Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1513-1515
ตอนที่ 1513 มุ่งหน้าสู่ซากโบราณสถาน
โดย
Ink Stone_Fantasy
หน้าประตูตระกูลฟาง ฟางหลิน ฟางอวี้และหลี่จีต่างเดินออกมาส่งเย่หยวน
“ต้องขอบคุณท่านประมุขตระกูลอย่างยิ่ง! สำหรับการดูแลที่ผ่านมาทั้งหมด!”
เย่หยวนกล่าวขึ้นพร้อมประสานมือกำหมัดแน่น
ฟางหลินคลี่ยิ้มกว้างเอ่ยกล่าวขึ้นว่า
“ท่านปรมาจารย์บรรพกาลราตรีกล่าวอันใดเยี่ยงนี้? ต้องเป็นตระกูลฟางของเรามากกว่าที่ต้องขอบคุณท่าน!”
หลายปีที่ผ่านมานี้ อาจกล่าวได้ว่าตระกูลฟางเปรียบดั่งดวงสุริยันยามเที่ยงวัน กระทั่งฝ่ายตำหนักเจ้าเมืองยังมิอาจเทียบรัศมีได้
นอกจากนี้ ตระกูลฟางยังทะยานขึ้นมาเป็นกลุ่มอิทธิพลอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวงคาโปน เนื่องจากติดต่อมีสายสัมพันธ์กับโถงโลหิตปรโลกอย่างแนบแน่น
ฟานหลินย่อมเข้าใจดีกับเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นและสรรพสิ่งอย่างล้วนต้องขอบคุณเย่หยวนยิ่งกว่าสิ่งใด
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“ท่านประมุขตระกูลฟางสุภาพเกินไปแล้ว ข้ารับเงินเดือนท่านย่อมนับเป็นภาระหนึ่งของเจ้าบ้าน เนื่องจากข้าเป็นแขกของตระกูลฟาง ดังนั้นข้ามิอาจปฏิเสธได้ว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ล้วนเป็นความดีความชอบของตระกูลฟางเช่นกัน”
ฟางหลินกล่าวตอบด้วยรอยยิ้มว่า
“ฟางคนนี้ทราบดีว่าเงินเดือนที่ตระกูลฟางให้ท่านนั้นช่างน้อยนิด เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องน่าอายของเรา แต่การที่ท่านปรมาจารย์บรรพกาลราตรียังมีความตั้งใจที่จะอยู่ตระกูลฟางต่อจวบจนวันนี้ เราฟางหลินรู้สึกขอบพระคุณท่านไม่รู้จบ! หลี่จี ท่านปรมาจารย์บรรพกาลราตรีกำลังจะไปแล้ว ไฉนเจ้าถึงไม่ออกไปส่งเขา?”
ขณะที่เขาเอ่ยขึ้นเช่นนี้ก็พลันขยิบตาส่งสัญญาณให้หลี่จีเช่นกัน
เมื่อนางทราบข่าวว่าเย่หยวนกำลังจะจากไปแล้ว หลี่จีเองก็กินไม่ได้นอนไม่หลับไปหลายวัน
หัวใจของนางมอบให้เย่หยวนมาโดยตลอดจวบจนวันนี้ แต่ใครจะไปรู้ว่า แค่พริบตาเดียวเย่หยวนก็กลายมาเป็นการดำรงอยู่ที่แม้แต่นางก็มิอาจเอื้อมถึงไปเสียแล้ว
ช่องว่างระหว่างทั้งสองยิ่งกว้างขึ้นเรื่อยๆ
ณ ตอนนี้ เย่หยวนกำลังจะจากไปแล้ว ภายในใจหลี่จีมีแต่ความเศร้าโศกและกระวนกระวายใจยิ่ง
“บะ-บรรพกาลราตรี…ขอให้…ขอให้ท่านเดินทางปลอดภัย”
หลี่จีพยายามข่มกลั้นอารมณ์และบีบกลั่นประโยคนี้เพียงประโยคเดียวเป็นเวลานาน
ทันทีทันใดนางพบว่า ตนไม่รู้จริงๆว่าควรเอ่ยเรียกเย่หยวนในตอนนี้ว่าอย่างไรดี
เย่หยวนยิ้มและกล่าวตอบว่า
“แม่นางหลี่จีโปรดดูแลตัวเอง ธารน้ำหุบเขาบรรพตยังมีวันบรรจบ บางทีอาจมีสักวันที่เราได้พบกันอีก ยามนี้สายมากแล้ว ถึงเวลาที่ต้องลาจาก บรรพกาลราตรีขอลา”
เมื่อกล่าวจบเย่หยวนก็พาหลงซานหันหลังและจากไปทันที
ด้วยสถานะปัจจุบันของเย่หยวน การที่เขาจะนำทาสออกไปด้วยสักคนกลับหาใช่เรื่องอันใดเลย
หลี่จีได้แต่เฝ้ามองแผ่นหลังของเย่หยวนอย่างโง่งมในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยที่ตนไม่สามารถทำอะไรได้เลย
ฟางหลินเฝ้ามองภาพฉากนี้พลางถอนหายใจเอ่ยกล่าวขึ้นว่า
“ลูกสาวตัวน้อยของข้า เจ้าอยู่ในโลกที่แตกต่างจากเขาโดยสิ้นเชิง เขาเปรียบดั่งดวงสุริยันที่เฉิดฉายบนท้องนภา ผู้คนเดินดินไม่สามารถทำได้แม้แต่เงยมอง ในขณะที่เราก็คือคนธรรมดาเหล่านั้น”
แม้ว่าเรื่องปรากฏการณ์ทำนองแห่งยอดเต๋าที่เย่หยวนเรียกขึ้นมาได้จะมิได้รั่วไหลออกไป แต่สำหรับเขาที่สามารถสั่งสอนเหล่านักปรุงโอสถปีศาจระดับสูงจากเมืองหลวงหลายร้อยแห่งได้ สิ่งนี้เป็นที่บ่งชี้แล้วว่า ความแกร่งกล้าในศาสตร์แห่งโอสถของเขาเกินจินตนาการของผู้คนไปไกลแล้ว
มีเพียงเมืองจักรพรรดิเท่านั้นที่สามารถรองรับความยิ่งใหญ่ของเย่หยวนได้
…
“ฮ่าๆ น้องบรรพกาลราตรี ปรากฏว่าเจ้ามิได้นำสาวน้อยตระกูลฟางนางนั้นมาด้วยจริงๆ นี่ช่างเป็นเรื่องน่าแปลกนัก!”
