Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1498-1506

 ตอนที่ 1498 เพลงหมัดเหล็กมารสวรรค์คลั่ง

โดย

Ink Stone_Fantasy

ไคซินชี้นิ้วไปทางฝูงชนที่ส่งเสียงให้กำลังใจ พร้อมเอ่ยลั่นวาจาอย่างภาคภูมิว่า


“เจ้าคิดว่ามีเพียงตัวเองงั้นรึที่สามารถสู้ข้ามระดับได้? แต่ละเสียงสรรเสริญของพวกนั้นเท่ากับชัยชนะที่ข้าได้ต่อหนึ่งครั้ง!”


เย่หยวนจับจ้องอีกฝ่ายยิ้มกล่าวว่า


“ข้าทราบ ชัยชนะแปดร้อยนัดติดต่อกันของเจ้า แต่นั่นหาใช่เรื่องใหญ่ไม่ ในอดีตไม่มีใครเคยเอาชนะเจ้าได้ แต่นั่นมิได้หมายความว่าตอนนี้ข้าจะเอาชนะเจ้าไม่ได้”


เพียงชัยชนะติดต่อกันแปดร้อยนัดกลับมิได้อยู่ในสายตาของเย่หยวนเลย


หากย้อนกลับไป ณ เมืองบึงเมฆา เย่หยวนเองก็เคยแข่งขันหลอมกลั่นโอสถพร้อมชัยชนะหลายพันนัดติดต่อกันโดยไม่เคยแพ้แม้นสักครั้ง


เป็นเช่นนั้นมาโดยตลอด จนรู้สึกว่าเขาต้องการแสวงหาความพ่ายแพ้ที่สมเกียรติสำหรับตน


สิ่งที่ไคซินรู้สึก เขาเคยรู้สึกมาก่อนเช่นกัน และสิ่งที่ไคซินไม่เคยรู้สึก เขาเองก็เคยเป็นแบบนั้นคล้ายคลึงกัน


เย่หยวนยอมรับเลยว่า ไคซินเป็นคู่ต่อสู้ที่ทรงพลังยิ่ง แต่สิ่งที่ยิ่งกว่าคือความมั่นใจในตัวเอง!


อย่างไรก็ตามคำพูดของเย่หยวนกลับก่อสร้างความโกลาหลครั้งใหญ่ปะทะขึ้น


“มันกล่าวว่าอันใด? ชัยชนะแปดร้อยนัดหาใช่เรื่องใหญ่? หึหึ…”


“วาจาอึงโขใหญ่โตนัก หวังสร้างความประทับใจแก่ผู้คนกระมัง? มันช่างโง่เขลาสิ้นดี! เมื่อได้เห็นความน่ากลัวที่แท้จริงของราชันแห่งลานประลองเลือดแล้ว มันจะรู้เองว่าชัยชนะแปดร้อยนัดรวดมันหมายความอย่างไร!”


“ขี้โม้ไร้ยางอาย! เด็กน้อยน่าจิ้มลิ้มนั้นจะต้องตายบนลานประลองเลือดแน่นอน!”


“มันกล้าลบหลู่ต้นแบบของข้าจริงๆ! เป็นเพียงแม่ทัพปีศาจ แต่กลับหยิ่งผยองได้ปานนี้เชียว!”



คำกล่าวของเย่หยวนได้ทำให้ผู้คนก่อเกิดหลากอารมณ์ปรากฏขึ้นมา


การที่ประเมินฝีมือตัวเองสูงเกินไปโดยหาได้สนใจความยิ่งใหญ่ของฟ้าดิน คนเช่นนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากคนโง่ที่กำลังเดินลงเหว และผู้คนโดยส่วนใหญ่ต่างคิดเช่นนี้กลับเย่หยวน


ไคซินเปรียบดั่งเทพแห่งสงครามไร้พ่าย ดังนั้นเขาจะมาพ่ายให้กับเด็กโง่คนหนึ่งได้อย่างไร?


ไคซินระเบิดหัวเราะลั่นทันทีที่ได้ยินแบบนั้น และกล่าวว่า


“ฮ่าๆๆ บางทีมีคนสามารถโค่นสถิติชัยชนะของเข้าได้ในสักวัน แต่คนๆนั้นมันหาใช่เจ้าแน่นอน! หาญกล้ารนหาที่ตายเช่นนี้ ข้าขอชื่นชม!”


เย่หยวนกล่าวเสียงเย็นตอบ


“ไม่ว่าจะหาญกล้ารนหาที่ตายหรือไม่ อีกไม่นานย่อมประจักษ์ทราบ!”


เมื่อได้กลิ่นดินปืนปะทุหนาขึ้น กรรมการจึงป่าวประกาศขึ้นว่า


“เนื่องจากเป็นการประลองที่เดิมพันด้วยความเป็นความตาย เช่นนั้นกฎการต่อสู้ในครั้งนี้จึงไม่มีจำกัด ตราบใดที่สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ลงได้ จะหยิบใช้วิธีใดตามใจอิสระ ณ ตอนนี้ การประลองเริ่มต้นขึ้นได้!”


เมื่อป่าวประกาศเสร็จสิ้น กรรมการก็ถอยออกมาจากลานประลอง และเปิดค่ายกลป้องกันเป็นชั้นหนารอบครอบคลุมทั่วลานประลอง ทันทีทันใดคลื่นเสียงสรรเสริญพลันดังกึกก้องขึ้นอีกครั้งบนอัฒจันทร์


“ท่านราชันแห่งลานประลองเลือด ฆ่ามันเลย! ฆ่าไอ้เด็กนั้นซะ!”


“ท่านไคซิน โปรดสำแดงความน่าสะพรึงของราชันแห่งลานประลองเลือกให้พวกเราเห็นเป็นขวัญตาอีกครั้ง!”


“ฆ่า ฆ่า ฆ่า! ทุบมันให้เป็นเนื้อบด!”



เสียงโห่ร้องให้กำลังใจ ดังขึ้นอีกระลอกใหญ่


ณ ลานประลองเลือดแห่งนี้มีเพียงเสียงให้กำลังใจไคซินอยู่ฝ่ายเดียว


สำหรับเย่หยวนแล้ว อาจมีเพียงตระกูลฟางเท่านั้นที่ให้กำลังใจเขา


“หึหึ ไม่มีใครกล้าท้าทายของมาสองร้อยปีแล้ว! ต้องขอยอมรับเลยว่า เจ้ากล้าหาญมากจริงๆ เพื่อตอบแทนความกล้าหาญนี้ ข้าจะทุบร่างเจ้าให้แหลกเละ!”


ไคซินระเบิดหัวเราะอย่างชั่วร้าย ทันทีทันใดรัศมีกลิ่นอายบนร่างของเขาพลันเปลี่ยนไปในทันใด


ภาพลักษณ์ของนายน้อยอันสง่างามหายไปทันที


สิ่งที่อยู่ในลานประลอง ณ ปัจจุบันมีเพียงหมาป่าโหดอันดุร้ายเปี่ยมล้นไปด้วยภัยอันตราย


พลังปีศาจพวยพุ่งออกมาจากภายในร่างของไคซิน บนมือสวมหมัดที่เป็นเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์เลิศล้ำอยู่คู่หนึ่ง สีดำทมิฬกลิ่นอายชวนสยดสยองยิ่ง


สายตาการจับจ้องของเย่หยวนแปรเปลี่ยนดูจริงจังขึ้นถนัดตา พร้อมเปลี่ยนพลังปราณเทวะให้กลายมาเป็นพลังปราณปีศาจโคจรทั่วร่างเร็วจี๋


สีหน้าการแสดงออกขอบงอินทรีโลหิตเปลี่ยนไปอย่างมาก ด่อนเอ่ยกล่าวน้ำเสียงขรึมว่า


“ที่นำออกมาสำแดงใช้คือ เพลงหมัดเหล็กมารสวรรค์คลั่ง เจ้าเด็กคนนั้นตกอยู่ในอันตรายแล้ว! หากย้อนกลับไปในตอนที่ไคซินยังเป็นแค่แม่ทัพปีศาจชั้นต้น เขากระหน่ำเพลงหมัดอัดร่างของแม่ทัพปีศาจชั้นกลางกว่าสามร้อยครั้งติดต่อกัน! จนอีกฝ่ายแหลกเละเป็นเนื้อสับละเอียด! ตั้งแต่เริ่มจนตาย แม่ทัพปีศาจชั้นกลางตนนั้นไม่ได้ขยับเขยื้อนแม้แต่ก้าวเดียว! ทั้งๆที่แม่ทัพปีศาจชั้นกลางตนนั้นมีสถิติชนะรวดแปดสิบหกนัด!”


สำหรับเรื่องราวต่างๆ ในอดีตของไคซิน อินทรีโลหิตคุ้นเคยกว่าใครๆ


การที่จะขึ้นกลายเป็นประมุขลานประลองเลือดได้ เขาเองก็ให้ความสนใจต่อไคซินอย่างมากในตอนนั้น และมองผ่านอ่านถึงศักยภาพแฝงในตัวอีกฝ่ายได้อย่างรวดเร็ว


คู่ดวงตาของคุนหมิงหรี่แคบลงเล็กน้อย


“ดูเหมือนว่าเขาจะต้องการแข่งความเร็วกับบรรพกาลราตรี ไคซิน เจ้าเด็กคนนี้โดดเด่นอย่างมากขริงๆ ข้าสงสัยยิ่งว่าบรรพกาลราตรีจะสามารถป้องกันการโจมตีของอีกฝ่ายได้หรือไม่”


คุนหมิงทราบโดยธรรมชาติถึงเพลงดาบของเย่หยวนที่เชี่ยวชายด้านความเร็วเป็นพิเศษ


การเคลื่อนไหวของไคซินยามนี้ เป็นที่ชัดเจนว่าเขาต้องการแข่งกับเย่หยวนในด้านความเร็ว!


เจ้าเร็วนักรึ?


เช่นนั้น ข้าจะใช้ความเร็วเอาชนะเจ้า!


“หื้ม? กระบวนท่านั้นมัน…เพลงหมัดเหล็กมารสวรรค์คลั่ง! เป็นกระบวนท่าที่มิได้เห็นนานมากแล้วจริงๆ!”


“ท่านไคซินเปิดฉากสำแดงกระบวนโจมตีครั้งใหญ่ เขามาแล้ว! เจ้าเด็กนั้นช่างน่างสงสารยิ่งนัก!”


“หากย้อนกลับไป ต้าเหมิงทีท่รู้จักในนาม‘ชัดเชือดเหล็ก’ยังถูกไคซินซัดจนตาย และมิได้เปิดโอกาสให้ขยับแม้แต่ครั้งเดียว! พวกเรามาเดากันดีกว่า เด็กนั้นจะกันได้กี่หมัด ฮ่าๆๆ”



เมื่อวาลาคำกล่าวเหล่านี้ดังออกไป ทุกคนต่างก็เริ่มคาดเดาหันทันที


บางคนบอกสองหมัด บ้างว่าสามหรือส่วนน้อยที่ว่าสิบ


โดยสรุปแล้วไม่มีใครมองเย่หยวนในแง่ดีเลยสักคนเดียว


วูบบบ!


ในขณะนั้นเองไคซินก็เริ่มเปิดฉากเคลื่อนขยับ!


เคลื่อนไหวสู่ความเงียบงัน ช่างเป็นการเคลื่อนที่ที่ว่องไวยิ่ง


แม้ทุกคนจะเตรียมพร้อมจับจ้องกันเป็นตาเดียว ทว่าปฏิกิริยาของพวกเขายังตามการเคลื่อนไหวของไคซินไม่ทันอยู่ดี


ในเวลานั้นเอง เย่หยวนก็โหมโรงเคลื่อนไหวเช่นกัน!


บูม! บูม! บูม!


คล้อยหลังเสียงซัดกระบวนเพลงหมัดดังออกมาชุดใหญ่


ผู้ชมบนอัฒจันทร์กลับไม่มีใครสามารถมองการต่อสู้ของทั้งสองได้ทันเลย เห็นเพียงเงาหมัดสีดำที่ชักโถมระเบิดตูมตามกลางอากาศ


นั้นคือภาพของเพลงหมัดเหล็กมารสวรรค์คลั่ง!


อย่างไรก็ตาม พวกเขายังไม่เห็นเย่หยวนชักดาบออกมาเลย!


เห็นได้ชัดว่า เย่หยวนในยามนี้กำลังถูกปราบปรามโดยสมบูรณ์


ภาพฉากกำปั้นชักนำพลังถาโถมทำเอาผู้ชนหายใจกันแทบไม่ออก


ถึงระหว่างลานประลองและฝูงชนจะถูกปิดกั้นด้วยค่ายกลป้องกัน แต่พวกเขาก็ยังรู้สึกได้ถึงขุมพลังอันน่าสะพรึงกลัวที่ระเบิดคลั่งออกมา


“แข็งแกร่งอย่างยิ่ง! นี่คือความแข็งแกร่งของราชันแห่งลานประลองเลือด!”


“ความแข็งแกร่งของเขาในปัจจุบันไม่สามารถบรรยายได้ในอึดใจเดียว!”


“ทั้งความเร็ว ความแข็งแกร่ง และแนวคิดความเข้าใจได้พัฒนาขึ้นจากแต่ก่อนมาก! ข้ารู้สึกว่านี่หาได้ด้อยไปกว่าจอมทัพปีศาจชั้นต้นเลย?”



เหล่าฝูงชนเงียบงันไปชั่วขณะ ยามนี้มีแต่เสียงอุทานดังเจือแจว


ภายใต้ภาพฉากโหมซัดเพลงหมัดเข้าใส่ ร่างเย่หยวนไสวบิดพลิ้วไปมาอย่างคล่องแคล่ว


นับตั้งแต่ที่สำเร็จกระบวนดาบอย่าง จันทร์สลาย ก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถไล่ตามความเร็วของเขาได้ทัน


แต่หลังจากที่เพลงหมัดเหล็กมารสวรรค์คลั่งของไคซินประจัญบานสาดออกมา เย่หยวนก็เลี่ยงหลบไม่มีหยุดเสมือนเครื่องจักรไม่สามารถหยุดได้!


เมื่อเวลาผ่านพ้นไปกว่าหลายสิบอึดใจ ไคซินออกอาวุธปลดปล่อยเพลงหมัดชักนำระเบิดคลั่งกว่าหลายร้อยกระบวนร่าย แต่ละหมัดนับเป็นสุดขีดแห่งความเร็ว!


เย่หยวนเลี่ยงหลบหมัดต่อหมัดพร้อมเสียงชักพาฉีกห้วงอากาศ


เขาไม่มีเวลาแม้แต่จะชักดาบเลย ชะลอช้าเพียงเสี้ยวพริบตา เขาอาจพลาดท่าถูกคู่หมัดเล่นงานได้


จนตอนนี้พลังปราณภายในเย่หยวนเริ่มเสียสมดุล แม้เขาจะหลบหัมดนับร้อยได้ ทว่าศาสตร์แห่งคิดความเข้าใจที่ระเบิดคลั่งออกมา กลับสร้างความเสียหายให้แก่เขาไม่น้อยเลย


ขุมพลังของไคซินค่อนข้างเกินจินตนาการนัก!


“ไม่ เดี๋ยวก่อน เขากำลังสร้างไล่ต้อนข้าด้วยหมัดหนักขึ้นเรื่อยๆแล้ว! ฝืนต่อไปเช่นนี้ข้าไม่ไหวเป็นแน่! ระดับพลังของอีกฝ่ายเหนือกว่าข้ามาก หากพลาดท่าโดนแรงระเบิดอัดใส่ ข้าสาหัสแน่นอน!”


หากเป็นคนอื่น ยิ่งถ่วงเวลาเอาไว้เพลงหมัดที่สาดปะทุออกมามักจะมีแต่เบาลงและเบาลงเนื่องจากหมดแรง


ทว่าเพลงหมัดของไคซินมีแต่จะแข็งแกร่งขึ้นและแข็งแกร่งขึ้น!


หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เย่หยวนเตรียมพ่ายอย่างไม่ต้องสงสัย!


“สยบดารา!”


เย่หยวนไม่แม้แต่จะเหลียวหลังกลัว พร้อมชักดาบพิชิตมารฟ้าสาดกระบวนออกไปด้วยความเร็วดุจสายฟ้า


บูมมม!


สองขั้วพลังแนวคิดปะทะชนอย่างแรง


เย่หยวนกระอักพ่นเลือดสดคำหนึ่ง ร่างปลิวไปกระแทกกับกำแพงค่ายกลปกป้องอย่างจัง


ในขณะที่เพลงหมัดเหล็กสารสวรรค์ฟ้าชะงักหยุดลงเพราะเพลงดาบนี้


…………………………………


ตอนที่ 1499 บรรลุสู่จุดสมบูรณ์จากการอนุมานขึ้นมา!

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ฮ่าๆ ความแกร่งกล้าเพียงเศษเสี้ยว มันยังกล้าท้าทายท่านไคซิน! สงสัยคงเหนื่อยกับชีวิตแล้วกระมัง!”


“ช่างโง่เขลานัก! ตอนนี้มันคงรู้ซึ้งถึงความแข็งแกร่งของราชันแห่งลานประลองเลือดแล้ว?”


“หุหุ มันตายรึยัง? หากยังไม่ตายก็รีบลุกขึ้นก่อนจะถูกท่านไคซินปิดฉาก!”



คลื่นคลั่งส่งเสียงดังสนั่นบนอัฒจันทร์ปะทุกึกก้อง


ไม่มีใครเห็นใจเย่หยวนแม้แต่คนเดียว


บนสังเวียนเดือดแห่งนี้มีเพียงผู้ชนะเท่านั้นที่จะได้รับเสียงปรบมือและชื่นชม


คนแพ้กลับไม่มีผู้ใดเห็นใจ!


