Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1489-1494

 ตอนที่ 1489 มาแล้วจากไปเพื่ออันใด?

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ท่านไคซิน โปรดรอก่อน!”


ไคซินพาเหลียนฮวาเข้ามาในโถงโอสถปีศาจ แต่ทันทีทันใดพวกเขากลับถูกหยุดโดยนนักปรุงโอสถปีศาจระดับหนึ่ง


แม้ว่าสถานะของไคซินจะสูงมากภายในเมืองหลวงแห่งนี้ แต่ภายในโถงโอสถปีศาจแห่งนี้เอง เขาก็ไม่กล้ารั้นเอาแต่ใจเช่นกัน


“อ่า พี่หลู่เหอ ข้านัดหมายกับท่านเมิ่งฉีเมื่อสิบวันก่อน และมีเรื่องสำคัญที่ต้องพูดคุยกับเขา”


ไคซินประสานมือให้พลางเอ่ยกล่าว


แม้อีกฝ่ายจะเป็นเพียงนักปรุงโอสถปีศาจระดับหนึ่ง แต่เขาก็เป็นหนึ่งศิษย์ของท่านเมิ่งฉี เช่นนั้นแล้ว คนสถานะศักดิ์ทั่วไปมิอาจก้าวก่ายได้


หลู่เหอกล่าวว่า


“ต้องขออภัยท่านไคซินจริงๆ ตอนนี้ท่านอาจารย์กำลังพบกับอาคันตุกะคนสำคัญในโถงชั้นใจ และเขาได้สั่งไว้ว่าห้ามผู้ใดเข้าไปรบกวนเด็ดขาด!”


ไคซินขมวดคิ้วเล็กน้อยและกล่าวว่า


“แม้แต่ข้าเองก็ไม่มีข้องดเว้นงั้นรึ? ข้ามาที่นี่เพื่อเป็นตัวแทนของตำหนักเจ้าเมือง หาใช่เรื่องไม่สำคัญเช่นกัน! นอกจากนี้ข้านัดหมายกับเขาไว้แล้วเมื่อสิบวันก่อน”


“เอ่อ…”


สีหน้าของหลู่เหอยามนี้ดูลำบากใจจริงๆ สถานะของไคซินเองก็หาใช่ชนชั้นกินเจไม่


ยิ่งไปกว่านั้นไคซินที่มาในคราวนี้หาได้มาในฐานะตัวเขาเอง แต่เป็นในฐานะตำหนักเจ้าเมือง


แม้ว่าโถงโลหิตปรโลกจะหาได้เกรงกลัวตำหนักเจ้าเมือง แต่หาใช่ว่าจะไว้หน้ากัน


“เหตุใด…ไม่เป็นการดีกว่ารึ หากพี่หลู่เหอจะส่งทอดต่อคำพูดของข้าไปให้ท่านเมิ่งฉี บางทีเขาอาจจะเข้าใจและไม่ไล่ข้าไปเช่นนี้”


ไคซินประสานมือกล่าวตอบ


หลู่เหอครุ่นคิดอยู่สักครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้ากล่าวตอบว่า


“เข้าใจแล้ว เช่นนั้นข้าจะลองไปถามท่านอาจารย์ดู”


ขณะที่หลู่เหอเหลียวหลังจากไป เหลียนฉวายิ้มกล่าวขึ้นว่า


“สงสัยเหลือเกินว่าท่านเมิ่งฉีพบเจอผู้ใดเข้า ไฉนถึงละเลยเรื่องของเราไปสนิท”


ไคซินยิ้มตอบว่า


“การที่ปฏิเสธเรื่องของเราตั้งแต่นอกประตูได้ เกรงว่าอาคันตุกะคนสำคัญนั้นอาจเป็นนักปรุงโอสถปีศาจระดับสาม”


เหลียนฮวาพยักหน้าอย่างค่อนข้างเห็นด้วยกับเรื่องนี้


และบังเอิญนัก ฟางอวี้เองก็ตรงเข้ามาในโถงโอสถปีศาจเช่นกันในเวลานี้


พอเห็นไคซินและเหลียนฉวา ฟางอวี้พลันใจสั่นระรัวแอบสังหรณ์ไม่ดีขึ้นทันใด


โถงโอสถปีศาจกำลังจะเปิดตัวโอสถชนิดใหม่ขึ้นเร็วๆนี้ และพวกเขาล้วนต้องการโอสถชนิดนี้ในปริมาณที่สูงมาก ดังนั้นเหล่ากลุ่มอำนาจต่างๆจึงไม่คิดรีรอชักช้า


ในบรรดากลุ่มอิทธิพลที่จ้องฉกชิงไปก่อนและยังเป็นกลุ่มที่แข็งแกร่งที่สุดคือ ตำหนักเจ้าเมือง


แม้ว่าความแข็งแกร่งของเมิ่งฉีและคนอื่นๆจะไม่ต่างจากกองขยะเลยในสายตาเย่หยวน แต่โอสถที่ผลิตขึ้นนี้ล้วนได้รับความนิยมอย่างมากในเมืองหลวงคาโปน


ภายในเผ่าปีศาจมีนักปรุงโอสถปีศาจเก่งๆอยู่จำนวนน้อยนิด


ตำหนักเจ้าเมืองได้รับข่าวเรื่องโอสถชนิดใหม่มานานแล้ว ดังนั้นไคซินจึงนัดหมายกับเมิ่งฉีตั้งแต่สิบวันก่อนเพื่อพบพานในวันนี้


ไคซินยิ้มกว้างประดับใบหน้าทันที ขณะกล่าวว่า


“หุหุ น้องฟางอวี้ เกรงว่าเจ้ามาช้าไปเสียหน่อย ท่านเมิ่งฉีไม่พบแขกอื่นแล้วในวันนี้”


สีหน้าการแสดงออกของฟางอวี้บิดเบี้ยวน่าเกลียดยิ่ง พร้อมเอ่ยเสียงเยียบเย็นว่า


“ตำหนักเจ้าเมืองของท่านได้กินเนื้อสด ไยไม่ทิ้งน้ำแกงให้คนอื่นดื่มกิน? คราวนี้ตระกูลฟางขอสู้กับท่านอย่างจริงจัง!”


ไคซินระเบิดหัวเราะและกล่าวว่า


“เหอะ ข้ากำลังจะเข้าไปจัดการธุระเรื่องนี้กับท่านเมิ่งฉี แล้วเจ้ายังมีอะไรมาต่อกร? ฮ่าๆ หากต้องการสู้นัก คราวนี้ก็ควรมาให้ไวกว่านี้”


กล้ามเนื้อเส้นประสาทบนใบหน้าของฟางอวี้กระตุกเกร็งไปหมด ยามนี้เขารู้สึกได้ถึงกลิ่นอายความพ่ายแพ้


รากฐานของสี่ตระกูลใหญ่ยังคงตื้นเขินกว่ามาก เมื่อเทียบกับฝ่ายตำหนักเจ้าเมือง!


มีทั้งเงินและอำนาจ ทุกครั้งที่มีโอสถชนิดใหม่ออกมา พวกเขาล้วนเสนอราคาที่สูงกว่าปกติถึงสามส่วน แล้วนี่จะไปแข่งขันด้วยได้อย่างไร?


ในขณะนั้นเอง หลู่เหอก็เดินออกมาจากโถงภายในด้วยสีหน้าที่ค่อนข้างน่าเกลียดนัก


เมื่อไคซินที่กำลังยืนรออยู่ ภายในใจหลู่เหอพลันสั่นระรัวโดยมิตั้งใจ


“พี่หลู่เหอ ท่านเมิ่งฉีกล่าวอย่างไรบ้าง?”


ไคซินเอ่ยถามขึ้นทันที


หลู่เหอกล่าวตัดพ้อว่า


“ท่านไคซินโปรดกลับมาใหม่! ข้าต้องขออนุญาตให้ท่านกลับไปก่อนในวันนี้ แต่ท่านก็ยังดึงดัน! จนเมื่อครู่ข้าถูกท่านอาจารย์ดุด่าไปยกใหญ่ เท่านี้ท่านพอใจหรือยัง?”


เห็นได้ชัดว่า หลู่เหอเองก็ไม่เกรงใจเช่นกัน


ดูท่าจะโดนดุด่ามาไม่เบา!


เมื่อครู่ เมื่อเขาเข้าไปเพื่อรายงานการมาถึงของไคซิน เขาก็ถูกเมิ่งฉีดุด่าอย่างโกรธเกรี้ยว และไล่ตะเพิดออกมาทันที


คงแปลกหากหลู่เหอในตอนนี้จะอารมณ์ดี!


ไคซินที่ได้ยินเช่นนั้นกลับอึดอัดอย่างมาก เขานำแหวนเก็บของวงหนึ่งในห้หลู่เหอลักล่าวว่า


“นี่คือผลึกปราณปีศาจระดับต่ำจำนวนห้าหมื่นก้อน ถือเป็นค่าเหนื่อยของพี่หลู่เหอ เนื่องจากท่านเมิ่งฉีกำลังพบอาคันตุกะคนสำคัญ เช่นนั้นข้าก็ไม่รบกวนแล้ว ข้าจะกลับมาเยี่ยมเยี่ยนใหม่ในวันหน้า”


ใครจะไปรู้ว่าหลู่เหอกลับผลักแหวนเก็บของกลับคืนไปและกล่าวว่า


“เมื่อครู่ท่านอาจารย์โกรธมาก จนถึงขั้นไล่ข้าออกจากการเป็นศิษย์! ท่านมาที่นี่เพื่อทำลายอนาคตของข้ากระมัง? พวกท่านรีบกลับไปดีกว่า!”


ไคซินรู้สึกหดหู่ใจอย่างมาก เขามิอาจทราบได้เลยว่า อาคันตุกะคนสำคัญดังกล่าวเป็นใครกันแน่? ถึงขั้นโกรธเกรี้ยวลูกศิษย์ตัวเองขนาดนี้?


แม้แต่การมาถึงของฝ่ายตำหนักเจ้าเมือง ยังโกรธเกรี้ยวจัดขับไล่ศิษย์ตัวเองออกไปอย่างไม่ไยดี เขามาเพียงแค่ถ่ายทอดข้อความใช่หรือไม่?


ยิ่งไปกว่านั้น เขามิยักรู้เลยว่าช่วงนี้ภายในเมืองหลวงจะมีบุคคลสำคัญเดินทางมา!


หลังจากนี้ควรสอบถามให้ละเอียดกว่านี้เกรงจะดีกว่า และมอบค่าตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อกว่านี้


หากเขาทำให้โถงโอสถปีศาจขุ่นเคืองเพราะเรื่องนี้ เกรงว่าจะประสบความสูญเสียกว่าอะไรได้


ไคศินในยามนี้เองก็ดูไม่มีความสุขนักเช่นกัน


เขาเหลือบไปเห็นฟางอวี้ที่ยังคงยืนรออย่างไม่ยอมแพ้อยู่ข้างๆ เขาจึงเอ่ยกล่าวขึ้นอย่างเฉยเมยว่า


“ไปกันเถอะ มิได้ยินหรือไงว่า ท่านเมิ่งฉีกำลังพบอาคันตุกะคนสำคัญอยู่? หรือเป็นไปได้ไหมว่าอยากให้พี่หลู่ถูกไล่ออกจริงๆ?”


คำกล่าวเหล่านี้ค่อนข้างมีนัยยะเร้นแฝง เห็นได้ชัดว่าการรั้งดื้ออยู่ต่อไป ก็สักแต่จะทำให้หลู่เหอขุ่นเคือง!


ตอนนี้หลู่เหออารมณ์ไม่ดีอย่างมาก จนมิได้สังเกตเห็นฟางอวี้ที่อยู่ข้างๆ


หลู่เห่อผู้นี้เป็นคนมีหน้าที่ดูแลกิจหน้าที่หลายๆอย่างแทนเมิ่งฉีตลอดทั้งปี ดังนั้นเขาจึงเป็นคนที่มีไหวพริบหัวไว และรู้จักคนเป็นวงกว้าง


เมื่อเขาเห็นฟ่งอวี้เข้า ดวงตาของเขาพลันสว่างไสวขึ้นทันทีก่อนตรงเข้าไปทักทายด้วยรอยยิ้มว่า


“ปรากฏว่านายน้อยฟางอวี้อยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน ต้องขอโทษอย่างยิ่งที่หลู่เห่อมิได้ให้การต้อนรับ”


คำกล่าวก่อนหน้านของไคซินทำให้ฟางอวี้ถอนใจยอมแพ้ไปเสียแล้ว


แต่ใครจะไปคิดว่า กลับเป็นฝ่ายหลู่เหอที่ตรงเข้ามาทักทายริเริ่มบทสนทนาขึ้นเองก่อน


สิ่งที่ควรทราบคือ เขาไม่เคยกล่าวทักทายไคซินด้วยวาจาสุภาพเช่นนี้มาก่อน!