เมื่อเห็นเย่หยวนมาคนเดียว ดาราสวรรค์ก็รีบตรงเข้ามาต้อนรับแต่ก็เจือความประหลาดใจเช่นกัน
ความสัมพันธ์อันคลุมเครือระหว่างเย่หยวนกับหลี่จี ดาราสวรรค์เองย่อมประจักชัดแจ้งดี
ทีแรกเขายังหลงคิดไปด้วยซ้ำว่า เย่หยวนน่าจะพาหลี่จีเดินทางไปกับตนด้วย ถึงอย่างไรแล้ว สาวน้อยนางนั้นก็มีเสน่ห์ล้นเหลือจริงๆ
“สำหรับข้าแล้ว การบ่มเพาะพลังฝึกปรือฝีมือคือสิ่งที่สำคัญที่สุด คนอื่นรอบกายล้วนแล้วแต่กวนใจข้าเท่านั้น”
เย่หยวนเอ่ยตอบน้ำเสียงเรียบนิ่ง
ดาราสวรรค์ที่ได้ยินเช่นนั้นอดตกใจมิได้ สำหรับเย่หยวนที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่ยังเด็กเช่นนี้ เขาตระหนักชัดแจ้งแล้วว่า เด็กหนุ่มคนนี้มิได้พึ่งพาแค่พรสวรรค์!
ตามความเข้าใจของเขา เย่หยวนควรเก็บตัวอยู่อย่างสันโดษมาเป็นเวลาตลอดทั้งชีวิต สิ่งเดียวที่สนใจคงมีแต่เรื่องบ่มเพาะพลังขัดเกลาฝีมือ
“ฮ่าๆ น้องชายคนนี้ทำให้ข้ารู้สึกอับอายโดยแท้! ไม่น่าแปลกใจเลยที่น้องชายประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย!”
เย่หยวนคลี่ยิ้มเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นเขาก็ค้นพบว่าเครื่องแต่งกายในยามนี้ของดาราสวรรค์กลับแปลกไป ไม่สิกล่าวได้แปลกตายิ่ง เพราะนั้นเป็นชุดแต่งกายของพวกคนรับใช้!
นอกจากนี้ดาราสวรรค์ยังปกปิดระดับพลังของตน ต่อให้ใครมาเห็นต่างความไม่แตกมิอาจถึงตัวตนที่แท้จริงของเขาได้เลย
“ท่านอาวุโสดาราสวรรค์ ท่าน…”
เย่หยวนเอ่ยกล่าวแฝงความอึ้งตะลึงงันกลางจิตใจ
ดาราสวรรค์ยิ้มตอบว่า
“แม้การเดินทางไปยังซากโบราณสถานครั้งนี้ จะมีโถงโลหิตปรโลกของเรานำไปด้วย แต่คราวนี้ร้อนพันปลามังกรมารวมตัวกัน กลุ่มอิทธิพลจากทั่วสารทิศเข้าร่วมเดินทาง และการดำรงอยู่ของเจ้าก็มีความสำคัญต่อโถงโลหิตปรโลกอย่างยิ่ง ดังนั้น หากทราบว่าข้าออกโรงเป็นการส่วนตัวขนาดนี้ เกรงว่าฝักฝ่ายอื่นอาจคาดเดากันไปมากมายและเกิดอันตรายได้”
ทันทีที่เย่หยวนได้เช่นนั้นเขาก็เข้าใจในทันที
อวี้หานมิกล้าประมาท ทั้งยังให้เขาจบชีวิตไคซินเพื่อเลือกเขาเป็นตัวแทน
ดังนั้นแล้ว การเดินทางเข้าสู่ซากโบราณสถานครั้งนี้ ล้วนมีแต่อัจฉริยะระดับหัวกะทิจากเมืองหลวงต่างๆ
พวกคนที่อ่อนแอที่สุดคงเป็นระดับคนอย่างไคซิน
เพราะอัจฉริยะโดยส่วนมากล้วนแต่เป็นจอมทัพปีศาจกันหมดแล้ว
สำหรับโถงโลหิตปรโลก เสียค่าใช้จ่ายมากมายมหาศาลปานนี้ ดูเหมือนว่าการเดินทางเข้าสู่ซากโบราณสถานจะไม่ธรรมดา!
เย่หยวนพยักหน้าและกล่าวว่า
“ไปกันเถอะ หลงซาน เจ้าเดินทางล่วงหน้าไปยังเมืองจักรพรรดิก่อน ช่วยจัดการธุระจัดเตรียมทุกอย่างให้เรียบร้อย”
หลงซานโค้งคำนับและกล่าวขึ้นว่า
“รับทราบนายท่าน”
หลงซานในตอนนี้ทะลวงผ่านปัญหาคอขวดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ยามนี้ได้ขึ้นกลายมาเป็นเซียนอาณาจักรบรรพกาลพระเจ้าในท้ายที่สุด
แท้จริงแล้ว เย่หยวนมิได้สั่งให้หลงซานเดินทางไปยังเมืองจักรพรรดิกล้วยไม้อริยะ จุดประสงค์ของคำกล่าวเหล่านี้เพื่อให้ดาราสวรรค์ที่อยู่ข้างๆสบายใจไร้ซึ่งข้อกังขาเท่านั้น
ก่อนหน้าที่เย่หยวนจะออกเดินทาง เขาสั่งให้หลงซานเดินทางอ้อมไปทางเมืองกระแสพิรุณ และเฝ้ารอเขาอยู่แถวหุบเขาอัญเชิญปีศาจเพื่อขอเย่หยวนดำเนินการต่อไป
เย่หยวนจะเดินทางไปพบเขาหลังจากที่ตนสลัดดาราสวรรค์และอวี้หานหลุดแล้ว
แน่นอนว่า ดาราสวรรค์ที่ได้ยินวาจาคำกล่าวของเย่หยวนเช่นนั้น สีหน้าการแสดงออกของเขาก็ดูโล่งใจขึ้นมาก
หลงซานเป็นเพียงทาส โดยปกติสถานะชนชั้นต่ำเช่นนี้ เขาไม่เหลียวแลสนใจอยู่แล้ว
แต่สิ่งที่เขาสนใจจริงๆ คือทัศนคติของเย่หยวนต่างหาก
