Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1495-1497
ตอนที่ 1495 ส่งสาสน์ท้าทาย
โดย
Ink Stone_Fantasy
คุนหมิงช้อนสายตามองเย่หยวนอย่างหมดหนทาง ยามนี้รู้สึกขมขื่นใจสาหัสไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี
ในเมืองหลวงคาโปนแห่งนี้ยังมีใครเป๋ากางเกงไม่เปียกเมื่อเห็นเขา?
ทว่าวันนี้เขาผู้แสนน่ากลัวกลับถูกเด็กเหลือขอไล่ต้อนซะจนมุม และเขาไม่สามารถหงุดหงิดอารมณ์เสียใส่เด็กตรงหน้าได้ด้วยซ้ำ
หากเป็นคนอื่น เขาคงสำแดงใช้พลังเพื่อข่มขู่กดดันไปนานแล้ว หรือหยิบใช้วิธีต่างๆ เพื่อให้คู่สนทนายอมจำนน
แต่สำหรับเย่หยวนผู้นี้ สิ่งเหล่านั้นกลับไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง!
ข่มขู่?
แน่นอนว่าทำได้ ทว่ามีแต่จะทำให้สถานการณ์แย่ลงไปอีก!
คุนหมิงถอนหายใจและกล่าวว่า
“ไม่ว่าเงื่อนไขใดที่นายน้อยบรรพกาลราตรีต้องการ อย่าลังเลที่จะเอ่ยกล่าว ตราบใดที่ไม่เกินความสามารถของโถงนักฆ่า พวกเราย่อมไม่ปฏิเสธแน่นอน”
คู่สายตาของเย่หยวนพลันสว่างวาบ ฉายแววจับจ้องไปที่คุนหมิงโดยไวและกล่าวถามว่า
“จริงรึ?”
คุนหมิงคลี่ยิ้มอย่างขมขื่นในพลันเอ่ยขึ้นว่า
“ข้ายังมีทางเลือกอื่นหรือไม่?”
เย่หยวนยิ้มกว้าง ยามสนทนากับคนฉลาด ทุกอย่างมักเป็นไปอย่างราบรื่นเสมอ
“ข้าต้องการให้ท่านช่วยส่งสาสน์ท้าทาย!”
เย่หยวนกล่าวตอบ
คุนหมิงขมวดคิ้วขึ้นถักแน่นทันที
“นายน้อยบรรพกาลราตรีคิดจะสู้กับไคซินหรืออย่างไร? แต่เจ้าหาใช่คู่มือของเขาไม่!”
เย่หยวนเอ่ยกล่าวน้ำเสียงเย็นชาว่า
“ใช่คู่มือของเขาหรือไม่กลับเป็นธุระของข้า ท่านเพียงช่วยเหลือข้าอย่างสองอย่างเท่านั้นก็นับว่าเพียงพอ”
สีหน้าของคุนหมิงฉายแววจริงจังขึ้นทันตา และเอ่ยถามขึ้นว่า
“อย่างสองอย่าง?”
คุนหมิงตระหนักได้ว่า เย่หยวนมิได้ตามล้างแค้นโดยอาศัยอารมณ์เป็นที่ตั้ง ในทางตรงข้าม เขามิได้คิดแก้แค้นโดยไม่มีแบบแผนใดๆ
สีหน้าการแสดงออกอันไม่แยแสของเย่หยวน มันแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เขาตระเตรียมแผนการมาแล้วเป็นอย่างดี
ในความเป็นจริง แม้แต่เรื่องที่คุนหมิงเดินทางมาขอโทษเย่หยวนเช่นนี้ มันก็อยู่ในการคำนวณแล้วเช่นกัน
เย่หยวนคิดวิเคราะห์ทุกอย่างมาแล้วเบ็ดเสร็จ และรอคุนหมิงมาขอโทษขอโพยอยู่
ชายหนุ่มคนนี้น่ากลัวเกินไปแล้วจริงๆ
การเดินหมากโดยอาศัยขุมกำลังของฝ่ายอื่นเพื่อพิฆาตฝ่ายอื่นด้วยกัน มันเป็นแผนการของเย่หยวนที่คุนหมิงคาดไม่ถึง
แน่นอนว่า ทั้งหมดเป็นไปตามแผนที่วางเอาไว้ และทั้งหมดต้องขอบคุณความแข็งแกร่งและศักยภาพเฉพาะตัวของเย่หยวน มิฉะนั้นประมุกโถงทั้งสองจะยอมออกโรงเช่นนี้ได้อย่างไร พวกเขาหาใช่คนโง่ไม่
ในที่สุดคุนหมิงก็เข้าใจแล้วว่า ไฉนประมุขโถงทั้งสองถึงมองชายหนุ่มคนนี้ในมุมมองที่แตกต่าง และต้องการออกโรงปกป้องเขาถึงขั้นนี้
เย่หยวนหยิงถุงที่บรรจุผงโอสถเอาไว้ออกมาและกล่าวว่า
“ภายในถึงนี้มีผงโอสถบรรจุไว้อยู่ คงมิใช่เรื่องยากที่จะลอบผสมมันลงไปให้ไคซินกินโดยไม่รู้ตัว นี่คงหาใช่เรื่องยากสำหรับนักฆ่า?”
สีหน้าการแสดงออกของคุนหมิงเปลี่ยนไปอย่างมากและกล่าวว่า
“ไม่มีทาง! แม้ว่าโถงโลหิตปรโลกจะไม่เกรงกลัวต่อตำหนักเจ้าเมือง แต่การวางยาพิษให้นายน้อยแห่งตำหนักเจ้าเมืองนับเป็นเรื่องร้ายแรง ข้าไม่สามารถทำได้เจ้าได้!”
เย่หยวนคลี่ยิ้มยางกล่าวขึ้นว่า
“ท่านประมุขโถงไม่ต้องห่วงไป ผงโอสถเหล่านี้ไม่ถึงขั้นเอาชีวิตเขา และมิได้ส่งผลต่อความแข็งแกร่งของเขามิแต่น้อย ด้วยสิ่งนี้เขาไม่มีทางทราบแน่ว่าตนถูกวางยา”
คุนหมิงขมวดคิ้วเข้มกล่าวว่า
“ข้าจะเชื่อเจ้าได้อย่างไรว่ามิได้ยืมมัดคนอื่นฆ่าคน?”
