทียน


แนวคิดแห่งมิติขบนมหาพิภพถงเทียนแตกต่างไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เย่หยวนเคยอยู่โดยสิ้นเชิง


แม้แต่เซียนอาณาจักรบรรพกาลพระเจ้าขั้นสุดยังไม่สามารถเหาะเหินบนอากาศได้ สิ่งนี้บ่งบอกได้ถึงอะไรหลายสิ่งอย่าง


มีเพียงระดับชั้นอาณาจักรราชันพระเจ้าครึ่งขั้นขึ้นไปเท่านั้นที่สามารถแตะถึงขอบประตูแห่งแนวคิดห้วงมิติ และสามารถเหาะเหินอากาศได้เป็นเวลาชั่วคราว


ทั้งจันทร์สลายและรุ่งเบิกอรุณของเย่หยวนล้วนเป็นการเคลื่อนไหวที่หลอมผสาจนขึ้นจากแนวคิดแห่งห้วงมิติทั้งสิ้น กระบวนดาบที่ดูเรียบง่ายนั้นกลับเปี่ยมล้นไปด้วยขุมพลังเหนือจินตนาการ


นี่ใช่ขุมพลังแห่งแนวคิดห้วงมิติทั้งหมด แต่เป็นแนวคิดห้วงมิติที่เย่หยวนเข้าใจผ่านศาสตร์แห่งดาบ เมื่อสองสิ่งนี้ผสานรวมเข้ากันได้อย่างสมบูรณ์แบบ จึงก่อให้เกิดเพลงดาบเหล่านี้ขึ้นมา


ไม่มีใครรู้ว่าคมดาบของเย่หยวนจะปรากฏขึ้นที่ใดหรือเมื่อไหร่


“ขอแสดงความยินดีกับจ้าวสังเวียนหมายเลขสาม สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้รอบที่หกไปได้ รางวัลที่ได้รับคือสมบัติราชันพระเจ้าเลิศล้ำระดับต่ำ”


สุ้มเสียงโบราณดังกึกก้องไปทั่วจนกายาทุกคนสั่นสะท้าน


รอบที่หก…ผ่านง่ายดายปานนี้?


“นี่…นี่กำลังล้อเล่นกันหรืออย่างไร? หรือเป็นไปได้ไหมว่า…เจ้าเด็กนั่นจะไร้ขีดจำกัด?”


“นี่เห็นผีอยู่รึไง! หรือเด็กนั้นใช้เล่ห์เหลี่ยมอันใดกัน!? ไฉนที่รู้สึกว่าด็กนั้นเข้าตาจนอยู่ตลอด แต่สุดท้ายก็พลิกกลับมาชนะไปได้!”


ปาถู่ยามนี้เผยสีหน้าบูดบึ้งและกล่าวว่า


“ในเมื่อปัญหามิได้อยู่กับคู่ต่อสู้ตรงหน้า แสดงว่าก็เหลือเพียงคำอธิบายเดียวเท่านั้น!”


เมื่อได้ยินวาจาเอ่ยดังออกมาเช่นนี้ ทุกคนต่างหูผึ่งพร้อมตั้งใจฟังในทันใด


ปาถู่เว้นช่องไฟหยุดลงเล็กน้อยและกล่าวต่อว่า


“เด็กนั่นเก็บซ่อนพลังที่แท้จริงมาตั้งแต่ต้น!”


“เก็บซ่อนพลังที่แท้จริง? แต่เห็นได้ชัดว่า เขาเป็นเพียงแม่ทัพปีศาจขั้นสุดเท่านั้น!”


“สำหรับอัจฉริยะอย่างพวกเรา ระดับพลังแสดงให้เห็นถึงอะไรได้? ตอนที่ข้าอยู่ในระดับชั้นจอมทัพปีศาจครึ่งขั้น ข้าสามารถทะลวงอกพวกเจ้าได้ในพริบตา!”


ปาถู่เอ่ยกล่าวขึ้นพร้อมน้ำเสียงเยียบเย็น


ผู้คนโดยรอบมิได้กล่าวอันใดตอบ แต่ไม่สามารถหาเหตุผลให้เข้าหักล้างได้เช่นกัน


“นี่เป็นึคำอธิบายเดียวที่สมเหตุสมผลที่สุดแล้ว ความแข็งแกร่งที่เดด็กนั่นสำแดงใช้บนลานประลองวงแหวนรอบแรก พวกเจ้าก็น่าจะประจักษ์ดีแล้ว บดขยี้ทุกคนได้ภายในหนึ่งกระบวนเคลื่อนไหว ความลึกล้ำนี้มิอาจมองผ่านอ่านออกได้โดยง่าย!”


หกบุตรแห่งกล้วยไม้อริยะอีกคนกล่าวเสริม


ปาถู่พยักหน้ากล่าวต่อว่า


“เขามิได้จงใจแสดงความแข็งแกร่งให้พวกเราเห็นอยู่แล้ว ข้าคิดว่า…ที่เขาจงใจรั้นรอนฝีมือไว้เช่นนี้เป็นเพราะ ต้องการที่จะศึกษาวรยุทธต่อสู้ของเหล่าอัจฉริยะบรรพกาลเหล่านั้น!”


“นี่…นี่ไม่แปลกเกินไปหน่อยรึ? คู่ต่อสุ้แข็งแกร่งปานนั้นยังมีอารมณ์มานั่งศึกษาวรยุทธของฝ่ายตรงข้าม?”


ทุกคนที่ได้ยินเช่นนั้นต่างสูดหายใจแช่มลึก เจือประดับสีหน้าหวาดกลัวไม่เสื่อมคลาย


คนที่กล้าทำเรื่องบ้าๆเช่นนี้ ต้องทรงพลังขนาดไหน?


“ความเป็นไปได้นี้มีโอกาสสูงมาก! หากข้าไม่ออกมาเฝ้าสังเกตฉากต่อฉาก ข้าคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสถานการณ์ข้างในเป็นมาอย่างไรกันแน่! เขาจงใจปิดบังพลังที่แท้จริงไว้แน่นอน!”


หกบุตรแห่งกล้วยไม้อริยะอีกคนกล่าวเห็นด้วยกับการคาดเดานี้เช่นกัน


ในเวลานั้นเอง ติงฟานก็เอาชนะคู่ต่อสู้ในรอบที่เจ็ดไปได้


“ฮ่าๆๆ…ช่างเป็นความท้าทายที่น่าสนใจเสียจริง! ยังคงมีคู่ต่อสู้ที่ทรงพลังมากมายรออยู่! นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าต้องเผชิญกับสถานการณ์กดดันขนาดนี้! รู้สึกดีจริงๆ! หลังจากเอาชนะทั้งเจ็ดมาได้ ข้าก็รู้สึกได้เลยว่ากำลังพัฒนาไปอีกขั้น! คู่ต่อสู้คนต่อไปจะทรงพลังแค่ไหนกัน ข้าเดือดร้อนเต็มทีแล้ว! น่าตื่นเต้นเกินไปแล้ว!!”


ติงฟานระเบิดหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง


ตอนที่ 1519 ไล่ตามทัน!

โดย

Ink Stone_Fantasy

คู่ต่อสู้ในรอบที่เจ็ดแข็งแกร่งกว่ารอบที่หกก่อนหน้าอย่างชัดเจน


แต่เย่หยวนยังคงก้าวออกไปไม่มีหวาดหวั่น หาได้รู้สึกลำบากเป็นปัญหาไม่


ซวบบ!


คล้อยหลังผ่านไปนับหลายร้อยกระบวนดาบ เย่หยวนก็สามารถทะลวงร่างของคู่ต่อสู้ได้ในที่สุด


ผ่านรอบที่เจ็ด!


เพลงดาบของเย่หยวนบิดพลิ้วเคลื่อนไหวยากจะมองออก ความรู้สึกของเหล่าผู้คนภายนอกที่ได้เห็นเสมือนภาพลวงตาไม่จีรังอยู่จริง


บางครั้นบางคราคล้ายว่าคมดาบเย่หยวนอยู่ห่างไกลยากจะเข้าถึง ทว่าทันใดนั้นพลันลุถึงเบื้องหน้าอีกฝ่าย กะทันหันไม่มีโอกาสได้ป้องกัน


สิ่งเหล่านี้ล้วนก่อเกิดขึ้นจากแนวคิดแห่งห้วงมิติของเย่หยวน


สองขั้วสุดยอดแนวคิดที่สอดผสานหลอมรวม หาใช่ผลลัพธ์ดั่งหนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสอง


“หุหุ ข้าไม่คิดไม่ฝันเลยว่าเจ้าที่อยู่แค่อาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าจะสามารถเข้าใจแนวคิดแห่งห้วงมิติแล้วจริงๆ ช่างน่าทึ่งยิ่งนัก!”


“ความเข้าใจต่อแนวคิดแห่งห้วงมิติของข้ายามนี้อยู่ในระดับชั้นใดกัน?”


เย่หยวนเอ่ยถามพร้อมความสงสัย


เขารู้สัมผัสชัดแจ้งดีว่า แนวคิดแห่งห้วงมิตินั้นยิ่งใหญ่และลึกซึ้งเสียยิ่งกว่าแนวคิดแห่งดาบหลายทวีเท่านัก


ยิ่งเป็นเพราะแบบนั้น ก็ยิ่งทำให้เย่หยวนรู้สึกถึงความยากในการบรรลุแนวคิดประเภทนี้


“ยังเร็วเกินไป! ระดับชั้นปัจจุบันของเจ้ายังไม่สมบูรณ์สำหรับชั้นสวรรค์ระดับหนึ่งขั้นต้นด้วยซ้ำ!”


หวูเฉินเอ่ยตอบ


“ยังคงอ่อนแอเกินไป! หึ!”


เย่หยวนหมดวาจาจะเอ่ยกล่าว


“อ่อนแอ? เหอะ เหอะ ตอนนี้แนวคิดแห่งห้วงมิติที่เจ้าเข้าใจนั้นแกร่งกล้าเสียยิ่งกว่ายอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าครึ่งขั้นด้วยซ้ำไป! แต่ให้เป็นยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าขนานแท้ แต่ก็ใช้ได้เพียงแนวคิดแห่งห้วงมิติชั้นสวรรค์ระดับหนึ่งเท่านั้น แนวคิดประเภทนี้มิได้ง่ายอย่างที่คิดจินตนาการ”


เย่หยวนอดรู้สึกประหลาดใจมิได้เมื่อได้ยิน การที่เขาเข้าใจแนวคิดแห่งห้วงมิติได้ เป็นเพราะเขาอนุมานความคิดขึ้นภายในห้วงจินตนาการของตนเอง


ดังนั้นแล้วแนวคิดประเภทนี้ทรงพลังเพียงใด เขากลับไม่รู้ตัว


ยามนี้ได้ฟังหวูเฉินเอ่ยกล่าวเช่นนี้แล้ว เขาจึงเข้าใจอะไรหลายอย่างได้มากขึ้น


ที่ผ่านมาเย่หยวนเพียงแตะสัมผัสแค่หางอึ่ง ทว่าปัจจุบันหลังจากที่เย่หยวนผ่านการบ่มเพาะพลังแสนขมขื่นและพัฒนาขัดเกลาตนเองเสมอมาต่อเนื่อง ก็ดูเหมือนว่าแนวโน้มความเข้าใจต่อแนวคิดแห่งห้วงมิติของเขาจะมีพัฒนาการมากขึ้นอย่างก้าวกระโดด


“แนวคิดแห่งห้วงมิติช่างยากเกินหยั่งถึงนัก!”


เย่หยวนร้องอุทานพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่


“เหอะ ยากกว่าที่เจ้าจินตนาการไว้มากโข! แนวคิดแห่งเวลาและแนวคิดแห่งห้วงมิติเป็นสองสุดยอดขั้วแนวคิดที่หยั่งลึกสู่รากเหง้าที่สุดในมหาพิภพแห่งนี้ กล่าวได้ว่าแนวคิดทั้งสองประการลึกล้ำเกินหยั่งถึงได้! เจ้าอย่ามองเพียงว่าที่ยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าเหาะเหินเดินอากาศได้ เป็นเพราะพวกเขาเข้าใจแนวคิดแห้งห้วงมิติแล้ว ในความเป็นจริงพวกเขามิได้เข้าใจแนวคิดประเภทนี้เลย ที่สามารถเหาะเหินได้เป็นเพราะมีพลังปฐพีเท่านั้น ซึ่งพลังปฐพีก็เป็นส่วนหนึ่งของแนวคิดแห่งห้วงมิติ แม้นี่จะเป็นข้อได้เปรียบที่ติดตัวยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้ามาเมื่อบรรลุ แต่หากกล่าวกันตามตรง บางคนยังไม่สามารถเข้าใจแนวคิดแห่งห้วงมิติได้เลยด้วยซ้ำ ในขณะที่เจ้าตอนนี้สามารถแตะถึงขอบประตูแล้ว!”


หวูเฉินเอ่ยอธิบาย


“เช่นนั้น…ข้าก็น่าทึ่งมิใช่น้อย?”


เย่หยวนร้องอุทานขึ้นอย่างความแปลกใจ


เขาไม่ทราบมาก่อนจริงๆว่า แนวคิดแห่งห้วงมิติที่เขาเข้าใจจะน่าเกรงขามขนาดนี้จริงๆ


แต่หวูเฉินกล่าวเสียงขรึมตอบจริงจังกลับว่า


“น่าทึ่งยิ่งนัก! อย่างไรก็ตาม ข้าเองก็ช่วยอะไรเจ้ามิได้เช่นกันเกี่ยวกับเรื่องแนวคิดแห่งห้วงมิติ เจ้าจะเข้าใจมากน้อยเพียงใด ล้วนขึ้นอยู่กับโชคชะตาของเจ้าแล้ว”


เย่หยวนพยักหน้า ทว่าทันใดนั้นเขาก็พลันนึกถึงบางสิ่งอย่างขึ้นได้กะทันหัน กล่าวว่า


“โอ้จริงสิ ในโลกแห่งศิจาลึกบัลลังก์พิภพมันสามารถเปลี่ยนอัตราการไหลของเวลาได้ใช่หรือไม่…”


หวูเฉินพยักหน้าตอบ


“ถูกต้องแล้ว! หากย้อนกลับไป ณ ตอนนั้น จอมเทพนิรันดร์เองก็เข้าใจเศษเสี้ยวของแนวคิดแห่งเวลาได้โดยบังเอิญเช่นกัน อย่างไรก็ตามนั้นเป็นเพียงผิวเผินเท่านั้น”


เช่นนี้นี่เอง!


ระยะเวลาที่เย่หยวนอยู่บนมหาพิภพถงเทียนแห่งนี้ก็มิใช่ว่าสั้น แต่เขาไม่เคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับแนวคิดแห่งเวลาในทางนี้มาก่อนเลย


ปรากฏว่า แท้ที่จริงแล้วที่ภายในโลกแห่งศิลาจารึกบัลลังก์พิภพมีอัตราการไหลของเวลาที่ต่างจากโลกภายนอก เป็นเพราะวิชาลับของจอมเทพนิรันดร์


เข้าใจได้เพียงเศษเสี้ยวของแนวคิดแห่งเวลาก็สามารถเปลี่ยนอัตราส่วนการไหลของเวลาได้ถึงหนึ่งในสิบส่วน หากเขาเข้าใจแนวคิดแห่งเวลาได้อย่างถ่องแท้ มันจะยิ่งน่าสะพรึงกลัวเพียงใด?


เย่หยวนพลันขนลุกซู่วทันทีที่นึกถึงเรื่องนี้


ขณะนี้เย่หยวนระดมความสนใจทั้งหมดไปที่คู่ต่อสู้เบื้องหน้าในรอบที่แปด


ในเวลาเดียวกัน ติงฟานที่กำลังพัลวันกับคู่ต่อสู้ในรอบที่แปดก็ใกล้ปิดฉากลงแล้ว


บูมมม!


เป็นอีกครั้งที่ติงฟานเป่าคู่ต่อสู้ออกไปด้วยกำปั้น


“ฮ่าๆๆ ยอดเยี่ยมจริงๆ!”


ติงฟานยามนี้ร่างกายปกคลุมด้วยบาดแผล รอยฉกรรจ์ศึกนับไม่ถ้วนทำเอาร่างกายดูไม่ค่อยสมบูรณ์เท่าที่ควรนัก


แค่เขายังคงสามารถสังหารคู่ต่อสู้ตรงหน้าและฝ่าฟันรอบที่แปดมาได้


เมื่อเขาฟื้นฟูพลังกลับมา ติงฟานก็พึมพำกับตัวเองว่า


“น่าเสียดายนักที่ข้าไม่สามารถผ่านรอบที่เก้าไปได้แน่นอน! แต่ถึงอย่างไร ข้าควรจะเป็นอันดับหนึ่งในบรรดาจ้าวสังเวียนทั้งสิบสองจริงหรือไม่? ถึงคนอื่นจะแกร่งกล้าเพียงใด แต่อย่างมากถึงมาไกลถึงแค่รอบที่หก หุหุ หมายความว่าอันดับหนึ่งคงไม่พ้นข้ากระมัง? อย่างไรก็ตาม การท้าทายครั้งนี้ทำให้ข้าแข็งแกร่งขึ้นมากจริงๆ!”


ติงฟานกลับหาทราบถึงความตื่นตะลึงที่เหล่าอัจฉริยะด้านนอกเผชิญพบได้เลย


เย่หยวนสามารถผ่านรอบที่เจ็ดไปได้อย่างง่ายดาย!


“ข้าจำได้ว่า ติงฟานใช้เวลาต่อสู้กับคู่ต่อสู้รอบที่เจ็ดกว่าสองพันกระบวนใช่หรือไม่? แต่บรรพกาลราตรีสามารถพิชิตได้ภายในสามถึงสี่ร้อนกระบวนท่าเองกระมัง?”


“แทบไม่อยากเชื่อเลยว่า บรรพกาลราตรีที่อยู่ท้ายหลังมาตลอด ยามนี้จะผ่านมาได้ไกลปานนี้”


“สงสัยเสียจริงว่า หากติงฟานออกมาเห็นบรรพกาลราตรี เขาจะแสดงสีหน้าอย่างไร?”


ความเร็วในการผ่านด่านที่ผ่านมาของเย่หยวนค่อนข้างช้ามาก กล่าวได้ว่าความเร็วเทียบเท่ากับเต่า


แต่ตั้งแต่ตอนไหนมิทราบ ยามนี้เย่หยวนกลับไล่ตามติงฟานมาติดๆแล้ว!


จากที่เข้าประเมินคาดการณ์กัน ขีดจำกัดของติงฟานน่าจะมาได้เพียงรอบที่เก้า


กระนั้นเองขีดจำกัดของเย่หยวนอยู่ไกลเพียงใด พวกเขากลับไม่สามารถมองเห็นได้เลย


ในรอบที่เจ็ด เย่หยวนใช่เวลาผ่านด่านเทียบเท่ากับรอบแรก


ระยะเวลาที่ใช้ไปเท่ากับหนึ่งในสี่ส่วนของติงฟาน!


ยิ่งได้เห็นเย่หยวนต่อสู้มากเท่าใด เหล่าอัจฉริยะพวกนี้ก็ยิ่งรู้สึกกลัว


และในที่สุดติงฟานก็พ่ายแพ้ลงในรอบที่เก้า


หลังจากศึกนี้จบลง เขาก็ถูกส่งตัวไปยังอีกที่หนึ่งเพื่อเลือกชนิดสมบัติราชันพระเจ้าเลิศล้ำ ก่อนจะถูกส่งตัวออกมา


แต่คล้อยหลังที่ถูกส่งตัวออกมา เขากลับพบว่าทุกคนต่างมองตนด้วยสายตาผิดแปลกออกไป


ติงฟานที่เห็นเช่นนั้นพลางคิดไปว่า ทุกคนกำลังตื่นตะลึงกับการผลงานการต่อสู้ของตน ยามนี้จึงระเบิดหัวเราะเสียงอึ่งโขกล่าวขึ้นว่า “พวกเจ้าจะมองข้าเช่นนั้นไปเพื่ออันใด? ฮ่าๆ ความท้าทายครั้งนี้สะใจถึงแกนข้าโดยแท้! ข้าสามารถทะลวงฝ่าไปถึงรอบที่เก้าได้ในอึดใจเดียว! แม้ว่าสมบัติเลิศล้ำชิ้นนี้จะต้องมอบให้ทางโถงโลหิตปรโลกก็ตาม แต่รางวัลที่ได้ตอบแทนกลับมานับว่าคุ้มค่าเช่นกัน!”