ดูเหมือนว่าหม้อหลอมพิสุทธิ์มณีเหลืองจะซื้อใจของเย่หยวนได้จริงๆ ตอนนี้เขายอมรับโถงโลหิตปรโลกแล้วด้วยจริงใจ
หลังจากที่หลงซานจากไป พวกเขาก็ขึ้นเรือเหาะ
เย่หยวนที่เห็นเรือเหาะถึงกับตื่นตระหนกไม่น้อยภายในใจ ความแกร่งกล้าของโถงงโลหิตปรโลกนับว่ายิ่งใหญ่โดยแท้ กระทั่งเรือเหาะยังเป็นถึงสมบัติเลิศล้ำชิ้นหนึ่ง
มันเป็นสมบัติจ้าวทัพปีศาจเลิศล้ำระดับกลาง เมื่อเริ่มบินออกไปความเร็วที่สุดเดินทางออกค่อนข้างสูงมาก
ระหว่างทางดาราสวรรค์เองก็ลอบจับจ้องเย่หยวนเป็นระยะ เย่หยวนไม่เพียงเก็บงำความไม่พอใจลงไปได้อย่างแนบสนิท แต่เขายังคงนั่งนิ่งดูสงบใจยิ่ง ภาพฉากนี้ทำให้ดาราสวรรค์มีความสุขไปกว่าครึ่งค่อนวัน
แม้ว่าขอบเขตของดาราสวรรค์จะสูงส่งมาก แต่ในแง่รากฐานความแข็งแกร่ง เย่หยวนค่อนข้างนำเขาไปหลายขุมนัก
เป็นเช่นนี้นานกว่าครึ่งเดือน ในที่สุดทั้งสามก็เดินทางมาถึงสถานที่ตั้งของซากโบราณสถาน
ซากโบราณสถานแห่งนี้อยู่ใกล้กับเมืองธารแสงแห่งเมืองจักรพรรดิกล้วยไม้อริยะ วันที่นัดหมายกำลังใกล้เข้ามา เหล่าบรรดาบุคคลชั้นสูงของแต่ละเมืองหลวงต่างกำลังรีบเร่งเดินทางมาเช่นกัน
เมื่อทั้งสามเดินทางมาถึงบริเวณใกล้เคียงกับซากโบราณสถาน ก็มีกลุ่มคนจำนวนมากเข้ามารวมตัวกัน
เย่หยวนกวาดสายตาจับจ้องไปที่กลุ่มคนที่อยู่ใจกลาง
หกชายหนุ่มกลุ่มนั้นพกพารัศมีกลิ่นอายดูไม่ธรรมดา เห็นได้ชัดว่าพวกเขาล้วนแต่เป็นเหล่ายอดฝีมือ
ทว่าหลังจากสัมผัสได้ว่า เย่หยวนกำลังมองพวกเขาอยู่ ทั้งหกก็เหลียวมองไปยังเย่หยวนจนเป็นตาเดียว
ก่อนจะพบว่าเย่หยวนเป็นเพียงจอมทัพปีศาจขั้นปลายเท่านั้น พวกเขาทั้งหมดก็หมดความสนใจไปในทันที
“สัมผัสของพวกนั้นไวมาก ข้าเพียงกวาดสายตาเหลือบมองเล็กน้อยก็สัมผัสเห็นข้าได้แล้ว”
เย่หยวนที่เห็นแบบนั้นก็แอบตกใจมิใช่น้อย
“ทั้งหกคนนั้นได้ชื่อว่าเป็นหกบุตรสวรรค์แห่งกล้วยไม้อริยะ ความแกร่งกล้าขอลงพวกเขานับเป็นจุดสูงสุดของบรรดากลุ่มคนรุ่นใหม่ของเมืองจักรพรรดิกล้วยไม้อริยะ พวกเราเองก็เหมือนกับไคซิน ฆ่าทุกคนที่ขวางหน้าและปีนขึ้นสู่จุดสูงสุดจากกองซากศพและทะเลเลือด แต่สิ่งที่แตกต่างออกไปคือ พวกเขาแข็งแกร่งกว่าไคซินมากนัก!”
อวี้หานเอ่ยตอบ
เย่หยวนพยักหน้าและกล่าวว่า
“เป็นเช่นนี้นี่เอง ทรัพยากรของเมืองจักรวรรดิหาใช่สิ่งที่เมืองหลวงสามารถเทียบเคียงได้”
แม้ว่าไคซินจะดูน่าเกรงขามยิ่งในเมืองหลวง แต่หากวางเขาอยู่ในเมืองจักรพรรดิ กลับไม่ควรค่าแม้กระทั่งเหลียวมองด้วยซ้ำ
ตอนนี้มีอัจฉริยะหนุ่มสาวอยู่ประมาณหนึ่งถึงสองร้อยคนเห็นจะได้ พวกเขาเหล่านี้มิได้อ่อนด้อยไปกว่าไคซินเลย
“โอ้? นี่หาใช่ท่านปรมาจารย์บรรพกาลราตรีหรอกรึ? หุหุ เป็นทั้งอัจฉริยะด้านโอสถและการต่อสู้ วิหคเพลิงอสูรคนนี้พบพานบุคคลสำคัญ จำต้องเข้าทักทายตามสมควร!”
ตอนที่ 1514 นิกายบัลลังก์ม่วง
โดย
Ink Stone_Fantasy
โม่หานตรงเข้ามาปิดกั้นเส้นทางของทั้งสามโดยตรง เขามาเคียงคู่กับเด็กหนุ่มคนหนึ่งผู้มีแววตาใสบริสุทธิ์และดูสำรวมละเอียดอ่อนยิ่ง
เย่หยวนปรับขนาดสายตาจับจ้องวิหคเพลิงอสูรตนนี้ครู่หนึ่ง ก่อนจะพบว่าสายตาอันลึกลับของชายหนุ่มคนนี้นิ่งสงบไร้ระลอกคลื่นอารมณ์ใด เห็นได้ชัดว่าหาใช่คนที่จะต่อกรด้วยโดยง่าย
อวี้หานขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนเอ่ยเสียงชืดชาขึ้นว่า
“โม่หาน นี่เจ้าหมายความอย่างไร?”
ดวงตาคู่นั้นของโม่หานหรี่แคบลงเล็กน้อย เขากล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มว่า
“ไม่มีอันใดทั้งนั้น สำหรับท่านปรมาจารย์บรรพกาลราตรีแล้ว ข้ามีเรื่องที่ต้องตอบแทนเสียเล็กน้อย เจ้าไม่คิดเช่นนั้นรึ?”