“พี่หลู่เหอกล่าวอันใด เป๋นฟ่างอวี้คนนี้มากกว่าที่ต้องรบกวนท่านกะทันหัน”


ฟางอวี้รับกล่าวตอบทันทีท


หลู่เหอยิ้มและกล่าวว่า


“นายน้อยฟางอวี้มาที่นี่เพื่อขอพบท่านอาจารย์ใช่หรือไม่?”


ฟางอวี้รู้สึกเก้อเขินเล็กน้อย แต่ก็ยังพยักหน้าและกล่าวว่า


“ฟางอวี้จะกลับไปทันที ข้าไม่อยากสร้างปัญหาให้พี่หลู่เหออีกแล้ว”


หลู่เหอผงะทันทีด้วยความตกใจ และรีบดึงแขนของอีกฝ่ายทันที


“อย่า! ท่านมาถึงที่นี่แล้วจะกลับไปเพื่ออันใด? ข้าจะรับตรงเข้าไปรายงานท่านอาจารย์ทันที โปรดรอสักครู่!”


คล้อยหลังจากจบ หลู่เหอก็ตรงเหลียวหลังเดินกลับไปทันที


ไคซินที่กำลังจะเดินออกไปแล้ว ถึงกับชะงักฝีเท้าหยุดทันที


เขาเหลือบมองแผ่นหลังของหลู่เหอที่กำลังตรงเข้าโถงภายใน พร้อมสายตาสุดโกรธเกรี้ยว!


นี่มันบ้าอะไรกัน?


ตั้งแต่ต้นจนจบ หลู่เหอมิได้แสดงทัศนคติที่ดีต่อตัวเขาเลยสักนิด


แม้เขาจะตอบตกลงเข้าไปรายงานให้ แต่สีหน้าการแสดงออกลองหลู่เห่อก็ดูไม่มีความเต็มใจเลย


แต่พอเป็นฟางอวี้กลับอาสาเสนอตัวขึ้นทันทีโดยไม่ต้องกล่าวอันใด นอกจากนี้ยังรั้งมิให้ฟางอวี้จากไปอีก นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!


มิใช่ก่อนหน้าเขากลัวว่า ท่านอาจารย์โกรธจัดจนไล่หลู่เหอออกจากการเป็นศิษย์?


ในอีกด้าน ฟางอวี้เองก็ดูมึนงงไม่ต่าง เขาไม่ทราบเลยว่านี่เป็นอะไรกันขึ้น


ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหลู่เหอเองก็ใช่ว่าจะดีขนาดนั้น?


ไม่นานหลู่เห่อก็ออกมาพร้อมความยินดีและกล่าวกับฟางอวี้ว่า


“ท่านอาจารย์บอกว่า ให้นายน้อยฟางอวี้รออยู่ในโถงกลางสักพัก เมื่อท่านอาจารย์เสร็จธุระเมื่อใด จะรีบออกมาพบท่านทันที!”


คลื่นความสุขเกินจะพรรณนาถาโถมเข้ามาทันที กระทั่งฟางอวี้เองยังไม่ทันตอบสนอง


นี่เกิดอะไรขึ้น?


ในอีกด้าน สีหน้าการแสดงออกของไคศินพลันดำทมิฬหนักราวกับก้นหม้อไหม้อยู่นานแล้ว


ตอนที่ 1490 สองมาตรฐาน

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ท่านพี่หลู่เหอ นี่มันหมายความอย่างไร? ไยท่าบอกว่าท่านเมิ่งฉีไม่ต้องการพบใคร?”


ไคซินพยายามข่มอารมณ์สงบสติเต็มที่ เพื่อทำให้น้ำเสียงของเขาดูสงบที่สุด ทั้งนี้เอง เขากำลังปกปิดความโกรธเกรี้ยวภายในใจ


สองมาตรฐานเช่นนี้ ชัดเจนเกินไปหรือไม่?


ทั้งๆที่เขายังไม่จากไปเสียด้วยซ้ำ!


หลู่เห่อขมวดคิ้วถักแน่นและกล่าวอย่างไม่พอใจว่า


“หื้ม? ความหมายที่ท่านกล่าวคือ ข้ากำลังโกหกท่าน? ไฉนไม่เอาอย่างนี้ หลังจากที่ท่านอาจารย์ออกมาแล้ว ท่านไม่เผชิญหน้ากับเขาตัวต่อตัวเลยล่ะ?”


แม้ว่าไคซินจะพยายามควบคุมน้ำเสียงของเขา แต่ความสงสัยในคำกล่าวยังมิสามารถปกปิดได้อยู่ดี


ความโกรธเกรี้ยวของหลู่เหอพุ่งปะทุขึ้นแสนหงุดหงิด


เขายอมช่วยอีกฝ่ายเพื่อตรงเข้าไปรายงาน โดยไม่คิดรับผลประโยชน์ใดๆ แต่สุดท้ายยังถูกท่านอาจารย์ไล่ตะเพิดกลับมา


เมิ่งฉีมิใช่ศิษย์เพียงคนเดียวของเขา เพียงความผิดพลาดแค่ครั้งเดียว ก็อาจจะทำให้เขาถูกไล่ออกจากการเป็นศิษย์สาวกจริงๆ


ลืมไปได้เลยสำหรับไคซินที่ไม่ทันจะได้ขอบคุณ แต่กลับมาไม่พอใจเขาแทนเสีย


แม้กระทั่งพระโพธิสัตว์เองยังต้องโกรธเกรี้ยว ท้ายที่สุดนี้ หลู่เหอเองก็หมดความอดทนที่จะไว้ไมตรีกับไคซินแล้วเช่นกัน


ไคซินดูท่าทางอึดอัดไม่น้อย


“ท่านพี่หลู่เหอ เข้าใจผิดแล้ว ข้า…”


หลู่เหอเอ่ยแทรกตัดท้อคำกล่าวทันทีด้วยรอยยิ้มอันเยือกเย็น


“ข้ามิได้เข้าใจผิดอะไรทั้งสิ้น! ก่อนหน้านี้หากรับเรื่องไว้เหมือนเดิมคงไม่มีอะไรเกิดขึ้น พิจารณาตัวท่านเองเถิดว่ากำลังคิดหรือกล่าวอันใดอยู่ หาใช่จะปฏิบัติกลับข้าราวกับเพื่อนคนหนึ่ง ท่านไคซินโปรดกลับไป!”


สีหน้าการแสดงออกของไคซินเปลี่ยนไปอย่างมาก ยามนี้ทราบแล้วว่าตนกำลังทำให้ไคซินขุ่นเคืองถึงแก่นในแล้ว


เขาได้แต่ยืนอยู่เช่นนี้ ไม่ทั้งออกไปหรืออยู่ต่อได้


หลู่เหอที่เห็นดังนั้นก็เอ่ยซ้ำว่า


“เพราะเหตุใด? เหตุใดท่านไคซินยังไม่ออกไป? หรือเป็นไปได้ไหมว่า ท่านต้องการให้ข้าส่งออกไปทั้งแบบนี้?”


ในที่สุดไคซินก็ลาจากไปด้วยความหดหู่ แต่ภายในใจกลับคับแค้นฝังลึกโดยหาได้มีใครเข้าใจไม่


ด้วยสถานะศักดิ์และตำแหน่งในปัจจุบัน เขาไม่เคยถูกปฏิบัติเช่นนี้มาก่อนในเมืองหลวงคาโปน


ยิ่งคิดมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งรู้สึกถึงความผิดปกติ เขาเองน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า


“มันต้องมีอะไรผิดปกติแน่นอน เป็นไปไม่ได้ที่ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลฟางกับโถงโอสถปีศาจจะดีไปกว่าฝ่ายเรา เหตุการณ์วันนี้ต้องมีเรื่องผิดปกติไปจากเดิม ข้าจำต้องตรวจสอบให้ละเอียด”



ฟางอวี้เดินตามหลู่เหอเข้าไปยังโถงอีกห้องหนึ่งด้วยความงุนงง ภายในหัวว่างเปล่าไปหมด เมื่อผลักประตูเข้ามา เขาก็พบเห็นร่างหนึ่งอันคุ้นเคย


“หลี่จี? ไฉรเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้?!”


ฟางอวี้อุทานลั่นด้วยความตกใจ


“เอ๊ะ? ท่านเองก็มาด้วยรึ? ข้า…ข้ากับบรรพกาลราตรีมาเดินเล่นรอบเมือง ก่อนที่เขาจะบอกว่า ต้องการมายังโถงโอสถปีศาจ ข้าจึงตามเข้ามาถึงภายในนี้”


หลี่จีเอ่ยอธิบายขึ้น ใบหน้าของนางเห่อแดงระเรื่อเล็กน้อย


“มาพร้อมกับบรรพกาลราตรี? แล้วตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน?”


ฟางอวี้กล่าวขึ้นพร้อมสีหน้าที่มืดทมิฬ


เจ้าหนุ่มคนนี้เดินทางมากับน้องสาวของเขา แต่ไฉนถึงปล่อยให้นางนั่งแห้งอยู่ตัวคนเดียว?


ทว่าแววตาของหลี่จีทอประกายแสนยิ้มเยาะ นางเอ่ยกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มว่า


“ตอนนี้เขากำลังคุยกับท่านปู่เมิ่งฉีอยู่! การสนทนานี้กินเวลาไปกว่าสามวันสามคืนแล้ว!”


“อะไรนะ?!”


ฟางอวี้แทบสะดุ้งโหย่งขึ้นทันทีด้วยความตื่นตกใจจัด


เขาเหลียวหน้าหันมองหลู่เหอทันทีพร้อมเบิกตาโตกล่าวว่า


“ท่านพี่หลู่เหอ หรืออาคันตุกะสำคัญที่ท่านกล่าวถึงคือบรรพกาลราตรี?”


หลู่เหอเปล่งเสียงเอ่ยตอบว่า


“จะเป็นใครได้อีกหรอกมิใช่เขา? เฮ้อ…ตระกูลฟางแท้จริงแล้วงำประกายลึกล้ำยิ่งนัก มีสุดยอดอริยะบุคคลเฉกเช่นเขา แต่ตระกูลฟางยังคงสงบเสงี่ยมเจียมตัว!”


ฟางหยูเอ่ยกล่าวพร้อมท่าทีสับสนว่า


“อ-อริยะบุคคล?”


ความแข็งแกร่งของบรรพกาลราตรีไม่เลวเลยก็จริง แต่มันค่อนข้างไกลกับคำว่าอริยะบุคคลไปหน่อยรึไหม?


หลู่เหอหลงคิดไปว่าฟางอวี้รู้อยู่แก่ใจ แต่เมื่อพินิจมองตอนนี้ดูเหมือนว่ามีเขาคนเดียวที่อยู่ท่ามกลางความมืด


หลี่จีเอ่ยกล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า


“พี่ใหญ่ ข้าเองก็เพิ่งทราบว่า บรรพกาลราตรีเป็นนักปรุงโอสถปีศาจที่เก่งมากคนหนึ่ง ข้ายังเห็นเขาหลอมกลั่นเป็นประจักษ์สองตาอีกด้วย! นอกจากนี้ยังมีฝีมือน่าเกรงขามอย่างยิ่ง…”


จากนั้นหลี่จีก็เริ่มเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นก่อนหน้าให้ฟังด้วยความตื่นเต้น ซึ่งนั้นทำเอาฟางอวี้ตื่นตกใจเป็นอย่างมาก


ปฏิกิริยาแรกของเขาคือ บรรพกาลราตรีคนนี้ยังเป็นบรรพกาลราตรีคนที่เขารู้จักอยู่หรือไม่?


อายุของบรรพกาลราตรีดูเหมือนจะเด็กกว่าเขาเล็กน้อยด้วยซ้ำไป แล้วเขาจะเป็นนักปรุงโอสถปีศาจที่แม้แต่ท่านเมิ่งฉียังต้องเลื่อมใสได้อย่างไร?


แต่หลี่จีนั่งเฝ้ารออยู่ที่นี่ มันจะเป็นใครได้อีกหากไม่ใช่บรรพกาลราตรี?