นิสัยดั่งวัยหนุ่มสาวยังคงปรากฏให้เห็นอยู่ในตอนท้าย ภายในใจติงฟานยามนี้ร่าเริงนักที่ได้อวดอ้างผลงานของตนอย่างเลี่ยงมิได้


ราวกับว่าเขากลับคนอื่นไม่รู้ว่ายามนี้ตนได้ฝ่าฟันมาถึงรอบที่เก้าได้


ทว่าจู่ๆ เขาก็เพิ่งมาค้นพบว่า ทุกคนในตอนนี้มิได้สนใจมองเขาเลยสักนิด


ในบรรดาหกบุตรแห่งกล้วยไม้อริยะทั้งหมด ปาถู่ค่อนข้างสนิทสนมกับติงฟานที่สุด


เมื่อปาถู่เห็นอีกฝ่ายอวดอ้างดังนั้น เขากลับมองติงฟานด้วยสายตาแปลกๆและกล่าวว่า


“ติงฟานหยุดอวดไปเลย คราวนี้เจ้าเจอคู่แข่งคนสำคัญแล้ว! หันไปดูเร็ว!”


สีหน้าการแสดงออกของติงฟานแปรเปลี่ยนไปทันทีเจือฉงนใจ ก่อนจะเหลียวหลังหันไปมองตามที่ปาถู่ชี้นิ้วไป ชั่วฉับพลันนั้นเองกายาพลันสั่นสะท้านหนัก เบิกตาโตเผยสะท้อนแววประหลาดใจเดินควบคุม


สำหรับปฏิกิริยาเช่นนี้ของติงฟาน ทุกคนดูจะไม่แปลกใจเท่าไหร่นัก


หลังจากที่หกบุตรแห่งกล้วยไม้อริยะออกมา แต่ละคนล้วนมีสีหน้าเช่นนี้เหมือนกันหมด


ซวบบบ!


ในเวลาเดียวกัน คมดาบยาวของเย่หยวนก็ทะลวงเสียบกลางอกของคู่ต่อสู้อีกครั้ง


ผ่านรอบที่แปด!


เสมือนสายฟ้าฟาดสะบั้นเข้ากลางหัวติงฟาน ร่างกายสั่นเทาเอ่ยกล่าวอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาว่า


“นี่…นี่เป็นไปได้อย่างไร? เขาเป็นแค่แม่ทัพปีศาจขั้นสุดเองมิใช่รึ? ไฉนถึงผ่านเข้าสู่รอบที่เก้าได้! เดี๋ยวก่อน…ต้องมีอะไรผิดพลาดแน่!”


“หุบปาก!”


ทันทีทันใดปาถู่คำรามเสียงเย็นสกัดคำกล่าวของติงฟานไป


ติงฟานผงะง้ำแสนตื่นตะลึงใจนัก ขณะกำลังจะอ้าปากคำรามสวนตอบ จู่ๆ ปาถู่ก็เร่งคำรามขึ้นแทรกทันที


“หากเจ้าไม่อยากตายก็หุบปากซะ!”


ตอนที่ 1520 แนวคิดแห่งห้วงมิติ ปะทะ แนวคิดแห่งน้ำแข็ง

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ปาถู่ นี่เจ้ากล้าตะคอกใส่ข้ารึ?”


ติงฟานเอ่ยกล่าวพร้อมสีหน้าบูดบึ้ง


ปาถู่เหลือบมองอีกฝ่ายราวกับคนโง่และกล่าวขึ้นว่า


“เช่นนั้นอยากพูดอะไรก็เชิญ เมื่อครู่พวกเราเห็นกับตา นั่วเต๋อพล่ามตามใจปาก ยามนี้มันตายไปแล้ว”


“ทีแรกพวกเราก็คิดเหมือนกันกับเจ้า แต่ตอนนี้พวกเราเสาะเห็นแล้วว่า บางสิ่งกลับมิได้ง่ายดั่งผิวเผิน เจ้าเด็กนั้นแกร่งกล้ายิ่ง!”


ปาถู่กล่าว


ติงฟานเสมือนถูกสาดด้วยน้ำเย็นอ่างใหญ่ สีหน้าการแสดงออกอันมั่นใจก่อนหน้าสลายหายไปในอึดใจเดียว ไม่เหลือกระทั่งร่องรอย


เขามิใช่คนแรกที่รู้สึกเช่นนี้!


เมื่อจับจ้องไปยังเย่หยวนที่กำลังสัประยุทธ์เดือดอยู่ในจอภาพฉาย ติงฟานยามนี้พลันรู้สึกฉงนใจสงสัยขึ้นมา


หรือเป็นไปได้ไหมว่า เขาต้องพ่ายให้แก่แม่ทัพปีศาจขั้นสุดตัวน้อยนี่จริงๆ?


ผลลัพธ์เช่นนี้ยากนักที่จะรับได้


เขาจ้องเขม็งไปที่เย่หยวนในภาพฉาย ทันทีทันใดก็เอ่ยปลอบใจตนเองขึ้นพร้อมรอยยิ้มขึ้นว่า


“หึ! มันยังไม่จบง่ายๆเช่นนี้หรอก! ความแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้ในรอบที่แปดเป็นอย่างไร ข้าชัดเจนยิ่งกว่าใคร เด็กนั้นไม่มีทางผ่านได้แน่นอน”


ในขณะที่สิ้นเสียงของเขาจางหาย ทุกคนต่างเหลียวสายตาเข้าจับจ้องเขาอีกครั้ง


ติงฟานเผยสีหน้ามึนงงพร้อมเอ่ยตอบไปว่า


“ทำไม? ข้ากล่าวอะไรผิดอีก? ดูเจ้าเด็กนั่นสิรับมือพัลวันยุ่งเหยิงเช่นนั้น ดูเหมือนคนที่กำลังชนะรึไง?”


บางคนอยากจะระเบิดเสียงหัวเราะลั่น แต่ก็ไม่กล้า


เพราะท้ายที่สุดนี้ความแข็งแกร่งของติงฟานยังคงเหนือกว่าพวกเขาหลายขุม กล่าวขัดขาออกไปเช่นนั้นเกรงว่ามิได้ส่งผลดีอันใด


ปาถู่อดส่งสายตามองอีกฝ่ายอย่างเอาจริงเอาจังมิได้ ก่อนที่จะเล่ากล่าวเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นก่อนหน้าของเย่หยวนให้แก่ติงฟานฟัง


 คล้อยหลังที่ติงฟานได้ยินแบบนั้นดวงตาพลันโพล่งโตขึ้นเล็กน้อย พลางแลบลิ้นใส่


การท้าทายครั้งนี้เองเขาก็ทำผลงานได้ดีเยี่ยม แต่หากจะเล่นรั้งรอนฝีมือดึงเวลาแบบเย่หยวน เกรงว่าเขาเองก็ไม่กล้าจริงๆ


โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากรอบที่เจ็ด คู่ต่อสู้แต่ละคนล้วนแข็งแกร่งเสียเหลือเกิน สร้างแรงคุกคามจนกระทั่งเขาเองยังแทบหายใจหายคอไม่ออก


ตราบใดที่เขาผ่อนมือประมาทแม้นเล็กน้อย นั่นจะหาใช่เรื่องชนะหรือแพ้อีกต่อไป แต่อาจอันตรายถึงชีวิตและความตาย


ด้วยเหตุนี้ ติงฟานจึงไม่มีถกเถียงใดๆอีกต่อไป พร้อมมุ่งความสนใจจับจ้องภาพฉากตรงหน้าอย่างเงียบนิ่งเสมือนคนอื่นๆ


ภายในใจก็ภาวนาขอให้เย่หยวนพ่ายต่อคู่ต่อสู้คนที่แปด


แต่เขาจำต้องผิดหวังในทันที เพียงคมดาบที่กระหน่ำแทงไม่กี่กระบวนของเย่หยวนก็สามารถพุ่งเสียบทะลุศีรษะและเอาชีวิตคู่ต่อสู้ได้ในท้ายที่สุด


รอบที่แปดผ่านไปได้อย่างง่ายดาย!


เมื่อพินิจมองจากภาพฉายภายนอก การเคลื่อนไหวของกระบวนดาบเหล่านั้นกลับดูเรียบง่ายแสนธรรมดาเกินไป


พวกเขาไม่สามารถเข้าใจเลยว่า ไฉนคู่ต่อสู้เหล่านั้นถึงมิอาจสกัดกั้นกระบวนดาบธรรมดาๆเช่นนี้ได้


แม้ทุกคนจะไม่เผยแสดงความสงสัยออกมา แต่ภายในใจความสงสัยนี้กลับไม่เคยคลายอ่อน


‘หึ! หากเจ้าเด็กนี่ออกมา มันมิใช่คู่ต่อกรของข้าแน่นอน! ข้าไม่เชื่อหรอกว่าการท้าทายนี้จะไม่มีการลำเอียงเกิดขึ้น!’


ติงฟานเอ่ยกล่าวภายในใจพร้อมน้ำเสียงเหยียบเย็น


ในฐานะอัจฉริยะอันดับหนึ่งของหกบุตรแห่งกล้วยไม้อริยะ เขาไม่สามารถยอมรับเรื่องเช่นนี้ได้


อย่างไรก็ตาม ปาฏิหาริย์ยังคงไม่จบสิ้นแต่เพียงเท่านี้


เย่หยวนยังคงทำตัวราวกับโกงอย่างต่อเนื่อง พร้อมเดินหน้าต่อไปไม่มีเร่งรีบใดๆ


รอบที่เก้า รอบที่สิบ รอบที่สิบเอ็ด…รอบที่สิบสอง!


“ขอแสดงความยินดีกับจ้าวสังเวียนหมายเลขสาม ผ่านรอบที่สิบสอง ได้รับของรางวัลครั้งที่สอง!”


สุ้มเสียงโบราณเอ่ยดังกึกก้องขึ้นมาอีกครั้ง ทุกคนต่างสั่นสะท้านด้วยความหวั่นเกรง


“เจ้าเด็กนี่จะผ่านไปถึงรอบใดกัน?”


“หรือเป็นไปได้ไหมว่า เขาจะผ่านจนควรทุกรอบ! นี่…นี่จะวิปลาสเกินไปแล้ว!”


“หกรอบสุดท้ายย่อมยากกว่าเดิมหลายเท่าทวีแน่นอน! บางที…นี่อาจถึงขีดกำจัดของเขาแล้วก็เป็นได้?”



สำหรับสุ้มเสียงสนทนาดังจากภายนอก เย่หยวนย่อมไม่ได้ยิน


ตลอดทางที่ผ่านมา กล่าวได้ว่าความแกร่งกล้าของเย่หยวนกำลังพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด


ไม่เพียงแค่ความเข้าใจของเขาต่อเต๋าแห่งดาบเท่านั้นที่ทะลวงขึ้นถึงจุดสูงสุดของชั้นสวรรค์ระดับสามขั้นต้นเท่านั้น แต่แนวคิดแห่งห้วงมิติเองยังคงพัฒนาขึ้นเช่นกัน


คู่ต่อสู้ในรอบที่สิบสาม เป็นหญิงสาวหน้าตางดงามยิ่ง ในขณะเดียวกันนางก็ดูเย็นชาอย่างมาก


“หนุ่มน้อย เจ้าที่สามารถผ่านมาถึงรอบนี้ได้นับว่าน่าประทับใจนัก! แต่ทุกอย่างคงต้องจบลงแต่เพียงเท่านี้!”


หญิงสาวเอ่ยกล่าว


เย่หยวนยิ้มกล่าวตอบว่า


“หยุดสนทนาต่อคำ เริ่มกันเลยเถิด! คมดาบของข้ามิอาจทานทนความกระหายหิวได้ไหวอีกต่อไป!”


ใบหน้าเรียวงามของหญิงสาวพลันขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนเอ่ยเสียงเยียบเย็นว่า


“ช่างเป็นชายหนุ่มที่น่ารังเกียจนัก! เตรียมรับกระบวนดาบ!”


เย่หยวนระเบิดหัวเราะคำโตเอ่ยกล่าวขึ้นว่า


“ยอดนักดาบอีกคนแล้ว ยอดเยี่ยมจริงๆ!”


ทันทีที่กล่าวจบ เย่หยวนก็ปลดปล่อยจันทร์สบายกวาดสะบั้นออกไปพร้อมร่างที่อันตรธานหายวับในทันใด!


เย่หยวนเร่งเร้าความเร็วถึงขีดสุด จนไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า


เกร๊งง!


คมดาบทั้งสองเล่มเข้าชนปะทะเสียงกึกก้อง ห้วงอากาศพลันระเบิดกวาดผ่านตัวดาบสู่กายาของเย่หยวนจนสั่นสะท้านถึงทรวงใน


ความตื่นตกใจนี้ของเย่หยวนหาได้มีนัยยะสำคัญใด เสี้ยวอึดใจนั้นเองเย่หยวนเร่งถอยแลบประดุจสายฟ้า


แต่ทันทีทันใด สุ้มเสียงเย็นสะท้านของหญิงสาวพลันดังก้องอยู่ข้างหูเย่หยวน


“คิดหนี? สายเกินไปแล้ว!”


เย่หยวนใจสั่นระรัวไม่เป็นจังหวะ หญิงสาวนางนี้เคลื่อนไหวเร็วมาก!


ขณะที่เสียงหวาดเอ่ยดังคมดาบยาวก็ปราดถึงคอเย่หยวนเสียแล้ว


“ดับเงาสยบมาร!”


ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อระหว่างเป็นตาย เย่หยวนรีบเร่งสำแดงใช้ดับเงาสงบมารโดยไม่ลังเลใดๆ ความเร็วของเขาโหมทวีเพิ่มขึ้นในชั่วอึดใจ


รีดเร้นขีดสุดแห่งความเร็ว เร่งเร้าเลี่ยงหลบกระบวณดาบอย่างฉับไว!


เกร๊ง! เกร๊ง! เกร๊ง!


เงาร่างทั้งสองสายพัลวันไล่โฉบกันไปมาด้วยความเร็วเกินพรรณนามองเห็น เสี้ยวพริบตาเดียวทั้งคู่แลกเปลี่ยนเพลงดาบนับร้อนกระบวนร่ายอย่างสมน้ำสมเนื้อ!


ความตื่นตะลึงที่ครอบงำภายในใจเย่หยวนมิอาจยิ่งใหญ่ไปกว่านี้ได้แล้ว ถึงขั้นสำแดงใช้ดับเงาสยบมารด้วยขุมพลังความแกร่งกล้าในปัจจุบัน อานุภาพที่เผยออกมามิอาจกล่าวอธิบายได้ภายในหนึ่งลมหายใจพรั่งพรู


ควบคู่ไปกับแนวคิดแห่งห้วงมิติที่เข้าผสานรวมเป็นหนึ่ง การเคลื่อนไหวของเย่หยวนแทบไม่มีผู้ใดไล่ตามได้ทัน


ทว่าอย่างไร หญิงสาวนางนี้กลับสามารถรักษาความเร็วไล่ล่าติดตามเย่หยวนได้ทันอย่างไม่น่าเชื่อ


เกร๊งง!


สองร่างผลักไสแยกจาก นัยน์ตาไสวของเย่หยวนยามนี้เผยสะท้อนถึงความกังวลชัดแจ้ง


ใบหน้าอันเย็นชาของหญิงสาวคล้อยประดับค้างความประหลาดใจอยู่บ้าง เห็นได้ชัดว่านางไม่คาดหวังว่าเย่หยวนจะแข็งแกร่งได้ขนาดนี้


“ไม่น่าแปลกใจที่เจ้าสามารถมาถึงรอบนี้ได้ เจ้ามีความสามารถบางอย่างจริงๆ!”


หญิงสาวยังคงเอ่ยเสียงเรียบแสนเย็นชา


เย่หยวนสูดหายใจเข้าลึกๆ กล่าวตอบด้วยรอยยิ้มว่า


“เจ้าเองก็แข็งแกร่งมากเช่นกัน ผสานรวมแนวคิดแห่งน้ำแข็งลงในเต๋าแห่งดาบ!”


นี่เป็นครั้งแรกที่เย่หยวนเผชิญพบกับยอดฝีมือที่สามารถหลอมรวมสองแนวคิดเข้าด้วยกันได้!


มิใช่แค่เต๋าแห่งดาบของหญิงสาวนางนี้ที่สูงถึงชั้นสวรรค์ระดับสามขั้นปลายเท่านั้น


แต่สิ่งที่น่ากลัวอีกอย่างคือ แนวคิดแห่งน้ำแข็งของนางเองก็ได้รับการขัดเกลาจนบรรลุชั้นสวรรค์ระดับสามแล้วเช่นกัน!


นอกจากนี้สิ่งหนึ่งที่นางเหมือนกับเย่หยวนคือ การหลอมรวมสองแนวคิดเข้าด้วยกัน อานุภาพความแข็งแกร่งจึงเพิ่มพูนขึ้นหลายเท่าทวี


ก่อนหน้าที่จะเปิดฉากสู้รบ หญิงสาวผู้แสนเยือกเย็นนางนี้เปลี่ยนสมรภูมิโดยรอบให้เป็นน้ำแข็งแทรกซึมเข้ามา ตราบใดที่เย่หยวนล่วงล้ำเข้าสู่เขตของนาง ความเร็วของเขาจะตกลงโดยไม่รู้ตัว


นี่จึงเป็นเหตุที่หญิงสาวนางนี้สามารถไล่ตามความเร็วของเย่หยวนได้ทัน


แนวคิดแห่งห้วงมิติของเย่หยวนช่างวิปลาสผิดแปลกมาก แต่นั่นยังคงอยู่ในขอบเขตชั้นสวรรค์ระดับหนึ่งขั้นต้นเองเท่านั้น


การที่สามารถต่อกรสัประยุทธ์กับหญิงสาวนางนี้ได้ ก็แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของเขาได้แล้ว!


“เร็วมาก! เจ้าเด็กนี่ปกปิดพลังที่แท้จริงเอาไว้!”


“สวรรค์! สิบสามรอบก่อนหน้าปรากฏว่าเขายังไม่ได้เอาจริง?”


“เจ้าเด็กคนนี้…แข็งแกร่งจนวิปลาสไปแล้ว!”



แม้พวกเขาจะไม่สามารถสัมผัสถึงความน่ากลัวของความเร็วเย่หยวนได้ แต่จากที่เฝ้ามองอยู่ภายนอกเช่นนี้ พวกเขายังพอที่จะรับรู้ได้


เย่หยวนที่สำแดงใช้ดับเงาสยบมารออกมา ทำให้ความเร็วของเขาเพิ่มพูนขึ้นอย่างมาก เหล่าอัจฉริยะพวกนี้ย่อมมองออกโดนธรรมชาติ


“ดูเหมือนว่าในที่สุด เขาก็เจือคู่ต่อกรที่สมน้ำสมเนื้อแล้ว! ติงฟาน การเคลื่อนไหวของเขาก่อนหน้า เป็นเจ้าจะสามารถไล่ตามได้ทันหรือไม่?”


ปาถู่เอ่ยถามติงฟานที่อยู่ข้างๆ


ติงฟานเงียบไปสักครู่ก่อนส่ายหัวกล่าวว่า


“ไม่รู้! เฝ้ามองอยู่ตรงนี้กลับสัมผัสพลังได้เพียงผิวเผินเท่านั้น แต่กล่าวตามตรง…บางทีข้าอาจไล่ตามไม่ทันด้วยซ้ำ!”


เมื่อคำกล่าวนี้ดังออกมา เหล่าฝูงชนต่างระเบิดความโกลาหลขึ้นทันที


พวกเขาต่างหันขวับจับจ้องไปที่ติงฟานประดับสีหน้าตื่นตะลึงเหลือเชื่อ ทุกคนต่างไม่คาดคิดเลยว่า ติงฟานจะยอมรับเองเช่นนี้ว่า ตนด้อยกว่าเย่หยวน!


ตอนที่ 1521 เพลงดาบเมฆาลับแล!

โดย

Ink Stone_Fantasy

“เปล่าประโยชน์! แม้นแนวคิดแห่งห้วงมิติของเจ้าจะแกร่งกล้า ทว่าระดับที่เจ้าหยั่งถึงยังคงต่ำเกินไป! ยอมแพ้เสีย!”