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“ข้ายังมีอยู่อีกถึงหนึ่ง หากท่านไม่เชื่อก็สามารถพิสูจน์ได้ แต่ต้องเตรียมใจให้ดีเพราะมันมีผลต่อจิตใจของท่าน”
คุนหมิงสะดุ้งเฮือก แววตื่นกลัวฉายสะท้อนผ่านแววตาทันควัน
สิ่งที่นักปรุงโอสถปีศาจระดับสองหลอมกลั่นขึ้นมา กลับมีผลกับเขาจริงๆ?
เพียงถุงบรรจุผงโอสถเล็กๆ นี้ถุงเดียว กลับสร้างภัยคุกคามได้ขนาดนี้จริงรึ?
ต้องทราบเสียก่อนว่า โอสถที่นักปรุงโอสถระดับสองหลอมกลั่นขึ้นมา มันแทบไม่มีผลอะไรกับจอมทัพปีศาจเลย ดังนั้นแล้วนับประสาอะไรกับจอมทัพปีศาจขั้นสุดอย่างคุนหมิงกัน?
คุนหมิงตระหนักทราบชัดแจ้งว่า เย่หยวนเป็นนักปรุงโอสถปีศาจที่น่าเกรงขามยิ่ง การที่อีกฝ่ายกลัวเช่นนี้ย่อมทราบความตื่นตระหนกได้เป็นธรรมดา
แม้คุนหมิงจะไม่ทราบว่าสิ่งนี้มีผลกระทบอย่างไร แต่สำหรับไคซิน นี่เป็นเรื่องร้ายแรงแน่นอน!
เมื่อเห็นสีหน้าการแสดงออกของคุนหมิง เย่หยวนก็ยิ้มกล่าวว่า
“ถุงนี้เพื่อเป็นหลักประกันว่า เขาและข้าจะต่อสู้กับภายใต้กฎอย่างยุติธรรม ตราบใดที่เขากินเข้าไปโดยไม่รู้ตัว จะไม่มีใครจับได้แน่นอนว่าท่านเป็นคนทำ”
คู่คิ้วของคุนหมิงกระตุกขึ้น เขานิ่งเงียบไปพักใหญ่ก่อนจะพยักหน้ากล่าวว่า
“เข้าใจแล้ว ข้าขอให้สัญญากับเจ้า และหวังว่าเจ้าจะหาได้ทำเรื่องขุดหลุมฝังศพตัวเอง! แล้วจะให้ข้าส่งสาสน์ยามใด?”
คุนหมิงลองพินิจคิดให้ถี่ถ้วนดู กลับพบว่าการที่เย่หยวนยืมมีดคนอื่นเพื่อฆ่ากลับมิได้เกิดผลดีเท่าไหร่ แถมนั่นยังทำให้ตัวเย่หยวนเองตกสู่สถานการณ์อันตรายมากขึ้นแทน
และเห็นได้ชัดว่าเย่หยวนเป็นคนที่ฉลาดรอบคอบมาก เขาไม่มีทางทำเรื่องโง่ๆเช่นนั้นแน่นอน
เย่หยวนยิ้มกล่าว
“อีกสิบเดือน ท่านถึงจะส่งสาสน์ท้าดวลของข้าออกไป! หลังจากนี้ข้าขอสู้กับไคซินให้ตายกันไปข้าง!”
คุนหมิงกล่าวว่า
“เจ้าประเมินไคซินต่ำเกินไป! ความแกร่งกล้าของเขาใกล้เคียงกับระดับชั้นจอมทัพปีศาจมากนัก! เขาเป็นคนที่โดดเด่นที่สุดในหมู่เยาวชนของตระกูลไค ชื่อเสียงคำลือเลื่องมากมายถึงความเก่งกาจ! เจ้ายังเอาชนะหัวเอ๋อไม่ได้ แล้วเป็นไปได้ไหมว่าจะโค่นไคซินได้ภายในหนึ่งปี?”
ตอนนี้เย่หยวนกล่าวเองว่า ผงโอสถเหล่านี้ไม่มีผลต่อความแข็งแกร่งของไคซิน
ดังนั้นแล้วเขาจะสามารถเอาชนะไคซินโดยหวังพึ่งสิ่งใด?
ความแข็งแกร่งของไคซินนับเป็นอันดับหนึ่งในหมู่ระดับชั้นแม่ทัพปีศาจทั้งหมดของเมืองหลวงคาโปน!
ประเด็นนี้ไม่มีใครกล้ากังขา
เย่หยวนยิ้มตอบ แต่หาได้เอ่ยกล่าวอันใดกับคุนหมิง
คู่ดวงตาของคุนหมิงหรี่แคบลงเล็กน้อยและกล่าวว่า
“เข้าใจแล้ว ข้อตกลงทั้งสองข้อข้าขอสัญญา! แต่หากไฟไหมลามมาถึงโถงโลหิตปรโลกล่ะก็…เจ้าคงทราบถึงผลที่ตามมา!”
เมื่อกล่าวจบ คุนหมิงก็หยิบซองบรรจุผงโอสถนั่นจากไปทันที
หลังจากคุนหมิงจากไป เย่หยวนก็ตรงเข้าเก็บตัวอีกครั้ง
อย่างลืมไปเสีย เวลาหนึ่งปีเท่ากับสิบปีของเย่หยวน!
หากเป็นคนอื่น ภายในระยะเวลาสิบปีอาจไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก แต่สำหรับเย่หยวนย่อมทำได้
หลังจากที่กลืนโอสถทองคำลึกล้ำลงไป กายเนื้อของเย่หยวนก็ทะลวงขึ้นสู่ระดับสองขั้นกลางโดยตรง
จากนั้นเย่หยวนก็เริ่มหลอมกลั่นโอสถอย่างบ้าคลั่ง
สิบเดือนต่อมาในโลกภายนอก ทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของเย่หยวนสั่นสะเทือนอย่างหนัก ในที่สุดเขาก็ทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นปลายได้!