ในมุมมองของพวกเขา เย่หยวนที่ท้าทายไคซินผู้ยิ่งใหญ่ นับว่าประเมินความสามารถตัวเองสูงส่งเกินไป


อินทรีโลหิตลอบถอนหายใจโล่งอก ตอนนี้เขาลุ้นระทึกจนฝ่ามือของเขาเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ เพราะเมื่อครู่เย่หยวนเกือบตายไปแล้ว


โชคยังดีที่เย่หยวนดึงตัวออกมาได้ทันอย่างหวุดหวิด


“เด็กคนนี้มีแนวคิดความเข้าใจที่น่าทึ่ง! แต่ไม่นานเขาคงจะพ่ายแพ้ในที่สุด”


อินทรีโลหิตเองกล่าวขึ้น


คุนหมิงกล่าวว่า


“การทำลายกระบวนจับตายเพลงหมัดนั้น ทำให้เด็กนั้นพลอยได้รับบาดเจ็บไปด้วย แต่ยังดีที่เขาตัดสินใจเด็ดขาด ฝืนฉีกตัวเองออกมา ทว่าสุดท้ายนี้ข้าก็ยังมองไม่เห็นโอกาสชนะของเขาอยู่ดี!”


ในตอนนี้คุนหมิงสามารถยืนยันได้แล้วว่า ผงโอสถนั้นไม่มีผลต่อความแข็งแกร่งของไคซิน แล้วมันทำบ้าอะไรได้กันแน่?


เย่หยวนกัดสมองตัวเองเล่นกระมัง? หรือเป็นไปไหมว่า เขาพยายามไปอย่างไรจุดหมาย?


“เจ้ายังจะลุกข้นอีกงั้นรึ? ไฉนเจ้ายังไม่ใช้มัน? ข้าขอดูหน่อยเสียว่าเจ้าจะเร็วได้เพียงใด?”


ไคซินเอ่ยกล่าวขึ้นพร้อมท่าทีพึงพอใจ


เย่หยวนแอบโคจรพลังฟื้นฟูอาการบาดเจ็บด้วยวรยุทธมังกรทรราชจุติ แสงประกายเย็นฉายวาบออกมาจากนัยน์ตาคู่นั้น พลางเอ่ยกล่าวอย่างเย็นชาว่า


“ตามสนอง!”


ทันใดนั้นร่างของเย่หยวนก็อันตรธานหายวับไป


บรรดาผู้คนที่อยู่ภายใต้ระดับชั้นจอมทัพปีศาจลงมา ไม่มีใครมองเห็นเย่หยวนแม้แต่เงา


ราวกับว่าเย่หยวนหายวับไปกลางอากาศ!


“เขาอยู่ไหน? ไฉนหายไปแล้ว?”


“เร็วจนเรามองไม่เห็นเลยงั้นรึ? นี่มัน…ไม่เร็วเกินไปหน่อยใช่ไหม?!”


“แม่ทัพปีศาจชั้นปลายสามารถเร่งความเร็วได้สูงปานนี้? ไม่น่าแปลกใจที่ไฉนเขาถึงหาญกล้าท้าทายท่านไคซิน! ปรากฏว่าเขามีความสามารถจริงๆ!”


“หึ! ไร้ประโยชน์! ราชันแห่งลานประลองเลือดคือไร้พ่าย! เด็กคนนั้นเพียงพยายามหนีจากความตาย!”



เมื่อไคซินเห็นภาพฉากดังนั้น สีหน้าการแสดงออกของเขาก็ดูจริงจังขึ้นทันตา!


เร็วกว่าก่อนหน้า!


เมื่อเปรียบเทียบกับตอนที่เผชิญหน้ากับสุริยันดาราในครั้งนั้น ความเร็วของดับเงาสยบมารยังช้ากว่าเย่หยวนในตอนนี้!


คราวก่อนหน้า เขายังสามารถมองเห็นเย่หยวนได้อย่างชัดเจน แต่ครั้งนี้กลับกลายเป็นเงาสายหนึ่งที่แสนจะพร่ามัวแทน


เพียงหนึ่งปี มันจะสามารถพัฒนาขนาดนี้ได้อย่างไร?


ไม่เพียงฝ่าทะลวงขึ้นอาณาจักรพลังย่อยขึ้นมาได้ แต่พลังฝีมือยังเพิ่มขึ้นมากอีกด้วย!


อัฒจันทร์ภายในลานประลองเลือดแบ่งออกเป็นสามระดับ


อย่างไรก็ตตาม อัฒจันทร์ระดับสามกลับไม่เคยเปิดให้คนทั่วไปเข้านั่งชมได้


ภายในส่วนนี้จะเป็นโถงลับที่คนภายนอกไม่สามารถมองผ่านเข้ามาได้เลย


ซึ่งข้างในโถงแห่งนี้มีชายหญิงคู่หนึ่งกำลังจับจ้องร่างทั้งสองบนลานประลองอยู่


หากเย่หยวนอยู่ที่นี่ เขาจะทราบได้ทันทีว่าหญิงที่นั่งอยู่คือ อวี้หานแห่งโถงร้อยปัญญา!


เมื่ออวี้หานเห็นเย่หยวนปลดปล่อยดับเงาสยบมารพร้อมเร่งความเร็วถึงขีดสุด ร่องรอยเงาสะท้อนสายตาพลันเผยถึงความประหลาดใจ นางกล่าวขึ้นกับชายอีกคนที่อยู่ข้างๆว่า


“ช่างมีพรสวรรค์นี่น่ากลัวอะไรเยี่ยงนี้ เขาสามารถดึงแนวคิดแห่งมิติขึ้นมาได้ผ่านเต๋าแห่งดาบ!”


สีหน้าการแสดงออกของชายคนนั้นดูตกใจมากเช่นกัน เขากล่าวตอบว่า


“ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าเลือกเด็กที่มีพรสวรรค์ขนาดนี้มา! เขาช่างน่าอัศจรรย์นัก! การจะอนุมานสร้างภาพซ้อนขึ้นได้ขนาดนี้ จำต้องอาศัยเต๋าแห่งดาบเพื่อบรรลุสู่จุดสมบูรณ์ ขุมพลังที่เขามีมิได้แข็งแกร่งนัก แต่เมื่อนำออกมาใช้จริงกลับรีดนำพลังออกมาได้โดยสมบูรณ์!”


 ยามที่ผู้คนฝึกปรือแนวคิดความเข้าใจ พวกเขาเหล่านั้นเพียงเรียนรู้เพื่อเสริมสร้างแนวคิดเหล่านั้นให้แข็งแกร่ง แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถนำแนวคิดเหล่านั้นออกมาใช้ประโยชน์จริงได้ให้มีประสิทธิภาพ


ซึ่งวิธีประยุกต์ใช้ก็แบ่งออกไปตามขอบเขตอาณาจักรพลัง


เชื่อมแตะถึงประตู บรรลุวความเชี่ยวชาญผ่านการศึกษาและจิตวิญญาณที่ผสานเป็นหนึ่ง หลอมรวมกันเป็นความสมบูรณ์แบบ


เย่หยวนสามารถเอาชนะผู้แข็งแกร่งในฐานะผู้อ่อนแอกว่าได้เสมอ เพราะความสามารถของเขาอยู่เหนือไปกว่าขอบเขตอาณาจักรพลังที่ควรจะเป็น


สำหรับคนอื่นๆโดยส่วนใหญ่ พวกเขาฝึกปรือแนวคิดความเข้าใจอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า และไม่รู้จักวิธีประยุกต์ใช้ที่ถูกต้อง ดังนั้นพัฒนาการของพวกเขาจึงหยุดลงอยู่แค่อาณาจักรปัจฉิมพระเจ้า


มีส่วนน้อยนักที่เรียนรู้อนวคิดจากการต่อสู้ จนพวกเขาสามารถเอื้อมแตะไปถึงขอบเขตดังกล่าวได้


สำหรับผู้ที่บรรลุได้ถึงขั้นสมบูรณ์มันหายากพอๆกับขนวิหคเพลิงอมตะหรือไม่ก็เขาของกิเลน


ในอีกแง่หนึ่งสิ่งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถเฉพาะบุคคล หรือในทางตรงข้ามก็คิดอยู่กับประสบการณ์บนสมรภูมิจริงๆที่มีความเป็นความตายที่ที่ตั้ง


แน่นอนว่ามีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ใช้สิ่งนี้ไปควบคู่กับวรยุทธต่อสู้ แต่สิ่งนี้จำเป็นต้องใช้เวลาจำนวนมหาศาลเพื่อฝึกปรือ จึงกล่าวได้ว่าสูญเสียมากกว่ากำไร


เมื่อเย่หยวนฝึกปรืออยู่ในสุสานดาบ อาจกล่าวได้ว่า เขาพยายามเรียนรู้เต๋าแห่งดาบด้วยวิธีการทรมานตัวเอง นี่หาใช่เพราะเขาเป็นพวกนิยมเสพความเจ็บปวด แต่เพราะสิ่งนี้จึงทำให้เขาได้สัมผัสถึงแกนแท้ของดาบแต่ละเล่ม และนั้นจึงสัมผัสได้ถึงแนวคิดที่ฝังลึกลงไปในดาบเล่มนั้นๆ!


ดังนั้นเขาจึงสามารถสื่อจิตควบคุมดาบทั้งหมดภายในนั้นได้!


ศาสตร์แห่งดาบของเย่หยวนกำลังก้าวหน้าไปอย่างช้าๆ ไม่ใช่ว่าเย่หยวนไม่มีความสามารถ แต่เป็นเพราะเขาต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการประยุกต์นำมาใช้


ซึ่ง ณ ปัจจุบัน เย่หยวนก็มีห้วงมิติบ่มเพาะพลังแห่งคาวมตาย มาแทนที่สุสานดาบ


ที่แห่งนี้มันจะช่วยให้เราเห็นข้อบกพร่องของตัวเองและสิ่งที่ขาดตกไปอย่างชัดเจน เพราะสิ่งที่กำลังต่อสู้กับเราคือตัวเราเอง


สำหรับคนที่สามารถฆ่าตัวเองในมิติบ่มเพาะแห่งความตายครั้งแล้วครั้งเล่า นี่หาใช่ความบังเอิญ


หลังจากที่เย่หยวนทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นปลาย เขาก็เข้าขัดเกลาฝีมือภายในห้วงมิติบ่มเพาะแห่งความตายอีกหลายครั้ง จนในที่สุดเขาก็สามารถนำแนวคิดที่เข้าใจมาประยุกต์ใช้กับกระบวนท่าได้อย่างสมบูรณ์แบบ


และครั้งสุดท้ายที่เย่หยวนอยู่ในห้วงมิติบ่มเพาะแห่งความตาย เขาก็ปลุกกระตุ้นให้ดับเงาสยบมารมาถึงขีดจำกัดได้ สิ่งนี้ช่วยเพิ่มทวีความเร็วของเขาได้ อันเนื่องมาจากเขาสามารถนำความเข้าใจต่อห้วงมิติมาประยุกต์ใช้ได้อย่างสมบูรณ์!


คล้อยหลังที่แนวคิดแห่งห้วงมิติผสานรวมกับวรยุทธต่อสู้จนเป็นหนึ่ง จึงทำให้ดับเงาสยบมารของเย่หยวนรวดเร็วจนสามารถสร้างภาพซ้อนและเคลื่อนไหวเป็นธรรมชาติได้มากขึ้น



สีหน้าการแสดงออกของไคซินเปลี่ยนไปอย่างมาก เขาค้นพบว่าแท้ที่จริงแล้ว ตนกลับไม่สามารถไล่ตามความเร็วของเย่หยวนได้ทันอีกต่อไป!


เขาเพียงเอ่ยกล่าวเพื่อยั่วยุให้เย่หยวนสำแดงใช้ดับเงาสยบทมารออกมา แต่กลับคาดไม่ถึงเลยว่า สิ่งที่เขาได้เห็นในปัจจุบัน คือดับเงาสยบมารในฉบับที่วิวัฒนาการไปอีกขั้นแล้ว!


“เทวรูปเทพอสูรเทวะ จงเข้าปกป้องตัวข้า!”


ทันทีทันใดนั้นเอง เทวรูปขนาดมหึมาเสมือนจริงพลันปรากฏขึ้นอยู่ด้านหลัง!


เทวรูปร่างนี้นอนหมอบอยู่บนพื้นพร้อมร่างของมันที่ปกคลุมปกป้องไคซินอย่างแน่นหนา


จากนั้นทั่วทั้งบริเวณโดยรอบพลันระเบิดขึ้นในทันใด


บูม! บูม! บูม!


ทุกคนโดยรอบเห็นเพียงร่างของเย่หยวนที่ทับซ้อนไสวถูกเทวรูปร่างมหึมาตบทับก่อเกิดแรงระเบิดนับครั้งไม่ถ้วนในชั่วอึดใจ!


บูมมมม!


หลังจากแรงระเบิดครั้งใหญ่ปะทุเดือด เทวรูปขนาดมหึมาก็อันตรธานหายไป พร้อมกับร่างของไคซินที่ถูกซัดกระเด็นออกไป


ในขณะที่ในที่สุดร่างของเย่หยวนก็เผยตัวขึ้นมาอีกครั้งในสภาพที่มอมแมมทั้งตัว


แม้เขาจะสามารถประยุกต์ใช้แนวคิดได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่พลังที่นำใช้ออกไปของดับเงาสยบมารมีปริมาณมหาศาลเกินไป ทำให้พลังปราณเทวะของเย่หยวนถูกบริโภคไปมิใช่น้อย


บนอัฒจันทร์ยามนี้พลันเงียบสนิท


ทุกคนต่างตกตะลึงยิ่งกับภาพฉากนี้!


ราชันแห่งลานประลองเลือดของพวกเขาถูกใครบางคนซัดกระเด็นออกไปได้?


ยิ่งไปกว่านั้น คนที่ซัดเขากระเด็นออกไปได้ยังเป็นเพียงแม่ทัพปีศาจชั้นปลายเท่านั้น!


ในเมืองหลวงคาโปนแห่งนี้ ไม่มีใครเคยคิดฝันมาก่อนเลยว่า จะมีใครสู้ข้ามระดับและสามารถเอาชนะไคซินได้!


ทว่าเย่หยวนกลับทำไปแล้ว!


ตอนที่ 1500 วิญญาณเทพมารสวรรค์ฟ้า ปะทะ รุ่งเบิกอรุณ!

โดย

Ink Stone_Fantasy

“สายตาข้ามีปัญหากระมัง? ท่านไควินพ่ายแพ้ได้อย่างไร?”


“บรรพกาลราตรีผู้นี้…ช่างแกร่งกล้ายิ่งนัก! แข็งแกร่งเกินไปจริงๆ!”


“เขาเป็นเพียงแม่ทัพปีศาจชั้นปลายมิใช่รึ? กลับสามารถเอาชนะจอมทัพปีศาจครึ่งขั้นอย่างท่านไคซินได้จริงๆ!”


“โดยปกติแล้ว ท่านไคซินมักข้าระดับสัประยุทธ์มาโดยตลอดสิบปีในลานประลองเลือดแห่งนี้! กลับนึกไม่ถึงเสีย วันนี้พลาดท่าให้กับคนที่ข้ามระดับสู้เช่นกัน นี่…นี่ช่างน่าเหลือเชื่อ!”



เสียงโห่ร้องแผดดั่งหลั่งไหลดุจน้ำขึ้นน้ำลง สิ่งที่เข้ามาแทนที่คำสรรเสริญคือเสียงอุทานแซ่ซ้อง


ทันทีทันใดฝ่ายที่สนับสนุนไคซินเริ่มรวนเรสับสน


สิ่งที่พวกเขาเห็นคือ วีรบุรุษของพวกเขาถูกโค่นลงในพริบตา


ในที่สุด พวกเขาก็ตระหนักได้ว่า เย่หยวนหาใช่พวกโง่เขลาแสวงหาความตายไม่ เขามีทุนรอนฝีมือแสนน่าประทับใจ!


“ฮ่าๆๆ ไคหลาน เมื่อครู่เจ้ามิได้เอ่ยกล่าวเอ้ยรึว่า ไคซินจะบดขยี้เขาเป็นเนื้อสับ? อ้าว ไฉนตอนนี้ไม่อยากคุยโม้กับข้าแล้ว? กล่าวมาเลยกล่าวมา ข้าพร้อมรับฟังอยู่!”


เมื่อฟางหลินเห็นภาพฉากนี้ เขาก็อดเอ่ยปากประชดประชันอีกฝ่ายมิได้


สีหน้าการแสดงออกของไคหลานน่าเกลียดถึงขีดสุด เขาก่นเสียงเย็นคำโตกล่าวว่า


“นี่ยังไม่จบ! เจ้าคิดว่าเด็กนั้นจะสำแดงใช้กระบวนท่านี้ได้กี่ครั้งเชียว?”


ฟานหลินยิ้มกล่าวว่า


“จุจุ ใช้อีกสักครั้งน่าจะเกินพอแล้ว! เจ้าดูสภาพของไคซินเสียก่อน จะทนอีกสักครั้งไหวหรือไม่?”


ในเวลานี้เอง พลังปีศาจอันน่าสะพรึงพลันที่ปะทุคลั่งออกมาจากร่างไคซิน้เริ่มเบาบางลงอย่างเห็นได้ชัด


กระบวนท่าดับเงาสยบมารของเย่หยวนเหี้ยมโหดเกินบรรยาย กระทั่งเทวรูปเทพอสูรเทวะช่วยลดทอนพลานุภาพไปโดยส่วนใหญ่แล้ว ทว่าสุดท้ายนี้ก็ยังทำให้ไคซินได้รับบาดเจ็บสาหัส


เมื่อเทียบกับอาการบาดเจ็บของเย่หยวนก่อนหน้าแล้ว อาการของเขา ณ ปัจจุบันสาหัสกว่ามาก


จนถึงตอนนี้ไคซินยังไม่กล้าเชื่อสายตาตนเอง แค่หนึ่งปี เย่หยวนเติบโตพัฒนาขนาดนี้ได้อย่างไร?


ก่อนหน้านี้ ไคซินยังหยามเหยียดเย่หยวนไปหมาดๆ เมื่อพินิจมองรูปการณ์ณืในปัจจุบันเกรงว่าจะไม่ใช่แล้ว!