สำหรับเย่หยวนคนนี้ โมหานรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง
เพราะปัจจุบัน เขากลายมาเป็นตัวตลกประจำโถงโลหิตปรโลกไปเสียแล้ว
ก่อนหน้านี้เขาเองยังถูกประมุขโถงคนอื่นล้อเลียนไม่หยุดปาก
อย่างไรก็ตาม ถึงเขาจะถูกล้อเลียนน่าอับอายเพียงใด แต่เขาก็ไม่สามารถทำอะไรเย่หยวนได้เลย
โม่หานหาใช่คนโง่ไม่ เขาทราบดีว่าเย่หยวนคนนี้ได้รับการสนับสนุนดูแลจากโถงโลหิตปรโลกสาขาใหญ่แน่นอน
ท้ายที่สุดแล้ว อัจฉริยะด้านหลอมกลั่นโอสถที่สามารถสร้างปรากฏการณ์ทำนองแห่งยอดเต๋าขึ้นได้ก็หายากเกินเสาะหาได้แล้วในชั่วชีวิตนี้
แต่ก่อนหน้านี้เองเขาต้องหักหน้าหรือเอาชนะเย่หยวนอะไรได้บ้าง มิฉะนั้นคงยากที่จะปัดเป่าความเกลียดชังภายในใจนี้ลงไป
ข่าวเรื่องดาราสวรรค์ที่เดินทางมาหาเย่หยวน มีเพียงอวี้หานคนเดียวเท่านั้นที่รู้
ตอนนี้ดาราสวรรค์ปลอมแปลงใบหน้าตัวเองและซ่อนรัศมีกลิ่นอายของตนเอาไว้อย่างมิดชิด ยืนอยู่ด้านหลังของอวี้หานราวกับคนรับใช้แก่ชราคนหนึ่ง กระทั่งโม่หานเองยังจำอีกฝ่ายไม่ได้แม้แต่น้อย
เย่หยวนเหลือบมองโม่หานเล็กน้อยและกล่าวเสียงเย็นชืดดังขึ้นว่า
“ไม่ว่าจะเป็นกลเม็ดเล่ห์เหลี่ยมอันใด อย่าได้ลังเลที่จะหยิบใช้!”
แต่โม่หานพลันแสยะยิ้มกล่าวว่า
“เหอะ ยังหยิ่งผยองไม่เปลี่ยน! สิ่งที่จำเป็นชิงดีชิงเด่นภายในซากโบราณสถานแห่งนี้หาใช่เรื่องหลอมกลั่นโอสถ แต่เป็นวรยุทธต่อสู้! เจ้าคิดว่าการเอาชนะไคซินได้จะทำให้ตนไร้เทียมทานภายใต้สวรรค์แห่งนี้กระมัง? แม้เจ้าจะเป็นอัจฉริยะ แต่ภายใต้ซากโบราณสถานแห่งนี้ เจ้าก็อย่าสำคัญตัวผิดไป!”
คำกล่าวเหล่านี้นับเป็นการคุกคามเย่หยวนอย่างชัดแจ้ง
“หึ! ประมุขโถงโม่หานช่างน่าประทับใจเสียจริง! เจ้าหาญกล้าแม้กระทั่งคิดวางแผนต่อต้านคนของสาขาใหญ่กระมัง?”
สุ้มเสียงเย็นชืดเอ่ยดังสนั่นจากเบื้องหลังอวี้หาน
โม่หานที่ได้ยินเช่นนั้นพลันขมวดคิ้วแน่นทันที ขณะที่กำลังจะตะหวาดกลับด้วยความโมโหจัด ทันใดนั้นเขาก็เห็นเปลวไฟสีครามอ่อนวิ่งเต้นปรากฏอยู่บนปลายนิ้วของคนรับใช้ชราด้านหลังอวี้หาน
รูม่านตาดำของโม่หานหดลงเท่ารูเข็มในทันใด เขาในยามนี้ตกใจสุดขีด!
เปลวไฟสีครามอ่อนนี้หาใช่ใดอื่น มันมีชื่อว่า เพลิงครามสวรรค์ ซึ่งเป็นไฟศักดิ์สิทธิ์ประจำตัวของผู้อาวุโสดาราสวรรค์แห่งเมืองจักรพรรดิ!
นี่ยังต้องกล่าวอธิบายอันใดให้มากความอีก!
ปรากฏว่าคนรับใช้ชราคนนี้กลับเป็นผู้อาวุโสดาราสวรรค์ที่ปลอมตัวมา!
บุคคลระดับชั้นเช่นนี้ถึงกับเดินทางมาด้วยตนเอง!!
โม่หานยามนี้หน้าถอดสีเหงื่อตกในทันใด ขณะที่กำลังจะโค้งคำนับ ดาราสวรรค์ก็ส่งเสียงเอ่ยขึ้นขัดก่อนว่า
“รู้แล้วก็จงเงียบไว้! การเดินทางมาครั้งนี้ของเราชายชราถือเป็นความลับ หากเจ้ากล้าเรียกชื่อข้า เศษเสี้ยวชีวิตน้อยๆของเจ้าอาจสูญสลายในพริบตา! นอกจากนี้เจ้าควรเตือนคนที่เจ้าพามาด้วย หากพวกเขากล้าแตะต้องบรรพกาลราตรี เจ้าคงรู้ถึงผลที่ตามมา!”
โม่หานเหงื่อแตกพลั่กไม่หยุด ยามนี้ตกใจจนวิญญาณแทบหลุดจากร่าง
ตอนแรกเขาคิดว่า ตนหวังจะใช้โอกาสนี้สั่งสอนเย่หยวนให้เข็ดหลาบซะบ้าง แต่ไปเลยจะคาดฝันว่าผลกรรมจะติดทะยานเร็วปานนี้ ถึงขั้นที่ว่าผู้อาวุโสดาราสวรรค์เดินทางมาด้วยตัวเอง!
“ฮ่าๆ น้องสาวอวี้หานของเรามาแล้ว! คำนับท่านปรมาจารย์บรรพกาลราตรี!”
“น้องสาวอวี้หานของเรา คราวนี้เจ้ามาช้า!”
“น้องอวี้หาน ท่านปรมาจารย์บรรพกาลราตรี พวกเราเหล่าประมุขโถงใหญ่ต่างต้องขอบคุณจริงๆ!”