“อืม…ยังเหลือเวลาอีกสิบหนึ่งปีหลังจากนี้ ข้าควรดูดซับพลังรวบรวมเพื่อสร้างรากฐานพลังปราณให้มั่นคงกว่านี้เสียหน่อย จากนั้นก็เข้าขัดเกลาฝีมือภายในห้วงมิติบ่มเพาะแห่งความตายสักเที่ยว”
เย่หยวนบ่นพึมพำคนเดียว
…
การมาถึงของคุนหมิงทำให้ไคซินประหลาดใจอย่างมาก
“ท่านเป็นตัวแทนของบรรพกาลราตรีเพื่อส่งสาสน์ท้าดวลให้ข้า?”
รอยยิ้มสุดเหยียดพลันฉีกขึ้นบนมุมปากของไคซินทันที
คุนหมิงกล่าวเสียงเย็นชืด
“ใช่แล้ว เขากลับกว่าเจ้าจะปฏิเสธจึงขอให้ข้ามาเป็นการส่วนตัว”
สำหรับไคซินคนนี้ คุนหมิงเองก็มิได้ประทับใจเลื่อมใสอันใด ดังนั้นเขาไม่จำเป็นต้องเอ่ยกล่าวสุภาพ
เดิมทีเรื่องนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกับโถงนักฆ่าอยู่แล้ว แต่เนื่องจากไคซินเป็นคนเสนอค่าหัวและมอบหมายงานมา จึงเป็นการลากโถงนักฆ่าลงเหวตามกันไป จนท้ายที่สุดต้องสูญเสียนักฆ่าฝีมือดีไปหนึ่งนาย
ผลลัพธ์เช่นนี้เล่นเอาคุนหมิงขมขื่นใจไปหลายวัน
ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นเย่หยวนหรือไคซิน เขาก็ไม่พอใจใครทั้งนั้น
การต่อสู้ครั้งนี้เป็นช่องทางให้เราระบายอารมณ์ได้อย่างไม่ต้องสงสัย
ไคซินระเบิดหัวเราะดังลั่นและกล่าวว่า
“ปฏิเสธ? ไฉนข้าถึงต้องปฏิเสธ? ฮ่าๆๆ พวกโง่ที่ประเมินตัวเองสูงส่งเกินไป สุดท้ายก็เปิดประตูแสวงหาความตายเสียเอง! นายน้อยผู้นี้ช่างมีความสุขนัก! ดูเหมือนว่าเวลากว่าสิบเดือนนี้ ความแข็งแกร่งของเขาจะก้าวหน้าขึ้นบ้าง!”
ไคซินหาได้เกรงกลัวคำท้าทายนี้เลย ในทางตรงข้าม เขามิได้รับสาสน์ท้าดวลอะไรเช่นนี้มานานมาแล้ว
ตำแหน่งนายน้อยผู้นี้มิใช่แค่การได้รับสืบทอดต่อกันมา แต่มันแลกมาด้วยกองเลือดสดจำนวนนับไม่ถ้วนกว่าจะได้มา!
เผ่าปีศาจไม่เคยมีข้อจำกัดเรื่องการท้าดวล แม้แต่นายน้อยแห่งตำหนักเจ้าเมืองเองก็ไม่มีข้อยกเว้น!
หากต้องการเป็นนายน้องแห่งตำหนักเจ้าเมืองอย่างสมศักดิ์ศรี จำต้องรับคำท้าทายจากทุกแห่งหน!
แน่นอนว่าไคซินหาใช่ผ้าไหมลายความที่นอนเสวยสุข แต่เป็นยอดฝีมืออย่างแท้จริง!
ไม่มีใครท้ายทายไคซินเป็นเวลานานแล้ว เขาจึงมีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธ
เป็นเพราะเหตุนี้เย่หยวนจึงร้องขอให้คุนหมิงออกหน้าเป็นการส่วนตัว
สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า เรื่องใครเป็นนายจ้างสั่งให้ลอบสังหารเย่หยวน อีกฝ่ายล้วนประจักษ์ทราบดีแล้ว และความขุ่นแค้นนี้ก็ไม่สามารถจบลงง่ายๆแค่วาจา แต่ต้องจบลงด้วยการต่อสู้เท่านั้น!
นี่เป็นวิธีที่ง่ายและหยาบโลนที่สุดในการแก้ไขปัญหาของเผ่าปีศาจ!
ตอนที่ 1496 ลานประลองเลือด
โดย
Ink Stone_Fantasy
ลานประลองเลือด สมรภูมิสังหารแห่งใต้ดินของเมือง
โถงโลหิตปรโลกหากำไรเป็นกอบเป็นกำจากสถานที่แห่งนี้
มีการต่อสู้เป็นตายไม่เว้นวันนับร้อยพัน ทั้งหมดเกิดขึ้นที่นี่
เหล่าขุนนางชนชั้นสูงที่ชอบเล่นเดิมพันเพื่อแสวงหาความบันเทิง ที่แห่งนี้นับเป็นแห่งรายได้และความสนุกสนานของพวกเขา
แน่นอนว่ายังมีชนชั้นสูงบางคนที่ลงสนามเองเป็นการส่วนตัว เพื่อฝึกปรือขัดเกลาฝีมือ
บางคนตายลงในสมรภูมิแห่งนี้ ในขณะที่คนอื่นๆล้วนสร้างชื่อเสียงให้กับตน้องบนเส้นทางสีเลือดนี้
และไคซินก็คือหนึ่งในนั้น!