มิเพียงแต่เย่หยวนจะทะลวงขึ้นกลายเป็นแม่ทัพปีศาจชั้นปลายได้ แต่เขายังสั่งสมพลังปราณรวบรวมอาณาจักรจนรากฐานพลังมั่นคงแน่นหนา โดยปราศจากร่องรอยไร้เสถียรภาพแม้นสักนิด


“ดี! ดี! ดีมาก! บรรพกาลราตรี เจ้าสามารถบังคับเรานายน้อยได้ถึงขั้นนี้ จงภูมิใจในตัวเองเสีย! หากกว่าคาดเดาของข้าถูกต้อง เจ้าคงต้องการสำแดงใช้กระบวนท่านี้เป็นคำรบสองกระมัง?”


ไคซินเอ่ยกล่าวขึ้นพร้อมสีหน้าสุดมืดทมิฬเข้ม


เย่หยวนเหลียบมองอีกฝ่ายดั่งว่าไม่แยแสนัก เอ่ยกล่าวเสียงเรียบเย็นว่า


“หากใช่ก็ใช่ ถ้ามิใช่คงมิใช่?”


ไคซินกรนเสียงเย็นตอกกลับว่า


“จะใช่หรือไม่ เจ้าก็หนีความตายไม่พ้น! ไอเทพอสูรจงแผ่ซ่าน เทพมารสวรรค์ฟ้า!”


ตึงงง!


ร่างภูตมารสวรรค์ฟ้าขนาดมหึมาผนึกควบแน่นขึ้นจากไอปีศาจทมิฬแสนน่าสะพรึง ก่อตัวขึ้นเหนือศีรษะของไคซิน


พลังวิญญาณทั่วฟ้าดินเข้าระดมเสริมสร้างความแกร่งกล้าให้แก่ร่างภูตมารสวรรค์ฟ้าเพิ่มทวี


แรงกดดันปีศาจอันน่าสะพรึงเข้าครอบคลุมทั่วทั้งบริเวณจนทุกคนแทบหยุดหายใจ


“นั้นมันวิญญาณเทพมารสวรรค์ฟ้า! สวรรค์! ท่านไคซินสามารถอัญเชิญวิญญาณเทพมารสวรรค์ฟ้าออกมาได้แล้ว!”


“วิญญาณเทพมารสวรรค์ฟ้า! เมื่ออัญเชิญขึ้นมา ไม่เพียงจะช่วยฟื้นฟูพลังงานกลับคืนได้ทันที แต่มันยังสามารถร่ายเวทย์ต้องห้ามโบราณเพพื่อเร่งพลังจำนวนมหาศาลออกมาได้! ความน่ากลัวของมันสุดจะพรรณนาเกินไป!”


“พรสวรรค์ของบรรพกาลราตรีผู้นี้ช่างน่าทึ่งก็จริง แต่ไคซินกลับน่ากลัวเสียยิ่งกว่า! น่ากลัวเกินขอบเขตนึกคิดจินตนาการได้ สุดท้ายนี้บรรพกาลราตรีก็ยากที่จะรอดพ้นจากความตาย!”



ณ ช่วงเวลานี้เอง กระบวนเคลื่อนไหวของไคซินถูกปลดปล่อย ทุกคนต่างสะท้านขวัญยิ่งด้วยความครั่นคร้าม


การอัญเชิญวิญญาณเทพมารสวรรค์ฟ้า เป็นศาสตร์วิชาลับเฉพาะของเผ่าปีศาจ และยากเกินจะฝึกปรือ


ผู้ที่สามารถเรียกวิญญาณเทพมารสววรรค์ฟ้าออกมาได้ ล้วนแต่เป็นยอดอัจฉริยะแห่งเผ่าปีศาจทั้งสิ้น


เมื่อพบเห็นฉากนี้ อินทรีโลหิตสีหน้าดูไม่สู้ดีเท่าใดนัก


“มันจบแล้ว! นี่ยังคงเป็นอีกฝ่ายที่คว้าชัยไป! ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่า ไคซินจะสามารถอัญเชิญวิญญาณเทพมารสวรรค์ฟ้าออกมาได้แล้ว!”


คุนหมิงขมวดคิ้วแน่น


“ดูเหมือนว่าใครแพ้ชนะกลับถูกตัดสินแล้ว!”


ณ อัฒจันทร์ระดับสาม ชายที่นั่งข้างอวี้หานพลันขมวดคิ้วขึ้น ก่อนจะคลายอ่อนลงพร้อมรอยยิ้มจางๆ เขากล่าวว่า


“ดูเหมือนว่าเขายังหาใช่คู่มือของไคซินในท้ายที่สุด! เด็กหนุ่มมากพรสวรรค์เช่นนี้…น่าเสียดายนัก!”


สีหน้าการแสดงออกของอวี้หานเองก็เผยถึงความประหลาดใจไม่ต่าง ทว่านางยิ้มตอบว่า


“ยินดีด้วยท่านเจ้าเมืองไคหลง ท่านมีผู้สืบทอดที่คู่ควรแล้ว! บรรพกาลราตรีเป็นเด็กหนุ่มมากพรสวรรค์ แต่ดูเหมือนว่า…เขาจะรีบร้อนเกินไปเสียหน่อย”


ปรากฏว่าชายที่อยู่นั่งข้างๆอวี้หานก็คือ เจ้าเมืองหลวงคาโปน ไคหลง!


พินิจจากน้ำเสียงท่าทางการวางตัว คล้ายว่าพวกเขาสองคนนี้จะมีระดับสถานนะศักดิ์เท่าเทียมกัน


ไคหลงที่ได้ยินเช่นนั้นพลันคลี่ยิ้มและกล่าวว่า


“ดูเหมือนว่า เจ้าจะไม่มีทางเลือกอื่นแล้วเช่นกัน!”


อวี้หานยิ้มแต่มิได้เอ่ยกล่าวอันใด


ในเวลานี้เอง วิญญาณเทพอสูรมารสวรรค์ฟ้าเหนือศีรษะของไคซินก็ค่อยๆลอยลงมา พร้อมเข้าหลอมรวมกับร่างกายของเขา!


ทันใดนั้นเองพลังปราณปีศาจพลันปะทุคลั่งออกมาจนล้นปรี่!


ไคซินค่อยๆลืมตาขึ้นพร้อมนัยน์ตาทั้งสองที่กลายเป็นสีดำสนิท


“ฮ่าๆๆ ช่างทรงพลังอะไรเยี่ยงนี้! นี่ทำให้ข้าเลือดร้อนขึ้นแล้ว! บรรพกาลราตรี ข้าขอยอมรับเลยว่า เจ้านั้นแข็งแกร่งจริงๆ! แต่สุดท้ายนี้ก็ยังต้องตาย! วิชาลับเทพมารสวรรค์ฟ้านี้ทรงพลังไร้ที่สิ้นสุด! เพลงหมัดเหล็กเทพอสูรคลั่ง!”


ไคซินกรีดร้องน้ำเสียงฉีกห้วงอากาศ ทันทีทันใดร่างของเขาพลันอันตรธานหายวับไป


ในขณะนั้นเอง ร่างเย่หยวนก็ไสววูบหายลับตาฝูงชนไปเช่นกัน


“ดับเงาสยบมาร!”


ณ เวลาเดียวกัน เย่หยวนก็กรีดร้องขึ้นเข้าประจัญบานทันทีล


บูมม! บูมม! บูมม!


บนลานประลอง เสียงปราดปะทุดังระงมไม่หยุดหย่อน


พลังแห่งแนวคิดของทั้งสองช่างน่าสะพรึงและลึกล้ำยิ่งแล้ว


อย่างไรก็ตามแต่ กลับไม่มีใครสามารถมองร่างของทั้งคู่ได้ทันเลย


คล้ายว่าพวกเขาทั้งสองหายลับไปกลางอากาศ ปรากฏเพียงเสียง


ลู่ลมต้านปะทะดังชัดเจนประจักษ์รูหู


แม้จะไม่มีใครมองเห็น ทว่าทุกคนก็รู้สึกระทึกใจแทบลืมหายใจ


“ใครเป็นรองใครอยู่? ข้ามองไม่เห็นเลย!”


“ยังจำต้องกล่าวอีกงั้นรึ? ก็ต้องเป็นท่านำคซินอยู่แล้ว! ยามนี้เขาเอาจริงโดยการสำแดงวิญญาณเทพมารสวรรค์ฟ้าออกมาแล้ว พลังปราณปีศาจระดมถาโถมเข้ามาได้ไม่ในสิ้นสุด นอกจากนี้ยังมีวิชาลับอื่นๆคอยเกื้อกูล เพียงเท่านี้ก็ไล่ตามความเร็วของบรรพกาลราตรีได้แล้ว!”


“โชคดี โชคดีจริงๆ! ข้าเดิมพันฝ่ายท่านไคซินด้วนทรัพย์สินทั้งหมดที่มี แต่ไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่า บรรพกาลราตรีจะเป็นม้ามืดเช่นนี้! ข้าเกือบเสียทุกอย่างไปแล้ว!”


“เหอะ มิใช่เลย! การเคลื่อนไหวของบรรพกาลราตรีแข็งแกร่งก็จริง แต่เขากลับรักษาเสถียรได้เป็นช่วงเวลาสั้นๆเท่านั้น”



ทุกคนได้ยินเพียงเสียงปะทุดังตูมตามจากมุมหนึ่งของลานประลอง สิ่งนี้ใช้เป็นตัวกำหนดตัวแหน่งของพวกเขาในปัจจุบันได้


ในเสี้ยวพริบตาต่อมา หลายสิบอึดใจก็ผ่านพ้นไป


ทั่วลานประลองเงียบลง


“รุ่งเบิกอรุณ!”


เสียงระเบิดดังขึ้นทั่วทั้งลานประลอง ควันฝุ่นและเศษหินเศษทรายกระจายไปทั่วสารทิศ


ในที่สุด สุ้มเสียงการต่อสู้อันแสนรุนแรงก็จบลง


ฝุ่นควันกระจายตัว ปรากฏร่างสภาพมอมแมมอยู่สองคนต่อหน้าทุกคน


เย่หยวนหอบหายใจถี่ตระหนี่ สีหน้าซัดขาวหนัก ไม่ทราบเลยว่ามีกี่ร้อยบาดแผลที่ถูกฟาดฟันบนร่างกาย พร้อมร่างที่ย้อมไปด้วยสีเลือดน่าสยดสยอง


อย่างไรก็ตาม สภาพของไคซินในตอนนี้กลับเลวร้ายเสียยิ่งกว่า!


วิญญาณเทพมารสวรรค์ฟ้าได้สูญสลายไปแล้วโดยถูกกายเนื้ออันแกร่งกร้าวของเย่หยวนซัดกระหน่ำไป


สายตาของไคซินจับจ้องเขม็งใส่เย่หยวน พลางกัดฟันแน่นด้วยความเกลียดชังกล่าวว่า


“เจ้ายังมี…ไม้เด็ดอยู่อีก!”


ไม้เด็ดที่ว่าของเย่หยวนคือ เพลงดาบสวรรค์เบิกฟ้ารูปแบบที่สาม รุ่งเบิกอรุณ!


กระบวนเคลื่อนไหวนี้สามารถโค่นล้มสรรพสิ่งใต้สวรรค์ได้!


ภายใต้สภาวะของดับเงาสยบมารที่เย่หยวนเร่งความเร็วถึงขีดสุด เขาได้สำแดงใช้รุ่งเบิกอรุณเข้าบดขยี้วิญญาณเทพมารสวรรค์ฟ้าของไคซินจะเละเป็นผุยผง


เย่หยวนแสยะยิ้มกล่าวว่า


“ข้าเคยกล่าวไปแล้ว เจ้าเอาชนะข้าไม่ได้ นั้นเป็นเพราะ…เจ้ายังไม่เคยปะทะกับข้าเลย!”


“ฮ่าๆๆ…”


ทันใดนั้นเองไคซินก็ระเบิดหัวเราะดังลั่นอย่างเดือดดุ เขาจับจ้องไปที่เย่หยวนและเอ่ยกล่าวขึ้นด้วยความสงสาร


“เจ้าคิดว่ามันจบแล้วรึ? ในเมื่อข้าไม่สามารถฆ่าเจ้าได้ด้วยพลังระดับแม่ทัพปีศาจ เช่นนั้ข้าก็จักใช้ขุมพลังแห่งจอมทัพปีศาจเพื่อฆ่าเจ้า!”


ตอนที่ 1501 ผงจองจำวิญญาณ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ได้ยินเสียงหัวเราะสุดแสนป่าเถื่อนของไคซิน ร่างของคุนหมิงพลันสั่นสะท้านนัก


“ผงโอสถนี้ใช้เพื่อทำให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะสู้กับข้าอย่างยุติธรรม”


ทันทีทันใด คุนหมิงพลันได้ยินคำพูดของเย่หยวนในตอนนั้นดังก้องอยู่ในหู เขาตระหนักได้ทันทีว่า ผงโอสถนั้นมีไว้เพื่อมิให้ไคซินทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรจอมทัพปีศาจได้ในวินาทีสุดท้าย!


แต่ผงโอสถนั้นจะมีประสิทธิภาพจริงๆงั้นรึ?


“คุนหมิง เจ้าเป็นอะไรไป?”


ทันใดนั้นเอง อินทรีโลหิตก็เอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย


คุนหมิงส่ายหัวและกล่าวว่า


“ไม่มีอะไร! ข้าสงสัยเสียเหลือเกิน คุนหมิงจะเลื่อนระดับชั้นสำเร็จหรือไม่ หากทำได้สำเร็จ บรรพกาลราตรีจักตกอยู่ในอนาคต!”


แม้อินทรีโลหิตกับเขาทั้งคู่จะอยู่ในโถงโลหิตปรโลกเช่นเดียวกัน แต่เรื่องแบบนี้ยิ่งคนรู้น้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดี


ไคซินเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งตระกูลไค และยังเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าเมืองในอนาคตอีกด้วย


เมื่อข่าวรั่วไหลออกไป มันคงกลายเป็นเรื่องน่าลำบากใจนัก


ดังนั้นยิ่งมีคนรู้น้อยก็ยิ่งดี


การจะฆ่าใครไม่จำเป็นต้องใช้อาวุธเสมอไป


โถงนักฆ่านั้นทรงพลังเพียงใด มีเพียงเขาที่เป็นประมุขโถงและประมุขใหญ่แห่งโถงโลหิตปรโลกเท่านั้นที่ทราบ


ในที่สองหลังจากที่เย่หยวนมอบถุงบรรจุผงโอสถให้ เขาก็ลอบใส่ลงไปในน้ำดื่มและให้ไคซินกินลงไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว


และตอนนี้ดูเหมือนว่าถึงเวลาที่ผงโอสถชนิดนี้จะออกโรงแล้ว


แต่สีหน้าการแสดงออกของอินทรีโลหิตกลับบิดเบี้ยวน่าเกลียดยิ่ง เขากล่าวว่า


“อาศัยความแกร่งกล้าของไคซิน การเลื่อนระดับชั้นน่าจะไม่มีปัญหาอันใด ตอนนี้มันขึ้นอยู่กับว่าบรรพกาลราตรีจะฟื้นพลังปราณปีศาจได้เร็วพอหรือไม่”


ทั้งสองล้วนมาถึงจุดที่อ่อนล้าสุดขีดแล้ว ใครฟื้นพลังเสร็จก่อนเป็นผู้ชนะ!


เย่หยวนหาได้แยแสวาจาเย้ยเยาะของไคซินแม้แต่น้อย เขาหยิบโอสถออกมาเม็ดหนึ่งพร้อมตบเข้าปากทันทีเพื่อฟื้นฟูพลังปราณปีศาจ


หัวใจของทุกคนแทบจะกระโจนออกมาลำคอเมื่อเฝ้าดูภาพฉากนี้


พลังวิญญาณจากทั่วสารทิศระดมเข้าสู่กายาไคซิน มันระเบิดหัวเราะคลั่งไม่หยุดหย่อน


ตราบใดทีที่ไคซินเลื่อนระดับชั้นได้ พลังวิญญาณทั้งหมดโดยรอบจะถูกดูดซับและเข้ามาเติมเต็มกลายมาเป็นพลังปราณปีศาจเอง!


เผ่าปีศาจบ่มเพาะจิตวิญญาณปีศาจเป็นหลัก ไคซินปลดปล่อยพลังวิญญาณปีศาจออกมาทั้งหมด และเริ่มเชื่อมต่อกับศาสตร์แห่งสวรรค์ในทันใด


ตราบเท่านที่เขาได้การยอมรับจากศาสตร์แห่งสวรรค์ วิญญาณปีศาจของเขาจะพัฒนาไปอีกก้าวหนึ่ง และทะลวงขึ้นกลายเป็นจอมทัพปีศาจได้อย่างราบรื่น


แต่ทันทีทันใด สีหน้าการแสดงออกของไคซินพลันเปลี่ยนไปอย่างมาก


เขาพบว่าวิญญาณปีศาจของตนราวกับวิ่งชนกำแพงอย่างแรง และมิอาจข้ามฝ่าไปได้เลย!


ระดับชั้นจอมทัพปีศาจอยู่ใกล้แค่ปลายจมูก แต่ตอนนี้กลับอยู่เหนือความเข้าใจ


ความรู้สึกราวกับภาพสะท้อนจันทราในธารน้ำ เขามองเห็นมันชัดแจ้ง แต่กลับไม่สามารถสัมผัสได้จนทำให้เขาแทบคลั่ง


“บัดซบ! จงเลื่อนระดับชั้น! เกิดอะไรขึ้นกัน?!”


ไคซินกรีดร้องอยู่ภายในใจ


“หื้ม? เกิดอะไรขึ้นกัน? ท่านไคซิน…สถานการณ์ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่ถูกต้องนัก”


“ด้วยความแข็งแกร่งของเขา การข้ามฝ่าปัญหาคอขวดกลับมิใช่เรื่องยาก แต่ไฉนตอนนี้วิญญาณปีศาจของเขากลับแสดงสัญญาณไม่ค่อยสู้ดีนัก?”


“ไม่มีทาง? ท่านไคซินไม่สามารถเลื่อนระดับชั้นได้จริงหรือนี่? มันเป็นไปได้อย่างไร?”