เดิมทีเขาคิดว่า เมิ่งฉีกำลังพบกับอาคันตุกะคนสำคัญอยู่ นั้นคือเหตุผลที่เขาไม่กล้าเผชิญหน้ากับไคซิน


แต่เขาคาดไม่ถึงเลยว่า บุคคลนั้นกลับกลายมาเป็นบรรพกาลราตรีจริงๆ!


มิน่าล่ะ มิน่าล่ะ…เพราะเหตุนี้นี่เอง!


ที่หลู่เหอให้เกียรติและสุภาพกับเขาขนาดนั้น ทั้งหมดเป็นเพราะบรรพกาลราตรี


แล้วฟางอวี้เป็นคนเช่นไร? เขาสัมผัสได้ทันทีว่า หลู่เหอพยายามเอ่ยกล่าวเข้าใกล้เขา ราวกับญาติสนิทชิดเชื้อ


ก่อนหน้านี้เนื่องจากต้องช่วยไควินส่งสาสน์วาจาไปให้ท่างเมิ่งฉี  นั้นจึงทำให้หลี่เหอขุ่นเคืองอย่างหนัก


แต่เขาเป็นพี่ชายของหกลี่จี และหลี่จีกับบรรพกาลราตรีก็ยังมีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างคลุมเครืออย่างมาก โดยธรรมชาติ ทั้งเมิ่งฉีและหลี่เหอจึงคิดไปว่า เขาถือเป็นอีกคนหนึ่งที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับรรพกาลราตรี


นี่…ไฉนถึงรู้สึกราวกับฝันไป?



หลังจากที่ผู้อาวุโสทั้งห้าแห่งโถงโอสถปีศาจ ได้ฟังคำสั่งสอนของเย่หยวนในเรื่องเต๋า นี่ก็ผ่านไปเป็นเวลาสามวันสามคืนแล้ว


ภายในสามวันมานี้ พวกเมิ่งฉีทั้งห้าราวดับตกอยู่ในห้วงแห่งคาวมปีติยินดี


พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า ขั้นตอนการหลอมกลั่นโอสถ แท้จริงแล้วจะมีมากมายปานนี้!


โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเย่หยวนใช้วรยุทธหลอมกลั่นที่มุ่งเน้นไปทางการหลอมกลั่น และสมาธิของเขาก็หามิได้เบนความสนใจไปยังสิ่งอื่นรอบตัว


ในที่สุดเย่หยวนก็หลอมกลั่นโอสถระดับสูงให้ดูเป็นขวัญตา ซึ่งนี่ยิ่งทำให้พวกเขาประหลาดใจเข้าไปอีก


เพียงแค่นี้พวกเขาก็ตระหนักทราบแล้วว่า เหตุใดเย่หยวนถึงบอกว่าพวกเขาอ่อนแอ


พวกเขาไม่สามารถมุ่งจิตสมาธิจดจ่ออยู่กับการหลอมกลั่นได้ตลอด ทั้งๆที่เป็นเพียงขั้นพื้นฐาน แล้วนี่จะนับประสาอะไรกับการหลอมกลั่นระดับสูง


เย่หยวนทราบดีว่านิสัยดั้งเดิมที่ติดตัวเผ่าปีศาจมามักจะอารมณ์ร้อน โดยส่วนใหญ่ปราศจากชั้นเชิง การจะมุ่งเน้นกลับเรื่องละเอียดอ่อนอย่างการหลอมโอสถ นับเป็นเรื่องยากขึ้นมิใช่น้อย


เย่หยวนมอบสมาธิและจิตวิญญาณแห่งนักหลอมโอสถให้แก่พวกเขาเพิ่มขึ้นมาไม่รู้จบ เหล่าสหายชราเหล่านี้เองก็นั่งฟังหูตาไม่กะพริบ เพราะพวกเขารู้ดีว่า พวกตนกำลังได้รับถ่ายทอดความรู้อันไม่รู้จบอยู่


ตอนนี้เมิ่งฉีได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ มานานมาก และจู่ๆ จะใบหน้าบอก ไคซินเรียกพบตัวเขา เช่นนี้จะมิให้เมิ่งฉีโกรธพิโรธขึ้นขนาดนี้ได้อย่างไร?


เมื่อเทียบกับความแกร่งกล้าในศาสตร์แห่งโอสถของเย่หยวน ไคซินยังนับเป็นตัวอันใด?!


ทันทีทันใด เย่หยวนดูเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ เขาจึงอุทานเอ่ยออกมาว่า


“โอ้ใช่แล้ว ก็พูดคุยเรื่องไร้สาระไปเสียนานสามวันสามคืน จนลืมเหตุหมายที่มาไปสนิม”


เหล่าผู้อาวุโสทั้งห้าต่างพูดไม่ออก ทั้งหมดที่กล่าวไปล้วนเป็นเรื่องของเต๋า แล้วนี่จะเป็นเรื่องไร้สาระได้อย่างไร?


เว้นเสียแต่ว่า แท้จริงแล้ว สิ่งที่เย่หยวนเอ่ยอธิบายออกไปกลับมิได้ลึกซึ้งขนาดนั้น


มันคล้ายกับทักษะพื้นฐานเสียมากกว่า เพื่อแก้ปัญหาของทั้งห้าที่ไม่สามารถมุ่งมาธิอยู่ในจุดๆหนึ่งได้


แน่นอน แม้ว่าเย่หยวนจะเชิดศีรษะสูงโดยการหลอมกลั่นโอสถให้ผู้อาวุโสทั้งห้าดู แต่เขาก็ไม่สามารถดูถูกพวกเขาเองได้เช่นกัน


“ข้าสงสัยเสียเล็กน้อยว่า เหตุหมายสำคัญที่ท่านอาจารย์กล่าวถึงหมายความอย่างไร? เมิ่งฉีจะส่งคนออกไปจัดการแทนทันที! ข้าขอให้ท่านอาจารย์บรรพชนราตรี โปรดสั่งสอนพวกเราอีกสักสองสามวันได้หรือไม่?”


ตอนนี้เมิ่งฉีเลื่อมใสศรัทธาในตัวเย่หยวนอย่างหาที่เปรียบไม่ มาตรฐานหลอมกลั่นโอสถของเย่หยวน หาใช่สิ่งที่เขาจะจินตนาการได้เลย!


เขารู้สึกว่า นักปรุงโอสถปีศาจระดับสามจำนวนน้อยนิดภายในเมืองก็มิอาจเทียบเทียมกับเศษเสี้ยวของท่านอาจารย์บรรพกาลราตรีได้เลย!


แม้ว่าพวกเขาจะสามารถหลอมกลั่นโอสถระดับสามได้ก็ตาม


แต่เย่หยวนกล่าวว่า


“อภิปายเรื่องเต๋า ขอให้จบลงแต่เพียงเท่านี้ก่อน ข้ามาที่โถงโอสถปีศาจแห่งนี้ก็เพื่อ ซื้อสมุนไพรวิญญาณสองสามชนิด นอกจากนี้ยังต้องมีเรื่องคาใจต้องถามตอบในหอร้อยปัญญา พวกเจ้าไม่สามารถทำแทนในนามของข้าได้”


เมิ่งฉีเร่งกล่าวขึ้นว่า


“กล่าวเช่นนี้ หาใช่ว่าท่านอาจารย์บรรพกาลราตรีกำลังตบหน้าเราคนนี้? สมุนไพรวิญญาณเหล่านั้นมีอะไรบ้าง? ตราบใดที่โถงโอสถปีศาจของเรามี ไม่ว่าสิ่งใดโปรดอย่าลังเลที่จะรับมันไป! หากสิ่งนั้นไม่มีในโถงโอสถปีศาจ เช่นนั้นพวกเราจะเร่งหาให้ในเวลาอันสั้น! ส่วนโถงร้อนปัญญา พวกเราเองก็ไม่สะดวกที่จะเข้าไป ท่านเอาป้ายตราโถงโลหิตปรโลกของข้าไป แล้วพวกนั้นย่อมไม่สร้างปัญหาให้ท่านแน่นอน!”


ตอนที่ 1491 หว่านความบาดหมาง

โดย

Ink Stone_Fantasy

สำหรับสมุนไพรวิญญาณที่ใช้หลอมกลั่นโอสถทองคำเลิศล้ำสำหรับการวิวัฒนาการครั้งที่สองแทบไม่มีใครเคยเห็น กล่าวได้ว่าหายากยิ่ง แต่ขุมพลังอำนาจของโถงโอสถปีศาจเองก็หาได้มีไว้แสดงเท่านั้นจริงๆ


เมิ่งฉีบอกเย่หยวนว่า ภายในครึ่งเดือนเขาจะช่วยรวบรวมสมุนไพรวิญญาณที่ต้องการมีทั้งหมดให้


ความคิดความอ่านของเมิ่งฉี มีหรือที่เย่หยวนจะมองไม่ผ่านอ่านไม่ออก? ดังนั้นเขาจึงให้สัญญากับเมิ่งฉีไว้ว่า อีกครึ่งเดือนหลังจากนี้ เขาจะกลับมาบรรยายสั่งสอนเรื่องเต๋าแก่เขาอีกครั้ง


เมื่อกล่าวจบ เย่หยวนก็จากออกไปคนเดียวเดินนำหน้า


แม้ว่าหลี่จียังคงรวนเรรั้งท้ายอยู่ ทว่ายามนี้นางเองก็ทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน


เย่หยวนไปยังโถงร้อยปัญญาเพื่อสอบถามข้อมูล ในขณะที่นางมิได้ออกไปไหนและอยู่แต่ในโถงโอสถปีศาจดังเดิม


หลี่จีหาใช่เด็กสาวตัวน้อยในสายตาของเมิ่งฉีแล้วในตอนนี้


นางกล่าวอันใดไป? บรรพกาลราตรีเป็นชายหนุ่มของนาง?


ความสัมพันธ์ระหว่างสองคนนี้ มีหรือที่เมิ่งฉีจะไม่ใช้ประโยชน์จากมัน?


สิ่งใดกันที่ทรงอานุภาพที่สุด?


หาใช่กำปั้นบุรุษชาย แต่เป็นหมอนของสตรี!


แน่นอนว่าเรื่องจัดหาสมุนไพรวิญญาณก็เรื่องหนึ่ง


เมิ่งฉีตัดสินใจแล้วว่า จะมอบของขวัญอีกครึ่งหนึ่งให้แก่ตระกูลฟางเพื่อสร้างมิตรภาพ


ความสุขที่แรกพบประสบเจอโดยกะทันหันนี้ทำเอาฟางอวี้ลืมสิ่งที่จะทำโดยปริยาย


โอสถของโถงโอสถปีศาจค่อนข้างขาดตลาดอย่างยิ่ง แม้แต่ฝ่ายตำหนักเจ้าเมืองเองยังต้องหยิบจ่ายในราคามหาศาลเพื่อให้ได้มันมาเช่นกัน


เม็ดโอสถนับเป็นปัจจัยสำคัญเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ตระกูลหรือกลุ่มอำนาจ


สำหรับเย่หยวน ฟางอวี้รู้สึกขอบคุณเขาจากก้นบึ้งหัวใจ ยามนี้กล่าวได้ว่า เขาแทบประเคนหลี่จีส่งขึ้นบนเตียงของเย่หยวนในทันใด


ทันใดนั้นเอง ดั่งเสียงระฆังเตือนถูกตีขึ้นกลางใจ!


ชวิ้ง ชวิ้ง ชวิ้ง…


เสียงฉีกผ่านห้วงอากาศลั่นดังขึ้น หลากแสงประกายเย็นสาดสะท้อนพุ่งเข้าจู่โจมเย่หยวนด้วยความเร็วที่น่าสะพรึงยิ่ง!


มันเป็นอาวุธลับที่เร้นซ่อนอยู่ทั่วบริเวณ!


“จงระเบิด!”


หัวเอ๋อทำการสร้างตราประทับขึ้นบนมีดบินเหล่านั้นให้ระเบิดกลางอากาศ คมสีเย็นนับไม่ถ้วนปลดปล่อยแรงระเบิดสกัดกั้นทุกทางหนีของเย่หยวนโดยตรง!


เมื่อใดที่มีดบินเหล่านั้นระเบิดใส่เย่หยวน ร่างของเขาคงระเบิดเป็นจุณกลายมาเป็นตอตะโก


ร่องรอยยิ้มแย้มอันเลือดเย็นพลันแสยะฉีกขึ้นบนมุมปากของหัวเอ๋อ ยามทราบว่าภารกิจของเขาได้เสร็จสิ้นลงแล้ว


 จอมทัพปีศาจครึ่งขั้นเฉกเช่นเขาวางแผนในยามอีกฝ่ายประมาท เย่หยวนไม่มีทางรอดพ้นจากการลอบสังหารครั้งนี้ได้อย่างแน่นอน!


ทั้งหมดทุกภาพฉากเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเพียงสะเก็ดไฟแค่แวบเดียว


ไม่ว่าเย่หยวนจะแกร่งกล้าปานใด แต่ก็ไม่มีเวลาตอบสนองได้ทันเป็นแน่


หัวเอ๋อมิกลับย้อนกลับไปดูเย่หยวน เขาพยุงตัวลุกขึ้นเตรียมจากไปทันที


แต่ทันใดนั้นเอง ร่างของเย่หยวนพลันอันตรธานหายวับไปจากจุดที่ยืนอยู่!


“ดับเงาสยบมาร!”


ท่าทางการแสดงออกของหัวเอ๋อพลันแปรเปลี่ยนทันที พลันสัมผัสถึงลางสังหารสุดอันตรายที่เสียดพุ่งเข้าสู่จิตใจ


ร่างไสวเป็นเงาพร่าอันตธานวับหาย เย่หยวนปราดพุ่งเข้าหาเขาในทันใด!


เร็วเกินไป!


อาศัยความแข็งแกร่งของเขา แทบไม่สามารถตรวจจับร่องรอยของเย่หยวนได้เลย


“เพลงดาบขนนกโลหิต!”


หัวเอ๋อเอ่ยปากลั่นตะโกนเดือดดุ พร้อมร่ายสำแดงกระบวนกายทิ่มแทงไปยังเงาไสวของเย่หยวนด้วยความเร็วดุจสายฟ้า


ชวิ้ง! ชวิ้ง! ชวิ้ง!


ในไม่ช้า ทั้งสองก็แลกเปลี่ยนกระบวนเดือดไม่รู้กี่สิบท่าร่าง


คลื่นลายคมพัดกระชากซากบริเวณโดยรอบจนแหลกเสียหาย


หลังจากนั้นหลายอึดใจต่อมา เย่หยวนพลันปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งอยู่ห่างไปนับพันฉื่อ ใบหน้าของเขาซีดเผือกลง พร้อมลมหายใจที่เริ่มระส่ำระส่ายไม่มั่นคง เห็นได้ชัดว่าการปะทะเมื่อครู่ได้กินแรงของเขามากเกินไป


อย่างไรก็ตามแต่ ทางฝ่ายหัวเอ๋อเองก็มิได้อยู่ในสภาพที่ดีเท่าไหร่นัก การปะทะเมื่อครู่เองก็ทำให้เขาสูญเสียพลังปราณปีศาจมากมิใช่น้อย


ตั้งแต่ที่เริ่มเปิดฉากลอบสังหารเย่หยวนจวบจนตอนนี้ เวลาเพิ่งผ่านไปเพียงสิบอึดใจเท่านั้น


ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วเกินไป!


หัวเอ๋อไม่คิดไม่ฝันเช่นกันว่า ความแกร่งกล้าของเย่หยวนจะเหนือชั้นถึงระดับนี้


หากมิใช่เพราะว่าเขาเป็นนักฆ่า ที่มีปฏิกิริยาเฉียบคมและว่องไวกว่าทั่วไป ปานนี้เขาคงไม่สามารถตอบโต้เย่หยวนได้เช่นกัน


เด็กคนนี้อันตรายเกินไป!


ในที่สุดหัวเอ๋อก็ทราบแล้วว่า ไฉนค่าจ้างของเขาถึงมีมูลค่าถึงสามสิบล้านก้อนผลึกปราณปีศาจระดับต่ำ!


ปรากฏว่าเขาต้องมาเอาชีวิตสัตว์ประหลาด!


หัวเอ๋อเป็นนักฆ่ามือฉกาจ เขารับรู้ได้ว่า การเคลื่อนไหวก่อนหน้าทำให้เย่หยวนเสียแรงไปอย่างมาก ซึ่งในตอนนี้เขาก็ไม่มีแรงมากพอที่จะตอบโต้แล้ว


ความเร็วของเย่หยวนนั้นสูงส่งยิ่ง แต่ความเร็วของหัวเอ๋อเองก็หาได้ช้าไม่


ในฐานะนักฆ่า ความเร็วนับเป็นปัจจัยสำคัญ


“เพลงดาบขนนกโลหิต!”


คมแสงโลหิตสาดกระจายส่องจรัสสารทิศ ร่างไสววูบของหัวเอ๋อปราดพุ่งเข้าใส่เย่หยวนอีกครั้งดั่งอัสนีคำรน


อย่างไรก็ตาม ยามนี้เขาไม่มีโอกาสอีกต่อไป


“หยุด!!”


วูบ! วูบ! วูบ!


ร่างทั้งห้าตรงเข้าประจัญบานสกัดกั้นหัวเอ๋อโดยสมบูรณ์


สถานที่แห่งนี้คือที่ใด? หาใช่ด้านหน้าประตูโถงโอสถปีศาจหรอกรึ? ความโกลาหลระดับนี้จะไม่ทำให้คนภายในทราบได้อย่างไร?


สีหน้าการแสดงออกของหัวเอ๋อเปลี่ยนไปอย่างมาก เขาเอ่ยลั่นน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า


“ข้าเป็นคนของโถงนักฆ่า มีใครบางคนจ้างให้ข้าเอาชีวิตของเด็กหนุ่มคนนี้!”


แม้ว่าผู้อาวุโสทั้งห้าจะเป็นนักปรุงโอสถปีศาจ แต่ความแข็งแกร่งในด้านการต่อสู้เองก็หาใช่ว่าอ่อนด้อยเช่นกัน


การต่อสู้แบบหนึ่งต่อห้า พวกเขาหาได้เสียเปรียบแม้สักนิด


เหตุผลที่หัวเอ๋อกล้าลงมือที่นี่เป็นเพราะ สถานที่แห่งนี้เป็นถิ่นของพวกเขาเอง


แม้ว่าเขาจะสังหารใครไป แต่ก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยถึงเช่นกัน


แม้ว่าโถงต่างๆภายในโถงโลหิตปรโลกจะอยู่ภายใต้หน้าที่ที่แตกต่างกัน แต่นี่ก็เปรียบเสมือนครอบครัวเดียวกัน


แต่หัวเอ๋อไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่า กลับเป็นคนของเขาเองที่เข้าขัดขวางภารกิจของตน


เขาเฝ้ารอคอยอยู่ด้านนอกตลอดเวลา จึงไม่ทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้านใน เขาคิดว่าผู้อาวุโสทั้งห้าจะไม่รู้จักภูมิหลังของเขา จึงเร่งแนะนำตัวก่อนทันที


เมิ่งฉีตะคอกเสียงเย็นสวนกลับไปทันที


“เราชายชราผู้นี้มิได้ตาบอดมองไม่เห็น! ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไรว่า เจ้าเป็นคนของโถงนักฆ่า! หึ! แต่เจ้ากล้าลงมือกับอาคันตุกะคนสำคัญของโถงโอสถปีศาจจริงๆ บัญชีแค้นในครั้งนี้ พวกเราจะไปพบกับโถงนักฆ่าด้วยตัวเองในภายหลัง!”


หัวเอ๋อตกใจอย่างมาก พลางสงสัยไปว่าตนได้ยินอะไรผิดไปหรือไม่?


เหตุใดผู้อาวุโสทั้งห้าแห่งโถงโอสถปีศาจถึงออกโรงช่วยเหลือบุคคลภายนอก?


เพื่อประโยชน์ของเด็กหนุ่มคนเดียว พวกเขาถึงขั้นประกาศสงครามกับโถงนักฆ่าเลยรึ?


อาคันตุกะ?


เด็กที่เส้นผมยังไม่ขึ้นเต็มที่อย่างเขาจะมาเป็นอาคันตุกะของโถงโอสถปีศาจได้อย่างไร?


“เมิ่งฉี ความหมายของเจ้าคืออย่างไร? เพื่อประโยชน์ของคนนอกคนเดียว เจ้าถึงกับทำเรื่องผิดใจกับโถงนักฆ่าเชียวรึ?”


หัวเอ๋อเอ่ยกล่าวน้ำเสียงสุดเคร่งขรึม


เมิ่งฉีตะวาดสวนด้วยความโกรธจัด


“ท่านอาจารย์บรรพกาลราตรีผู้นี้เป็นอาคันตุกะผู้มีเกียรติสูงสุดแห่งโถงโอสถปีศาจ! ข้าเตือนเจ้าแล้ว หากกล้าแตะต้องแม้แต่เส้นผม พวกเราจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด!”


เมื่อเห็นเมิ่งฉีปะทุแรงกดดันใส่อย่างเดือดดาล หัวเอ๋อก็ทราบในทันทีว่า อีกฝ่ายหาได้ล้อเล่น


ท่านอาจารย์?


หรือเป็นไปได้ไหมว่า เด็กหนุ่มคนนี้จะเป็นนักปรุงโอสถปีศาจด้วยเช่นกัน?


นี่มันบ้าไปกันใหญ่แล้ว!


เมิ่งฉีมีสถานะศักดิ์เป็นนักปรุงโอสถปีศาจชั้นแนวหน้าในบรรดาระดับสองทั้งหมด แล้วกลับเรียกเด็กหนุ่มคนนี้ว่าท่านอาจารย์?


หัวเอ๋อพลันรู้สึกได้ทันทีว่า ผู้อาวุโสทั้งห้าบ้ากันไปใหญ่แล้ว?


เขาตะคอกกลับเสียงเย็นสะท้านว่า


“หึ! เมิ่งฉี อย่าลืมไปเสีย เจ้ามิใช่ประมุขโถงโอสถปีศาจ! เรื่องนี้กลับเป็นภัยหาตัวเจ้าเอง!”


เมิ่งฉีในยามนี้หัวร้อนเป็นไฟแล้วเช่นกัน เขาตอกกลับตะโกนลั่นด้วยความโกรธเกรี้ยวขึ้นว่า


“ดี! ดีมาก! คิดหรือว่าข้ากลัวโถงนักฆ่านักหนา? วันนี้ เราชายชราสลักจำใส่ใจไว้แล้ว! ไสหัวไป!”


หัวเอ๋อกรนเสียงเย็นตะหวาดดังลั่น จากนั้นร่างของก็อันตรธานหายวับไปทันทีจากสายตาของทุกคน


เมิ่งฉีเหลียวหลังหันไปหาเย่หยวนและประสานมือกล่าวขอโทษขึ้นว่า


“เดี๋ยวนี้คนของโถงนักฆ่านับวันยิ่งกำแหงขึ้นเรื่อยๆ! เมิ่งฉีพลาดเองที่ไม่ยอมส่งท่านกลับด้วยตัวเอง จนปล่อยให้ท่านอาจารย์บรรพกาลราตรีตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย เมิ่งฉีคนนี้รู้สึกละอายใจยิ่งนัก!”


ในขณะเดียวกันนั้นเอง เมิ่งฉีก็รู้สึกตื่นตกใจไม่ต่าง


เขาทราบดีว่านักฆ่าคนนั้นเป็นจอมทัพปีศาจครึ่งขั้น และเย่หยวนเป็นเพียงแม่ทัพปีศาจสองดาวชั้นกลาง แต่กลับสามารถเลี่ยงหลบการโจมตีของอีกฝ่ายมาได้โดยมิได้รับบาดเจ็บใดๆ


ในตอนนี้เมิ่งฉีมั่นใจแล้วว่า จักต้องมีการดำรงอยู่อันทรงพลังหาที่เปรียบไม่อยู่เบื้องหลังเย่หยวน


ชายหนุ่มคนนี้ไม่ง่ายเลย! และห้ามทำให้เขาขุ่นเคืองใจเด็ดขาด!


เย่หยวนส่ายหัวและกล่าวว่า


“เรื่องนี้มิได้เกี่ยวอันใดกับพวกเจ้า มีใครบางคนต้องการจะเอาชีวิตข้า ด้วยเห็นนี้อีกฝ่ายได้หว่านเมล็ดแห่งความเสียใจครั้งใหญ่หลวงเอาไว้แล้ว!”


ต่อให้ใช้แก้มก้นคิดไม่ว่าใครก็รู้ว่า นี่คือฝีมือของไคซินที่อยู่เบื้องหลังอย่างแม่นยำ


ลอบสังหารครั้งนี้ล้มเหลว ในคราวหน้าอีกฝ่ายอาจจ้างมาจัดการเขาจริงๆ


หรือมันคิดว่าเย่หยวนง่ายต่อการรังแกกระมัง?