ในลานประลองเลือดของเมืองหลวงคาโปน ไคซินยังคงเป็นตำนานจวบจนทุกวันนี้
หากย้อนกลับไป ไคซินยังเป็นนายน้อยที่ปราศจากชื่อเสียง น้อยคนนักที่รู้จักเขาในหมู่พี่น้องมากมาย
อย่างไรก็ตามแต่ เขาเป็นพวกไม่ห่วงชีวิตสักเท่าไหร่นัก
เขาตัดสินใจก้าวขึ้นสู่ลานประลองเลือดด้วยตัวเพียงลำพังโดยไม่มีผู้ใดติดตามมาด้วย และกลายมาเป็นนักสู้เลือดเดือด
การอยู่ของเหล่านักสู้เลือดเดือดก็เพื่อทำให้ผู้คนเพลิดเพลิน
พวกเขาเคือกลุ่มคนที่เข้าร่วมการต่อสู้ที่มีชีวิตเป็นเดิมพันบนลานประลอง ในขณะที่เหล่าขุนนางชนชั้นสูงเล่นเดิมพันบนอัฒจันทร์จนหนาตา
ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ไคซินก็เริ่มก้าวเดินขึ้นสู่วิถีแห่งสวรรค์
นอกจากมันจะเป็นลานประลองเลือดแล้ว มันยังเป็นสถานที่ที่ขุดเอาศักยภาพแฝงที่น่าสะพรึงของเขาออกมาด้วย
ในตอนแรก ไคซินเข้าสัประยุทธ์นับสิบศึกล้วนถูกลูบคมมาโดยตลอด
แต่ละคราเขาเกือบจะหลบหนีความตายจากคู่ต่อสู้แทบไม่ได้
กล่าวได้ว่า ทุกคนต่างมองเห็นเป็นประจักษ์ชัด ไคซินคนนี้ไม่น่าจะมีชีวิตอยู่ได้นานนัก
อย่างไรก็ตาม หลังจากครั้งแรกและครั้งต่อๆมา ความเร็วในการพัฒนาของไคซินก็เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจนผู้ใดเห็นล้วนรู้สึกสิ้นหวังยิ่ง
สิบปีต่อมา ไคซินเอาชนะเหล่าคู่ต่อสู้มากมายนับไม่ถ้วน และกวาดล้างเหล่าคู่ต่อสู้ในระดับชั้นเดียวกันจนหมดสิ้น
จากประสบการณ์ต่อสู้ที่มีชีวิตเป็นเดิมพันนับครั้งไม่ถ้วน ทำให้ความแกร่งกล้าของไคซินก้าวล้ำจนน่าสะพรึง
อย่างไรก็ตาม นี่หาใช่จุดจบไม่
หลังจากที่ไคซินขึ้นกลายมาเป็น ราชันแห่งลานประลองเลือด เขาก็เริ่มท้าทายผู้คนข้ามระดับ!
การกระทำแสนบ้าคลั่งนี้ต่างทำให้ทุกคนหลงคิดไปว่า เขากำลังรนหาที่ตาย
แต่ท้ายที่สุดนี้เขากลับไม่ตาย และนามขานของเขาก็อยู่บนสมรภูมิเดือดนี้มาเป็นเวลากว่าร้อยปี
เป็นเช่นนี้ตลอดมาจวบจนวันหนึ่ง วันที่ไม่มีใครกล้าท้าทายเขาอีกต่อไป!
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใด ไคซินไม่เคยพ่ายแพ้มาก่อน
ต่อมา บันทึกสถิติที่ลานประลองเลือดได้บันทึกไว้ ระบุว่าไคซินชนะการประลองไปแล้วกว่าแปดร้อยนัดติดต่อกัน!
สิ่งหนึ่งที่ควรทราย ภายในสถานที่แห่งนี้มียอดฝีมือมากมายราบกับก้อนเมฆ การคว้าชัยชนะติดต่อกันเช่นนี้เป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้
แต่กระนั้นเอง ไคซินก็ชนะติดต่อกันกว่าแปดร้อยนัดรวด!
ยิ่งไปกว่านั้น คู่ต่อสู้ของเขาล้วนแต่เป็นระดับยอดฝีมือที่มีระดับพลังสูงกว่าเขาแทบทั้งสิ้น!
ด้วยเหตุนี้ ไคซินจึงได้ฉายาว่า ราชันแห่งลานประลองเลือด
นี่คือตำนาน!
ที่ทุกคนต่างเคารพและยำเกรงต่อไคซินหาใช่เพราะเขาเป็นนายน้อยแห่งตำหนักเจ้าเมือง แต่เป็นเพราะพวกเขาหวาดกลัวในความแข็งแกร่งของอีกฝ่าย!
แน่นอน พวกเขาเองล้วนแข็งแกร่ง แต่กลับไม่มีใครบ้าระห่ำเท่าไคซิน!
ข่าวการท้าดวลของ‘ราชันแห่งลานประลองเลือด’ที่เกิดขึ้นอีกครั้ง ได้จุดชนวนผู้คนในลานประลองเลือดทันที
‘บรรพกาลราตรี’นามขานนี้ทราบกันเพียงกลุ่มคนระดับสูงของเมืองหลวงคาโปนเท่านั้น
แต่นามขาน‘ราชันแห่งลานประลองเลือด’กลับไม่มีใครไม่รู้จักภายในเมือง
บรรพกาลราตรีกับไคซินจะประลองกันโดยชีวิตเป็นเดิมพัน ทันทีข่าวนี้แพร่กระจายออกไป โดยมีเม็ดเงินหลั่งไหลเข้ามาในลานประลองเลือดเพื่อเดิมพันกว่าสามพันล้านผลึกปราณปีศาจระดับต่ำภายในสามวัน!
เก้าในสิบส่วน ทุกคนต่างเดิมพันข้าง‘ราชันแห่งลานประลองเลือด’หรือก็คือไคซิน
แม้ว่าอัตราคต่อรองของไคซินจะเป็นเพียง หนึ่งต่อหนึ่ง ก็ตาม
แน่นอนว่ายังมีนักเก็งกำไรจำนวนไม่น้อยที่เลือกข้างพนันฝั่งเย่หยวน เนื่องด้วยอัตราต่อรองที่แสนน่าดึงดูดใจเหลือเกิน
หนึ่งต่อสิบห้า!
เท่ากับว่ากำไรสิบห้าเท่า!
เมื่อชนะขึ้นทีหนึ่ง เท่ากับพวกเขาจะได้รับกำไรอย่างมหาศาล
ในคราวแรกที่เริ่มเปิดเดิมพัน อัตราต่อรองของเย่หยวนยังอยู่แค่ หนึ่งต่อเจ็ด
แต่เนื่องจากสามวันที่ผ่านมา มีคนเดิมพันฝั่งของเย่หยวนน้อยมาก ดังนั้นอัตราต่อรองของเย่หยวนจึงเพิ่มเป็นหนึ่งต่อสิบห้าทันที!