ในไม่ช้า เหล่าฝูงชนก็เริ่มพบเห็นสิ่งผิดปกติ


พลังวิญญาณปีศาจที่กำลังรวมตัวผนึกเข้าหากับกลับเริ่มส่งสัญญาณกระจายตัวออก


สิ่งนี้ทำให้ทุกคนสุดแสนจะงงงวยยิ่ง


สีหน้าการแสดงออกของคุนหมิงเปลี่ยนไปดูจริงจังขึ้นหลายส่วน พลันก่อกำเนิดคลื่นยักษ์ถาโถมเข้าสู่จิตใจในทันใด


มันได้ผล!


หน้าที่ของผงโอสถนั้นคือ ป้องกันมิให้ไคซินเลื่อนระดับชั้นจริงๆ!


คุนหมิงในฐานะประมุขโถงนักฆ่า ย่อมกล่าวได้ว่าเขาเป็นคนที่มากทั้งประสบการณ์และความรู้


แต่เขากลับไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่า จะมีผงโอสถชนิดใดที่สามารถป้องกันมิให้ผู้ที่รับประทานเข้าไปไม่สามารถเลื่อนระดับชั้นได้


ผงโอสถนี้กระทั่งภูตผีเทพเซียนยังไม่รู้จักโดยแท้!


ยิ่งไปกว่านั้นคือ เย่หยวนยังด้วยว่า ผงโอสถนี้มีฤทธิ์ต่อเซียนระดับชั้นอย่างไคซิน


หากไม่เชื่อเรื่องนากรีตเช่นนี้ และเขาลองด้วยตัวเอง ปานนี้คุนหมิงคงไม่สามารถเลื่อนระดับชั้นได้แล้วชั่วชีวิตกระมัง?


บนอัฒจันทร์ระดับสาม อวี้หานจับจ้องไปที่เย่หยวนพร้อมคลี่ยิ้มขึ้นช้าๆ


“ดูเหมือนว่าบทสรุปใกล้มาถึงแล้ว! เจ้าเมืองไคหลง เรื่องนี้คงมิอาจโทษข้าได้กระมัง?”


อวี้หานเอ่ยกล่าวกับไคซินพร้อมรอยยิ้ม


ทว่าไคหลงกลับดูไม่สนใจใยดีนัก และกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า


“ท่านประมุขโถงอวี้หานใจดีเกินไปแล้ว! เมื่อมาถึงระดับชั้นจ้าวทัพปีศาจ ล้วนมองเห็นผู้คนเป็นมดปลวก การที่ไคซินแพ้เย่หยวนนั้นหมายความว่าเขายังไม่แข็งแกร่งพอ ดังนั้นข้าจะโทษท่านได้อย่างไร? พวกเรามีหน้าที่เพียงเฝ้าดูเหล่าเยาวชนเติบโตเท่านั้น”


หากเย่หยวนมาได้ยินสิ่งนี้เข้า เขาจะต้องตื่นตะลึงอย่างยิ่ง


อวี้หานที่เล่นหูเล่นตากับเย่หยวนในครานั้น ปรากฏว่าตัวตนที่แท้จริงของนางคือ ประมุขแห่งโถงโลหิตปรโลก!


และนางเองก็ยังเป็นจ้าวทัพปัศาจระดับชั้นเดียวกับเจ้าเมืองไคหลงอีกด้วย!


เมื่อไคหลงเอ่ยกล่าวไปเช่นนั้น อวี้หานพลันยิ้มเอ่ยตอบว่า


“ขอบคุณที่เจ้าเมืองไม่ตำหนิข้า! เจ้ามั่นใจได้เลย ข้าเป็นหนี้บุญคุณของเจ้าในครั้งนี้”


ไคหลงขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนหันจับจ้องอวี้หานด้วยสายตาผิดแปลก


“ความดีความชอบของประมุขโถงอวี้หาน มีค่าเสียกว่าพวกเด็กเยาวชนเหล่านี้มาก”



เย่หยวนย่างก้าวตรงเข้าหาไคซินอย่างแช่มช้า และกล่าวเสียงเรียบนิ่งว่า


“ข้าบอกแล้ว เจ้าเอาชนะข้าไม่ได้ เห็นหรือไม่? ไม่มีใครให้กำลังใจเจ้าอีกต่อไปแล้ว?”


ในท้ายที่สุดนี้ กลางใบหน้าของไคซินพลันฉายแววตื่นตระหนกขึ้นมาทันที


“เป็นไปไม่ได้! ไฉนข้าถึงเลื่อนระดับไม่ได้!? นี่…นี่เป็นไปได้อย่างไร?!”


คำว่าล้มเหลวและผิดหวังเปี่ยมล้นทั่วทั้งใบหน้าของไคซิน เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ตนจะต้องประสบความล้มเหลวในการเลื่อนระดับชั้นเช่นนี้!


เรื่องนี้ไม่นับเป็นอันใดสำหรับเย่หยวน เขาวางแผนนี้มานานกว่าหนึ่งปี เพื่อสกัดกั้นมิให้อีกฝ่ายเลื่อนระดับชั้นได้


ทุกอย่างล้วนถูกลิขิตไว้แล้วตั้งแต่ตอนที่ไคซินตัดสินใจหันคมมีดใส่เย่หยวน


เย่หยวนเคยเห็นฉินเทียนเลื่อนระดับชั้นในเสี้ยวหัวเลี้ยวหัวต่อสุดท้าย และทำให้ตัวเขาเกือบแย่ ดังนั้นเขาจะให้มันเกิดขึ้นซ้ำสองได้อย่างไร?


ผงโอสถนั้นเรียกว่า ผงจองจำวิญญาณ ซึ่งผลิตมาพิเศษสำหรับกักขังวิญญาณของเผ่าปีศาจ


ตราบใดที่พวกปีศาจได้รับผงจองจำวิญญาณเข้ากายไป มันจะเข้าทำลายวิญญาณปีศาจให้พิการโดยตรง และมิให้วิญญาณสามารถเชื่อมต่อกับศาสตร์แห่งสวรรค์ได้อีกชั่วชีวิต!


ผงจองจำวิญญาณไร้สีไร้กลิ่นและยังไม่ก่อเกิดอันตรายใดๆต่อความแข็งแกร่งของผู้บริโภค


ทว่าพวกเขาก็ลืมเรื่องเลื่อนระดับชั้นไปได้เลยในชั่วชีวิตนี้


พวกเขาจะไม่รู้อะไรเลยจนวันสุดท้ายของชีวิต


อย่างไรก็ตาม ผงจองจำวิญญาณนี้ไม่ส่งผลกระทบใดๆต่อพวกคนอย่างคุนหมิง เพราะในชั่วชีวิตนี้ ถึงยังไงพวกเขาก็ไม่สามารถเลื่อนระดับชั้นได้อีกต่อไปแล้ว แต่สำหรับยอดอัจฉริยะผู้โดดเด่น ผงโอสถชนิดนี้นับเป็นการสกัดดาวรุ่งอย่างจัง


“เป็นไปไม่ได้! ข้าคือราชันแห่งลานประลองเลือด! ข้าจะแพ้แม่ทัพปีศาจชั้นปลายตัวนี้ได้อย่างไน! อ๊ากกก! ข้าจะฆ่าเจ้า!”


ไคซินคำรามลั่นด้วยความเกรี้ยวโกรธ แต่จู่โจมใส่เย่หยวนทันที


อย่างไรก็ตามแต่ ด้วยสถานะปัจจุบันของเขา กลับไม่สามารถสร้างภัยคุกคามใดๆต่อเย่หยวนได้เลย


เย่หยวนมองอีกฝ่ายด้วยความสมเพชใจและกล่าวขึ้นอย่างสงสารขึ้นว่า


“ยามเจ้าจมอยู่แต่ความสำเร็จในกาลอดีต เช่นนั้นวันนี้คือวาระสุดท้ายของเจ้า ราชันแห่งลานประลองเลือด? ช่างเป็นเกียรติยศที่ไร้สาระจริงๆ!”


ดาวยาวส่องประกายเหวี่ยงสะบัดใส่แกนวิญญาณปีศาจของไคซินโดยตรง ไม่มีเปิดโอกาสช่องโหว่ใดๆ


ทั่วทั้งลานประลองพลันเงียบสงัด


แม้ว่าพวกเขาจะทราบผลลัพธ์นานแล้ว แต่เมื่อมาเห็นกับตา พวกเขาก็ยังไม่อยากจะเชื่ออยู่ดี


ราชันแห่งลานประลองเลือด ตำนานแห่งสังเวียนเดือดกำลังจะพ่ายแพ้งั้นรึ?


ชายหนุ่มผู้หล่อเหลานั้นคือใครกันแน่!?


“การประลองครั้งนี้ บรรพกาลราตรีเป็นฝ่ายชนะ! ไคซินแพ้!”


ในที่สุดเสียงป่าวประกาศก็ดังขึ้นทำลายบรรยากาศอันเงียบงัดจนแตกเป็นเสี่ยง


ตอนที่ 1502 ดึงดูดชื่อเสียง

โดย

Ink Stone_Fantasy

แม้แต่อินทรีโลหิตยังเกิดอาหารแทบไม่อยู่ ยามนี้แทบกระโดดโหย่งไปมาด้วยความดีใจ


เขารู้สึกตื่นเต้นเสียเหลือเกิน แทนที่จะขาดทุน ทว่าการประลองเพียงครั้งนี้กลับได้กำไรกลับมาเท่ากับทำงานอย่างหนักหลายปี!


ส่วนเงินที่เสียพนันข้างเย่หยวน เพียงพัดผ่านดั่งสายลม


ลานประลองเลือดเป็นโถงที่ทำกำไรมากที่สุดในบรรดาโถงทั้งสามแห่งโถงโลหิตปรโลก กล่าวได้ว่าเป็นแหล่งทำเงินชุบทองคำอีกชั้นโต


แต่การเก็บเกี่ยวกำไรครั้งมหาศาลเช่นนี้กลับไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์!


เมื่อหักส่วนจ่ายให้ผู้เดิมพันฝั่งเย่หยวนไป และกำไรที่เหลือก็ยังมีมากกว่าหนึ่งพันล้านผลึกปราณปีศาจ!


“ฮ่าๆๆๆ ท่านประลองโถงช่างมองการณ์ไกล เก็บเกี่ยวควาวนี้ได้รับดอกผลง่ายเกินไปนัก! ข้าไม่คิดไม่ฝันจริงๆ! ไม่คิดมาก่อนเลย!! หรือใครจะไปคิดว่า แม่ทัพปีศาจชั้นกปลายจะสามารถเอาชนะราชันแห่งลานประลองเลือดได้จริงๆ?”


อินทรีโลหิตกล่าวขึ้นด้วยความตื่นเต้น


วันนี้ ลานประลองโลหิตได้รับกำไรมหาศาล เขาผู้เป็นประมุขโถงแห่งนี้ยืดหลังเหยียดไหล่ขึ้นตรงด้วยความภาคภูมิใจ


เห็นได้ชัดว่า คุนหมิงตื่นเต้นไม่เท่าอินทรีโลหิต เขาเอ่ยขึ้นอย่างเฉยเมยว่า


“เฮ้อ…สุดท้ายก็ยังเป็นท่านประมุขโถงที่สายตาเฉียบคมยิ่งนัก เด็กหนุ่มคนนั้นหาใช่ตื้นเขินอย่างแน่นอน พรสวรรค์ของเขาน่าสะพรึงกลัวเกินไป!”


มีไม่กี่ตระกูลดีอกดีใจ และส่วนใหญ่ต่างโศกเศร้ายิ่งกว่าอะไร!


เมื่อเทียบกับเสียงร้องดีใจของอินทรีโลหิต ด้านนอกก็เต็มไปด้วยเสียงร่ำไห้ดังกึกก้อง


“มันจบแล้ว! จบแล้วจริงๆ! ข้าต้องโง่เพียงใด? ไฉนข้าถึงลงเดิมพันด้วยทรัพย์สินทั้งหมดของข้า! ตอนนี้ข้าไม่เหลืออะไรแล้ว!”


“ผลึกปราณปีศาจของข้า! หือ หือ… โคตรบิดาตค้องบุกน้ำลุกไฟมากมายกว่าพันปี กว่าจะสะสมผลึกปราณปีศาจได้นับหลายหมื่น แต่ทุกอย่างกลับสูญสิ้นในชั่วข้ามคืน!”


“บัดซบไคซิน! มันทำให้ข้าต้องหมดตัว! อ๊ากก! อ๊ากกก! ข้าจะบ้าตาย!”


“ฮ่าๆๆๆ กำไรงาม! ได้รับกำไรก้อนโต! ข้าเดิมพันไปห้าหมื่นผลึกปราณปีศาจ ข้าได้กลับคืนพร้อมดอกผลสิบห้าเท่าทวี! สิบห้าเท่าทวีเชียว! ฮ่าๆๆๆ”



บุคคลนั้นระเบิดหัวเราะลั่นจมอยู่กับความดีใจ จนมิได้สังเกตว่าที่หลายต่อหลายคนเหลียวจับจ้องด้วยความรังเกียจ


เหล่าฝูงชนที่อยู่โดยรอบ ส่วนใหญ่เป็นนักสู้ระดับล่างสุด


ตอนนี้พวกเขาสูญเสียทรัพย์สินไปหมดไม่เหลือแล้ว ยามนี้เครียดจัดจนดวงตากลายเป็นสีแดงก่ำ


อย่างไรก็ตาม ก็มีบางคนที่ดีอกดีใจเช่นกัน


ฟางหลินแทบกระโดดกอดหลี่จีทันทีในเวลานี้


เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า ลูกสาวคนนี้จะตาถึงขนาดนี้


เย่หยวนเป็นอาคันตุกะชั้นสูงของตระกูลฟาง โดยธรรมชาติแล้วฟางหลินก็ต้องเดิมพันข้างเขาแน่นอน


อย่างไรก็ตาม ฟางหลินเองก็มองเย่หยวนในแง่ไม่ดีนักสำหรับศึกคราวนี้


แต่เนื่องจากลงเรือลำเดียวกันแล้ว ฟางหลินจึงเดิมพันกับฝ่ายเย่หยวนไปจำนวนหนี่งล้านผลึกปราณปีศาจ


ทว่าใครจะไปคิดฝัน เพียงพริบตาเดียว เย่หยวนก็เสกเงินของเขาให้กลายมาเป็นสิบห้าล้านผลึกปราณปีศาจได้!


ต่อให้เป็นตระกูลใหญ่เฉกเช่นตระกูลฟาง แต่มูลค่าสิบห้าล้านผลึกปราณปีศาจก็หาใช่จำนวนน้อยๆเลย


และที่สำคัญที่สุดคือ ตระกูลฟางได้หน้าไปดต็มๆ!


นามขาน บรรพกาลราตรีจะดังกึกก้องไปทั่วทั้งเมืองหลวงคาโปนในค่ำคืนนี้! ตระกูลฟางจะมีมิตรสหายมากมายเข้ามาตีสนิทสร้างสัมพันธ์ไมตรีอีกมากมายนัก


“ลูกสาวสุดที่รักขอองข้า! สายตาของเจ้าช่างเฉียบคมนัก! หยิบคว้าสมบัติชิ้นนี้ให้กับตระกูลฟาง! ฮ่าๆๆๆ….”


ฟางหลินระเบิดหัวเราะลั่นด้วยความปีติดีใจ


ในขณะเดียวกัน ก็เริ่มมีขุนนางและบุคคลระดับสูงมากมายในเมืองหลวงคาโปน ตรงเข้ามาแสดงความยินดีกับเขา


ฟางหลินผู้ซึ่งเป็นประมุขตระกูลลรู้สึกถึงความภาคภูมิใจประดับใบหน้าเสียเหลือเกิน


อย่างไรก็ตามแต่ หลี่จีกลับมิได้มองในแง่ดีเหมือนฟางหลินเท่าไหร่นัก


หลี่จีรู้สึกว่าเย่หยวนมิได้รู้สึกแบบเดียวกับนางและค่อนข้างทำตัวห่างเหิน สำหรับเรื่องนี้บางทีนางอาจคิดไปอยู่ฝ่ายเดียว และดูเพ้อฝันมากเกินไปเช่นกัน


เฮ้อ..ค่อยๆไปทีละก้าวกระมัง หลี่จีคิดในใจ



ทั่วทั้งเมืองหลวงกำลังสนทนาคุยกันเรื่องเย่หยวนจนเจือแจวว่าบุคคลนี้น่าเกรงขามเพียงมด


เย่หยวนผู้นี้อัจฉริยะเกินไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องศาสตร์แห่งโอสถหรือศาสตร์แห่งการต่อสู้ก็ตามที


เมื่อกลับไปยังตระกูลฟาง เย่หยวนเข้าพักฟื้นบาดแผลหาได้รับร้อนฝึกปรือไม่ แต่ใช้เวลาเกือบทั้งวันไปกับโถงโอสถปีศาจ


เย่หยวนได้รับทรัพยากรของดีมามากมาย แทบไม่ต้องควักกระเป๋าจ่ายเองเลย


เขาในตอนนี้เปรียบเสมือนทำงานเป็นอาจารย์ในโถงโอสถปีศาจ ในขณะเดียวกัน ก็ขอหยิบใช้สมุนไพรวิญญาณต่างๆภายในนั้นเพื่อศึกษาทำความเข้าใจเพิ่มเติม


สำหรับการวิจัยของเขา ตอนนี้ยังอยู่เพียงศึกษาเกี่ยวกับสมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ระดับสอง ยังหาใช่ระดับสองขั้นสุด และเขาต้องมีประสบการณ์มากกว่านี้เสียก่อน จึงจะไปสู่ระดับขั้นนั้นได้


ทรัพยากรภายในโถงโอสถปีศาจค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ และผู้คนในนั้นเองก็นับถือเลื่อมใสเขายิ่งกว่าอะไร ดังนั้นแล้ว ที่แห่งนี้จคงเป็นสถานที่ดีที่สุดสำหรับเย่หยวนเพื่อศึกษาเรียนรู้


ดังนั้น เย่หยวนจึงหมกตัวอยู่ในโถงโอสถปีศาจมาโดยตลอด บางทียังเข้าร่วมสาหลอมกลั่นโอสถปีศาจให้ผู้คนอีกด้วย


กล่าวได้ว่า ใครก็ตามที่เดินทางมายังโถงโอสถปีศาจเพื่อขอโอสถ เย่หยวนย่อมทำตามคำร้องขอโดยไม่มีปฏิเสธใดๆ


แน่นอนที่เย่หยวนเพียรศึกษาในศาสตร์แห่งโอสถขนาดนี้ก็เพื่อ คิดค้นสูตรโอสถซ่อมแซมทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์!


