Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1507-1509
ตอนที่ 1507 ไม่มีทาง!
โดย
Ink Stone_Fantasy
“น้องอวี้หาน เจ้าเป็นถึงจ้าวทัพปีศาจผู้สูงส่งแสนสง่างาม ทั้งยังเป็นประมุขโถงโลหิตปรโลกอีก แต่นักปรุงโอสถปีศาจสองดาวตัวจ๋อย เจ้ากลับปราบยศมิได้หรอกรึ?”
เบื้องหน้าของอวี้หาน ณ ขณะนี้ปรากฏเป็นชายในชุดคลุมสีดำ สีหน้ายามนี้ของเขาค่อนข้างทมึนมืดมนนัก เห็นได้ชัดว่าหาได้มีความสุขอย่างใด
อวี้หานเห็นว่าอีกฝ่ายหงุดหงิด แต่นางกลับยิ้มหวานกล่าวว่า
“พี่ใหญ่โม่หาน กล่าวถูกต้องแล้ว! รอจนกว่าจะเดินทางไปสู่ซากโบราณสถาน ท่านสามารถจัดการเขาได้ตามต้องการ แต่ตอนนี้ข้ามิอาจกำราบเขาได้จริงๆ! ท่านอย่าคิดตั้งคำถามนี้เลย เด็กคนนั้นฉลาดเป็นกรดและหาใช่เรื่องง่ายที่จะคลุกคลี สิ่งใดที่เขาไม่เต็มใจแม้ท่านจะหักขาเขาไปข้าง แต่เขาก็ไม่ยอมถอยกลับง่ายๆเช่นกัน!”
โม่หานคนนี้เป็นประมุขโถงโลหิตปรโลกสาขาเมืองหลวงมรกตทมิฬ
คงเซียวทำได้เพียงรายงานเรื่องนี้กลับไปผ่านช่องทางลับอย่างจนปัญญา
โม่หานมองว่าเรื่องนี้ค่อนข้างเป็นปัญหาใหญ่ ดังนั้นเขาจึงรีบเดินทางออกจากเมืองหลวงมรกตทมิฬทันที
เขาทราบดีว่าเมืองหลวงมรกตทมิฬในขณะนี้กลายเป็นตัวตลกในสายตาคนอื่นไปแล้ว ซึ่งสิ่งนี้ทำให้เขาโกรธมากจนตบคงเซียวไปหลายครั้ง
หากมองข้ามมิได้พิจารณาถึงทักษะหลอมกลั่นโอสถของเขาที่ค่อนข้างใช้ได้ ปานนี้เขาคงฆ่าคงเซียวทิ้งไปโดยตรงแล้ว
โกรธก็ส่วนโกรธ แต่สิ่งที่ดีที่สุด ณ ตอนนี้คือการแก้ไข
ดังนั้นแล้วเขาจึงเดินทางเข้าพบอวี้หานเป็นการส่วนตัว แต่ใครจะไปรู้ว่าแม้กระทั่งนางเองยังไม่มีปัญญา!
จ้าวทัพปีศาจไม่สามารถกำราบแม่ทัพปีศาจให้อยู่ในอาณัติได้ ใครทราบคงไม่หัวเราะท้องแข็งกันเลยกระมัง?
โม่หานเอ่ยกล่าวน้ำเสียงเย็นชืดดังว่า
“เจ้าไม่มีปัญญาจัดการเขาใช่ไหม? เช่นนั้นข้าจะไปพบเขาเป็นการส่วนตัว! อยากจะเห็นเสียจริงว่ากระดูกมันจะแข็งสักเพียงใด!”
อวี้หานเอ่ยตอบน้ำเสียงเย็นว่า
“หากท่านต้องการจะไปกดดันอีกฝ่าย เกรงว่าอย่าไปเสียดีกว่า! ไม่ว่าเขาจะเห็นด้วยหรือไม่ แต่หากท่านทำให้เขาหงุดหงิดขึ้นมา กระทั่งข้าเองก็ไม่สามารถสะสางปัญหาหลังจากนั้นได้! ท่านเองก็ควรทราบ การเดินทางเข้าสู่ซากโบราณสถานครั้งนี้มันหมายความอย่างไร ข้าไม่ต้องการให้เขาขุ่นเคืองใจจนกระทบกับเรื่องนี้ สิ่งหนึ่งที่ควรทราบเขายังติดพันธสัญญาเลือดกับข้าอยู่!”
สีหน้าการแสดงออกของโม่หานดทมิฬมืดลงเล็กน้อย ขณะกล่าวว่า
“ความหมายของเจ้าคือ จะให้ข้าไปขอร้องมัน?”
อวี้หานยิ้มและกล่าว่า
“ทำไมล่ะ? อย่าคิดว่าสถานะของท่านสูงส่งปานนั้น ท่านยังมิทราบ สถานะปัจจุบันของเขาในหมู่นักปรุงโอสถปีศาจ แม้แต่ท่านยังเทียบเคียงไม่ติด! อย่าว่าแต่นักปรุงโอสถระดับสอง กระทั้งนักปรุงโอสถปีศาจระดับสามนังปฏิบัติต่อเขาด้วยความสุภาพราวกับศิษย์ผู้ภักดีคนหนึ่ง เพียงว่าระดับพลังของเขายังขาดตกไปเสียแค่นั้น เมื่อเขาเติบโตขึ้น ไม่ว่าจะเป็นข้าหรือท่านกลับไม่มีคุณสมบัติมองหน้าเขาด้วยซ้ำ!”
สายตาที่จับจ้องของโม่หานหรี่แคบแฝงนัยจริงจังขึ้นเล็กน้อย มองไปที่อวี้หานด้วยความประหลาดใจ
นี่ไม่ประเมินค่าอีกฝ่ายสูงเกินไปหน่อยรึ?
เขารู้แล้วว่าเย่หยวนคนนี้มีความสามารถที่น่าเกรงขามยิ่ง แต่ความเข้าใจของเขาทั้งหมดล้วนมาจากคำบอกเล่า
โม่หานเดินทางมาหาอวี้หานเป็นการส่วนตัว เนื่องจากเขายังไม่เข้าใจสถานการณ์ในปัจจุบันชัดแจ้งดี
หรือเป็นไปได้ไหมว่า บรรพกาลราตรีคนนั้นจะน่าเกรงขามถึงระดับชั้นที่ว่ากล่าวไปจริงๆ?