ในลานประลองเลือด เย่หยวนยังเป็นมือใหม่ และไม่มีประวัติใดให้อ้างอิงมาก่อน
อัตราต่อรองของเขาจึงดูน่ากลัวอย่างมาก ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว หากไม่มีอัตราต่อรองนี้ ก็มีน้อยคนนักที่กล้าเดิมพันฝั่งของเย่หยวน
อัตราต่อรองที่สูงมันสะท้อนให้เห็นว่า ลานประลองเลือดแห่งนี้มองเย่หยวนในแง่ไม่ดีเท่าไหร่นัก
เหล่าคนที่เลือกเดิมพันฝั่งของเย่หยวน พวกเขาหวังแค่ให้ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นเท่านั้น
เพราะหากชนะที นั้นเท่ากับโกยกำไรมหาศาล
ในเวลานี้เอง ภายในโถงลานประลองเลือด ประมุขลานประลองเลือดอย่าง อินทรีโลหิตดูค่อนข้างหงุดหงิดนัก
“คุนหมิง เจ้ามั่นใจกับการต่อสู้นี้มากน้อยเพียงใด? เดิมทีข้ามิได้วางแผนที่จะปรับอัตราต่อรองมากขนาดนี้! แต่ทางเบื้องบนกลับสั่งการมา เดิมพันที่สูงเกินไปกลับยากที่จะลงจากหลังเสือ! เพียงช่วงเวลาสั้นๆมีคนยอมเสี่ยงเป็นมูลค่ากว่าสามหมื่นล้าน จนกระทั่งวันที่ปิดรับเดิมพัน มูลค่ากลับทะลุไปสูงถึงแสนล้านหรือมากกว่านั้นด้วยซ้ำ! หากบรรพกาลราตรีแพ้ขึ้นมา พวกเราจะสูญเสียผลกำไรในช่วงหลายปีมานี้ของลานประลองเลือดทันที! ทุกอย่างที่ทำมาจะจมลงบ่อน้ำไป!”
อินทรีโลหิตเอ่ยกล่าวน้ำเสียงเคร่งขรึม
คุนหมิงเอ่ยตอบเสียงเย็นว่า
“การประลองที่มีชีวิตและตายเป็นเดิมพัน จวบจนวินาทีสุดท้าย ใครแพ้ใครชนะกลับยากที่จะทราบผล”
อินทรีโลหิตที่ได้ยินเช่นนั้นแทบสำลัก และกล่าวว่า
“คำพูดของเจ้าช่างไร้ความรับผิดชอบสิ้นดี! ความแกร่งกล้าของไคซิน เจ้าเองก็ชัดเจนดี! กล่าวได้ว่าไร้เทียมทานในหมู่ระดับชั้นเดียวหัน! หรือเจ้าทราบถึงจุดแข็งของบรรพกาลราตรีนั้น?”
คุนหมิงมองบนใส่อินทรีโลหิตเล็กน้อย และกล่าวน้ำเสียงเรียบนิ่งว่า
“อินทรีโลหิต เจ้าอย่าเพิ่งร้อนรนไปเสีย ข้าแค่บอกว่าโอกาสชนะของบรรพกาลราตรีใช่ว่าจะไม่มีเลย หรืออาจมากกว่าที่เจ้าคิดด้วยซ้ำ ส่วนที่ว่าผลสุดท้ายใครแพ้หรือชนะกลับยากจะคาดเดา”
จากมุมมองของคุนหมิงเอง เขาแทบมองไม่เห็นโอกาสชนะของเย่หยวนเลย
แต่เมื่อเขาพลันนึกถึงสีหน้าการแสดงออกอันสงบเสงียมของเย่หยวน เขาก็รู้สึกว่าเย่หยวนจักต้องมีแผนการรองรับไว้แน่นอน
ภายในจิตใจที่ขัดแย้งกันเช่นนี้เป็นเวลานานกว่าหนึ่งปี ทำให้เขารู้สึกอึดอัดอย่างมาก
และเขาเองก็เชื่อว่าอีกสองคนเองก็รู้สึกเหมือนเขาแน่นอน
อินทรีโลหิตแห่งลานประลองเลือดถือเป็นคนนอกเท่านั้น แต่คราวนี้เขากลับถูกหารเลขไปด้วย
ในขณะที่สถานการณ์ดำเนินมาถึงจุดนี้แล้ว เขาก็ไม่สามารถถอยหลังกลับไปได้อีกต่อไป
คุนหมิงเองก็งุนงงเช่นกันว่า ไฉนเบื้องบนถึงต้องสั่งการให้พวกเขาเปิดเดิมพัน
กล่าวกันตามตรง อัตราการชนะของเย่หยวนมันน้อยเกินไปจริงๆ
เว้นเสียแต่ว่า ผงโอสถนั้นจะสามารถทำให้ความแข็งแกร่งของไคซินถูกบั่นทอนลงเท่านั้น
อย่างไรก็ตามแต่ ไคซินกินผงโอสถนั้นเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว จวบจนบัดนี้ก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไร เขายังดูกระปรี้กระเป่ามีชีวิตชีวา เปี่ยมล้นไปด้วยพลังดังเดิม
สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าเย่หยวนมิได้หลอกเขาจริงๆ ผงโอสถนั้นไม่มีผลต่อความแข็ง
แกร่งของไคซิน
ท่าทีของคุนหมิงทำให้อินทรีโลหิตแทบจะกระทืบเท้าลงพื้นแรงๆสักทีสองที เขาคำรามลั่นใส่คุนหมิงว่า
“อัตราการชนะมากกว่าที่ข้าคิดงั้นรึ? คุนหมิง เจ้าเห็นข้าเป็นคนโง่กระมัง?! หากระดับพลังของบรรพกาลราตรีใกล้เคียงกับของไคซิน เรื่องนั้นลืมไปได้เลย แต่นี่เขาเป็นแค่แม่ทัพปีศาจชั้นกลาง! ไคซินมีระดับพลังเหนือกว่าไม่พอ ทั้งยังข้ามระดับต่อสู้และสามารถคว้าชัยมาได้! นี่หรือโอกาสชนะมากกว่าที่ข้าคิด?”