…
ในเวลานี้เองมีคำจำนวนไม่น้อยเพิ่งสังเกตเห็นอวี้หาน พวกเขาเหล่าประมุขโถงจึงเร่งตรงเข้ามาทักทายทันที
เมื่ออโม่หานเห็นฉากนี้ก็ราวกับตนหลุดจากบ่วงกรรมออกมาทันที ก่อนจะก้าวถอยออกไปอย่างสงบสำรวมยิ่ง จนตอนนี้เขาหรือจะกล้ากล่าวอันใดอีก?
แม้เรื่องที่เย่หยวนสร้างปรากฏการณ์ทำนองแห่งยอดเต๋าจะเป็นความลับต่อโลกภายนอก มีเพียงบุคคลระดับสูงของโถงโลหิตปรโลกเท่านั้นที่ทราบ แต่เรื่องที่เย่หยวนเปิดการบรรยายให้เหล่านักปรุงโอสถระดับสูงฟังกลับหาใช่ความลับไม่
เหล่าประมุขโถงเหล่านี้มีเหตุผลชัดเจนที่เข้ามาท้าทายประจบเช่นนี้
ยกเว้นเสียแล้วว่า เหล่าอัจฉริยะหนุ่มสาวที่พวกเขาพามาโดยส่วนใหญ่ ล้วนปลีกวิเวกเก็บตัวอยู่คนเดียวมาโดยตลอด
พอเห็นว่าบุคคลระดับชั้นจ้าวทัพปีศาจสุภาพกับแม่ทัพปีศาจขนาดนี้ พวกเขาก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก
“เด็กคนนั้นคือใคร? ระดับพลังของเขาอ่อนด้อยยิ่ง แต่ปรากฏว่าคนสำคัญมากมายกลับยังต้องให้ความเคารพเขา?”
“มากกว่าให้ความเคารพเสียอีก ไฉนข้าถึงรู้สึกว่า…เหล่าท่านประมุขโถงใหญ่กำลังประจบเขา?!”
“หรือเป็นไปได้ไหมว่า…ความแข็งแกร่งของเจ้าเด็กนี่จะเหนือชั้นกว่าพวกเราแล้ว? นี่…นี่เป็นไปไม่ได้?”
“บัดซบ! พวกเจ้าเคยรู้อะไรกันบ้าง? เด็กคนนั้นเป็นนักปรุงโอสถปีศาจแห่งยุค! ฟังว่าฝีมือการหลอมกลั่นโอสถของเขาแกร่งกล้าอย่างมาก! ครั้นล่าสุดในเมืองหลวงคาโปน เขาจัดการบรรยายเรื่องเต๋าแห่งโอสถให้แก่เหล่าประมุขโถงโอสถปีศาจจากเมืองหลวงต่างๆฟังนับพันหมื่น!”
“อะไรนะ?! นักปรุงโอสถปีศาจระดับสองสั่งสอนเหล่าท่านประมุขโถงโอสถปีศาจ? นี่…นี่ไม่น่าแปลกใจเลยที่ท่านประมุขโถงใหญ่จึงสุภาพกับเขาขนาดนี้!”
…
เหล่าอัจฉริยะทั้งหลายรวมตัวเข้าจับกลุ่มสนทนากันและเรื่องซุบซิบคุยเรื่องเย่หยวนกัน
ในไม่ช้าพอพวกเขาทราบ‘เรื่องราวความเป็นมา’ของเย่หยวน ทุกคนก็กระจ่างแจ้งในทันใด
แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อได้ฟังว่าเย่หยวนเป็นยอดฝีมือด้านหลอมกลั่นโอสถ พวกเขาก็หมดความสนใจไปในทันที
ถึงจะเป็นยอดฝีมือด้านหลอมกลั่นโอสถ ฝีมือฉกาจเพียงใด แต่เขาจะสร้างภัยคุกคามให้แก่เหล่าอัจฉริยะอย่างพวกเขาได้มากเพียงใด?
สุดท้ายนี้นี่คือการเดินทางเข้าสำรวจซากโบราณสถาน หาใช่ประลองหลอมกลั่นโอสถ!
ในขณะนั้นเอง คลื่นพลังปราณสุดแกร่งกล้าพลันปะทุขึ้น รัศมีกลิ่นอายสุดแสนทรงพลังเข้าครอบงำทั่วทั้งท้องนภา
“ผู้อาวุโสตี้เอ๋อ!”
เหล่าประมุขขโถงใหญ่ต่างโค้งคำนับให้ในทันที
เห็นได้ชัดว่าสถานศักดิ์ของท่านตี้เอ๋อผู้นี้ในโถงโลหิตปรโลกค่อนข้างสูงอย่างมาก
ตี้เอ๋อเหลือบมองดาราสวรรค์เล็กน้อย ก่อนจะปริปากกล่าวขี้นอย่างเมินเฉยว่า
“ถึงเวลาแล้ว ตอนนี้ข้าได้เปิดประตูสู่ซากโบราณสถาน ผู้ที่เข้าไปและสามารถเข้าสำรวจได้มากที่สุดจะได้รับรางวัล! แต่สิ่งของทั้งหมดที่เสาะพบในซากโบราณสถานจักต้องเป็นของโถงโลหิตปรโลก! ใครก็ตามที่กล้าล้วงกระเป๋าเก็บเป็นการส่วนตัว มันผู้นั้นนับเป็นศัตรูกับโถงโลหิตปรโลก!”
เมื่อเอ่ยกล่าวถึงประโยคหลัง ทันใดนั้นพลันมีคลื่นจิตสังหารขุมหนึ่งปะทุขึ้นจากร่างตี้เอ๋อ ทำให้ทุกคนขนลุกซู่วสะท้านขึ้นหนังหัวในทันใด
เย่หยวนรู้สึกประหลาดใจเช่นกันเมื่อได้ฟังเช่นนั้น การที่จะควบคุมคนเหล่านี้ให้ทำตามข้อกำหนดได้ แสดงว่ารางวัลที่ว่าคงมีมูลค่ามหาศาลพอสมควร!
ตี้เอ๋อยกมือขึ้นพร้อมโบกปัดเสียเล็กน้อย ทันใดนั้นผนึกมณีสีขาวขุ่นนับพันก้อนก็ลอยออกมากลางอากาศ
เขาสร้างตราประทับขึ้นบนมือ ทันใดนั้นผลึกมณีสีขาวนับพันก้อนก็เปล่งแสงจรัสจ้า ก่อนพุ่งตรงไปที่ประตูซากโบราณสถานทันที
“นั้นมันผลึกปราณปีศาจระดับกลาง! ผลึกปราณปีศาจนับพันก้อน! โถงโลหิตปรโลกครั้งนี้นับว่านำจ่ายฟุ่มเฟือยนัก!”