“เอาล่ะ ข้าสัญญาจะไม่ยัดเยียดหรือบังคับเขา! ข้าอยากจะเห็นเช่นกันว่ามันเป็นเด็กแบบไหน”
โม่หานกล่าวน้ำเสียงเข้ม
…
“ไม่มีทาง!”
เมื่อเย่หยวนเห็นถึงความจุดประสงค์การมาของโม่หาน เขาก็ทิ้งมวนสามพยางค์นี้งออกมาโดยตรง
สีหน้าการแสดงออกของโม่หานมืดลงทันใด
เจ้าเด็กเหลือขอคนนี้มันไม่หยิ่งผยองเกินไปหน่อยรึ?
เขาเป็นถึงประมุขโถงโลหิตปรโลกผู้สูงศักดิ์ ทั้งยังแกร่งกล้าระดับชั้นจ้าวทัพปีศาจ แต่เด็กคนนี้กลับกล่าวออกมาง่ายๆเช่นนี้ตามตรง?
โม่หานแทบจะเดือดขึ้นทันทีที่ได้ยิน แต่พลางเห็นอวี้หานขยิบตาเชิงว่าให้ใจเย็นลงก่อน
โม่หานเร่งเก็บงำความโกรธลงในใจทันทีและกล่าวว่า
“เรื่องนี้เป็นความผิดของคงเซียวทั้งหมด และข้าเองก็ลงโทษเขาอย่างสาสมแล้ว ทั้งยังปลดเขาออกจากตำแหน่งประมุขโถงโอสถปีศาจ! ท่านปรมาจารย์บรรพกาลรราตรี ท่านเป็นคนจิตใจกว้างขวาง อย่าเสียเวลาก้มใส่ใจคนอย่างเขาเลย”
แม้เขาจะกล่าวด้วยวาจาแสนสุภาพเช่นนั้น แต่การที่จ้าวทัพปีศาจอย่างเขาต้องลดศีรษะให้กับจอมทัพปีศาจตัวน้อยเช่นนี้ นับเป็นความอัปยศอดสูอย่างไม่เคยมีมาก่อนเช่นกัน
หลังจากเสร็จสิ้นเรื่องราวทั้งหมด รวมถึงเรื่องซากโบราณสถาน เขาจะหาโอกาสจัดการเจ้าตัวน้อยนี้แน่นอน
ต่อหน้าสายตาอันเฉียบคมของเย่หยวน เขาจะไม่ทราบได้อย่างไรว่าคำกล่าวอีกฝ่ายมันก็แค่ลมปากไร้ซึ่งความจริงใจ?
เขาเอ่ยตอบอย่างเฉยเมยว่า
“ข้ามีหลักการของข้า ในเมื่อข้ากล่าวแล้วว่าเมืองหลวงมรกตทมิฬขึ้นบัญชีดำ ก็คำไหนคำนั้น ต่อให้ใครมาขอร้องอ้อนวอนก็เปล่าประโยชน์เช่นกัน!”
“เจ้า!”
โม่หานมิอาจระงับความโกรธได้ไหวแล้ว ไอ้เด็กเหลือขอคนนี้มันขวางโลกเกินไป!
เขาเป็นถึงจ้าวทัพปีศาจ อุตส่าห์ยอมลดหัวกล่าวขนาดนี้แล้ว แต่เย่หยวนกลับไม่ยอมแพ้แม้กระทั่งจะแยแสไม่!
“เอาล่ะ หากต้องการสิ่งใดอย่างลังเลที่จะกล่าว! ตราบใดที่เราสามารถให้คนของเราเข้าฟังการบรรยายของท่านได้ ข้ายินดีจ่ายแน่นอน!”
โม่หานกล่าว
อวี้หานที่นั่งอยู่ข้างๆพลันเผยสีหน้าประหลาดใจออกมาอย่างอดมิได้ ไฉนถึงฟังดูแปลกพิกล
รู้สึกดั่งว่า…ปัญหากำลังจะมาในไม่ช้า
แต่โม่หานกลับไม่คิดเช่นนั้น ตอนนี้เขากำลังโกรธเกรี้ยวทั้งยังขื่นขมยิ่งภายในใจ แล้วจะไปมีอารมณ์คิดเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร?
อย่างไรก็ตามแต่ เย่หยวนยังคงกล่าวเสียงเย็นตอบไปว่า
“ท่านประมุขโถงใหญ่โม่หาน ข้าคิดว่าท่านคงเข้าใจอะไรผิดแล้ว ต่อให้ท่านมอบตำแหน่งประมุขโถงใหญ่ให้ แต่ข้าก็ไม่สนใจเช่นกัน โปรดกลับไปเถิด”
ในท้ายที่สุดนี้ โม่หานก็อดทนอดกลั้นระงับความโกรธไม่ไหว พร้อมระเบิดออกมาทันที
“เจ้า! ไอ้เด็กเหลือขอ! เจ้าคิดจริงๆหรือว่าข้าผู้นี้ไม่กล้าทำอะไรเจ้า!?”
ในขณะที่เอ่ยกล่าว แรงกดดันอันทรงพลังพลันแผ่ออกมาจากร่างของโม่หานพร้อมปราดพุ่งใส่เย่หยวนโดยตรง
อวี้หานเองก็เตรียมตัวมาพักใหญ่แล้ว นางเร่งปลดปล่อยแรงกดดันออกมาทันทีเพื่อสกัดกั้นแรงกดดันของโม่หาน
“พี่ใหญ่โม่หาน อย่าผลักดันจนไกลเกินไป! หากท่านทำตัวเช่นนี้ ข้าเองก็จะไม่เกรงใจแล้วเช่นกัน!”
อวี้หานคำรามเสียงทุ้มต่ำเข้าใส่
โม่หานเอ่ยตอบทันควันว่า
“อวี้หาน คราวนี้ข้าเห็นแก่หน้าเจ้า! ไอ้เด็กเวร อย่าให้หลุดมาอยู่ในมือข้า! มิฉะนั้นเตรียมตัวตายอย่างน่าสยดสยอง!”
สิ่นเสียงกล่าวจบ โม่หานก็พุ่งทะลุห้วงแห่งความว่างเปล่าและอันตรธานหายไปทันที
อวี้อานหันควับจับจ้องไปที่เย่หยวนและเอ่ยกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มแสนขมขื่นอย่างอดมิได้ว่า
“ไฉนเจ้าต้องทำเช่นนี้? มีอะไรในตัวเจ้าที่สามารถต่อกรกับจ้าวทัพปีศาจได้บ้าง?”