คุนหมิงกลอกตาเล็กน้อยเอ่ยตอบว่า
“หาใช่ข้าที่ต้องการให้เปิดเดิมพัน แล้วจะตะโกนใส่ข้าเพื่ออันใด?”
อินทรีโลหิตอดสำลักมิได้ ก่อนจะเงียบลงทันที
คุนหมิงเหลือบมองเขาดล็กน้อยพร้อมกล่าวว่า
“สูญเสียกำไรหลายปีที่ผ่านมากลับมิใช่เรื่องใหญ่ พวกเจ้าทำกำไรได้มหาศาลยิ่งในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา รั่วไหลเพียงเล็กน้อยแค่ตะเข็บกางเกงเท่านั้น ข้าคิดว่าทางเบื้องบนเองก็อยากลองเดิมพันดูสักตั้ง เจ้าลองคิดดูสิว่า หากบรรพกาลราตรีชนะ เจ้าจะทำกำไรได้มหาศาลเพียงใด!”
อินทรีโลหิตก่นเสียงเย็นคำโต เขากล่าวว่า
“คำพูดคำจาให้มันเบาลงหน่อย! ฝ่ายโถงของพวกเจ้าเอง รู้หรือไม่ว่าผลาญเงินของเราไปมหาศาลเพียงใด! ข้าเฝ้าดูไคซินเติบโตขึ้นมาด้วยตาคู่นี้ ความแกร่งกล้าของเขา เป็นข้าที่ทราบดีที่สุด! แม้ว่าบรรพกาลราตรีนั้นจะเป็นไคซินคนที่สอง แต่ก็เป็นไปไม่ได้แน่นอนที่เขาจะเอาชนะได้ในตอนนี้! พันล้านผลึกปราณปีศาจระดับต่ำได้จมหายลงน่านน้ำไปแล้วในครั้งนี้!”
ตอนที่ 1497 ฝืนเลื่อนระดับชั้น
โดย
Ink Stone_Fantasy
ในวันนี้เอง อัฒจันทร์ด้านหน้าลานประลองหลักถูกจับจองจนเต็ม
สีหน้าการแสดงออกของเหล่านักสู้เปี่ยมล้นไปด้วยใบหน้าแสนตื่นอกตื่นเต้น เจือความเลื่อมใสจากก้นบึ้งของหัวใจ
‘ราชันแห่งลานประลองเลือด’หวนคืนกลับสู่ลานประลองเลือดอีกครั้ง เพียงประโยคนี้เพียงประโยคเดียวก็มากเกินพอที่จะทำให้พวกเขาตื่นอกตื่นเต้นกันได้แล้ว
เหล่าผู้คนที่นั่งรับชมอยู่โดยรอบในทุกๆวันล้วนเป็นพวกชอบเสพติดความรุนแรง
เผ่าปีศาจชื่นชอบการต่อสู้ยิ่งกว่าสิ่งใด ดังนั้นพวกเขาจึงเคารพเลื่อมใสอย่างไม่มีสิ้นสุดต่อ‘ราชันแห่งลานประลองเลือด’
ไคซินเป็นตำนานและต้นแบบในการดำเนินชีวิตต่อใครหลายคา
“ฮ่าๆๆ ข้ารอวันนี้มากว่าสองร้อยปีแล้ว ในที่สุดท่านไคซินก็กลับมาลงสนามอีกครั้ง! คราวนี้อาจยิ่งใหญ่ดุจร่ายรำกระบวนหงส์ ข้าพลาดไม่ได้จริงๆ!”
“เจ้าเดิมพันฝั่งท่านไคซินเท่าไหร่กัน?”
“เหอะ ข้าวางทรัพย์สินทั้งหมดที่มี! อัตราชนะสิบในสิบส่วนเช่นนี้ เจ้ายังลังเลอันใดอยู่อีก?”
“ข้าเดิมพันสามแสนผลึกปราณปีศาจ! นั้นเท่ากับแปดในสิบส่วนของทรัพย์สินที่ข้ามีทั้งหใด! ศึกคราวนี้มีหน้าโง่ที่ไม่รู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่มาท้าสู้ แตทางเบื้องบนก็ยังกล้าเปิดเดิมพันจริงๆ!”
“ใครจะไปสน! แจกเงินง่ายๆแบบนี้ทำไมจะไม่เอา!”
…
ทุกคนบนอัฒจันทร์ต่างรู้สึกตื่นตกตื่นเต้นอย่างหาที่เปรียบไม่ ไม่เพียงพวกเขาจะได้รับชมการต่อสู้ของราชันแห่งลานประลองเลือดอีกครั้ง แต่พวกเขายังสามารถทำกำไรจากช่องทางนี้ได้อีกด้วย ของดีแบบนี้พวกเขาไม่เคยพบเคยเจอมาก่อน
สำหรับเย่หยวนที่ส่งสาสน์ท้าดวลออกไป เรื่องนี้ย่อมมีคนติดตามสงสัยโดยธรรมชาติ
แต่เมื่อพวกเขาทราบระดับพลังของเย่หยวน ทั้งหมดก็ไม่เป็นอันสงสัยอีกต่อไป
แม่ทัพปีศาจชั้นกลางท้าทายราชันแห่งลานประลองเลือด?
นี่มันเรื่องบ้าอันหากมิใช่รนหาที่ตายเฉยๆ?