“ดูเหมือนว่าซากโบราณสถานนี้จะไม่ธรรมดาจริงๆ!”
“ไม่น่าแปลกใจเลยที่โถงโลหิตปรโลกควักเนื้อจ่ายราคามหาศาลขนาดนี้เพื่อให้เราเดินทางมา ปรากฏว่าภายในซากโบราณสถานกลับต้องมีสมบัติล้ำค่ามากมาย!”
…
ผลึกมณีสีขาวนับพันก้อนเหล่านั้นคือ ผลึกปราณที่ระดับสูงกว่าผลึกปราณระดับต่ำ หรือก็คือผลึกปราณปีศาจระดับกลางนั้นเอง!
ผลึกปราณปีศาจระดับกลางหนึ่งก้อนมีค่าเทียบกับผลึกปราณปีศาจระดับต่ำหนึ่งหมื่นก้อน สิ่งนี้คือค่าเงินที่ชนชั้นจ้าวปีศาจขึ้นไปใช้จ่ายกัน
ในเมืองหลวงนับเป็นของหายากมาก การที่ผลึกปราณปีศาจระดับกลางจะปรากฏขึ้นมาให้เห็นสักครั้งนับว่านานครั้ง
เพียงเปิดตัว ตี้เอ๋อก็นำจ่ายผลึกปราณปีศาจระดับกลางนับพันชิ้น นี่นับว่าฟุ่มเฟือยเป็นอย่างยิ่ง
ตึงงง!
ประตูหินยักษ์เบื้องหน้าทุกคนเปิดขึ้น เผยให้เห็นถึงภายในที่เป็นถ้ำสีดำสนิท
“น้องชายบรรพกาลราตรี หลังจากเข้าไปแล้วเจ้าต้องระมัดระวังให้มาก หากเจ้าเห็นว่าฝืนเกินมือตนเอง จงเร่งถอยออกมาโดยตรง สิ่งหนึ่งที่ควรทราบคือ ชีวิตของเจ้ามีค่าเสียยิ่งกว่าสมบัติในซากโบราณสถานแห่งนี้มาก!”
ดาราสวรรค์กระซิบให้เย่หยวนฟัง
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“พี่ชายโปรดมั่นใจ ข้าไม่เคยเห็นว่าชีวิตตนเองเป็นเรื่องตลก”
“ทุกคนเข้าไปได้แล้ว! หลังจากเข้าไปคงทราบดีว่าพวกเจ้าควรปฏิบัติตัวอย่างไรต่อไป”
ตี้เอ๋อเอ่ยกล่าวขึ้นอย่างใจเย็น
เมื่อเหล่าอัจฉริยะได้ยินดังนั้น ก็ปรี่ตัวปราดพุ่งเข้าไปทันทีประดุจธารน้ำ และหายตัวเข้าไปภายในถ้ำ
เย่หยวนรู้สึกเพียงเบื้องหน้ากลายเป็นภาพฉากแสนพร่ามัว ก่อนจะถูกส่งออกไปสักที่หนึ่งโดยตรง
เมื่อเขาปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง เย่หยวนก็ได้มาถึงห้องโถงขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง
เขาปรากฏตัวขึ้นบนแท่นวงแหวน
กวาดสายตาช้อนมองดูก็พบว่า แท้จริงแล้วโดยรอบโถงแห่งนั้นมีแท่นวงแหวนทั้งหมดสิบสองจุด
เช่นเดียวกันกับเย่หยวน อีกสิบเอ็ดคนที่เหลือยืนอยู่บนวงแหวนเช่นกันพร้อมความตกใจ
“ยินดีต้อนรับสู้ดินแดนมรดกแห่งนิกายบัลลังก์ม่วง!”
สุ้มเสียงกึกก้องเอ่ยดังขึ้นจากในโถง
ตอนที่ 1515 ลูกพลัมอ่อนจำต้องอ่อนจริงๆ
โดย
Ink Stone_Fantasy
“นิกายบัลลังก์ม่วง? คืออะไรกัน?”
“ไม่เห็นเคยได้ยินมาก่อน! มหาพิภพถงเทียนแห่งนี้มีนิกายชื่อนี้ด้วยงั้นรึ?”
“ซากโบราณสถานแห่งนี้แปลกจริงๆ!”
…………….
บนมหาพิภพแห่งนี้ไม่เคยมีกลุ่มอำนาจใดเป็นนิกายมาก่อนเลย
กลุ่มอำนาจทั้งหมดล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมของเมืองนั้นๆ ซึ่ง ณ จุดนี้จะมีความแตกต่างอย่างชัดเจน
ทันทีที่ชื่อนิกายบัลลังก์ม่วงปรากฏมา กลุ่มอัจฉริยะเหล่านี้ต่างก็ประหลาดใจอย่างมาก
แต่สุ้มเสียงกึกก้องนั้นหาได้สนใจว่าผู้คนโดยรอบจะคิดเห็นอย่างไร มันกล่าวต่อขึ้นเองว่า
“แท่นวงแหวนทั้งสิบสองคือลานประลองยุทธ์ แต่ละคนจะมีโอกาสขึ้นท้าทายกันเพื่อเฟ้นหาผู้ชนะ ผู้แพ้จักต้องถูกกำจัด ตอนนี้สามารถเลือกคู่ต่อสู้ได้อย่างอิสระ ในตอนท้าย สิบสองคนที่เหลืออยู่จะได้รับรางวัลมากมายจากนิกายบัลลังก์ม่วง”
ในขณะที่สุ้มเสียงจางหายไป ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในโถงอีกครั้ง
วูบ! วูบ! วูบ!
เหล่านักสู้หลายคนมีปฏิกิริยาตอบสนองแสนรวดเร็ว ทุกคนต่างวิ่งตรงทะยานไปหาวงแหวนที่เย่หยวนยืนอยู่ทันที
ปัง!
เมื่อจำนวนผู้คนในวงแหวนของเย่หยวนมีมากถึงยี่สิบสี่คน เหล่านักสู้ที่ติดสอยอยู่ท้ายหลังที่ตรงเข้ามาก็ราวกับวิ่งชนกำแพงที่มองไม่เห็นโดยตรง พวกเขาเหล่านั้นมิสามารถเข้าไปได้มากกว่านี้แล้ว
“โอ๊ย!”