แต่เย่หยวนกล่าวตอบอย่างเฉยเมยว่า
“แม้ฟ้าจะถล่มลงมา มิใช่ว่าท่านประมุขโถงใหญ่อวี้หานก็ยังให้การช่วยเหลือ? บางสิ่งกระทำลงไปแล้ว จำต้องรับผลที่ตามมา”
อวี้หานมองเย่หยวนเจือความขุ่นเขืองใจไม่น้อย นางกล่าวว่า
“เจ้านี่มันหัวรั้นจริงๆ!”
…
เป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้ว ยังคงมีนักปรุงโอสถปีศาจเดินทางเข้ามารวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆในเมืองหลวงคาโปน
ในครั้นบางที ตอนนี้เมืองหลวงคาโปก็กลายมาเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเหล่านักปรุงโอสถปีศาจไปแล้ว
จากสถิติล่าสุดของโถงโอสถปีศาจของเมืองหลวงคาโปร มีนักปรุงโอสถปีศาจเข้ามารับฟังการบรรยายของเย่หยวนมากกว่าห้าพันคนแล้ว
นักปรุงโอสถเหล่านั้นล้วนแต่เป็นระดับจอมทัพปีศาจกันทั้งสิ้น
คนอื่นๆหรือแม้แต่จะเป็นนักปรุงโอสถปีศาจของเมืองหลวงคราโปนก็ตาม คนเหล่านี้ไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะฟังเย่หยวนบรรยาย
แน่นอน เหล่านักปรุงโอสถปีศาจทั่วทั้งเมืองหลวงคาโปนล้วนแต่เคยได้ยิน ชื่อเสียงคำเลื่องลือของท่านปรมาจารย์บรรพกาลราตรีกันมาหมดแล้ว
เพียงว่าโชคร้ายเกินไปที่พวกเขามิได้อยู่ในสถานะที่จะเข้ารับฟังได้ จึงไม่มีโอกาสได้เก็บเกี่ยวจันทรามาไว้ข้างกาย
มีหรือที่โถงโอสถปีศาจจะปล่อยให้กลุ่มอิทธิพลอื่นเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์จากแหล่งของตนเอง?
นักปรุงโอสถปีศาจของโถงโอสถปีศาจทุกคนรู้สึกเป็นเกียรตินักที่ได้รับโอกาสดีเช่นนี้
ณ ปัจจุบันมีนักปรุงโอสถมากมานแหแหนกันเข้ามา ราวกับเดินทางมาแสวงบุญที่เมืองหลวงคาโปน
เนื่องจากมีผู้คนจำนวนมากเกินไป โถงโอสถปีศาจจึงไม่สามารถรองรับเหล่านักปรุงโอสถปีศาจได้ทั้งหมด
ดังนั้นแล้วจึงมีกำหนกการในภายหลังว่า มีเพียงประมุขโถงโอสถปีศาจจากเมืองหลวงต่างๆเท่านั้นที่สามารถเข้าไปด้านในเพื่อฟังการบรรยายได้
ในที่สุดวันที่มาบรรยายก็มาถึง
เหล่านักปรุงโอสถปีศาจต่างพูดกันปากต่อปาก และกล่าวขานถึงความแกร่งกล้าของเย่หยวนว่าน่าสะพรึงกลัวเพียงใด
การบรรยายครั้งนี้อาจกล่าวได้ว่ามีผู้คนนับล้าน
ตอนที่ 1508 ทำนองแห่งยอดเต๋า!
โดย
Ink Stone_Fantasy
เพื่อใช้สถานที่ในการจัดงานบรรยายครั้งใหญ่ ลานประลองเลือดถึงขั้นประกาศหยุดพักชั่วคราวเป็นเวลาครึ่งเดือน
แม้การหยุดแบบนี้จะก่อเกิดความสูญเสียจำนวนมาก แต่อินทรีโลหิตก็หาได้สนใจไม่เลย!
ภายในลานประลองเลือดสามารถรองรับผู้คนได้จำนวนกว่าหลายสิบหมื่น
ณ ปัจจุบัน บนลานประลองหลักมีเพียงเย่หยวนยืนตระหง่านอยู่แค่คนเดียว
แต่ร่างนี้กลับทรงอิทธิพลและทรงพลังอย่างยิ่งภายในสายตาของกลุ่มนักปรุงโอสถปีศาจ
นั้นคือการดำรงอยู่ที่พวกเขาเลื่อมใสและสรรเสริญ!
เหล่านักสู้ต่างเคารพในความแข็งแกร่ง
เหล่านักปรุงโอสถปีศาจล้วนเคารพต่ออำนาจ!
พวกเขาล้วนเคารพนับถือเย่หยวนจากก้นบึ้งของหัวใจ!
ภายใต้ทุกสายตาที่จับจ้อง เย่หยวนค่อยๆเอ่ยปากกล่าวขึ้นว่า
“เต๋าแห่งโอสถเป็นสิ่งที่ซับซ้อนไร้ซึ่งระเบียบ ดูราวกับเป็นสรรพสิ่งอย่างสับสนไปหมด แต่ตราบใดที่พวกเจ้าสามารถแยกปลายเส้นด้ายด้านหนึ่งได้ เจ้าย่อมสามารถสาวไปถึงรังอีกฝั่งได้เช่นกัน”
“ศาสตร์แห่งโอสถหาใช่แค่การหลอมกลั่นโอสถเฉยๆและตายตัว หากเข้าใจว่ามันเป็นเพียงศาสตร์หนึ่งที่น่าเบื่อหน่าย เจ้าก็จะกลายเป็นนักหลอมโอสถธรรมดาทั่วไป”
“ศาสตร์แห่งโอสถคือยอดเต๋า! แกนแท้ของโอสถมิได้อยู่ที่ตัวโอสถ”
“….”