ตอนที่ 1492 สัญญาเลือด

โดย

Ink Stone_Fantasy

เพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหา เมิ่งฉีจึงพาเย่หยวนไปยังโถงร้อนปัญญาด้วยตัวเอง


เมื่อเขาออกหน้าก้าวย่างเป็นการส่วนตัว ทุกอย่างก็ดูง่ายในพริบตา


ภายใต้การนำทางของผู้จัดการโถงร้อยปัญญา เย่หยวนเดินตรงเข้าไปยังโถงระดับสามได้โดยตรง สถานที่ในบริเวณนี้เป็นที่สำหรับแขกชนชั้นสูง


“นายท่านโปรดรอสักครู่ อีกไม่นานจะมีคนมารับท่านตรงนี้”


เมื่อผู้จัดการกล่าวเสร็จสิ้น เขาก็จากไป


โถงนี้ประดับประดาหรูหราอย่างยิ่ง กลิ่นสุคนธรสหอมอ่อน เข้ากระทบรูจมูกจนทำให้ผู้คนรู้สึกผ่อนคลายเคลิ้มอ่อน


ชาหอมชงเสร็จเรียบร้อย เย่หยวนจิบเล็กน้อยพลางเอ่ยชมขึ้นว่า


“ชาของดี! หยาดน้ำค้างยามอรุณสีม่วงจากตะวันออก ยอดชาจากสายพิรุณวิญญาณ นับเป็นของหายากโดยแท้! สิ่งที่หาได้ยากกว่าทั้งคู่คือฝีมือคนชงอันน่าประทับใจนัก”


ทันทีทันใด ห้วงมิติพลันบิดเบี้ยว อิสตรีร่างงามเดินตรงออกมาจากห้วงแห่งความว่างเปล่า


ชุดเสื้อผ้าของอิสตรีนางนี้ช่างน้อยชิ้นนัก เผยให้เห็นผิวพรรณขาวนวลดุจหิมะ ริมฝีปากงามสีแดงสวย ความงามนางนี้กลับมิได้ด้อยไปกว่าหลี่จีเลย


แต่เมื่อเปรียบเทียบกับหลี่จี อิสตรีนางนี้ดูจะร้อนแรงยิ่งกว่าดั่งไฟที่แผดเผาเหล่าบุรุษชายจนคลั่ง ทุกสายตาที่จับจ้องล้วนเปี่ยมล้นอารมณ์สุดเกินพรรณนา


“ท่านบรรพกาลราตรีกลับไม่ธรรมดา แท้ที่จริง มองผ่านอ่านความลึกล้ำของโถงนี้ได้เพียงหนึ่งปราดตา”


อิสตรีนางนี้ค่อยๆนั่งลงไม่ใกล้ไกลจากฝั่งเย่หยวนนัก


หญิงสาวผู้ฝึกเคล็ดวิชามหาเสน่ห์นางนี้มีชื่อว่า อวี้หาน นางได้บรรลุจุดสูงสุดของเคล็ดวิชานี้แล้ว ทุกอากัปกิริยาหากคิดประมาทไม่ระวัง อาจทำให้บุรุษเพศผู้นั้นถูกล่อลวงได้อย่างไม่ยาก


กระทั่งเย่หยวนที่คิดว่าจิตแข็งพอแล้ว ยังมีชั่วขณะที่ความคิดของเขาเลยเถิดออกไปเช่นกัน


เห็นได้ชัดว่า แค่ดื่มชาเขาก็พลันรู้สึกคอแห้งขึ้นมา


อย่างไรก็ตาม มันเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆเท่านั้น


ความแน่วแน่มั่นคงภายในใจแห่งเต๋าของเย่หยวน นั้นหาได้ยากยิ่งในผืนพิภพ


หากผู้ใดต้องการใช้เคล็ดวิชามหาเสน่ห์ให้เย่หยวนเพื่อสร้างความสับสนภายในใจ เรื่องเช่นนั้นมันแทบเป็นไปไม่ได้


“บรรพกาลราตรีมาที่นี่เพื่อสอบถามข้อมูลบางอย่าง ไม่ว่างเล่นกับแม่นางอวี้หาน โปรดเรียกบุคคลสอบถามมาเถิด”


เย่หยวนเอ่ยกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบ


เมื่ออวี้หานเห็นว่าเย่หยวนจิตแข็งมุ่งความสนใจกับสิ่งจำเป็นได้ดีมาก นางก็อดสะดุ้งมิได้อย่างลับๆ


ภายในเมืองหลวงคาโปนแห่งนี้ การจะหาบุรุษชายที่สามารถต้านทานเคล็ดวิชามหาเสน่ห์ของนางได้นับได้ว่าหายากยิ่ง!


อวี้หานคลี่ยิ้มหวานขณะกล่าวขึ้นว่า


“ท่านบรรพกาลราตรี หาได้เข้าใจความรู้สึกคนอื่นไม่ หรือเป็นไปได้ไหมว่า ในสายตาของท่าน อวี้หานคนนี้มิอาจเทียบเทียมหลี่จี?”


สีหน้าการแสดงออกของเย่หยวนผันแปรเปลี่ยนดูเย็นชาขึ้นในทันใด เขากล่าวว่า


“อย่าเล่นโดยไม่มีเหตุผล มิฉะนั้นอย่าตำหนิว่าข้าไม่สุภาพ!”


ทว่าอวี้หานกลับเอ่ยตอบโดยหาไม่สนใจเลยว่า


“เช่นนั้นคนต่ำต้อยคนนี้อยากเห็นเสียจริงว่า ท่านจะไม่สุภาพอย่างไร?”


ขณะที่นางแผดเสียงหวานกล่าว เรียวมือสวยของนางก็พลันซุกซนลูบไล้ไปตามเรือนร่างของเย่หยวนในทันที


เย่หยวนกรนเสียงเย็นคำหนึ่งและใช้นิ้วชี้สัมผัสเข้าบริเวณหัวไหล่ของอวี้หานด้วยความเร็วดุจสายฟ้า


ทว่าใครจะทราบ ร่างของอวี้หานไสวหลบออกไปได้อย่างน่าประหลาด นางหลบเลี่ยงการโจมตีนี้ไปได้อย่างหวุดหวิด


เย่หยวนใจหายวาบจมลึกในบัดดล พร้อมตระหนักได้ทันทีว่า อวี้หานนางนี้ปกปิดพลังที่แท้จริงของนางเอาไว้


เมื่อกระบวนโจมตีล้มเหลว เย่หยวนเร่งรุดถอยห่างปราดออกไปจากอวี้หานทันทีอย่างระมัดระวัง


“ท่านบรรพกาลราตรีไม่รู้จักวิธีทำตัวอ่อนโยนต่อหน้าหญิงสาวหรืออย่างไร! จู่โจมรุนแรงเช่นนี้หรือคิดถึงขั้นเอาชีวิตผู้ต่ำต้อยคนนี้เลยกระมัง?”


อวี้หานหัวเราะคิกคักเอ่ยกล่าว


เย่หยวนกล่าวน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า


“เจ้าเป็นใครกันแน่? ไยคิดกลั่นแกล้งกัน?”


อวี้หานยิ้มกล่าวว่า


“คนต่ำต้อยคนนี้คิดกลั่นแกล้งท่านได้อย่างไร? เห็นได้ชัดว่าท่านคิดจะบดดขยี้บุปผางามอย่างไร้ความปรานีกลับเป็นอวี้หานมากกว่าที่อยากรู้ว่าท่านเป็นใครกันแน่? ทักษะฝีมือหลอมกลั่นโอสถเนื้อชั้นนัก หลอมกลั่นโอสถผลึกมังกรเพลิงปีศาจได้ด้วยปลายนิ้ว แม้แต่ผู้อาวุโสทั้งห้ายังต้องร่วมมือ จัดเรียกลูกศิษย์เข้าศึกษา โถงโลหิตปรโลกมีหูตา แต่กลับไม่สามารถตรวจสอบภูมิหลังของท่านได้เลย”


เย่หยวนใจหายวาบเป็นคำรบสอง พลางแอบคิดไปว่าโถงร้อยปัญญาสามารถเข้าถึงข้อมูลต่างๆได้ทั้งหมด


ในเวลานี้เย่หยวนมิอาจปฏิบัติกลับอวี้หานดั่งหญิงสาวธรรมดาทั่วไปได้อีกต่อไป ความแข็งแกร่งของนางน่าจะเหนือชั้นกว่าตัวเขามาก


แม้แต่หวูเฉินเองก็ยังไม่สามารถหยั่งรู้ถึงตัวอวี้หานได้เช่นกัน


แม้ว่าความแกร่งกล้าของหวูเฉินยังไม่ฟื้นตัวถึงจุดยอดภายใต้อาณาจักรราชันพระเจ้า แต่โดยส่วนใหญ่ก็ไม่มีสิ่งใดที่หลบหนีไปจากการตรวจสอบทางจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเขาได้


แต่อวี้หานนางนี้กลับเป็นข้อยกเว้น


ดวงตาของเย่หยวนเริ่มหรี่แคบลง เขาเอ่ยกล่าวน้ำเสียงทุ้มต่ำขึ้นว่า


“เราผู้นี้อาศัยอยู่กับท่านอาจารย์ในดินแดนไกลโพ้นตั้งแต่ยังเด็ก ยอมเป็นเรื่องธรรมดาที่เจ้าไม่เคยได้ยินเรื่องราวดังกล่าว นี่หาใช่เรื่องแปลกจริงหรือไม่?”


เย่หยวนไม่ยอมพลาดท่าง่ายๆเช่นนี้แน่นอน ดังนั้นเขาจึงกุเรื่องต้นกำเนิดเรื่องราวต่างๆขึ้นมาทันที


อวี้หานยิ้มและกล่าวว่า


“เป็นเช่นนั้น ท่านหาได้ตกใจไป พวกเรามานั่งคุยกันหน่อยดีหรือไม่?”


เย่หยวนพยักหน้าเล็กน้อย และกลับไปนั่งที่อีกครั้ง เขาเอ่ยปากวาจาเรียบนิ่งขึ้นว่า


“หากต้องการจะเอ่ยถามเกี่ยวกับท่านอาจารย์ข้า ท่านเก็บคำไว้หายใจเสียดีกว่า”


ร่องรอยความประหลาดใจพลันทอประกายผ่านนัยน์ตาของอวี้หาน พลางคิดกับตนเองไปว่า นี่เป็นวาจาคำกล่าวที่น่าสะพรึงยิ่งนัก


นางกำลังจะเอ่ยปากถาม ทว่าเขากลับลั่นวาจาสกัดกั้นนางมิให้ถามในทันใด


หากท่านอาจารย์ของเย่หยวนเป็นพวกปรมาจารย์ไม่ยุ่งเกี่ยวกับทางโลก ชอบความสันโดษ เขาไม่เต็มใจแน่นอนที่จะยอมเปิดเผยชื่อแซ่


อวี้หานยิ้มบางกล่าวขึ้นว่า


“เข้าใจแล้ว เช่นนั้นท่านบรรพกาลราตรีมาที่เมืองหลวงคาโปนเพียงเพื่อสืบสวนบางอย่าง?”


เย่หยวนพยักหน้ากล่าวตอบว่า


“ถูกต้องแล้ว! แม่นางอวี้หาน บรรพกาลราตรีสงสัยว่าข้าสามารถเอ่ยถามได้แล้วรึยัง?”


อวี้หานกล่าวขึ้นว่า


“ท่านรู้กฎของโถงร้อยปัญญาของเราหรือไม่?”


เย่หยวนพลันตะลึงเล็กน้อยก่อนส่ายหัวกล่าวว่า


“มิทราบ”


อวี้หานหัวเราะคิกคักและกล่าวขึ้นว่า


“ท่านเป็นคนที่น่าสนใจจริงๆ กล้าเข้ามาสอบถามข้อมูลโดยไม่ทราบกฎของโถงร้อยปัญญา”


เย่หยวนเคยได้ฟังมาอยู่ก่อนแล้วว่า ข้อมูลภายในโถงร้อยปัญญาหาใช่เรื่องง่ายที่จะสอบถาม แต่เขากลับไม่รู้รายละเอียดจำเพาะ


เมื่อพินิจมองรูปการณ์ยามนี้ เขาตระหนักได้แล้วว่า ตนคิดง่ายเกินไป


“โปรดชี้แจง!”