เสียงร้องชวนเวทนาดังขึ้นเล็กน้อย
เมื่อพบเห็นภาพฉากนี้ คนอื่นๆต่างอดเสียใจเจือโกรธเกรี้ยวมิได้
เห็นได้ชัดว่าบนวงแหวนของเย่หยวนคนเต็มแล้ว และสายเกินไปที่จะขึ้นท้าทาย
ทุกคนล้วนเห็นเป็นประจักษ์ว่า เย่หยวนเปรียบเสมือนลูกพลัมอ่อนเพียงลูกเดียวในบรรดาสิบสองวงแหวนทั้งหมด ซึ่งง่ายต่อการจัดการที่สุดแล้ว
ในขณะที่อีกสิบเอ็ดวงแหวนที่เหลือ ล้วนแต่เป็นจอมทัพปีศาจครึ่งขั้นเป็นอย่างต่ำ
หากต้องการคว้าชัยกลับไป จำต้องใช้ความพยายามมิใช่น้อย
“เฮ้ออ ไอ้พวกหลานเต่ามันรู้จักวิธีใช้ประโยชน์จริงๆ ในพริบตาเดียวพวกมันก็เข้าเต็มในวงแหวนแล้ว!”
“ลูกพลัมอ่อนน่าเด็ดกินเช่นนี้ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่มีโอกาสแล้ว!”
“ดูเหมือนว่าวงแหวนนี้จะง่ายที่สุดแล้ว!”
“อะไรก็ได้ขอเพียงไม่ต้องเจอกับหกบุตรแห่งกล้วยไม้อริยะเป็นพอ! ไม่เช่นนั้น…ตายแน่!”
…
ด้านล่างลานประลองวงแหวนมีเสียงสนทนาเอ่ยดังเจื้อยแจ้ว เป็นที่ชัดเจนว่าพวกเขาค่อนข้างไม่พอใจนักกับสถานการณ์ในปัจจุบัน
ในขณะเดียวกัน หกบุตรแห่งกล้วยไม้อริยะเองต่างก็เลือกวงแหวนที่ต้องการ และค่อยๆย่างก้าวขึ้นไป
เมื่อทุกคนพบเห็นภาพฉากนี้ แต่ละคนต่างสั่นเทาด้วยความยำเกรง
ในบรรดาทั้งหมดมีระดับชั้นจอมทัพปีศาจเต็มขั้นทั้งหมดแปดคน
ทั้งแปดล้วนเข้าใจกันโดยปริยาย จึงแยกกันไปในแปดวงแหวน
ดังนั้นแล้วอีกสามวงแหวนที่เหลือจึงเป็นที่นิยมต่างแย่งกันเข้าไปกันเป็นอย่างมาก
ยามนี้เห็นเพียงธารฝูงชนที่หลั่งไหลเข้าไปยังสามวงแหวนที่เหลือ แย่งกันพุ่งข้าไป
ปัง! ปัง! ปัง!
คนที่เหลือแทบระเบิดเผากระท่อม สู้กันเพื่อแย่งชิงที่นั่งในวงแหวนทั้งสามแห่งนี้
ชั่วขณะนั้นเอง พลังปราณปีศาจปะทุเดือดพัลวันไม่หยุดหย่อน จนทั่วสารทิศห้องโถงสั่นสะเทือนรุนแรง
ในไม่ช้า ท่ามกลางเสียงกรีดร้องที่แผดดัง วงแหวนทั้งสามก็เต็มในท้ายที่สุด
คนที่เหลือต่างร้องคร่ำครวญอย่างแสนเวทนานัก
บางคนเริ่มลังเลที่จะขึ้นไปยังลานประลองวงแหวนที่เหลือ
“อ๊ากก!”
ทันทีทันใดนั้นเอง เสียงกรีดร้องระทมก็แผดดังขึ้น ชั่วพริบตาต่อมา พลันปรากฏเปลวไฟสีดำแผดเผาร่างของเหล่าอัจฉริยะที่ยังมิได้เข้าวงแหวนไป
เพียงพริบตาเดียว เขาผู้นั้นก็ถูกแผดเผาจนเหลือแค่เพียงความว่างเปล่า!
“นี่พวกเราติดพันธสัญญาเลือดโดยไม่รู้ตัว! เรา…เราต้องรีบขึ้นวงแหวนแล้ว!”
“แล้วจะเอาอะไรไปสู้? หกบุตรแห่งกล้วยไม้อริยะหาใช่สิ่งที่เราจะสามารถต่อกรได้เลย!”
“ลืมๆมันไปซะจะเลือกตายอยู่ตรงนี้หรือลองสู้ดู?”
…
การที่พวกเขาลังเลไม่กล้าคิดลานประลองวงแหวนเช่นนี้ มันเทียบเท่ากับว่าละเมิดสัญญาเลือด
เมื่อละเมิดสัญญาเลือดเท่ากับมีโทษ ซึ่งนั้นหมายถึงความตายอย่างเลี่ยงมิได้
ดังนั้นแล้วทุกคนจึงไม่มีทางเลือก พร้อมตรงไปยังวงแหวนที่ยังเหลือทันที
หลังจากที่ทุกคนเลือกเสร็จสิ้น สุ้มเสียงโบราณก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง
“ในแต่ละลานประลองวงแหวนจะเป็นการสัประยุทธ์แบบหนึ่งต่อหนึ่ง ผู้ท้าทายขึ้นประลองตามลำดับความเหมาะสม ผู้ชนะคนสุดท้ายจะได้รับสิทธิ์เข้าสู่รอบต่อไป การประลองเริ่มขึ้นได้”
“ฮ่าๆๆๆ ทุกคน เจ้าเด็กนี่ ข้าปู่เจ้อขอขึ้นท้าทายก่อน!”
เขาคนนี้ชิงเสี้ยวโอกาสเร่งขึ้นไปก่อนทันทีเป็นคนแรก พลางระเบิดหัวเราะเอ่ยดัง เห็นได้ชัดว่าเขาค่อนข้างพอใจมิน้อยกับการขึ้นท้าทายเป็นลำดับแรก
เมื่อคนอื่นๆเห็นดังนั้นก็อดกัดฟันเกลียดชังมิได้
“ปฏิกิริยาของเจ้านั้นไวนัก เขาคิดคว้าโอกาสนี้ไปก่อน!”
“หึ! คิดว่าจะจบลงโดยง่าย? ยังไม่แน่หรอกว่าใครที่จะได้หัวเราะในตอนจบ!”
“ช่างน่ารังเกียจนัก มัวเมากับความสำเร็จ!”