สุ่มเสียงเย่หยวนดังกึกก้องทั่วทั้งลานประลองเลือด
นักปรุงโอสถุปีศาจทั้งหมดต่างนิ่งเงียบรับฟังเย่หยวนราวกะบถูกมนต์สะกด
หลังจากที่เย่หยวนเลื่อนระดับชั้นขึ้นเป็นจอมเทพโอสถ ความเข้าใจของเย่หยวนต่อเต๋าโอสถก็ยิ่งลึกซึ้งมากขึ้น
การบรรยายชนิดที่ไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อยในเวลานี้ เสมือนกับการพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องเล็กน้อยภายในบ้าน
แต่นักปรุงโอสถปีศาจแต่ละคนต่างหูพึง วาจาสอนแต่ละคำของเย่หยวนล้วนเป็นดั่งอัญมณีล้ำค่าแห่งยอดเต๋า
การบรรยายครั้งนี้ของเย่หยวนดำเนินต่อเนื่องถึงสิบห้าวันโดยไม่มีหยุดพักใดๆ
สำหรับเซียนอาณาจักรพระเจ้า การมิได้นอนพักสิบห้าวันกลับไม่นับเป็นอันใด แต่การบรรยายถึงศาสตร์แห่งเต๋าเช่นนี้จำต้องใช้พลังงานเป็นอย่างมาก สำหรับคนธรรมดาทั่วไป สามารถยืนพูดได้ห้าวันติดก็นับว่าเก่งมากแล้ว
เย่หยวนที่ยืนบรรยายเป็นเวลาสิบห้าวันรวดเดียวตั้งแต่ต้นจนจบเช่นนี้ แทบไม่มีใครเคยเห็นบนผืนพิภพมาก่อน
เพื่อประโยชน์ต่อการบรรยายครั้งนี้ เย่หยวนได้จัดเตรียมเนื้อหาคำสอนต่างๆที่เขาเรียนรู้มาตั้งแต่ขึ้นกลายจอมเทพโอสถ
ในเวลานี้เอง เขายังคงบรรยายต่อไปอย่างเป็นธรรมชาติและราบรื่นยิ่ง ปราศจากอาการเอื่อยเฉื่อยแม้แต่น้อย
เย่หยวนเริ่มต้นบรรยายตั้งแต่เนื้อหาที่ตื้นเขินไปยังลึกซึ้งมากขึ้นเรื่อยๆ
ในวันแรกที่ทุกคนเริ่มฟังเสมือนกับเป็นการปูพื้นแห่งปัญญา ยังมีหลายจุดนักที่พวกเขายังไม่เคยทำความรู้จักและเข้าใจ ยามนี้เมื่อได้ฟังราวกับรู้แจ้งในคราเดียว
วันที่สองเย่หยวนเริ่มเจาะละเอียดเนื้อหาที่ลึกซึ้งมากขึ้น มีเพียงคนส่วนน้อยที่รู้สึกดั่งว่ามีไอหมอกอยู่ในก้อนเมฆ
วันที่สาม..วันที่สี่..วันที่ห้า…
เนื้อหาที่เย่หยวนกล่าวถึงยิ่งลึกซึ้งมากขึ้นเรื่อยๆ จนแม้แต่นักปรุงโอสถระดับสามเองก็ยังรู้สึกว่า ตนเริ่มที่จะไม่เข้าใจแล้ว
จนท้ายที่สุด ก็ไม่เหลือใครเข้าใจแม้แต่คนเดียว
พวกเขาตระหนักได้ว่า สิ่งที่เย่หยวนกำลังกล่าวถึงนั้นยากมาก แม้พวกเขาจะไม่เข้าใจเลยสักนิด แต่นี่ก็เป็นประสบการณ์หายากที่จะมีโอกาสได้ฟัง
เย่หยวนหยิบใช้วิธีที่ง่ายที่สุดในการอธิบายและแสดงให้เห็นภาพแกนแท้ของศาสตร์แห่งโอสถ
แม้พวกเขาจะดูไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่นี่ก็เป็นประสบการณ์ชนิดหนึ่งที่ชั่วชีวิตนี้พวกเขาอาจหาไม่ได้อีกแล้ว
ในอดีตที่อยู่เบื้องหน้าของพวกเขาคือเมฆหมอกหนาทึบ และไม่สามารถมองเห็นปลายทางที่ชัดเจนได้เลย
แต่ตอนนี้เปรียบเสมือนว่า เย่หยวนช่วยผลักดันเมฆหมอกที่หนาทึบเหล่านี้ออกไป เพื่อให้พวกเขามองเห็นโดยรอบชัดแจ้งยิ่งขึ้น
ซึ่งโอกาสเช่นนี้หาใช่ว่าทุกคนจะได้รับกัน!
อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ไม่รู้เลยว่ากลิ่นอายลึกลับที่พวกเขาไม่สามารถเข้าใจได้นั้นมันคืออะไร
แต่กลิ่นอายลึกลับเหล่านี้กลับเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยเหลือพวกเขาให้พัฒนาขึ้นจากความอ่อนแอไปสู่ความแข็งแกร่ง
ทันใดนั้นเองพวกเขาก็ค้นพบว่า เสียงของเย่หยวนในยามนี้แม้นอยู่ใกล้แต่กลับรู้สึกห่างเหินมากขึ้นเรื่อยๆ
เย่หยวนยังคงยืนบรรยายเสียงดังฟังชัดอยู่กลางลานประลองดังเดิม แต่สุ่มเสียงของเขาเสมือนกับว่าดังขึ้นจากสุดขอบฟ้าไกล
“นี่…นี่เกิดอะไรขึ้น?”
“รัศมีแห่งเต๋า! นั้นคือรัศมีแห่งยอดเต๋า!”
“ทำนองแห่งยอดเต๋า! นี่ต้องเป็นทำนองแห่งยอดเต๋าแน่นอน! คำบรรยายของท่านปรมาจารย์ก่อให้เห็นเสียงสะท้อนจากยอดเต๋าได้! ทุกคำกล่าวของเขาในตอนนี้ล้วนกอปรด้วยเต๋า!”
“ไม่คิดไม่ฝันเลยว่า ข้าจะได้มาเห็นอะไรแบบนี้จริงๆ! ทำนองแห่งยอดเต๋า กล่าวกันว่า ปรากฏการณ์เช่นนี้เคยเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวบนมหาพิภพ ยามที่ท่านบรรพชนโอสถกล่าวบรรยายในตอนนั้น!”
“สวรรค์! หรือเป็นไปได้ไหมว่าจะมีท่านบรรพชนโอสถถือกำเนิดขึ้นเป็นคนที่สองบนมหาพิภพ!? ความแกร่งกล้าในศาสตร์แห่งโอสถของท่านปรมาจารย์บรรพกาลราตรีสำเร็จถึงระดับใดแล้วกันแน่?”
“หยุดพล่ามกันเสียที! จงมุ่งความสนใจกับการบรรยาย! โอกาสเช่นนี้อาจมีแค่ครั้งเดียวในชีวิต! หากเขาสามารถเข้าใจได้แม้จะเพียงเศษเสี้ยว แต่นั่นก็มากเกินพอที่จะเป็นประโยชน์ต่อเราชั่วชีวิต!”