พื้นที่สิทธิพิเศษระดับสองของอัฒจันทร์ถูกจับจองจนเต็มแล้วเช่นกัน
บางตระกูลที่พอมีรากฐานต่างก็จับจองเฝ้าชมอยู่แถวที่นั่งด้านหลัง
บริเวณนี้ค่อนข้างเล็กก็จริง แต่ก็ไม่เบียดเสียดเท่ากับฝั่งที่นั่งคนธรรมดาที่อยู่ด้านนอก
ประมุขตระกูลใหญ่ทั้งสี่ต่างนั่งกันพร้อมหน้า
ไคหลานเป็นประมุขตระกูลไค ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบในการจัดการเรื่องราวภายในตระกูล
แม้ว่าตระกูลไคจะอยู่ในตำหนักเจ้าเมือง แต่นี่ก็แตกต่างไปจากตำหนักเจ้าเมืองของที่อื่นๆ
หลังจากที่ไคซั่วแห่งตระกูลไคขึ้นปกครองเมืองหลวงคาโปน ก็ไม่มีผู้ใดสามารถสั่นคลอนตำแหน่งของเขาได้
ตระกูลไคมีสมาชิกตระกูลและลูกหลานมากมายนับไม่ถ้วยน ซึ่งไคซินมีสถานศักดิ์สูงที่สุดในบรรดาพวกเขาทั้งหมด
“ฟางหลิน ตระกูลฟางของเจ้าอุตส่าห์ได้นักปรุงโอสถปีศาจอันทรงพลังมาอยู่ข้างกายแท้ๆ แต่ใครจะไปคิดว่ามันกลับโง่โดยสมบูรณ์ขนาดนี้! ตระกูลฟางเตรียมเก็บศพขอเขาได้เลยนกระมัง?”
ฟางหลินเป็นประมุขตระกูลฟาง เมื่อได้ฟังเช่นนั้นเขาก็สวนตอบทันทีอย่างไม่พอใจนัก
“หึ! ใครแพ้ใครชนะกลับยังไม่ทราบ!”
ไคหลานระเบิดหัวเราะลั่นและกล่าวว่า
“ข้ารู้ว่าเด็กคนนี้แข็งแกร่งจนสามารถฆ่าพวกสุริยันดาราทั้งสามได้ด้วยตนเพียงลำพัง แต่ความแกร่งกล้าของไคซินเอง ใช่ว่าเจ้าจะไม่ทราบ? พวกเจ้าต่างรู้ดีว่าเขามีฝีมือน่าประทับใจเพียงใด ไม่ว่าเด็กของเจ้าจะเก่งกาจสักแค่ไหน แต่ไม่รทางพลิกสวรรค์ได้!”
ฟางหลินยกมือปัดอย่างคร้านจะใส่ใจ
“ยังไม่สายเกินไปที่จะคุยโม้หลังจากไคซินชนะ!”
ไคหลานระเบิดหัวเราะลั่นเป็นคำรบสอง
“ดี! ดี! ดีมาก! เช่นนั้นหลังจากไคซินชนะและสับเจ้าเด็กนั้นเป็นเนื้อบด แล้วข้าจะมาโม้ให้ฟังใหม่ ฮ่าๆๆๆ…”
ฟางหลินส่งสายตาสาดสะท้อนเล็กน้อยอย่างเยียบเย็น และมิได้เอ่ยปากใดๆอีกต่อไป
เขาเองก็ไม่สามารถหาเหตุผลที่จะเชื่อได้เช่นกันว่า เย่หยวนจะเอาอะไรไปชนะอีกฝ่าย
ในทีแรก เมื่อเขารู้ว่าตระกูลฟางของตนได้พานพบกับนักปรุงโอสถปีศาจระดับสองที่ทรงพลังยิ่ง ฟางหลินรู้สึกตื่นเต้นจนนอนไม่หลับสามวันสามคืน
แต่ยังไม่ทันได้เฉลิมฉลองอันใด ทุกอย่างกลับกำลังจะจบลงเสียแล้ว
“หลี่จี ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับบรรพกาลราตรีใกล้ชิดที่สุดแล้ว เจ้าบอกได้หรือไม่ว่า เขามีโอกาสชนะมากน้อยเพียงใด?”
สีหน้าการแสดงออกของหลี่จีก็ดูเลวร้ายอย่างมาก นางส่ายหัวตอบ เพราะไม่รู้จะเอ่ยกล่าวอันใดออกมา
ในเมื่อเย่หยวนส่งสาสน์ท้าดวลให้ไคซิน แสดงว่าเขาไม่เคยทราบมาก่อนเลยว่าไคซินคนนี้น่ากลัวเพียงใด
ฉายา‘ราชันแห่งลานประลองเลือด’ไคซินมิใช่ได้มาง่ายๆ!
นางไม่คิดเลยว่า เย่หยวนจะออกมามาท้าทายไคซินเช่นนี้จริงๆ หากนางรู้เรื่องนี้ก่อนหน้า หลี่จีไม่มีทางยอมให้เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นแน่นอน
ทว่าตอนนี้ ลูกธนูที่ยิงออกไปแล้วกลับไม่สามารถเรียกคืนแก้ไขได้
ในเวลานี้เอง กรรมการของลานประลองเลือดก็เดินขึ้นมาใจกลางสังเวียน และเประกาศกล่าวเสียงดังฟังชัดว่า
“วันนี้เป็นศึกสัประยุทธ์ระหว่าง คนที่ทุกคนต่างรู้จักกันดีในนาม‘ราชันแห่งลานประลองเลือด’ท่านไคซิน ในขณะที่อีกฝ่าย เป็นอาคันตุกะชั้นสูงของตระกูลฟาง บรรพกาลราตรี! เมื่อสองเดือนก่อน บรรพกาลราตรีได้ส่งสาสน์ท้าดวลให้ไคซิน โดยมีชีวิตและความตายเป็นเดิมพัน!”
สิ้นเสียงป่าวประกาศของกรรมการ เสียงสนทนาแซ่ซ้องพลันดังขึ้นท่ามกลางฝูงชนดั่งน้ำขึ้นบนอัฒจันทร์ในทันใด
“ท่านไคซินโปรดสังหารไอ้คนโง่เขลาคนนั้นทิ้งไปซะ! มันประเมินความสามารถตนเองสูงเกินไป!”
“ราชันแห่งลานประลองเลือดจงเจริญ! ราชันแห่งลานประลองเลือดจงเจริญ!”
“ท่านไคซิน ข้ารักท่าน!”