เย่หยวนเอ่ยกล่าวเสียงเย็นชา


อวี้หานกล่าวขึ้นว่า


อวี้หานกล่าวอธิบายว่า


“โถงร้อยปัญญาของเราแบ่งออกเป็นเก้าระดับ ข้อมูลในสามระดับแรก ตราบใดที่มีผลึกปราณปีศาจนำจ่ายเพียงพอ ย่อมเข้าถึงข้อมูลได้ แต่ระดับสี่ถึงระดับเก้า นอกจากผลึกปราณปีศาจที่มีราคานำจ่ายสูงลิบลิ่วแล้ว ผู้ใช้บริการจำต้องทำบางอย่างให้กับโถงร้อยปัญญาอีกด้วย”


เย่หยวนเอ่ยกล่าวด้วยความประหลาดใจ


“เช่นนั้นหมายความว่า ข้าต้องติดหนี้บุญคุณต่อพวกเจ้า?”


อวี้หานกล่าวตอบ


“จะเรียกแบบนั้นก็ไม่ผิด”


เย่หยวนพยักหน้า


“หากข้าไม่ทำล่ะ?”


อวี้หานยิ้มและตอบว่า


“ท่านจะต้องทิ้งสัญญาเลือดให้แก่ทางเรา และทำจนกว่าเรื่องที่เราปรารถนาจะสำเร็จลุล่วงได้ มิฉะนั้นท่านจะถึงแก่ความตายโดยสัญญาเลือดนั้น”


ภายในใจเย่หยวนเย็นสะท้านจับขั้วในทันใด โถงโลหิตปรโลกนี้เป็นกลุ่มอำนาจที่ลึกลับอย่างมาก และดูเหมือนว่าภูมิหลังของพวกเขาจะใหญ่โตมากจริงๆ


เย่หยวนกล่าวถามขึ้นต่อว่า


“แล้วถ้าหากพวกเจ้าต้องการให้ข้าตาย ข้าก็ต้องทำตามกระมัง?”


อวี้หานยิ้มและกล่าวว่า


“โถงโลหิตปรโลกของเรายึดถือความซื่อสัตย์และเท่าเทียมไม่ว่าผู้อาวุโสลายครามหรือเด็กผู้เยาว์ เพียงว่าบางเรื่องที่เราไม่สะดวกหรือเกินความสามารถของเราจริงๆ ดังนั้นจึงต้องทำสัญญาเอาไว้เพื่อขอความช่วยเหลือในอนาคต บางคนเราไม่เคยไปรบกวนหรือทวงสัญญาเลือดเลยจนเขาถึงวาระสุดท้าย ในสัญญาเลือดค่อนข้างมากฎข้อจำกัดยิบย่อยมากมายระบุไว้ชัดเจน ตัวอย่างเช่น เราเขียนสัญญาเลือดร้องขอให้ท่านตายไม่ได้ แต่หากท่านทำงานให้เราไม่สำเร็จ ท่านจะได้รับผลที่ต้องแบกรับเองโดยธรรมชาติ”


เย่หยวนพลันตกตะลึงไม่น้อยภายในใจ นี่เท่ากับว่าตราบใดที่มีผู้คนสอบถามข้อมูลระดับสี่ขึ้นไป ทั้งหมดจะถูกบังคับให้เป็นหนี้บุญคุณของโถงโลหิตปรโลกทันที


ด้วยการสะสมสัญญาเลือดเหล่านี้มากขึ้นเรื่อยๆ เหล่าผู้คนที่ติดหนี้บุญคุณของโถงโลหิตปรโลกมีมากขึ้น สำหรับภายนอกนี่เป็นกลุ่มอำนาจที่น่ากลัวยิ่งยวด


ในบรรดาคนที่ทำสัญญาอาจมีการดำรงอยู่ที่ทรงพลังยิ่งอยู่ เพียงว่าพวกเขามิได้ปรากฏตัวออกมาก็เท่านั้น


ตราบใดที่โถงโลหิตปรโลกยังเก็บสัญญาเลือดเหล่านี้ไว้อยู่ มันเท่ากับว่าพวกเขาสามารถเรียกใช้ผู้คนได้ตลอด!


ไม่ว่าแปลกใจเลยว่าเหตุใด แม้แต่ตำหนักเจ้าเมืองยังไม่กล้ายั่วยุล้ำเส้นโถงโลหิตปรโลกมาก่อน อาศัยเพียงสัญญาเลือดนี้ก็หาใช่ที่กลุ่มอำนาจทั่วไปจะรุกรานได้แล้ว


เย่หยวนพยักหน้าและกล่าวว่า


“ได้ แต่ข้าขอดูเนื้อหาสัญญาก่อน”


ตอนที่ 1493 อาคันตุกะชั้นสูง

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลังจากสัญญาณถูกส่งเข้ามือเย่หยวน  พลันปรากฏคลื่นพลังงานสั่นกระเพื่อมขึ้น ทำเอาเขาพลันตระหนกเล็กน้อย


ไม่ทราบว่าสัญญานี้มาจากมือใคร ทว่าความแข็งแกร่งของบุคคลนั้นน่าสะพรึงกลัวนัก


จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเย่หยวนที่จมลงสู่ภายใน ทันใดนั้น เนื้อหาสัญญาณก็เปิดขึ้นมาด้วยตัวเอง


เขาครุ่นคิดวิเคราะห์เนื้อหาสัญญาโดยละเอียด หลังจากตรวจสอบถึงความครอบคลุม ก่อนพบว่าไม่มีปัญหาอันใด จึงเอ่ยขึ้นว่า


“ไม่มีปัญหาอะไรในตอนนี้ ข้าต้องการทราบข้อมูล มิทราบว่าสามารถเอ่ยถามได้หรือยัง?”


อวี้หานยิ้มและกล่าวว่า


“แน่นอน ท่านสามารถทำได้! ท่านสามารถเอ่ยถามตัวสัญญาได้โดยตรงเพื่อกำหนดระดับข้อมูลของคำถาม จากนั้นก็หยดโลหิตลงบนสัญญา และข้อมูลที่ต้องการทราบจักปรากฏขึ้นมา”


เย่หยวนสูดหายใจเข้าลึกๆและเอ่ยถามกับตัวสัญญาว่า


“เมื่อหนึ่งล้านปีก่อน ณ เมืองหลวงคาโปน มีแม่ทัพปีศาจนามว่าข่านนั่ว ข้าอยากจะทราบว่าใครกันที่เป็นคนส่งเขาไปทำภารกิจสุดท้าย รวมไปถึงข้อมูลทั้งหมดที่เขาได้รับสั่งไป!”


หลังจากที่เอ่ยถามเรื่องนี้ออกไป ตัวสัญญาณก็มีปฏิกิริยาอย่างรวดเร็ว ทันทีทันใดคำหนึ่งก็ค่อยๆขยายใหญ่ปรากฏขึ้น


‘แปด’


ร่องรอยความประหลาดใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเย่หยวนในทันที เขาไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่า ระดับข้อมูลที่เขาอยากทราบจะสูงขนาดนี้!


เมื่อเห็นเลข‘แปด’ปรากฏขั้นมาในตัวสัญญา อวี้หานพลันคลี่ยิ้มเอ่ยกล่าวขึ้นว่า


“หุหุ คาดไม่ถึงมาก่อนเลยว่า ข้อมูลที่ท่านบรรพกาลราตรีต้องการทราบจะมีมูลค่าสูงขนาดนี้…หนี้บุญคุณกลับไม่เล็กเลย”


ตั้งแต่ระดับสี่จนถึงเก้า เนื้อหาความยากของสัญญานนั้นจะแตกต่างไปจากทั่วไปโดยธรรมชาติ


ระดับสี่ยังเป็นเนื้อหาสัญญารค่อนข้างง่าย ในขณะที่ระดับเก้าอาจนำผู้ตกลงสัญญาตกลงสู่ความตาย


หากใครไม่ยอมตรวจสอบข้อมูลให้ดี และความแข็งแกร่งของพวกเขากลับไม่ตรงกับเนื้อหน้าภารกิจสัญญา นั้นก็ไม่ต่างอะไรจากหนทางสู่ความตายจริงๆ


อวี้หานจับจ้องไปที่เย่หยวนด้วยความสนใจ และนางต้องการดูว่า เขาจะเลือกอย่างไร


อย่างไรก็ตาม นางกลับรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย


นางมิอาจเห็นคลื่นความผันผวนลังเลใจใดๆในตัวเย่หยวนเลย ราวกับว่าสิ่งที่เขากำลังถืออยู่เป็นแค่กระดาษเปล่าแผ่นหนึ่ง


ทันใดนั้นแสงเย็นประกายวับเชือนผ่านนิ้วมือเย่หยวนเล็กน้อย รอยกรีดฉีกออกพร้อมหยดเลือดสีมองลงบนสัญญาโดยไม่มีลังเล


หยดเลือดสีทองหยดหายลงไปทันที ในไม่ช้าประโยคเนื้อหาร่ายยาวอัดแน่นพลันขึ้นปรากฏบนสัญญา ทั้งหมดนั้นคือข้อมูลที่เย่หยวนต้องการจะทราบ


เย่หยวนเร่งอ่านทันทีโดยไว แต่ทันทีทันใดสีหน้าของเขาพลันบิดเบี้ยวน่าเกลียด


แน่นอนว่า ผู้ที่ส่งข่านนั่วไปยังดินแดนพฤกษานิรันดร์เป็นเจ้าเมืองในยุคนั้นนามว่า ข่านสั่ว


มิใช่แค่ข่านสั่วผู้นี้ยังไม่ตายเท่านั้น แต่เขายังทะลวงผ่านจ้าวทัพปีศาจขึ้นกลายมาเป็นราชาปีศาจชั้นสวรรค์ระดับหนึ่งแล้วในปัจจุบัน หรือก็คืออาณาจักรนภาสวรรค์หนึ่งดาวของเผ่ามนุษย์!


หลังจากที่บรรลุเต๋าทะลวงผ่านอาณาจักรราชันพระเจ้าไปได้ พวกเขาจะเข้าสู่อาณาจักรพลังใหม่ และแต่ละดาวล้วนยากแสนเข็ญจากการเลื่อนระดับ


แต่ละอาณาจักรหลักจะแบ่งออกมาเก้าสวรรค์หรือก็คือเก้าดาว


การจะเลื่อนระดับในแต่ละดาวยากเหลือ เกินพรรณนานัก อย่างน้อยต้องใช้เวลากว่าหนึ่งแสนปีเป็นขั้นต่ำ


ปัจจุบันวันเวลาผ่านไปกว่าหนึ่งล้านปี ความแข็งแกร่งของข่านสั่วเติบโตขึ้นอย่างช้าๆ จนได้บรรลุมาถึงระดับชั้นราชาปีศาจแล้ว!


ดูเหมือนว่าสำหรับข่านสั่วผู้นี้ ข้ายังต้องเก็บหนี้แค้นรอสะสางในภายภาคหน้า เย่หยวนลอบถอนหายใจอย่างลับๆ


ข่านสั่วผู้นี้เดินทางออกจากเมืองหลวงคาโปนเมื่อนานมาแล้ว และตอนนี้เขาก็กำลังดำรงอาศัยออยู่ในเมืองจักรพรรดิกล้วยไม้อริยะซึ่งเป็นขุมกำลังมหาศาล


นอกจากนี้ยังมีข้อมูลอีกมากมายที่เกี่ยวข้องกับข่านสั่วผู้นี้ ทั้งหมดล้วนเป็นข้อมูลอันมีค่าอย่างยิ่ง มากซะจนควรได้จะเป็นสัญญาระดับแปด


อย่างไรก็ตามแต่ เย่หยวนก็แอบตกใจเช่นกัน และเริ่มเข้าใจชัดแจ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับขุมพลังอำนาจของโถงโลหิตปรโลก


แม้แต่ข้อมูลของเซียนราชาปีศาจยังมีบันทึกได้โดยละเอียด สิ่งนี้หาใช่แค่กลุ่มอิทธิพลอำนาจทั่วไปที่จะสามารถจัดหาข้อมูลเหล่านี้ได้


หลังจากที่เย่หยวนจดบันทึกข้อมูลของข่านสั่วเรียบร้อยเสร็จ ประโยคเนื้อหาบนสัญญาก็ค่อยๆจางหายไป


เย่หยวนสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าตัวเขากับสัญญาได้เกิดการเชื่อมต่อที่แสนลึกล้ำขึ้นแล้ว


เย่หยวนคืนตัวสัญญาให้แก่อวี้หานและเอ่ยกล่าวอย่างเฉยเมยว่า


“ผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็มิได้แย่นัก”


เขาหาได้สนใจแม้แต่น้อย สักวันหนึ่งเขาจะก้าวขึ้นสู่อาณาจักรนภาสวรรค์และแสวงหาความเป็นธรรมให้แก่ดินแดพฤกษานิรันดร์


“หุหุ ท่านบรรพกาลราตรีหาได้สนใจ แต่อวี้หานคนนี้กลับรู้สึกเป็นห่วงอย่างมาก! ข้ารู้สึกได้เลยว่า บุญคุณที่ท่านบรรพกาลราตรีได้รับไปมีมูลค่าจำนวนมหาศาล! สำหรับเรื่องผลึกปราณปีศาจ ให้อวี้หานคนนี้ได้เป็นสหายท่าน เรื่องนี้ก็ขอให้ลืมไปได้เลย”


อวี้หานกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มกว้าง


เย่หยวนเหลือบมองไปที่นางและเอ่ยขึ้นเสียงเย็นว่า


“การได้เป็นสหายกับแม่นางอวี้หาน ข้าจำต้องระวังตัวให้มากขึ้น”


อวี้หานหัวเราะคิกคักพลางกล่าวว่า


“ท่านกล่าวชมอวี้หานใช่หรือไม่?”