…
ในปัจจุบัน เย่หยวนจมลงสู่ก้นบึ้งแห่งมหาสมุทรเต๋าแล้ว ยามนี้ราวกับอยู่ในสภาพสูญกาศตัดสภาวะไร้ห้วงเวลาใดๆมาเกี่ยวข้อง
คำสั่งสอนแห่งเต๋ากำลังทำให้คนอื่นก้าวหน้าไปอีกขั้น หรือหาใช่การย่ำความรู้เพื่อพัฒนาสำหรับตนเองไปในตัว?
ในช่วงครึ่งเดือนมานี้ เย่หยวนเอ่ยบรรยายเกี่ยวกับความเข้าใจของตนเองออกมาให้เป็นรูปธรรมที่สุดเพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจ อาจกล่าวได้ว่านี่เป็นการทบทวนและสรุปความเข้าใจตนเองและกลั่นกรองจนตกผลึก
ดังนั้นเขาจึงรู้แจ้งเห็นสรรพสิ่งชัดเจนขึ้น!
ข้อสงสัยและปริศนาที่ยังไม่เคยถูกไข ณ ช่วงเวลานี้ได้ถูกนำมารวมกันและชี้แจ้งให้เกิดความเข้าใจอย่างละเอียดถี่ถ้วน
หวู่เฉินเฝ้ามองภาพฉากนี้ด้วยความตกใจ พลางเอ่ยพึมพำอย่างไม่น่าเชื่อขึ้นว่า
“นั้นเป็นทำนองแห่งยอดเต๋าจริงๆ! ตำน่านเคยกล่าวไว้ว่า ในสมัยนั้นที่ท่านบรรพชนโอสถสั่งสอนกลุ่มจอมเทพโอสถระดับแปดอยู่นั้น ทันใดนั้นพลันเกิดปรากฏการณ์ทำนองแห่งยอดเต๋าขึ้นเช่นกัน ส่งผลให้สถานที่แห่งนี้ได้ดึงดูดเต๋าต่างๆมากมาย ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเขาจึงได้ชื่อว่า บรรพชนโอสถ! หรือเป็นไปได้ไหมว่า ระดับความเข้าใจของเย่หยวนจะอยู่ในระดับชั้นเดียวกับเขาแล้ว? แต่…ตอนนี้เย่หยวนเป็นแค่จอมเทพโอสถระดับสองเท่านั้น!”
ไม่รู้เลยว่าวันเวลาล่วงเลยผ่านไปนานเพียงใด ทุกคนพลันได้สติตื่นขึ้นมา
เมื่อพวกเขากวาดสายตาจับจ้องไปบนลานประลองอีกครั้ง เย่หยวนกลับหายไปเสียแล้ว
“ท่านปรมาจารย์บรรพกาลราตรีออกไปแล้ว!”
“หื้ม? ไฉนข้ารู้สึกว่า…ข้ากำลังจะเลื่อนระดับชั้น!”
“ข้าเองก็ด้วย! การบรรยายของท่านปรมาจารย์บรรพกาลราตรีทำให้ข้ารู้แจ้งอย่างแท้จริง ควบคู่ไปกับเต๋าสั่งสมอยู่ในที่แห่งนี้ ในที่สุดระดับชั้นที่ข้าเคยติดก็เริ่มคลายออก!”
“ท่านบรรพกาลราตรีเปรียบเสมือนเทพเซียนโดยแท้! บางทีเขาอาจกลายมาเป็นท่านบรรพชนโอสถคนที่สองก็เป็นได้!”
…
เมื่อพวกเขาติดอยู่ในอาณาจักรพลังนานแรมปีและมิได้พัฒนาไปต่อ ตราบใดที่พรสวรรค์ของเขามิได้แย่เกิน การบรรยายครั้งนี้นับว่าช่วยเหลือพวกเขาได้ไม่มากก็น้อย
แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถเลื่อนระดับชั้นไปได้ แต่อย่างน้อยความแกร่งกล้าของคนเหล่านี้ก็พัฒนาขึ้นเป็นอย่างมาก
คล้อยหลังที่พวกเขาเดินทางออกไปจากลานประลองเลือด ด้วยความเร่งรีบของทุกคน แต่ละคนเร่งควานหาสถานที่พักพึงทันทีเพื่อปลีกวิเวกเก็บตัว
ภายในโลกแห่งศิลาจารึกบัลลังก์พิภพ เบื้องหน้าหุบเขาถงเทียนจำลองปรากฏเป็นร่างของเย่หยวนที่ถูกปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายแห่งยอดเต๋าอันไร้ขอบเขต
เย่หยวนค่อยๆลืมตาทั้งสองข้างขึ้นก่อนเผยให้เห็นรอยยิ้มแห่งความปีติยินดี
ณ ปัจจุบัน เย่หยวนก้าวขอบเขตเดิมของเขาขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งแล้วโดยไม่รู้ตัว และบรรลุถึงระดับสองขั้นสุด!
“ข้าไม่คิดไม่ฝันเลยว่า การปลูกต้นหลิวโดยมิได้ตั้งใจ กลับกลายมาเป็นร่มเงาได้ในภายหลัง การบรรยายครั้งนี้ทำให้ข้าสามารถเลื่อนระดับชั้นไปได้ ไม่เพียงแค่สร้างโอสถตราสวรรค์บำรุงฤทัยเท่านั้น แต่ยังเปิดประตูแห่งบัญญัติเทพแห่งถงเทียนสู่ระดับสามได้อีกด้วย!”
หวูเฉินเอ่ยถามขึ้นเจือน้ำเสียงประหลาดใจว่า
“ตอนนี้เจ้าอยู่ในระดับชั้นใดแล้ว?”
ศาสตร์แห่งโอสถเปรียบดั่งนามอธรรมไม่จีรัง ต่อให้นำเขาเปรียบเทียบกับจอมเทพโอสถระดับสองคนอื่นๆ แต่ในด้านความแกร่งกล้ากลับแตกต่างกันเสมือนฟ้ากับเหว
ดังนั้นแล้วเพียงระดับชั้นกลับไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่างบุคคลได้
บางทีจอมเทพโอสถระดับสองอาจสามารถหลอมกลั่นโอสถศักดิ์สิทธิ์ได้มากกว่าจอมเทพโอสถระดับสองคนอื่นๆ
แต่ปัจจุบัน เย่หยวนเหนือกว่าระดับชั้นนั้นอย่างชัดเจน แค่หลอมกลั่นโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสองกลับกลายเป็นเรื่องง่ายดายแล้ว นั้นจึงเป็นเหตุผลที่หวู่เฉินเอ่ยถามเรื่องนี้ขึ้นมา
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“อืม…ข้าก็ไม่สามารถกล่าวได้เช่นกัน แต่ตอนนี้ข้าคิดว่า โอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสองหาใช่หรือสร้างความลำบากใดให้ข้าอีกแล้ว?”