หญิงสาวกล่าววาจาลงดาบเสียงเย็นสะท้านไร้ซึ่งแยแส


ร่างไสววูบสายหนึ่งของเย่หยวนเคลื่อนโฉบ ฉวยจังหวะปลดปล่อยดับเงาสยบมารเป็นคำรบสอง


หญิงสาวผู้แสนเย็นชาหาได้ปริปากกล่าวอันใด เขตแดนน้ำแข็งแผ่สะพัดไพศาลออก เปลี่ยนสภาพแวดล้อมรอบข้างเย่หยวน


ทั้งคู่ล้วนเป็นยอดฝีมือระดับสูงผู้เชี่ยวชาญในด้านแนวคิด นี่เป็นครั้งแรกที่ขุมพลังแห่งแนวคิดสุดแกร่งกล้าของเย่หยวน พบเจอคู่มือต่อกรที่แท้จริงของมัน


เขาเร้ากระตุ้นวรยุทธเคลื่อนไหวจนถึงขีดสุด แต่ไม่ว่าอย่างไรกลับไม่สามารถตีฝ่าผ่านหญิงสาวนางนี้ไปได้


เขตแดนน้ำแข็งของนางเปรียบเสมือนตาข่ายยักษ์ที่เข้ามัดมือมัดขาของเย่หยวนเอาไว้


แท้ที่จริงแล้ว หญิงสาวนางนี้หาใช่คู่มือเย่หยวนไม่


กระบวนสังหารที่แท้จริงของเย่หยวนคือรุ่งเบิกอรุณ ทว่าจำต้องใช้ภายใต้สภาวะดับเงาสยบมาร


รุ่งเบิกอรุณกล่าวคือสุดยอดกระบวนทำลายล้างสรรพสิ่งใต้สวรรค์


โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่ความเร็วของเย่หยวนลุถึงสภาวะสุดยอด เขาก็ค้นพบจุดอ่อนของหญิงสาวผู้แสนเย็นชานางนี้ได้นานแล้ว


แต่หากพิชิตนางด้วยวิธีเช่นนั้น เขาจะไม่สามารถทำความเข้าใจต่อแนวคิดแห่งห้วงมิติได้อีกต่อไป


เขาพยายามบังคับตัวเองให้ถึงขีดจำกัด เพื่อทำความเข้าใจต่อแนวคิดแห่งห้วงมิติภายใต้ภาวะจนมุม


ปัจจุบัน เย่หยวนหลอมรวมสองแนวคิดระหว่างเต๋าแห่งดาบและแนวคิดแห่งห้วงมิติผ่านเพลงดาบที่ปลดปล่อยออกไป


เย่หยวนได้ค้นพบแล้วว่า การเชื่อมต่อกับแนวคิดแห่งห้วงมิติผ่านเต๋าแห่งดาบ มันให้ผลลัพธ์เป็นสองทวีเท่าในหนึ่งความพยายาม


แม้ว่าคู่ต่อสู้ก่อนหน้าเขาจะแข็งแกร่ง แต่เขาคนนั้นก็ยังมเทียบชั้นกับหญิงสาวผู้อสนเย็นชานางนี้ได้


ยามนี้ปฏิกิริยาตอบสนองฉับไว เย่หยวนหมุนตัวไปหานางพร้อมเร่งเร้าระดมพลังทั้งหมดออกมา


ภายใต้สถานการณ์กดดันเช่นนี้ เป็นเรื่องง่ายกว่าสำหรับเย่หยวนที่จะก้าวข้ามขีดกำจัดของตัวเองไปสู่อีกขั้น


ตั้งแต่สู้ในรอบแรก เย่หยวนค้นพบแล้วว่า เหล่าอัจฉริยะยุคบรรพกาลเหล่านี้ล้วนมีความเข้าใจที่แตกต่างจากคนในยุคปัจจุบันเกี่ยวกับพลังแห่งแนวคิด


เฉกเช่นเดียวกับหญิงสาวนางนี้ที่สามารถหลอมรวมเต๋าแห่งดาบเข้ากับแนวคิดแห่งน้ำแข็งได้ในระดับลึกซึ้ง ความสามารถนี้ของนางนับว่าพิเศษและโดดเด่นอย่างมาก กล่าวได้ว่านางคือผู้ไร้เทียมทานที่สุดในยุคนั้นก็ไม่ผิด


มีโอกาสเข้าต่อกรกับผู้ที่หลอมผสานสองแนวคิดได้ ผลประโยชน์ที่ได้รับมันแตกต่างไปจากตอนที่เย่หยวนเข้าฝึกปรือในห้วงบ่มเพาะแห่งความตายโดยสิ้นเชิง


การต่อสู้กับตัวเองเพื่อก้าวข้ามขีดจำกัดตนเองไปอีกขั้น นับเป็นการพัฒนาเชิงแนวตั้ง


แต่การได้ต่อสู้แลกเปลี่ยนกระบวนกับอัจฉริยะเหล่านี้ เป็นการขยับขยายขอบเขตความเข้าใจให้กว้างขึ้น มิใช่เพียงแนวคิดที่ตนเคยมี แต่เป็นการเรียนรู้แนวคิดอื่นๆจากทุกคน นับเป็นการพัฒนาเชิงแนวนอน


เย่หยวนสามารถต่อสู้กับตัวเองกี่ครั้งก็ได้ แต่เป็นโอกาสยากนักที่จะได้แลกเปลี่ยนกระบวนกับอัจฉริยะแห่งยุคบรรพกาลเหล่านี้


“เปล่าประโยชน์! พลังปราณเทวะของเจ้าระดมใช้กะทันหันเกินไป! หากยังไม่รับถอยเจ้าจะตายได้!”


เสียงแผดเย็นสะท้านของหญิงสาวเอ่ยดังขึ้น


แม้จะดูเหมือนว่าหญิงสาวนางนี้คือโฉมงามดั่งธิดาน้ำแข็งที่ไร้ซึ่งความรู้สึก แต่ก็เห็นได้ชัดว่า นางประทับใจในพรสวรรค์การต่อสู้ของเย่หยวนเป็นอย่างมาก นี่จึงเป็นเหตุผลที่นางเอ่ยปากเตือนเช่นนี้


เว้นเสียแต่เย่หยวนจะหาได้สนใจคำเตือนอีกฝ่ายไม่ เขามิได้ฟังนางเลยด้วยซ้ำ


“หึ! ช่างดื้อรั้นนัก!”


เมื่อหญิงสาวเห็นว่าเย่หยวนไม่ฟังคำเอ่ยเตือนใดๆ เช่นนั้นนางเองก็ไม่ยอมถอยแล้วเช่นกัน ดาบยาวในมือกระชับจับแน่นปราดพุ่งด้วยความเร็วสูงสุด


“ปราณดาบเหมันต์พิสุทธิ์!”


นี่คือผลงานชิ้นเอกของนาง เต๋าดาบที่แกร่งกล้าที่สุด!


เต๋าดาบสุกลึกล้ำหลอมรวมเข้ากับแนวคิดแห่งน้ำแข็งขั้นสูง ก่อให้เห็นเพลงดาบที่สามารถปลดปล่อยไอเย็นจับขั้วไขกระดูกศัตรูได้ กล่าวได้ว่าแม้แต่ดับเงาสยบมารของเย่หยวนยังถูกแช่แข็งกลางเวหา


กลิ่นอายแห่งความตายโชยออกมาจากเบื้องหน้า!


ซวบ!


เงาร่างทั้งสองสายตัดผ่านกันและกัน ทันทีทันใดการเคลื่อนไหวของทั้งสองพลันหยุดชะงักในบัดดล


ติ้ง!


ติ้ง!


ช่องท้องของเย่หยวนถูกทะลวงเป็นรูโหว่ขนาดใหญ่ ธารเลือดรินไหลออกเป็นทางยาว


“ฮ่าๆๆ! ในที่สุดเจ้าเด็กนี่ก็พ่ายลงเสียที! สุดท้ายจำต้องพ่ายแพ้! คราวนี้คงไม่มีอันใดพลิกโพแล้วกระมัง?”


เมื่อเห็นภาพฉากนี้ ปู่เจ้อเริ่มระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่น


ทุกคนต่างถอนหายใจเสียงยืดยาวด้วยความโล่งอกสุดหัวใจ กลิ่นอายแห่งความกดดันที่เย่หยวนนำพามาให้พวกเขามันมากเกินไป


เอาชนะฝ่าฟันความเป็นความตายได้อย่างหวุดหวิดถึงสิบสามรอบรวด!


โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับติงฟาน เขาที่ฝ่าฟันไปถึงรอบที่เก้าย่อมรู้ซึ้งดีว่าคู่ต่อสู้แต่ละคนมันสร้างปัญหาใหญ่ยิ่งใหญ่เพียงใด


อาจกล่าวได้ว่า ยิ่งเข้ารอบลึกเท่าใด ความยากยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ


ความเหลื่อมล้ำระหว่างพลังเป็นช่องว่างที่ใหญ่เกินทดแทน!


ทุกครั้งที่เย่หยวนฝ่าฟันไปได้รอบหนึ่ง เสมือนกับมีหุบเขาไท่ซานยักษ์กดทับหัวใจเขารุนแรงขึ้น


ตอนนี้เขารู้สึกดียิ่งกว่าอะไร!


เมื่อเห็นเย่หยวนพ่ายแพ้ลงในที่สุด ติงฟานก็อดถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอกมิได้


แต่ในไม่ช้า สีหน้าการแสดงออกของพวกเขาทั้งหมดพลันแข็งค้างไปทั้งแบบนั้น


“นี่…นี่เป็นไปได้อย่างไร?”


ปาถู่ตื่นตระหนกเอ่ยอุทานลั่น


ท่ามกลางทุกสายตาที่จับจ้อง ภายในภาพฉากปรากฏเป็นภาพฉากที่หญิงสาวนางนั้นค่อยๆสลายหายไป ปรากฏว่านางถูกฆ่าก่อน!


“ก็…ก็เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวนางนั้นชนะมิใช่รึ? ไฉน…ไม่สิ…นางถูกฆ่าตั้งแต่ตอนไหน?”


ติงฟานเอ่ยกล่าวพร้อมท่าทีสุดมึนงง


หญิงสาวนางนั้น กายาค่อยๆสลายหายไป แต่ยามนี้กลับเหลียวมองเย่หยวนด้วยความตกใจยิ่งกว่าอะไร


“เจ้ามันบ้าบิ่นเกินไป!”


หญิงสาวเอ่ยกล่าวน้ำเสียงเย็นดังลั่น


สภาพของเย่หยวนในขณะนี้ค่อนข้างน่าสังเวชนัก ถึงแม้นจะโคจรพลังปราณเพื่อฟื้นฟูร่างกายด้วยวรยุทธมังกรทรราชจุติไปแล้ว ทว่าความเร็วในการฟื้นฟูยามนี้กลับไม่สามารถตอบสนองอาการบาดเจ็บจากแนวคิดที่ทรุดตัวลงเรื่อยๆได้


ได้ฟังหญิงสาวเอ่ยกล่าวเช่นนั้น เย่หยวนคลี่ยิ้มอย่างยากลำบากพลางกล่าวขึ้นว่า


“แต่ข้าก็ชนะมิใช่รึ? ยิ่งกว่านั้น…ข้ายังเข้าใจแล้ว!”


ก่อนหน้านี้ ขณะที่เย่หยวนถูกต้อนหนักจนมุม กล่าวได้ว่าเย่หยวนรีดเร้นศักยภาพของตนเองจนถึงขีดจำกัด นั้นส่งผลให้เย่หยวนบรรลุแนวแห่งห้วงมิติชั้นสวรรค์ระดับหนึ่งขั้นสุดได้!


เย่หยวนสามารถทะลวงผ่านเขตแดนน้ำแข็งของหญิงสาวนางนั้นและเข้าสังหารนางได้ก่อน


อย่างไรก็ตาม ปราณดาบเหมันต์พิสุทธิ์ของนางก็หาใช่สิ่งของแสดงไม่ ภายใต้รัศมีโจมตี มันสร้างทะลวงผ่านช่องท้องของเย่หยวนจนเป็นรูโหว่ได้ในพริบตา


ผลสุดท้ายคือ เย่หยวนได้รับบาดเจ็บสาหัสในขณะที่หญิงสาวนางนั้นตาย!


ดวงเนตรไสวงามของหญิงสาวผู้แสนเย็นชากะพริบเล็กน้อย ก่อนที่นางจะเอ่ยขึ้นว่า


“เจ้าชนะแล้ว! ผ่านเข้ารอบต่อไปได้! ในเมื่อเจ้าสามารถเข้าใจแนวคิดแห่งห้วงมิติได้ถึงระดับนี้ คู่ต่อสู้ในรอบหลังจากนี้ก็หาใช่คู่มือเจ้าอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม…เจิ้งเจี้ยนในรอบสุดท้ายได้ชื่อว่าเป็น ยอดอัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ของนิกายบัลลังก์ม่วง เจ้าต้องระวังตัวให้ดี! ฟังว่ามันบ้าระห่ำไม่ต่างจากเจ้า!”


สีหน้าการแสดงออกของเย่หยวนเปลี่ยนไปในทันใด การที่จะทำให้หญิงสาวยอดอัจฉริยะผู้แสนเย็นชานางนี้หวาดหวั่นได้ นับว่าหาได้ยิ่งยาก


สิ่งหนึ่งที่ควรทราบคือ พรสวรรค์ของหญิงสาวนางนี้ ทอดสายตาทั่วทั้งมหาพิภพก็หาได้ยากยิ่ง


ความสามารถในการหลอมผสานเต๋าดาบกับแนวคิดแห่งน้ำแข็งจนบรรลุชั้นสวรรค์ระดับสามได้ขนาดนี้ หาใช่สิ่งที่คนทั่วไปหรือแม้แต่อัจฉริยะจะทำได้


หลังจากที่เย่หยวนก้าวเข้าสู่มหาพิภพถงเทียนแห่งนี้ บุคคลที่เรียกได้ว่าอัจฉริยะจริงๆ กล่าวได้ว่าเขาเพิ่งพบเจอมาแค่ไม่กี่คนเท่านั้น แต่เขาก็ไม่เคยพบใครที่สามารถหลอมรวมพลังแห่งแนวคิดได้มาก่อน


ในบรรดาผู้คนที่ร่วมเดินทางเข้ามาทดสอบในครั้งนี้ เย่หยวนไม่รู้ว่ามีใครสามารถหลอมรวมแนวคิดได้บ้าง แต่เขาเองก็คิดว่าไม่มีใครสามารถผ่านมาถึงรอบสิบสามได้แน่นอน


ดูเหมือนว่าตอนนี้ เย่หยวนจำต้องระวังคนที่ชื่อว่าเจิ้งเจี้ยนไว้เล็กน้อย


เย่หยวนพยักหน้าพร้อมผสานมือกล่าวว่า


“ขอบคุณมาก ข้าจะระวังตัว!”


หญิงสาวผู้แสนเย็นชาพยักหน้าตอบเล็กน้อย ก่อนจะส่งตัวเย่หยวนออกไปโดยตรง ภายในค่ายกลพักฟื้นนี้ ทั้งอาการบาดเจ็บและพลังปราณเทวะของเย่หยวนกำลังฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว


“ช่างเป็นค่ายกลที่ทรงพลังโดยแท้! แท้ที่จริงแล้วมันฟื้นฟูได้เร็วเสียยิ่งกว่าโอสถเสียอีก! ความแข็งแกร่งของนิกายบัลลังก์ม่วงในยุคนั้นคงหาใช่กลุ่มอิทธิพลธรรมดาไม่!”


เมื่อสัมผัสได้ถึงความเร็วในการฟื้นฟูอาการบาดเจ็บ เย่หยวนก็เอ่ยชื่นชมอย่างตื่นอกตื่นเต้น


“สำแดงใช้ดับเงาสยบมารควบคู่ไปกับแนวคิดแห่งห้วงมิติเช่นนี้ กล่าวได้ว่ามันก็หาใช่เพลงดาบดับเงาสยบมารได้อีกต่อไป เช่นนั้นควรเรียกมันว่าอะไรดี? อืม…ทิศทางการเคลื่อนไหวอันลึกลับของมันมิอาจคาดเดาได้โดยง่าย คู่ต่อสู้ไม่สามารถจับทางสกัดต้านรับ เช่นนั้น…ไฉนไม่เรียกมันว่า‘เพลงดาบเมฆาลับแล’ล่ะ!”


เย่หยวนเอ่ยพึมพำกับตนเอง


ปัจจุบัน เพลงดาบของเย่หยวนมีพลังแห่งแนวคิดหลอมรวมอยู่ค่อนข้างน้อย


กระบวนดาบอย่างดับเงาสยบมารที่หลอมรวมเข้ากับแนวคิดแห่งห้วงมิติ ทำให้กลิ่นอายเอกลักษณะดั้งเดิมของมันแปรเปลี่ยนไป


นี่เป็นการหลอมรวมสองแนวคิดระดับสูงอย่างเต๋าดาบและแนวคิดแห่งห้วงมิติ ซึ่งคล้ายคลึงกับปราณดาบเหมันต์พิสุทธิ์ของหญิงสาวนางนั้น


การเสริมพลังด้วยแนวคิดแห่งห้วงมิติทำให้เพลงดาบของเย่หยวนลึกซึ้งและยากจะเข้าถึงยิ่งขึ้น


มันแตกต่างไปจากดับเงาสยบมารแบบดั้งเดิมโดยสิ้นเชิง ดังนั้นแล้วเย่หยวนจึงตั้งชื่อให้ใหม่ว่า‘เพลงดาบเมฆาลับแล’จึงน่าจะเหมาะสมกว่า


ตอนที่ 1522 ตามที่เจ้าพอใจ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ตามที่หญิงสาวนางนั้นคาดการณ์ไว้ไม่มีผิด คู่ต่อสู้หลังจากนั้นของเย่หยวนหาใช่ปัญหาของเขาไม่


เมื่อสามารถปลิดชีพคู่ต่อสู้รอบที่สิบเจ็ดลงได้ เย่หยวนก็ปล่อยให้เหล่าอัจฉริยะที่เฝ้ามองอยู่ด้านนอกตื่นตะลึงขากรรไกรแทบร่วง


ติงฟานรู้สึกเพียงว่ายามนี้ริมฝีปากของตนแห้งเหือดเสียเหลือเกิน ความแข็งแกร่งของเย่หยวนทรงพลังจนไต่มาถึงรอบนี้ได้จริงๆน่ะรึ?


ขณะที่ตนเดินทางมาสุดในรอบที่เก้า แต่เย่หยวนกลับไปได้ไกลถึงรอบที่สิบแปด!


ความเหลื่อมล้ำระหว่างเขากับแม่ทัพปีศาจขั้นสุดตัวน้อย มันห่างถึงเก้ารอบเชียว?


และเก้ารอบที่ว่านี้ แต่ละรอบความยากที่ต้องเผชิญล้วนเพิ่มขึ้นเป็นหลายเท่าทวี


คู่ต่อสู้จากเก้ารอบหลังย่อมแข็งแกร่งยิ่งกว่าคู่ต่อสู้จากเก้ารอบแรกเป็นอย่างมาก


“ข้าไม่รู้จริงๆว่าเจ้าเด็กคนนี้มันแกร่งกล้าเพียงใด! ข้าอยากลองปะมือกับเขาจริงๆหลังจากที่ออกมา!”


ภายในใจของปาถู่รู้สึกคันเหลือทน เขากังขาสงสัยยิ่งว่าแท้จริงแล้ว คู่ต่อสู้ที่เย่หยวนพบเจอมันเหมือนกับของพวกเขาหรือไม่


โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการต่อสู้ในรอบที่สิบสาม เขาสามารถเอาชนะหญิงสาวผู้แสนเย็นชานางนั้นได้อย่างค้านสายตาพวกเขายิ่ง เห็นได้ชัดว่านางทะลวงหน้าท้องของเย่หยวนจนเป็นรูโหว่ได้ แต่ไฉนกลับเป็นเย่หยวนที่ชนะในตอนท้าย?


“นี่ก็รอบสุดท้ายแล้ว ผลจะเป็นอย่างไรย่อมทราบในไม่ช้าก็เร็ว!”


ติงฟานกล่าวพร้อมแสยะยิ้มเย็น


…………..


เย่หยวนจับจ้องไปยังชายหนุ่มในชุดอาภรณ์สีดำตรงหน้า แรงกดดันขุมใหญ่ที่เขาได้รับกลับไม่เคยสัมผัสจากที่ใดมาก่อน


แม้ว่าหญิงสาวนางนั้นจะแข็งแกร่งยิ่ง แต่นางก็ยังไม่สามารถชักนำแรงกดดันให้แก่เขาได้มหาศาลปานนี้


ก่อนหน้าที่จะได้เผชิญพบกับเจิ้งเจี้ยน เย่หยวนนึกไม่ออกเลยว่า จะมีเซียนอาณาจักรบรรพกาลพระเจ้าครึ่งขั้นคนใดสามารถสร้างแรงกดดันให้เขาได้ขนาดนี้จริงๆ


“เหอะ! เจ้าพวกขยะเหล่านั้นกลับปล่อยให้ไก่อ่อนอย่างเจ้ามาถึงตรงหน้าข้าได้จริงๆ!”


เจิ้งเจี้ยนกล่าวเย้ยหยันขึ้นทันทีพร้อมสายตาแสนดูถูก


เย่หยวนขมวดคิ้วขึ้นถักหนา พวกขยะงั้นรึ?