เย่หยวนเอ่ยตอบว่า


“แม่นางจะเข้าใจเช่นนั้นก็ได้”


ความแกร่งกล้าของอวี้หานเกินหยั่งรู้ได้ โถงโลหิตปรโลกแห่งนี้ลึกลับและยากเกินเข้าใจ การได้เป็นมิตรสหายกับคนภายในนี้ กลับไม่รู้เลยว่าตนจะถูกขายให้คนอื่นเมื่อใด



เมื่อกลับมายังตระกูลฟาง ฟางอวี้ก็รู้สึกขอบคุณเย่หยวนอย่างมากเช่นกัน


ตระกูลฟางที่ทราบว่าในภายหลังว่า ในตระกูลมีนักปรุงโอสถปีศาจสุดแกร่งกล้าปรากฏตัวขึ้น พวกเขาต่างระเบิดความโกลาหลขึ้นในทันที


สมาชิกตระกูลฟางเรียกระดมพลเปิดองค์ประชุมระดับผู้อาวุโสเป็นการใหญ่ และตัดสินใจยกให้เย่หยวนกลายมาเป็นอาคันตุกะระดับพิเศษ


สิ่งที่เย่หยวนกระทำลงไปล้วนสร้างความสุขให้แก่ตระกูลฟาง ยามนี้เขามีศักดิ์เทียบเทียมได้กับผู้อาวุโสระดับจอมทัพปีศาจได้แล้ว


ส่วนพวกคนที่นินทากันว่า เย่หยวนเกาะผู้หญิงกินเพื่อให้ได้มาซึ่งสถานะศักดิ์เหล่านี้ ยามนี้กลับร้อนๆหนาวๆกันทุกคน


การยั่วยุอาคันตุกะนักปรุงโอสถปีศาจกลับหาใช่เรื่องฉลาดไม่


เม็ดโอสถเหล่านี้ไม่มีใครไม่ต้องการ


มิอาจตำหนิตระกูลฟางได้ว่ากำลังชักนำปัญหามากมายเข้าตัว ในความเป็นจริงนักปรุงโอสถปีศาจเป็นที่ต้องการอย่างมากภายในเผ่าปีศาจทั้งหมด


ด้วยสถานะของนักปรุงโอสถปีศาจ พวกเขาจึงสามารถเดินตรงเข้าไปยังประตูของตระกูลใหญ่ๆเพื่อขอกลายมาเป็นแขกอาคันตุกะได้อย่างไม่ยาก


ไม่เช่นนั้นตระกูลฟางคงไม่เร่งประชุมใหญ่โดยมิให้ปล่อยผ่านไปได้


ข่าวของนักปรุงโอสถปีศาจที่ปรากฏตัวขึ้นในตระกูลฟางจึงถูกเผยแพร่ออกไปทั่วทั้งเมืองอย่างรวดเร็วราวกับสายลม


อีกสามตระกูลที่เหลือรวมไปถึงฝ่ายตำหนักเจ้าเมืองต่างอิจฉาตาร้อนกันอย่างมากเกี่ยวกับเรื่องนี้


แน่นอน ผู้ใดอิจฉาผู้นั้นย่อมไม่มีความสุข


เมื่อไคซินได้ฟังข่าวนี้ ในหัวของเขาก็พลันว่างเปล่าในทันใด


“ไอ้เด็กเหลือขอนั้นจะเป็นนักปรุงโอสถปีศาจระดับสองได้อย่างไร? หรือแขกคนสำคัญของท่านเมิ่งฉีในวันนั้นจะเป็นมันจริงๆ! นี่…นี่เป็นไปได้อย่างไร?”


ไคซินในยามนี้ทั้งขุ่นเคืองทั้งไม่เข้าใจอะไรด้าสักนิด เขาไม่สามารถเข้าใจได้แม้แต่น้อยว่า ชายหนุ่มที่มีฝืมือและวรยุทธต่อสู้ที่ลึกล้ำขนาดนั้น จะกลายมาเป็นนักปรุงโอสถปีศาจที่แม้แต่เมิ่งฉียอมกเมศีรษะให้ได้อย่างไร?!


สีหน้าการแสดงออกมาของเหลียนฮวาเองก็เปี่ยมล้นไปด้วยความตกใจเช่นกัน นางไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่า เย่หยวนจะเป็นนักปรุงโอสถปีศาจด้วยเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น แม้กระทั่งห้าอาวุโสแห่งโถงโอสถปีศาจยังต้องเชื่อฟังรับคำชี้แนะจากเขา!


เดิมทีนางเพียงครุ่นคิดพลางเอ่ยอิจฉาแกล้งหลี่จีไปตามโอกาส นั้นจึงเป็นเหตุว่าทำไมนางจึงทำแบบนั้นกับเย่หยวน


แต่พอมาตอนนี้ เขากลับรู้สึกอิจฉาหลี่จีแทบขาดใจ!


หากนางรู้แบบนี้ตั้งแต่แรก เหลียนฮวาคงทำทุกวิถีทางเพื่อแย่งบรรพกาลราตรีมาจากหลี่จีแล้ว


ทว่าตอนนี้ทุกอย่างกลับสายเกินจะพูดอะไรแล้ว บรรพกาลราตรีกับไคซินเปรียบเสมือนน้ำกับไฟ มันเป็นไปไม่เลยที่จะทำเรื่องขวานผ่าซากเช่นนั้น


นางถอนหายใจพลางกล่าวว่า


“เรื่องนี้ปราศจากข้อสงสัยอันใดทั้งสิ้น! จากเงินไปมาขนาดนั้นให้กับโถงนักฆ่าเพื่อลอบสังหารบรรพกาลราตรี แต่กลับถูกห้าอาวุโสแห่งโถงโอสถปีศาจหยุดไว้ และนี่เป็นต้นเหตุที่ทำให้โถงโอสถปีศาจก่อสงครามกับโถงนักฆ่า โดยการคว่ำบาตรไม่สนับสนุนเรื่องโอสถให้แก่พวกเขาอีกต่อไป เรื่องนี้เป็นการบีบให้โถงนักฆ่าต้องออกมาเคลื่อนไหวแน่นอน แน่นอนว่าเมิ่งฉีคนเดียวไม่มีอำนาจมากพอที่จะทำเรื่องแบบนั้น แสดงว่าพวกเขาทั้งห้าได้รับการอนุมัติจากประมุขโถงโอสถปีศาจแล้วอย่างแน่นอน! ก่อสงครามกับตระกูลพวกนั้นเพื่อจัดการคนนอก ผลที่ได้กลับไม่เป็นดั่งที่ขาด ทั้งยังสร้างผลเสียให้กับพวกเราอีก”


สีหนเของไคซินซีดเขียวสลับดำ ตอนนี้เขามิทราบเลยว่าตนควรกล่าวอย่างไรดี


ยามนี้ค้นพบถึงความผิดหวังและโศกเศร้าทั่วเต็มลำไส้ ดูเหมือนว่าครั้งนี้เขาจะเตะชนเข้ากับแผ่นเหล็กจริงๆ!


เหลียนฮวาชะงักเล็กน้อยและกล่าวต่อว่า


“ในกรณีที่แม้แต่ท่านประมุขโถงโอสถปีศาจออกโรงอนุมัติด้วยตนเอง นี่แสดงให้เห็นแล้วว่าทักษะในศาสตร์แห่งโอสถของบรรพกาลราตรีน่าทึ่งเพียงใด! ครั้งนี้ตระกูลฟางได้รับขุมสมบัติไปเต็มๆ!”


ตอนที่ 1494 ยอมจำนน

โดย

Ink Stone_Fantasy

ภายในสถานที่ลับตาคนที่เร้นซ่อนอยู่ในเมืองหลวง ณ ปัจจุบัน หัวเอ๋อคุกเข่าลงต่อหน้าชายชุดคลุมดำท่าทางน่าหวาดกลัว


“หัวเอ๋อ เจ้าทราบหรือไม่ว่าตนกระทำการผิดพลาด?”


ชายชุดคลุมดำเอ่ยถามอย่างเยือกเย็น


“เรียนนายท่าน ข้า…ข้ารู้ว่าผิดไปแล้ว!”


หัวเอ๋อรวนเรใจเล็กน้อย แต่ท้ายที่สุดเขาก็ยังยอมรับความผิดพลาดของตน


ชายชุดคลุมดำค่อยๆเหลียวมองหันมาเอ่ยกล่าวน้ำเสียงชืดชาว่า


“สำหรับโถงนักฆ่าเจ้าหาได้ผิดไม่ แต่สำหรับโถงโอสถปีศาจ เจ้าทำได้ผิดพลาดอย่างมหันต์ ในตอนนี้ทั้งโถงโอสถปีศาจและโถงร้อยปัญญาต่างกดดันข้าในเวลาเดียวกัน ข้าประมุขโถงกำลังประสบปัญหาใหญ่!”


หัวเอ๋อเป็นนักฆ่าชั้นหัวแถวที่อยู่ภายใต้คำสั่งของเขา ถึงโถงโอสถปีศาจจะเข้ามากดดัน แต่สุดท้ายเขายังคงสนับสนุนช่วยเหลือหัวเอ๋ออยู่เล็กน้อย


แต่เขาไม่คิดเลยว่า ในเวลาต่อมา แม้แต่โถงร้อยปัญญาเองจะเข้ามากดดันเขาเช่นกัน สิ่งนี้ยิ่งเพิ่มทวีความกดดันให้แก่เขาซึ่งเป็นประมุขโถงถึงสองทวีเท่า


โถงนักฆ่าโดยส่วนใหญ่มักทำเรื่องใต้ดินหรือในเงามืดและมิอาจปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณะได้


ดังนั้นแล้วหน้าตาและศักดิ์ศรีของโถงโลหิตปรโลกจะขึ้นอยู่กับโถงโอสถปีศาจและโถงร้อยปัญญา


หน้าที่ของโถงนักฆ่าคือการลอบสังหาร


หัวเอ๋อในยามนี้รู้สึกหดหู่ใจถึงขีดสุด!


ตำแหน่งของเขาในโถงนักฆ่าใกล้เคียงกับตำแหน่งของเมิ่งฉีในโถงโอสถปีศาจ ดังนั้นเขาจึงไม่ฟังคำเตือนของเมิ่งฉี และยังกล่าวทิ้งท้ายเชิงท้าทายไว้ทิ้งทวน


แต่เขาไม่คาดฝันมาก่อนเลยว่า ณ ปัจจุบันกลับเป็นใบหน้าของเขาเองที่ถูกย้อนตบคืน


ชายชุดคลุมดำกวาดสายตากับจับจ้องเขาสีหน้าเมินเฉย กล่าวว่า


“เมื่อนักฆ่าทำภารกิจล้มเหลว ผลลัพธ์ที่ได้…เจ้าคงจะทราบดี”


ทั่วร่างกายาของหัวเอ๋อสั่นสะท้านหนัก แววตาที่ทอประกายเปี่ยมล้นความสิ้นหวัง


เดิมทีเขาคิดว่ามันเป็นงานใหญ่ที่สร้างเงินให้เขาจำนวนมหาศาล แต่กลับไม่คิดว่า ชีวิตของเขาต้องมาจบลงเพราะภารกิจนี้แทน!


“จงลงมือเอง!”


น้ำเสียงของชายชุดคลุมดำเจือโศกเศร้าเล็กน้อย


กล่าวกันตามตรง กระทั่งเขาเองก็ไม่คิดว่าหัวเอ๋อทำอะไรผิดพลาด แต่สิ่งที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบันคือเขาเป็นเหยื่อของผู้ที่แข็งแกร่งกว่า บนผืนพิภพแห่งนี้ไม่มีที่ยืนสำหรับคนอ่อนแอ!