ม่านตาดำของหวู้เฉินหดแคบในทันใด เขาค่อนข้างแปลกใจยิ่งต่อคำกล่าวของเย่หยวน
เขารู้ว่าเย่หยวนหาใช่คนที่จะกล่าวอวดอ้างไปเรื่องโดยไม่มีมูลเหตุ
สำหรับเย่หยวนที่กล้ากล่าวออกมาขนาดนี้ แสดงว่าเขาต้องมีความมั่นใจในระดับนึง
การหลอมกลั่นโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสองหาใช่ปัญหา? คำกล่าวแบบนี้คงมีแต่ท่านบรรพชนโอสถเท่านั้นกระมังที่กล้ากล่าวแบบนี้?
“เมื่อนานมาแล้ว ท่านบรรพชนโอสถเคยก็เคยเรียกปรากฏการณ์ทำนองแห่งยอดเต๋ามาได้เช่นกันในขณะที่บรรยาย หรือเป็นไปได้ไหมว่าเจ้าจะอยู่ในระดับชั้นเดียวกับเขาแล้ว?”
หวูเฉินเอ่ยขึ้นในทันที
ตอนที่ 1509 สาสน์จากเมืองจักรพรรดิ
โดย
Ink Stone_Fantasy
เย่หยวนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่พลางส่ายหัวกล่าวขึ้นว่า
“แม้ตอนนั้นข้าจะไม่รู้ว่านเหตุการณ์ระหว่างหารบรรยายของท่านบรรพชนโอสถเป็นอย่างไร แต่คิดว่าระดับชั้นของข้ายังแย่กว่าเขามากนัก เจาสามารถดูดซับเส่วนหนึ่งเพื่อนำมาสืบทอดต่อได้ ทว่าข้ากลับไม่สามารถ ดังนั้นแล้วขอบเขตปัจจุบันของข้ายังคงต่ำเกินไป หากเป็นเต๋าระดับสูงกว่านี้กลับไม่มีทางเข้าใจได้เช่นกัน สักวันหนึ่งหากข้าบรรลุกลายเป็นจักรพรรดิเทพสวรรค์ได้ ข้าคิดว่าระดับชั้นคงไม่แย่ไปกว่าท่านบรรพชนโอสถกระมัง”
เย่หยวนคนนี้มีความมั่นใจเกินกว่านักหลอมโอสถทั่วไปเป็นทุนเดิม
แม้ว่าบรรพชนโอสถจะเป็นการดำรงอยู่ที่เหล่านักหลอมโอสถทุกคนทั่วมหาพิภพถงเทียนเสาะหา แต่เย่หยวนเองก็ค่อนข้างมั่นใจเช่นกันว่าจนจะสามารถไล่ตามได้ทัน
วาจาคำกล่าวเหล่านี้อาจดูหยิ่งผยองหาที่เปรียบไม่ หากคนอื่นๆได้ยินเข้า
แต่หวูเฉินกลับเลือกที่จะเชื่อเย่หยวน เพราะทั้งความแกร่งกล้าและพรสวรรค์สุดท้าทายฟ้าดินของเขา!
สิ่งหนึ่งที่ควรทราบคือ ตั้งแต่เริ่มที่เย่หยวนก้าวเข้าสู่มหาพิภพถงเทียนจวบจนตอนนี้ นี่ยังไม่ถึงร้อยปีด้วยซ้ำ
แต่พัฒนาการความแข็งแกร่งของเขากลับรุดหน้ารวดเร็วอย่างคาดไม่ถึง
อย่างน้อยที่สุด ภายใต้สรรพสิ่งสุดขอบฟ้าไกลในขอบเขตความเข้าใจของหวูเฉิน นอกเหนือจากท่านบรรพชนโอสถแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดสามารถเทียบเคียงเย่หยวนได้เลย
และเหตุการณ์ในวันนี้ที่เย่หยวนสร้างปรากฏการณ์ณ์ทำนองแห่งยอดเต๋ามาได้ สิ่งนี่ทำให้บรรดาเหล่านักปรุงโอสถปีศาจเกิดความโกลาหลครั้งใหญ่
“ท่านปรมาจารย์บรรพกาลราตรีช่างน่าเหลือเชื่อนัก! สิ่งที่ท่านกล่าวสอนได้ทำลายความเข้าใจเก่าๆต่อศาสตร์แห่งโอสถของข้าไหปจนหมด!”
“กล่าวไม่ถูกต้องสักทีเดียว! ข้ารู้สึกดั่งความรู้ความเข้าใจของข้าในอดีตที่ผ่านมาทั้งหมด เป็นเพียงผิวเผินเท่านั้น ทว่าความรู้ความเข้าใจของท่านปรมาจารย์ราตรีกลับแตกต่างจากเราโดยสิ้นเชิง!”
“สิ่งนั้นแน่นอนอยู่แล้ว! มิฉะนั้นท่านจะเรียกปรากฏการณ์ณ์ทำนายแห่งยอดเต๋าขึ้นมาได้อย่างไร?”
“ข้าคิดว่า บางทีท่านปรมาจารย์บรรพกาลราตรีอาจกลายมาเป็นท่านบรรพชนโอสถคนที่สองก็เป็นได้?”
“อืมม…ยากที่จะกล่าวเช่นนั้น การดำรงอยู่ของท่านบรรพชนโอสถหาใช่สิ่งที่เจ้าจะจินตนาการได้ ตอนนี้ท่านปรมาจารย์บรรพกาลราตรียังเป็นเพียงนักปรุงโอสถระดับสอง หนทางยังอีกยาวไกลนัก อย่างไรก็ตาม หากเขายังคงใฝ่ศึกษาเรียนรู้ต่อไป นี่ถือเป็นสัญญาที่ดีในอนาคต!”
“จุจุ…อย่าได้กล่าวเรื่องนี้อีกต่อไป ทางเบื้องบนสั่งให้พวกเราปิดปากเงียบ หากใครมาได้ยินอาจเกรงว่าตายไม่รู้ตัว!”