คู่ต่อสู้ทั้งสิบเจ็ดคนก่อนหน้า ทุกคนล้วนแต่เป็นยอดอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์ที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง


แต่เมื่อมาถึงจุดนี้ เจิ้งเจี้ยนกลับทำให้พวกเขากลายเป็นขยะในพริบตา


มุมปากเย่หยวนกระตุกขึ้นเล็กน้อยก่อนกล่าวว่า


“พวกเขาเหล่านั้นต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า เจ้าเป็นพวกบ้าระห้ำ แต่ข้าไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่า จะเป็นพวกบ้าระห้ำที่หยิ่งผยองปานนี้”


เจิ้งเจี้ยนเค้นเสียงเย็นเอ่ยตอบอย่างไม่แยแสว่า


“ไม่ใช่ว่าข้าหยิ่งผยอง แต่เจ้าไม่มีคุณสมบัติที่จะยืนอยู่ตรงหน้าข้าเลย ข้าไร้เทียมทานที่สุดในบรรดายอดอัจฉริยะในระดับชั้นเดียวกัน แต่เจ้าเป็นเพียงเด็กน้อยอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าขั้นสุดเท่านั้น แล้วเจ้ามีสิทธิ์อะไรเข้ามายืนเทียบชั้นกับข้าผู้นี้?”


กลิ่นอายความหยิ่งผยองของเจิ้งเจี้ยนแผ่ซ่านกำราบทั่วสวรรค์ เขากำลังดูถูกเย่หยวนโดยสิ้นเชิง


ในสายตาของเขา ไม่มีผู้ใดในระดับชั้นเดียวกันที่สามารถเป็นคู่มือของเขาได้ เช่นนั้นแล้วนับประสาอะไรกับเย่หยวนที่มีระดับพลังต่ำกว่าเขา?


เพียงว่าวาจาคำกล่าวเหล่านี้ค่อนข้างเป็นเรื่องขำขันสำหรับเย่หยวน


ไร้เทียมทานที่สุดในบรรดายอดดอัจฉริยะในรระดับชั้นเดียวกัน? วาจาคำกล่าวเช่นนี้แม้แต่เย่หยวนเองยังไม่กล้าพูด แต่เจิ้งเจี้ยนคนนี้กลับกล่าวออกมาได้อย่างไร้ยางอาย


บนมหาพิภพถงเถียนอันกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต คำว่ายอดอัจฉริยะกลับมีมากมายเกินคนานับดั่งเส้นขนวัว มีใครบ้างกล้าบอกว่าตนเองไร้เทียมทานที่สุด?


เย่หยวนเชื่อสนิทใจว่า เจิ้งเจี้ยนคนนี้เป็นบุคคลที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งแน่นอน แต่การที่สามารถเอ่ยกล่าวเช่นนี้ออกมาได้โดยไม่ละคายปาก เย่หยวนกลับเริ่มไม่มั่นใจแล้วเช่นกัน


เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า


“เหอะ เช่นนั้นก็ขอโทษด้วย เพราะตลอดที่ผ่านมา ข้าเองก็ยังไม่เคยเจอผู้ใดในระดับเดียวกันที่เป็นคู่มือข้าได้เลยเช่นกัน”


เจิ้งเจี้ยนแสยะยิ้มพลางเอ่ยกล่าวเย้ยหยันไปว่า


“เช่นนั้นรึ? ดูท่าเจ้าเองก็หยิ่งผยองนัก! หากเป็นอย่างนั้น ข้าจะบดขยี้ความหยิ่งผยองของเจ้าให้สิ้นในวันนี้! ข้าจะทำให้เจ้าตระหนักแจ้งเองถึงความแตกต่างระหว่างคนธรรมดากับอัจฉริยะ!”


“มาเถิด ข้ารอคอยที่จะได้พบเจอกับอัจ…ฉริยะเสียนานแล้ว”


เย่หยวนจงใจลากเสียง แสดงความรังเกียจเผยให้เห็นออกมา เพราะเขาไม่ชอบบุคคลที่ได้ชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดคนนี้อย่างมาก


เจิ้งเจี้ยนยังคงยืนนิ่งดุจหินผา วาจายั่วยุของเย่หยวนกลับใช้ไม่ได้ผล


ทันทีทันใด เย่หยวนพลันขมวดคิ้วเข้มทันที รัศมีพลังที่ปะทุออกจากร่างของเจิ้งเจี้ยนลดลงตกฮวบในพริบตา เขาระงับระดับพลังของตนเหลือเพียงอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าขั้นสุดเหมือนกับเย่หยวน!


“เจ้าประหลาดใจนักรึ?”


เจิ้งเจียนเอ่ยกล่าวขึ้นอย่างไม่แสแย


เย่หยวนพยักตอบตรงไปตรงมาและกล่าวว่า


“ประลหาดใจเล็กน้อย”


เจิ้งเจี้ยนกล่าวต่อว่า


“ข้าเคยกล่าวไปก่อนหน้านี้แล้ว ตัวข้าไร้เทียมทานที่สุดในบรรดาระดับชั้นเดียวกันทั้งหมด หากยังหยิบใช้ขุมพลังอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าครั้งขั้นกับเจ้า แล้วข้าจะต่างไปจากพวกขยะที่ผ่านมาอย่างไร?”


เย่หยวนยักไหล่ตอบว่า


“ตามที่เจ้าพอใจเสีย”


เย่หยวนในตอนนี้ค้นพบแล้วว่า ตนไม่มีทางสื่อสารกับชายผู้หยิ่งผยองตรงหน้าได้เลย


กล่าวได้ว่า อยากทำอะไรก็ทำไป เขาพูดไปคงทำอะไรไม่ได้อยู่ดี


ภายนอกเหล่าเหล่าอัจฉริยะกลุ่มนั้นที่เฝ้ามองภาพฉาก ต่างอ้างปากค้าง ลิ้มพัลวันพูดไม่ออกกันอยู่นาน


“บัดซบ! เจ้าบ้านั้นมันปัญญาอ่อนรึอย่างไร? กล้าระงับระดับพลังลงเพื่อต่อกรกับบรรพกาลราตรีจริงๆ?”


“เจ้านั้นอวดดีเกินไป!”


“ในเมื่อหยิ่งยโสปานนี้ก็นับว่าหาเรื่องเข้าตัวแล้ว! ข้าอยากเห็นเสียจริงว่ามันจะตายอย่างไร!”


……………….


แม้ว่าติงฟานและปาถู่จะรู้สึกว่าเย่หยวนไม่น่าจะผ่านมาถึงรอบนี้ได้ก็จริง แต่เรื่องความแข็งแกร่งของเย่หยวน พวกเขาเองก็มิได้กังขาสงสัยเช่นกัน


เมื่อเห็นเจิ้งเจี้ยนระงับระดับพลังของตนลงเพื่อรับมือกับเย่หยวน พวกเขาต่างตื่นตะลึงไม่อยากเชื่อสายตาเท่าไหร่นัก


ในมุมมองของบางคนยังพลันคิดไปว่าอีกฝ่ายคงบ้าไปแล้ว


ดาบคู่สองเล่มปรากฏขึ้นในมือเจิ้งเจี้ยนในพริบตา


ทั่วกายาปลดปล่อยกลิ่นอายสุดลึกล้ำเกินหยั่งถึงออกมาโดยตรง


รัศมีแรงกดดันสุดเดือดดุปราดพุ่งเข้าครอบงำ สีหน้าเย่หยวนแปรเปลี่ยนอย่างเห็นได้ชัด


ถึงชายผู้นี้จะหยิ่งยโสปานใด แต่ความแข็งแกร่งของเขาก็มิอาจปฏิเสธได้จริงๆ


แม้อีกฝ่ายจะระงับระดับพลังของตนลงไป ทว่าเย่หยวนก็ไม่กล้าประมาทเช่นกัน


“ภายในสิบกระบวนดาบข้าจักส่งเจ้ากลับบ้านเก่า! เพลงดาบอรหันต์!”


เจิ้งเจี้ยงลั่นคำรามเสียงทุ้ม ปราดพุ่งจู่โจมราวกับพญาเสือลุถึงตรงหน้าเย่หยวนในพริบตา


ดาบคู่ทั้งสองเล่มห่ำหั่นกระหน่ำเข้าใส่ เล่มหนึ่งสะบั้นตรงไปที่ลำคอขณะที่อีกเล่มทะลวงเข้าหน้าท้องของเย่หยวน สอดผสานเข้าจังหวะแสนลงตัวสมบูรณ์แบบ


เย่หยวนเค้นหัวเราะคำหนึ่ง กระชับดาบพิชิตมารฟ้าในมือแน่น ยิ่งประกายแสงกระบวนดาบร่ายไสว ลึกลับเกินหยั่งถึง


“เพลงดาบเมฆาลับแล!”


ทัศนวิสัยเบื้องหน้าของเจิ้งเจี้ยนพลันพล่าเบลอฉับพลัน คมดาบของเย่หยวนแม้นออกตัวร่ายปลดปล่อยได้ช้ากว่า ทว่ากลับลุถึงตรงหน้าถึงก่อนอีกฝ่าย!


คลื่นความตกใจที่ถาโถมหามีนัยยะสำคัญไม่ ท่าร่ายกลยุทธ์แปรเปลี่ยน เจิ้งเจี้ยนตั้งรับปัดกระบวนดาบเย่หยวนออกไปในพริบตา


ถึงอย่างไรการปรับเปลี่ยนกระบวนฉับพลันเช่นนี้ ทำให้เจิ้งเจี้ยนสูญเสียความได้เปรียบไปเช่นกัน


ดายคู่ของเจิ้งเจี้ยนมีขนาดค่อนข้างสั้น ความได้เปรียบเกิดจากการสัประยุทธ์ระยะประชิด


แต่ยามนี้เย่หยวนอาศัยความยาวของดาบตนเอง เข้าปราบปรามเจิ้งเจี้ยนโดยตรงไร้ปราณี


หนึ่งกระบวนแปรเปลี่ยน การปรับรูปแบบเคลื่อนไหวในครานี้ เจิ้งเจี้ยนรู้สึกเสียใจอยู่เบื้องลึก


“กลับกลายเป็นว่าเจ้าเข้าใจแนวคิดแห่งห้วงมิตินี่เอง ไม่น่าแปลกใจถึงไฉนอวดดีนัก แต่น่าเสียดาย แนวคิดแห่งห้วงมิติที่เจ้าเข้าใจยังคงตื้นเขินเกินไป!”


เจิ้งเจี้ยนกรนเสียงเยียบเย็นครืน กระโจนร่างไสววูบปราดเข้าจู่โจมเป็นระลอกสอง


ซึ่งครั้งนี้ความเร็วของเจิ้งเจี้ยนเร่งเร้าถึงขีดสุดแล้ว


คู่สายตาที่จ้องมองของเย่หยวนแปรเปลี่ยนในทันใด ยามนี้แลดูจริงจังขึ้นหลายส่วน เห็นได้ชัดว่าเจิ้งเจี้ยนเริ่มเอาจริงแล้ว


เต๋าแห่งดาบชั้นสวรรค์ระดับสามขั้นสุดผสานรวมเข้ากับแนวคิดแห่งวายุชั้นสวรรค์ระดับสามขั้นสุด!


นอกจากนี้ยังดูเหมือนว่าดาบสั้นคู่นั้นในมือเจิ้งเจี้ยนยังดูท่ามีความลับอะไรบางอย่างเร้นซ่อนไว้อยู่


เกร๊ง! เกร๊ง! เกร๊ง!


ยามนี้เข้าเผชิญกับยอดฝีมือระดับชั้นนี้ เย่หยวนไม่กล้าเก็บซ่อนความแข็งแกร่งของตนเช่นกัน


ดาบสั้นคู่นั้นมิอาจจับทิศทางการเคลื่อนไหวได้แน่นอน เหมือนกับดาบพิชิตมารฟ้าในมือเขา ความประมาทเพียงชั่วคู่คือหนทางสู่ความตาย!


แต่ภายใต้ขอบเขตระดับพลังเดียวกันเช่นนี้ เย่หยวนหาได้เกรงกลัวเจิ้งเจี้ยนไม่


การที่เย่หยวนสามารถข้ามระดับสู้ได้ สิ่งที่เขาพึ่งพามิได้มีเพียงความเข้าใจต่อแนวคิด แต่ยังมีพลังปราณเทวะของเขาอีกด้วย!


ศึกสัประยุทธ์แสนพัลวันนี้ ทำให้เย่หยวนต้องรีดเค้นวรยุทธต่อสู้ออกมาอย่างหนักหน่วง ผลก็คือขุมพลังอานุภาพที่ออกมาถึงขีดสุด และยากยิ่งที่ผู้ใดจะรับมือ


ดังนั้นแล้ว เจิ้งเจี้ยนที่ระงับระดับพลังลงเพื่อต่อกรกับเย่หยวนอย่างสมน้ำสมเนื้อ จึงนับเป็นเรื่องที่น่าขันยิ่ง


เจิ้งเจี้ยนตระหนักถึงจุดนี้ได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าเขาจะเร่งเร้าฝีเท้าจนเคลื่อนไหวเร็วปานใด แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงไล่ตามความเร็วของเย่หยวนเท่านั้น


ยามนี้เขารู้สึกผิดหวังอย่างมาก ภายใต้สถานะขอบเขตพลังเดียวกัน เขากลับไม่สามารถทำอะไรเย่หยวนได้จริงๆ


ทั้งสองต่างก้ำกึ่งกันอย่างมาก!


เกร๊ง!


เย่หยวนเหลือบมองเจิ้งเจี้ยนเล็กน้อย พลางเอ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้มที่มิใช่รอยยิ้มว่า


“นี่ก็ปาไปแปดสิบกระบวนดาบเข้าไปแล้ว เกินจากที่กล่าวอ้างไม่มากไปหน่อยรึ? ไร้เทียมทานที่สุดในบรรดาผู้คนระดับชั้นเดียวกันทั้งหมดที่เจ้าว่ากล่าว มิใช่ว่าเกินจริงไปหน่อยรึ?”


สีหน้าการแสดงออกของเจิ้งเจี้ยนยามนี้มืดทมิฬดั่งก้นหม้อไหม้ เขาไม่รู้เลยว่าตนควรหักล้างคำกล่าวของเย่หยวนอย่างไรดี


นี่ยังเป็นครั้งแรกของเขาในชีวิตที่ไม่สามารถทำอะไรกับคู่ต่อสู้ภายใต้ขอบเขตพลังเดียวกันได้!


เด็กหนุ่มที่อยู่ต่อหน้าต่อตาเขาทรงพลังเหนือจินตนาการนัก!


แม้จะไม่เต็มใจยอมรับ แต่กล่าวได้ว่าก่อนหน้าเจิ้งเจี้ยนลั่นวาจาอวดอ้างไว้มากเกินไปจริงๆ


“ดูเหมือนว่าข้าจะประเมินเจ้าต่ำเกินไปจริงๆ! เจ้าหนู เจ้ามีคุณสมบัติมากพอจะเป็นคู่ต่อสู้ของข้า! อย่างไรเสียเจ้าทำให้ข้าโกรธจริงๆแล้ว เช่นนั้นข้าขอไม่รั้งรอนออมมือใดๆอีกต่อไป!”


เจิ้งเจี้ยนแผดเสียงเย็นสะท้านเอ่ยลั่นย


เย่หยวนยิ้มแสยะยิ้มกว้างกล่าวขึ้นว่า


“น้อมรับด้วยความยินดี!”


ตอนที่ 1523 สรรพสิ่งรู้แจ้ง

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ฮ่าๆๆ คู่ต่อสู้รอบสุดท้ายนี้ช่างน่าขันเสียจริง ประเมินความสามารถตนเองสูงส่งเกินไป ถึงขั้นระงับพลังลดระดับขอบเขตของตนลง แล้วอย่างไร? ยามนี้รู้ซึ้งถึงความแกร่งกล้าของบรรพกาลราตรีแล้วใช่หรือไม่?”


“คงมองไปเสียว่าน่าเบื่อหน่ายจนสร้างปัญหาให้ตนเอง? คนที่มีความสามารถก้าวขึ้นสู่รอบสิบแปดได้ มีหรือจะอ่อนแอปานนั้น?”


“เหอะ ดูท่ามันจะดูถูกบรรพกาลราตรีเกินไปมาก เหตุนี้จึงหน้าแตกฟาดเข้าระฆังเต็มสูบ?”



แม้พวกเขาเหล่านี้จะไม่ได้ยินบทสนทนาระหว่างทั้งสองในลานประลองวงแหวน แต่พินิจจากลักษณะท่าทางการแสดงออกแล้ว ก็ยังสามารถอนุมานถึงทัศนคติของเจิ้งเจี้ยนในยามนี้ได้


ความหยิ่งผยองจองเดชนั้นไม่ว่าใครต่างก็รู้สึกได้แม้นจะผ่านภาพฉายก็ตาม


แม้ว่าอัจฉริยะที่เฝ้ามองอยู่ภายนอกเหล่านี้จะไม่ค่อยชอบพอเย่หยวนนัก แต่เพราะเย่หยวนเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถผ่านเข้าถึงรอบที่สิบแปดได้ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นตัวแทนของเหล่าอัจฉริยะทั้งหมด


ถึงเจิ้งเจี้ยนจะสามารถเอาชนะถึงขั้นสังหารเย่หยวนได้ก็จริง แต่ถึงอย่างไรก็มิอาจประมาทถึงขนาดนี้ได้


นี่เท่ากับตบหน้าตัวเองชัดๆ!


ภายใต้อิทธิพลทางจิตวิทยานี้ บรรยากาศผิดแปลกประหนึ่งว่าเจิ้งเจี้ยนถูกเย่หยวนตบแสกหน้าเข้าเต็มๆ แต่แล้วอย่างไร เขากลับรู้สึกโล่งใจราวกับได้รับการปลดปล่อยแทน


“ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ บรรพกาลราตรีชักจะแย่แล้ว! คู่ต่อสู้ในรอบที่สิบแปดนั้นทรงพลังมาก เขามิใช่คนที่คู่ต่อสู้ทั้งสิบเจ็ดคนก่อนหน้าเทียบเคียงได้เลยแม้แต่น้อย!”


ปาถู่เอ่ยกล่าวขึ้นในทันใด


สำหรับคำสันนิษฐานนี้ ติงฟานค่อนข้างเห็นด้วยเช่นกัน เขาพยักหน้ากล่าวว่า


“หากข้าคาดการณ์ถูกต้อง นี่คงถึงขีดจำกัดของบรรพกาลราตรีแล้ว ในขณะที่คู่ต่อสู้คนนี้ยังระงับระดับพลังไว้อยู่”


ปาถู่กล่าวขึ้นพร้อมหลากอารมณ์สนปรวนแปรนัก


“ข้าอยากเข้าไปดูให้เห็นกับตาเสียจริง นี่คือสุดยอดแห่งศึกสัประยุทธ์ในระดับชั้นจอมทัพปีศาจก็ว่าได้!”



เมื่อฟื้นคืนสู่อาณาจักรบรรพกาลพระเจ้าครึ่งขั้น กายาทั่วร่างของเจิ้งเจี้ยนพลันปลดปล่อยกลิ่นอายสุดน่าสะพรึงเกินหยั่งถึง


“พร้อมใจตายแล้วกระมัง?”


เจิ้งเจี้ยนเค้นหัวเราะเสียงเยียบเย็น ทันใดนั้นร่างของเขาก็ค่อยๆพร่ามัวหายไป


คู่ดวงตาเย่หยวนหรี่ลงเล็กน้อย ทันทีทันใดเพลงดาบเมฆาลับแลก็พลันสำแดงออก ร่างของเขาหายวับในพริบตาเช่นกัน


ราวกับทั้งสองจางหายไปกับอากาศโดยตรง


เกร๊ง! เกร๊ง! เกร๊ง!


กลางห้วงแห่งความว่างเปล่าเสียงโลหะดังปะทะกึกก้อง ริ้วแสงประกายเย็น คมดาบเสียดชนก่อเกิดสะเก็ดไฟวูบวาบเป็นครั้งคราว


สองขั้วแนวคิดที่แตกต่าง หนึ่งเป็นแนวคิดแห่งห้วงมิติ ส่วนอีกหนึ่งคือแนวคิดแห่งวายุ การเคลื่อนไหวของทั้งคู่รวดเร็วผิดวิสัย ช่างดูน่าวิปลาสนัก


สำหรับเหล่ายอดฝีมือ เพียงความต่างของระดับพลังแค่เล็กน้อยกลับส่งผลกระทบร้ายแรงเกินจินตนาการ


“เร็วมาก! ข้าจับตามองร่างของทั้งคู่ไม่ทันเลย!”


“ปรากฏว่านี่คือจุดแข็งที่แท้จริงของพวกเขา! น่ากลัวเกินไปแล้ว!”


“แม้ข้าจะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแห่งแนวคิดได้รางๆ แต่ข้ามั่นใจยิ่งว่า ทั้งสองสามารถสังหารข้าได้ในพริบตาโดยใช้กระบวนเคลื่อนไหวเหล่านี้!”


“ข้าอยากรู้เสียจริงว่า ตอนนี้ใครกันที่กุมความได้เปรียบอยู่!”



ณ โลกภายนอก เหล่าอัจฉริยะพวกนี้ไม่สามารถจับสายตามองการเคลื่อนไหวของทั้งคู่ได้ทันเลย สัมผัสจับได้เพียงเงาร่างไสวเป็นครั้งคราวเท่านั้น


การต่อสู้ดังกล่าวทำให้พวกเขาระทึกขวัญเจียนลืมหายใจ!