…
เมื่อเผชิญหน้ากับเสียงตะโกนดังด่าจากทุกคนที่ไม่พอใจ ปู่เจ้อก็ดูท่าจะมิได้สนใจแม้แต่น้อย กวาดสายตามองไปที่เย่หยวน เขาเอ่ยกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มว่า
“ท่านปรมาจารย์บรรพกาลราตรีผู้นั้นใช่หรือไม่? นี่หาใช่ห้องหลอมกลั่นโอสถ ไฉนท่านถึงต้องมาที่นี่ หรือเพื่อเสาะหาความตื่นเต้นระทึกใจกัน? แต่ในเมื่อท่านมาแล้ว ก็นับเป็นการมอบของขวัญชิ้นใหญ่แก่ข้าผู้นี้ ฮ่าๆๆ ข้าขอรับด้วยความเต็มใจ!”
เย่หยวนช้อนสายตามองอีกฝ่ายประหนึ่งกำลังมองคนโง่ และเอ่ยกล่าวน้ำเสียงเย็นชาขึ้นว่า
“ดูเหมือนพวกเจ้าทุกคนคงปฏิบัติราวกับข้าเป็นลูกพลัมอ่อน ต้องการบีบคั้นรังแกข้ากระมัง?”
ปู่เจ้อระเบิดหัวเราะกล่าวว่า
“ก็หาใช่เช่นนั้นรึ? ลูกพลัมอ่อนย่อมตระหนักเรื่องตนเองดีที่สุด”
มุมปากเย่หยวนกระตุกเชิดขึ้นเล็กน้อย พลางหัวเราะเยาะกล่าวเย้ยขึ้นว่า
“สิ่งที่เจ้ากล่าวมาล้วนถูกต้อง ลูกพลัมอ่อนย่อมตระหนักเรื่องตนเองดีที่สุด!”
“ฮ่าๆ เช่นนั้นคงทราบในอีกไม่ช้า…”
ปู่เจ้อยังไม่ทันกล่าวจบดี จู่ๆสุ้มเสียงของเขาก็ขาดช่วงไปทันใดพร้อมถูกซัดกระเด็นร่วงไปจากวงแหวน
“ก็กล่าวไปแล้วว่าการประลองเริ่มขึ้นแล้ว แต่เจ้านี่ยังมีอารมณ์หัวเราะสบายใจ”
เย่หยวนส่ายหัวเล็กน้อยพลางถอนหายใจเสียงยาว
“ฮ่าๆๆๆ”
คลื่นเสียงหัวเราะดังกึกก้องเข้ามา เมื่ออีกยี่สิบสามคนที่เหลือเห็นภาพฉากนี้ พวกเขาก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาทันที
ขึ้นลานประลองแล้วแท้ๆแต่ยังทำตัวประมาทจนถูกกำจัดโดยตรง
ปู่เจ้อคลานขึ้นมาพร้อมใบหน้าแดงก่ำ พลางชี้นิ้วไปที่เย่หยวนคำรามด่าขึ้นว่า
“ไอ้เด็กเหลือขอที่น่ารังเกียจนัก! แอบลอบโจมตีข้า! หากเจ้ามีความสามารถก็จงต่อสู้อย่างเปิดเผย!”
เย่หยวนกวาดสายตาเหลียวมองอีกฝ่ายอย่างไม่ไยดีพลางเอ่ยสบถขึ้นว่า
“ไอ้โง่!”
“เจ้านี่มันโง่จริงๆ!”
เย่หยวนแสยะยิ้มเล็กน้อย
“ฮ่าๆๆๆ”
เสียงหัวเราะเยาะคำรามลั่นอีกระลอกหนึ่ง
ปู้เจ้อเดือดจัดแทบระเบิดลง เขาคำรามใส่เย่หยวนด้วยความเกรี้ยวโกรธลั่นว่า
“สารเลว! ข้าขอสู้กับเจ้าใหม่อีกครั้ง!”
ทันทีที่กล่าวจบ มันก็พยายามกระโจนขึ้นมาบนวงแหวนอีกครั้ง
ปัง!
ร่างของปู้เจ้อคล้ายวิ่งชนกำแพงหนา จนกระเด็นถอยออกไปไกล
เห็นได้ชัดว่าวงแหวนแห่งนี้ไม่ให้โอกาสที่สองแก่มัน
“ต่อไป!”
เย่หยวนเอ่ยกล่าวขึ้นอย่างไม่แยแส
อัจฉริยะหนุ่มคนที่สองก้าวย่างขึ้นมาบนลานประลอง พร้อมจับจ้องเย่หยวนอย่างเห็นอกเห็นใจ ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า
“ข้าไม่มีทางเหมือน…”
บูมมม!
เขากำลังจะกล่าวว่า เขาไม่มีทางเหมือนปู่เจ้อที่ประมาทโง่ๆแบบนั้นแน่นอน!
ทว่าท้ายที่สุดนี้กลับตามรอยกันไป ร่างของเขาถูกซัดกระเด็นออกไปก่อนจะกล่าวจบเสียอีก
ยามนี้ทุกสายตาที่จับจ้องเขาพลันจริงจังขึ้นทันตา ในที่สุดพวกเขาก็ค้นพบแล้วว่า มีบางอย่างไม่ถูกต้อง
‘ลูกพลัมอ่อนที่ว่า’ตอนนี้ดูท่าจะค่อนข้างแข็งไม่น้อย!
กระบวนโจมตีก่อนหน้านี้ของเย่หยวนรวดเร็วไม่น่าเชื่อ กล่าวตามตรงพวกเขาไม่เห็นการเคลื่อนไหวของเย่หยวนด้วยซ้ำ
ทั้งสองที่พ่ายลงเมื่อครู่ปรากฏว่ามิได้เกี่ยวข้องกับที่เย่หยวนลอบโจมตีแต่อย่างใด
ทว่าพวกเขากลับไม่สามารถตอบสนองการโจมตีของเย่หยวนได้ทัน!
เหล่าผู้ที่มา ณ ที่แห่งนี้ได้ล้วนมีแต่เหล่าอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะทั้งสิ้น
ครั้งแรกยังสามารถกล่าวได้ว่าบังเอิญ แต่เกิดขึ้นซ้ำสอง…กลับหาใช่เรื่องบังเอิญอีกต่อไป
“ต่อไป!”
ในยามนี้สุ้มเสียงเย่หยวนที่เอ่ยดังออกมาราวกับเสียงเรียกแห่งความตายเปล่งดังผ่านแก้วหูของพวกเขา
…………………………………………………..
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น