…
ภายในโถงโอสถปีศาจแห่งเมืองหลวงคาโปน เหล่านักปรุงโอสถจำนวนหนึ่งที่ได้เข้าฟังการบรรยายของเย่หยวน ยามนี้กระซิบกระซาบต่างสนทนากันอย่างลับๆ
เว้นเสียแต่ ทางโถงโอสถปีศาจได้ออกคำสั่งชี้ขาดให้ปิดปากห้ามแพร่งพราย แต่พวกเขามิอาจสะกดความตื่นเต้นได้ลง จึงต้องจับกลุ่มคุยกันเงียบงัน
ทุกคนต่างคาดเดากันไปว่า ท่านปรมาจารย์บรรพกาลราตรีจะสามารถไต่เต้าถึงระดับชั้นของท่านบรรพชนโอสถได้หรือไม่
ท้ายที่สุดแล้ว นักปรุงโอสถปีศาจที่สามารถสร้างปรากฏการณ์ณ์ทำนองแห่งยอดเต๋าขึ้นมาได้ สิ่งนี้นับเป็นเครื่องการันตีได้ว่าพรสวรรค์ของเขามิได้ด้อยไปกว่าเหล่าบรรพชนแห่งเต๋าเลย!
แน่นอน มหาพิภพถงเทียนแห่งนี้กว้างใหญ่ไพศาลเกินไป บางทีอาจมีนักปรุงโอสถปีศาจคนอื่นๆที่สามารถสร้างปรากฏการณ์ณ์ทำนองแห่งยอดเต๋าขึ้นมาได้เช่นกัน เพียงว่าพวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนเท่านั้น
สามารถสร้างปรากฏการณ์ณ์ทำนองแห่งยอดเต๋าขึ้นได้ขณะที่เป็นเพียงนักปรุงโอสถปีศาจระดับสอง ไม่ว่าใครเห็นต่างต้องกล่าวกันเป็นเสียงเดียว นี่เป็นภาพเหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้นที่สุดแล้ว
…
ผัวะ!
ผัวะ!
ผัวะ!
ภายในโถงโอสถปีศาจแห่งเมืองหลวงมรกตทมิฬ โม่หานกระหน่ำตบหน้าคงเซียวครั้งแล้วครั้งเล่าจนเละเป็นหัวหมู
เมื่อเขาได้ยินเรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในการบรรยาย เขาก็โมโหแทบคลั่ง
ภาพในหัวของเขาตอนนี้ชัดเจนยิ่งกว่าอะไร มาตรฐานความสามารถของโถงโอสถปีศาจสาขาเมืองหลวงมรกตทมิฬจะถูกโถงโอสถปีศาจสาขาอื่นๆแซงหน้าพัฒนากันไปหมดในอีกไม่ช้า!
“ทำนองแห่งยอดเต๋า! นั้นคือปรากฏการณ์ณ์ในตำนาน ทำนองแห่งยอดเต๋า!! เจ้าเป็นหมูโง่หรืออย่างไร? ถึงกล้าสบประมาทนักปรุงโอสถปีศาจที่สามารถสร้างปรากฏการณ์ณ์ในตำนานได้?!”
“มีนักปรุงโอสถปีศาจสองดาวที่เข้าฟังบรรยายเลื่อนระดับชั้นถึงสี่สิบสามคน!”
“ครึ่งเดือนต่อมามีคนเลื่อนระดับชั้นได้อีกสองร้อยยี่สิบแปดคน!”
“แล้วตอนนี้ยังมีคนที่อยู่ระหว่างการเก็บตัวนับพันคน! ไม่สิ มากกว่าพันคนไปแล้ว!”
“แล้วพวกเราล่ะ? ไม่มีสักคน! ไม่มีแม้แต่คนเดียว!”
“ไอ้หมูโง่! ตอนนี้รู้สึกมีความสุขหรือไม่? อยากเสียหน้าก็เสียไปคนเดียว ไฉนถึงต้องลากประมุขโถงผู้นี้ลงไปด้วย!”
โม่หานคำรามใส่คงเซียวด้วยความฉุนเฉียว พร้อมตบสั่งสอนไปอีกระลอกหนึ่ง
ส่วนคนอื่นๆโดยรอบต่างนั่งนิ่งปิดปากเงียบราวกับจักจั่นในฤดูหนาว
ในเวลานี้จ้าวทัพปีศาจโกรธแค้นอย่างที่สุด เพลิงพิโรธแทบผลาญสรรสิ่งนับพันลี้ในอึดใจ!
แต่พวกเขาเองก็เข้าใจเหตุผลที่โม่หานโกรธเกรี้ยวเช่นกัน เพราะเรื่องนี้เองทำให้พวกเขาขุ่นเคืองใจไม่น้อยไปกว่าโม่หานเลย
ในความเป็นจริง เบื้องลึกภายในใจของพวกเขาทั้งหมดต่างก่นด่าสาปแช่งคงเซียวนับหมื่นแสนครั้งไม่มีสิ้นสุด
เพราะมันคนเดียวทำให้ทุกคนพลาดโอกาสดีๆเช่นนี้ไป!
ปรากฏการณ์ณ์ทำนองแห่งยอดเต๋า ชั่วชีวิตนี้พวกเขาไม่ได้เห็นอีกแล้ว
โม่หานโกรธถึงขีดสุด!
ตามข่าวสารจากโถงร้อยปัญญา ทุกคนที่เดินทางไปยังเมืองหลวงคาโปน ทั้งหมดล้วนแต่มีพัฒนาการที่ดีขึ้นอย่างก้าวกระโดด
คนที่ติดปัญญาไม่สามารถเลื่อนระดับชั้นได้เป็นเวลาเนิ่นนาน ยามนี้ต่างเลื่อนระดับชั้นพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
การที่ได้เห็นปรากฏการณ์ณ์ทำนองแห่งยอดเต๋ากับตาตนเอง ต่อให้พวกเขาไร้ซึ่งพรสวรรค์เพียงใด แต่อย่างน้อยที่สุดพวกเขาเหล่านั้นก็ยังมีพัฒนาการขึ้นบ้างไม่มากก็น้อย
แต่มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่ไม่มีอะไรคืบหน้าพัฒนาขึ้นเลยแม้แต่น้อย!
ทั้งหมดเป็นความผิดของคงเซียว
แล้วจะไม่ให้โม่หานโมโหได้อย่างไร?
หลังระบายดุด่ากระหน่ำตบไปครู่ใหญ่ ในที่สุดโม่หานก็บรรเทาความโกรธลงบ้างแล้ว
“เมฆาม่วง นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าคือประมุขโถงโอสถปีศาจคนใหม่! คงเซียวเจ้าจะถูกลดศักดิ์เป็นทาส และนำตัวไปขังคุกเพื่อหลอมกลั่นโอสถเป็นเวลาสามพันปี!”