ถึงระดับชั้นจะเป็นจอมทัพปีศาจเหมือนกัน แต่ในแง่ความแข็งแกร่งกลับอยู่กันคนละโลก!


ปาถู่และติงฟาน ทั้งสองเผยสีหน้าสุดเคร่งขรึมยิ่ง ตลอดที่ผ่านมาจวบจนบัดนี้ พวกเขาเชื่อแล้วว่า ความแข็งแกร่งของเย่หยวนหาใช่สิ่งที่ทั้งสองจะเทียบเคียงได้จริงๆ


การต่อสู้ก่อนหน้านี้ เย่หยวนใช้แนวคิดแห่งห้วงมิติแทบตลอดเวลา


แต่ตอนนี้เย่หยวนเร่งเร้าสำแดงใช้แนวคิดแห่งห้วงมิติถึงขีดสุดแล้ว ร่างของเขาราวกับเคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศได้อย่างอิสรเสรี


ด้วยความเร็วระดับนี้ของเย่หยวน หกบุตรแห่งกล้วยไม่อริยะกลับไม่มีใครสักคนที่สามารถมองตามความเร็วของเขาได้ทัน!


“อย่างงี้นี่เอง! ข้าเข้าใจแล้ว!! บรรพกาลราตรีหลอมรวมแนวคิดกับเต๋าแห่งดาบเอาไว้! นั้นจึงเป็นเหตุผลที่พวกเราไม่สามารถมองผ่านอ่านการเคลื่อนไหวของเขาออก!”


ทันใดนั้นเองปาถู่ที่นึกอะไรขึ้นได้พลันร้องอุทานเสียงดังลั่น


เสี้ยวอึดใจที่ความคิดนี้โฉบแล่นขึ้นมา เขาพลันขมวดคิ้วแน่นแทบจะในทันทีพลางระดมความคิดอย่างหนัก ก่อนเอ่ยขึ้นพร้อมสีหน้าแสนฉงนใจขึ้น


“แต่…นั้นเป็นแนวคิดชนิดใดกัน? แนวคิดแห่งวายุงั้นรึ?”


“ไม่ใช่! นั้นคือแนวคิดแห่งห้วงมิติ!”


จู่ๆ ติงฟานก็เอ่ยขึ้นแทรกทันที


สายตาการจับจ้องของปาถู่ขมวดเข้มแลดูตั้งใจขึ้นหลายส่วน ก่อนจะโต้กลับไปทันทีว่า


“เป็นไปไม่ได้! แนวคิดแห่งห้วงมิติเป็นหนึ่งในสองแห่งสุดยอดแนวคิดที่ลึกลับที่สุด! เขาจะเข้าใจมันได้อย่างไร?”


ติงฟานเหลือบมองอีกฝ่ายเล็กน้อยและกล่าวอธิบายขึ้นอย่างใจเย็นว่า


“เจ้าลองสังเกตการณ์เคลื่อนไหวของบรรพกาลราตรีให้ดีๆ หนึ่งจังหวะก่อนปราดรุกถึงตัวคู่ต่อสู้ ร่างของเขากลับหายวับในพริบตา ไม่ทิ้งทวนหลงเหลือแต่กระทั่งร่องรอย นี่ราวกับว่าเขาอาศัยการข้ามผ่านห้วงมิติเพื่อรุกหน้าเคลื่อนไหว! มีเพียงแนวคิดแห่งห้วงมิติเท่านั้นที่สามารถทำได้ถึงระดับนี้! แต่การเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้คนนั้นเองก็มิได้ช้ากว่าเลย แม้แต่ร่องรอยยังสามารถปกปิดได้อย่างแนบเนียน หากให้ข้าเดามันคงเป็นแนวคิดแห่งวายุ!”


สายตาของติงฟานค่อนข้างเฉียบคมมาก ศึกสัประยุทธ์ของสองใหญ่ที่รีดเร้นศักยภาพจนถึงขีดจำกัดเช่นนี้ เขาในฐานะผู้ชมยังสามารถมองผ่านอ่านการเคลื่อนไหวของทั้งคู่ได้อย่างเฉลียวฉลาด


ปาถู่เฝ้าสังเกตจับจ้องไม่วางตา ก่อนจะพบว่ามันเป็นอย่างที่ติงฟานบอกจริงๆ


แม้จะไม่สามารถจับร่างทั้งสองได้ แต่นั่นยังพอเหลือร่องรอยให้เขาวิเคราะห์ได้อยู่บ้าง


ช่างน่าทึ่งยิ่งนัก!


“นี่…นี่เป็นไปได้อย่างไร? เจ้าเด็กคนนี้…เป็นสัตว์ประหลาดกระมัง?”


ปาถู่สูดเย็นแช่มลึกแสนหวั่นใจและเอ่ยกล่าวขึ้นมา


สีหน้าการแสดงออกของติงฟานเปลี่ยนไป ยามนี้ดูเคร่งขรึมถึงขีดสุด เขากล่าวว่า


“นี่จึงอธิบายได้ว่า ทำไมที่ผ่านมาเขาถึงสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้เหล่านั้นได้อย่างน่าประหลาด! กระบวนดาบของเขาดูเรียบง่ายและธรรมดามาก แต่ความจริงแล้ว กลับเป็นเราที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า! คมดาบนั้นเคลื่อนผ่านห้วงมิติพร้อมเข้าสังหารคู่ต่อสู้ในพริบตา!”


“ไม่น่าแปลกใจเลย! ไม่น่าแปลกใจ! ปรากฏว่าเขาสามารถจัดการคู่ต่อสู้ก่อนหน้าทั้งหมดได้ในพริบตา เพียงว่าเขากลับยืมพลังของคู่ต่อสู้เพื่อขัดเกลาคมดาบเท่านั้น! นี่…”


ทันทีทันใด ปาถู่พลันรู้สึกว่าผืนพิภพแห่งนี้ช่างน่าพิศวงยิ่งนัก


มีสัตว์ประหลาดสุดวิปลาสเช่นนี้อยู่บนผืนพิภพที่เขาดำรงอยู่ด้วยงั้นรึ? อายุดูอ่อยเยาว์กว่าพวกเขามากแต่กลับเข้าใจแนวคิดแห่งห้วงมิติได้แล้ว!?


ทันทีทันใด การต่อสู้ระหว่างทั้งสองบนภาพฉายพลันหยุดชะงักลง เผยให้เห็นร่างของทั้งคู่กลับมาให้เห็นอีกครั้ง


สีหน้าการแสดงออกของทุกคนพลันเปลี่ยนไปทันที


“บรรพกาลราตรีแพ้แล้ว?!”


“ตามที่คาดไว้จริงๆ เขาเสียเปรียบในเรื่องระดับพลังเกินไป!”


“แต่…แต่เขาที่สามารถทำได้ขนาดนี้ก็นับว่าเหลือเชื่อมากแล้ว!”


“สัตว์ประหลาดเช่นเขาที่สามารถเข้าใจแนวคิดแห่งห้วงมิติได้ การันตีได้ว่าอนาคตของเขาจักต้องไร้ขีดจำกัด!”



ท่ามกลางภานฉายที่ปรากฏ จังหวะหายใจเย่หยวนยุ่งเหยิงไปหมด ทั่วร่างปกคลุมไปด้วยบาดแผลมากมาย ยามนี้เปรียบเสมือนลูกธนูแรงปลายที่แผ่วลงเสียแล้ว


ในทางตรงข้าม เจิ้งเจี้ยนกลับมิได้รับบาดเจ็บโดยสมบูรณ์


ศึกสัประยุทธ์นี้ดูเหมือนผลที่ออกมาจะไร้ข้อกังขาใดๆ


“เจ้าแพ้แล้ว ข้าขอยอมรับเลยว่าเจ้าแข็งแกร่งมาก ที่สามารถบังคับให้ข้าหยิบใช้พลังถึงแปดจากสิบส่วน เท่านี้ก็น่าภูมิใจมากพอแล้ว”


เจิ้งเจี้ยนเอ่ยกล่าวน้ำเสียงเยียบเย็น


เย่หยวนเอ่ยกล่าวขึ้นพร้อมเสียงหอบตระหนี่ดัง


“แปดในสิบส่วน? ไยถึง…ไม่ลองใช้สิบในสิบส่วนดูล่ะ?”


เย่หยวนไม่เคยคิดกังขาในวาจาคำกล่าวของเจิ้งเจียน อัจฉริยะแสนหยิ่งผยองเช่นเขา ไม่เคยกล่าวชื่นชมใครง่ายๆ และไม่มีทางโกหกแน่นอน


เจิ้งเจี้ยนขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อยและกล่าวว่า


“ไม่จำเป็น ในฐานะคู่ต่อสู้รอบนี้ ตราบใดที่เจ้าสามารถเอาชนะข้าที่สำแดงใช้พลังแปดในสิบส่วนได้ ก็ถือว่าเจ้าผ่านการทดสอบ อย่างไรก็ตาม…เจ้ากลับไม่สามารถทำได้!”


เย่หยวนฉีกยิ้มกว้างเอ่ยขึ้นว่า


“หากข้ายังคงยืนยันบังคับให้เจ้าใช้พลังทั้งหมดออกมาล่ะ?”


สายตาที่จับจ้องของเจิ้งเจี้ยนแปรเปลี่ยนดูเย็นชาขึ้นถนัดตา เขากล่าวตอบว่า


“ในกรณีนั้น เจ้าตายแน่นอน!”


สำหรับความแข็งแกร่งของเย่หยวนในปัจจุบัน เขาค่อนข้างชัดแจ้งดีแล้ว


ณ ปัจจุบัน ถึงเย่หยวนจะสำแดงใช้รุ่งเบิกอรุณและเพลงดาบเมฆาลับแลพร้อมกัน แต่นั่นก็ยังไม่สามารถทะลวงผ่านปราการดาบของเจิ้งเจี้ยนได้อยู่ดี


พลังแห่งแนวคิดของเจิ้งเจี้ยนทรงพลังเกินไป และอาณาจักรพลังของเขายังอยู่สูงกว่าเย่หยวนอีก ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้มีแต่แพ้กับแพ้!


“หึ หากเจ้าสามารถฆ่าข้าได้ก็อย่าได้ลังเล! จงสำแดงใช้พลังทั้งหมดออกมา ข้าขอดูเสียหน่อยว่า ศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งหน้าประวัติศาสตร์นิกายบัลลังก์ม่วง แท้จริงแล้วเป็นอย่างไร!”


เจิ้งเจี้ยนหรี่ตาลดแคบ แผดน้ำเสียงเยียบเย็นขึ้นว่า


“เจ้าตัดสินใจดีแล้วใช่ไหม?”


เย่หยวนเหวี่ยงดาบกระชับตั้งในแนวนอนพร้อมเอ่ยกล่าวน้ำเสียงมุ่งมั่นไม่ไหวติง


“ตัดสินใจดีแล้ว!”


เจิ้งเจี้ยนพยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวว่า


“อัจฉริยะหลายคล้วนตายเพราะศักดิ์ศรีของตัวเอง และเจ้าเอง…ก็เช่นกัน! ในเมื่อแสวงหาความตายเองเช่นนี้…ข้าจะแสดงให้เจ้าเห็นเอง!”


คล้อยหลังกล่าวจบ เจิ้งเจี้ยนพลันระเบิดพลังเดือดปะทุ รัศมีกลิ่นอายของเขาแปรเปลี่ยนไปในทันที


“เพลงดาบตรัสรู้…สรรพสิ่งรู้แจ้ง!”


เจิ้งเจี้ยนแผดลั่นน้ำเสียงเย็นสะท้าน


สีหน้าการแสดงออกของเย่หยวนดูตกตะลึงยิ่ง ขณะอุทานขึ้นว่า


“สภาวะตัดชั่วฟ้า!”


ตอนที่ 1524 ไยข้า…ถึงไม่ลองบ้าง

โดย

Ink Stone_Fantasy

ตอนที่ 1524 ไยข้า…ถึงไม่ลองบ้าง


“หื้ม? เกิดอะไรขึ้น? บรรพกาลราตรียังไม่ยอมแพ้อีกงั้นรึ?”


“พวกเขายังจะต่อสู้กันอีกงั้นรึ? หรือเป็นไปได้ไหมว่าบรรพกาลราตรียังเหลือไพ่ตายเก็บซ่อน?”


“พวกเจ้าดูนั้น! ท่าทีของคู่ต่อสู้คนนั้นดูไม่ค่อยถูกต้องนัก!”



เจิ้งเจี้ยนในปัจจุบันราวกับหลงเข้าสู่สภาวะลึกลับไปเสียแล้ว


เย่หยวนคุ้นเคยกับสภาวะนี้ชัดแจ้งดีเยี่ยม นั้นคือสภาวะตัดชั่วฟ้าที่เขาบังเอิญเข้าถึงได้สองครั้งติด!


รัศมีกลิ่นอายที่แผ่สะท้านออกมาพุ่งเข้าใส่เย่หยวนจนรู้สึกเย็นสะท้านจับขั้วหัวใจ


“ไม่น่าแปลกใจสักนิด ไฉนเขาถึงกล้าอวดอ้างว่าตนไร้เทียมทานที่สุดในบรรดาระดับชั้นเดียวกันทั้งหมด! ที่แท้เขาก็สามารถเข้าสู่สภาวะตัดชั่วฟ้าได้ทุกเมื่อ!”


เย่หยวนร้องอุทานขึ้นลั่น


แต่ในเวลานั้นเอง สุ้มเสียงชราของหวูเฉินพลันเอ่ยดังก้องกลางห้วงจิตสำนึกของเย่หยวน


“นี่หาใช่สภาวะตัดชั่วฟ้าที่สมบูรณ์แบบ เป็นเพียงสภาวะที่ตนอยู่ก้ำกึ่งระหว่างห้วงความคิดและความเป็นจริง นอกจากนั้นสภาวะเช่นนี้ยังใช้ได้ในระหว่างสัประยุทธ์เท่านั้น ถึงอย่างไรมันก็ทำให้เขาปลดพันธนาการความสามารถ และยกระดับความแข็งแกร่งเกินขีดจำกัดได้ชั่วขณะหนึ่ง!”


“ฟ่อ…”


เย่หยวนสูดไอเย็นแช่มสีหน้าหวาดหวั่น ไม่คิดไม่เคยเลยว่ายังมีวิธีการต่อสู้เช่นนี้อยู่ด้วย


“นี่คือพลังที่แท้จริงของเขา? ช่างน่าประทับใจยิ่งนัก!”


เย่หยวนพึมพำชื่นชม


“กระบวนเคลื่อนไหวนี้ได้รับการยกระดับขึ้นจากสัญชาตญาณการต่อสู้อันไร้สิ้นสุด พร้อมหลอมผสานศาสตร์แห่งสวรรค์กับขอบเขตจิตใจจนกลายเป็นหนึ่งเดียว ไม่เพียงมีพรสวรรค์ระดับอัจฉริยะ แต่ยังต้องมีความเพียรพอดทนอย่างสูงถึงจะประสบความสำเร็จถึงขั้นนี้ได้ ในตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ บุคคลนี้คงเป็นยอดฝีมือผู้มีชื่อเสียงสั่นคลอนไปทั่วทั้งมหาพิภพแน่นอน!”


แม้มาตรฐานการประเมินของหวูเฉินจะอยู่ในระดับค่อนข้างสูงมาก แต่ก็ไม่น่าเชื่อเลยว่าเขาจะประเมินเจิ้งเจี้ยนไว้สูงลิบปานนี้


ถึงพรสวรรค์ในศาสตร์แห่งการต่อสู้ของบุคคลนี้จะไม่สามารถเทียบเคียงเย่หยวนได้ แต่นั่นก็มิได้ห่างชั้นกันนัก


“มาแล้ว! เร็วมาก!”


เย่หยวนโพล่งตาเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนก เจิ้งเจี้ยนอันตรธานหายวับทิ้งทวนเหลือเพียงเงาซ้อน  ปราดพุ่งโจมตีเขาโดยตรง


ดาบคู่สั้นทั้งสองเล่มกลายมาเป็นคมเขี้ยวแหลม เข้าสังหารเย่หยวนในเสี้ยวพริบตา


“ฟ้าหน่วงหยวนฉือ! เพลงดาบเมฆาลับแล!”


เย่หยวนลั่นร้องคำรามลั่น เพลงดาบเมฆาลับแลถูกฟาดฟันออกไปอีกครั้ง ในขณะที่หยิบใช้ฟ้าหน่วงหยวนฉือ เร่งลดทอนความเร็วของอีกฝ่ายทันที


เกร๊ง! เกร๊ง! เกร๊ง!


ทั้งสองแลกเปลี่ยนกระบวนดาบนับหลายสิบท่า สีหน้าเย่หยวนพลันแปรเปลี่ยนโดยกะทันหัน


ซวบ!


เสี้ยวพริบตาไสว คมดาบสั้นของเจิ้งเจี้ยนรุกหนักทวี ปาดเชือดท่อนแขนเย่หยวนเฉียวออกไป


เย่หยวนเร่งทรงตัวร่นถอยกลับออกมาโดยไว แต่เจิ้งเจี้ยนไม่มีลดละไล่ล่าติดตามดั่งเงา


ฟ้าหน่วงหยวนฉือ ไพ่ตายลับคู่กายเย่หยวนที่ไม่เคยพลาดเป้าแม้นสักครั้ง ทว่ายามนี้กลับใช้ไม่ได้ผลกับเจิ้งเจี้ยนเลย


ขุมพลังแห่งแนวคิดของเจิ้งเจี้ยนแกร่งกล้าเกินไป ห่างไกลเกินกว่าที่เย่หยวนในปัจจุบันจะสามารถต่อกรได้จริงๆ


วูบ! วูบ! วูบ!


เย่หยวนยามนี้เรี่ยวแรงเจียนไม่เหลือ โยกย้ายร่างพัลวันข้ามผ่านห้วงมิติเลี่ยงหลบ มิให้ถูกโจมตีโดนจุดตายสำคัญ


แต่ในขณะเดียวกัน บาดแผลบนร่างกายเย่หยวนก็เริ่มปรากฏให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆเลยเช่นกัน


เจิ้งเจี้ยนที่อยู่ภายใต้สภาวะตัดชั่วฟ้า กลับแข็งแกร่งจนน่ากลัวเกินไป


สัญชาตญาณการต่อสู้ของเขาถูกปลดปล่อยเกินขีดจำกัดไปแล้ว!


ทุกชั่วอึดใจราวกับว่าความแข็งแกร่งของเขากำลังเพิ่มทวีต่อเนื่องไร้ขอบเขตสิ้นสุด


ความรู้สึกเช่นนี้เหมือนกับตอนที่เย่หยวนเข้าสัประยุทธ์เดือดกับร่างปลอมของตนไม่มีผิด


หลังจากที่เย่หยวนเข้าสู่สภาวะตัดชั่วฟ้าได้ในตอนนั้น ร่างปลอมของเขาก็ตกเป็นเป้าโจมตีและเป็นรองในพริบตา


“แข็งแกร่งยิ่ง! คู่ต่อสู้คนนั้นแตกต่างก่อนหน้าโดยสิ้นเชิง เกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่? เห็นได้ชัดว่าทั้งกระบวนดาบและวรยุทธเคลื่อนไหวยังคงเหมือนกับก่อนหน้า แต่ทำไมถึงแข็งแกร่งขึ้นผิดหูผิดตาปานนี้?”


ปาถู่เอ่ยกล่าวขึ้นเจือน้ำเสียงหวาดกลัวหนัก


ในสถานที่แห่งนี้ ผู้ที่พอสังเกตและจับร่องรอยการต่อสุ้ระหว่างทั้งสองได้เล็กน้อย มีเพียงหกบุตรแห่งกล้วยไม้อริยะเท่านั้น


ปาถู่และพวกของเขาที่เหลือต่างเฝ้ามองภาพฉายไม่กล้าละออกแม้เสี้ยวพริบตา กลัวว่าจะพลาดจุดสำคัญไป


เพราะตราบใดที่สมาธิของพวกเขายังคงจดจ่ออยู่กับการต่อสู้นี้ พวกเขายังพอติดตามจังหวะของทั้งคู่ได้ทันอยู่บ้าง


 ในทางตรงข้าม หากพวกเขาละความสนใจออกไปแม้แต่นิดเดียว เหล่าหกบุตรแห่งกล้วยไม้อริยะจะไม่สามารถจับสัมผัสของทั้งสองได้อีกต่อไป


และสิ่งหนึ่งที่พวกเขาสัมผัสได้อย่างชัดแจ้งคือ พลังการต่อสู้ของเจิ้งจี้ยนที่เพิ่มสู้ขึ้นอย่างต่อเนื่อง ราวกับพวกคลั่งการต่อสู้ที่ไม่มีวันล้ม


เย่หยวนเริ่มเสียเปรียบลงต่อเนื่อง


ติงฟานยังคงเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิดไม่เหลียวละออก พลางเอ่ยปากกล่าวน้ำเสียงขรึมว่า


“ดูเหมือนว่าท่าทางของอีกฝ่ายจะแปลกไปจริงๆ นั้นหรือว่า…สภาวะตัดชั่วฟ้า!”