เรื่องอาการป่วยของเจ้าท้วม เย่หยวนยังคงเฝ้านึกถึงอยู่เสมอ


ไม่ว่าอย่างไร เขาจะต้องรักษาทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าท้วมให้ได้ และให้เขาบ่มเพาะพลังใหม่ได้อีกครั้ง!


แต่เย่หยวนทราบดีว่า นี่หาใช่สิ่งที่จะทำได้ง่ายๆเพียงชั่วข้ามคืน


การศึกษาศาสตร์แห่งโอสถ ต้องใช้ความขยันและการวิจัยสั่งสมเป็นจำนวนมหาศาล ยิ่งเป็นโอสถระดับสูงเพียงใด การจะคิดค้นสูตรโอสถชนิดใหม่ก็ยิ่งยากขึ้นเป็นเท่าทวี


ครึ่งปีผ่านไปในพริบตา เรื่องที่ไคซินถูกเย่หยวนสังหารกลายเป็นเรื่องเมื่อนานมาแล้ว


ณ ปัจจุบันฉายาของอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวงคาโปนคือ นักปรุงกุหลาบปีศาจ


ในแต่ละวันจะมีเหล่านักสู้จำนวนมากมายยืนเรียงรายอยู่หน้าโถงโอสถปีศาจ เพื่อขอให้เย่หยวนหลอมกลั่นโอสถให้เป็นแถวยาวดั่งมังกร


เหล่าฝูงชนปีศาจแห่งเมืองหลวงคาโปนต่างภาคภูมิใจนักที่ภายในเมืองของพวกเขามีนักหลอมโอสถอันดับหนึ่งอย่าง ปรมาจารย์บรรพกาลราตรี


โอสถที่เย่หยวนหลอมกลั่นขึ้นมากับมือ ไม่ว่าจะเป็นชนิดใดล้วนแต่มีราคาสูงมากในตลาดมืด


นี่เป็นสิ่งที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ โอสถที่เย่หยวนหลอมกลั่นออกมาล้วนมีประสิทธิภาพสูงและฤทธิ์ที่รุนแรงมาก นักปรุงโอสถปีศาจคนอื่นไม่สามารถเทียบชั้นได้เลย


อย่างไรก็ตาม ตลอดึครึ่งปีมานี้ เย่หยวนก็ช่วยดัดฝีมือของเมิ่งฉีและคนอื่นๆ จนทำให้มาตรฐานของพวกเขาพัฒนาขึ้นอย่างมาก


ถึงขั้นที่ว่าห้าผู้อาวุโสแห่งโถงโอสถปีศาจจำต้องหลั่งน้ำตาด้วยความขอบคุณ


ในวันนี้เอง เมิ่งฉีตรงเข้ามาเยี่ยมเยียนเย่หยวนและเอ่ยกล่าวด้วยวาจาแสนสุภาพว่า


“ท่านอาจารย์บรรพกาลราตรี เมืองหลวงหลิงปิง เมืองหลวงมรกตทมิฬ และเหล่านักปรุงโอสถปีศาจจากโถงโอสถปีศาจสาขาเมืองหลวงราตรีม่วง ได้ยินคำลือเลื่องในด้านความสามารถของท่านอันสูงส่ง และสิ่งนี้ดึงดูดใจของพวกเขาเป็นอย่างมาก พวกเขาทุกคนล้วนต้องการมาฟังท่านบรรยายเช่นกัน สงสัยว่าท่านอาจารย์มีความคิดเห็นอย่างไร?”


เย่หยวนหรี่ตาลงเล็กน้อยและกล่าวตอบไปว่า


“พวกเจ้าเห็นการบรรยายของข้าเป็นงานการกุศลกระมัง? จะเรียกใครมาฟังก็ได้?”


เมิ่งฉีใจหายวูบเมื่อได้ฟังและรีบกล่าวตอบไปทันทีว่า


“คำกล่าวของท่านอาจารย์หนักเกินไปแล้ว ทุกคนต่างเห็นการบรรยายของท่านมีค่าดั่งอัญมณี แล้วจะใช่งานการกุศลได้อย่างไร?”


เย่หยวนเอ่ยกล่าวเสียงเรียบตอบว่า


“เหตุผลที่ข้ายังอยู่ที่นี่เป็นเพราะข้าติดหนี้บุญคุณของโถงโลหิตปรโลก สำหรับโถงโลหิตปรโลกสาขาเมืองหลวงอื่น ข้ามิเคยรู้จักคุ้ยเคยกับพวกเขา และข้าไม่อยากรู้จักเช่นกัน ให้พวกเขากลับไป!”


เมิ่งฉีแสดงสีหน้าท่าทางค่อนข้างอึดอัด ก่อนจะถอนตัวออกไปอย่างไร้ประโยชน์


หลังจากที่เมิ่งฉีออกไป เย่หยวนก็พลันกรนเสียงเย็นสะท้านขึ้น


พวกเขาคิดจะเข้าฟังการบรรยายโดยไม่ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนใดๆเลยงั้นรึ? นี่ฝันหวานเกินไปแล้ว


สำหรับคนที่ต้องการเข้ามาฟังการบรรยายของเขา เย่หยวนย่อมจุกจิกคิดอะไรมากอยู่แล้ว


แต่พวกเขาจำต้องแลกเปลี่ยนด้วยราคาที่เท่าเทียม!


ในช่วงครึ่งปีมานี้ แม้ว่าเย่หยวนจะต้องยืมห้องของโถงโอสถปีศาจ แต่ด้วยอุปกรณ์สนับสนุนเหล่านี้ก็ทำให้ฝีมือหลอมกลั่นของเขาเพิ่มขึ้นอย่างมาก


แต่สิ่งที่ได้โถงโอสถปีศาจได้รับจากเขาไป มันเกินกว่าที่พวกเขาจ่ายไปมา


โดยไม่ต้องคำนึงถึงสิ่งใด เพียงผู้อาวุโสทั้งห้าเริ่มส่งสัญญาณใกล้จะเลื่อนชั้นกลายเป็นนักปรุงโอสถปีศาจระดับสามภายใต้คำแนะนำของเย่หยวน แค่นี้ก็กำไรยิ่งกว่ากำไรแล้ว


ตอนที่ 1503 ขอแสดงความยินดีด้วย เจ้าขึ้นบัญชีดำเรียบร้อย

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลังละจากเย่หยวน เมิ่งฉีก็มีสีหน้าขมขื่นยิ้มประดับโศกเศร้า


เขาทราบตั้งแต่แรกแล้วว่าผลจะออกมาเช่นนี้


เพียงว่ามันเป็นคำสั่งของประมุขโถงที่ให้เขามา ดังนั้นเมิ่งฉีเองก็ไม่มีทางเลือกเช่นกัน นอกจากต้องลองมาเอ่ยถามดู


โถงโอสถปีศาจเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากชนิดสั่นสะเทือนไปทั่วฟ้าดินภายใต้เงื้อมมือของเย่หยวนในช่วงครึ่งปีนี้


เมื่อเร็วๆนี้เมิ่งฉีรู้สึกได้ว่า ระดับชั้นที่ตนไม่สามารถคลายอ่อนลงมาได้นาน ยามนี้เริ่มปรากฏสัญญาณเลื่อนระดับแล้วในท้ายที่สุด


การค้นพบครั้งนี้ทำให้เขาตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง


เพราะระดับชั้นของเมิ่งฉีหยุดนิ่งว่าเป็นเวลากว่าหมื่นปีได้แล้ว


เขาทราบดีว่าตนหมดศักยภาพที่จะพัฒนาต่อไปนานแล้ว โดยพื้นฐานชั่วชีวิตนี้เมิ่งฉีไม่น่าจะไปได้ไกลกว่านี้แล้ว


แต่ตอนนี้ปณิธานของเขาที่จะได้ขึ้นกลายเป็นนักปรุงโอสถปีศาจระดับสามในตำนานกำลังจะเป็นจริง ผลลัพธ์เช่นนี้ทำให้เขารู้สึกมีความสุขอย่างอดมิได้


เมิ่งฉีย่อมทราบตระหนักดี หากเขาสามารถเลื่อนระดับชั้นไปได้ ทั้งหมดย่อมเป็นความดีความชอบของเย่หยวนล้วนๆ


กลเม็ดเล็กน้อยที่เย่หยวนมอบให้แก่พวกเขา อาจกล่าวได้ว่าเป็นตัวขัดเกลาทักษะการหลอมกลั่นโอสถของพวกเขาให้พัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด


เมิ่งฉีในปัจจุบัน เมื่อหลอมกลั่นโอสถผลึกมังกรเพลิงปีศาจขั้นต่ำล้วนเป็นขั้นกลางทั้งหมด และมีโอกาสูงมากที่จะได้ขั้นสูง


เพื่อที่จะปรับปรุงฝีมือให้ได้ขนาดนี้ภายในครึ่งปี กล่าวได้ว่า ยิ่งกว่าปีนบันไดลัดทางเสียอีก


หากเป็นเมื่อก่อน เมิ่งฉียังไม่กล่าจินตนาการเลยว่า ตนจะสามารถขัดเกลาฝีมือหลอมกลั่นโอสถได้อย่างรวดเร็วปานนี้!


เขาและผู้อาวุโสอีกสี่คนทราบดีว่า ทั้งหมดต้องขอบคุณบรรพกาลราตรี


ปัจจุบัน พวกเขาเคารพเย่หยวนราวกับเทพเจ้า!


โถงปีศาจเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นอย่างมาก แต่เย่หยวนก็ไม่เคยปริปากอ้างขอความดีความชอบแต่อย่างใด


แม้ว่าเขาจะอาสาตัวเสนอหลอมกลั่นโอสถให้ผู้คน แต่ก็ยังมีฝูงชนจำนสนมากที่เตรียมสมุนไพรที่จำเป็นมารอต่อแถวยาว โดยที่งานนี้มิได้ลำบากไปถึงโถงโอสถปีศาจแต่อย่างใด


กล่าวได้ว่าโถงโอสถปีศาจติดหนี้บุญคุณเย่หยวนไว้เยอะมาก


ตอนนี้มีผู้คนจากเมืองหลวงอื่นๆกำลังเดินทางเข้ามา เพื่อแสวงหาประสบการณ์ นับเป็นการปฏิสัมพันธ์กับผู้คนชนชั้นสูงอย่างชัดเจน


โถงโลหิตปรโลกฏิบัติต่อปรมาจารย์บรรพชนราตรีชนิดที่ว่า ราวกับต้องการบีบให้แห้งเช่นนี้ คงแปลกหากเขายังมีความสุข


คงเซียวเป็นประมุขโถงโอสถปีศาจสาขาเมืองมรกตทมิฬ เขาได้ฟังว่ามีคนมาบรรยายให้นักปรุงโอสถชนชั้นบนอยู่ ณ ขณะนี้ ทว่าเขากลับรู้สึกดูถูกหยามเหยียดภายในใจ


นักปรุงโอสถปีศาจทุกคนล้วนมีความภาคภูมิอยู่ในใจ เขาเป็นถึงนักปรุงโอสถระดับสาม ดังนั้นแล้วสถานะของเขานับว่าน่ายกย่องเพียงใดกัน? แค่นักปรุงโอสถทั่วไปกลับมิได้อยู่ในสายตาเขาเลย


ความกล้าแกร่งของเขาเหนือชั้นแทบทุกคนในบหมู่ประมุขโถงโอสถปีศาจในระดับชั้นเดียวกัน


สิ่งที่ทำให้เขาขมขื่นใจยิ่งกว่าคือ เขาได้ยินมาว่า นักปรุงโอสถที่มาบรรยายให้ทุกคนฟังยังเป็นเพียงนักปรุงโอสถปีศาจระดับสองเท่านั้น


แล้วนี่จะทำให้เขายอมรับได้อย่างไร?


“อวี้โม่คนนี้มาถึงที่นี่ แม้แต่เจ้าที่เป็นประมุขโถงก็ยังไม่สามารถเชิญเขามาได้รึ?”


คงเซียวเอ่ยกล่าวขึ้นอย่างไม่มีความสุขนัก


ประมุขโถงโอสถปีศาจที่เดินทางมาพบนักปรุงโอสถระดับสองคนหนึ่ง จำต้องส่งสาสน์เชื้อเชิญกันเลย นี่หาใช่เรื่องตลกกระมัง?


อวี้โม่เป็นประมุขโถงโอสถปีศาจสาขาเมืองหลวงคาโปน เนื่องด้วยกลัวเสียหน้าเขาจึงสั่งการให้เมิ่งฉีออกไปเชื้อเชิญเย่หยวน


โดยที่เขาเองก็ตระหนักทราบเป็นอย่างดีว่า เย่หยวนไม่มีทางเห็นด้วยที่จะพบกับคนเหล่านี้แน่นอน


“คงเซียว สถานที่แห่งนี้หาใช่เมืองหลวงมรกตทมิฬไม่ หากเจ้าไม่สนใจก็จงออกไป ข้ามิได้เชิญเจ้ามา!”


ทันทีที่คงเซียวได้ยินดังนั้นเขาพลันแสยะยิ้มกว้างกล่าวว่า


“อวี้โม่ เจ้าเป็นคนใจกล้าตั้งแต่เมื่อใดกัน?! หากมิใช่เพราะประมุขโถงขอให้ข้ามา คิดหรือว่าข้าจะมาหาเห็บเหาที่นี่? ไร้สาระสิ้นดี! ไอ้เด็กเหลือขอระดับสองยังกล้าอวดอ้าง! ทั้งหมดเป็นเพราะมาตรฐานของพวกเจ้าไม่ดีต่างหาก เช่นนั้นเด็กน้อยนั้นจึงขี่หัวสั่งสอนเจ้าได้! ฟังว่าเรียกเขาว่าท่านปรมาจารย์ เจ้าลืมสถานะของตนแล้วกระมัง?”


ประมุขโถงโอสถปีศาจสาขาเมืองหลวงคาโปนถูกจัดให้อยู่ในอันดับล่างๆของเมืองหลวงใกล้เคียงทั้งหมด


เมื่อดูจากอันดับตัวเลขแล้ว ดูเหมือนว่าฝีมือของอวี้โม่จะอ่อนด้อยกว่าเมืองหลวงอื่นๆ


อวี้โม้กล่าวขึ้นด้วยความโกรธว่า


“ดี! ดี! ดีมาก! ในเมืองเจ้าไม่สนใจฟังการบรรยายของท่านปรมาจารย์บรรพกาลราตรี เช่นนั้นก็จงกลับไป!”


ขณะที่คงเซียวกำลังจะเอ่ยกล่าว เมิ่งฉีก็ออกมาพอดีและกล่าวกับอวี้โม่ว่า


“ท่านประมุขโถง ท่านอาจารย์บรรพการาตรีกล่าวว่า พวกเขามาทางให้ก็ให้พวกเขากลับทางนั้น”


การสนทนาเมื่อครู่นี้ของทั้งสอง เมิ่งฉีได้ยินทั้งหมด


เดิมทีเขาย่อมกล่าวรายงานพร้อมวาจาสุภาพมีชั้นเชิง แต่ตอนนี้ได้ยินวาจาดูถูกของอีกฝ่ายเช่นนั้น เ ขาจึงกล่าวตอบตามตรงที่เย่หยวนย้ำกล่าวเอาไว้


เมื่อได้ยินเช่นนั้นคงเซียวก็ล้มทั้งยืน และลั่นวาจาด้วยความโกรธขึ้นว่า


“ฮ่าๆ วาจาช่างอึงโขใหญ่โตนัก! นักปรุงโอสถระดับสองตัวน้อยแสนขี้กลัวกำลังกล่าวกับท่านประมุขโถงด้วยวาจาเช่นนี้จริงๆ! ข้าจะเข้าพบประมุขโถงใหญ่เดี๋ยวนี้! ข้าอยากจะเห็นเสียว่านางจะกล่าวอันใดบ้าง! หวู่ห่าว ฤทัยเหล็ก พวกเรากำลังถูกปั่นหัว ไปหาท่านประมุขโถงใหญ่ด้วยกันเถอะ!”


หวู่ห่าวและฤทัยเหล็กมาจากโถงโอสถปีศาจสาขาเมืองหลวงหลงปิงและเมืองหลวงราตรีม่วงตามลำดับ


เมื่อกงเซียวกล่าวจบก็หันหลังกลับกำลังจะจากไปนั้นเอง


ทว่ายามเขาก้าวย่างเดินออกไป เขากลับพบว่าพวกหวู่ห่าวทั้งสองกลับไม่เดินตามหลังมาด้วย


คงเซียวอดมุ่นคิ้วมิได้และกล่าวขึ้นว่า


“พวกเจ้าสองคนไม่ได้ยินรึ? พวกเขากำลังไล่เรากลับไป? แล้วพวกเจ้ายังยืนให้เสียอีกเพื่ออันใด?”


แต่หวู่ห่าวหัวเราะเล็กน้อยกล่าวว่า


“เจ้าไปก่อนเถอะ เมืองหลวงหลงปิงของเราต้องการมาที่นี่เพื่อเรียนรู้เสียมากกว่า เช่นนั้นจะหักหน้าเจ้าบ้านได้อย่างไร? เนื่องจากเขาเป็นปรมาจารย์ย่อมมีความภาคภูมิใจโดยธรรมชาติ ดังนั้นเราควรแสดงความจริงใจออกมาเป็นดีที่สุด”


ฤทัยเหล็กยิ้มและกล่าวว่า


“แล้วทำไมพี่คงเซียวถึงไม่ไปหาท่านประมุขโถงใหญ่ บางทีเราอาจจะได้พบเจอกับท่านปรมาจารย์บรรพกาลราตรี”


คงเซียวขมวดมคิ้วแน่น พร้อมคำถามแสนฉงนใจนับไม่ถ้วน


เจ้าสองคนนี้มันเป็นบ้าอะไรกัน?