สำหรับชายหนุ่มตนนั้นที่นามว่า บรรพกาลราตรี สามารถทำให้โถงใหญ่ทั้งสองออกโรงปกป้องได้พร้อมกัน แสดงว่าเขาเป็นคนที่มีน้ำหนักความสำคัญค่อนข้างสูง


จากที่กล่าวไปทั้งหมดสรุปได้ว่า หัวเอ๋อแค่โชคร้ายเกินไป


ใครขอให้เขายั่วยุคนที่ไม่ควรยั่วกัน?


“อ๊ากกก…!”


สายตาสาดสะท้อนความเจ็บปวดแสนพรรณนา ร่างของมันระเบิดออกทันที


เกร๊ง!


ป้ายตราสีดำทมิฬตกลงบนพื้น


ชายชุดดำกวักมือเรียกเข้าตัว ป้ายตราสีดำทมิฬที่ตกอยู่ลอยขึ้นสู่มือเขาโดยตรง



หลังจากที่เย่หยวนกลับมาจากโถงร้อยปัญญา ขาก็เดินทางตรงไปที่โถงโอสถปีศาจอีกครั้งเพื่อชี้แนะบรรยายให้พวกเมิ่งฉี


เมิ่งฉีและคนอื่นๆล้วนได้รับประโยชน์มหาศาลโดยธรรมชาติ


แต่ความนี้คนที่มาฟังคำชี้แนะสั่งสอนของเย่หยวนมิได้มีเพียงแค่นั้น แม้แต่ประมุขโถงก็มาเข้าร่วมฟังเช่นกัน!


เขาเป็นนักปรุงโอสถปีศาจระดับสาม สถานะศักดิ์ของเขาเป็นที่เคารพนับถือยิ่งภายในเมืองหลวงคาโปนแห่งนี้


แม้แต่ปีศาจระดับชั้นแม่ทัพปีศาจยังยากที่จะพบเจอเขา


โอสถเพียงเม็ดเดียวที่หลอมกลั่นมาโดยฝีมือเขา ล้วนเป็นที่ปรารถนาของใครหลายๆคน


ทว่าคราวนี้เขากลับเป็นเหมือนนักเรียนอีกคนที่นั่งร่วมห้องกับเมิ่งฉีและคนอื่นๆเพื่อฟังเย่หยวนบรรยายเรื่องเต๋า


ในวันแรก เขายังคงสถานะศักดิ์ตนเองเอาไว้และซ่อนตัวหลบมุมยืนฟังอยู่เคียงข้าง


แต่พอมาวันที่สอง เขากลับนั่งร่วมโต๊ะเดียวกับพวกเมิ่งฉี ตั้งใจฟังเย่หยวนสั่งสอนอย่างเพียรตั้งใจ


เนื้อหาที่เย่หยวนบรรยายในครั้งนี้หาได้ลึกซึ้งมากมายนัก มันเป็นเพียงเรื่องยอดเต๋าแห่งโอสถในระดับพื้นฐาน


แต่สำหรับพวกเขา มันกลับกลายเป็นสิ่งมีค่าดั่งขุมสมบัติ


เย่หยวนกำหนดเป้าหมายที่นักปรุงโอสถปีศาจควรมุ่งพัฒนาอย่างชัดเจน และมอบวรยุทธหลอมกลั่นบางชนิดที่จำเป็นแก่พวกเขา


สิ่งหนึ่งที่ควรทราบ เราไม่ควรดูถูกเพียงว่ามันเป็นทักษะพื้นฐานแสนเรียบง่าย ซึ่งแท้ที่จริงแล้วมาตรฐานของพวกเมิ่งฉีมิได้แย่เลย แต่พวกเขาจำต้องฝึกฝนเรื่องพื้นฐานบางอย่างให้เหมาะสม รากฐานที่มั่นคงย่อมก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีในอนาคต


เมื่อเปรียบเทียบกับการบรรยายเรื่องเคล็ดวิชาลับหรือวรยุทธหลอมกลั่นอันลึกซึ้งแล้ว ดูเหมือนว่าการสอนทักษะพื้นฐานเพื่อปูรากฐานจะมีประสิทธิผลกว่าสำหรับพวกเขา


คล้อยหลังสั่งการบรรยายเสร็จสิ้น ผู้อาวุโสทั้งห้ารวมไปถึงประมุขโถงต่างเข้าเก็บตัวขัดเกลาจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ให้สงบโดยใช้คาถาอาคมที่เย่หยวนมอบให้ ก่อนที่พวกเขาจะพบว่า คุณภาพโอสถที่หลอมกลั่นได้ในตอนนี้มีประสิทธิภาพดีกว่าตอนก่อนหน้ามาก


ผลลัพธ์ที่ออกดอกออกผลได้ทันทีเช่นนี้ได้มอบความสุขแก่พวกเขาเป็นอย่างมาก


ดังนั้นทุกคนจึงเคารพเย่หยวนราวกับเทพพระเจ้า


และครั้งนี้เย่หยวนได้บรรยายติดต่อกันถึงห้าวันห้าคืนเต็ม ซึ่งนี่ทำให้ทุกคนประหลาดใจอย่างมาก


เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นดี เย่หยวนจึงตรงกลับไปยังตระกูลฟางเพื่อวางแผนคิดจะหลบหนีออกไป


ซึ่งการเก็บตัวในครั้งนี้ นอกเหนือจากการหลอมกลั่นโอสถทองคำลึกล้ำสพหรับการวิวัฒนาการครั้งที่สองแล้ว เขายังซื้อสมุนไพรวิญญาณจำนวนมากมายจากโถงโอสถปีศาจ


เขาต้องการหลอมกลั่นโอสถยกระดับพลังปราณเทวะของตน เพื่อทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นปลาย!


เย่หยวนที่ฆ่าซิ่วเหล่ยก่อนเข้าแฝงตัวในเผ่าปีศาจ ทรัพย์สมบัติทั้งหมดของมันยามนี้ตกกลายมาเป็นของเขาโดยสมบูรณ์


จอมทัพปีศาจครึ่งขั้นค่อนข้างมั่งคั่งร่ำรวยมิใช่น้อยเลย


เย่หยวนใช้ทรัพย์สมบัติเหล่านี้เพื่อซื้อสมุนไพรวิญญาณสำหรับปูทางไปยังอาณาจักรบรรพกาลพระเจ้า ซึ่งจำนวนเงินที่เหลือก็ค่อนข้างเหลือเฟือเช่นกัน


ตราบใดที่มีกองโอสถเข้าสนับสนุนไม่ขาดมือ มันก็เพียงพอสำหรับรองรับความต้องการจากวรยุทธบ่มเพาะพลังของเย่หยวนที่กระหายยิ่งกว่าอะไร


แต่ก่อนที่เย่หยวนจะออกจากการเก็บตัว เย่หยวนได้ต้อนรับแขกคนหนึ่ง ซึ่งเขาคนนี้เป็นประมุขโถงนักฆ่านามว่า คุนหมิง


แม้แต่ประมุขตระกูลฟางเองก็ยังไม่รู้จักคุนหมิงผู้นี้


ต้องเป็นคุนหมิงเป็นฝ่ายแนะนำตัวให้กับประมุขตระกูลฟางก่อน ทำให้ทราบในภายหลังว่าผู้มาเยือนคือใครกัน


แน่นอน การมาถึงของเขาผู้นี้ทำให้ประมุขตระกูลฟางตื่นตระหนกอย่างมาก


เป็นเวลากว่าหลายปี ชื่อเสียงของประมุขโถงนักฆ่าได้สร้างความตื่นกลัวให้แก่ผู้คนทั่วทั้งเมืองหลวง


ต่อให้พวกเขาเป็นประมุขตระกูลใหญ่ทั้งสี่ แต่เมื่อประจันหน้ากันเช่นนี้ แต่ละคนเองก็หวาดกลัวไม่ต่างกัน


แม้ว่าอาณาจักรพลังของพวกเขาจะใกล้เคียงกัน ทว่าคุนหมิงผู้นี้หลบซ่อนตัวอยู่ตลอดเวลาในเงามืด กลับมิอาจทราบได้เลยว่า เขาจะเด็ดชีพผู้คนเมื่อใดและตอนไหน


ในหน้าประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา โถงนักฆ่าเคยโค่นล้มตระกูลใหญ่ที่มีขุมกำลังแกร่งกล้าอย่างมาก ซึ่งตระกูลนั้นก็มิได้แข็งแกร่งไปกว่าตระกูลฟางเลย


สรุปได้ว่า ความแข็งแกร่งของโถงนักฆ่า มันน่ากลัวเกินไป!


หากกล่าวว่าทั้งสี่ตระกูลใหญ่ต่างหวาดกลัวฝ่ายตำหนักเจ้าเมืองแล้ว แต่สำหรับโถงนักฆ่า พวกเขากลับหวาดกลัวยิ่งกว่า


เพราะชีวิตของพวกเขาจะถูกเด็ดเมื่อใดก็ไม่ทราบ


แต่เมื่อเย่หยวนเห็นคุนหมิง เขากลับมิได้รู้สึกรู้สาอันใดนัก


ทุกคนล้วนมีจุดแข็งจุดอ่อน และเห็นได้ชัดว่าจุดอ่อนของคุนหมิงก็คือโถงโอสถปีศาจ


การมาหาเขาอย่างเปิดเผยเช่นนี้ บ่งบอกได้ว่า ฝ่ายโถงนักฆ่ามิได้มาสร้างภัยอันตรายแก่เขาแน่นอน


“นี่คือป้ายตราโถงโลหิตปรโลกของหัวเอ๋อ เขาฆ่าตัวตายเพื่อขอโทษแล้ว ร่องรอยจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเขายังหลงเหลือประทับอยู่ เจ้าสามารถตรวจสอบได้”


คุนหมิงโยนป้ายตราโถงโลหิตปรโลกให้และเอ่ยกล่าวไปตามตรง


เย่หยวนรับป้ายตรานั่นไว้ แต่หาได้คิดตรวจสอบไม่ ก่อนจะโยนมันทิ้งไปด้านหนึ่งลวกๆ และกล่าวอย่างสงบนิ่งขึ้นว่า


“นี่เป็นเรื่องของท่าน หาได้เกี่ยวข้องกับข้าไม่”


คุนหมิงอดสำลักชะงักงันมิได้ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เขาตระหนักทราบทันทีว่า เด็กหนุ่มคนนี้มิได้จัดการได้โดยง่ายเลย


ก่อนที่จะมาพบกับเย่หยวน คุนหมิงเคยไปพบกับประมุขโถงโอสถปีศาจมาก่อนแล้ว


แต่พฤติกรรมของทั้งสองกลับแตกต่างไปโดยสิ้นเชิง


คุนหมิงรู้สึกได้ว่า ชายหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้าในตอนนี้ กลับรับมือยากเสียยิ่งกว่าเจ้าจิ้งจอกเจ้าเล่ห์อย่างประมุขโถงโอสถปีศาจเสียอีก


เขาสูดหายใจแช่มลึกเอ่ยขึ้นว่า


“เรื่องนี้เป็นความผิดของโถงนักฆ่าเอง ข้าต้องมาขอโทษอย่างสุดซึ้งในนามของโถงนักฆ่าทั้งหมด นายน้อยบรรพกาลราตรีโปรดเมตตา”


เย่หยวนเหลือบมองอีกฝ่ายเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า


“ข้าบอกไปแล้วมิใช่รึว่า เรื่องของท่านหาได้เกี่ยวข้องกับข้าไม่! โถงนักฆ่ารับค่าหัวและฆ่าเป้าหมาย นี่เป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลยิ่งแล้ว”


คุนหมิงแทบอาเจียนเป็นเลือดสดเมื่อได้ยินเช่นนั้น เจ้าเด็กคนนี้เจ้าเล่ห์เหลือเกิน


วาจาคำกล่าวที่สวนกลับมาเช่นนี้ มันไม่เว้นช่องว่างให้เขาแก้ต่างได้เลย


แต่หากเย่หยวนไม่ยอดลดละถอยออกไป โถงโอสถปีศาจและโถงร้อยปัญญาเองก์ไม่มีทางเลิกราเช่นกัน


ข้าควรทำอย่างไร?


ข้าทำอะไรได้บ้าง!


คุนหมิงในยามนี้แทบจะขุดดินเพื่อกระชากหัวเอ๋อมาฆ่าทิ้งอีกรอบ


 ………………………………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)