ปาถู่หน้าถอดสีในทันใด พลางอุทานลั่น ไม่อยากจะเชื่อขึ้นว่า


“นี่…นี่เป็นไปไม่ได้กระมัง? เข้าสู่สภาวะตัดชั่วฟ้าได้ในยามเช่นนี้? หรือเขา…ตั้งใจกัน?”


ติงฟานสีหน้ามืดตกลงอย่างมาก เขาเอ่ยอธิบายต่อว่า


“อีกฝ่ายมิได้เข้าสู่สภาวะตัดชั่วฟ้าได้โดยบังเอิญ แต่ข้าเคยได้ยินมาว่า หากผ่านการฝึกพิเศษมาได้ และสามารถขัดเกลาสัญชาตญาณการต่อสู้จนถึงขีดจำกัด ร่างกายจะมีปฏิกิริยาตอบโต้การโจมตีทุกรูปแบบ และภายใต้สภาวะวิกฤตขั้นสุด พวกเขาเหล่านั้นจะสามารถเข้าสู่สภาวะตัดชั่วฟ้าได้ ส่งผลให้ความแข็งแกร่งของพวกเขาทะลุขีดจำกัดได้อย่างไม่มีสิ้นสุด มีความเป็นไปได้สูงมากว่า…คู่ต่อสู้คนนั้นกำลังอยู่ในสภาวะดังกล่าว”


 ปาถู่ตื่นตกใจยิ่งเมื่อได้ฟังเช่นนั้น สีหน้ายามนี้ไม่อยากจะเชื่อสายตานัก พลางกล่าวตะกุกตะกักขึ้นว่า


“ยังมีเรื่องเช่นนี้ด้วยรึ… หากว่า…”


“ไม่มีหากว่าใดๆ ทั้งนั้น! มองข้ามไปได้เลยเรื่องฝึกพิเศษเช่นนี้ ไม่เพียงจะมีคนที่รู้วิธีฝึกน้อยมาก แต่ความน่ากลัวในระหว่างการฝึกยังหาใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะทานทนได้ไหว! หนึ่งในพันเท่านั้นที่จะมีชีวิตรอดออกมาได้ คู่ต่อสู้รอบนี้ก็เป็นสัตว์ประหลาดไม่ต่างกัน!”


ติงฟานเอ่ยขัดคำกล่าวของปาถู่ดับฝันในทันที


“หูวว…”


ปาถู่พรูหายใจเย็นสะท้านออกมาแสนหวั่นใจยิ่งนัก วิธีฝึกที่ว่านั้นคงน่ากลัวเกินจินตนาการได้จริงๆ


“ดูเหมือนว่าบรรพกาลราตรีกำลังตกอยู่ในอันตรายแล้ว ตอนนี้แม้เขาจะต้องการหยุดการต่อสู้ ทว่ากลับสายเกินไปแล้วเช่นกัน”


ปาถู่พลั่งหลากอารมณ์เอ่ยกล่าวขึ้นอย่างน่าเสียดาย


บาดแผลทั่วร่างกายเย่หยวนที่แสนจะเจ็บปวดนั้น ทำเอาเขารู้สึกสยดสยองแทน


“สภาวะตัดชั่วฟ้างั้นรึ? ไยข้า…ไม่ลองดูบ้าง!”


เย่หยวนเคยมีประสบการณ์ในเรื่องนี้ถึงสองครั้ง นอกจากนี้ยังเกือบเข้าสู่สภาวะตัดชั่วฟ้าได้อีกครั้งหนึ่ง


อัจฉริยะที่มีความเข้าใจในเรื่องสภาวะตัดชั่วฟ้ามากกว่าเขา อาจไม่สามารถเสาะหาได้อีกแล้ว


ตอนนี้เขากำลังถูกเจิ้งเจี้ยนไล่ต้อนจนถึงขีดจำกัดแล้ว แม้แต่ฟ้าหน่วงหยวนฉือของเขายังไร้ประโยชน์


วิธีเดียวที่จะแก้ทางได้ก็คือ การเข้าสู่สภาวะตัดชั่วฟ้าเช่นกัน


แต่ปัญหาคือเย่หยวนไม่สามารถเข้าสู่สภาวะตัดชั่วฟ้าเมื่อใดก็ได้ตามต้องการแบบอีกฝ่าย


การจะเข้าสู่สภาวะตัดชั่วฟ้าได้จำต้องอาศัยดวงและตัวแปรที่สำคัญอีกมากมาย


ครั้งล่าสุดที่เย่หยวนสามารถเข้าสู่สภาวะตัดชั่วฟ้าได้เป็นเพราะเขาตกสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อระหว่างความเป็นความตาย


ในเวลานี้เย่หยวนพยายามนึกย้อนกลับไปถึงสองครั้งนั้นที่สามารถเข้าสู่สภาวะตัดชั่วฟ้าได้ รวมไปถึงความรู้สึกที่ประสบพบ ณ ตอนนั้น


ด้วยเหตุนี้เขาจึงเบี่ยงความสนใจทั้งหมดไปกับห้วงความคิด ไม่มีสมาธิสกัดกั้นการโจมตีของเจิ้งเจี้ยนได้ดั่งก่อนหน้า ส่งผลให้บาดแผลทั่วร่างกายเริ่มมีทวีความสาหัสมากยิ่งขึ้น


ศาสตร์แห่งสวรรค์!


ตัดขาดจากความคิด!


สภาวะตัดชั่วฟ้าขับเคลื่อนด้วยแกนแท้แห่งสัญชาตญาณการต่อสู้


ทั้งนี้ยังสอดคล้องร่วมไปกับศาสตร์แห่งสวรรค์ไปในตัว


แต่…ทำอย่างไรจึงจะสอดคล้องกันได้?


เย่หยวนปล่อยอารมณ์ไปตามความรู้สึกทีละนิดภายใต้สถานการณ์เลวร้ายถึงขีดสุด


“บรรพกาลราตรีมิอาจทานทนไปได้นานกว่านี้แล้ว! ภายในหนึ่งร้อยกระบวนท่าจากนี้ ชะตาชีวิตของเขาถูกสะบั้นขาดเป็นแน่!”


ติงฟานเอ่ยร้องดังลั่นเปี่ยมล้นไปด้วยความกังวล


ท้ายที่สุดนี้ พรสวรรค์ของบรรพกาลราตรีก็ยิ่งใหญ่ไร้ขอบเขตที่พวกเขาจะพรรณนาได้


 แต่กลับไม่คิดเลยว่า เขากลับดึงตัวเองให้ตกสู่ความตายเช่นนี้จริงๆ


ร้อยกระบวนเคลื่อนไหวแม้นจะฟังดูนาน แต่สำหรับเย่หยวนและเจิ้งเจี้ยนแล้วกลับรวดเร็วเพียงชั่วอึดใจเท่านั้น


แต่ละกระบวนโจมตีของพวกเขาเร็วจนมองไม่ทัน คนธรรมดาทั่วไปไม่มีทางจับควาเร็วระดับนี้ได้ทันแน่นอน


“มันจบแล้ว!”


สุ้มเสียงของเจิ้งเจี้ยนเอ่ยดังเสียดข้างหูเย่หยวนประดุจกึกก้องจากก้นบึ้งนรก


แม้เย่หยวนจะอยู่ภายใต้สถาณการณ์วิกฤตถึงขีดสุด แต่เขายังคงสติอยู่เช่นกัน


เสียงนี้ดั่งคำประกาศความตายของเย่หยวน


ดาบสั้นคู่นั้นของเจิ้งเจี้ยนปราดไสวว่องไวดุจสายฟ้า ฟาดสะบั้นเสียบทะลวงไปที่ขั้วหัวใจของเย่หยวน


ชวิ้ง!


คลื่นความเจ็บปวดโฉบแล่นผ่านร่างกายของเจิ้งเจี้ยนโดยตรง เขาได้รับบาดเจ็บ!


เจิ้งเจี้ยนใจหายวาบ นี่เป็นครั้งแรกที่เย่หยวนโจมตีโดยร่างของเขา!


ในทางตรงข้ามกระบวนประหารสุดท้ายของเจิ้งเจี้ยง เย่หยวนกลับเลี่ยงหลบได้อย่างไม่น่าเชื่อ นอกจากนี้ยังฝากรอยแผลทิ้งทวนเอาไว้ได้…นี่เป็นไปได้อย่างไร?


ทันใดนั้นเจิ้งเจี้ยนพลันรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง ก่อนโพล่งอุทานลั่นด้วยความประหลาดใจว่า


“สภาวะตัดชั่วฟ้า!”


ตอนที่ 1525 กลับสู่สถานะเดิม

โดย

Ink Stone_Fantasy

เมื่อสภาวะตัดชั่วฟ้าที่ไม่สมบูรณ์พัฒนากลายเป็นสภาวะตัดชั่วฟ้าที่สมบูรณ์แบบ ผลลัพธ์ที่ได้…คือความวิปโยค


เจิ้นเจี้ยนค้นพบชัดแจ้ง ยามนี้แม้แต่ปลายคมดาบของตนก็ไม่สามารถเตะสัมผัสชายเสื้อของเย่หยวนได้แม้สักนิด


ในทางตรงกันข้าม กลับเป็นเย่หยวนที่เริ่มตีโต้สร้างความเสียหายแก่เขาเป็นครั้งคราว


ภายใต้สภาวะรุกคืบของเย่หยวน กลับเป็นเรื่องยากที่เจิ้งเจี้ยนจะรักษาความได้เปรียบได้อีกต่อไป


ท่ามกลางศึกสัประยุทธ์แลกกระบวนเดือดนี้ ตำแหน่งความได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างทั้งสองเริ่มพลิกกลับแล้ว


ณ โลกภายนอก ยามเหล่าอัจฉริยะเห็นภาพฉากนี้ที่พลิกโผแปรเปลี่ยนในพริบตา พวกเขาต่างรู้สึกมึนงงยิ่งยวด


“นี่ไม่ถูกต้อง! ติงฟาน ทั้งคู่แลกเปลี่ยนกระบวนเกินร้อยท่าแล้วกระมัง ไยถึงตัดสินแพ้ชนะไม่ได้? ติงฟาน? ติงฟาน?”


ปาถู่ที่เรียกขานแต่ไร้สุ้มเสียงเอ่ยตอบ เขาพลันเหลียวมองอีกฝ่ายทันทีด้วยความฉงนใจ แต่กลับต้องพบว่าคู่สายตาของติงฟานยามนี้จ้องภาพฉากตรงหน้าเขม็ง พร้อมใบหน้าที่แข็งค้างประดับแขวนความตกตื่นตกใจอยู่ทั่ว


“นี่…เจ้าเป็นอะไรไป?”


ปาถู่เข้าสะกิดติงฟานเล็กน้อย


ติงฟานสะดุ้งเฮือกพร้อมโพล่งอุทานลั่นว่า


“สภาวะตัดชั่วฟ้า!”


ไป๋ถู่เอ่ยขึ้นด้วยความสงสัยว่า


“ข้ารู้แล้วว่ามันคือสภาวะตัดชั่วฟ้า มิใช่ว่าเจ้าเพิ่งบอกข้าไปเอง? คู่ต่อสู้คนนั้นตกอยู่ในสถานการณ์เป็นรองแล้ว”


ติงฟานกล่าวตอบทันทีว่า


“นั้นคือสภาวะตัดชั่วฟ้าที่แท้จริง! บรรพกาลราตรีเข้าสู่อาณาจักรตัดชั่วฟ้าได้แล้ว!!”


“อะไรนะ?! เจ้าต้องล้อข้าเล่นแล้ว! อาณาจักรตัดชั่วฟ้ามันเข้าง่ายซะที่ไหน?”


ปาถู่สะดุ้งโหย่งพร้อมตะโกนลั่นสุดเสียงตื่นตกใจยิ่ง


เมื่อผู้คนโดยรอบได้ยินดังนั้น ทุกคนต่างแสดงสีหน้าตื่นตกใจไม่ต่าง พร้อม้เงี่ยหูฟังรอให้ติงฟานเอ่ยอธิบาย


ในบรรดาพวกเขาทั้งหมดในนี้มีเพียงความแกร่งกล้าระดับติงฟานเท่านั้นที่สามารถมองเห็นเงื่อนงำบางอย่างของการต่อสู้นี้ได้


“กระบวนเคลื่อนไหวเหมือนเดิม ระดับพลังยังคงเท่าเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนไป ทว่ากลับเป็นบรรพกาลราตรีที่พลิกกลับมาไล่ต้อนคู่ต่อสู้คนนั้นแทน คำอธิบายเดียวที่เป็นไปได้คืออาณาจักรตัดชั่วฟ้าเท่านั้น! มีเพียงการเข้าถึงสภาวะนี้เท่านั้นที่จะสามารถทำเช่นนี้ได้!”


ติงฟานเอ่ยอธิบายน้ำเสียงเจือหวาดหวั่นไม่คลายอ่อน


“อาณาจักรตัดชั่วฟ้าเลยงั้นรึ…พรสวรรค์ของบรรพกาลราตรีไม่วิปลาสเกินไปใช่ไหม?”


“พรสวรรค์ในศาสตร์แห่งโอสถของเขาท้าทายสวรรค์ยิ่งกว่าผู้ใด แม้แต่เหล่าผู้ทรงอำนาจอย่างบรรดาจ้าวทัพปีศาจยังต้องให้ความเคารพ ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่า แม้แต่ศาสตร์แห่งการต่อสู้เขาจะแกร่งกล้าวิปลาสได้ขนาดนี้! ผู้ใดได้พบเห็นเขาคงไม่สิ้นหวังไปตามๆกัน?”


“เมื่อเปรียบกับสินค้า เขาเกิดมาเพื่อฆ่าคนอื่นชัดๆ! ชายผู้นี้ไม่มีทางออกให้แก่เหล่าผู้คนเลยจริงๆ!”


“ว่ากันว่า ตราบใดที่สามารถเข้าสู่อาณาจักรตัดชั่วฟ้าได้ การันตีได้ว่าคนๆนั้นสามารถทะลวงขึ้นสู่ระดับชั้นจ้าวทัพปีศาจได้แน่นอน เขาช่างน่าอิจฉาเสียจริง!”



เหล่าอัจฉริยะพวกนั้นต่างอ้าปากกันค้างเติง มีทั้งชื่นชมและอิจฉาปะปนกันไป แท้ที่จริงแล้วพวกเขาเหล่านี้ต่างเป็นยอดอัจฉริยะระดับหัวกะทิจากแต่ละเมืองหลวง ผู้คนต่างแห่แหนสรรเสริญจนกลายเป็นเรื่องปกติ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเย่หยวนแล้ว พวกเขากลับกลายเป็นสินค้าที่ตั้งขายริมถนนแทน


ความแตกต่างที่ชัดแจ้งเกินไปเช่นนี้ทำให้พวกเขารู้สึกอึดดอัดใจยิ่ง


ถึงแม้พวกเขาจะเผชิญหน้ากับหกบุตรแห่งกล้วยไม้อริยะ แต่อัจฉริยะเหล่านี้ก็ยังไม่รู้สึกว่า ทั้งหกมิได้เหนือชั้นจนสูงเกินเอื้อม


ทว่ายามนี้พวกเขาทุกคนต่างสัมผัสได้อย่างชัดแจ้ง ไม่ว่าชั่วชีวิตนี้พวกเขาจะขยันหมั่นเพียรสักแค่ไหน แต่กลับมองไม่เห็นแม้แต่หลังเท้าของเย่หยวนด้วยซ้ำ


ความรู้สึกพ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์นี้ทำให้ผู้คนรู้สึกสิ้นหวังโดยแท้


หากพวกเขารู้ในภายหลังว่า นี่เป็นครั้งที่สามแล้วที่เย่หยวนเข้าสู่สภาวะตัดชั่วฟ้าได้ มิอาจทราบเลยว่าพวกเขาจะยิ่งสิ้นหวังแค่ไหน


ภายใต้สภาวะตัดชั่วฟ้า เย่หยวนทรงพลังยิ่งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน


ชวิ้ง! ชวิ้ง! ชวิ้ง!


บาดแผนบนร่างของเจิ้งเจี้ยนเริ่มปรากฏมากขึ้นเรื่อยๆ จนท้ายที่สุดคมดาบนั้นของเย่หยวนก็ปราดทะลวงศีรษะของเขาสังหารสิ้นในดาบเดียว


ตายสนิท!


เมื่อร่างของเจิ้งเจี้ยนควบแน่นหลอมรวมก่อตัวขึ้นอีกครั้ง เขาพลันโพล่งตาโตแทบถลน จับจ้องเย่หยวนด้วยความตื่นตะลึงยิ่ง


ผู้ที่ไล่ต้อนอีกฝ่ายจนติดมุม ยามนี้กลับเป็นฝ่ายพ่ายแพ้เสียเอง เขาคือยอดฝีมือผู้ไร้เทียมทานที่สุดแห่งยุค แต่กลับต้องพ่ายแพ้ให้กับแม่ทัพปีศาจขั้นสุดในอีกหลายล้านปีต่อมา!


นี่คือความพ่ายแพ้อย่างที่สุดในชั่วชีวิตของเจิ้งเจี้ยน และเขาไม่สามารถหาเหตุผลใดๆมากล่าวอ้างได้เลย


ในตอนนี้เขารู้สึกว่า วาจาแสนหยิ่งยโสที่ลั่นกล่าวกับเย่หยวนก่อนหน้า ยามนี้กลับฟังดูไร้สาระอย่างยิ่ง!


ไร้เทียมทานที่สุดในบรรดาระดับชั้นเดียวกันทั้งหมด?


แต่เขากลับมาพ่ายให้แก่เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ข้ามระดับมาสู้!


ณ ปัจจุบัน เย่หยวนยังไม่ฟื้นสติขึ้นจากสภาวะตัดชั่วฟ้า ภายใต้สภาวะนี้ทำให้เย่หยวนเข้าใจบัญญัติเทพแห่งถงเทียนระดับสามได้อย่างถ่องแท้!


เขากำลังจะเลื่อนระดับชั้นแล้ว!


วูบบ…!


ทั่วทั้งโถงกว้างสั่นสะเทือนหนัก คลื่นความปั่นป่วนแผ่กระจายไปทั่วเนื่องด้วยการเลื่อนระดับชั้นของเย่หยวนที่รุนแรงเกินจินตนาการ!


ทันใดนั้นเอง สีหน้าการแสดงออกของติงฟานพลันเปลี่ยนไปฉับพลัน


“เดี๋ยวก่อน! นี่มัน…กลิ่นอายเช่นนี้นี่มัน…มนุษย์!”


เย่หยวนหยิบใช้พลังของบัญญัติเทพแห่งถงเทียนเพื่อเลือนกลิ่นอายและพลังปราณแบบเผ่าปีศาจ ดังนั้นแล้ว ระหว่างที่กำลังเลื่อนระดับชั้น เขาจำต้องฟื้นตัวกลับสู่สภาวะดังเดิมหรือก็คือกลับคืนสู่เผ่ามนุษย์นั้นเอง!


พลังปราณปีศาจที่ไหลเวียนก่อนหน้าดับสลายกลายมาเป็นพลังปราณเทวะอีกครั้ง และวิธีเลื่อนระดับชั้นของเขาเองก็มิได้เป็นไปตามแบบของเผ่าปีศาจ


สุดท้ายนี้ ในที่สุดเย่หยวนก็ฟื้นคืนสู่สถานะมนุษย์อีกครั้ง!


รัศมีกลิ่นอายของเย่หยวนขยับขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว จนเข้าทำลายม่านพลังป้องกันที่ปิดกั้นระหว่างลานประลองวงแหวนกับภายนอกจนเชื่อมต่อกันอีกครั้ง


และเป็นติงฟานที่มีปฏิกิริยาและสัมผัสที่เฉียบแหลมที่สุด เขาสามารถตรวจจับความผิดปกตินี้ได้ในทันที


“เป็นไปได้อย่างไร?! บรรพกาลราตรีเป็นมนุษย์จริงๆ อย่างนั้นรึ?!!”


“นี่…นี่เป็นไปไม่ได้! มนุษย์จะสามารถกลบกลิ่นอายได้อย่างไร้ที่ติขนาดนี้ได้อย่างไร?!”


“แต่…แต่ด้านนอกมีเหล่าจ้าวเทพปีศาจมากมาย หรือเป็นไปได้ไหมที่ไม่มีใครสักคนมองออก?”


“นี่น่ากลัวเกินไปแล้ว! ปรากฏว่าเด็กหนุ่มคนนี้หยอกเล่นกับพวกเขาอยู่บนฝ่ามือของเขามาโดยตลอด!”