เขาเองก็ทราบว่า ทั้งสองคนนี้เองก็มิได้มีทัศนคติที่ดีเท่าไหร่นักกับโถงโอสถปีศาจสาขาเมืองหลวงคาโปนแห่งนี้


พวกเขาทั้งสามเพิ่งสนทนาพบกัน และปล่อยให้อวี้โม่มัวเมาอวดอ้างถึงความสำเร็จไม่หยุดหย่อน ดังนั้นจับต้องดับหน้าศักดิ์ศรีเหล่านั้นเป็นการสั่งสอน


แล้วไฉนทัศนคติของพวกเขาทั้งคู่ถึงพลิกตลบจากหน้าเป็นหลังขนาดนี้ได้?


หรือมีบางอย่างที่เขาไม่รู้ในระหว่างที่เอ่ยกล่าว?!


สีหน้าของเขามืดลงเล็กน้อยและกล่าวว่า


“พวกเจ้าหมายความอย่างไร?”


หวูห่าวยิ้มและกล่าวว่า


“ไม่มีความหมายใดๆทั้งสิ้น เรามาถึงเมืองหลวงคาโป โดยมิต้องใส่ใจเรื่องระยะทาง พวกเราย่อมต้องการพูดคุยแลกเปลี่ยนกับพี่อวี้โม่มากกว่าปกติ พี่อวี้โม่ หวู่คนนี้มีข้อสงสัยเล็กน้อย…รบกวนสอบถามได้หรือไม่?”


อวี้โม่ยังไม่ทันกล่าว ฤทัยเหล็กเอ่ยขึ้นต่อทันทีว่า


“พี่อวี้โม่ ข้าพาผู้คนจำนวนหนึ่งมาด้วยในคราวนี้ พวกเราเองก็เปรียบดั่งพี่น้อง เช่นนั้นสมควรสนทนาพูดคุยกันเพื่อสานสัมพันธ์กันมากขึ้น!”


อวี้โม่เองรู้สึกสับสนไม่น้อยเช่นกัน แต่ก็ยังยิ้มกล่าวออกไปพร้อมประสานมือว่า


“ย่อมได้แน่นอน”


คู่ดวงตาของคงเซียวหรี่แคบลงเล็กน้อย ก่อนเอ่ยเสียงเยียบเย็นกล่าวขึ้นว่า


“หึ! ข้าไม่เชื่อหรอกว่านักปรุงโอสถปีศาจระดับสองจะมีฝีมือท้าทายสวรรค์ปานนั้นจริงๆ? เขามิได้มาพบเรามากกว่ารึ? เช่นนั้นข้าจะทำให้มันคลานออกมาหาข้าเอง!”


ในเวลานั้นเอง เย่หยวนค่อยๆย่างก้าวตรงออกมาและได้ยินประโยชน์นั้นพอดี เขากล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มว่า


“เช่นนั้นรึ? ขอแสดงความยินดีด้วย เจ้าขึ้นบัญชีดำเรียบร้อย เชิญกลับไปได้”


คงเซียวเหลียวหลังกลับมาพร้อมเอ่ยน้ำเสียงเย็นชาลั่นขึ้นว่า


“นี่น่ะรึท่านปรมาจารย์บัดซบของพวกเจ้า? เหอะ ข้าก็สงสัยเหลือเกินว่าเป็นใคร สุดท้ายก็แค่เด็กน้อยขี้เปียกหลังหู! อวี้โม่ เวลาผ่านไปเจ้ายิ่งจะเลอะเลือนขึ้นมาก! เจ้ามั่นใจเถอะ ข้าจะกลับแน่นอน! แต่เจ้าต้องคุกเข่าโขกศีรษะให้ข้าก่อนสามที!”


แต่เย่หยวนกลับมิได้สนใจฟังอีกฝ่ายแม้แต่น้อย และกล่าวกับอวี้โม่ว่า


“ท่านประมุขโถงอวี้โม่ ครึ่งเดือนนี้ ข้าต้องการกลับไปยังตระกูลฟางเพื่อเก็บตัว ระหว่างนั้นห้ามส่งใครมารบกวนข้าเด็ดขาด”


กล่าวจบ เขาไม่รออวี้โม่เอ่ยตอบใดๆเช่นกัน พร้อมเดินผ่านคงเซียวและออกไปโถงโอสถปีศาจไปทั้งแบบนั้น


ตอนที่ 1504 แลกเปลี่ยนหนี้บุญคุณ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ฟู่วว…


กลุ่มควันหมอกสีเขียวพวยพุ่งออกมาจากหม้อหลอมโอสถ เม็ดโอสถที่อยู่ข้างในยามนี้กลับกลายมาเป็นเศษโอสถไปเสียแล้ว


เย่หยวนถอนหายใจเล็กน้อยและกล่าวว่า


“ล้มเหลวอีกแล้ว! หรือเป็นไปได้ไหมว่า โอสถที่ใช้รักษาทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์จะไม่สามารถหลอมกลั่นขึ้นมาได้จริงๆ?”


เพื่อช่วยเหลือเซี่ยะจิ้งอวี๋ในการซ่อมแซมทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ให้กลับคืนมาอีกครั้ง ครึ่งปีนี้เย่หยวนทดลองและล้มเหลวไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว


เขาพยายามไม่น้อยกว่าหนึ่งพันวิธี แต่สุดท้ายผลลัพธ์เดียวที่เขาได้รับตอนท้ายคืนความล้มเหลว


มีสูตรโอสถกว่าหมื่นสูตรที่อยู่ในหัวของเขา


และท้ายที่สุดทั้งหมดล้วนไม่ได้ผลเลย


เพื่อที่จะคิดค้นสูตรโอสถใหม่เอี่ยมขึ้นมานี้ อาจกล่าวได้ว่าเย่หยวนครุ่นคิดจนสมองแทบระเบิด


อย่างไรก็ตามผลที่ตามากลับต้องทำให้เขาผิดหวังอยู่ดี


“เจ้าทำดีที่สุดแล้ว แม้จอมเทพโอสถจะเป็นขุมพลังระดับพระเจ้า แต่นั่นก็หาใช่ว่าจะสามารถกำหนดสรรพสิ่งบนผืนพิภพนี้ได้ มีหลายต่อหลายครั้งเช่นกันที่ศักยภาพของมนุษย์มิสามารถไปถึงจุดนั้นได้ โอสถที่ใช้รักษาทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ ข้าเองก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนในมหาพิภพถงเทียนนี้เช่นกัน กล่าวง่ายกว่าทำมากแม้เจ้าจะพัฒนาตัวเองไปเพียงใด”


ร่างของหวู่เฉินปรากฏขึ้นพร้อมปลอบโยนเขา


เย่หยวนยิ้มกล่าว


“ข้าไม่มีทางยอมแพ้แค่นี้แน่นอน ในความเป็นจริง ตลอดครึ่งปีมานี้ การทนลองของข้าดูเหมือนจะเข้าใกล้ความสำเร็จมากแล้ว! เหลือเพียงหน้าต่างบานข้างหน้าที่ข้ายังมิอาจลอดผ่านไปได้เท่านั้นจวบจนตอนนี้ และมันทำให้ข้ารู้สึกหดหู่อย่างมาก รู้ได้ว่าเลยว่า ตราบใดที่ข้าลอดผ่านมันไปได้ ความแกร่งกล้าในศาสตร์แห่งโอสถของข้าจะพัฒนาไปอีกระดับหนึ่ง!”


หวูเฉินเหลือบมองเย่หยวนด้วยความประหลาดใจ ราวกับเขามิเคยทราบเรื่องราวเช่นนี้มาก่อน


เขาตระหนักดีว่าหากเทียบเป็นช่วงเวลาเดียวกัน ระดับชั้นความแข็งแกร่งในศาสตร์แห่งโอสถของเย่หยวนเหนือไปกว่าจอมเทพนิรันดร์ไปแล้ว


ก้าวไปอีกระดับหนึ่งที่ว่า แม้แต่หวู่เฉินยังไม่กล้าจินตนาการด้วยซ้ำ!


หรือเป็นไปได้ไหมว่า ชายหนุ่มคนนี้จะไม่มีขีดจำกัด?


“ธารน้ำรินไหลยามเกิดร่องน้ำ ตั้งใจมากไปอาจปิดกั้นร่องน้ำโดยมิตั้งใจ ไฉนเจ้าไม่ใช้เวลาระหว่างนี้พักผ่อนจิตใจดูก่อน มันอาจทำให้เจ้าคิดอะไรออกบ้าง”


หวู่เฉินเอ่ยกล่าวขึ้น


เย่หยวนพยักหน้าและกล่าวว่า


“ถึงเวลาที่ข้าต้องออกจากการเก็บตัว ข้าเกรงว่าใครบางคนจะรอข้าจนเบื่อไปแล้ว”


ทันทีที่เย่หยวนออกจากการเก็บตัว หลงซานก็ยืนรอเขาอยู่หน้าประตูห้องนานแล้ว


“นายท่าน มีอาคันตุกะจากโถงโลหิตปรโลกรอท่านอยู่ในโถงจัตุรัสนานแล้ว”


หลงซานกล่าวขึ้น


เย่หยวนพยักหน้าดล็กน้อยและกล่าวว่า


“เจ้าออกไปก่อน ที่เหลือเดี๋ยวข้าจัดการเอง”


กล่าวย่างไปสองก้าว เย่หยวนเหลียหลังกลับมาเล็กน้อยและกล่าวว่า


“เจ้าไปหาฟางอวี้เพื่อเอาไปสมุนไพรวิญญาณมา บอกว่าข้าสั่งให้เดินทางมารับ นี่คือรายการสูตรโอสถ จะว่าไป เจ้าติดอยู่ในอาณาจักรบรรพชนพระเจ้ามาครึ่งขั้นนานแล้วกระมัง?”


เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลงซานสั่นสะท้านหนักโดยมิตั้งใจ ก่อนเร่งคุกเข่าพร้อมความอิ่มเอมใจที่พลุ่งพล่านไม่หยุดหย่อน ก่อนกล่าวว่า


“ผู้ต่ำต้อยคนนี้ติดอยู่ในระดับชั้นนี้มานานกว่าหนึ่งหมื่นห้าพันปีแล้ว!”


เย่หยวนก่นเสียง‘อืม’เล็กน้อยก่อนกล่าวว่า


“พรสวรรค์ของเจ้าค่อนข้างดีมิใช่น้อย เจ้าที่เดินทางมายังมหาพิภพถงเทียนได้ ในขั้นต้นควรจะทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรบรรพชนพระเจ้าได้แล้ว แต่น่าเสียดายที่เกิดเรื่องพวกนี้เสียก่อนเลยล่าช้าไป เมื่อพิจารณาจากความตั้งใจและขยันแข็งขันในช่วงสองสามปีมานี้ ข้าจะให้เจ้าทะลวงผ่านไปได้แน่นอน!”


ทั่วกายาหลงซานสั่นสะท้านหนักหน่วง ขณะกล่าวขึ้นว่า


“หลงซานขอบพระคุณนายท่าน!”


เย่หยวนเอ่ยปากยินยอมเสร็จสิ้น และหันหลังจากไปทันที


หลงซานประสานมือกำหมัดแน่นพร้อมใบหน้าแดงก่ำ เนื่องด้วยความตื่นเต้นสุดหัวใจ


ในรอบแสนปีมานี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก


ในที่สุด จิตใจของเขาที่อ่อนแออยู่ในจุดต่ำสุดก็เริ่มกระเพื่อนขึ้นอีกครั้งพร้อมคลื่นความปีติยินดีที่ล้นพ้นในหัวใจ


เป็นเวลากว่าหนึ่งแสนปีเต็มที่ เขาคร่ำครวญเศร้าโศกกับชะตาชีวิตอันน่าเวทนาของตนตลอดเวลา


เสมือนกับว่าร่างของเขาได้จมมืดลงในบ่อโคลนอันมืดมิดไม่รู้วันคืน จนกระทั่งเย่หยวนปรากฏตัวขึ้นมา


หลงซานไม่คิดมาก่อนเลยว่า จะมีคนจากดินแดนพฤกษานิรันดร์ที่มีพรสวรรค์โดดเด่นยิ่งเฉกเช่นเย่หยวนจริงๆ


เมืองหลงคาโปนกลับต้องปั่นป่วนอย่างหนักดั่งถูกคลื่นสูงกระหน่ำซัดใส่ และทั้งหมดเกิดจากเจ้านายของเขาทั้งสิ้น


กลุ่มอิทธิพลต่างๆมากมายต่างโคจรหมุนรอบตัวเจ้านายของเขา


“เฮ้อ! ก้าวพลาดเพียงครั้งเดียวทุกอย่างคือจบกัน! ข้าต้องขยันขันแข็งมากกว่านี้ เพิ่มเป็นสองเท่าตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป! หวังว่าสักวันข้าจะได้รับการอภัยจากนายท่านในอนาคต!”


หลงซานกล่าวขึ้นพร้อมเสียงถอนหายใจ



เมื่อเย่หยวนเห็นอวี้หาน เขาก็อดแปลกใจมิได้


“บรรพกาลราตรีขอแสดงความขอบคุณที่ท่านประมุขโถงเดินทางมาด้วยตนเองเช่นนี้ ไม่คิดไม่ฝันเลยจริงๆ”


เย่หยวนเอ่ยกล่าวขึ้นพร้อมประสานมือให้


ร่องรอยความประหลาดใจประดับค้างแข็งทั่วนัยน์ตาของอวี้หานทันที นางยิ้มกล่าวว่า


“เจ้าคาดเดาตัวตนของข้าได้นานแล้ว! ดูท่าข้าจะประเมินเจ้าต่ำเกินไป!”


เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า


“ท่านประมุขโถงใจดีเกินไป”


อวี้หานหัวเราะคิดคักและกล่าวว่า


“กลับตระหนักว่าข้าคนนี้ยังไม่เพียงพอต่อคำเยินยอ! ดูเหมือนว่าข้าจะมองคนไม่ผิดไปจริงๆ!”


เย่หยวนจับจ้องอวี้หานด้วยสายตาแสนลึกล้ำซับซ้อน และเอ่ยปากขึ้นว่า


“ท่านประมุขโถงเดินทางมาเป็นการส่วนตัวเช่นนี้ หรือเป็นไปได้ไหมว่า ต้องการให้ข้าตอบแทนความดีความชอบ?”


อวี้หานจับจ้องเย่หยวนด้วยแววตาแสนเย้ายวนมากเสน่ห์หา ก่อนเอ่ยขึ้นว่า


“สหายน้อย หรือไม่เต็มใจช่วยเหลือพี่สาวคนนี้? หรือ…ต้องให้พี่สาวคนนี้ให้เจ้าตอบแทนด้วยวิถีทางอื่นดี?”


เย่หยวนโพล่งผงะขนลุกซูวขึ้นทันที และกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า


“ความดีความชอบของท่านประมุขโถงมิใช่เรื่องเล็กเลย! หากการคาดเดาของข้าถูกต้อง ยามนี้มีคนของโถงโอสถปีศาจสาขาเมืองหลวงอื่นๆรวมตัวกันอยู่ในเมืองหลวงคาโปนใช่หรือไม่? หากข้าเริ่มบรรยายชี้แนะเมืองใด มวลรวมความแข็งแกร่งของโถงโอสถปีศาจแห่งเมืองจักรพรรดิกล้วยไม้อริยะจะเพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมาก แถมตอนนี้ข้ายังเป็นหนี้บุญคุณท่านประมุขโถงเสียด้วยสิ เช่นนี้คงไม่ต้องให้ข้าคาดเดาแล้วใช่ไหม?”


อวี้หานเผยสีหน้าขมขื่นเจือปรากฏขึ้นในทันใด


“ข่าวสารภายในโถงโลหิตประโลกล้วนต้องแบ่งปันถ่ายทอดออกไปทั้งหมด ดังนั้นจึงมีนักปรุงโอสถปีศาจทราบถึงเรื่องราวของเจ้า ส่งผลให้พวกเขาเหล่านั้นเดินทางมาหาข้ามากมาย จนมิอาจผลักไสคนเหล่านี้กลับไปได้ ไม่ว่าอย่างไร พี่สาวคนนี้เองก็มีช่วงเวลาที่ยากลำบากเช่นกัน”


สีหน้าการแสดงออกของอวี้หานในขณะนี้ทำให้ผู้คนอดหลงรักนางมิได้ กล่าวกันยามยามสตรีดูอ่อนแอคือช่วงเวลาที่ดูน่าทะนุถนอมที่สุด


อย่างไรก็ตาม หากมิใช่เพราะว่าเขาไม่สามารถเอาชนะนางได้ ปานนี้เย่หยวนคงตบนางไปแล้ว!


ผู้หญิงนางนี้คำนวณแผนการมาอย่างดี คิดจะใช้ให้ม้าวิ่งโดยไม่ต้องให้มันกินหญ้า


คิดจะเอาผลประโยชน์เข้าตัวเพียงอย่างเดียวจริงๆ


เย่หยวนหรี่ตาแคบลงเล็กน้อยและกล่าวอย่างเฉยเมยว่า


“ท่านประมุขโถง เช่นนั้นฆ่าข้าเถอะ อย่ากล่าวถึงเรื่องนี้อีกเลย!”


สีหน้าการแสดงออกของอวี้หานเปลี่ยนไปทันทีท ประหนึ่งจากแดดจ้ากลายมาเป็นท้องฟ้ามืดขรึม เมื่อครู่นางยังใช้ท่าทีอันอ่อนแอหลอกล่อเย้ายวนเย่หยวน ทว่ายามนี้กลับเย็นชาประดุจน้ำแข็ง


ความเยือกเย็นขุมนี้มาพร้อมกับจิตสังหารอันน่าสะพรึง ทว่าเย่หยวนยังคงมั่นคงประดุจหินผา หาได้หวาดกลัวแม้แต่น้อยไม่!