…
แม้ว่าไคซินจะรามือไปจากลานประลองเลือดมากว่าสองร้อยปีแล้ว แต่ชื่อเสียงความนิยมของเขาภายในนี้ก็ยังคงสูงมาก
คนที่เคารพสรรเสริญเขามิได้มีเพียงเหล่าบุรุษชาย แม้แต่เหล่านารีนักสู้หรืออิสตรีผู้สูงศักดิ์เองต่างก็ชื่นชมกันเป็นอย่างมาก
พวกนางไม่จำต้องคงมารยาทความยับยั้งชั่งใจใดๆ แต่ละคนต่างตะโกนส่งเสียงให้กำลังใจไคซินไม่หยุดปาก
สำหรับเย่หยวน เขาราวกับเป็นคนตายไปแล้วในสายตาของฝูงชนเหล่านี้
กว่าสองร้อยปีที่ผ่านมา ไคซินสังหารเหล่ายอดฝีมือในระดับชั้นเดียวกันจนสิ้น และด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขา มันก็เกินหยั่งรู้ไปได้แล้ว
“ราชันแห่งลานประลองเลือด ท่านไคซิน โปลดลงสนาม!”
หลังจากสิ้นเสียงกรรมการ เสียงกรีดร้องก็ดังกังวานทั่ว
ไคซินในชุดอาภรณ์สีขาวค่อยๆย่างกรายเดินออกมา โดยพกพาความหยิ่งผยองไว้อัดแน่น
ความรู้สึกเช่นนี้…ข้ามิได้สัมพันธ์มานานยิ่งแล้ว!
เสียงให้กำลังใจอันอึกทึกหาได้ทำให้ไคซินรู้สึกประหม่าไม่ ในทางตรงข้ามเขาสงบนิ่งจนน่ากลัวผิดปกติ
กวาดสายตาจับจ้อง เขาในตอนนี้ได้หวนกลับมาสู่ลานประลองเลือดอีกครั้งแล้วในรอบสองร้อยปีที่ผ่านมา
ซึ่งความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขาเองก็ไม่สามารถเปรียบได้กับในอดีตอีกต่อไป
แต่เมื่อกลับมายืน ณ จุดนี้อีกครั้ง ความโหดเหี้ยมเลือดเย็นของเขาดั่งวันวานพลันหวนกลับมาด้วยเช่นกัน
การสัประยุทธ์โดยมีชีวิตและความตายเป็นเดิมพัน ทำให้เขาไม่เคยประมาทต่อคู่ต่อสู้แม้นสักคน บางทีอาจมีม้ามืดเร้นแฝงอยู่ในฝูงชน
“ท่านบรรพกาลราตรี โปรดลงสนาม!”
ทันใดนั้นเองพลันปรากฏเย่หยวนในชุดคลุมสีดำทมิฬย่างกรายเดินออกมา
การปรากฏตัวของเย่หยวนพลันทำให้เกิดความโกลาหลขึ้นทันที
“มิใช่ว่าบรรพกาลราตรีเป็นเพียงแม่ทัพปีศาจชั้นกลางหรอกรึ? ไฉนตอนนี้กลับกลายมาเป็นแม่ทัพปีศาจชั้นปลายแล้ว?”
“เวลาเพียงปีเดียว เขาสามารถเลื่อนระดับได้จริงๆ?”
“ไม่น่าแปลกใจว่าไฉนเขาถึงกล้าท้าทายท่านไคซิน ปรากฏว่าเขายังพอมีดีอยู่บ้าง!”
“เหอะ เหอะ แค่เลื่อนระดับชั้นกลับเปล่าประโยชน์ สำหรับท่านไคซินที่อยู่ในขอบเขตจอมทัพปีศาจครึ่งขั้นมาเนิ่นนาน เขาสามารถทะลวงขึ้นกลายเป็นจอมทัพปีศาจเต็มขั้นได้ทุกเมื่อ! สุดท้ายนี้บรรพกาลราตรีก็ยังต้องตาย!”
…
ยามข่าวแพร่กระจายออกไปก่อนหน้านี้ เย่หยวนยังเป็นแค่แม่ทัพปีศาจชั้นกลาง แต่เมื่อเย่หยวนปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าทุกคนอีกครั้ง รัศมีความแกร่งกล้าของเขากลับทะลวงขึ้นเป็นแม่ทัพปีศาจชั้นปลายเรียบร้อยแล้ว!
“เด็กคนนี้ฝืนเลื่อนระดับชั้น ดูเหมือนว่าพวกเราจะประเมินเขาสูงเกินไป!”
คุนหมิงเอ่ยกล่าวขึ้นพลางถอนหายใจ
สีหน้าการแสดงออกของอินทรีโลหิตไม่สู้ดีนัก เขากล่าวว่า
“มันจบแล้ว! การเดิมพันครั้งนี้เกินเลยไปมาก! กำไรในช่วงหลายปีมานี้กำลังจมหายไปกันตา!”
ไคซินที่เห็นเย่หยวนในคราแรก สีหน้าแววตาทอประกายบประหลาดใจเล็กน้อย ในไม่ช้าค่อยแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มสุดเย้ยหยัน
“ข้าไม่คิดเลยว่า เจ้าจะฝืนเลื่อนระดับชั้นได้ คงพยายามอย่างหนักเพื่อการประลองครั้งนี้? หุหุ แต่คิดหรือว่าแค่ทะลวงฝ่าระดับพลังย่อยแค่นี้ จะสามารถฆ่าข้าได้?”
ไคซินเอ่ยกล่าวพราวระเบิดหัวเราะขบขัน
สำหรับนักสู้ที่ฝืนเลื่อนระดับชั้น นับเป็นข้อห้ามสำคัญที่ไม่พึงกระทำเด็ดขาด เพราะนั้นจะทำให้รากฐานพลังของคนนั้นๆไม่มั่นคง
ไคซินและฉินเทียน อัจฉริยะเหล่านี้ล้วนมีความเร็วในการบ่มเพาะพลังที่สูงมาก แต่พวกเขาก็สกัดปราบปรามระดับพลังตนเองเอาไว้ เพื่อมิให้เลื่อนระดับชั้นเร็วเกินไป ทั้งนี้ก็เพื่อรักษาสมดุลของรากฐานพลัง
แต่เย่หยวนที่เลื่อนระดับชั้นได้อย่างรวดเร็วภายในปีเดียว นี่เห็นได้ชัดว่า เขากำลังฝืนเลื่อนระดับพลัง
แม้ความแข็งแกร่งจะเพิ่มขึ้น แต่นั่นก็ไม่ต่างอะไรจากระเบิดเวลาเลย
ซึ่งมันสามารถระเบิดได้ทุกเมื่อ
…………………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น