เมื่อคนอื่นๆเริ่มตรวจจับความผิดปกตินี้ได้ ทั้งหมดล้วนตื่นตกใจอย่างหาที่เปรียบไม่


พวกเขาไม่สามารถจินตนาการออกเลยว่า มนุษย์จะสามารถปลอมตัวเป็นปีศาจได้แนบเนียนปานนี้


วูบบ! วูบบ! วูบบ!


เช่นเดียวกับที่ทุกคนกำลังตกอยู่ในสภาพตะลึงงันมิได้สติ เสี้ยวพริบตาต่อมา ร่างของพวกเขาก็พลันอันตรธานหายไปจากโถงกว้างทันที


ตุบ! ตุบ! ตุบ!


“โอ๊ย!”


“ก้นข้า!”



เสียงตกกระแทกดังก้องไปทั่วบริเวณ ปรากฏว่าร่างของพวกเขาถูกส่งตัวออกจากซากโบราณสถานโดยตรง!


เหล่าอัจฉริยะล้มก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้นพร้อมความประหลาดใจ และไม่เข้าใจสักนิดเลยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่


“ติงฟาน นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้น? พวกเจ้าทุกคนต่างประสบความล้มเหลวงั้นรึ?”


ทูตแห่งโถงโลหิตปรโลกสาขาเมืองจักรพรรดิตรงเข้าพบติงฟานและเอ่ยถามในทันที


ทว่าติงฟานยังมิได้เอ่ยตอบเขาทันที แต่กลับเหลียวซ้ายแลขวามองไปรอบๆ เสมือนว่ากำลังมองหาใครบางคนอยู่


ทูตแห่งโถงโลหิตปรโลกเอะใจขมวดคิ้วแน่น และเอ่ยถามขึ้นว่า


“ติงฟาน เจ้ากำลังมองหาอะไรอยู่?”


ติงฟานยังคงไม่เอ่ยตอบใดๆ พร้อมเหลียวมองไปทั่วทุกมุมแต่กลับไม่พบร่างเย่หยวน สีหน้าการแสดงออกเผยให้เห็นถึงความผิดหวังทันที


เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่และกล่าวขึ้นทันทีว่า


“เกิดเรื่องขึ้นแล้ว! ท่านอาวุโสติงเอ๋ออยู่ที่ไหน”


ทันใดนั้นรัศมีแรงกดดันอันทรงพลังพลันพวยพุ่งลงมาจากท้องนภา ปรากฏเป็นร่างของติงเอ๋อเหาะเหินลงมา


สีหน้าการแสดงออกของติงฟานแปรเปลี่ยนดูจริงจังขึ้นถนัดตา และเริ่มเอ่ยเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในซากโบราณสถานให้ฟัง


ทุกคนต่างหน้าถอดสีกันยกใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับอวี้หาน ที่ยามนี้ใบหน้าซีดเซียวราวกับแผ่นกระดาษพูดอะไรไม่ออกอยู่พักใหญ่


“เจ้ากล่าวว่าอันใด?! บรรพกาลราตรี…เขา…เขาเป็นมนุษย์อย่างงั้นรึ?! เป็นไปไม่ได้!!”


ผู้รับใช้ชายชราคนหนึ่งพุ่งเข้ามาคว้าแขนของติงฟาน บีบรัดแน่นจนกระดูกแทบแหลกคามือ


“อ๊ะ! ปล่อยข้า!”


ติงฟานร้องคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวด


เมื่อทูตแห่งโถงโลหิตปรโลกเห็นว่าผู้รับใช้ชราจู่ๆก็พุ่งเข้ามาทำร้ายคนของเขา จึงคำรามสวนขึ้นอย่างโกรธเกรี้ยวขึ้นว่า


“ไร้มารยาท! ปล่อยเขาเดี๋ยวนี้!”


ปรากฏว่าผู้รับใช้ชายชราคนนี้คือดาราสวรรค์ที่ปลอมตัวมานั้นเอง เขาหันขวับตวาดลั่นสวนอีกฝ่ายอย่างเดือดดุ


“หลีกไป!”


ทันทีทันใดขุมพลังระดับชั้นจ้าวทัพปีศาจเก้าดาวพลันปะทุคลั่งออกมาจากร่างดาราสวรรค์ ทำให้ทุกคนโดยรอบต่างหวาดผวาหนัก


“จ้าวทัพปีศาจเก้าดาว!! เขา…เขาเป็นใครกัน?”


ทุกคนต่างร้องอุทานลั่น


“บัดซบน้อย บอกข้าเดี๋ยวนี้ว่าสิ่งที่เจ้ากล่าวเล่าไปทั้งหมดเป็นเพียงเรื่องไร้สาระ!!”


ดาราสวรรค์ตวาดเสียงเยียบเย็นใส่


ใบหน้าของติงฟานบิดเบี้ยวน่าเกลียดยิ่งด้วยความเจ็บปวดสุดจะทน จนเอ่ยปากพูดไม่ออก


ในเวลานี้ปาถู่เร่งตรงเข้ามาเบื้องหน้าและกล่าวแทนว่า


“ท่านอาวุโส ติงฟานมิได้โกหกท่าน! พวกเราทั้งหมดต่างเห็นกับตา! หากมิใช่เพราะบรรพกาลราตรีเลื่อนระดับชั้นกะทันหัน เรื่องนี้คงไม่แดงออกมาแน่ และเขายังคงซ่อนตัวอยู่ในเงามืดต่อไป!”


“ใช่แล้วท่านอาวุโส! พวกเราทุกคนต่างคิดว่าเขาเป็นปีศาจ แต่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ เขากลับทะลวงขึ้นสู่จอมทัพปี-…ไม่สิ…อาณาจักรบรรพชนพระเจ้า! ยามนั้นพลันเผยให้เห็นถึงรัศมีกลิ่นอายของมนุษย์ชัดแจ้ง! มิเช่นนั้นพวกเราจับมิได้แน่!”


อีกคนเร่งกล่าวเสริมขึ้นทันที


ดาราสวรรค์ยามนี้รู้ตัวแล้วว่า ตนน่าจะถูกอีกฝ่ายหลอกแล้วจริงๆ!


ตอนที่ 1526 พอมีประสบการณ์อยู่บ้าง

โดย

Ink Stone_Fantasy

น่าหงุดหงิดจริงๆ!


โถงโลหิตปรโลกเจียดเนื้อและมอบทรัพยากรมีค่าเลี้ยงดูไปนับไม่ถ้วน ทว่าทั้งหมดกลับทำไปเพื่อมนุษย์คนหนึ่งจริงๆ!


ติงเอ๋อและดาราสวรรค์เหลียวมองสบตากันทันที แทบลมจับหมดสติกันทั้งคู่


ทันใดนั้น ดาราสวรรค์หันขวับจับจ้องไปที่ติงฟานและเค้นเสียงเย็นเอ่ยขึ้นว่า


“เจ้าบอกว่า มันกำลังเลื่อนระดับชั้นอยู่ใช่ไหม?”


ติงฟานพยักหน้ากล่าวตอบว่า


“ถูกต้องแล้วท่าน! เขาเข้าสู่สภาวะตัดชั่วฟ้าและทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรบรรพชนพระเจ้าของเผ่ามนุษย์โดยตรง! ดังนั้นร่องรอยความผิดปกติจึงปรากฏ”


เมื่อดาราสวรรค์ได้ยินเช่นนั้น จิตสังหารขุมใหญ่พลันล้นทะลักออกมาทันใด


“ช่างเป็นมนุษย์ตัวน้อยที่น่าประทับใจนัก! หาญกล้าเล่นลิ้นกับเราชายชราผู้นี้จริงๆ! เช่นนั้นข้าจะแสดงความน่ากลัวให้เจ้าเห็นเอง!”


ยามเอ่ยจบ ด่าราสวรรค์ก็หยิบตะเกียงหลอมวิญญาณจำนวนนับสิบออกมา ก่อนจะเริ่มร่ายคำสาปใส่โดยตรง


ทันทีทันใด ภายในซากโบราณสถาน หวูเฉินพลันสัมผัสได้ถึงบางสิ่งในทันใด เขาแสยะยิ้มเย้ยหยันฉีกกว้างบนมุมปากขึ้นทันที


ไข่มุกสยบวิญญาณลอยขึ้นอยู่เหนือศีรษะเย่หยวนอีกครั้งพร้อมเปล่งแสงสีแดงเข้มจรัสจ้าออกมา


“เหอะ ดูเหมือนว่าปีศาจพวกนั้นจะล่วงรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของเย่หยวนแล้ว ตาแก่นั้นยังกล้าร่ายคำสาปวิญญาณเลือดอีกงั้นรึ? เช่นนั้นก็แสวงหาความตายแล้ว! คราวนี้ข้าไม่มียั้งมืออีกต่อไป เจ้าเตรียมตัวถูกสูบจนตัวแห้งได้เลย!”


หวูเฉินเอ่ยกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มที่มิใช่รอยยิ้ม


ขณะนี้เย่หยวนยังคงมุ่งความสนใจกับการเลื่อนระดับชั้นอยู่ ดังนั้นจึงหลงลืมเรื่องเหล่านี้ไปโดยสิ้นเชิง


เหนือศีรษะเย่หยวน ไข่มุกสยบวิญญาณที่ลอยเคว้งเริ่มเปล่งแสงสีแดงเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ เกลียวคลื่นกระแสวิญญาณเริ่มก่อตัวขึ้นเป็นวังวนพายุดูดกลืนพลังวิญญาณอย่างบ้าคลั่ง


ก่อนหน้านี้ที่หวูเฉินจงใจยั้งมือไว้เพราะกลัวว่าดาราสวรรค์อาจตรวจจับความผิดปกติได้


แต่ตอนนี้ในเมื่ออีกฝ่ายรู้ตัวแล้ว เช่นนั้นหวูเฉินก็ไม่จำต้องยั้งมือใดๆอีกต่อไป


ดาราสวรรค์เร่งร่ายคำสาปวิญญาณเลือดใส่เย่หยวนทันที เนื่องด้วยความโกรธจัด เขาจึงอัดพลังวิญญาณที่มีทั้งหมดหวังฆ่าเย่หยวนในตายในอึดใจ


แต่ชั่วอึดใจต่อมา ดาราสวรรค์พลันค้นพบสิ่งผิดแปลกได้อย่างรวดเร็ว พลังวิญญาณของเขากลับไหลบ่าออกไปไม่หยุดหย่อน ราวกับว่ามีใครบางคนกำลังสูบน้ำอย่างหิวกระหายยิ่ง


ดาราสวรรค์ตื่นตกใจอย่างมาก และต้องการจะหยุดร่ายคำสาปวิญญาณเลือดนี้ทันที


แต่เขากลับค้นพบว่ายามนี้ตนไม่สามารถควบคุมอะไรได้อีกแล้ว!


ภายในค่ายกล ดาราสวรรค์ดูน่าเกรงขามคู่กลิ่นอายพลังวิญญาณสุดน่าสะพรึงที่ปลดปล่อยออกมาไม่หยุดยั้ง มันยิ่งทวีความน่ากลัวอย่างหาที่เปรียบไม่


เหล่าจ้าวทัพปีศาจและเหล่าอัจฉริยะที่เฝ้าสังเกตอยู่ห่างๆต่างร้องอุทานลั่นต่อความทรงพลังของดาราสวรรค์ ชายชราคนนี้แกร่งกล้าอย่างไม่ต้องสงสัย


“ช่างเป็นพลังวิญญาณที่ทรงพลังนัก! ด้วยความแข็งแกร่งของท่าอาวุโสผู้นี้ น่าจะเป็นบุคคลระดับสูงของโถงโลหิตปรโลกกระมัง?”


“จุจุ ข้าสงสัยเสียจริงว่า ท่านผู้นั้นกำลังร่ายคำสาปชนิดใดอยู่ ตอนนี้เจ้าบรรพกาลราตรีคงกำลังทุกข์ทรมานอยู่เป็นแน่?”


“หึ! มันกล้าหลอกพวกเราทุกคนให้วิ่งเล่นบนฝ่ามือของมัน กรรมสนองแล้ว มันสมควรถูกทรมานให้ตายด้วยคำสาปแล้ว!”



ดาราสวรรค์ยามนี้กรีดร้องคร่ำครวญอย่างบ้าคลั่งภายในใจ แต่ตอนนี้เขาไม่สามารถถอนพลังวิญญาณออกจากห้วงวังวนอันหิวกระหายนี้ได้เลย ทำอะไรไม่ได้แม้แต่จะตะโกนเรียกให้คนช่วย


สิ่งหนึ่งที่ควรทราบ คู่ต่อสู้ของเขาในยามนี้เป็นถึงสมบัติเวทย์สวรรค์!


สีหน้าของดาราสวรรค์ยามนี้มืดทมิฬดูน่ากลัวยิ่ง หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปพลังวิญญาณทั้งหมดในตัวเขาจะถูกสูบออกไปจนแห้งเหือดแน่นอน


“หื้ม?”


ติงเอ๋อขมวดคิ้วถักแน่นโดยไว ในที่สุดเขาก็ค้นพบว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องนัก


บูม! บูม! บูม!


ปลายนิ้วของติงเอ๋อโบกสะบัด ริ้วแสงพลังหลายสิบสายปราดพุ่งเข้าใส่ตะเกียงหลอมวิญญาณจนทั้งหมดแตกเป็นเสี่ยงโดยตรง


วูวววว…


เสียงโหยหวนคร่ำครวญร้องระงมดังลั่น ทั่วทุกมุมภายในหุบเขา ช่างเป็นสุ้มเสียงที่ดูสิ้นหวังและน่าสยดสยองอย่างหาที่เปรียบไม่


“หนวกหู!”


ติงเอ๋อสะบัดแขนเสื้ออย่างแรง กวาดล้างร่างวิญญาณอาฆาตจำนวนนับไม่ถ้วนที่หลุดออกจากตะเกียงหลอมวิญญาณจนตายสิ้น


“พร๊วดดด!”


ดาราสวรรค์กระอักพ่นเลือดสดออกมาคำโตโดนตรง พินิจจากสภาพร่างกายของเขาขณะนี้ราวกับคนป่วยหนัก ไร้ซึ่งพลังอ่อนแอถึงขีดสุด


ติงเอ๋อจับจ้องไปยังดาราสวรรค์พลางเอ่ยถามขึ้นว่า


“นี่เกิดอะไรขึ้น?”


ดาราสวรรค์เอ่ยตอบอย่างอ่อนแรงว่า


“มะ-ไม่รู้! อีกฝ่ายดูดกลืนพลังวิญญาณข้าดั่งหลุดดำไร้สิ้นสุด!”


“มันกลืนกินพลังวิญญาณของข้าราวกับตายอดตายอยากมาช้านาน กระทั่งข้ายังไม่สามารถถอนพลังออกมาได้! ข้าควบคุมอะไรไม่ได้เลย! หากเมื่อครู่เจ้าไม่เคลื่อนไหว เกรงว่าข้าคงถูกสูบจนตัวแห้งแน่นอน!”


สีหน้าการแสดงออกของติงเอ๋อมืดลงทันที การที่จะสามารถดูดกลืนพลังวิญญาณของจ้าวทัพปีศาจเก้าดาวโดยที่เจ้าตัวไม่สามารถทำอะไรได้เลยเช่นนี้ อีกฝ่ายต้องแกร่งกร้าวจนน่าสะพรึงกลัวเพียงใดกัน?


“เจ้ามนุษย์น้อยคนนี้มันแปลกนัก! มีความลับไม่น้อยที่เก็บซ่อนอยู่เบื้องหลังของมัน ไม่แปลกใจเลยที่ไฉนมันถึงซ่อนตัวจากพวกเราทุกคนได้!”


ติงเอ๋อกล่าวขึ้น


ดาราสวรรค์เอ่ยกล่าวพร้อมท่าทีแสนอ่อนแรง


“ไอ้เด็กนี่มันต้มเราจนเปื่อย! เป็นไปได้ว่ามันมิได้รับผลจากคำสาปวิญญาณเลือดตั้งแต่แรกแล้ว! ไม่น่าแปลกใจเลย ไม่น่าแปลกใจ! ตอนนั้นข้าร่ายคำสาปใส่มันนับไม่ถ้วน แต่กลับทานทนได้ทุกครั้ง!”


ดาราสวรรค์นึกหวนกลับไปถึงสถานการณ์ในตอนนั้น ก่อนจะค้นพบว่าตนถูกหลอกมันตั้งแต่ต้นแล้ว


นึกถึงหม้อหลอมมณีเหลืองพิสุทธิ์ที่โดนเย่หยวนโกงไป ดาราสวรรค์แทบกระอักเลือดซ้ำ


ติงเอ๋อขมวดคิ้วป่าวประกาศเสียงดังฟังชัดว่า


“แยกย้ายได้แล้ว! อวี้หาน เจ้าอยู่ก่อน!”


อวี้หานเนื้อตัวสั่นเทาหนัก ยามนี้ทราบถึงภัยร้ายที่กำลังถาโถมเข้าใส่ และนางมิอาจหนีรอดออกไปได้เลย


เหล่าประมุขโถงคนอื่นๆ ทราบดีว่า พวกตนมิอาจแหย่หนวดเสือได้ในเวลานี้ คล้อยหลังที่รับสั่ง ทุกคนต่างแยกย้ายกันออกไปโดยทิ้งอวี้หานอยู่ตัวคนเดียว


“อวี้หาน เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะเจ้า เอาล่ะข้าจะให้โอกาสเจ้าได้แก้ไข หลังจากที่เด็กนั้นออกมา เจ้าจะต้องจับตัวเขาให้ได้เท่านั้น เข้าใจที่ข้ากล่าวหรือไม่?”


ติงเอ๋อเอ่ยกล่าวน้ำเสียงเคร่งขรึม


อวี้หานเร่งเอ่ยตอบทันทีว่า


“ท่านติงเอ๋อโปรดมั่นใจได้เลย! แม้นข้าต้องเฝ้าคอยจนมหาสมุทรแห้งเหือด ข้าก็จะจับตัวเขามาให้ได้!”


ติงเอ๋อพยักหน้าและหันไปกล่าวกับดาราสวรรค์ว่า


“กลับกันเถอะ ความลับที่ซุกซ่อนอยู่บนร่างของเจ้าเด็กนี่มีค่าเสียยิ่งกว่าสมบัติในซากโบราณสถานแห่งนี้มาก! ตราบที่พวกเราจับมันมาได้ย่อมต้องปริปากบอกกล่าวทุกเรื่อง! อวี้หาน ข้าจัดเตรียมการเผื่อสถานการณ์ฉุกเฉิน ส่งคนมาช่วยเหลือเจ้าอีกแรงหลังจากนี้!”


อวี้หานโค้งคำนับรับสั่ง


“รับทราบ!”



การทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรบรรพชนพระเจ้าของเย่หยวน ทำให้สัมผัสได้ถึงพลังอันไร้เทียมทานปราศจากขอบเขต


ในเวลานี้ ทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของเยน่หยวนขยายตัวกว่าร้อยเท่าจากเดิม เพียงว่าภายในห้วงสมุทรจุดตันเถียนนี้ ของเหลวกลับเหนียวข้นคลักและหนาแน่นผิดวิสัย ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนน้ำทะเลแม้แต่น้อย


แต่มันราวกับเป็น…ก้อนแป้ง!


เย่หยวนขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางสื่อจิตสนทนากับหวูเฉินว่า


“ท่านอาวุโส ข้าบ่มเพาะพลังมาถูกทางหรือเปล่า? ไฉนภายในทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของข้าที่ควรเป็นน้ำทะเลพลังปราณ กลับเหนียวข้นจนกลายเป็นก้อนแป้งไปแล้ว?”


เย่หยวนค้นพบว่า ทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของเขาค่อนข้างมีความเหนียวข้นที่สูงมาก ชนิดที่ว่าจับตัวกันเป็นก้อนหนา แตกต่างจากของคนอื่นโดยสิ้นเชิงที่เสมือนกับน้ำทะเลในมหาสมุทร


หวูเฉินกล่าวขึ้นว่า


“เอ่อ…เจ้ากำลังก้าวเดินในเส้นทางที่เหล่าบรรพชนไม่เคยก้าวเดินมาก่อน นี่มิใช่เรื่องที่ข้าจะทราบเช่นกัน เพราะข้าไม่เคยเห็นใครเป็นแบบเจ้ามาก่อน อย่างไรก็ตาม เจ้าหลอมสร้างวรยุทธบ่มเพาะพลังที่สามารถเชื่อมต่อกับฟ้าดินและพลังแห่งหุบเขาถงเทียนได้ ข้าว่าเจ้าคงมาถูกทางแล้วกระมัง?”


เย่หยวนนึกไม่ออกบอกไม่ถูกเช่นกันเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นยามนี้ ถึงจะใช้สมองอย่างหนักหน่วงเพียงใด ผลสุดท้ายก็ได้แต่นั่งหดหู่อยู่ตัวคนเดียวต่อไป


วรยุทธบ่มเพาะของเขาไม่น่าจะมีอะไรผิดพลาด เนื่องจากสามารถเชื่อมต่อกับหุบเขาถงเทียนได้ มันควรจะถูกต้องตามหลักแล้ว


อย่างน้อยก็เชิงทฤษฎีกระมัง?