เขาทราบเป็นอย่างดี อวี้หานไม่มีทางฆ่าเขาอย่างแน่นอน


นางอาสาเดินเข้ามาหาเองและทวนคืนความดีความชอบขนาดนี้ นั้นหมายความว่านางมีบางอย่างที่ต้องการร้องขอจากตัวเขาจริงๆ


แน่นอน พอรู้ตัวจิตสังหารของนางก็พลันลดฮวบลงอย่างเงียบงัน นางเอ่ยกล่าวขึ้นอย่างเศร้าหมองว่า


“เจ้าหนุ่มหัวรั้นขวางโลกไปซะทุกอย่าง! ต้องการอันใดจงกล่าวออกมาเถิด!”


เย่หยวนคลี่ยิ้มกว้างราวกับรอคอยคำนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว พร้อมกล่าวทันทีว่า


“สองประการ! ประการแรก นี่คือว่าหนี้บุญคุณครึ่งหนึ่งถูกชำระไปแล้ว! ประการที่สอง อีกหนึ่งเดือนต่อจากนี้ ท่านจะต้องมาพบข้าที่ลานประลองเลือด ข้าจะบรรยายต่อเนื่องเป็นเวลาครึ่งเดือน พวกเขาจะเก็บเกี่ยวได้มากน้อยเพียงใดล้วนขึ้นอยู่กับตัวพวกเขาเอง ข้าไม่มีเวลามากพอจะเสียมันไปกับเรื่องเหล่านี้ อืม…ยังมีอีกอย่าง ไม่ว่าใครก็ตามที่เป็นคนของโถงโอสถปีศาจสาขาเมืองมรกตทมิฬ ข้าคนนี้จะไม่ขอบรรยายให้พวกเขาฟัง! ที่นั่งมีจำกัด ถ้าอยากได้จำต้องแย่งชิงกันเอง!”


เย่หยวนรู้ดีว่า หากสิ่งที่ต้องการเป็นเงิน อวี้หานย่อมไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน


ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากสรรหาเลือกหนทางที่ดีที่สุดแก่ตนเอง เป็นสองประการร้องขอโดยกล่าวไปก่อนแค่ครึ่งหนึ่ง


อวี้หานถอนหายใจเล็กน้อยและกล่าวว่า


“เจ้าหนู เจ้าเองก็ไม่ยอมให้ตัวเองขาดทุนเลยเช่นกัน! เอาเถิด เช่นนั้นพี่สาวขอสัญญากับเจ้า”


เมื่อกล่าวจบอวี้หานก็หยิบสัญญาเลือดออกมาและเริ่มคลายผนึกเล็กน้อย ทันใดนั้นรอยโลหิตที่ประทับในสัญญาก็เริ่มเผาไหม้ตัวเอง


ตอนที่ 1505 ผลของการทำผิดต่อหน้าปรมาจารย์

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ตอนนี้เจ้าพอใจหรือยัง? เฮ้ออ…พี่สาวคนนี้ไม่เคยปันแบ่งเสียอะไรขนาดนี้มาก่อน”


อวี้หานเอ่ยกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มสุดขมขื่นประดับใบหน้า


เย่หยวนไม่อยากร่วมวงสนทนาด้วยนานนัก จึงกล่าวไปว่า


“ท่านประมุขโถงเดินทางมาเป็นการส่วนตัวเช่นนี้ ควรจะมีเรื่องมากกว่านี้กระมัง? หนี้บุญคุณยังเหลืออีกตั้งครึ่งหนึ่งไม่คิดหยิบใช้คงน่าเสียดายแย่?”


อวี้หานหัวเราะครืนเสมือนได้กลิ่นกล้วยไม้ออกจากจมูก ขณะกล่าวว่า


“เจ้าเล่ห์และแยบยลนัก ข้าไม่สามารถซ่อนอะไรจากเจ้าได้เลย!”


เย่หยวนหาได้เอ่ยกล่าวอันใดคล้อยตามอีกฝ่าย เขาปิดปากเงียบรอให้อวี้หานเอ่ยกล่าวต่อเอง


“โถงโลหิตปรโลกของเราค้นพบซากโบราณสถาน แต่ช่างเลวร้ายยิ่งนัก เพราะมีเพียงผู้ที่อยู่ภายใต้ระดับชั้นจ้าวทัพปีศาจลงไปเท่านั้นถึงจะสามารถเข้าไปได้ ยิ่งไปกว่านั้นแม่ทัพปีศาจอายุห้ามเกินหนึ่งพันปี ขณะที่จอมทัพปีศาจอายุห้ามเกินสามพันปี! ในเวลานี้บรรดาเหล่าเยาวชนระดับหัวกะทิมากมายของเมืองจักรพรรดิกล้วยไม้อริยะมารวมตัวพร้อมกันที่นั่นแล้ว ส่วนเมืองหลวงคาโปนของเรามีเพียงคนเดียวที่สามารถเข้าไปได้ และคนที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือเจ้า!”


อวี้หานกล่าว


เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า


“นั้นคือเหตุผลที่ท่านแนะนำข้ากับไคซินให้จัดกานประลองเป็นตายขึ้นอย่างลับๆ? เพื่อต้องการดูว่าใครกันที่มีคุณสมบัติเข้าไปยังซากโบราณสถาน?”


อวี้หานยิ้มกล่าวว่า


“นี่คือผืนพิภพของผู้แข็งแกร่ง คนอ่อนแอ…มีแต่ต้องถูกกำจัดเท่านั้น!”


เมื่อกล่าวเช่นนี้ ในที่สุดเย่หยวนก็รู้สึกได้ว่า บุคคลที่อยู่ตรงหน้าเขาคือผู้ปกครองที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง


ต่อหน้านาง บุคคลใดไม่มีค่าพอที่จะหาประโยชน์ได้อาจถูกนางโยนทิ้งได้ทุกเมื่อ


ซึ่งเขาเองก็เป็นเพียงหมากตัวหนึ่งในมือนางเท่านั้น


เย่หยวนเอ่ยขึ้นอย่างไม่แยแสว่า


“เริ่มสำรวจเมื่อใด?”


อวี้หานกล่าวตอบว่า


“หนึ่งปีต่อจากนี้ ข้าจะมาหาเจ้าเอง เจ้ายังเหลือเวลาในการขัดเกลาฝึกปรือ ระหว่างนี้เว้นเรื่องศาสตร์แห่งโอสถไปก่อน แล้วใช้พัฒนาความแข็งแกร่งของตัวเอง”


เย่หยวนพยักหน้าตอบเชิงว่าเข้าใจ


เขาในตอนนี้เริ่มคิดไตร่ตรองทันทีอย่างอดมิได้


การเดินทางมายังดินแดนของเผ่าปีศาจในครั้งนี้ เป้าหมายเดิมของเขาสำเร็จลุล่วงไปแล้ว เดิมทีเขาเองก็มิได้คิดจะวางแผนอยู่ต่อแล้วเช่นกัน


เพียงว่าตัวเย่หยวนเองกลับไม่คิดไม่ฝันเลยว่า ตนจะโดดเด่นจะไปเข้าตาประมุขโถงโลหิตปรโลกเช่นนี้เข้า


ตั้งแต่อวี้หานตัดสินใจเลือกเขาและเริ่มเคลื่อนไหว ทุกการกระทำของเขาก็อยู่ภายใต้การควบคุมของนางโดยสมบูรณ์


สำหรับสัญญาโลหิตอะไรนั่น เย่หยวนแทบมิได้ใส่ใจอะไรเลย


สิ่งนั้นเป็นสัญญาที่ค่อนข้างรัดกุมและแยบยลยิ่ง สำหรับคนอื่นมันถือพันธะผูกมัดที่ไม่มีวันสลัดได้หลุด


แต่สำหรับเย่หยวน สิ่งนี้กลับไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง


เย่หยวนมีพลังแห่งหุบเขาถงเทียนจำลองอยู่ในตัว การจะทำลายสัญญาเลือดที่ผูกมัดกับตัวทิ้งไปกลับหาใช่ปัญหาที่ยากเกินจะแก้ไขเลย


เย่หยวนจะยอมหชะตาชีวิตของตัวเองตกอยู่ในมือคนอื่นง่ายๆได้อย่างไร?


เหตุผลที่ทำให้เขาดูปั้นสีหน้าลำบากใจในตอนนั้นก็เพื่อ แสดงให้อวี้หานเห็นว่าเขารู้สึกวิตกกังวลกับสัญญาเลือดนั้นจริงๆ


เมื่อมองดูแล้ว ดูเหมือนว่าจะได้ผลดี


การเดินทางไปยังซากโบราณสถานครั้งนี้เองก็มีความจำเป็นอย่างมาก



หลายวันมานี้เองทำให้คงเซรยวหดหู่ใจอย่างมาก


หลังจากที่เขารู้ว่าหวู่ห่าวและฤทัยเหล็กส่งคนมาที่โถงโอสถโลหิตสาขาเมืองหลวงคาโปนก่อนที่จะเดินทางมา พวกเขาก็ค้นพบตั้งแต่แรกแล้วว่า ระดับชั้นความสามารถของโถงโอสถปีศาจสาขานี้แตกต่างจากอดีตโดยสิ้นเชิง


หวู่ห่าวกับฤทัยเหล็กเฉลียวฉลาดเพียงใด? พวกเขาที่รับทราบดังนั้น มีหรือจะยังไม่รู้ถึงความสามารถของบรรพกาลราตรีได้อย่างไร?


เป็นเวลาครึ่งเดือนแล้วที่ทั้งสองอยู่ภายในโถงโอสถปีศาจทุกวันและยังมิได้ออกมาเลบ


พวกเขาทั้งสองรู้เรื่องทุกอย่างมานานแล้ว แต่ทั้งคู่กลับกล้าหลอกเขาจริงๆ!


ในตอนแรกคงเซียวคิดเพียงแค่ ไม่ว่าปรมาจารย์คนนั้นจะแกร่งกล้ายอดเยี่ยมเพียงใด แต่เขาจะมีหน้ามาสั่งสอนประมุขโถงอย่างพวกเขาหรือไม่?


เรื่องที่ประมุขโถงใหญ่ทั้งสองตัดสินใจไป หาได้ขึ้นอยู่กับว่าบรรพกาลราตรีจะปฏิเสธหรือไม่


ใครจะไปรู้ว่า เมื่อคงเซียวเดินทางไปขอเข้าร่วมด้วยกันประมุขโถงใหญ่ นางกลับกล่าวตามตรงว่า ตัวนางเองก็ไม่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของท่านปรมาจารย์บรรพกาลราตรีเช่นกัน


เนื่องจากเขาไม่พอใจและเลือกที่จะไม่เชื่อมต่อบรรพการาตรีตั้งแต่แรก เช่นนั้นจึงขึ้นอยู่กับโชคชะตาของเขาแล้ว


ด้วยเหตุนี้คงเซียวจึงรู้สึกสิ้นหวังเป็นอย่างมาก!


แม้แต่การดำรงอยู่เฉกเช่นประมุขโถงใหญ่ยังไม่สามารถควบคุมเขาคนนั้นได้ นี่แสดงให้เห็นแล้วว่า ความสามารถในศาสตร์แห่งโอสถของบรรพกาลราตรีมันเหนือล้ำเพียงใด


ซึ่งในเวลานี้เองก็ข่าวลือหนาหูขึ้นอีกเรื่องว่า เมิ่งฉีแห่งห้าผู้อาวุโสโถงโอสถปีศาจ ยามนี้ประสบความสำเร็จขึ้นกลายมาเป็นนักปรุงโอสถปีศาจระดับสามแล้ว!


ข่าวนี้มิใช่แค่ในเมืองหลวงคาโปนหรือโถงโอสถปีศาจเท่านั้น กระทั่งเมืองหลวงอื่นๆเองยังกลายเป็นข่าวดัง


เมิ่งฉีเป็นนักปรุงโอสถระดับสามผู้เจนจัดมากประสบการณ์คนหนึ่ง แต่พัฒนาการของเขาหยุดลงที่ระดับชั้นนี้มากว่าหนึ่งหมื่นปีแล้ว


หากไม่มีอุบัติเหตุใดๆ เขาคงหยุดลงที่ขอบเขตนี้ไปชั่วชีวิต


แต่ตอนนี้เขากลับเลื่อนระดับชั้น!


หากเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการปรากฏตัวขึ้นของท่านปรมาจารย์บรรพกาลราตรี พวกเขาคงไม่มีวันเชื่อแม้นต้องถูกทุบตีจนตาย


อาศัยอยู่ในเมืองหลวงคาโปนมาเป็นเวลาเนิ่นนาน ข่าวสารบางอย่างย่อมแพร่กระจายไปทั่วในหมู่นักปรุงโอสถปีศาจโดยธรรมชาติ


สำหรับบรรพกาลราตรีนี่เป็นเพียงการบรรยายให้แก่คนของโถงโอสถปีศาจเป็นเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา


และกว่าครึ่งปีมานี้ก็สามารถทำให้ผู้คนเลื่อนระดับชั้นกลายมาเป็นนักปรุงโอสถปีศาจระดับสามได้?


ท่านปรมาจารย์บรรพกาลราตรีกลายมาเป็นบุคคลจับต้องได้ยากและมาๆหายๆราวกับไม่มีตัวตน!


คงเซียวในตอนนี้เสียใจขื่นระทมอย่างหนัดจนลำไส้เปลี่ยนเป็นสีเขียว เมื่องมองไปรอบๆเหล่าสหายร่วมอาชีพต่างเรียนรู้มีพัฒนาการไปไกล สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกกระวนกระวายใจเป็นอย่างมาก


นี่คือภารกิจที่เบื้องบนสั่งมา หากคนอื่นๆกลับไปพร้อมผลประโยชน์มากมาย ในขณะที่เขากลับไปมือเปล่า เพราะทำให้ท่านปรมาจารย์บรรพกาลราตรีขุ่นเคืองโดยมิตั้งใจ เมื่อกลับไปเขาจำต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่ตัวเองก่อขึ้นไม่น้อย


ทันทีทันใด เขาเห็นเย่หยวนเดินทางมาถึงโถงโอสถปีศาจอย่างไม่เร่งไม่รีบ คงเซียวรีบเร่งตรงเข้าไปทักทายทันที


“ฮ่าๆ ท่านปรมาจารย์บรรพกาลราตรี ขอคารวะ”


คงเซียวเร่งโค้งคำนับให้ทันทีพร้อมฝืนยิ้มฉีกกว้าง


เย่หยวนกวาดตามองอีกฝ่ายเล็กน้อยก่อนจะเดินผ่านไปอย่างเมินเฉย


คงเซียวทราบดีว่าครั้งนี้หาใช่ปัญหาที่แก้ได้โดยง่าย เขาเองก็ไม่รู้สึกรังเกียจเช่นกันพร อมเดิมตามเย่หยวนเข้าไปในโถงโอสถปีศาจอย่างสงบเงียบ


“ท่านปรมาจารย์ วันนั้นข้ามีตาหามีแววไม่ หวังว่าท่านปรมาจารย์ผู้มีจิตใจกว้างใหญ่เช่นท่านจะไม่ก้มเก็บความขุ่นเคืองในอดีตเอาไว้”


คงเซียวเอ่ยกล่าวขึ้น


เมื่อเย่หยวนตรงเข้าไปในโถงโอสถปีศาจ ก็มีผู้คนจำนวนมากรอคอยให้เขาหลอมกลั่นโอสถให้อยู่แล้ว


เขามาที่นี่ก่อนเพื่ออุ่นหม้อหลอมโอสถเอาไว้ ตอนนี้เย่หยวนเอ่ยกล่าวน้ำเสียงเย็นขึ้นว่า


“ข้าเคยกล่าวไปแล้วคำไหนคำนั้น น้ำที่หกเลอะข้าจะไม่เก็บกลับไป! โถงโอสถปีศาจสาขาเมืองมรกตทมิฬถูกขึ้นบัญชีดำแล้ว แล้วพวกเขายังอยู่ที่นี่ทุกคนก็ไม่ต้องมาต่อแถวรอข้าแล้วในอนาคต!”


วูบ! วูบ! วูบ!


ทันทีทันใดทุกคนต่างหันขวับจับจ้องคงเซียววจนเป็นตาเดียวในทันใด


สีหน้าการแสดงออกของคงเซียวบิดเบี้ยวน่าเกลียดหนัก เขาเอ่ยกล่าวน้ำเสียงเคร่งขรึว่า


“ท่านปรมาจารย์บรรพการาตรี นี่ไม่มากเกินไปหน่อยรึ?”


เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า


“ผู้คนจำต้องนำจ่ายในราคาที่กระทำไป หากเมื่อวานข้าทำลายจุดตันเถียนของเจ้าจนพิการ แล้ววันนี้ข้ามาขอโทษ เจ้าจะยอมหรือไม่? ดังนั้นนี่คือผลที่เจ้ากระทำเอง”


หวู่ห่าวในตอนนี้ออกไปเที่ยวเล่นกับอวี้โม่มาสองสามวันติดแล้ว ก่อนหน้านั้น เขาตื่นตะลึงอย่างยิ่งต่อทักษะการหลอมกลั่นโอสถของอวี้โม่


ในอดีตที่ผ่านมา ทักษะการหลอมกลั่นโอสถของอวี้โม่แย่กว่าเขาเล็กน้อย


แต่ตอนนี้ มาตรฐานหลอมกลั่นโอสถของอวี้โม่กลับแซงหน้าเขาไปแล้ว!


การค้นพบครั้งนี้ทำให้หวู่ห่าวตกตะลึงอย่างมาก


แค่ครึ่งปีที่ผ่านมา ความแกร่งกล้าของอวี้โม่กลับพัฒนาขึ้นขนาดนี้ ใครได้ฟังกลับหาว่าเป็นเรื่องตลกเท่านั้น


เพียงเวลาครึ่งปีถึงแม้รุกหน้าพัฒนาขึ้น แต่นั่นก็เล็กน้อยจนไม่สำคัญอันใด


ทว่าพัฒนาการของอวี้โม่กลับเหนือชั้นขึ้นอย่างชัดเจนเกินไป!