เมื่อกล่าวจบ โม่หานก็จากไปทันที
เมฆาม่วงเป็นนักปรุงโอสถปีศาจระดับสามเช่นกัน แต่ทักษะฝีมือของเขาค่อนข้างแย่กว่าคงเซียวมาก
เขาไม่คิดไม่ฝันเลยว่าเรื่องดีๆจะมาเกิดขึ้นกะทันหันเช่นนี้
ส่วนคงเซียวถูกลดระดับลงให้กลายเป็นทาสถึงสามพันปี โดยพื้นฐานแล้วชั่วชีวิตนี้ คงเซียวคงไม่มีวันได้เชิดหน้าชูคออีกต่อไป
…
เป็นเวลาสองเดือนแล้วหลังจากที่เย่หยวนเปิดการบรรยายครั้งใหญ่
ในขณะนี้ เย่หยวนกำลังปลีกวิเวกเก็บตัวและบ่มเพาะพลังอย่างสงบ
คราวนี้ที่เขาสามารถกระตุ้นให้เกิดปรากฏการณ์ณ์ทำนองแห่งยอดเต๋าขึ้นมาได้ เขาเองก็ได้รับผลประโยชน์เช่นกันโดยธรรมชาติ
ทำนองแห่งยอดเต๋านี้จำต้องใช้เวลาในการย่อยกลั่นกรองลงไปอย่างคอยเป็นคอยไป
สองเดือนต่อมา เมืองหลวงคาโปนเข้าต้อนรับการมาของอาคันตุกะที่มีชื่อเสียงลือเลื่องเป็นอย่างยิ่ง
“ทำความเคารพท่านดาราสวรรค์!”
อวี้หานโค้งคำนับให้แก่ชายชราผู้นี้ วาจาน้ำเสียงเปี่ยมล้นไปด้วยความเคารพยิ่ง
“หุหุ อวี้หาน เจ้ามีส่วนช่วยอย่างมากในครั้งนี้!”
ดาราสวรรค์กล่าวขึ้นด้วยวาจาแสนปลื้มใจ
ดาราสวรรค์ผู้นี้เป็นนักปรุงโอสถปีศาจระดับสี่แห่งโถงโอสถปีศาจสาขาเมืองจักรพรรดิกล้วยไม้อริยะ ซึ่งเป็นถึงจ้าวทัพปีศาจเก้าดาว สถานศักดิ์ของเขาสูงส่งเป็นอย่างมาก
อวี้หานยิ้มและกล่าวตอบว่า
“อวี้หานไม่กล้าเรียกร้องความดีความชอบใดๆ”
ดาราสวรรค์ยิ้มและกล่าวว่า
“มีส่วนช่วยคือมีส่วนช่วยจริงๆ เจ้าจะแสร้งมีมารยาทดั่งพวกมนุษย์เพื่ออันใด? ข้าไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่าเมืองหลวงคาโปนเล็กๆแห่งนี้ จะให้กำเนิดนักปรุงโอสถปีศาจที่สามารถกระตุ้นให้เกิดปรากฏการณ์ณ์ทำนองแห่งยอดเต๋าขึ้นมาได้! เด็กหนุ่มคนนี้จะต้องเข้าสังกัดโถงโลหิตปรโลกของข้า!”
อวี้หานพยักหน้าและกล่าวว่า
“ท่านดาราสวรรค์โปรดมั่นใจ หลังจากที่เสร็จสิ้นการสำรวจซากโบราณสถาน ข้าจะพาเข้าไปยังเมืองจักรพรรดิเป็นการส่วนตัว”
แต่ดาราสวรรค์กลับส่ายหัวและกล่าวว่า
“ยอดอัจฉริยะเฉกเช่นเขา เจ้าจะกักขังไว้ได้อย่างไร? โถงโลหิตปรโลกของข้าขอต้อนรับด้วยความเต็มใจ!”
อวี้หายขมวดคิ้วเล็กน้อยพร้อมกล่าวว่า
“นี่…คงยาก! ท่านดาราสวรรค์คงมิทราบ หากอวี้หานคนนี้ไม่มีพันธสัญญาเลือดกับเขาอยู่ คงไม่มีทางเช่นกันที่จะมัดเขาติดกับโถงโลหิตปรโลกได้นานขนาดนี้ ชายหนุ่มคนนี้มีจิตใจหยิ่งผยองและทะนงตนเป็นที่สุด และเป็นไปได้ยากยิ่งที่เขาจะยอมจำนนด้วยใจจริง”
แต่ดาราสวรรค์กลับมิใส่ใจนัก และกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มประดับกว้าง
“ยอดอัจฉริยะที่สามารถสร้างปรากฏการณ์ทำนองแห่งยอดเต๋าได้ ไหนเลยจะไร้ซึ่งความหยิ่งผยองแสนทะนงตน? คนที่มีความสามารถมากพอเท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์เย่อหยิ่ง! เราผู้นี้ทราบดีว่าเจ้ามิอาจปราบเขาได้ นั้นจึงเป็นเหตุผลที่ข้าเดินทางมาเป็นการส่วนตัว! เจ้าพาเข้าไปอย่างให้คนนอกทราบเด็ดขาด เรื่องนี้ประมุขโถงใหญ่ออกคำสั่งห้ามแล้ว โดยไม่อนุญาตให้กลุ่มอำนาจอื่นๆ ล่วงรู้โดยเด็ดขาด”
แม้ว่าเรื่องนี้ที่เย่หยวนสามารถสร้างปรากฏการณ์ณ์ทำนองแห่งยอดเต๋าขึ้นได้ จะเป็นเรื่องน่าตื่นตะลึงยิ่ง แต่คนที่ทราบกลับอยู่ในวงจำกัด มีเพียงคนภายในโถงโลหิตปรโลกเท่านั้น
สำหรับข่าวการบรรยายในลานประลองเลือด เป็นเรื่องง่ายนักที่จะปิดข่าวมิให้ภายนอกทราบ
โถงโลหิตปรโลกเองก็ไม่จำเป็นต้องปิดข่าวทั้งหมดเช่นกัน เพียงเรื่องปรากฏการณ์ณ์ทำนองแห่งยอดเต๋าเท่านั้นที่คนภายนอกมิอาจล่วงรู้ได้
ทักษะความน่าเกรงขามของบรรพกาลราตรีในศาสตร์แห่งโอสถ หาใช่เป็นความลับของเมืองหลวงคาโปนมาเนิ่นนานแล้ว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น