แต่ท้ายที่สุดนี้ ไม่ว่าจะมองอีท่าไหน  วรยุทธบ่มเพาะพลังของเย่หยวนก็แตกต่างไปจากของคนอื่นโดยสิ้นเชิง สิ่งนี้ทำให้เขาสูญเสียความมั่นใจมิใช่น้อย


จากมหาสมุทรพลังปราณเทวะที่ควรจะเป็น ตอนนี้กลับกลายเป็นมหาสมุทรก้อนแป้งยักษ์ไปเสียแล้ว?


วิธีที่จะพิสูจน์ได้ว่าวิธีบ่มเพาะพลังของเขามาถูกหรือผิดทาง คือหากเย่หยวนไม่สามารถสร้างโลกของตนเองขึ้นมาได้ นั้นหมายความว่าความพยายามทั้งหมดเท่ากับสูญเปล่า


นี่เป็นขั้นตอนที่สำคัญอย่างยิ่ง แม้แต่เย่หยวนเองยังเลี่ยงที่จะกังวลกับเรื่องนี้ไปมิได้


เย่หยวนถอนหายใจเสียงยาวกล่าวขึ้นว่า


“ลืมไปเถอะ ศรธนูที่ยิงไปแล้วมิอาจเรียกกลับคืนได้ หากข้าไม่สามารถทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าได้ พวกเราค่อยว่ากันใหม่”


เย่หยวนลืมตาทั้งสองข้างขึ้นอย่างแช่มช้า ก่อนพบว่าเจิ้งเจี้ยนยังคงยืนจ้องเขาด้วยความตกตะลึง


“เจ้าชนะ! ยินดีด้วย หลังจากนี้เจ้าจะได้รับสืบทอดมรดกที่แท้จริงแห่งนิกายบัลลังก์ม่วง!”


เจิ้งเจิ้งเอ่ยปากกล่าวขึ้นเจือน้ำเสียงเศร้าโศกเล็กน้อย


ความภาคภูมิใจทั้งหมดที่เขามี ยามนี้ถูกเหยียบย้ำโดยเย่หยวนไปแล้ว


เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า


“ขอบพระคุณอย่างยิ่งท่านอาวุโสเจิ้ง!”


เจิ้นเจี้ยนดูลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยถามขึ้นว่า


“เจ้าทำได้อย่างไรกัน?”


เย่หยวนตัวแข็งค้างไปชั่วขณะเมื่อได้ฟัง คล้อยหลังตระหนักได้ว่าเจิ้งเจี้ยนกำลังหมายถึง สภาวะตัดชั่วฟ้าก่อนหน้า จึงยิ้มตอบไปกว่า


“ไม่มีอะไรพิเศษเลย เพราะก่อนหน้านี้ข้าเคยเข้าถึงสภาวะได้แล้วสองครั้ง ดังนั้น…จึงพอมีประสบการณ์อยู่บ้าง”


เจิ้งเจี้ยนที่ได้ฟังเช่นนั้นถึงกับพูดไม่ออก


ตอนที่ 1527 บรรลุฉับพลัน

โดย

Ink Stone_Fantasy

แม้จะกล้าเหยียบย่ำทับถมคนอื่น แต่กลับไม่ควรเหยียบย่ำยอดอัจฉริยะแห่งยุคแบบเขา!


นี่นับเป็นการถูกเหยียบย่ำทับถมโดยสมบูรณ์ ทั้งยังถูกกระทืบซ้ำให้จมดินอีกสองสามระลอก!


เจิ้งเจี้ยนรู้สึกราวกับโลกที่ตนเคยรู้จักกำลังจะพังทลายลงต่อหน้า


สภาวะตัดชั่วฟ้ากลายเป็นผักปลาจับจ่ายซื้อได้ง่ายดายตั้งแต่เมื่อใด?


ในตอนนั้น เพื่อที่จะฝึกปรือจนเพลงดาบตรัสรู้จนช่ำชอง เขาต้องผ่านประสบการณ์เฉียดตายไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ทว่าระหว่างการฝึกที่ผ่านมากลับไม่เคยเข้าสู่สภาวะตัดชั่วฟ้ามาก่อนสักครั้ง


แต่เด็กคนนี้กลับเข้าเป็นครั้งที่สามแล้ว!


ตั้งสามครั้ง!


สภาวะไร้ตัวตน กล่าวได้ว่าบังเอิญเข้าเพียงครั้งเดียวก็นับเป็นรางวัลใหญ่ที่สุดในชั่วชีวิตแล้ว!


ทว่า…ทว่าหมอนี่กลับเข้าได้ถึงสามครั้ง!


นอกจากนี้ดูเหมือนว่า แต่ละครั้งที่เข้ายังมีแนวโน้มเข้าผ่านไปได้ง่ายดายขึ้นเรื่อยๆ!


นี่…นี่เป็นไปได้อย่างไรกัน?


เจิ้งเจี้ยนรู้สึกราวกับเขาเป็นเพียงตัวตลก


ตัวตลกที่เดิมข้ามผ่านห้วงเวลา!


อัจฉริยะงั้นรึ?


ต่อหน้าเด็กหนุ่มคนนี้ยังกล้าเรียกตัวเองว่า‘อัจฉริยะ’ได้อีกงั้นรึ?


ช่างน่าขันยิ่งนัก!


คล้อยหลังจากนั้นไม่นาน สีหน้าท่าทีอันหยิ่งผยองของเจิ้งเจี้ยนพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่คิดเลยว่าจะมีคนที่อยู่เหนือขอบเขตความเข้าใจของเขาเช่นนี้ด้วยจริงๆ


“ดูท่าแล้วทัศนคติของข้าจะคับแคบไปจริงๆ! พรสวรรค์ของเจ้าอยู่เหนือประวัติศาสตร์ทั้งมวล! ข้าเป็นเพียงบุคคลที่จมอยู่ในธารน้ำแห่งประวัติศาสตร์และอดีตเท่านั้น ขณะที่เจ้าเกิดมาเพียงส่องไสวเปล่งประกายต่อไปในอนาคต! เอาล่ะไปต่อเถิด!”


ในตอนนี้เจิ้งเจี้ยนคลี่ยิ้มกว้างจากใจจริง


ใบหน้าของเขาค่อยๆแปรสภาพเหี่ยวแห้งดั่งศพนับหมื่นปี แต่นั้นก็ยังคงประดับประดาด้วยรอยยิ้มไม่จางหาย


นั้นคือรอยยิ้มแห่งความสุขที่ราวกับบางสิ่งอย่างได้ถูกปลดปล่อยลงเสียที ดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว


จากนั้นร่างของเขาก็สลายหายไปเหลือแค่เพียงความว่างเปล่า


ณ ปัจจุบัน สถานที่แห่งนี้พลันผลัดเปลี่ยนภาพฉากออกไป ลานประลองทั้งหมดอันตรธานหายวับไป เหลือแค่โถงกว้างแสนว่างเปล่าเท่านั้น


“ขอแสดงความยินดีกับความสำเร็จของเจ้าที่สามารถพิชิตยอดอัจฉริยะทั้งสิบแปดแห่งนิกายบัลลังก์ม่วงได้ เจ้าคือผู้สืบทอดของนิกายบัลลังก์ม่วง! รางวัลของเจ้าคือ…โถงแห่งนี้!”


สุ้มเสียงโบราณเปล่งดังออกมาอีกครั้ง ทำให้เย่หยวนประหลาดใจนัก


มิใช่ว่าทุกๆหกรอบที่มอบรางวัลให้ แล้วไฉนถึงกลายมาเป็นมอบโถงแห่งนี้แทน?


เย่หยวนเผยท่าทีฉงนใจพลางเอ่ยกล่าวขึ้นว่า


“โถงแห่งนี้ข้าไม่สามารถเคลื่อนย้ายมันออกไปไหนได้ แล้วจะมอบให้ข้าได้อย่างไร?”


“ใครบอกว่าไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้? โถงแห่งนี้แท้จริงแล้วเป็นสมบัติเทพถ่องแท้เลิศล้ำแขนงเหินหาว จะขยายหรือย่อก็ได้ตามต้องการ เมื่อขยายมันจะกลายเป็นพระราชวังอันกว้างใหญ่ไพศาล หากย่อให้เล็กเทียบเท่าได้กับเม็ดฝุ่น สามารถใช้มันเหาะเหินเดินทางนับร้อยล้านลี้ได้ภายในหนึ่งวัน แน่นอนว่าย่อมทำได้หากเจ้ามีผลึกปราณเทวะมากพอ!”


ชายชราร่างผอมแห้งติดกระดูกปรากฏตัวขึ้นพร้อมกล่าวอธิบาย


ดวงตาเย่หยวนสว่างวับขึ้นในทันใด เขาเอ่ยถามอย่างประหลาดใจยิ่งว่า


“มันน่าเหลือเชื่อปานนั้น?”


ชายชราตะคอกตอบน้ำเสียงเยียบเย็น


“น่าเหลือเชื่อกว่าที่เจ้าจินตนาการนัก! หากน้อยกลับไปในยุคนั้น นิกายบัลลังก์ม่วงของข้าอุทิศพลังทั้งหมดเพื่อหลอมสร้างสมบัติเทพถ่องแท้เลิศล้ำขึ้นมา หวังจะทำให้มันกลายมาเป็นมรดกตกทอดของพวกเราต่อไป ตราบใดที่เจ้ามีผลึกปราณเทวะมากพอ การจะพิชิตยอดเซียนอาณาจักรเทพถ่องแท้ก็หาใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้!”


จากที่ฟังมาสิ่งนี้…ช่างน่าประทับใจยิ่ง!


การจะพิชิตยอดเซียนอาณาจักรเทพถ่องแท้ ใครฟังต่างรู้สึกขนลุกขนพองยิ่ง


“หุหุ ดูเหมือนว่าเจ้าจะบังเอิญชนเข้ากับมหาสมบัติเข้าแล้ว!”


เย่หยวนเอ่ยกล่าวขึ้นอย่างตื่นเต้น


ชายชรากล่าวต่อว่า


“ข้าหมดเวลาแล้ว ยามนี้ข้าจะบอกให้เจ้าฟัง ที่นี่มีวรยุทธบ่มเพาะพลังขั้นสูงสุดแห่งนิกายบัลลังก์ม่วง เจ้าจำต้องบ่มเพาะฝึกปรือให้ดีและทำให้นิกายบัลลังก์ม่วงของข้าทะยานขึ้นสู่สวรรค์อีกครั้ง!”


เย่หยวนชะงักแข็งค้างไปชั่วครู่และกล่าวว่า


“วรยุทธบ่มเพาะพลัง? ไม่จำเป็น วรยุทธบ่มเพาะพลังของข้าตอนนี้ค่อนข้างประทับใจยิ่งแล้ว คงไม่เปลี่ยนวรยุทธบ่มเพาะพลังแน่นอน”


นี่ต้องล้อเล่นแล้วกระมัง นั้นเป็นถึงวรยุทธบ่มเพาะพลังขั้นสูงสุด?


ทว่าต่อหน้าบัญญัติเทพแห่งถงเทียน สิ่งนี้กลับไม่นับเป็นอันใดเลย!


เมื่อชายชราได้ฟังดังนั้น สีหน้าของเขาพลันบูดบึ้งโกรธเกรี้ยวอย่างมาก


“เจ้าเป็นผู้สืบทอดมรดกแห่งนิกายบัลลังก์ม่วงของข้า ดังนั้นเจ้าจำต้องฝึกปรือวรยุทธบ่มเพาะพลังของนิกายด้วย! มิเช่นนั้นข้าจะถือว่าเจ้าลบหลู่!”


สีหน้าการแสดงออกของเย่หยวนเยียบเย็นขึ้นโดยพลัน ตาแก่คนนี้ไม่ไร้เหตุผลเกินไปหน่อยรึ?


หลังจากเงียบลงชั่วขณะ ชายชราก็กล่าวต่อขึ้นว่า


“นอกจากนี้เจ้ายังต้องฝึกปรือพุทธะสูตรฤทัยม่วงอีกด้วย! ยามนี้มีพวกจ้าวทัพปีศาจดักรอเจ้าอยู่ข้างนอกถึงสามตน หากเจ้าไม่ฝึกปรือพุทธะสูตรฤทัยม่วง เจ้าจะไม่สามารถควบคุมโถงบัลลังก์ม่วงแห่งนี้ได้! หากชายชราผู้นี้ตายลง ผนึกค่ายกลที่ปกป้องที่นี่อยู่ก็จะคลายลงด้วยเช่นกัน และพวกมันจะบุกมาฆ่าเจ้าทันที!”


เมื่อได้ยินเช่นนั้นเย่หยวนพลันใจหายวาบ หน้าถอดสีในทันที


“เช่นนั้นยังมัวรออันใดอีก? ให้ไวเลย!”


ชายชราคลี่ยิ้มเล็กน้อยและอธิบายขึ้นว่า


“พุทธะสูตรฤทัยม่วงสามารถแบ่งออกได้ทั้งหมดหกระดับ มันจะช่วยผลักดันเจ้าให้พัฒนาขึ้นสู่อาณาจักรเทพถ่องแท้เก้าดาว หรือแม้แต่สามารถทะยานขึ้นเป็นเทพสวรรค์ครึ่งขั้น นี่คือสุดยอดวรยุทธบ่มเพาะจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาวรยุทธบ่มเพาะเต๋าสวรรค์ระดับหก! ตราบใดที่เจ้าบ่มเพาะวรยุทธนี้จนสำเร็จระดับแรกได้ เจ้าก็จะสามารถควบคุมแกนมณีวิญญาณได้ เว้นเสียว่าความเร็วจะค่อนข้างช้ามาก ตราบใดที่เจ้าควบคุมเจ้าสิ่งนี้ได้เพียงส่วนหนึ่ง ย่อมสามารถควบคุมผนึกค่ายกลที่แห่งนี้ได้เช่นกัน และสามารถหยุดจ้าวทัพปีศาจไม่ให้เข้ามาได้!”


ในขณะที่สนทนากันอยู่ พลันปรากฏอัญมณีสีขาวน้ำนมขึ้นต่อหน้าเย่หยวน


เย่หยวนกล่าวว่า


“กล่าวได้ว่า หากข้าสามารถฝึกปรือจนสำเร็จพุทธะสูตรฤทัยม่วงได้ไกลเท่าไหร่ ความเร็วในการควบคุมเจ้าสิ่งนี้ก็ยิ่งสูงขึ้นมากเท่านั้น?”


ชายชรากล่าวว่า


“ถูกต้องแล้ว แต่พุทธะสูตรฤทัยม่วงทั้งกว้างใหญ่และลึกล้ำ ภายในเวลาอันสั้นไม่สามารถ…”


ชายชรายังไม่ทันกล่าวจบ เย่หยวนก็เอ่ยแทรกตัดบททันที


“เช่นนั้นยังรออะไรอีก? นำสามระดับแรกออกมาให้ข้าเลย!”


ชายชราชะงักไปชั่วครู่ก่อนเอ่ยขึ้นว่า


“พ่อหนุ่ม อย่ากัดเกินกว่าที่เคี้ยวได้ รากฐานของเจ้าในตอนนี้ยังไม่มั่นคงพอ…”


เย่หยวนเอ่ยสบถขึ้นทันที


“ท่านอาวุโสข้ามีเวลามากมายปานนั้น? กว่าจะอธิบายจบกลัวว่าท่านจะด่วนจากลาไปเสียก่อน?”


ชายชราสำลักทันทีที่ได้ยิน แต่คราวนี้เขายังคงนำพุทธะสูตรฤทัยม่วงออกมาให้โดยดี เพียงว่า…มันเป็นเพียงระดับแรกเท่านั้น


ศิลาจารึกศักดิ์สิทธิ์จำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นต่อหน้าเย่หยวนจนตาลาย


อย่างไรก็ตาม เย่หยวนเพียงกวาดสายตาอย่างลวกๆและเอ่ยถามขึ้นว่า


“แล้ววรยุทธบ่มเพาะระดับสองอยู่ที่ใด?”


ชายชรายังคงเอ่ยตอบอย่างดื้อรั้นไปว่า


“พ่อหนุ่ม เจ้าเพียงกวาดตามองแค่ครั้งเดียว กลับต้องการฝึกปรือระดับสองแล้ว? ทางที่ดีเจ้าค่อยๆศึกษาไปเสีย!”


ตาแก่นี่…ไฉนตาแก่คนนี้ถึงจู้จี้จุกจิกนัก?


เย่หยวนคร้านจะใส่ใจฟังอันใดอีกต่อไป และเริ่มโคจรบ่มเพาะตามวิธีของพุทธะสูตรฤทัยม่วงในทันที


ทันทีทันใดรัศมีสีม่วงแพรวพราวพลันเปล่งประกายออกมาจากร่างเย่หยวนทันที นี่คือจุดเด่นของวรยุทธบ่มเพาะระดับแรก


“จะ-จะ-เจ้า…เจ้าเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว?! นี่…เป็นไปได้ไหมว่าเจ้าเคยฝึกปรือพุทธะสูตรฤทัยม่วงมาก่อน? นี่…นี่เป็นไปไม่ได้!!”


ชายชราร่างผอมใช้เวลาอยู่กับสิ่งนี้เนิ่นนานเกินคณานับ ทว่าทันทีที่เห็นแบบนั้นพลันรู้สึกตื่นตระหนกยิ่ง จนกล่าวตะกุกตะกักไม่เป็นภาษา


พุทธะสูตรฤทัยม่วงนี้ทรงพลังและลึกล้ำเพียงใด ชายชราผู้นี้ตระหนักชัดแจ้งดีเยี่ยม


แม้แต่ศิษย์ระดับกะทิที่มากไปด้วยพรสวรรค์ยังต้องใช้เวลากว่าหลายร้อยปี ถึงจะเข้าใจระดับแรกได้อย่างถ่องแท้


เย่หยวนที่เป็นเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าที่เคยบ่มเพาะวรยุทธชนิดอื่นมาก่อน แน่นอนว่ามีประสบการณ์ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบ ถึงแบบนั้น อย่างน้อยที่สุดเขายังต้องใช้เวลากว่าสองถึงสามปีกว่าจะเข้าใจในระดับแรกได้


แต่นี่…เขาสามารถเข้าใจได้ในหนึ่งอึดใจเดียว!


เย่หยวนเอ่ยกล่าวขึ้นเจือท่าทีไม่แยแสอันใดว่า


“ท่านอาวุโสยามนี้เป็นสถานการณ์เร่งด่วน อย่าให้ข้าเสียเวลาไปมากกว่านี้เลยจะได้หรือไม่ เร่งนำอีกสองระดับมาให้ข้าดูเร็ว!”


แม้เย่หยวนจะมีบัญญัติเทพแห่งถงเทียน แต่ตอนนี้เขาสามารถฝึกปรือบ่มเพาะได้เพียงสามระดับแรกเท่านั้น


เนื่องจากสามระดับท้ายหลัง ระดับพลังของเขายังคงไม่ถึงเกณฑ์จึงไม่สามาถเข้าใจได้โดยธรรมชาติ


หลังจากที่เย่หยวนกวาดสายตาศึกษาอีกสองระดับที่เหลือโดยไว เขาก็ก้าวตรงขึ้นต่อหน้าอัญมณีสีขาวน้ำนมและเริ่มทำการปรับแต่งเพื่อควบคุมทันที


เฝ้ามองเย่หยวนปรับแต่งแกนมณีวิญญาณโดยใช้พุทธะสูตรฆทัยม่วงทั้งสามระดับแรกชนิดที่ว่าตาไม่กะพริบ ใบหน้าของชายชราร่างผอมยามนี้เปี่ยมล้นไปด้วยความตื่นตกใจ


นี่มัน…เรื่องบ้าอะไรกัน?


แค่กวาดสายตามองผ่านเพียงปราดเดียว ก็สามารถเข้าใจทั้งหมดแล้ว?!


พุทธะสูตรฤทัยม่วงกว้างใหญ่ไพศาลและลึกล้ำยิ่ง เจ้าหนุ่มคนนี้เป็นสัตว์ประหลาดหรืออย่างไร?


เขาทำเช่นนี้ได้อย่างไร?


“ฮ่าๆๆๆ ปรากฏว่าสวรรค์ยังเห็นใจนิกายของข้าอยู่บ้าง! ไม่คิดไม่ฝัน หลายผ่านไปหลายสิบหมื่นทศวรรษ ในที่สุดนิกายบัลลังก์ม่วงก็เสาะพบผู้สืบทอดที่ท้าทายสวรรค์ปานนี้!”


ชายชรากล่าวลั่นพลางระเบิดหัวเราะดัง คู่ดวงตาที่ขุ่นของเขาสว่างไสวขึ้นทันที

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)