ไม่น่าแปลกใจเลยสักนิด เมื่อพบบรรพกาลราตรี แม้แต่นักปรุงโอสถระดับสามอย่างอวี้โม่ยังต้องให้ความเคารพสุภาพอย่างหาที่เปรียบไม่


ตอนนี้ถึงตาของเขาหวู่ห่าวแล้วที่ต้องออกโรง!


“คงเซียวมิใช่ว่าข้าต้องการวิจารณ์ว่าร้ายเจ้า แต่สิ่งที่เจ้าพูดไปในวันนั้นมันเกินไปจริงๆ! ตั้งแต่ที่ท่านปรมาจารย์บรรพกาลราตรีขึ้นบัญชีดำเจ้า หรือเป็นไปได้ไหมว่าเจ้าต้องการตบหน้าท่านปรมาจารย์ต่อผู้คนจำนวนมาก? เชิญออกไปเถิด! มิฉะนั้นเจ้ากำลังทำให้พวกเราทุกคนที่อยู่ที่นี่ไม่พอใจ!”


หวู่ห่าวเอ่ยกล่าวน้ำเสียงเคร่งขรึม


ฤทัยเหล็กเองก็ลุกพรวดขึ้นและกล่าวขึ้นว่า


“คงเสี่ยวเจ้าออกไปเถิด! เจ้าต้องการทำให้พวกเราพลาดโอกาสรับฟังคำสั่งสอนของท่านปรมาจารย์เพราะเจ้าเพียงคนเดียวรึ?”


ตอนที่ 1506 อย่างต่ำขั้นสวรรค์!

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ถูกต้องแล้ว! เจ้าทำให้ท่านปรมาจารย์บรรพกาลราตรีขุ่นเคืองเพราะตัวเอง อย่าลากเราลงไปเอี่ยวด้วย!”


“กลับไปซะ กลับไป! พวกเรารอท่านปรมาจารย์บรรพกาลราตรีมากว่าครึ่งเดือนแล้ว อยากตายก็ไปตายเอง! อย่ามากลากพวกเราลงไปด้วย!”


“ข้ายังต้องรอคอยให้ท่านปรมาจารย์บรรพกาลราตรีหลอมกลั่นโอสถให้เพื่อช่วยชีวิต! หากยังไม่รีบออกไป เป็นตายข้าขอสู้กับเจ้า!”



ในเวลานี้เองภายในโถงโอสถปีศาจอัดแน่นไปด้วยธารฝูงชน และทุกคนต่างชี้หัวหอกไปที่คงเซียวอย่างพร้อมเพรียง


กงเซียวค้นพบว่ายามนี้ตนได้กลายมาเป็นหนูน้อยที่กำลังข้ามถนน ทุกคนต่างแหกปากไสส่งตะโกนลั่น


โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับหวู่ห่าวและฤทัยเหล็ก ทัศนคติของทั้งสองในตอนนี้ ทำให้เขาโมโหจัดผลาญด้วยไฟแห่งความโกรธ


เจ้าสหายสองตัวนี้ต้องการเหยียบหัวของเขาเพื่อเอาใจบรรพกาลราตรี!


เขาในตอนนี้ไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้อีกต่อไปแล้ว


ต่อให้ใบหน้าของเขาจะหนาด้านเพียงใด แต่ขืนอยู่ต่อไปเกรงว่าจะอันตรายถึงชีวิตได้


“พวกเจ้าสองคนจำเอาไว้! กลับก็กลับ! ใครจะไปกลัว! หึ! ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเด็กเหลือขอคนเดียวจะสามารถทำให้พวกเจ้าทะยานขึ้นสวรรค์ได้!”


เมื่อกล่าวจบคงเซียวก็ลาจากไปด้วยความไม่พอใจ


เดิมทีเขาคิดว่า ตนเป็นถึงนักปรุงโอสถระดับสาม ทั้งยังมีสถานะศักดิ์เป็นถึงประมุขโถงโอสถปีศาจ เย่หยวนจำต้องให้หน้าเขาบ้างไม่มากก็น้อย แต่ใครจะไปคิดว่าไอ้เด็กเหลือขอตัวนี้กลับไม่ไว้หน้าเขาเลย!


ต่อหน้าสาธารณชนผู้คนมากมาย ใบหน้าของเขาแตกละเอียดโดยสมบูรณ์


สำหรับภาพฉากตรงหน้านี้ เย่หยวนหาได้ใส่ใจแม้แต่น้อย


เขาเองก็มีทิฐิความหยิ่งทะนงของตัวเอง ความภาคภูมิใจของเขาไม่ยอมให้ใครมาเหยียบย้ำดูหมิ่นได้โดยง่าย


ในเมื่อคงเซียวดูหมิ่นศักดิ์ศรีของเขาในฐานะนักหลอมโอสถ อีกฝ่ายเองจำต้องรับผลจากการกระทำของตนเช่นกัน


“ต่อไป เริ่มหลอมกลั่นโอสถ!”


เย่หยวนเอ่ยกล่าวเอ่ยตอบอย่างเฉยชา


ไม่ว่าใครต้องการโอสถประเภทใด เย่หยวนย่อมหลอมกลั่นได้ตามสั่ง


ตราบใดที่พวกเขาไม่สร้างปัญหา แม้ว่าจะเป็นโอสถระดับชั้นใดย่อมไม่มีปัญหาเช่นกัน


ถึงเย่หยวนไม่ได้ร้องขอ แต่ภายในโถงโอสถปีศาจในยามนี้กลับเงียบสงัดลงอย่างน่าประหลาดใจ กล่าวได้ว่า เพียงเข็มตกลงพื้น ทว่าก็ยังได้ยินชัดเจน


เมื่อเย่หยวนหลอมกลั่นโอสถเม็ดแรกเสร็จสิ้น เหล่านักปรุงโอสถก็ราวกับถูกกระตุ้นขึ้นมาทันที


“นี่…นี่เสร็จแล้วรึ?”


หวู่ห่าวกระพริบตาปริบๆสองสามคราก่อนจับจ้องอย่างไม่กล้าเชื่อสายตาเท่าไหร่นัก


นี่คือโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสองชั้นต่ำ ผู้คนโดยส่วนใหญ่สามารถหลอมกลั่นได้ก็จริง


แต่ตั้งแต่เริ่มตั้งเตาจวบจนตอนนี้ เวลาเพิ่งผ่านไปเพียงหนึ่งชั่วยามเท่านั้น!


นี่…มันไม่เร็วเกินไปหน่อยรึ?


อวี้โม่และคนอื่นๆในที่แห่งนี้ คุ้นเคยกับความสามารถของเย่หยวนมาเนิ่นนานแล้ว ยามนี้เอ่ยกล่าวขึ้นว่า


“หรือเป็นอย่างอื่นได้? คิดว่าข้าจะเรียกใครก็ได้ว่าปรมาจารย์? โอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสองทั่วไป ท่านปรมาจารย์บรรพกาลราตรีใช้เวลาไม่เกินหนึ่งชั่วยามเท่านั้นในการหลอมกลั่น หากยากกว่านั้นเล็กน้อยคงใช้เวลาไม่เกินสามชั่วยาม”


คู่ดวงตาของหวู่ห่าวเบิกกว้างสว่างไสวขึ้น ก่อนจะเอ่ยอุทานอย่างเหลือเชื่อขึ้นว่า


“ไม่มีทางใช่ไหม? นี่…นี่น่าทึ่งเกินไปแล้ว! คะ-คุณภาพโอสถล่ะ?”


อวี้โม่ยิ้มและกล่าวว่า


“จะไปรู้รึหากมิลองไปดู?”


ในเวลานี้เอง เย่หยวนก็เปิดหม้อหลอมโอสถขึ้นมา


เหล่าผู้คนต่างร้องขอพินิจมองเม็ดโอสถใบหน้าแดงก่ำด้วยความกระวนกระวายใจยิ่ง


แม้ว่าโอสถยังไม่ออกมาจากหม้อหลอม แต่เขาก็ดูมิได้กังวลกับคุณภาพที่ออกมาเลย


ฝ่ามือเย่หยวนพลันสั่นกระตุกเล็กน้อย ทันทีทันใด เม็ดโอสถก็ลอยออกมาพร้อมวางลงภาชนะหยกอย่างประณีต


สายตาทุกคู่รวมทั้งของหวู่ห่าวและฤทัยเหล็กต่างจับจ้องไปยังโอสถเม็ดนั้นด้วยความไม่อยากจะเชื่อ!


ขั้นเทวะ!


สวรรค์! ภายในระยะเวลาหนึ่งชั่วยาม สามารถหลอมกลั่นได้โอสถขั้นเทวะ!


สายตาของข้ามีปัญหาแล้วกระมัง?


มิใช่แค่เขาคนเดียวเท่านั้นที่ตกใจ เสียงร้องอุทานดังลั่นทั่วทั้งโถงกว้าง เห็นได้ชัดว่าทุกคนต่างตกตะลึงยิ่งกับผลลัพธ์ที่ออกมาและความสามารถของเย่หยวน


ทักษะหลอมกลั่นโอสถของเย่หยวนช่างลึกซึ้งและยากจะหยั่งถึงเกินไป พวกเขาไม่สามารถเข้าใจอะไรได้เลย แต่สิ่งหนึ่งที่รู้สึกได้คือกลิ่นอายแห่งเต๋าที่ระดมสั่งสมอยู่บริเวณโดยรอบหม้อหลอม


อย่างไรก็ตามพวกเขาก็สามารถเข้าใจความเก่งกาจของเย่หยวนผ่านระดับคุณภาพของโอสถได้!


กล่าวได้ว่า สำหรับนักปรุงโอสถระดับสามการจะหลอมกลั่นโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งให้ได้ขั้นเทวะ ก็แทบเรียกได้ว่าปาฏิหาริย์บังเกิดแล้ว


โอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสองขั้นเทวะ ไม่มีใครกล้าจินตนาการด้วยซ้ำว่าจะได้เห็นกับตา!


“โอสถศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะ! ปรากฏว่ามันเป็นโอสถศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะจริงๆ! ข้าไม่เคยเห็นโอสถศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะมาก่อนเลยในชีวิตนี้!”


เสียงอุทานดังลั่นมาจากในหมู่ของนักปรุงโอสถปีศาจระดับสอง


เหล่านักสู้ที่ต่อแถวรอการหลอมกลั่นโอสถอยู่นั่นเอง พวกเขาจับจ้องไปยังกลุ่มนักหลอมโอสถหน้าใหม่ที่เพิ่งเข้ามาดูการหลอมกลั่นโอสถของเย่หยวนเป็นครั้งแรก ราวกับกำลังมองคนโง่และกล่าวขึ้นว่า


“โอสถที่ท่านปรมาจารย์บรรพกาลราตรีหลอมกลั่นขึ้นมา หากผู้ใดได้คุณภาพต่ำกว่าขั้นสวรรค์นับว่าต้องโทษดวงตะชาตนเองแล้ว ไฉนคนพวกนั้นต้องทำตัวตื่นตกตื่นใจอะไรขนาดนั้น? นี่มันเรื่องปกติ!”


“ถูกต้อง! เหมือนนักปรุงโอสถระดับสามที่ถูกไล่ออกไปก่อนหน้า? ชายคนนั้นต้องปัญญาอ่อนเพียงใด ถึงกล่าวลบหลู่ท่านปรมาจารย์บรรพกาลราตรี! กระทั่งนักปรุงโอสถระดับสามยังเรียกท่านว่าปรมาจารย์เช่นกันเมื่ออยู่ต่อหน้าท่าน!”


อีกคนกล่าวเสริม


“หากคุณภาพต่ำกว่าขั้นสวรรค์ นับเป็นผลลัพธ์ที่ไม่ควรเสนอมอบออกไป?”


มุมปากของบรรดานักหลอมโอสถระดับสองพลันกระตุกขึ้นทันที พวกเขาไม่เคยเห็นใครหลอมกลั่นโอสถได้สูงถึงขั้นเทวะมาก่อนเลยในชีวิต!


ไม่ เดี๋ยวก่อน กล่าวได้ว่าพวกเขาไม่เคยเห็นใครหลอมกลั่นได้สูงกว่าขั้นยอดเยี่ยมมาก่อนเลยดีกว่า!


นักปรุงโอสถแห่งโถงโอสถปีศาจสาขาเมืองหลวงคาโปนต่างคุ้นชินกับภาพฉากนี้มานานแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกว่า ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ


แต่ถ้าหากเย่หยวนหลอมกลั่นแค่ขั้นสวรรค์จริงๆ นั่นแหละที่พวกเขาควรประหลาดใจ


หวู่ห่าวและฤทัยเหล็กต่างสบตากันไปมา แววตาทั้งคู่ล้วนทอประกายความประหลาดใจออกมาประจักษ์ชัด


แม้พวกเขาจะทราบนานแล้วว่า ท่านปรมาจารย์บรรพกาลราตรีน่าประทับใจเพียงใด แต่ความประทับใจที่ได้เห็นกับตากลับน่าเหลือเชื่อเกินกว่าจินตนาการมากมายนัก


แค่พินิจมองระหว่างกระบวนการหลอมกลั่นโอสถของท่านปรมาจารย์บรรพกาลราตรีก่อนหน้านี้ พวกเขาก็รู้สึกได้ว่าท่านมาจากโลกที่แตกต่างจากทั้งคู่โดยสิ้นเชิง!


ในฐานะนักปรุงโอสถปีศาจระดับสาม พวกเขากลับไม่สามารถเข้าใจการหลอมกลั่นของเย่หยวนได้เลย!


ต่อหน้าเย่หยวน พวกเขาเปรียบเสมือนกับคนที่ไม่รู้จักวรยุทธ์บ่มเพาะพลังมาก่อน และกำลังเฝ้ามองผู้ไร้เทียมทานทะยานสู่สวรรค์หยั่งลึกถึงใต้พิภพ


ต่อให้ไม่สามารถเข้าใจอะไรได้เลย แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนคือความน่าประทับใจเกินพรรณนา


ในตอนนี้พวกเขารู้สึกยินดีปรีใจเป็นอย่างยิ่งที่มิได้เลือกอยู่ข้างเดียวกับคงเซียว


หากพลาดการบรรยายครั้งนี้ พวกเขาต้องรู้สึกเสียใจไปตลอดชีวิตเป็นแน่!


นักสู้คนนั้นรับโอสถไปพร้อมแสดงความขอบคุณและจากออกไป คนต่อไปตรงเข้ามาพร้อมมอบสมุนไพรวิญญาณจัดเตรียมไว้ให้เสร็จสับพร้อมสูตรโอสถ


เย่หยวนไม่คิดจตะหยุดพักแม้แต่น้อย ก่อนจะเริ่มหลอมกลั่นต่อทันที


หวูห่าวและที่เหลือเฝ้ามองเย่หยวนหลอมกลั่นต่อไป พวกเขารู้สึกตื่นตกตื่นเต้นชนิดแทบลืมหายใจ กล่าวได้ว่าจับจ้องไม่กล้าละสายตาออกเพราะกลัวว่าจะพลาดระละเอียดยิบย่อยไป


ขั้นเทวะ!


ขั้นเทวะ!


และก็ยังเป็นขั้นเทวะ!


ครึ่งวันผ่านพ้น เหล่าผู้คนที่เข้ามาดูและเรียนรู้ต่างยืนอึ้งตะลึงงัน พร้อมความรู้สึกแสนประหลาดใจ


เมื่อเห็นสีหน้าการแสดงออกบนใบหน้าของผู้คนเหล่านั้น กลุ่มนักปรุงโอสถปีศาจแห่งโถงโอสถปีศาจสาขาเมืองหลวงคาโปนทุกคน ต่างเผยรอยยิ้มคลี่ออกมาเล็กน้อยประดับใบหน้าทุกคน


ในอดีต พวกเขาเองก็เคยเป็นเหมือนผู้คนเหล่านี้เช่นกัน ที่ตื่นตะลึงประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง


แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความรู้สึกนั้นกลับแปรเปลี่ยนเป็นความมึนงงแทน


ระดับชั้นการหลอมกลั่นของท่านปรมาจารย์บรรพกาลราตรีหาใช่สิ่งที่พวกเขาจะสามารถจินตนาการได้เลย


เพราะเหตุนี้เอง โถงโอสถปีศาจแห่งเมืองหลวงคาโปนจึงเคารพเลื่อมใสเย่หยวนประดุจเทพสวรรค์จุติลงมา


ในยามเย็น เย่หยวนค่อยๆลุกขึ้นและกล่าวว่า


“วันนี้ยุติแต่เพียงเท่านี้  ค่อยดำเนินการต่อในวันต่อไป”


ทุกคนต่างลุกขึ้นยืนพร้อมทำความเคารพ ก่อนเลี่ยงหลบเปิดเส้นทางให้เย่หยวนจากออกไป ก่อนจะจับกลุ่มสนทนากันลือลั่น


“ราวกับเป็นงานศิลปะสุดน่าอัศจรรย์ยิ่ง! นี่คือผลงานศิลปะชั้นเลิศ! มันคือผลงานชิ้นเอกที่เกิดขึ้นจากการหลอมกลั่นโอสถ!”


หวูห่าวถอนหายใจด้วยความชื่นชมไม่หยุดหย่อน


“การเดินทางมาครั้งนี้มิได้คว้าน้ำเหลว! การเดินทางครั้งนี้ช่างมีประโยชน์มหาศาลยิ่ง! เฮ้ออ…อิจฉาพวกเจ้าจริงๆที่สามารถรับชมท่านปรมาจารย์บรรพกาลราตรีหลอมกลั่นโอสถได้ทุกวัน นับว่าต้องมีบุญขนาดไหน!”


ฤทัยเหล็กกล่าวขึ้นเจือความอิจฉาไม่รู้จบ


“ไม่น่าแปลกใจเลยว่าไฉนพวกเจ้าถึงพัฒนากล้าแกร่งขึ้นอย่างก้าวกระโดด ด้วยคำสอนสั่งที่ท่านบรรพกาลราตรีมอบให้แก่พวกเจ้า มันทำให้ข้ารู้สึกอิจฉาเจียนตาย!”


ประมุขโถงโอสถปีศาจจากอีกเมืองกล่าวขึ้นด้วยความอิจฉาเช่นกัน


…………………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)